พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองกลับมาที่ที่พัก และค่ำคืนนั้น..เขาก็ฝ่าลมหนาวออกมายืน

    มองไปที่ยอดปราสาทที่ห้องของตะละแม่ที่มีแสงสว่างอยู่ภายในห้องนั้น..พลางยก

    ขวดแก้วทรงมะม่วงดื่มเหล้าเพื่อเรียกไออุ่นภายในร่างกายให้ต่อสู้ความหนาวเหน็บ...

    ....................ภายในใจของเขารู้สึกยินดีที่พบเห็นและใกล้ชิดแม่ของเขา..แม้

    ว่าเขาจะไม่มีความทรงจำใด ๆเกี่ยวกับนางอยู่ภายในใจเลย...ด้วยนางจากเขาไป

    ตั้งแต่เขามีอายุเพียง 5 เดือนเศษ......

    ....................นางเป็นผู้หญิงที่งดงามมากทั้งมีกลิ่นกายหอมรัญจวนใจ..ควร

    แล้วที่ขุนทัพพ่อของเขาจะหลงรักนางจนละทิ้งหน้าที่........

    ....................เช่นเดียวกันกับที่ตะละแม่นั้น..นางเองก็มองฝ่าความมืดและสาย

    ลมหนาว..อาศัยเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่อง..เพ่งมองมายังจุดที่ม้าสีนิลผูกอยู่กับ

    หลักไม้อันเดิม....และนางก็เห็นร่างชายชาตรีที่ยืนอยู่ใกล้ม้าตัวนั้น..หันหน้ามอง

    มาทางปราสาทชั้นบนห้องที่นางอยู่....ซึ่งนางเดาได้เลยว่า คือ "ยุ่นยี"

    .....................หนุ่มน้อยยุ่นยี..คงมีอะไรบางอย่างที่นางพิจารณา...ในขณะที่

    นางมองยุ่นยีก็ให้หวลคิดถึง เมืองลูกน้อยวัย 5 เดือนเศษของนาง..ซึ่งหากเขาโต

    คงมีอายุไล่เลี่ยกับยุ่นยี....แปลกจริง ๆเวลาที่นางมองยุ่นยีที่ไร..เป็นต้องนึก

    ถึง"ลูกน้อยของนางทันที"...

    ..................."ขุนทัพเวลานี้ท่านเป็นเช่นไร ..ท่านกำลังส่งเมืองลูกชายของเรา

    มาหาข้าใช่ไหม" นางตั้งคำถามอยู่ภายในใจ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 19032010456.jpg
      19032010456.jpg
      ขนาดไฟล์:
      404.9 KB
      เปิดดู:
      28
    • IMG_2264.JPG
      IMG_2264.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.9 MB
      เปิดดู:
      27
    • IMG_2265.JPG
      IMG_2265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      25
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................รุ่งเช้าเมืองหรือยุ่นยีได้รับคำสั่งจากสมิงญา...ให้นำม้าบางส่วน

    ในคอกไปฝึกวิ่งบนภูเขาและที่ราบสูงตามคำเสนอแนะของยุ่นยีที่แจงต่อตะละแม่

    ซึ่งต้องออกไปไกลจากปราสาทไม้สักและหมู่บ้านมาก...ยุ่นยีจึงเอาคันธนูพร้อมลูกธนูของ

    เขาและของลีเจง....ที่มอบให้ไว้ติดตัวไปพร้อมกับม้าสีนิล....เมืองไปกับทีหม่องและอัน

    ยาพร้อมพรรคพวกอีกส่วนหนึ่ง....

    .....................ม้าบางส่วนยังคงอยู่ในคอกม้าใหญ่...ยามสายหลังจากยุ่นยีออกไป

    แล้ว...ตะละแม่ได้มีบัญชาให้เหล่าผู้ภักดีเข้าเฝ้า...เพื่อปรึกษาการใหญ่...

    ............................."จนบัดนี้..เยยุ่นยังไม่กลับมา...ทำให้ข้าไม่รู้ว่า..เราจะได้ขวด

    แก้วใบนั้นมาเปิดประตูถ้ำ....เพื่อนำทรัพย์สมบัติออกมาซื้ออาวุธปืนเพิ่มขึ้นอีกได้เมื่อไร..

    อีกทั้งกำลังคนเราไม่พอเราคงต้องจ้างพวกชนเผ่ากระเหรี่ยงและเผ่าอื่น ๆ มารวมกำลังกัน

    กับพวกเรา......การดำเนินงานของพวกเรา...ตอนนี้ทำได้เพียงซุ่มโจมตีทหารอังกฤษเพื่อ

    นำเอาระเบิดและอาวุธปืนที่ทันสมัยขนกลับมาที่หมู่บ้านของเรา...นอกจากนี้พวกเรายังต้อง

    สู้รบกับทหารของขุนนางใหญ่ที่คิดกำจัดเราออกจากราชวงศ์เดิม.....คนที่สังหารราชบุตร

    องค์โตในปราสาท...จะต้องเป็นคนของขุนนางใหญ่ที่สืบหาที่อยู่พวกเราจนพบ...หากมัน

    กลับไปแจ้งที่อยู่ของพวกเราให้ขุนนางใหญ่ทราบเมื่อไร ...ขุนนางใหญ่จะส่งกำลังมาโจม

    ตีพวกเราทันที"

    ............................"ตอนนี้พวกเราทยอยรวมคน....และอาวุธมาไว้ที่คลังอาวุธของ

    พวกเราเกือบทุกวัน ....ตะละแม่วางใจเถิด...คนของเราฝีมือการต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าทหาร

    ของขุนนางใหญ่และทหารอังกฤษเท่าใดนัก" มะตะแบงขุนนางผู้ภักดีเอ่ยรายงาน

    ............................"ท่านมะตะแบงพูดถูกต้อง ยิ่งพวกทหารอังกฤษไม่ได้ชำนาญ

    พื้นที่เหมือนกับพวกเรา..หากบุกเข้ามาในป่าเมื่อไร..เป็นเสร็จฝ่ายเราเมื่อนั้น" ตองสาเอ่ย

    สนับสนุนมะตะแบง

    ............................"เรื่องกองทัพอังกฤษมีแต่เพียงอาวุธที่ทรงพลังเท่านั้น หากไม่

    ได้ทหารอินเดียและทหารสยามช่วยรบ..เมืองหลวงอังวะของเราคงไม่พ่าย..แล้วพวกเราคง

    ไม่แยกออกเป็นสามฝ่ายเช่นนี้" ตะละแม่เอ่ยต่อ

    ............................."เรื่องพวกเราแยกเป็นฝ่าย ๆนั้น ข้าคิดว่าขุนนางใหญ่คิดตั้ง

    ราชวงศ์ใหม่อยู่แล้ว...เขาคิดหาทางกำจัดพวกเราให้สิ้นไป..แม้ไม่มีกองทัพอังกฤษรุกราน

    ก็ตาม" มะตะแบงแสดงความเห็น

    ............................."มีพวกขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งที่กองทัพอังกฤษหนุนอยู่..หลังจาก

    อังกฤษกับขุนนางใหญ่แตกแยกกัน...ข้าสืบมาว่าพวกขุนนางที่อังกฤษหนุนอยู่เสนอแนะให้

    กองทัพอังกฤษตามหาทรัพย์ที่ราชวงศ์ของพวกเรา......ขนย้ายถ่ายเทและนำไปซ่อนไว้ใน

    ถ้ำกลไกนั้น...กองทัพอังกฤษจึงพาทหารเข้าป่าเพื่อตามหาถ้ำนั้น...และพวกทหารเหล่านั้น

    ก็ถูกพวกเราโจมตีจนได้อาวุธของกองทัพอังกฤษขนเข้าสู่หมู่บ้านเรา" ตองสาอธิบาย

    ............................"พวกเราโชคดีตรงที่ขุนนางใหญ่แตกแยกกับกองทัพ

    อังกฤษ..ไม่ได้ร่วมมือกับกองทัพอังกฤษเหมือนเมื่อก่อน..เพราะทหารของขุนนาง

    ใหญ่เชี่ยวชาญการรบในป่าไม่แพ้พวกเรา"

    ............................"ขุนนางใหญ่ไม่มีวันกลับไปร่วมมือกับกองทัพอังกฤษ

    หรอก..เพราะว่าขุนนางใหญ่เองก็มีแผนที่จะขับไล่กองทัพอังกฤษออกจากพม่า

    เหมือนพวกเรา...ขุนนางใหญ่มีจุดหมายเดียวกับเรา..เพียงแต่เขาคิดกำจัดพวก

    เราด้วย...เพื่อเขาจะขึ้นเป็นกษัตริย์ราชวงศ์ใหม่ในทันที" ตะละแม่อธิบาย

    ............................"ตอนนี้ตะละแม่คิดจะทำอย่างไรต่อ" มะตะแบงถาม

    ............................"พรุ่งนี้เป็นวันที่สามครบกำหนด....ที่ข้าจะต้องจัดกำลัง

    ติดตามข่าวของเยยุ่นที่เมืองสยาม...ข้าจะคัดเลือกกลุ่มทหารองครักษ์ของข้าที่มี

    ฝีมือ 18 คน รวมกับทีหม่องและอันยาเป็น 20 คน..... เมื่อข้าคัดเลือกแล้ว..ข้าจะ

    พาพวกองครักษ์ไปดูม้าศึกที่ข้าจะคัดเลือกม้าฝีเท้าจัด....และอดทนแข็งแรงไว้ให้

    พวกเขา" ตะละแม่ตอบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 19032010458.jpg
      19032010458.jpg
      ขนาดไฟล์:
      561.1 KB
      เปิดดู:
      19
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ยามบ่ายใกล้เย็นบริเวณลานคอกม้า..ตะละแม่และทหารองครักษ์

    18 คน และทหารติดตามอีกกลุ่มหนึ่งกำลังคัดเลือกม้าและพิจารณาดู โดยมีสมิงญาหัว

    หน้ากองม้าคุมคอกม้า...นำม้าที่ตนคัดเลือกไว้มาให้ตะละแม่และทหารองครักษ์..เพื่อให้

    ตะละแม่และทหารองครักษ์ร่วมคัดเลือกอีกครั้ง....

    .....................ม้าจำนวน 20 ตัวถูกคัดออกมา เพื่อให้ทหารองครักษ์ทำความคุ้นเคย

    กับมัน 18 ตัว ยกเว้นเพียง ทีหม่องและอันยาที่ไปกับยุ่นยี

    .....................ในขณะที่ตะละแม่และเหล่าทหารองครักษ์กำลังอยู่ระหว่างการคัดเลือก

    ม้าอยู่นี้..เป็นขณะเดียวกับที่ทหารขุนนางใหญ่ของพม่าจำนวนมาก.....ได้สืบหาที่

    อยู่ของตะละแม่พบ..ตามที่เฮียงคี้ได้รายงานชี้จุดให้ขุนนางใหญ่ทราบ...หลังจาก

    ที่เฮียงคี้มาลอบฆ่า"ราชบุตรองค์โต"ในปราสาทไม้สักนั้น...

    .....................ทหารของขุนนางใหญ่ได้นำกำลังมาโอบล้อมหมู่บ้านไว้ทุกทิศ

    ทาง....พร้อมกับระดมยิงด้วยอาวุธปืนและธนูเข้าใส่คนในหมู่บ้านและทหารของ

    ตะละแม่ล้มตายเป็นจำนวนมาก...เสียงปืนดังสนั่นกึกก้องลั่นไปทั่วบริเวณหมู่บ้าน..

    และเสียงได้สะท้อนออกไปไกล..ดังอย่างติด ๆกัน......

    .....................เหล่าทหารของขุนนางใหญ่ได้บุกรุกระดมยิงและเดินหน้าเข้ามา

    อย่างหนาแน่น...และคืบคลานมาที่บริเวณลานคอกม้าจนพบเห็นตะละแม่และทหาร

    องครักษ์อยู่ที่นั้น....

    .....................เมื่อพวกทหารขุนนางใหญ่พบเห็นดังนั้น ก็ระดมยิงใส่ทั้งอาวุธ

    ปืนและธนูพุ่งเข้าใส่ทันที.....ตะละแม่และกลุ่มทหารองครักษ์ต่างหลบหลีกเป็น

    พัลวัน.....อาวุธปืนและลูกธนูถูกเหล่าทหารของตะละแม่ล้มลงหลายคน...ตะละแม่

    ได้คว้า"คันธนู"จากทหารองครักษ์คนหนึ่งที่ล้มลงจากถูกปืน...และนางได้นำลูก

    ธนูทาบกับคันธนูยิงโต้ตอบอย่างเข้มแข้ง.....ลูกธนูที่ออกจากคันธนูของนางพุ่ง

    ตรงถูกทหารของขุนนางล้มลงเป็นบางส่วน....จนในที่สุดลูกธนูก็หมด..เหลือเพียง

    ทหารองครักษ์ไม่กี่คนที่ต่อสู้คุ้มกันตะละแม่อยู่เคียงข้าง...

    ....................ทหารขุนนางคืบคลานเข้าไปใกล้ตะละแม่และกลุ่มทหารองครักษ์

    อย่างรวดเร็ว.....

    ................ทหารนายหนึ่งของขุนนางพม่า..ยกคันธนูเล็งเข้าใส่ตะละ

    แม่หมายเอาชีวิต.....ในระยะใกล้....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2011
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................เฟี้ยว.........................

    .................แต่แล้วก็มี"ลูกธนูพิฆาตดอกหนึ่ง" พุ่งมาอย่างแรงและ

    รวดเร็วตรงเข้าปักที่กลางลำคอของทหารขุนนางคนนั้นจนทะลุ

    .................เหล่าทหารขุนนาง และตะละแม่..หันไปยังทิศทางที่มา

    ของ"ลูกธนูพิฆาตดอกนั้น" ..ทุกสายตาต่างก็ตกตะลึง.....ด้วยเห็นบุรุษ

    หนึ่งยืนเหยียบอยู่บนหลังม้าโดยมิได้จับเชือกบังคับม้าไว้..อันเป็นการทรง

    ตัวบนหลังม้าอย่างยอดเยี่ยม..พร้อมกับใช้ธนูยิงเข้าใส่ทหารที่เคลื่อนที่

    เข้ามาใกล้ตะละแม่...และกำลังเล็งธนูเข้าใส่ตะละแม่อีกหลายคน..เป็น

    ระยะ ๆ.....

    .................ลูกธนูทุกดอกที่ยิงออกไป..ถูกทหารพม่าทุกดอก........

    ด้วยความเร็วและแรงอย่างหนักแน่น....."บุรุษผู้ยิงธนูได้เฉียบขาดคน

    นั้น"..เขาคือ "ยุ่นยี"

    .................มันเป็นการเข้ามาในสถานการณ์อย่างโลดโผนบ้าบิ่น..

    และบ้าระห่ำ..เกินกว่าบุคคลธรรมดาจะกระทำ....

    .................ฝูงม้าที่เขานำไปฝึกวิ่งตามเขามาทางด้านหลังอย่างรวด

    เร็วและคึกคะนอง.....พุ่งเข้าชนทหารของขุนนางพม่าล้มกลิ้งเป็นจำนวน

    มาก

    .................ยุ่นยีเปลี่ยนจากท่ายืนมานั่งลงบนอานม้า...และใช้เท้าตบสีข้าง

    ม้าสีนิล..ให้วิ่งเข้าใส่ทหารของขุนนางพม่าอย่างรวดเร็วพร้อมกับยิงธนูเข้าใส่อีก

    เป็นระยะ ๆ ..ยุ่นยีควบม้ามุ่งตรงไปที่ตะละแม่ซึ่งกำลังจะเสียท่าฝ่ายตรงข้ามอยู่

    ....................ยุ่นยีควบม้าเข้าประชิดกับตะละแม่.....แล้วใช้มือฉุดกระชากแขน

    ของตะละแม่ขึ้นขี่บนหลังม้าด้านหน้าของตนอย่างรวดเร็ว...โดยร่างของตะละแม่

    นั่งไขว้เท้าทั้งสองมาทางด้านข้างม้า...และหันหน้าเข้าหายุ่นยี...

    .................ยุ่นยีได้ตะโกนอย่างดัง....เหมือนคำประกาศิตต่อ.....

    "หญิงผู้สูงศักดิ์" ที่อยู่บนหลังม้าเดียวกับเขา ซึ่งนางได้ฟังถึงกับตะลึง

    ..................."กอดข้าไว้ให้แน่น"...............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2011
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ตะละแม่ตกตะลึงในคำพูดของยุ่นยี......นางจ้องมองดูดวงตา

    ของเขา...ก็เห็นดวงตาคู่นั้น.........ฉายแววแห่งความอ่อนโยนและห่วงใยในตัว

    นางอย่างจริงจัง..และคิดว่า...บุรุษน้อยผู้นี้เสี่ยงชีวิตมาช่วยนางไว้..โดยไม่เกรง

    กลัวภัยอันตรายใด ๆ

    .....................นางจึงได้สวมกอดยุ่นยีไว้โดยใช้มือทั้งสองของนาง......โอบ

    กอดยุ่นยี..ทำให้ตัวของนางและยุ่นยีแนบแน่นชิดกัน.........แม้จะดูผิดประเพณี

    ที่"หญิงสูงศักดิ์เช่นนางจะสวมกอดชายอื่น..แม้ยามมีภัยก็ตาม...ซึ่งเป็นการย่ำยี

    ศักดิ์ศรีของนางให้ถูกดูหมิ่น"...แต่นางก็ทำตามคำสั่งของยุ่นยี

    ....................ใบหน้าของนางแนบอยู่ในอ้อมอกของยุ่นยี....ส่วนตัวยุ่นยีก็อยู่

    ในอ้อมกอดของนาง.........."เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสัมผัสไออุ่นในอ้อมกอด

    ของแม่"...เขารู้สึกมีความสุข..พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงด้วยความปลื้มปิติ

    อยู่ในใจ"

    ....................ยุ่นยีกระตุกเชือกม้าให้สีนิลควบออกไปอย่างเร็ว ...พร้อมกับใช้

    ธนูยิงเข้าใส่ทหารของขุนนางพม่าที่ห้อมล้อมอยู่เบื้องหน้าเป็นระยะๆ......เพื่อเปิด

    ทาง..............ลูกธนูของลีเจงที่มอบให้เมืองไว้....ถูกนำออกมาใช้ใช้ประโยชน์

    อย่างเต็มที่ในการสู้รบคราวนี้

    ....................ทหารของขุนนางพม่าถูกลูกธนูของยุ่นยีเป็นสิ้นชีพทันที..ด้วย

    ลูกธนูของเมืองทั้งเร็วและแรง.........พุ่งถูกจุดสำคัญของอวัยวะในร่างกาย เช่น

    หัวใจ และ คอหอยอันเป็นการตัดหลอดลมหายใจ....

    ..........................."เจ้าเพื่อนยาก..พาข้าไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด"..........

    .....................ยุ่นยีพูดกับม้าสีนิลอย่างดัง..ในขณะที่ยุ่นยีควบม้าหนี .... กลุ่ม

    ทหารของขุนนางใหญ่ก็ควบม้าไล่ตาม....พร้อมกับระดมยิงธนูและปืนเข้าใส่จนดัง

    สนั่นลั่นป่า....แต่กำลังของม้าสีนิลมิมีตก..มันพายุ่นยีและตะละแม่วิ่งเร็วเป็นพายุ

    เล็ก ๆ ไปที่ลำน้ำสาละวินและวิ่งเลียบลำน้ำ....เพื่อหนีการตามล่าของเหล่าทหาร

    ของขุนนางใหญ่.....

    .....................เสี้ยววินาทีอันตรายแห่งชีวิต...ตะละแม่ตื่นตระหนก...แต่สิ่งที่

    กระแทกความรู้สึกนางยิ่งกว่านั้น คือ การโอบกอดชายอื่นที่มิใช่สามีของตน...แต่

    สิ่งนี้ทำให้นางมี"ความรู้สึกอะไรบางอย่างเกิดขึ้น"

    .....................นางรู้สึกถึงความอบอุ่นและรับรู้ถึง"คนที่นางโอบกอด" ไว้นั้นมี

    ความห่วงใยในตัวนางถึงขนาดเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วย...และพานางออกจากวงล้อม

    ทหารของขุนนางใหญ่พานางหนีรอดออกมาได้....นางรู้สึกว่า "อยู่ใกล้ชิดกับยุ่นยี

    หนุ่มน้อยนี้ช่างอบอุ่นและปลอดภัยไม่ต้องหวาดระแวง...........เขาสามารถปก

    ป้องคุ้มครองนางจากภัยอันตรายได้"..ทำให้นางนึกถึงใครคนหนึ่งที่....."เคยรับ

    นางเข้าแดนสยาม..และโอบกอดนางไว้เช่นนี้เหมือนกัน เขาคือ "ขุนทัพ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2011
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ยุ่นยีและตะละแม่หนีทหารของขุนนางใหญ่พ้น..อันเป็นเวลาพลบ

    ค่ำพอดี..ความหนาวเหน็บในฤดูหนาวก็ได้แผ่กระจายไปทั่ว..ยิ่งใกล้กับลุ่มน้ำสา

    ละวินและป่าเขา..มันช่างเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ.......

    .....................ยุ่นยีลงจากหลังม้าและใช้มือทั้งสองจับมือตะละแม่..พร้อมกับคอยรับ

    นางลงจากหลังม้า.....ตะละแม่สบตากับยุ่นยีด้วยสายตาที่ขอบคุณ พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"ข้าขอบใจเจ้ามากที่เสี่ยงชีวิตมาช่วยข้าไว้"

    ............................"หามิได้..ข้าน้อยเป็นเหมือนบ่าวของตะละแม่...ตะละแม่เป็น

    นายของข้าน้อย....เป็นหญิงผู้สูงศักดิ์..มันเป็นหน้าที่ที่ข้าน้อยจะต้องปกป้อง"

    ....................ตะละแม่มองยุ่นยีอย่างพิจารณา...ทั้งคำพูดและท่าทาง

    ............................."ข้าดูเจ้าช่างอ่อนน้อมดี ..แต่ยามเจ้าอยู่ต่อหน้าเหล่า

    ทหารของขุนนางใหญ่กลับดูเจ้าห้าวหาญไม่เกรงกลัวอันตรายใด ๆ .......และไล่

    ฆ่าพวกมันเพื่อมาช่วยข้า...ข้าอยากถามเจ้าว่าเจ้าไปฝึกการใช้ธนูมาจากไหน...

    นอกจากนี้การที่เจ้ายืนทรงตัวอยู่บนหลังม้าพร้อมกับยิงธนูได้แม่นยำอย่างไม่น่า

    จะเป็นไปได้...เจ้าไปฝึกจากไหน..ลองตอบข้าสิ"

    ..........................."พ่อข้าน้อยเป็นคนฝึก..พ่อข้าน้อยเคยเป็นทหารอยู่ชาย

    แดนเมาะตะมะ...แต่พ่อข้าน้อยเสียชีวิตไปแล้ว" ยุ่นยีตอบเพื่ออำพรางตัวเอง

    ....................ตะละแม่พยักหน้ารับรู้

    ....................ยุ่นยีจึงจูงม้าพาตะละแม่เดินไปที่ร่มไม้ใหญ่

    ....................ยุ่นยีก่อไฟใต้ร่มไม้ใหญ่ยามดึกใกล้แม่น้ำสาละวิน เพื่อให้ตะละแม่ผิง

    ไฟให้อบอุ่นจากความหนาวเหน็บ...และจึงเดินสำรวจบริเวณที่พักโดยรอบ แล้วจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"ข้าน้อยคิดว่า..ตะละแม่ควรนอนพักผ่อน..ข้าจะระวังภัยให้เอง"

    ....................ตะละแม่เงยหน้าขึ้นมองยุ่นยีแล้วจึงเอ่ย

    ............................"เจ้าเองก็ควรพักผ่อนได้แล้วเช่นกัน"

    ............................"ข้าน้อยยังไม่ง่วง..ขอข้าน้อยอยู่ดูแลระวังภัยให้ตะละแม่เถิด"

    ....................ตะละแม่มองยุ่นยีด้วยสายตาที่ขอบคุณ..ในความห่วงใยของเขาที่มีต่อ

    นางอีกครั้งหนึ่ง ..อันเป็นมิตรไมตรีอันอบอุ่นสำหรับนางและเขาที่มีให้กัน ...และนางได้

    เอ่ยถาม

    ............................"ยุ่นยีแล้วแม่ของเจ้าล่ะ...นางอยู่ที่ใด"

    ....................เมืองหรือยุ่นยีได้ยินคำถามเช่นนั้น..มันช่างกระแทกความรู้สึก

    ของเขา..จนเขาต้องหยุดนิ่งครู่หนึ่ง...พร้อมกับมองสบตากับตะละแม่ด้วยแววตาที่

    เศร้าสลด..เหมือนจะฟ้องร้องแม่ของตน...แล้วจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"แม่ของข้าน้อยทิ้งข้าน้อยไปตั้งแต่ข้าน้อยอายุ 5 เดือน

    เศษ...ข้าน้อยไม่เคยเห็นหน้าแม่ของข้าน้อย..และ..ไม่เคยสัมผัสรับรู้ความรักของ

    นาง..เช่นเดียวกับมารดาและบุตรคนอื่น"

    ....................คำพูดของเมืองหรือยุ่นยี...ทำให้.."นางรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ"..

    เพราะมันคือบาดแผลภายในใจของนาง..ที่นางก็ทำเช่นนี้กับลูกของนางเช่นกัน..

    นางจึงรู้สึกเศร้า...เพราะพฤติการณ์ของแม่ยุ่นยี..ช่างเหมือนพฤติการณ์ของนาง

    เหลือเกิน..ที่ทิ้งลูกน้อยไปตั้งแต่เขามีอายุเพียง 5 เดือนเศษ

    ....................คำว่า "ข้าไม่เคยเห็นหน้าแม่และไม่เคยสัมผัสรับรู้ความรักของ

    นางเช่นเดียวกับมารดาและบุตรคนอื่น"..มันเป็นความรู้สึกของยุ่นยี......ที่น่าจะ

    เหมือนกับ..ความรู้สึกของเมืองลูกของนาง...ทำให้นางคิดถึงเมืองลูกของ

    นางอย่างจับใจ..และรู้สึกผิดอยู่ในใจลึก ๆ...จนนางจ้องมองยุ่นยีนิ่งและรู้สึก

    สงสารทั้ง"ยุ่นยี"และ"เมืองลูกของนาง"...อย่างจับใจถึงกับน้ำตาเอ่อล้นรินไหล

    ออกมา....โดยนางหารู้ไม่ว่า "ผู้ที่อยู่ต่อหน้าของนาง ก็คือ เมือง มีสุข ลูกน้อยที่

    นางทิ้งเขามาตั้งแต่อายุ 5 เดือนเศษ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2011
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ยุ่นยีเดินเฝ้าระวังภัยให้ตะละแม่ด้วยความหนาวเหน็บ..พลางชำ

    เรืองดูนางที่กำลังมองดูเปลวไฟอย่างสำนึกผิดในใจเป็นระยะ ๆ

    .....................นางรู้ดีว่านางต้องเลือก..นางไม่ผิดต่อชาติและประชาชนของนาง..

    แต่นางผิดต่อลูกน้อยของนาง...ทำไมชีวิตของคนจึงต้องมีเหตุการณ์ให้เลือกอยู่เสมอ

    .....................ซึ่งความคิดของนางก็ไม่ต่างจากเมือง..ที่เหตุการณ์และพฤติการณ์มัน

    บังคับให้เขาต้องเลือก คือ เลือกที่จะสืบต่อราชวงศ์พม่าตามแม่ของเขา หรือ เลือกที่

    จะช่วยเหลือพ่อของเขาในการดูแลเมืองน่านฝั่งตะวันออกให้มีความสุข .....เขา

    อยากได้ทรัพย์สินเงินทองสักก้อนหนึ่ง....เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง

    สะพานข้ามแม่น้ำน่าน......เพื่อเชื่อมต่อฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกเข้าด้วยกัน

    .....................ตะละแม่ละสายตาจากกองไฟหันไปมองยุ่นยี แล้วจึงเอ่ยถาม

    ............................"ยุ่นยี..เจ้าเป็นคนมีฝีมือและเฉลียวฉลาด..ข้าอยากให้เจ้า

    ช่วยข้า...โดยไปเมืองสยามที่ดินแดนเมืองน่าน..เพื่อช่วยเหลือและคุ้มครองลูก

    ของข้าที่ชื่อ เมือง มีสุข กลับมายังลุ่มน้ำสาละวินแห่งนี้..เจ้าช่วยข้าได้ไหม"

    .....................ยุ่นยีหรือเมืองหยุดฟังนิ่งด้วยหัวใจเต้นแรง..แล้วเอ่ยถามกลับ

    ............................"ข้าน้อย..ไม่เคยพบหรือรู้จักเมืองบุตรชายของตะละแม่..

    แล้วข้าน้อยจะพาเขากลับได้เช่นไร"

    ............................"ไม่ยากหรอกยุ่นยี..เขาเป็นชายหนุ่มน่าจะรุ่นราวคราว

    เดียวกับเจ้า..เขาจะสะพายขวดแก้วรูปทรงมะม่วงเอาไว้ติดตัวตลอดเวลา..เพราะ

    ข้าเป็นคนบอกสามีข้าให้มอบสมบัติชิ้นนี้ไว้แก่เขา"

    ............................."ขวดแก้วทรงมะม่วงมันมีความหมายอย่างไร"

    ............................."มันเป็นขวดที่ถูกสร้างไว้สองส่วนประกบติดกัน..มันแยก

    จากกันได้..มันสามารถนำไปเปิดประตูกลไกของถ้ำเก็บสมบัติได้"

    .....................ยุ่นยีนั่งคิดพิจารณาคำพูดของนางก็ให้รู้สึกว่า "นางยังรักและห่วงใย

    ลูกของนาง"...เขาจึงถามคำถามที่เขา...ตั้งใจจะถามแม่ของเขาตั้งแต่วันที่เขารู้

    ความจริงว่า..."แม่ของเขาเป็นชาวพม่าและทิ้งเขาไปตั้งแต่เขาอายุเพียง 5 เดือน

    เศษ" โดยโต้เถียงกับขุนทัพผู้เป็นพ่อถึงแม่ของเขาด้วยความชิงชังแม่ของเขา

    ..........................."ตะละแม่ทำไมถึงไม่อยู่ดูแลเจ้านายน้อยที่เมืองสยาม"

    ..........................."ข้ารักและห่วงใยลูกข้ามาก..อยากนำพาลูกของข้ามากับ

    ข้าเพื่อนำมาดูแล...แต่มันอยู่ในภาวะของสงคราม..ข้าเกรงว่าข้าจะปกป้องลูกรัก

    ของข้าไม่ได้ ...จึงต้องให้สามีของข้าเป็นผู้เลี้ยงดูเขาฝ่ายเดียว...และคิดว่าเขา

    อยู่เมืองน่านต้องปลอดภัย ด้วยมีนิมิตหลายอย่างให้ข้าเชื่อเช่นนั้น"

    ............................"นิมิตเช่นไรหรือ"

    ............................"ในวันที่เขาเกิดมาจากท้องข้า..เขาจะร้องส่งเสียงดังไม่

    ยอมหยุดและไม่ยอมดูดนมจากถันข้า...ข้ากับสามีและบ่าวไพร่..จึงนำเขาล่องเรือ

    ข้ามแม่น้ำน่าน...ในระหว่างนั้นข้าได้นำน้ำจากแม่น้ำน่านให้เขาดื่ม..เขากลับดื่ม

    มันอย่างหิวกระหายและสงบนิ่ง...ข้ารู้สึกว่า น้ำนั้น คือ น้ำนมของแม่น้ำน่านที่ให้

    ลูกข้าดื่ม

    ............................และขณะนั้น แม่น้ำน่านที่ไหลอย่างสงบก็ก่อตัวเกิดคลื่น

    ซัดตีเข้ากับลำเรือ..จนเรือโคลงและเขาหลุดมือจากข้าลงสู่แม่น้ำน่าน..แต่เขากลับ

    ลอยอยู่เหนือผิวน้ำและหยุดนิ่งอยู่กับที่...มิได้ไหลตามน้ำ...และรอบ ๆตัวเขาจะมี

    เกลียวน้ำหมุนวนล้อมรอบเหมือนจะกันสัตว์ร้ายใต้น้ำมิให้เข้าถึง

    ............................ข้ารู้สึกว่า..ชีวิตเขาต้องผูกพันกับแม่น้ำน่าน..ข้าจึงได้

    อธิษฐานต่อแม่น้ำน่านยอมรับว่า..แม่น้ำน่านคือแม่ผู้ให้ชีวิตแก่เขา..และได้ขอแม่

    น้ำน่านให้ ..ข้าได้เป็นแม่ของเขาอีกคนหนึ่ง..

    ............................เมื่อข้าอธิษฐานจบ..ใต้น้ำที่เขาลอยอยู่ได้บังเกิดแสงสว่าง

    จ้าดุจดวงอาทิตย์อยู่ใต้น้ำส่องแสงมาที่เขา...และเขาได้ลอยน้ำพุ่งมาสู่มือข้าใน

    ทันใด...ข้าจึงเชื่อว่าเขามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง"

    .....................ยุ่นยีหรือเมืองเพิ่งได้ฟังเรื่องราวของเขาตอนถือกำเนิดเป็นครั้ง

    แรกซึ่งไม่เคยมีใครเล่าให้เขาฟัง....เขาถึงกับตกตะลึง...แล้วเอ่ยถามต่อ

    ............................."แล้วยังมีนิมิตอื่นใดอีกหรือ"

    ............................."เหนือแดนพม่าลุ่มน้ำสาละวินได้เกิดปรากฎการณ์...

    "สุริยคราส"ขึ้น หรือ "พระราหูอมดวงอาทิตย์"ในเวลาที่เขาเกิด..มันคือนิมิตหมาย

    อันดี ..กองทัพอังกฤษคือกองทัพที่มีดินแดนดวงอาทิตย์ไม่ตกดิน..ความหมาย

    ของกองทัพอังกฤษ คือ ดวงอาทิตย์....ส่วนลูกของข้า คือ คราสหรือราหู ซึ่งกลืน

    กินดวงอาทิตย์จนมืดมิด..ดังนั้น ลูกของข้าจะเป็นผู้ขับไล่กองทัพอังกฤษจากพม่า

    เขาคือ "บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์"..."

    ....................สิ้นคำว่า "บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์" เมืองหรือยุ่นยีถึงกับขนหัวลุก

    ชันด้วยหัวใจที่เต้นแรง เพราะมันคือ ฉายานามของเขาที่คนเมืองน่านตั้งให้..

    เพราะพฤติการณ์ของเขาในอดีต..ที่เขาไม่เคยยอมแพ้แม้แต่ดวงอาทิตย์ ..จนตน

    เองได้จ้องมองสู้กับดวงอาทิตย์จนรู้เห็นความลับของดวงอาทิตย์ว่า "เจ้าแห่งแสง

    ยังมีจุดดับอยู่ภายในดวงอาทิตย์นั้น"...เขาเพิ่งรู้ความหมายของคำ ๆนี้ ว่า

    "พฤติการณ์ของเขาคือ "ดาวราหู"นั่นเอง..

    ....................มันช่างสอดคล้องต้องกันเหลือเกินที่ตะละแม่เอ่ยนาม "บุรุษผู้สู้

    กับดวงอาทิตย์" นี้แก่เขาเหมือนกับชาวเมืองน่านที่ให้สมญาเขา

    ....................มีตำนานคัมภีร์โหราศาสตร์กล่าวว่า "บุรุษใดที่เกิดใต้"ฤกษ์ดาวราหูแห่ง

    สุริยคราส".. จะเป็นคนทรนงกล้าหาญบ้าบิ่นโลดโผน..เฉียบขาดและเด็ดขาดในลักษณะ

    ของการกระทำ ..มีนิสัยชอบดื่มสุรา..และเป็นศัตรูกับดวงอาทิตย์เจ้าแห่งแสงสว่างตลอด

    กาล...แต่คัมภีร์โหราศาสตร์มิได้กล่าวไว้ว่า"ฤกษ์ดาวราหูแห่งจันทคราสหรือราหูอมจันทร์"

    จะเป็นศัตรูกับดวงอาทิตย์หรือไม่ หรือ ฤกษ์ดาวราหูแห่งสุริยคราสจะเป็นศัตรูกับดวงจันทร์

    หรือไม่"......หากเป็นศัตรูกัน "ความรักของเมืองกับผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" คงไม่เกิดขึ้น

    เป็น"ตำนานความรักที่เมืองสุราษฎร์ธานี"

    ....................เหตุที่ "เมือง มีสุข" มีจิตใจที่อยากจะต่อสู้กับ"ดวงอาทิตย์" ก็คง

    น่าจะหมายถึง "เขาคือดาวพระราหูหรือดาวสุริยคราส" มาเกิดนั่นเอง..จิตใจจึง

    โน้มเอียงไปในทางที่อยากประลองกำลังกับดวงอาทิตย์..หรือผู้ที่มีความยิ่งใหญ่

    ดุจดวงอาทิตย์ เช่น "กองทัพอังกฤษ"นั่นเอง....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2011
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ดึกสงัดท่ามกลางอากาศหนาว ตะละแม่หลับสนิทในท่านั่งพิง

    ต้นไม้ใหญ่ด้วยความอ่อนเพลีย..โดยมียุ่นยีคอยเดินระวังภัยรอบ ๆบริเวณ

    ....................ยุ่นยีดึงผ้าโพกหัวของเขาออก..แล้วเดินมาที่ตะละแม่ที่กำลังหลับสนิท

    โดยเอามือกอดอกตนเองไว้ด้วยความหนาว....ยุ่นยีนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ พลางมองใบ

    หน้าของตะละแม่อย่างสงบนิ่ง...แล้วค่อย ๆ บรรจงเอาผ้าโพกหัวของเขาห่มคุม

    นางไว้...ตะละแม่ขยับตัวเล็กน้อยด้วยรู้สึกว่าร่างกายอุ่นขึ้น..แต่มิได้ลืมตาด้วย

    หนังตามันหนักเกินกว่าจะเบิกมันขึ้น..

    .....................ยุ่นยีดูอากัปกิริยาของตะละแม่อย่างพิจารณาและครุ่นคิด..แล้ว

    เขาก็เรียกคำที่เขาอยากเอ่ยมากที่สุด...เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาอย่างแผ่วเบา

    ....................................."แม่"...................................

    .....................น้ำตาของยุ่นยีค่อย ๆ รินไหลอาบแก้มและหล่นลงสู่พื้นดิน..ด้วย

    ความปลื้มปิติที่ได้พบแม่และเรียกนางว่า "แม่" เป็นครั้งแรก พร้อมกับตื้นตันใจที่รู้

    ว่า"นางรักเขา"...แม้ว่านางจะไม่ได้รับรู้ในเสียงเรียกของเขาหรือสิ่งที่เขากำลังทำ

    ขณะนี้เลย......การกระทำของเขาแสดงให้เห็นว่า"ในส่วนลึกของหัวใจเขานั้นร้อง

    โหยหา..หาแม่บังเกิดเกล้าของเขามาโดยตลอด" เมื่อได้มาพบเห็นและใกล้ชิด

    และรับรู้สิ่งต่าง ๆ มันทำให้เกิดการกระแทกอารมณ์ของหัวใจอย่างแรง...จนสิ่งที่

    อยู่ลึกภายใต้จิตใจนั้นผุดขึ้นมา...เขาจึงได้หลั่งน้ำตาออกมา

    .....................ตะละแม่นั้น..นางรู้สึกเหมือนฝันว่า "เมืองลูกของนางได้มาหา

    นางแล้วเรียกนางว่า"แม่" ซึ่งเป็นคำที่นางได้ยินลูกของนางเรียกคำ ๆ นี้เป็นครั้ง

    แรก....แต่นางมิได้เห็นหน้าของเมืองลูกของนางด้วยเขาก้มหน้า..ใบหน้าของ

    ตะละแม่อมยิ้มขณะหลับอย่างมีความสุข.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2011
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................รุ่งเช้ายุ่นยีพาตะละแม่นั่งบนหลังม้าโดยนั่งอยู่ข้างหน้าของเขา..

    และควบขี่อย่างเร็วเพื่อกลับไปยังปราสาทไม้สักลุ่มแม่น้ำสาละวิน

    ....................ระหว่างทางเมืองพักม้าด้วยการเดินไปช้า ๆ เขาเอ่ยถามตะละแม่ขึ้น

    ............................."กองกำลังของตะละแม่กับขุนนางใหญ่....ทำการรบกันมากี่

    ครั้งแล้ว"

    ............................."นับครั้งไม่ถ้วน..ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่ตลอดเวลา กอง

    กำลังของเราก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่มีลดลง"

    ............................."แล้วกับกองกำลังองกฤษล่ะ"

    ............................."กองกำลังอังกฤษไม่ได้รบกับพวกเราซึ่ง ๆหน้า...กองกำลัง

    อังกฤษจะถูกทั้งฝ่ายเราและฝ่ายขุนนางโจมตีเป็นระยะ ๆ แต่เพราะอาวุธของกองกำลัง

    อังกฤษทรางอานุภาพ...ฝ่ายเราและฝ่ายขุนนางใหญ่จึงทำอะไรกองทัพอังกฤษไม่ได้"

    ............................."ยามที่พวกท่ารบกัน..ข้าน้อยคิดว่าท่านจะแพ้หรือชนะ..ฝ่ายที่

    ได้ประโยชน์ต้องเป็นกองทัพอังกฤษ...เพราะเขาไม่เสียไพร่พลในการกำจัดพวกท่านเลย..

    พวกเขายืนดูพวกท่านรบกันจนอ่อนแรง....แล้วเขาก็มาตีฝ่ายที่อ่อนแรงจนมีชัย"

    ............................."ข้าก็คิดเช่นเดียวกับที่เจ้าคิด..แต่ไม่มีหนาทางแก้ไข"

    ............................."แต่ข้าน้อยมีหนทาง"

    .....................ตะละแม่ได้ยินเช่นนั้น.....นางหยุดคิดและหันหน้ากลับหลังไปมอง

    หน้ายุ่นยี..พลางสบตากับยุ่นยีก็เห็นแววประกายตาแจ่มใส..จึงเชื่อว่ายุ่นยีคิดบาง

    สิ่งบางอย่างได้...นางจึงหันหน้ากลับแล้วเอ่ยถาม

    ............................."เจ้ามีหนทางใดหรือ"

    ............................."ข้าคิดว่า..ฝ่ายตะละแม่และขุนนางใหญ่..มีเป้าหมายอัน

    เดียวกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ ขับไล่กงอทัพอังกฤษออกจากกรุงอังวะและแดนพม่า..

    แต่พวกท่านทั้งสองฝ่ายพะวงที่จะรบกันเองให้สูญเสียกำลังทั้งสองฝ่าย..จึงไม่มี

    กองกำลังที่แข็งแกร่งพอที่จะขับไลกองทัพอังกฤษ"

    ............................."เจ้าพูดมาก็ถูกและดูสมเหตุผลดี..แล้วข้าควรทำเช่นไร"

    ............................."ท่านต้องพักรบกับขุนนางใหญ่..เพื่อรวมสองเป็นหนึ่ง

    และจะมีกองกำลังที่มากและแข็งแกร่ง..ขับไล่กองทัพอังกฤษออกไป"

    ............................."ใช้วิธีสองรุมหนึ่งหรือ"

    ............................."ไม่ผิดหรอกตะละแม่"

    ............................."แล้วเรื่องที่ขุนนางใหญ่คิดกำจัดพวกเราล่ะ"

    ............................."ข้อนั้นตะละแม่ต้องคอยระวังตัว..โดยต้องส่งคนไปพูด

    จาหว่านล้อมเพื่อพักรบกับขุนนางใหญ่..เพื่อมารวมกำลังขับไล่กองทัพอังกฤษ

    ก่อน..ข้าเชื่อว่าขุนนางใหญ่ก็น่าจะมีความคิดที่จะยืมมือฝ่ายตะละแม่ขับไล่กอง

    ทัพอังกฤษอยู่เหมือนกัน...แต่ก็ติดใจที่ท่านก็ต่อต้านพวกเขา..ทำให้พวกเขาต้อง

    ระแวงระวังศึกสองด้าน..เลยไม่มีความกล้าพอที่จะขอรวมกำลังกับตะละแม่"

    ....................ตะละแม่รับเอาความคิดใหม่ ๆ ของยุ่นยี..จนรู้สึกเห็นหนทางตาม

    นั้นถึงกับแย้มยิ้มน้อย ๆก่อนจะรำพึงรำพันอยู่ในใจว่า "ยุ่นยีเจ้าคือใครกัน ถึงได้มี

    ปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างกับผู้นำคน.....และก็มีฝีมือการรบที่เก่งกาจห้าวหาญบ้า

    ระห่ำผิดกับคนทั่วไป"...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2011
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ยามสายเกือบเพล..ม้าของยุ่นยีพาตะละแม่มาถึงหมู่บ้าน..ยุ่นยี

    ได้ลงจากหลังม้าให้ตะละแม่นั่งอยู่คนเดียวบนหลังม้า..และตนเองได้จูงม้าสำรวจดู

    ความเสียหาย...ก็พบเห็นคนในหมู่บ้านกำลังเคลื่อนย้ายศพของทหารขุนนางใหญ่และศพ

    ทหารองครักษ์ของตะละแม่และศพชาวบ้าน..อันเป็นภาพที่ชวนให้สลดหดหู่หัวใจแก่ผู้

    พบเห็น

    ....................ลูกธนูทั้งฝ่ายทหารขุนนางใหญ่และฝ่ายตะละแม่ต่างก็ถูกดึงออก

    จากศพ..และเก็บจากสถานที่นั้นรวบรวมไว้เป็นกองพะเนิน...อีกทั้งอาวุธปืนและ

    คันธนูจำนวนหลายอันในที่เกิดเหตุ....ถูกรวบรวมนำใส่เกวียนเพื่อเคลื่อนย้ายไป

    เก็บไว้ที่คลังอาวุธของหมู่บ้าน....

    .....................ตะละแม่ได้ผ่านประตูกำแพงปราสาทเข้าไปข้างในพร้อมกับยุ่นยี..และ

    ได้เรียกมะตะแบงกับตองสามาสอบถาม

    .....................มะตะแบงได้เอ่ยรายงานทันที

    ............................."กองกำลังของขุนนางใหญ่ถูกฝ่ายเราตีกลับไป..ในขณะที่กอง

    กำลังของขุนนางใหญ่เข้าล้อมตะละแม่อยู่..พวกทหารจากกองกำลังปราสาท...คลังอาวุธ

    และหน่ายลาดตระเวณ..ได้รวมตัวกันได้ส่วนหนึ่ง..ยกพลไปที่คอกม้าใหญ่...ขณะนั้นเห็น

    ยุ่นยีช่วยตะละแม่ออกไปได้...พวกเราจึงระดมยิงส่พวกทหารขุนนางใหญ่จนล่าถอยไป"

    .....................ฝ่ายตองสามองไปทางยุ่นยี...พลางเอ่ยขึ้นอย่างพอใจเขา

    ............................"ยุ่นยี เจ้าเป็นคนมีฝีมือดีทีเดียว..ทั้งขี่ม้าและการใช้อาวุธ....

    เจ้าหน้าจะมาเป็นทหารองครักษ์ให้กับตะละแม่มากกว่าไปอยู่กับ.....สมิงญานาย

    กองม้านะ"

    .....................คำพูดของตองสาตะละแม่พอใจอย่างมาก..จึงหันหน้าไปมอง

    ยุ่นยี เพื่อดูท่าทีเขา..แต่ยุ่นยีปฏิเสธทันที

    ............................"ข้าน้อยเป็นคนไม่ค่อยมีวินัยของทหาร..ขอข้าน้อยเลี้ยง

    ม้าฝึกม้ากับท่านสมิงญาต่อไปเถิด"

    .....................คำตอบของยุ่นยี..ตะละแม่ผิดหวังเล็กน้อย..แต่ก็ได้เอ่ยทวงคำ

    ตอบที่ตนได้ถามยุ่นยีไว้เมื่อวานนี้

    ............................."แล้วเรื่องที่ข้าถามเจ้า..ให้เดินทางไปเมืองสยามเพื่อ

    ช่วยพาลูกข้ากลับมา..เจ้าจะว่าอย่างไร"

    ............................."เรื่องนั้นข้าน้อยขอคิดดูก่อน..แล้วพรุ่งนี้ข้าน้อยจะให้คำ

    ตอบกับตะละแม่เอง"

    .....................ยุ่นยีเดินจูงม้าสีนิลออกจากประตูกำแพงปราสาท..โดยมีสายตา

    ของตะละแม่มองตามไปอย่างภาวนา...ให้ยุ่นยีตัดสินใจรับคำขอร้องของนาง.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ยุ่นยีกลับมาถึงที่พัก..เขาคิดว่า"ถ้าตะละแม่รู้ความจริงว่าเขาคือ

    เมือง มีสุข บุตรชายของนาง... ..และเยยุ่นได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว.... นางก็จะ

    ล้มเลิกความคิด..ที่จะพาคนเข้าแดนสยามเพื่อตามหาเขาและเยยุ่น.... อันจะเป็น

    การดี..ที่ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่เมืองน่านฝั่งตะวันออกต้องยุ่งยาก...... โดยเฉพาะ

    ขุนทัพบิดาของเขา"

    .....................เขาจึงคิดที่จะบอกความบางอย่างกับตะละแม่...แต่นั่นต้อง

    หมายถึง "เขาไม่ได้อยู่ที่แห่งนี้แล้ว" ...แต่ก่อนจากไป..เขาอยากจะช่วยเหลือ

    ตะละแม่ทำงานบางอย่าง...

    .....................ยุ่นยีคิดว่า "ตามธรรมดาผู้ที่จะเป็นผู้นำทุกคน.....จะต้องเป็น

    "นักคิด"..คือ คิดด้วยหลักเหตุผลอย่างหนึ่ง...และ..ด้วยอารมณ์ของความต้อง

    การอย่างหนึ่ง..ไม่เช่นนั้นจะเป็นผู้ที่นำใครไม่ได้

    .....................และความคิดของผู้นำต้องคิดใน.."ลักษณะที่ยิ่งใหญ่และเป็น

    ประโยขน์แก่ตนเองและพวกพ้องมากที่สุด"

    .....................ยุ่นยีมองว่า "ขุนนางใหญ่ขณะนี้คิดทำการด้วยอารมณ์แห่ง

    ความต้องการ..หาได้มองเหตุผลไม่ คือ คิดเพียงสองอย่าง กำจัดฝ่ายราชวงศ์

    พม่าหรือตะละแม่อย่างหนึ่ง กับ ขับไล่กองทัพอังกฤษอีกอย่างหนึ่ง"

    ......................ขุนนางใหญ่เร่งที่จะกำจัดตะละแม่ก่อนเป็นอันดับแรก..เพื่อนำ

    กำลังของตะละแม่มาเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังขุนนางใหญ่...แต่ขุนนางใหญ่หารู้

    ไม่ว่า ถ้าเขาทำเช่นนั้นเขาจะล้มเหลว...ด้วยพวกของตะละแม่เมื่อสิ้นตะละแม่เมื่อ

    ใด...เขาจะยิ่งทวีความโกรธแค้นขึ้นมา..และไม่รวมกำลังกับขุนนางใหญ่แน่นอน..

    โดยจะต่อต้านขุนนางใหญ่อย่างสุดฤทธิ์

    ....................ยุ่นยีมองขวดแก้วทรงมะม่วงและคิดว่า "ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการ

    มันเพื่อนำไปเปิดประตูถ้ำกลไกเพื่อนำทรัพย์สมบัติออกมาเพื่อซื้ออาวุธทันสมัยและ

    จ้างกำลังผู้คน..พร้อมกับนำมันมาตั้งตนเป็นใหญ่...ความจริงขวดใบนี้มีความ

    หมายน้อยมากกว่าการร่วมกำลังสองฝ่ายเข้าด้วยกัน...เพราะเพียงเท่านี้ก็

    สามารถขับไล่กองกำลังอังกฤษได้อย่างง่ายดาย...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265.JPG
      IMG_2265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      30
    • IMG_2237.JPG
      IMG_2237.JPG
      ขนาดไฟล์:
      17.1 KB
      เปิดดู:
      168
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ยามดึกยุ่นยีเดินฝ่าความหนาวเย็นออกไปดูที่ยอดปราสาทไม้สัก

    เห็นแสงไฟส่องอยู่ภายใน..เขาคิดว่า"ตะละแม่ยังไม่หลับ"

    ....................ยุ่นยีกลับเข้ามาในห้องโดยปิดประตูสนิท พร้อมกับคลี่ผ้าขาวที่เขาให้

    ที่หม่องเขียนภาษาพม่าให้ดู..โดยใช้อุบายว่า "เขาเรียนแต่ภาษามอญ เขาเขียน

    ภาษาพม่าไม่ได้"

    ....................ยุ่นยีให้ทีหม่องเขียนคำว่า "รวมสองเป็นหนึ่ง ขับไล่อังกฤษ" และนำ

    มาให้เขาก่อนที่เขาจะกลับเข้ามาที่ห้องพัก

    ....................ยุ่นยีเขียนข้อความดังกล่าวโดยคัดลอกตัวหนังสือของทีหม่องจนได้ข้อ

    ความดังกล่าวทุกตัวอักษร..........ลงบนผ้าขาวที่เขาฉีกออกเป็นผ้าเช็ดหน้าเล็ก ๆ

    จำนวนหลายผืน...

    ....................ดึกสงัดยุ่นยีค่อย ๆแง้มประตูออก..และเดินไปที่คลังอาวุธ..และลักลอบ

    นำลูกธนูจำนวนมากที่เก็บรักษาไว้ ซึ่งเป็นลูกธนูของทหารขุนนางใหญ่และทหารของตะละ

    แม่ที่ยิงใส่กันและดึงออกมาจากศพ..โดยยังไม่ได้ล้างคราบเลือดใด ๆออกเลย...

    ....................ยุ่นยีนำมันกลับมาที่ห้องพัก...และนำผ้าที่เขียนข้อความไว้จำนวนหลาย

    ผืน..ผูกเข้ากับท้ายลูกแต่ละดอก..ดอกละหนึ่งผืน ..และนำลูกธนูที่ผูกผ้าห่อใส่ผ้าขาว

    ผืนใหญ่บางส่วน และใส่กระบอกลูกธนูสะพายหลังบางส่วน

    ....................ต่อจากนั้น..ยุ่นยีได้หยิบดินสอสีออกมาและตรงไปที่ฝากระดานกั้น

    ห้อง......และเขาได้เขียนรูปภาพขึ้นอย่างละเอียด

    ....................โดยภาพแรก ...ยุ่นยีได้วาดรูปของเขา...ขณะที่นั่งอยู่บนหลังม้า

    สีนิล....ซึ่งม้ากำลังยืนอยู่บนยอดเขาสูง..และแหงนมองดวงอาทิตย์ขณะที่อยู่ตรง

    เหนือหัวของเขา...และได้แสดงจุดดับบนดวงอาทิตย์...ในมือของเขาได้ถือขวด

    แก้วทรงมะม่วงเอาไว้..............................ยุ่นยีได้บรรยายด้วยตัวหนังสือ

    สยามซึ่งนอกจากตะละแม่ซึ่งเคยรู้ภาษาสยาม..คงไม่มีใครในหมู่บ้านอ่านออก

    .....................ยุ่นยีเขียนถ้อยคำว่า "บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์" ไว้ใต้ภาพนั้น

    .....................และเขียนภาพที่สอง.....เป็นภาพของเขาขณะที่นั่งอยู่บนหลังม้า

    สีนิล...ที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูง...และกำลังมองทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ไพศาลออกไป

    ไกลเบื้องหน้า...โดยที่มือถือขวดแก้วทรงมะม่วงไว้..........................และ

    เขียนตัวหนังสือสยามใต้ภาพนั้นด้วยถ้อยคำว่า "การครอบครองยึดถืออะไรด้วย

    มือมันช่างได้น้อยสิ่งนักเหมือนกับที่ข้าถือได้เพียงขวดใบนี้....แต่การครอบครอง

    ยึดถืออะไรด้วยสายตา ข้าสามารถครอบครองมันได้เท่าที่สายตาของข้าจะมองไป

    ได้ไกลแสนไกล..โดยไม่ต้องแย่งชิงกับผู้ใด"

    ....................ยุ่นยีตั้งใจจะถ่ายทอด"ความรู้สึกจากปรัชญาของเขาให้กับตะละ

    แม่..และบอกใบ้ว่าเขาคือ "บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์"ลูกของนาง..อีกทั้งทิ้งปริศนา

    ให้เห็นว่า "แม้แต่ดวงอาทิตย์ซึ่งมีแสงสว่างทั้งดวงยังมีจุดมืดดับอยู่ในดวงนั้น ..

    หากเราไม่ใช้สายตาจ้องมองให้เห็นก็จะไม่มีวันเห็นจุดดับของดวงอาทิตย์..เพราะ

    ดวงอาทิตย์ใช้แสงสว่างอำพราง"จุดมืดดับ..หรือ..จุดอ่อน..หรือ..ปมด้อย"ของ

    ตนเองเอาไว้........เปรียบกองทัพอังกฤษเป็นดวงอาทิตย์ กองทัพอังกฤษก็ต้องมี

    จุดมืดบอดในตนเองเหมือนกัน เช่น ไม่รู้จักภูมิประเทศของพม่า เป็นต้น... "ตะละ

    แม่ควรเอาชนะพวกเขาด้วยสิ่งที่เขาไม่รู้"

    .....................ต่อมายุ่นยีได้เขียนภาพที่สาม..เป็นเรื่องของเยยุ่นขณะที่ควบม้า

    อยู่บนดินแดนเมื่อน่านฝั่งตะวันออก..แล้วถูกเอหม่องกับพวกใช้อาวุธปืนยิงจนตก

    ม้า...โดยไม่ได้เขียนอักษรใดอธิบายไว้ ด้วยเรื่องราวในภาพมีความหมายของการ

    ถูกกระทำอย่างชัดเจนแล้ว

    .....................ภาพที่สี่ต่อมาเป็นภาพของยุ่นยีกำลังประคองเยยุ่นขณะที่สิ้น

    ชีวิตอยู่ในอ้อมอกเขา..และเยยุ่นได้ส่งกระบอกไม้ให้เขาถือไว้

    .....................ภาพที่ห้าเป็นภาพสุดท้ายที่เขาได้เขียนไว้ คือ สถานที่ฝังศพ

    ของเยยุ่นบริเวณสวนหลังบ้านของขุนทัพ โดยมีป้ายสดุดีที่ขุนทัพสั่งให้เขียนคำ

    ว่า"เยยุ่น ผู้ซื่อสัตย์" ปักไว้บนหลุมศพของเยยุ่น...เพื่อสดุดีในความจงรักภักดี

    ของเยยุ่นที่มีต่อตะละแม่หรือนายของเขา...

    ......................โดยสามภาพท้ายนั้นยุ่นยีไม่ได้เขียนคำอธิบายใดด้วยหนังสือ

    สยามเอาไว้..ด้วยความหมายตามภาพนั้นชัดเจนอยู่ในตัว...ยุ่นยีต้องการสื่อให้

    ตะละแม่และทีหม่องกับอันยารู้ว่า ........."เขาได้พบกับเยยุ่นแล้ว..และพบเห็น

    เหตุการณ์ที่เยยุ่นถูกยิง...และเขาเป็นคนประคองร่างของเยยุ่นขณะที่ส่งกระบอก

    ไม้ใส่หนังสือของตะละแม่ให้แก่เขา........และเยยุ่นได้สิ้นใจในอ้อมอกเขา........

    พร้อมทั้งแจ้งสถานที่ฝั่งศพของเยยุ่นให้รู้ในภาพด้วย.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265.JPG
      IMG_2265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      28
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................หลังจากที่เขียนภาพเสร็จราวประมาณตีสองของวันใหม่..ยุ่นยีได้

    สะพายขวดแก้วทรงมะม่วงและคันธนูของเขา..พร้อมกับสะพายกระบอกใส่ลูกธนูกับห่อผ้า

    ที่ใส่ลูกธนูที่ได้ผูกผ้าเช็ดหน้าที่เขาเขียนอักษร"รวมสองเป็นหนึ่ง ขับไล่อังกฤษ" และ

    เดินไปที่ม้าสีนิลแก้เชือกออกจากหลัก

    .....................เขาหันไปมองบนยอดปราสาทพบว่า บัดนี้ไม่มีแสงไฟอยู่แล้ว ทำให้

    รู้ว่าตะละแม่ได้หลับนอนไปแล้ว "เขารู้สึกว้าเหว่เดียวดายเหมือนอยู่ในโลกเพียงผู้

    เดียวในยามนี้"

    .....................สายลมหนาวปะทะร่างของเขาจนหนาวสั่นเย็นยะเยือกและรู้สึก

    หนาวสุดขั้วหัวใจ

    .....................เขารำลึกถึงวันที่เขาพบหน้าแม่ของเขา..และรับรู้ว่าความ

    จริง.."แม่รักและเมตตาเขาอยู่ตลอดเวลา"........."เขาชิงชังแม่ด้วยเข้าใจผิด"...

    .....................บัดนี้ เขาได้รับรู้สิ่งที่เขาอาภัพมาตลอด คือ "ความรักของแม่"

    และ "ความรักของเขาที่มีต่อแม่"...ซึ่งเขาไม่เคยรับรู้...หรือ...สัมผัสมาตลอดจน

    เติบใหญ่........เขารู้จักมันแล้ว...แม้ว่าต่อไปเขา"อาจจะไม่พบหรือสัมผัสมันอีก"..

    แต่มันจะอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดไป(ความทรงจำของฉันเพื่อเธอ)

    ......................ยุ่นยีรู้สึกอาลัยอาวรณ์แม่ของเขา..จนความรู้สึกมันไปกระแทก

    หัวใจที่เข้มแข็งของเขาให้อ่อนโยนลง.........จนบีบขั้นหยาดน้ำตาเล็ก ๆ ออกมา

    จากดวงตาของเขา...... "ลาก่อนตะละแม่ราชาวดี...ลาก่อนแม่สายฝน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองหรือยุ่นยีหลังจากรำพึงรำพันร่ำลาแม่ของเขา...เขาได้ควบ

    ม้าฝ่าความหนาวและความมืดออกไปไกลจากปราสาทไม้สักลุ่มน้ำสาละวินและหมู่บ้าน

    ทันที...โดยตรงไปที่แม่น้ำสาละวินและได้ใช้ขวดแก้วทรงมะม่วงใบนั้นแยกซีกออกใส่

    น้ำจากแม่น้ำสาละวินทันที น้ำที่เขาเคยลิ้มลองรสชาดของมันตั้งแต่จำความได้

    และได้ควบม้าต่อไป โดยไม่ได้มีทิศทางมุ่งหน้ากลับไปเมืองน่าน

    ....................ยุ่นยีบัดนี้คงไม่มีใครเรียกชื่อนี้อีกแล้ว ....นอกจากชื่อเดิมของ

    เขา.."เมือง มีสุข"

    ....................เมืองควบม้าตลุยไปยังเมืองแปร ร่างกุ้ง หงสาวดี ตองอู อังวะ ฯลฯ และ

    เมืองใหญ่ที่สำคัญของพม่าอีกหลายเมืองใช้เวลาหลายวันกว่าจะครบ...เขาตรวจตราดูใน

    จุดที่ไม่มีกองกำลังอังกฤษอยู่...เขาจะยิงลูกธนูที่มีผ้าผูกไว้เข้าไปยังหมู่บ้าน และ

    เมืองต่าง ๆ ...เพื่อให้ผู้คนที่พบเห็นเก็บมันและนำไปให้ขุนนางใหญ่ซึ่งส่องสุม

    กำลังไว้อยู่ที่เมืองร่างกุ้ง อันเป็นเมืองหลวงของพม่าต่อจากอังวะ..........เพื่อ

    บอก..."ปริศนาในผ้าผืนนั้น".....ให้แก่ขุนนางใหญ่ได้ขบคิด...ให้ได้ความจริง

    ตามเขา

    ....................เมื่อเสร็จภาระกิจ เมืองจึงได้ควบม้ามุ่งสู่แดนสยามเมืองน่าน

    ทันที ..โดยเขาเลือกใช้เส้นทางเลาะมาทาง......เมืองลาวและเข้ามาทาง......


    "ห้วยโก๋น"...คงไม่ต้องอธิบายต่อว่า ..."เขาจะต้องพบกับใคร".....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2011
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .........ตอนที่ 59 อนุสรณ์ความทรงจำของลูกแม่......


    ....................เช้าวันรุ่งขึ้นที่ปราสาทไม้สักลุ่มน้ำสาละวิน ตะละแม่ให้คนไปบอก

    สมิงญาให้ตามยุ่นยีมาพบที่ปราสาทเพื่อฟังคำตอบ..

    ....................สมิงญาได้ให้ทีหม่องไปดูยุ่นยีที่ห้องพัก...ทันทีที่ทีหม่องเปิดประตู

    เข้าไปในห้องพักของยุ่นยีก็พบแต่ความว่างเปล่า..คงเหลือให้เห็นเพียงภาพ 5

    ภาพที่ฝาผนังห้องที่ยุ่นยีเขียนภาพไว้เท่านั้น...

    ....................ทีหม่องตกใจมากและได้พิจารณาความหมายของภาพตาม

    ลำดับ..เขาเข้าใจได้ทันทีว่า "ยุ่นยีกำลังบอกว่า ..เยยุ่นพ่อของเขาได้ตายไปแล้ว

    ในเมืองน่าน...โดยมีตำแหน่งหลุมศพแสดงไว้"....แต่เขาไม่เข้าใจตัวหนังสือสยาม

    ที่ยุ่นยีเขียนไว้..อีกทั้งตัวหนังสือที่ปรากฎบนป้ายบนหลุมศพพ่อของเขาว่ามันมี

    ความหมายว่าอะไร....

    ....................ทีหม่องมีสีหน้าเศร้าสลดลงทันที .......เขารีบไปบอกอันยาและ

    สมิงญาให้เชิญตะละแม่มาที่ห้องพักของยุ่นยีโดยเร็ว

    ....................ตะละแม่ได้มาที่ห้องพักของยุ่นยีพร้อมคนสนิท...และได้เห็นภาพ

    ที่ยุ่นยีเขียนไว้ที่ฝาผนังตามที่ทีหม่องบอก..ตะละแม่เดินเข้าไปใกล้ ๆภาพเหล่านั้น

    แล้วยืนมองอย่างสงบนิ่ง...นางพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็รับรู้และเข้าใจความหมาย

    ของภาพเหล่านั้น...."น้ำตาแห่งความปลื้มปิติและระคนกับความเสียใจอย่างสุดซึ้ง

    ได้เอ่อล้นท่วมดวงตาทั้งสองข้างของนาง.......จนไหลรินออกมาที่แก้มเป็นสายน้ำ

    เล็ก ๆ

    .....................เหตุการณ์เมื่อวันวานทุกเหตุการณ์ที่นางเห็นย่นยีซึ่งถือว่า "เป็น

    ภาพแห่งความทรงจำที่สวยงามในจิตใจของนางได้ผุดขึ้นมาจากความทรงจำของ

    นาง..ตามมาให้นางรำลึกถึงทันที"

    .....................ทั้งภาพของยุ่นยีแสดงการควบม้าและควบม้าทรงตัวบนกำแพง

    รอบปราสาทไม้สัก....ภาพที่ยุ่นยีได้ฝ่าอันตรายควบม้าไล่ยิงทหารของขุนนาง

    ใหญ่และตรงเข้ามาหานางพร้อมกับฉุดดึงนางขึ้นมาไว้ที่อ้อมอกของเขาบนหลัง

    ม้า..และสั่งให้นางกอดเขาไว้ให้แน่น...มันช่างเป็นภาพที่ให้ความสุขและความ

    อบอุ่นแก่นางเป็นอย่างยิ่ง..เพราะนางซึ่งเป็นแม่ได้สัมผัสและอยู่ในอ้อมอกลูกของ

    นางเอง...และนางก็ได้กอดเขาไว้แนบแน่น.....ภาพของยุ่นยีได้พูดกับนางและชี้

    แนะบางอย่าง..ทุกคำพูดของเขายังคงก้องอยู่ในความทรงจำของนาง....

    ....................นางรำพึงรำพันด้วยเสียงสะอื้นขึ้นอย่างแผ่วเบา

    ............................"ยุ่นยี..เจ้าคือ เมืองลูกชายของแม่..เจ้าคือบุรุษผู้สู้กับดวง

    อาทิตย์..ภาพวาดและตัวอักษรที่เจ้าเขียนขึ้น...แม่เข้าใจความหมายของเจ้าทั้ง

    หมด...เจ้าอุตส่าห์เดินทางจากเมืองน่านมาหาแม่..แล้วเจ้าก็จากแม่ไป....เยยุ่นผู้

    ซื้อสัตย์ขอท่านจงสู่สรวงสวรรค์เทอญ"

    ............................"ตะละแม่" เสียงสมิงญาเรียกนางจากด้านหลัง นางรีบ

    ปาดน้ำตาจนแห้งแล้วหันหลังกลับด้วยท่าทีที่ขึงขังพลางเอ่ยถาม

    ............................"มีอะไรหรือสมิงญา"

    ............................"ทหารที่ดูแลคลังอาวุธแจ้งว่า ลูกธนูที่เก็บมาจากศพเมื่อ

    วานนี้จำนวนมากถูกขโมยไป"

    .....................นางหยุดนิ่งและคิด พร้อมกับขณะที่นางกำลังก้มหน้าคิด

    ว่า"ใครคือขโมย" ..นางก็เหลือบไปเห็น "ลูกธนูดอกหนึ่งตกอยู่ที่พื้นห้องของยุ่น

    ยี..โดยลักษณะพิเศษของลูกธนูดอกนั้นยังมีคราบเลือดแห้งติดอยู่และมีผ้าขาวผูก

    ไว้ที่ด้านท้ายของลูกธนู"..ตะละแม่จึงบอกให้ทีหม่องเก็บลูกธนูจากพื้นห้องขึ้นมาดู

    และแก้ผ้าขาวที่ผูกไว้ท้ายลูกธนูออกดู...

    ....................ทีหม่องทำตามคำสั่งและเมื่อทีหม่องแก้ผ้าออกคลี่ดูก็พบข้อความ

    ที่เขาได้เขียนให้ยุ่นยีดู แต่ ข้อความนี้ไม่ใช่ลายมือของทีหม่อง แต่มันเป็นลายมือ

    ของยุ่นยี..ทีหม่องอ่านข้อความขึ้นอย่างดังพร้อมอธิบาย

    ..........................."รวมสองเป็นหนึ่ง ขับไล่อังกฤษ...ตะละแม่มันคือข้อความ

    ที่ยุ่นยีวานให้ข้าน้อยเขียนให้ยุ่นยีไว้...และนี่ยุ่นยีคงลอกข้อความที่ข้าน้อยเขียน

    ไว้ให้..ยุ่นยีไม่รู้ภาษาพม่า"

    ....................ตะละแม่ได้ฟังคำของทีหม่อง..นางได้แย้มยิ้มน้อย ๆแล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"ข้ารู้ว่ายุ่นยีกำลังจะทำอะไร...เขานำผ้าผูกติดกับลูกธนู

    แล้วเขาต้องมุ่งตรงไปเมืองร่างกุ้งที่ขุนนางใหญ่อยู่ แล้วยิงลูกธนูพวกนี้แจ้งให้ขุน

    นางใหญ่ทราบ เพื่อให้ขุนนางใหญ่ขบคิดในแนวทางใหม่ที่ยุ่นยีวางไว้"

    ............................"ตะละแม่ข้าน้อยขอไถ่ถาม" ทีหม่องเอ่ย..ด้วยอันยาที่อยู่

    ใกล้ตัวเขาได้สะกิดให้ทีหม่องถาม

    ............................"มีอะไรหรือทีหม่อง"

    ............................"ภาพที่ปรากฎบุรุษผู้มองดวงอาทิตย์และอีก 3 ภาพ คือ

    ยุ่นยีใช่ไหม แล้วทำไมพ่อของข้าตามภาพถึงมาสิ้นใจที่อ้อมอกของยุ่นยี...ตัว

    อักษรที่ปรากฎอยู่ถ้าข้าน้อยเดาไม่ผิดมันคือภาษาสยามใช่ไหม..มันมีความหมาย

    ว่ากระไร ตะละแม่ช่วยอธิบายให้ข้าน้อยฟังด้วย"

    ............................"ใช่...บุรุษที่อยู่ในภาพคือ ยุ่นยี..แต่ความจริงยุ่นยี คือ

    เมือง มีสุข ลูกของข้าที่ข้ามอบหมายให้ท่านเยยุ่นพ่อของเจ้าไปรับกลับมา..เขามา

    เพื่อแจ้งข่าวพ่อของเจ้า..จึงปลอมตัวและปลอมชื่อมาที่หมู่บ้านนี้

    .............................ส่วนอักษรสยามนั้นยุ่นยีเขียนว่า "บุรุษผู้สู้กับดวง

    อาทิตย์" และ "การครอบครองยึดถืออะไรด้วยมือมันช่างได้น้อยสิ่งนักเหมือนที่ข้า

    ถือได้เพียงขวดใบนี้..แต่การครอบครองยึดถืออะไรด้วยสายตา ข้าสามารถครอบ

    ครองมันได้เท่าที่สายตาของข้าจะมองไปได้ไกลแสนไกลโดยไม่ต้องแย่งชิงกับผู้

    ใด"..และอักษรที่อยู่บนหลุมศพของพ่อเจ้าคือ "เยยุ่นผู้ซื่อสัตย์"..

    ............................ส่วนพ่อของเจ้าถูกพวกเอหม่องสังหาร และยุ่นยีหรือเมือง

    ได้พบและช่วยเหลือไว้ แต่เยยุ่นพ่อของเจ้าก็สิ้นใจตาย"

    .....................ทีหม่องและอันยาได้ฟังถึงกับสงบนิ่ง ด้วยหนึ่งพ่อของเขาได้รับ

    เกียรติและยกย่องจากผู้ที่รู้เรื่องราวและทำพิธีฝังศพ....สองคำพูดของยุ่นยีหรือ

    เมืองช่างเป็นคำพูดที่เปรียบเทียบให้เห็นภาพลักษณะการครอบครองสิ่งของได้

    ชัดเจน...ว่าการครอบครองที่ได้มากคือการใช้สายตา..เขาเป็นคนที่น่านับถือมาก

    สมกับคำว่า "บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์"

    ....................ตะละแม่สั่งสมิงญากับพวกให้ใช้เลื่อย ๆ ตัดเสาห้องพักที่ยุ่นยีเคย

    พักอยู่ออกทั้งหมด...แล้วให้ช่วยยกห้องของยุ่นยีทั้งห้องย้ายไปไว้ในเขตกำแพง

    ปราสาท...ใกล้กับปราสาทไม้สัก...เพื่อเวลาที่นางคิดถึงลูกของนางก็จะเข้ามาดู

    ภาพที่เขาเขียนติดไว้ที่ผนังห้องนี้ ..เพราะมันคือ"ความทรงจำของนางที่มีต่อยุ่นยี

    หรือเมืองลูกของนาง"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 19032010456.jpg
      19032010456.jpg
      ขนาดไฟล์:
      404.9 KB
      เปิดดู:
      27
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2011
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................กล่าวถึงฝ่ายขุนนางใหญ่...หลังจากได้รับรายงานจากทหารม้าเร็วว่า

    กองกำลังทหารที่ส่งไปถล่มหมู่บ้านปราสาทไม้สักลุ่มน้ำสาละวินเพื่อให้สั่งหารตะละ

    แม่ราชาวดีล้มเหลว..เนื่องจากมีบุรุษไม่ปรากฎนามที่มีฝีมือการขี่ม้าและยิงธนูเป็น

    เลิศ..ได้ขี่ม้าโจนทะยานเข้ามาในท่ามกลางการต่อสู้อย่างบ้าบิ่น และใช้ธนูยิง

    ทหารฝ่ายขุนนางใหญ่จนแตกกระเจิง...พร้อมกับฉุดดึงตัวตะละแม่ขึ้นบนหลังม้า

    หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว......

    ....................และขณะที่ทหารม้าเร็วกำลังรายงานอยู่...พวกทหารประจำเมืองร่างกุ้ง

    เมืองแปร ตองอูและหงสาวดีที่เป็นฝ่ายขุนนางใหญ่ก็ได้"นำลูกธนูจำนวนมากที่ผูกติด

    ปลายผ้าสีขาวไว้ โดยผ้าผืนนั้นมีตัวหนังสือเขียนว่า....."รวมสองเป็นหนึ่ง ขับไล่

    อังกฤษ"นำมาให้ขุนนางใหญ่ดู

    ....................ขุนนางใหญ่ไต่ถามถึงเหตการณ์ที่มาของลูกธนูพวกนี้ ก็ได้ความ

    ว่า"บุรุษที่ขี่ม้าสีดำควบม้าอย่างเร็ว และยิงลูกธนูพวกนี้ออกมาเป็นจำนวนมาก...พวกเหล่า

    ทหารต่างก็เก็บมาบ้าง...ชาวบ้านเก็บมาให้บ้าง...หัวหน้านายทหารจึงเก็บรวบรวมมาให้ขุน

    นางใหญ่พิจารณาดูว่า "เป็นการกระทำของผู้ใดและมีจุดหมายอันใด"

    ....................ในขณะที่ขุนนางใหญ่กำลังพิจารณาพฤติการณ์อยู่ ได้สอบถามทหาร

    ม้าเร็วถึงแซงคากับพรรคพวกที่เอหม่องได้ส่งให้มาขอกำลังอีกส่วนหนึ่ง...เพื่อนำกำลังไป

    สมทบกับเอหม่องที่เมืองน่านฝั่งตะวันออกเขตแดนสยาม..ซึ่งขุนนางใหญ่ได้ส่งกองกำลัง

    ไปอีกจำนวนมากติดตามแซงคาไป

    .....................ขุนนางใหญ่ได้สอบถามทหารม้าเร็ว..ทหารม้าเร็วได้รายงานกลับมาว่า

    "แซงคาได้นำกองกำลังไปถึงที่หมายนานแล้ว..ซึ่งเป็นขณะเดียวกับที่....เมืองได้พบเห็น

    กองกำลังจำนวนมากเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้ในเวลาต่อมา....ที่เขาเดินทางกลับ

    เมืองน่าน...โดยผ่านเมืองลาวและเข้าเส้นทาง"ห้วยโก๋น".

    .....................ขุนนางใหญ่เมื่อเห็นอักษรในผ้าขาว...และได้พิจารณาจนได้ความก็

    แย้มยิ้มออกด้วยความพอใจ..และได้เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ

    ............................."ตะละแม่เอ๋ย..ข้าไม่รู้ว่าผู้ใดคิดการให้ท่าน...แต่เป้า

    หมายของข้าอยู่ที่ขวดแก้วทรงมะม่วงลูกนั้นมากกว่า..เพราะมันจะทำให้ข้าได้ขึ้น

    เป็นกษัตริย์ที่ยิงใหญ่เหนือแดนแห่งนี้...ข้าจะรวมกำลังกับพวกเจ้า....และเมื่อขับ

    ไล่กองกำลังอังกฤษพ้นแดนเมื่อใด..พร้อมกับข้าได้ครอบครองขวดแก้วใบนั้น..

    ชีวิตของเจ้ากับลูกชาย..ข้าจะสังหารทันที"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .............ตอนที่ 57 ความรักบนดอยของสาย.........


    ....................ดอกฝิ่นกำลังแรกแย้มบานเต็มพื้นกว้างบริเวณที่ราบสูงเชิงดอย

    ไล่ขึ้นไปบนดอย..ที่เชื่อมต่อพื้นที่หลายดอยสลับกันไปมา...มันมีสีขาวสวยงาม

    ตระการตา...ใครจะรู้ว่าสิ่งนี้ "มันมีคุณและโทษปะปนกัน" ..แต่ในสมัยรัฐบาลหนึ่ง

    ของ"ประเทศสยาม"จนเปลี่ยนนามใหม่ว่า"ประเทศไทย".........ทุกรัฐบาลจนถึง

    รัฐบาลในปัจจุบัน..."มันคือยาเสพติดให้โทษ" ที่จะต้องทำลายมัน

    ....................แต่ในสมัยของ เมือง มีสุข มันคือ สิ่งที่ให้คุณประโยชน์แก่ชาว

    เขาหลายเผ่าอย่างมากมาย....

    ....................บุรุษร่างเล็กสันทัดแข็งแรงว่องไวปราดเปรียว..กำลังควบม้าจากดิน

    แดนภาคกลางของเมืองน่านฝั่งตะวันออก...เข้าสู่แดนฝิ่นของชาวดอยขณะนี้...เขามอง

    ความสวยงามของทุ่งฝิ่นอย่างชื่นชม...จนทำให้ใจที่กระตือรือล้นที่จะตามหา"กัมพู"สงบ

    ลง....โดยหารู้ไม่ว่ากัมพูนั้นมุกซึ่งรับหน้าที่ตามหาปลัดเมือง..แต่ได้พบกัมพูโดยบังเอิญ

    และส่งกลับเมืองน่านฝั่งตะวันตกเรียบร้อยแล้ว...เขาคือ "สาย"ผู้รับหน้าที่ค้นหากัมพู

    และนำพากัมพูกลับฝั่งเมืองน่านตะวันตก...

    ....................ก็ทบทวนความทรงจำอีกครั้งว่า "สาย" เป็นลูกชายของ"ลุงใจ" ทหารที่

    เคยอยู่ด่านแม่สายเช่นเดียวกับ "ขุนทัพ" "ลุงแก้ว" "ลุงเงิน" และ "ลุงชอบ" .............

    ....................ลุงแก้วพ่อของบุบผา...,..ลุงเงินพ่อของบุญแทน..และ ....ลุงชอบพ่อ

    ของมุก....

    ....................สายเป็นคนใจร้อน.จึงทำอะไรได้ว่องไวมาก...สาวยรังเกลียดคนที่ข่ม

    เหงคน หรืออันธพาล....สมัยเด็กเขามีเรื่องชกต่อยต่อสู้บ่อยครั้งจนมีบาดแผลเป็นติดตัว..

    โดยเฉพาะที่หางคิ้วซ้าย...เขามีส่วนสูงต่ำกว่าเมืองและบุญแทน...ความสูงเขาไล่เลี่ยกับ

    มุก....ใครก็ตามที่มีแววจะมาก่อกวนหรือหาเรื่องในระหว่างพวกเขา...สายจะเป็นคนเริ่ม

    ถลุงกำปั้นเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามก่อนเสียทุกครั้ง...เรียกว่าเขาคือ "มวยจังหวะหนึ่ง"ที่ได้

    เปรียบคู่ต่อสู้ทุกประตู..และเขาก็คือ "ผู้ชนะ"...จนบางครั้งเมืองและพรรคพวกแทบ

    ไม่ต้องลงมือใด ๆ..นอกจากนั่งดูสายไล่ถลุงฝ่ายตรงข้ามกลุ่มใหญ่เสียฝ่ายเดียวทั้งที่พวก

    นั้นมีคนมากกว่า...สายมีสายตาที่ไวมาก ฉะนั้นเรื่องบู๊แบบล้างผลาญจึงต้องยกให้สาย...

    สายไม่เคยนึกชอบสาวคนไหนในหมู่บ้าน เขาจึงยังไม่เคยรักใคร........ แต่เมื่อมาถึง

    ดอยแห่งนี้.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2011
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................สายมองผ่านไปบนดอยสูง..ก็เห็นกลุ่มชาวเขาหลายคนกำลังเก็บลูก

    ฝิ่นใส่กระบุงขนาดย่อมที่พวกเขาสะพายหลังอยู่ลิบ ๆ ..ชาวเขากลุ่มนี้ที่สายเห็น คือ "ชาว

    เขาเผ่ามูเซอ"ผู้ที่ล้วนเป็นสหายของเมือง มีสุข....

    .....................สายเห็นดังนั้น..เขาจึงชักม้าเดินขึ้นไปบนดอยอย่างช้า ๆ เพื่อออม

    กำลังม้าที่วิ่งมาอย่างยาวนาน...จนมาถึงที่หมาย...สายยกกระเป๋าน้ำที่สะพายอยู่ขึ้นดื่มก็

    พบว่า"มันหมดเกลี้ยง"....เขามองไล่ไปตามชาวเขาที่เก็บฝิ่นที่บางคนก็สนใจการมาของ

    เขา....แต่บางคนก็ไม่ใส่ใจ

    .....................แต่คนที่อยู่ใกล้สุด คือ "คนที่ถูกเลือก" ..สายลงจากหลังม้าพร้อม

    กับจูงม้าไปใกล้ ๆ สาวมูเซอซึ่งกำลังก้มหน้าตัดลูกฝิ่นออกจากต้นอยู่

    ............................."นี่เจ้า..ขอน้ำให้ข้ากินดับกระหายหน่อยเถอะ"

    .....................มูเซอสาวเงยหน้าขึ้น ..ใบหน้าของนางขาวสอาด คิ้วดกดำ มีลักยิ้มที่

    แก้ม จมูกเรียว รูปหน้าสวยน่ารักรับกับทรงผมสั้น....แม้จะโพกผ้าไว้แต่ก็เป็นที่สังเกตได้ว่า

    นางผมสั้นผิดกับสาวมูเซออื่น...

    .....................มูเซอสาวมองบุรุษแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน..และมาอยู่ใกล้นาง

    ตั้งแต่เมื่อไรอย่างฉงนที่จู่ ๆ ก็มาขอน้ำดื่ม..แต่ก็ส่งถุงน้ำที่ผูกไว้กับเอวให้...

    .....................สายรับถุงน้ำจากนางมาได้..ก็ยกดื่มอย่างกระหายโดยไม่สนใจที่จะ

    เหลือน้ำให้แก่เจ้าของ..แล้วจึงส่งคืน

    .....................มูเซอสาวรับถุงน้ำมาถือ..ก็ให้รู้ว่า "น้ำในถุงถูกชายแปลกหน้าดื่มจน

    หมด" ......จึงรู้สึกไม่พอใจพร้อมกับปลดกระบุงที่ใส่ลูกฝิ่นที่ผูกไว้ด้านหลังออกวางลง...

    พร้อมกับมองถลึงตาใส่สายอย่างไม่พอใจเจ้าแขกแปลกหน้า..ที่ไม่รู้จักกาละเทศะ

    กินน้ำไม่ยอมเหลือให้เจ้าของ..พร้อมกับเอ่ยต่อว่า

    ............................"นี่ นี่ นี่สูเจ้ากินน้ำของข้าหมดเลยหรือ"

    ....................สายเห็นกริยาท่าทางของนาง...ในช่วงที่โกรธก็ยังดูน่ารักอยู่...เขาได้

    แต่หัวเราะแล้วยิ้มแหย ๆ อย่างรับผิดพลางเอ่ยขึ้น

    ............................"ก็ข้าหิวและกระหายมันมาก..อย่างถือสาเลย..พวกเจ้ารู้

    แหล่งน้ำอยู่ที่ใด ...เจ้าสามารถหามันได้อีก..แต่ข้าเป็นแขกมาเยือนไม่รู้"

    ............................"สูเจ้านี่มันแย่จริง ๆ..เจ้าเป็นผู้ขอแต่ไม่รู้จักประมาณ ข้า

    เห็นเจ้าดื่มข้าก็เกิดอยากน้ำขึ้นมาพอดี..ข้าก็หิวเหมือนกันนะ...เพราะฉะนั้นโน่น

    ทางลาดซ้ายมือของเจ้ามันคือลำห้วยน้ำ..จากนี่ไปหนึ่งกิโลแม้ว..เจ้าไปตักมาให้

    ข้าเร็ว"

    ....................มูเซอสาวพูดพร้อมกับส่งถุงน้ำให้สาย...ขณะที่มูเซอสาวกำลังอยู่

    ในอารมณ์ไม่พอใจ..แม้ไม่มากนักในขณะประจันหน้ากับสาย..ก็มีเสียงเรียกมาจากด้าน

    หลังแว่ว ๆ

    ............................"จาโอ..เจ้ากำลังทะเลาะกับผู้ใดอยู่" มันคิดเสียงขอนะจา

    ที่ส่งเสียงเรียกเพื่อนสาวผู้เอาแต่ใจตนเอง...ทำให้สายรู้จักชื่อนางทันที

    ............................"ก็เจ้าหนุ่มคิ้วบาก ผู้มาเยือนเรานี่ไง" จาโอเรียกตำหนิ

    แผลเป็นที่คิ้วของสายด้วยไม่รู้จักชื่อ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................นะจามองไปยังผู้ถูกเอ่ยถึง..ก็ให้สงสัยว่า"เขาคือใคร"ที่มาเยือน

    บนดอยฝิ่นของมูเซอแห่งนี้....พลางเดินตรงเข้าไปหาแล้วเอ่ยถาม

    ............................"สูเจ้ามาจากที่ใด"

    ............................"ข้ามาจากหมู่บ้านริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก"

    ....................นะจาสะกิดใจตรงที่ริมแม่น้ำน่าน..ที่เมืองผู้ที่ตนหลงรักเคยบอกว่า

    "เขาอยู่ที่นั่น"...แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่า "สายจะมาจากที่เดียวกับเมืองหรือไม่" จึงย้อนถาม

    กลับไป

    ............................"แล้วสูเจ้ามาทำไม"

    ............................"ข้ามาตามหาคนตัวต่ำผิวขาวรูปร่างเล็กกว่าข้าเล็กน้อย..เจ้า

    เคยเห็นเขาผ่านมาทางนี้ไหม" สายหมายถึงกัมพู ทำให้นะจารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่

    "รูปร่างที่ชายแปลกหน้าเอ่ยถึงไม่ใช่ลักษณะของเมือง มีสุข"..... คนที่เพิ่งไปจากนางไม่

    นานแล้วสัญญาว่าจะกลับมาที่นี่อีก..พร้อมกับบอกว่าจะมี "เพื่อนของเขามาถามหา

    เขาบนดอยแห่งนี้...จงอย่าบอกกับเพื่อนของเขาว่า...เมืองไปไหน"

    ............................"ไม่มีคนลักษณะที่เจ้าถามถึงผ่านมาบนดอยแห่งนี้ เจ้าเพิ่งเคย

    มาที่นี่ครั้งแรกหรือ"

    ............................"ถูกต้องแม่นาง...พื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านมันกว้างมาก

    เกินกว่าข้าจะไปได้ทั่วถึง"

    ............................"เจ้ามาเหน็ดเหนื่อย..ไปเยือนที่เผ่าของข้าก่อนไหม"

    ............................"เผ่าของแม่นางอยู่ที่ใด"

    ............................"ข้ามเขาลูกโน่นไปคือถิ่นเราเผ่ามูเซอ"

    ....................สายมองตามนิ้วมือที่นะจาชี้ไป..ก็ให้รู้สึกท้อใจเพราะคงต้องเดินทางอีก

    ไกล...แต่ด้วยความหิวเป็นใหญ่ คิดว่า "สาวเผ่ามูเซอคงไม่ปล่อยให้แขกผู้มาเยือนอด

    ตาย"...โดยเฉพาะมูเซอสาวคนแรกที่ส่งน้ำให้ดื่ม...และยังโกรธตนเองอยู่ที่ดื่มน้ำ

    นางหมด......แต่สายก็รอบสังเกตว่า...."นางได้ดื่มน้ำจากสาวมูเซอคนหลังจนดู

    อารมณ์ดีขึ้นแล้ว"...สายจึงจ้องมองนางอย่างทะเล้นปนยั่วยวนแล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"จาโอ..แล้วเจ้าจะยอมให้ข้าไปที่เผ่าของเจ้าไหม"

    .....................เสียงเรียกชื่อตนทำให้จาโอแปลกใจว่า "เจ้าหนุ่มแปลกหน้ารู้ชื่อ

    ได้อย่างไร" แต่ก็คิดได้ว่าเมื่อกี้นะจาเรียกชื่อตนอยู่เขาคงได้ยิน..และเริ่มมี

    อารมณ์ขันในใจในความทะเล้นของสาย

    ............................"ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกชื่อข้า..คนบ้าหน้าทะเล้น"

    ............................"ถ้าไม่เรียกชื่อเจ้า..แล้วจะพูดกับเจ้ารู้เรื่องรึ"

    ............................"สูเจ้ามีแรงไปไหว เจ้าก็ไป..แต่อย่ามาขอน้ำข้าดื่มอีก..ข้าไม่

    ให้แล้ว"

    ............................."ข้าขอแม่นางคนนี้ก็ได้..ไม่ต้องง้อเจ้า"

    ....................เสียงโต้เถียงของสายกับจาโอเป็นไปได้สักพักหนึ่ง...ทำให้นะจารู้สึกขัน

    อยู่ในใจ..แล้วรู้สึกวางใจสายได้ในระดับหนึ่ง..จึงเดินทางนำหน้า และสายก็จูงม้าเดิน

    ตามหลังมากับจาโอ...สายพลางเอ่ยแนะนำตัว

    ............................"ข้าชื่อสาย..แต่ในพวกพ้องของข้ายอมรับว่า ..ข้ามาเร็ว

    ก่อนชื่อ..ไม่เคยมาสายแม้แต่ครั้งเดียว"

    ............................"แต่ถ้าเป็นตอนนี้ ข้าเชื่อว่า เจ้าต้องไปถึงเผ่าเราสายสม

    ชื่อแน่"

    .....................สายหัวเราะด้วยพอใจกับคำหยอกย้อนของจาโอ

    ............................"เจ้ารู้ไหม..สาวสวยน่ารักที่เดินนำหน้าคือใคร" จาโอเอ่ย

    เมื่อเห็นนะจาเดินนำห่างไปไกล

    ............................"ข้าจะรู้ได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าไม่เคยแนะนำข้า"

    ............................"นางคือ นะจา น้องของลีเจง .........ลูกของหัวหน้าเผ่า

    อองซอน"

    ............................"แล้วเจ้าไม่รู้หรือว่า.........เจ้าก็สวยน่ารักไม่น้อยกว่า

    เพื่อนเจ้า" สายเอ่ยชมพร้อมกับยิ้มและจ้องมองด้วยรู้สึกสนใจจาโอ...จน

    จาโอสาววัยสิบหกถึงกับขวยเขินจนหน้าแดงด้วยถูกใจคำของสาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2011
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ณ ลานกว้างของหมู่บ้านเผ่ามูเซอ ลีเจงกำลังฝึกซ้อมชาวเขาเผ่า

    ของตนและเผ่าต่าง ๆ ที่พ่อเฒ้าอองซอนได้ขอให้หัวหน้าเผ่าต่าง ๆ คัดเลือกคนของตนมา

    เพื่อรวบรวมเป็นกำลังสนับสนุนให้เมืองนำไปขับไล่กองกำลังพม่าที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ในฝั่ง

    ตะวันออก.....ชาวเขาแต่ละเผ่าแต่ละคนถูกคัดเลือกมามีร่างกายที่กำยไขงแรง...แต่ยัง

    ขาดความพร้อมเพรียงในการเรียนรู้สัญญาณที่ใช้ในการซุ่มโจมตี..พร้อมกับทักษะการใช้

    อาวุธที่พร้อมเพรียงกัน..ซึ่งลีเจงต้องฝึกให้เจนจัดกันทุกคน....

    .....................ในความจริงแล้ว ...เมืองยังไม่ได้แจ้งให้ลีเจงรวมพลกันเมื่อไร..แต่

    เพราะลีเจงห่วงเรื่องความพร้อมและการฝึกเรื่องความเจนจัดในการต่อสู้..เขาจึงเชิญชาว

    เขาแต่ละเผ่าที่จะไปร่วมต่อสู้มาแลกเปลี่ยนทักษะการต่อสู้และการฝึกอาวุธกัน...........

    เผ่ากระเหรี่ยง เผ่าแม้ว เผ่าอีก้อ เผ่าเหย้า เผ่าม้ง เผ่าลีซอ มีทั้งผู้ชำนาญการยิงหน้าไม้

    ธนู เป่าลูกดอกอาบยาพิษหรือยางน่อง อีกทั้งยิงกระสุนด้วยคันกระสุน....

    .....................นะจาและจาโอพาสายเดินเข้าหมู่บ้านเผ่ามูเซอ..ซึ่งต้องผ่านลานฝึก

    กองกำลังชาวเขาดังกล่าว..สายรู้สึกแปลกใจและเริ่มเฉลียวใจบางอย่างที่"...ทำไม

    ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ มาร่วมกันฝึกอาวุธที่เผ่ามูเซอนี้"...ความเป็นนักต่อสู้ของสาย

    ทำให้เขารับรู้อาการหรือกลิ่นแปลก ๆว่า "สงครามกำลังจะเกิด"..แต่ไม่รู้ว่า

    สงครามจะเกิดที่ไหน เมื่อไร อย่างไร...

    .....................อาการของสายมีสีหน้ากังวลจนจาโอที่เดินอยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็น

    จึงเอ่ยถาม

    ............................"เจ้าเป็นอะไรไปหรือ คุยอยู่ดี ๆ กลับเคร่งขรึม"

    ............................"ไม่มีอะไรหรอกจาโอ..ข้าเพียงแต่ปวดเมื่อยตามตัว..คง

    เป็นเพราะเดินทางมาไกล" สายตอบเบี่ยงเบน

    ............................"จริงซิ เจ้ามาไกลโข แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าจะพบกัมพูเพื่อน

    เจ้าไหม" สายได้บอกเรื่องกัมพูกับจาโอว่า ......เป็นคนที่กำลังตามหาด้วย

    พลัดหลงกัน

    ............................"ข้าหามาหลายวันแล้วยังไม่มีวี่แวว"

    .....................สายตอบจาโอเพื่ออำพรางการคิดอ่านของตนขณะนี้...ด้วยตนเองเป็น

    เจ้าหน้าที่ของฝั่งตะวันออกอยู่..เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ที่ลีเจงฝึกผู้คนเช่นนี้..ก็ให้

    คิดถึงเรื่อง "การแบ่งแยกดินแดนสยาม" บางทีชาวเขาพวกนี้อาจรวมตัวกัน..เพื่อ

    แบ่งแยกการปกครองออกจากเมืองน่าน..ซึ่งเขาเป็นเจ้าหน้าที่มีหน้าที่ต้องป้องกัน

    เหตุร้ายนั้น....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...