พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    ขอให้ทุกคนทั้งโลกถึงนิพพานกันหมด เห็นแจ้งรู้จริง สำเร็จมรรคผลกันหมดโดยไวพลันด้วยเถิด จะได้หมดทุกข์หมดโสรกหมดเวรหมดกรรมกันเสียที จะได้ไม่ต้องมีใครเจออะไรอีก ไม่ต้องมีใครเจ็บ ใครทุกข์ ใครทรมาน ใครเสียสละเพื่อใคร จะได้จบๆ สาธุๆๆๆ


    นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ
     
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .
    ............ครับเป็น"คำพร"ที่เป็นมงคลอย่างยิ่งครับ...

    อนุโมทนากับท่านด้วยครับ.......
     
  3. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    เช่นกันครับ สหายธรรม ที่ต้องใช้คำนี้ เพราะผมถือว่าชวพุทธศาสนิกชนทุกคนเป็นสหายธรรมหมด เพราะได้เกิดมาได้เจอทางพระศาสดา เป็นชาวพุทธ เป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปนิพพาน แต่ละคนมีทางของตัวเอง จะสั้นจะยาว จะใกล้ไกลอุปสรรคต่างๆไม่เหมือนกันแต่ท้ายสุดแล้วซักวันทุกคนจะต้องถึงเช่นกันหมด พยายามให้สังคมนี้หมุนด้วยคำสอน ให้พระพุทธศาสนาวนเวียนในสังคม ให้หมุนต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน อย่าทำให้มันจางหาย ถึงแม้ว่าซักวันมันต้องดับไป แต่เราก็จะยืดเยื้อให้ธรรมะเป็นสมบัติตกไปรุ่นลูกรุ่นหลาน ให้นานที่สุด เพื่อแบ่งเบาภาระให้พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไป พระพุทธศาสนาจะมั่นคงแค่ไหนก็อยู่ที่เราพุทธศาสนิกชน เปรียบเสมือนผู้ดูและปกป้องพระพุทธศาสนา เพื่อช่วยให้ธรรมของพระศาสดา ธรรมที่เป็นความจริงตกทอดไปสู้รุ่นต่อๆไป จะมั่นคงแค่ไหนก็อยู่ที่เราพุทธศาสนิกชน ธรรมะนี้เป็นสมบัติเดียวที่พระศาสดาทิ้งไว้ให้ และมีค่ายิ่งนัก แต่มันกำลังจะจางหายแล้ว เพราะพ่อแม่ทำแต่งาน ไม่เคยนำธรรมะมาสู่มาสอนไม่ว่างพาลูกเต้าเข้าวัด พาเข้าวัดก็ไปแค่ใส่บาตร แต่ไม่เคยพาไปฟังธรรมนำพารู้ไปรู้จักธณรมะและความจริงสัจธรรม ทำให้คนรุ่นหลังติดเพื่อนติดเทคโนโลยีต่างๆ ยาเสพติด ล้วนทำให้ห่างคำสอนของพระศาสดาทั้งนั้น และเมื่อเด็กในยุคที่ขาดธณรมะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่อนาคตจะเป็นเช่นใด บ้านเมืองจะเป็นเช่นใด เรานี้จะช่วยกันยังไงได้บ้าง ผมห่วงเรื่องนี้มากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2011
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...............เป็นถ้อยคำที่แสดงให้เห็นความเป็นจริงในโลก

    ปัจจุบันเป็นอย่างยิ่งครับ..ในส่วนของผมจะนำ"ธรรมล้วน ๆ"มา

    แสดง...โดยเขียนให้เห็นตรง ๆ....บางครั้งต้องพิจารณาถึง

    สภาวะแวดล้อมในปัจจุบันว่ามี"แนวโน้ม"ไปทิศทางใด..เหมือน

    เราต้องเอาข้อธรรมเรื่องของ"สัปปุริสธรรม 7 อย่าง..."ในข้อ

    "ปริสัญญุตา" คือ "ความเป็นผู้รู้จักประชุมชนและกริยาที่จะต้อง

    ประพฤติต่อประชุมชนนั้น ๆ ว่า คนหมู่นี้เมื่อเข้าไปหา จะต้องทำ

    กิริยาอย่างนี้ จะต้องพูดอย่างนี้ ....จะต้องเขียนอย่างนี้ในห้อง

    พุทธภูมินี้ เป็นต้น"

    ...............มีการวิเคราะห์ว่า "การเล่าเรื่องเป็นเรื่องเป็นราว"

    ให้ความทรงจำแก่ผู้อ่านได้ดี...และหากผู้อ่านมีอารมณ์สุขใจ

    เมื่ออ่านเรื่องราว"จะเป็นเรื่องที่ประทับอยู่ในความทรงจำของ

    เขา"

    ...............ผมจึงนำเสนอโดยเขียนเป็นเรื่องเป็นราว..อิง

    สภาวะแวดล้อมที่ปรากฎ...ต่อพวกเรา...มาตั้งแต่อดีตจนถึง

    ปัจจุบัน....ให้มีการขบคิดเทียบเคียงกับ"ธรรม"ต่าง ๆ และนำ

    เสนอเรื่องทาง "ปรัชญา".."ประวัติศาสตร์ลงไป " ...ซึ่งผู้อ่าน

    จะค่อย ๆรู้สึกได้ขบคิดไปตลอดที่นำเสนอครับ

    ...............เป็นการไม่ได้เขียนข้อธรรมตรง ๆ..เพราะเห็นว่ามี

    ท่านอื่นเขียนนำเสนอมามากแล้วครับ.....
     
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....ต่อ"ตอนที่ 55 ความเป็นหญิงของมุก"ครับ....


    ............................"เฮ้ย..เจ้ามาชกต่อยข้าทำไม..ข้าไปทำอะไรให้เจ้า"

    ....................แต่มุกก็ไม่ยอมหยุด พลางเดินเข้าหาชกต่อยกัมพูอย่างโกรธ

    แค้น ปากก็พูดว่า

    ............................"เจ้าตัวยุ่งยาก..เจ้าตัวยุ่งยาก"

    .....................มุกชกต่อยกัมพู จนกัมพูรู้สึกโมโห จึงชกสวนมุกไปที่คางหนึ่งหมัด..

    แต่มุกก็หลบได้ทัน...ด้วยตนเองเป็นมวยมาจากลุงชอบพ่อของตนที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี..

    มุกหลบพร้อมกับประเคนแข้งขวาเข้าใส่กัมพูที่สีข้าง...

    .....................กัมพูเห็นท่าสู้ไม่ได้แต่ทันใดก็คิดวิธีที่จะหยุด"เจ้าหนุ่มหน้าสวย"นี้

    ได้ และไวเท่ากับความคิด...กัมพูวิ่งเข้าหามุกอย่างประชิดตัวแล้วกอดรัดมุกทาง

    ด้านหน้า..ทำให้ลำตัวด้านหน้าของมุกกับกัมพูติดกัน...มุกเมื่อถูกรัดจึงไม่มีโอกาส

    ออกหมัดหรือเตะได้..เพราะกัมพูได้รัดแล้วยกตัวมุกให้สูงขึ้น..ในที่สุดก็ล้มลงทั้งคู่

    โดยที่กัมพูยังรัดมุกอยู่...

    ....................ในขณะที่กัมพูรัดมุกอยู่นี้...เขาเริ่มรู้สึกว่า"เจ้าผู้ชายหน้าสวยคน

    นี้ สรีระและเนื้อหนังมังสามันนุ่มนิ่มผิดกับผู้ชาย...ด้วยสรีระและเนื้อหนังของสตรี

    แตกต่างจากเพศชายโดยสิ้น....และสิ่งที่ทำให้กัมพูกระจ่างตา..ก็เมื่อใบหน้าของ

    เขาไปชนเข้ากับผ้ารัดหน้าอกของสตรี.....ที่มุกรัดไว้อย่างเหนียวแน่นตรงบริเวณ

    หน้าอก.....กัมพูจึงรู้ทันทีว่ามุก คือ "ผู้หญิงแต่งตัวเป็นชาย" เขาจึงปล่อยตัวมุก

    และไม่คิดจะสู้ต่อ....

    ....................มุกเมื่อถูกปล่อยจากวงรัดของกัมพูออกมา..ก็โกรธจนหน้าแดง

    พลางเอ่ยขึ้นอย่างลืมตัว

    ............................"หนอยแน่ะ..เจ้าเตี้ยแตะอั๋งข้าเหรอ"

    ....................พร้อมกับชกต่อยกัมพูอีกชุดใหญ่ กัมพูจึงเอ่ยขึ้นอย่างขอร้อง

    กับมุกด้วยอาการเหนื่อยหอบ...

    ............................"พอแล้ว...พอแล้ว...ข้ายอมแล้ว..ข้ายอมแล้ว"

    .....................ในที่สุดมุกก็หยุดทำร้ายกัมพู พร้อมกับนั่งลงหอบอยู่ข้างกัมพู

    กัมพูพยายามสูดอากาศเข้าปอดให้เต็มที่ เพื่อให้คลายหอบ แล้วจึงถามไถ่

    มุกอย่างแผ่วเบา...

    ............................"เจ้ามาชกต่อยข้าอย่างโกรธแค้น..มันเรื่องอะไรกัน..ลอง

    เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ"

    ............................"ไม่ได้..เจ้าต้องบอกข้ามาก่อนว่า..พวกเจ้ามาทำอะไรที่

    ฝั่งตะวันออก..โดยเฉพาะเจ้ากำลังทำอะไร"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2011
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ทั้งที่เรื่องที่กัมพูทำหน้าที่อยู่เป็นความลับ แต่เขาก็ไม่อยากโกหก

    มุก ด้วยมีความรู้สึกดี ๆบางอย่างที่มีต่อมุกเกิดขึ้นกับเขา..เขาจึงเอ่ยเล่าตาม

    ความเป็นจริง..

    ............................"เมืองน่านถูกแยกเป็นสองฝั่ง..การไปมาหาสู่กันไม่สะดวก..ขุน

    แสงพ่อปลัดปักษ์จึงเสนอให้สร้างสะพานข้ามแม่น้ำน่าน....เพื่อเชื่อมต่อระหว่างฝั่งตะวัน

    ตกกับฝั่งตะวันออก......แต่ปรากฎว่าเงินภาษีที่พวกเราสองฝั่งเก็บอยู่ไม่เพียงพอที่จะนำ

    มาสร้างสะพาน..โดยเฉพาะฝั่งของเจ้าที่เก็บภาษีได้น้อย...ขุนแสงจึงสงสัยว่าพวกเจ้าจะ

    ยักยอกเงินภาษี...โดยเฉพาะขุนทัพและปลัดเมืองที่ดูมีฐานะกว่าผู้ใด...เจ้าเมืองไม่เชื่อว่า

    พวกเจ้าจะยักยอกภาษี..แต่ก็อดสงสัยความมีฐานะของขุนทัพไม่ได้..จึงส่งพวกข้าสามคน

    มาสืบ....แต่ปลัดปักษ์เห็นว่าข้าเป็นคนพูดมาก..เกรงจะพูดจนพวกเจ้าจับพิรุธได้...จึงใช้

    งานข้าให้แยกมาทำงานที่ไม่ต้องพูด..คือ ตรวจตราทำแผนที่ฝั่งตะวันออกชนิดที่ละเอียดที่

    สุด..เพื่อศึกษาพื้นที่..และกำหนดการสร้างสะพานขึ้นแนวใด"

    ....................มุกนั่งฟังนิ่งและส่ายหน้าอย่างช้า ๆ พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"แสดงว่าเจ้าอยู่ที่ฝั่งตะวันออกนี้มาโดยตลอด และไม่เคยได้

    ข่าวคราวใด ๆเลย"

    ............................"ใช่"

    ....................มุกนั่งก้มหน้าแล้วเอ่ย อย่างแผ่วเบาเป็นคล้ายเชิงปลอบใจ

    ............................."เจ้ากลับฝั่งตะวันตกเถิด หยุดงานของเจ้าได้แล้ว ข้าจะ

    พาเจ้าไปส่งเอง"

    ............................."ข้ายังทำหน้าที่ไม่เสร็จสิ้นเลย..ขอข้าอยู่ต่อเถอะ..เหลือ

    งานเพียงเล็กน้อยเอง"

    ....................มุกรู้สึกสลดใจว่า "เขาควรบอกข่าวร้ายที่บุญมีเพื่อนของกัมพูเสีย

    ชีวิตไปแล้วหรือไม่ ..หรือให้กัมพูกลับไปรู้เรื่องที่ฝั่งตะวันตกเอง"...แต่แล้วเขาก็

    ตัดสินใจว่า..."ควรอธิบายให้กัมพูรู้เรื่องไปเลยเสียดีกว่า..เพื่อกัมพูจะได้ไปแจงให้

    เจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกทราบ"

    ............................"กัมพู..เจ้าฟังข้าให้ดีนะ..ข้าจะบอกเจ้าโดยละเอียดเหมือนที่

    เจ้าบอกข้า..ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกนี้...ทำงานร่วมกับ ขุนทัพ ปลัดเมือง และพวก

    เพื่อนของข้าอีกหลายคน....ข้าไม่เคยไปฝั่งตะวันตกของเจ้า...ข้าจึงไม่รู้จักเจ้าเหมือนสาย

    ที่ไปส่งภาษีที่จวนเจ้าเมืองบ่อยครั้ง...พวกเจ้ามาที่ฝั่งของข้าโดยไม่รู้ว่าที่ใดคือ ที่

    ปลอดภัยที่ใดคือที่ที่อันตราย......เจ้าควรมาสอบถามพวกข้าก่อน...เจ้าตรวจตราทำ

    แผนที่คนเดียวคงเหนื่อยไม่หยอกข้อนี้ข้าเห็นใจเจ้า เพราะพื้นที่ฝั่งตะวันออกกว้างจนไป

    ติดเขตแดนเมืองลาว เจ้ารู้ไหมว่าปลัดปักษ์กับบุญมีกลับไปฝั่งตะวันตกแล้ว...และต่อมา

    บุญมีได้ย้อนกลับมาตามเจ้าด้วยห่วงใยเจ้าเกรงว่าจะมีภัย....แต่เขาก็มาถูกฆ่าตายไปเสีย

    แล้วที่ฝั่งตะวันออกนี้ ข้าจึงโกรธเจ้าที่เจ้าไม่ยอมกลับฝั่งตะวันตกจนเกิดเรื่องราวใหญ่โต"
     
  7. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    สาธุ อนุโมทนากับเจตนาดีของท่านสิ่งดีสิ่งนี้จะติดตัวท่านไปคราบเขานิพพาน อนุโมทนาด้วยครับ
     
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................พอมุกเอ่ยคำว่า "บุญมีมาถูกฆ่าตายไปเสียแล้ว"..กัมพูก็ถึงกับ

    ตกตะลึงช็อคไปชั่วขณะ..และมีสีหน้าเศร้าสลดลง....ด้วยเขากับบุญมีนั้น คือ

    เพื่อนที่เติบโตมาด้วยกัน..จนมุกต้องหยุดพูดพลางเอามือมาลูบประคองที่หลัง

    กัมพูด้วยความสงสาร กัมพูจึงเอ่ยถาม

    ............................"บุญมีตายได้อย่างไร"

    ....................มุกนิ่งอึ้งด้วยปลัดเมืองเคยกำชับว่า "อย่าให้เจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกรู้

    เป็นอันขาดว่า มีกองกำลังจากพม่าบุกเข้ามาในพื้นที่ฝั่งตะวันออก"....ซึ่งมันก็

    ต้องรวมไปถึงเรื่องการตายของบุญมีที่จะบอกให้รู้ไม่ได้ว่า "เขาถูกพม่าฆ่าตาย"

    ดังนั้นมุกจึงเบี่ยงเบนความจริง...

    ............................"มีพวกโจรป่าบุกเข้ามาในพื้นที่เรา..แล้วพบบุญมีจึงได้ฆ่า

    เขาเสีย...แต่มันมีปัญหาตรงที่ลูกธนูของปลัดเมืองดอกหนึ่งมันถูกปักที่หน้าอกของ

    บุญมี...ทำให้ปลัดปักษ์สงสัยว่าปลัดเมืองเป็นคนฆ่า..เขาจึงกำลังตามจับปลัด

    เมืองอยู่...ข้าจึงต้องตามหาเขาเพื่อให้เขาหลบหนีไปก่อน....ในส่วนของขุนทัพได้

    ให้สายตามหาเจ้าอยู่เพื่อช่วยเจ้ากลับฝั่งตะวันตก แต่เพราะเจ้าคงมีวาสนากับ

    ข้า...ข้าจึงมาพบเจ้าก่อนสาย..ดังนั้น..ข้าจะส่งเจ้ากลับฝั่งตะวันตกเอง....ส่วน

    เรื่องคนที่ฆ่าบุญมีขุนทัพกับปลัดเมืองกำลังตามล่ามันอยู่ เจ้าและเจ้าหน้าที่ฝั่ง

    ตะวันตกไม่ต้องเป็นห่วง เพราะพวกข้าชำนาญพื้นที่ที่นี่ดีกว่าพวกเจ้า"

    ............................"ตกลงข้าจะกลับฝั่งตะวันตกกับเจ้า" กัมพูเอ่ยอย่าง

    เศร้าสลด

    ............................"นี่ก็เย็นมากแล้ว คืนนี้ข้ากับเจ้าคงต้องพักกันที่นี่...แล้ว

    พรุ่งนี้เช้าเราออกเดินทางกัน"




    .....................ภายในเต็นท์ของกัมพูยามดึก...มุกเข้านอนในเต็นท์ของกัมพู..

    โดยนอนห่างกันกับกัมพูราว 1 วา. ..โดยมุกหันหน้าไปทางกัมพูนอนอยู่ ..ส่วนกัมพูก็หัน

    หน้าไปทางมุกนอนอยู่....

    .....................กัมพูนอนไม่หลับ ด้วยคิดว่า "ตนเป็นสาเหตุที่ทำให้บุญมีมาตามเขา..

    และได้พบจุดจบลงบนพื้นที่ฝั่งตะวันออก..จึงมีความเศร้าสลดใจมาก"

    .....................ในขณะที่มุกเองก็คิดว่า "กัมพูคงเศร้าโศกอยู่ จึงรู้สึกสงสาร และ คิดว่า

    เขาจะต้องส่งกัมพูกลับฝั่งตะวันตกให้เร็วไว..เพื่อเขาจะได้กลับมาติดตามหาปลัดเมือง

    ต่อ....ไม่รู้ว่าขณะนี้ปลัดเมืองอยู่ที่ใด...เพราะมุกนั้นทั้งรักและเป็นห่วงปลัดเมืองมาก

    แต่ไม่เข้าใจว่าตนเอง"รักเมืองเช่นใด"

    ....................ดวงจันทร์เริ่มขึ้นทอแสง สาดส่องมาที่ลำห้วยทำให้เห็น ประกาย

    ระยิบระยับบนผิวน้ำ...เงาของดวงจันทร์ภายในน้ำช่วงสวยสดงดงามเหลือเกิน..

    ยามที่สายลมพัดผิวน้ำจนเป็นคลื่นน้อย ๆ ทำให้ดูเงาดวงจันทร์ในน้ำ..เหมือน

    กับ"กำลังเต้นระบำพลิ้วไปมา"....แต่ทั้งดวงจันทร์จริง และ ดวงจันทร์ในน้ำ ใคร

    ฤาจะจับดวงจันทร์นั้นได้..นอกจากได้แต่เพียงมองเท่านั้น...

    .....................มุกละสายตาจากเงาดวงจันทร์ในลำห้วยหันมามองหน้ากัมพู..ก็เห็น

    เขาลืมตาจ้องมองเขาอยู่...มุกและกัมพูประสานสายตากันอย่างสงบนิ่ง..โดยไม่

    พูดอะไร...

    .....................แต่ภายในใจของกัมพูนั้นกลับมีเสียงโอดครวญเข้ามาในความ

    รู้สึกว่า..... "มุกเจ้าเป็นผู้หญิงที่มีน้ำใจและมีความอารีย์อ่อนโยนซ่อนอยู่...ความ

    เป็นชายปลอมของเจ้าก็ดูสมจริงเหลือเกิน...หมัดของเจ้าแต่ละหมัดที่ต่อยข้า.มันก็

    หนักเอาการดีเหลือเกิน...ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าต้องแต่งตัวเป็นชาย..หรือว่า"เจ้า

    มีใจรักผู้หญิง อยากได้ผู้หญิงเป็นคู่ครองของเจ้าหรือ"..."

    ....................กัมพูมองหน้ามุกและคิดไปเรื่อยเปื่อย..และสุดท้ายของการคิด

    ก่อนที่เขาจะหลับไป..กัมพูก็เห็น "รอยยิ้มของมุกขณะที่เขากำลังจะหลับ และเขาก็

    ยิ้มตอบมุกเช่นกัน"....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2011
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เช้าวันใหม่ มุกและกัมพูเก็บข้าวของ.งและขึ้นมาควบออกไปจากริม

    ห้วย..มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก..เพื่อข้ามแม่น้ำน่านไปยังที่ตั้งเมืองน่าน..เป้าหมายคือ

    "จวนเจ้าเมือง"

    ....................การมุ่งตรงเดินทางอย่างมีเป้าหมายโดยไม่หยุดพัก..ทำให้ยามบ่ายสี่

    โมงพวกเขาทั้งคู่ก็ถึงริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก...และพากันขึ้นแพขนาดใหญ่ข้ามฝากไป

    ยังฝั่งตะวันตก..เมื่อข้ามฝากแล้วกัมพูก็เป็นผู้นำทางแทนมุก..ด้วยมุกนั้นไม่เคยข้ามาฝั่ง

    ตะวันตกเลย...

    ....................กัมพูควบม้ามาถึงจวนเจ้าเมืองน่าน เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าจวนอยู่ต่างดีใจ..

    และรีบไปรายงานท่านเจ้าเมืองทันที...เจ้าเมืองเร่งให้เจ้าหน้าที่ไปตามกัมพูกับชายแปลก

    หน้า..ที่ตามกัมพูมา..เข้ามาพบ...

    ....................เมื่อกัมพูมาพบเจ้าเมือง..เขาจึงได้แนะนำมุกให้รู้จักท่านเจ้าเมือง...และ

    บอกแก่ท่านเจ้าเมืองว่า มุกเป็นเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกเป็นคนใต้บังคับบัญชาของขุนทัพ

    และปลัดเมือง...แต่เจ้าเมืองผู้ชาญฉลาดมองพิจารณามุกแว้บเดียว ......ก็ให้รู้ว่า

    "เขาเป็นหญิงปลอมตัวเป็นชาย"

    ....................เจ้าเมืองน่านได้เอ่ยถามกัมพูและงานที่เขาทำ

    ............................"ปลัดปักษ์แจ้งว่า..เขาเป็นคนสั่งให้เจ้าแยกไปทำงานตรวจตรา

    ทำแผนที่ และเจ้าทำงานได้ไปถึงไหน..และพบเห็นสิ่งใดผิดปกติบ้าง"

    ............................"ข้าน้อยทำงานตรวจตราทำแผนที่จวนเสร็จสิ้นแล้ว..เหลือเพียง

    แค่คำนวณร่างรูปแผนที่สังเขปมาแสดงเท่านั้นเอง..ในพื้นที่ฝั่งตะวันออก..ข้าน้อยไม่พบ

    สิ่งใดผิดปกติขอรับใต้เท้า"

    .....................เจ้าเมืองพยักหน้า แล้วหันไปทางมุกพร้อมเอ่ยขึ้น

    ............................"ปลัดปักษ์ได้เข้าไปในพื้นที่ของพวกเจ้าเพื่อตามหาปลัดเมือง

    และกัมพู...แต่ข้าคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติในฝั่งของพวกเจ้าอยู่..และในส่วนของ

    บุญมีที่เสียชีวิต เจ้ามีคำตอบแทนปลัดเมืองหรือเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกไหม"

    .....................มุกรู้สึกตื่นเต้นที่พบเจ้าเมืองน่านเป็นครั้งแรก..และจะต้องอธิบาย

    รายงานต่อผู้บังคับบัญชาสูงสุดแทนพวกพ้องของตนเองเป็นครั้งแรกเช่นกัน...จึงประหม่า

    พูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง...แล้วจึงเอ่ยเมื่อข่มอาการประหม่าตื่นเต้นลงได้

    ............................"ขอรับใต้เท้า..ตอนพบศพบุญมีถูกลูกธนูของปลัดเมืองปักที่

    ศพ..ปลัดเมืองและพวกข้าน้อยได้ตรวจศพดู....แล้วปลัดเมืองได้รีบเร่งเพื่อคนหาตัวคน

    ร้าย...ข้าน้อยจึงได้ควบม้าติดตามปลัดเมืองไป.........ปลัดเมืองพาไปดูจุดที่ปลัดเมือง

    ยิงลูกธนูของเขาทิ้งไว้ที่ต้นฝรั่ง...และบอกว่า คนเลี้ยงวัวอยู่บริเวณนั้นสามารถยืนยัน

    ได้ว่า ลูกธนูดอกนั้นปลัดเมืองยิงทิ้งไว้ที่ต้นฝรั่ง และไม่ได้ดึงออกไป..แต่เมื่อไปถึง

    ต้นฝรั่งก็หาได้มีลูกธนูของปลัดเมืองปักไว้ไม่...ปลัดเมืองเชื่อว่ามีคนร้ายดึงลูกธนู

    ดอกนั้นออกไป....ปลัดเมืองพาข้าน้อยไปค้นหาตรวจตราก็พบว่า มีโจรป่ากลุ่ม

    หนึ่งลอบตั้งค่ายพักเพื่อก่อการร้ายอยู่ในพื้นที่ฝั่งเรา..ดูท่าจะลอบเข้าพื้นที่เรามา

    ทางเมืองลาว...และเชื่อว่าโจรป่าพวกนั้นน่าจะฆ่าบุญมีโดยใช้ลูกธนูของปลัด

    เมืองดอกนั้น.....ปลัดเมืองจึงให้ข้ามาส่งข่าวขุนทัพกับพวกให้ไปขับไล่โจรป่า..

    ส่วนปลัดเมืองจะล่อหลอกต่อสู้หยั่งเชิงกับพวกมัน...ข้าน้อยจึงรีบไปตามขุนทัพมา

    ขับไล่พวกมัน..แต่ปรากฎว่าพวกมันหนีไปแล้ว...โดยไม่พบปลัดเมืองเช่นกัน...ขุน

    ทัพได้แจ้งว่าต้องตามปลัดเมืองมาพบใต้เท้า...ส่วนขุนทัพกับพวกจะจัดการพวก

    โจรป่าเอง...โดยอย่ารบกวนคนของเจ้าหน้าทีฝั่งตะวันตกนะขอรับ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 019.jpg
      019.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.2 KB
      เปิดดู:
      26
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2011
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ชายชราร่างเล็กหน้าผากย่นด้วยสูงอายุ..อันมีตำแหน่งเป็น "เจ้า

    เมืองน่าน"ผู้ชาญฉลาดและเป็นนักคิดผู้สุขุมลุ่มลึก..พิจารณาตรองดูคำพูดและ

    อาการของมุกก็ให้รู้สึกว่า "คำพูดของมุกมีทั้งส่วนจริงและไม่จริง"..จึงเอ่ยรำพึง

    รำพันให้ทั้งสองได้ยิน...

    ............................"โจรป่ารึ..ถ้าเช่นนั้นขุนทัพกับพวกเจ้า..จัดการกับพวก

    เหล่านั้นได้ไหม..หากข้าจะมีคำสั่งเรียกกองกำลังของฝั่งตะวันตกที่ไปยังฝั่งตะวัน

    ออกกลับมาที่ตั้ง"

    ............................"ข้าน้อยเห็นว่า ขุนทัพกับพวกข้าน้อยจะจัดการได้ขอรับ"

    ....................เจ้าเมืองเพียงใช้คำถามลองเชิง...และเมื่อฟังมุกตอบ.."ก็เรื่ม

    สงสัยบางอย่าง..ที่มุกด่วนสรุปในทันทีว่า "ขุนทัพกับพวกสามารถจัดการโจรป่า

    ได้..และมีท่าทีเห็นชอบในทันทีทันใดที่จะเรียกกองกำลังฝั่งตะวันตกกลับมาฐานที่

    ตั้ง"......"เหมือนว่าพวกเขากำลังจะปิดบังอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้เจ้าหน้าที่

    หรือกองกำลังฝั่งตะวันตกรู้ ที่น่าคิดก็คือ "โจรป่าพวกนั้นเป็นใครกัน".."

    .....................เจ้าเมืองน่านพิจารณาแล้วคิดว่า "ควรจะเรียกกองกำลังกลับ

    ฐานที่ตั้งฝั่งตะวันตก..ด้วยไว้ใจขุนทัพส่วนหนึ่งว่า...โจรป่าจะเป็นใครก็ช่างที่พวก

    เขาปกปิด..ขอให้โอกาสพวกขุนทัพทำเรื่องแก้ตัว..เพื่อรักษาความสงบให้เมือง

    น่านก็พอ"....

    .....................คิดได้ดังนั้นแล้ว...เจ้าเมืองน่านจึงได้เขียนหนังสือถึงปลัดปักษ์

    และมอบให้มุกนำไปให้ปลัดปักษ์โดยมีคำสั่งให้กลับฝั่งตะวันตกโดยเร็วโดยระบุ

    ว่า"กัมพูได้กลับมาแล้ว..และเชื่อแน่ว่าปลัดเมืองมิใช่ผู้ฆ่าบุญมี..เรื่องที่พวกเรา

    สงสัยว่า..จะมีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้นให้งดสืบไว้ก่อน..ปล่อยให้ผู้รับผิดชอบฝั่งตะวัน

    ออกจัดการกันเอง"......และได้สั่งให้มุกนำหนังสืออีกฉบับส่งให้ขุนทัพความ

    ว่า..."เมื่อจัดการโจรป่าเสร็จสิ้นให้มารายงานเหตุการณ์"

    ....................เจ้าเมืองน่านไม่เคยเฉลียวใจว่า "จะมีกองกำลังจากพม่าบุกเข้า

    มาโดยผ่านดินแดนของเมืองลาวมาที่ฝั่งตะวันออกของเมืองน่าน....หากเป็นเช่น

    นั้น..เจ้าเมืองน่านจะต้องรายงานเข้าเมืองหลวงทันที...ด้วยเป็นข้อตกลงใหญ่ที่อยู่

    ในสัญญา..ระหว่างอังกฤษกับพม่า..ข้อที่ว่า...... "ห้ามพม่ารุกรานแผ่นดินสยาม

    ด้วยเมืองสยาม คือ มหามิตรของอังกฤษ ....และพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษจึง

    ต้องเชื่อฟัง"
     
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................มุกรับหนังสือ 2 ฉบับจากเจ้าเมืองน่านด้วยความยินดีและสบาย

    ใจว่า.."หากมุกส่งหนังสือเส็จสิ้น ความเบาใจของขุนทัพและพวกพ้องเจ้าหน้าที่

    ฝั่งตะวันออกที่กำลังหนักใจเรื่อง.."ปกปิดเรื่องราวกองกำลังพม่าเข้ามาที่ฝั่งตะวัน

    ออกก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก"..."

    ....................เพราะงานส่วนหนึ่งมุกได้ทำเสร็จสิ้น..โดยทำแทนสาย คือ ส่ง

    กัมพูกลับฝั่งตะวันตก....งานส่วนที่สอง คือ งานคอยดักสกัดปลัดปักษ์และเจ้า

    หน้าที่ฝั่งตะวันตกอยู่...เมื่อปลัดปักษ์และเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกกลับฐานที่ตั้ง..คน

    ของขุนทัพส่วนหนึ่งก็ไม่ต้องแยกมาคอยสกัดหรือถ่วงเวลาปลัดปักษ์และเจ้าหน้าที่

    ฝั่งตะวันตกอีก......

    ....................คงเหลือเพียงการจัดการกับพวกกองกำลังพม่า และตามหาปลัด

    เมืองเท่านั้น....




    ....................มุกเดินออกจากจวนเจ้าเมืองน่าน..มาที่ม้าที่ผูกไว้หน้าจวน โดยมีกัมพู

    เดินตามมาส่ง..ในขณะที่ดวงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า...

    ............................"ขอบใจเจ้ามากกัมพู" มุกเอ่ย

    ............................"ข้าต่างหากที่ควรขอบใจเจ้า..ที่พาข้ากลับมาฝั่งตะวันตกโดย

    เร็ว..หากข้ามาเองคงไม่ถึงภายในวันนี้หรอก"

    ............................"เจ้าจะไปเยี่ยมหลุมศพบุญมีเมื่อไร"

    .....................กัมพูมีสีหน้าสลดลงเมื่อเอ่ยถึงบุญมี..

    ............................"พรุ่งนี้...แล้วเจ้าจะเดินทางไปส่งหนังสือในคืนนี้เลยหรือ"

    ............................"ข้าคงต้องแวะหาบุญแทนที่บ้านขุนทัพก่อน..เพื่อสั่งเสียอะไร

    บางอย่าง แล้วจะเดินทางในวันพรุ่งนี้"

    .....................มุกนั่งบนหลังม้าและกำลังจะจากไป ได้หันมาทางกัมพู พลางเอ่ยขึ้น

    ............................."ข้าไปก่อนล่ะ...หากมีงานเร่งด่วนที่ฝั่งตะวันตกนี้ ...ข้าคงพบ

    เจ้าอีก"

    .....................มุกกำลังชักม้าเดินออกไปจากกัมพูช้า ๆ ก็ได้ยินเสียงกัมพูเรียก

    อยู่ข้างหลังอย่างดัง

    .............................."เจ้าหนุ่มหน้าสวย..."

    .....................มุกหยุดม้าทันทีและหันหน้ากลับมาช้า ๆ แต่มิได้มีหน้าตาบูดบึ้ง

    เหมือนวันก่อน...หากแต่เป็นรอยยิ้มอันไมตรีที่มุกยิ้มส่งให้กับกัมพู...เพียงเท่านี้

    กัมพูก็ถึงกับหัวใจเต้นแรงพองโต..พร้อมกับยิ้มตอบอย่างหน้าบาน...

    .....................พฤติการณ์ของกัมพูเพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่า..."เขานั้นมีใจรักชอบ

    พอมุก..โดยเขารู้ว่ามุกเป็นหญิงที่แต่งตัวเป็นชาย...แต่เขาไม่แน่ใจว่าร่างของมุก

    ที่เป็นหญิงแต่แต่งตัวเป็นชายนั้น...จะมีหัวใจเป็นชายหรือไม่...จึงแหยง ๆ อยู่...

    เพราะเขากลัวว่า.."เขาจะมาหลงรัก"ทอมบอย"ที่ตัวเป็นหญิงแต่ใจเป็นชาย" หรือ

    "หญิงที่รักหญิงด้วยกัน"

    .....................ในส่วนของมุกนั้น "หัวใจคงมีแต่เขาคนนั้น....ที่ไม่รู้เหมือนกัน

    ว่ารักเขาเช่นใด"....และที่แต่งเป็นชายก็ไม่เคยคิดเลยว่า จะมีคนอื่นนอกจากลุง

    ชอบพ่อของตนเองรู้ว่า"ตนเป็นหญิง"...

    ......................แม้แต่กัมพู มุกยังคิดว่า "กัมพูไม่รู้ว่าตนเป็นหญิง" คิดว่า

    "กัมพูเป็นผู้ชายและกำลังชอบมุก..ที่เขาคิดว่ามุกเป็นชาย"....มุกจึงรู้สึกว่า

    "กัมพูเป็นเกย์ โดยหลงรักผู้ชายด้วยกัน"...ซึ่งมุกเองก็เกรงว่า "กัมพูจะต้องผิด

    หวังแน่นอน..หากรู้ความจริงว่า "มุกเป็นหญิง".."

    ......................ก็ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันคนละอย่าง............แล้วเรื่องจะลง

    เอยอย่างไรเล่า

    ......................มุกหันหน้ามายิ้มให้กัมพูเมื่อได้ยินเสียงเรียกแล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"อยากโดนข้าซ้อมอีกหรือ...เจ้าเตี้ย"

    ............................"หากเจ้าซ้อมข้า...แล้วข้าได้กอดรัดเจ้าเหมือนวันนั้นละก็

    ข้าชอบ....อยากให้เจ้าซ้อมอีก....ข้าเสียดายจังวันนั้นที่ไม่ได้หอมแก้มเจ้า"

    ......................คำพูดของกัมพูทำให้มุกหน้าแดงเขินอาย..แล้วจึงเอ่ยขึ้น ก่อน

    จะควบม้าจากไปโดยเร็วอย่างไม่เหลียวหลัง...

    ............................."เจ้าเตี้ย...เจ้าเกย์ชีกอ..."

    ......................หลังสิ้นคำของมุก...มุกก็ได้ยินเสียงกัมพูหัวเราะไล่หลังอย่าง

    ดัง แว่วเข้าหูของมุก......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • haruhi.jpg
      haruhi.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103 KB
      เปิดดู:
      26
    • photo02.jpg
      photo02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.4 KB
      เปิดดู:
      37
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2011
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................บ้านขุนทัพช่วงหัวค่ำ..มีบุญแทนกับเจ้าหน้าที่อีกส่วนหนึ่งคอย

    รักษาการณ์ดูแลความสงบ.....และความเป็นอยู่ของคนในท้องที่....ซึ่งปลัดเมืองได้สั่งให้

    บุญแทนเป็นผู้ดูแลก่อนที่เขาจะควบม้าออกไป.....หลังพบศพบุญมีโดยมีมุกควบม้าตาม

    หลังไป

    ....................มุกเดินทางมาหาบุญแทน...และแจ้งเรื่องราวที่ปลัดเมืองและเขาพบ

    กองกำลังพม่า..และต่อมาได้พบกัมพูและพาส่งไปยังฝั่งตะวันตก...พร้อมกับการได้พบเจ้า

    เมืองน่านและได้เล่าเรื่องต่าง ๆรายงานเจ้าเมือง...พร้อมแจ้งหน้าทีของตนที่เจ้าเมืองสั่ง

    ให้มุกส้งหนังสือถึงปลัดปักษ์และขุนทัพ....โดยมุกจะเดินทางไปในวันพรุ่งนี้

    ....................บุญแทนอยู่บ้านขุนทัพในส่วนที่เป็นที่ทำการ..เขาดีใจที่ได้พบมุก..จึง

    ขอร้องมุกให้ทำหน้าที่รักษาการณ์แทนเขาสักสี่ชั่วยาม...โดยเขาบอกมุกว่า.. "เขาคิดถึง

    บุบผา"..ขอไปหาบุบผาและกินข้าวเย็นที่บ้านลุงแก้วกับป้าสวอง...จึงทำให้มุกต้องนั่ง

    รักษาการณ์แทนบุญแทนที่บ้านขุนทัพ..พลางบ่นรำพึงรำพันอยู่คนเดียว

    ............................"นี่ละหนา...โบราณเขาว่า..ความรักเหมือนโคถึก..บทจะ

    บ้าความรักขึ้นมา..มันก็ทิ้งหน้าที่ของมันไว้ให้เรา..อีกสี่ชั่วยาม..เจ้าไม่มา..ข้าก็ไป

    ละนะบุญแทน"

    ....................ในช่วงที่มุกกำลังบ่นอยู่นี้พลางก็อดนึกถึง"เจ้ากัมพูตัวแสบ"ที่เพิ่งจากมา

    ไม่ได้ พลางสบถและยิ้มอยู่ในใจถึงกัมพู

    ............................"เจ้าเตี้ยเอ๋ย ..ผู้หญิงมีให้ชอบไม่ชอบ..ดันมาชอบ

    ผู้ชาย....เจ้าเกย์ชีกอ".....




    .........................ฉันเป็นหญิง...ใจเป็นหญิง...ไม่กลิ้งกลอก....................

    ........................ไม่คิดหลอก...ว่า"เป็นชาย"...น่าอายเหลือ....................

    ..........................ฉันมีเหตุผล...แต่งเป็นชาย...มาจุนเจือ.......................

    ............................เหตุผลฉัน...นั้นน่าเชื่อ...เพื่อนจงฟัง........................

    ...........................แต่งเป็นหญิง...ทุกทุกสิ่ง...น่ากลัวยิ่ง........................

    ...........................ความเป็นจริง...อาจมีภัย...ร้ายน่าชัง........................

    ............................แต่งเป็นหญิง...คงไม่ได้...ดั่งใจหวัง.........................

    .............................ชีวิตพัง...เขาให้นั่ง...เฝ้าอยู่เรือน...........................
     
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..........ตอนที่ 58 ปราสาทไม้สักที่ลุ่มน้ำสาละวิน......


    ....................สิ้นฤดูฝนไปไม่นาน..ฤดูหนาวก็เริ่มเยือน..หลังจากที่เมืองเขียน

    จดหมายทิ้งไว้ให้สายพิณว่า."เขาจะกลับไปฝั่งตะวันออก แต่บางทีเขาอาจจะไปหาความ

    หมายของชีวิตที่เมืองพม่า"......แต่ระหว่างทางที่เมืองจากสายพิณมา..เขาไม่ได้ควบม้า

    เลาะฝั่งแม่น้ำน่านขึ้นเหนือ....เพื่อข้ามฝากกลับไปฝั่งตะวันออกแต่อย่างใด

    ....................แต่เมืองชักม้าควบไปทางทิศตะวันตกของเมืองน่านมุ่งหน้าไป

    ทางเขตแม่สะเรียง เมืองแม่ฮ๋องสอน...อันเป็นเมืองในเขตประเทศสยามซึ่ง"เขตแม่สะ

    เรียง"นั้น..ปัจจุบันคือ "อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน"......ซึ่งแม่สะเรียงนั้นมี

    พื้นที่อยู่ติดกับแม่น้ำสาละวิน...อันเป็นแม่น้ำกั้นพรมแดน"สยามกับพม่า"

    ...................."แม่น้ำสาละวิน"ในส่วนที่อยู่ฝั่งเมืองพม่าหรือเรียกว่า"ลุ่มน้ำสา

    ละวินแห่งพม่า"...คือ สิ่งที่เมืองไปหาความหมายของชีวิตเขา...

    .....................เมืองควบม้าผ่านความหนาวเย็นของอากาศในฤดูหนาว เข้าเขตแม่สะ

    เรียงแล้วลัดเลาะต่อแพข้ามฝากไปเขตแดนพม่า...เขามีรูปร่างและผิวพรรณคล้ายชาวพม่า

    ส่วนหนึ่ง...ด้วยเขามีสายเลือดมาจากสายฝนแม่ของเขาซึ่งเป็นชาวพม่า..ดังนั้น การที่

    เขาปลอมตัวโดยโพกหัวด้วยผ้าเป็นชาวพม่าจึงทำได้ไม่ยาก..

    .....................เมืองสืบหากลุ่มหมู่บ้านชายฝั่งลุ่มน้ำสาละวินอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง...เขา

    พบว่า "มีหมู่บ้านหนึ่งที่มีผู้คนอยู่อย่างหนาแน่น และ มีปราสาทไม้สักอยู่หลังหนึ่งตั้ง

    ตะหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านแห่งนั้น อีกทั้งมีชายฉกรรจ์หลายคนแต่งกายคล้าย

    ทหาร ยืนเฝ้าเวรยามอยู่...และรอบ ๆหมู่บ้านก็มีชาวบ้านซึ่งไม่ได้แต่งกายเป็น

    ทหาร..แต่ดูเหมือนพวกอาสาดูต้นทางอยู่กลุ่มหนึ่ง"

    ....................เมืองใช้เวลาสังเกตการณ์อยู่หลายวันจึงพบว่า ..."จะมีชายฉกรรจ์

    หลายกลุ่มเข้าและออกที่หมู่บ้านแห่งนี้ มีการขนเกวียนเสบียงอาหาร..และมีผู้คน

    เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา"...... นอกจากนี้เขายังพบว่า "นอกจากเสบียงอาหารแล้วยัง

    มีอาวุธปืนจำนวนมากที่ขนผ่านเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้"

    ....................เมืองทบทวนความทรงจำในหนังสือที่สายพิณนำมาให้เขาอ่านอยู่..

    เกี่ยวกับพื้นที่ของเมืองพม่า..และจดจำชื่อราชธิดาองค์หนึ่งที่ชื่อ "ราชาวดี" ซึ่งได้หนี

    จากเมืองหลวงกลับมาอยู่ในถิ่นของพระมารดา คือ "ลุ่มน้ำสาละวิน".."

    ....................เหตุที่เมืองมีความทรงจำกับ "แม่น้ำสาละวิน" ก็เพราะว่า "เขารู้จักมัน

    ตั้งแต่เขาจำความได้"...เพราะเขาเคยลิ้มรสน้ำจากแม่น้ำสาละวินที่อยู่ในขวดแก้วรูปทรง

    มะม่วงจนหมด....เขาจึงรู้รสชาดของน้ำนี้ว่ามันเป็นน้ำที่มีรส..ไม่ใช่น้ำธรรมดา..ก็

    เพราะน้ำจากแม่น้ำสาละวินนี้มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาหิมาลัยได้ไหลผ่านซับแร่

    ธาตุที่อยู่บนเขาสูงมาตลอดเส้นทางการไหล....

    ....................เพราะแม่ของเขาที่ชื่อ"สายฝน" เป็นผู้ทิ้งน้ำสาละวินนี้ใส่ขวดแก้วทรง

    มะม่วงให้เขาไว้ "เหมือนจะบอกเป็นความนัย" ให้เขารู้ว่า...."หากจะตามหาแม่ของ

    เขา..ต้องไปยังที่ที่มีน้ำจากแม่น่ำสาละวิน"

    ....................เมืองได้ปลอมตัวปะปนไปกับผู้คนที่เดินทางเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ โดย

    เขาใช้ชื่อว่า"ยุ่นยี" และได้เข้าทำงาน เป็นคนเลี้ยงดูแลม้าหลาย ๆ ตัวของหมู่บ้าน..

    โดยเมืองสังเกตได้ทันทีว่า "ม้าพวกนี้ คือ ม้าศึก" และคนของหมู่บ้านคงจะเตรียมการ

    อะไรบางอย่างซึ่งเขาจะต้องรู้ให้ได้ว่า "หมู่บ้านแห่งลุ่มน้ำสาละวินแห่งนี้กำลังทำอะไร

    และปราสาทไม้สักหลังนั้นเป็นที่อยู่ของใคร จึงมีทหารตรวจตราอย่างเข้มงวด"

    ....................เมืองรู้ดีจากได้ศึกษาหนังสือที่สายพิณนำมาให้อ่านจึงรู้ว่า ..."ลุ่มน้ำ

    สาละวินไม่ใช่ที่อยู่ของขุนนางพม่าหรือพวกของเอหม่อง ซึ่งเป็นศัตรูของเมือง"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2011
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...................."สมิงญา"เป็นหัวหน้าคุมกองม้า ได้เรียกเมืองไปพบและสั่งการ

    ............................"ยุ่นยี วันนี้เจ้านำม้าทุกตัวไปลองฝึกฝีเท้าหน่อยนะ"

    ............................"แล้วท่านจะให้ข้าไปผู้ใด"

    ............................"เจ้าไปกับทีหม่องและอันยาก็แล้วกัน แล้วเอาลูกน้องไปด้วย

    สัก 10 คน"

    ...................."ทีหม่อง"และ"อันยา" เป็นพี่น้องกันและทำงานอยู่ที่คอกม้ามานาน

    เขาเป็นเหมือนพี่เลี้ยงของเมือง...เพราะเมืองได้แสดงไหวพริบและความฉลาดในการดูแล

    ม้าให้เห็น สมิงญาจึงใช้เมืองบ่อยครั้ง..

    ....................เมืองหรือยุ่นยีได้รับคำสั่งเช่นนั้นจึงได้บอกกับพรรคพวกในทันที ม้าทั้ง

    หมดในคอกม้ามีราวเกือบ 100 ตัว โดยเมืองขึ้นขี่ม้าและจูงม้าที่ผูกเชือกไว้ประมาณ 10

    ตัว แต่ละคนจะต้องผูกม้าจูงไปประมาณ 7 ถึง 8 ตัว และเดินตามกันไปจนถึงทุ่งหญ้า

    ชายฝั่งแม่น้ำสาละวิน.....

    .....................ทุกคนจะฝึกม้าแต่ละตัวด้วยการขึ้นขี่และควบไปอย่างเร็วทั้งบนบกและ

    พื้นน้ำ และควบกระโจนข้ามสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ...เพื่อฝึกให้ม้าแต่ละตัวเคยชินกับสิ่ง

    เหล่านี้..เพราะเมื่อเวลาใช้ม้าเข้าสู่สนามรบหรือสนามต่อสู้กัน "ม้าจะไม่มีอาการตื่น

    หรือตกใจ"

    .....................การควบขี่ฝึกม้าเกือบ 100 ตัว ใช้เวลาเป็นวัน ๆ ทุกคนแทบไม่มีเวลา

    หยุดพัก เพราะม้านอกจากจะฝึกให้เคยชินกับการวิ่งลักษณะนี้แล้ว ยังต้องฝึกความอด

    ทนในเรื่องการวิ่งในระยะทางยาว ให้เหมือนกับคำพังเพยที่ว่า... "ระยะทางพิสูจน์

    ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" .....ม้าดีย่อมต้องอดทนวิ่งได้ระยะทางไกล...



    .....................จนตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว...พวกเขาจึงเดินทางกลับมายังหมู่บ้าน

    โดยมิได้มีอาการหนาวเหน็บตามฤดูกาลแห่งความหนาว...เพราะพวกเขาแต่ละคนมีเหงื่อ

    ท่วมตัว..จากการควบฝึกม้าร่างกายของพวกเขาจึงอบอุ่นด้วยพลังงานความร้อนในร่างกาย

    .....................เมืองขี่ม้าเดินอย่างช้า ๆ เคียงข้าง ทีหม่อง และ อันยา สองพี่น้องซึ่งดู

    เหมือนจะเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเขา...โดยปล่อยพรรคพวกคนอื่นตามอยู่ข้างหลัง..

    เมืองได้เอ่ยขึ้นกับทีหม่อง

    ............................."เจ้ากับอันยาไม่มีพี่น้องอีกหรือ"

    ............................."ไม่ ..ข้ามีกันสองคน"

    ............................."เจ้าอยู่หมู่บ้านนี้มาแต่เกิดเลยหรือ"

    ............................."ใช่"......

    ............................."แล้วพ่อกับแม่ของเจ้ายังอยู่ดีหรือเปล่า"

    .....................เมื่อเมืองถามถึงเรื่องนี้ ทีหม่องมีท่าที"อึดอัดและเป็นกังวล" ขึ้น ไม่

    พร้อมที่จะตอบคำถามของเมือง อันยาจึงได้ตอบแทน

    ............................."พ่อกับแม่ของข้าทำงานอยู่ในปราสาทไม้สักหลังนั้น แต่

    ขณะนี้พ่อข้าไม่อยู่"

    ............................."แล้วพ่อของเจ้าไปอยู่ที่ใด" เมืองถามต่ออย่างสงสัย

    ............................."พ่อข้าได้รับคำสั่งจากตะละแม่(หมายถึงแม่นางผู้สูง

    ศักดิ์ในปราสาท)ให้เดินทางไปเมืองสยาม"

    ....................เมืองได้ยินอันยาเอ่ยถึง"ตะละแม่"อันหมายถึงหญิงสูงศักดิ์ของ

    พม่า และเอ่ยถึง"เมืองสยาม"....เขานิ่งเงียบพลางลดสายตาลงต่ำ..พร้อมกับขบ

    คิดบางสิ่งบางอย่างทันที..ก่อนเอ่ยถามต่ออย่างสนใจ..

    ............................"ตะละแม่ที่เจ้าเอ่ยถึงอยู่ที่ใด"

    ............................"ก็บนปราสาทไม้สักหลังนั้นไง.....ที่นั่นมีทหารตรวจตรา

    คุมเข้ม"

    ............................"แสดงว่าพ่อของพวกเจ้าก็เป็นทหารนะสิ"

    ............................"ถูกต้อง พ่อข้าเป็นทหารที่คอยคุ้มกันตะละแม่มาโดย

    ตลอด"

    ............................"แล้วพ่อของเจ้าได้รับคำสั่งจากตะละแม่ให้ไปทำอะไรที่

    เมืองสยาม"

    ............................"นำจดหมายไปให้ชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นสามีของตะละแม่ และ

    รอรับลูกชายของตะละแม่ที่อยู่ที่เมืองสยามมาสู่หมู่บ้านแห่งนี้"

    ....................เมืองได้ฟังเช่นนั้นก็เริ่มรู้สึกว่า "ที่อันยาพูดถึงน่าจะหมายถึง

    เขา"...เมืองนิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเริ่มคำถามเพื่อความแน่ใจต่อไปทันที

    ............................."แล้วพ่อของเจ้าทั้งสองมีชื่อว่าอะไร"

    ............................."เยยุ่น"

    .....................สิ้นคำว่า "เยยุ่น" เมืองถึงกับหยุดนิ่งและเริ่มนึกถึงเหตุการณ์

    ตอนที่อยู่เมืองน่าน..ที่เอหม่องกับพวกควบม้าไล่ตามยิงชายแปลกหน้าคนหนึ่งจน

    ล่วงจากหลังม้า...และเมืองเป็นคนยิงธนูสกัดถูกเอหม่องจนหนีไป...หลังจากนั้น

    เขาได้ประคองชายคนนั้นเอาไว้.......ชายแปลกหน้าคนนั้นได้ขอร้องให้เมืองช่วย

    นำกระบอกไม้มอบให้แก่ขุนทัพพ่อของเมือง...และเมืองได้บอกกับชายคนนั้นว่า

    เขาคือ "เมืองลูกของขุนทัพ"....ชายผู้นั้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น..ก็แสดงอาการดีใจ

    พร้อมกับรอยยิ้มแห่งปิติสุข....และได้เอามือมาลูบไล้ที่แก้มของเมืองอย่างทะนุ

    ถนอม..และเรียกเขาอย่างแผ่วเบาว่า."..นายน้อยของข้า..องค์ชาย" พร้อมกับการสิ้นลม

    ของเขาด้วยอาการยิ้มอย่างมีความสุข

    ....................เมื่อเขานำศพชายผู้นั้นกลับมาให้ขุนทัพพ่อของเขาดู..และเปิด

    อ่านจดหมายออกจากกระบอกไม้ไผ่นั้นจึงรู้ว่าเขาคือ "เยยุ่น" คนที่เขาได้รับคำสั่ง

    จากแม่ของเมืองไปเมืองน่าน....เพื่อรับเมืองมาที่นี่

    ....................เมืองรู้สึกสลดใจและรู้สึกสงสารทีหม่องและอันยาที่ต้องสูญเสีย

    พ่อไป...และตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่า "เยยุ่นพ่อของเขาได้ตายจากพวกเขาไป

    แล้วที่เมืองน่าน"...และคงไม่มีใครกลับมาแจ้งข่าวให้ตะละแม่ถึงผลดังกล่าว...จึง

    ทำให้ไม่มีใครรู้เรื่องราวที่"เมืองน่านและไม่รู้ว่าเยยุ่นได้ตายไปแล้ว"

    .....................เมืองจ้องมองสองพี่น้องสลับไปมา..พลางคิดว่า "ถ้าเขาบอกอะไร

    กับทีหม่องและอันยาไปตอนนี้.....เรื่องการปลอมตัวมาของเขาจะต้องถูกเปิดเผย

    ทันที"

    .....................เมืองรู้สึกได้ทันทีว่า "ตะละแม่ที่อยู่บนปราสาทไม้สักนั้น น่าจะ

    เป็นแม่ของเขา..หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้น เขาคิดอยู่ในใจว่า "ขอเพียงได้เห็น

    ผู้หญิงที่ทอดทิ้งเขาไปเพื่อทำหน้าที่ของนางก็พอแล้ว"

    .....................และเขาไม่เคยลืมคำพูดของขุนทัพที่เคยพูดกับเขาว่า"เมตตา

    หรือหน้าที่มันก็คือความดีด้วยกันทั้งคู่..สุดแท้แต่เจ้าจะเลือกมัน" ในขณะที่เขาโต้

    เถียงกับพ่อของเขา..เมื่อรู้ความจริงว่า "พ่อของเขากระทำผิดหน้าที่เพราะความ

    เมตตา....แต่แม่ของเขากลับละทิ้งความเมตตาต่อเขาซึ่งเป็นลูก..เพื่อทำหน้าที่ที่

    ตนเองเห็นว่าสำคัญกว่าลูกของตน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265.JPG
      IMG_2265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      31
    • 19032010456.jpg
      19032010456.jpg
      ขนาดไฟล์:
      404.9 KB
      เปิดดู:
      31
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2011
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองกลับมาที่พักของเขาซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับคอกม้า..โดยจัดเป็น

    ห้องเดี่ยวให้เขาโดยเฉพาะ..ส่วนพรรคพวกคนอื่นก็เป็นห้องเดียวบ้าง ห้องรวมบ้าง ห้องคู่

    บ้าง ซึ่งอยู่ติดกันไป แต่ทีหม่องและอันยามีที่พักที่บ้านของเขาภายในหมู่บ้าน...

    ....................คอกม้าและที่พักของเมือง.....อยู่ห่างจากกำแพงซึ่งล้อมรอบ

    ปราสาทไม้สักราว 100 เมตร

    ....................เมืองเดินออกจากที่พักยามดึกท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ แสงจันทร์

    ส่องสว่าง..เขามองไปบนยอดปราสาทไม้สักที่สวยงามตระการตา.......ซึ่งเขาเห็นเมื่อ

    ตอนกลางวัน...แต่ยามนี้มันมืดครึ้มเห็นเพียงบางส่วนโดยเฉพาะส่วนที่ถูกแสงจันทร์

    สาดส่องเท่านั้น....

    ....................ยอดปราสาทชั้นบนสุดคงมีห้อง ๆ หนึ่งตามที่เมืองคิดเพราะมีแสง

    ไฟสว่างเห็นได้แม้ยามไกลถึงจุดที่เขายืนอยู่....เมืองเพ่งตามองไปรอบ ๆ ปราสาท

    เขามีความรู้สึกว่า "ปราสาทหลังนี้ช่างใหญ่โตอลังการมากทีเดียว..แล้วทำไมมันจึง

    มาอยู่ท่ามกลางป่าเขาลุ่มแม่น้ำสาละวินนี้ได้"

    ....................เมืองกลับมานอนขบคิดว่า "เขาควรทำเช่นไรต่อไป ที่จะได้มีโอกาส

    เข้าไปในปราสาทแห่งนั้น.....เพื่อให้พบเห็นใครบางคน..แล้วเขาจะกลับเมืองน่าน

    ทันที"

    ....................รุ่งเช้าเมืองกับพรรคพวกได้พาม้าไปฝึกต่อที่เดิมอีก เขาได้สอบถามที

    หม่องว่า "เคยเข้าไปในปราสาทหลังนั้นไหม" ที่หม่องบอกว่า " เขากับอันยาเคยเข้าไปใน

    ปราสาทเพียงหนเดียว ตอนที่เยยุ่นพ่อของเขาได้เรียกเข้าไปเพื่อสั่งงานบางอย่าง"

    ....................เมืองจึงเอ่ยถามต่อทันที

    ............................"เจ้าเคยพบเห็นตะละแม่บ้างไหม"

    ............................"ข้าเคยเห็นเป็นบางครั้ง ตอนที่นางออกมาจากปราสาท"

    ............................"แล้วทำอย่างไรจึงจะเข้าไปในปราสาทนั้นได้"

    ....................ทีหม่องฟังคำของยุ่นยีหรือเมือง...เขาหยุดนิ่งมองหน้าเมืองอย่างขบ

    คิดแล้วเอ่ยถามกลับ

    ............................"เจ้าจะเข้าไปทำไมหรือยุ่นยี"

    ............................"ข้าดูปราสาทไม้สักนั้น แต่นอกกำแพง..ยังไม่เคยเห็นความ

    สวยงามภายในเลย" เมืองตอบอย่างเสแสร้ง

    ............................"ข้าว่า..เห็นจะยากสำหรับเจ้า"

    ............................"เพราะอะไร"

    ............................"เจ้าเพิ่งมาอยู่นี่ได้ไม่นาน เจ้าไม่รู้หรอกว่า ทำไมจึงมีทหารคุ้ม

    กันปราสาทนั้นอย่างแน่นหนา"

    ............................"นั่นนะสิ..ข้าเองก็สงสัยอยู่"

    ............................"มีคนลักลอบเข้าไปลอบฆ่าเจ้าพี่ของตะละแม่สิ้นชีพภาย

    ในปราสาทหลังนั้น"

    ....................เมืองหยุดคิดทบทวนถึงจดหมาย.......ที่สายฝนแม่ของเขาเขียนบอก

    ขุนทัพพ่อของเขาว่า "ราชบุตรองค์โตผู้นำข้าไปฝากกับท่านในคืนนั้น บัดนี้เขาเสีย

    ชีวิตไปแล้ว" เมืองเปรียบเทียบกับที่ทีหม่องเล่า....ฟังแล้วเหตการณ์สอดคล้องกันเขาจึง

    ถามต่อ

    ............................"แล้วรู้ตัวคนฆ่าไหม"

    ............................"จับใครไม่ได้หรอก แต่รู้ว่าน่าจะเป็นคนของขุนนางใหญ่"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled.bmp
      ขนาดไฟล์:
      128.1 KB
      เปิดดู:
      35
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2011
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................และยามดึกสงัดของคืนนั้น..เมืองเดินออกจากที่พักพร้อมกับนำขวด

    แก้วทรงมะม่วงซึ่งเขานำมันซ่อนไว้อย่างมิดชิด พลางยกเหล้าขึ้นดื่มเพื่อดับความคิดวิตก

    กังวลถึงเรื่องต่าง ๆนานา..และเพื่อให้อุณหภูมิในร่างกายร้อนขึ้นเพื่อดับความหนาวเย็น

    .....................เมืองมองไปที่ห้องชั้นบนของปราสาทอีก...ก็เห็นแสงไฟภายใน

    ห้องนั้น...เขาเดินไปหาม้าสีนิลซึ่งผูกไว้นอกคอกม้าไม่ได้รวมกับม้าตัวอื่นที่เขา

    ดูแลอยู่ และเอ่ยขึ้นกับม้าสีนิล

    ............................."เจ้าสีนิลคงอีกไม่นานหรอก ข้าจะพาเจ้ากลับเมืองน่าน

    ของเรา"

    ....................สายลมแห่งความหนาวพัดผ่านมายังเมืองและม้าสีนิล เมืองถึง

    กับสั่นด้วยความหนาวจับขั้วหัวใจ พลางยกขวดเหล้าขึ้นดื่มอีก และเดินฝ่าลม

    หนาวมุ่งตรงไปยังกำแพงของปราสาทเพื่อให้ใกล้ห้องชั้นบนของยอดปราสาท

    รอบกำแพงปราสาทมีคบเพลิงจุดไว้โดยรอบ...เพื่อให้มองเห็นยามคนบุกรุก

    ตอนกลางคืน.....

    ....................เมืองหยิบลูกธนูขึ้นทาบกับคันธนูที่เขานำมาจากม้าสีนิล...และ

    เล็งไปที่คบเพลิงพร้อมกับปล่อยลูกธนูออกไปทันที ....เสียงลูกธนูแหวกอากาศ

    ไปและถูกเป้าหมายอย่างตรงจุด..อันเป็นผลงานของ...."การยิงเป้านิ่งที่เขาได้รับ

    คำชี้แนะมาจากลีเจงสหายจากเผ่ามูเซอ"...ไฟคบเพลิงดับลง

    ....................เมืองค่อย ๆ ไต่ปีนกำแพงสูงราว 5 เมตร ..เพื่อเข้าไปภายในบริเวณ

    ปราสาทไม้สักให้ได้...โดยทหารยามที่เฝ้าดูอยู่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประตูกำแพงอันเป็นด้านที่

    เป็นทางเข้าโดยตรง.....ส่วนรอบ ๆ กำแพงก็เพียงแต่ใช้วิธีเดินตรวจตรา

    ....................คบเพลิงดับไปในขณะที่ทหารยามเดินผ่านไปแล้ว..จึงเป็นโอกาสให้

    เมืองได้กระโดลงเข้าไปในบริเวณปราสาทอย่างเงียบเชียบ

    ....................เมืองค่อย ๆซ่อนตัวหลีกเร้นกายเข้าไปภายในปราสาท ตรงช่อง

    ของหน้าต่างชั้นล่างผ่านห้องหับต่าง ๆ ไปมากมาย...เขาคิดว่า."ห้องที่มีแสงสว่างห้อง

    นั้นต้องเป็นที่อยู่ของตะละแม่" เมืองเดินขึ้นบันไดอย่างเงียบกริบจนถึงห้องที่หมาย

    ....................และเขาได้แอบมองดูก็พบ ...หญิงผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นกำลังมองผ่าน

    หน้าต่าง..มองออกไปบนท้องฟ้าเหนือลุ่มน้ำสาละวิน เพื่อชมความงามของจันทร์

    เพ็ญและหมู่ดาว...เมืองไม่เห็นหน้านาง แต่พบว่าหญิงสูงศักดิ์ผู้นี้มีรูปร่างที่สูงสง่า

    งาม ผมยาวสลวย .....สายลมหนาวพัดผ่านร่างของนางเบา ๆ ทำให้นำพากลิ่น

    หอมรัญจวนจากเรือนร่างของนางมาที่เมือง....เขารู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อยพลางคิด

    ว่า "นี่หรือกลิ่นกายของแม่เขา ช่างหอมรัญจวนใจยิ่งนัก... ..สมแล้วกับที่ทำให้

    ขุนทัพพ่อของเขาถึงกับหลงรักนาง.....และละทิ้งหน้าที่ของทหารที่ป้องกันเมือง

    สยามและรับนางเข้าสู่แดนสยาม"

    ....................เมืองคิดว่า "สักวันเขาคงมีโอกาสได้พบเห็นนางอย่างชัดเจน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265.JPG
      IMG_2265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      26
    • 19032010458.jpg
      19032010458.jpg
      ขนาดไฟล์:
      561.1 KB
      เปิดดู:
      25
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2011
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................รุ่งเช้าตะละแม่ตื่นขึ้นมา ..นางลุกขึ้นทบทวนความฝันเมื่อคืนนี้

    ว่า ....."ม้าศึกสีดำตัวที่นางให้ขุนทัพไว้ก่อนจากเมืองสยามมา เพื่อให้มันมีลูกไว้

    ให้กับเมืองบุตรชายของนางเป็นม้าคู่ใจนั้น..มันได้วิ่งกลับมาหานาง นางคำนวณ

    ดูว่า..ม้าตัวนั้นน่าจะตายไปนานแล้วที่เมืองสยาม แต่ที่ฝันเห็นมันกลับมาหานาง

    เหมือนกับว่า "มันจะบอกอะไรกับนาง"..."

    .....................ตะละแม่มองมาจากยอดปราสาทในยามเช้าของฤดูหนาว..ซึ่งมี

    ลมหนาวปะทะผ่านร่างกายอยู่ตลอดเวลา...นางมองไปที่คอกม้าใหญ่ที่เป็นที่เก็บ

    ม้าจำนวนมากมาย...เพราะสถานที่นี้ก็คือ.."ที่กำเนิดของม้าตัวนั้นที่นางได้มอบให้

    ขุนทัพไว้"

    .....................ตะละแม่มองไปที่ม้าตัวหนึ่งซึ่งผูกไว้กับหลักไม้ มันมีสีดำตลอด

    ตัว สูงใหญ่งดงามเหมือนลักษณะของม้าที่นางให้กับขุนทัพไป...นางมีความรู้สึก

    ประหลาด ๆ อยากไปดูม้านั้นอย่างใกล้ ๆ

    ......................ตะละแม่ได้สั่งการให้ทหารองครักษ์"เปิดประตูกำแพงปราสาท"

    และให้พานางไปที่เก็บม้า.."เพื่อดูม้าตัวนั้น"..และ...เพื่อสั่งให้คนดูแลม้าคัดเลือกม้าไว้

    ใช้การตามที่ปฏิบัติตามปกติ....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 19032010458.jpg
      19032010458.jpg
      ขนาดไฟล์:
      561.1 KB
      เปิดดู:
      36
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ขณะนั้นเมืองหรือยุ่นยีได้ควบม้าสีนิลออกไปฝึกวิ่งเฉพาะตัวที่ลุ่ม

    น้ำสาละวิน...ก่อนที่ตะละแม่จะมาถึง

    ....................ตะละแม่มาถึง..ก็ได้เรียกสมิงญาทันที..เจ้าหน้าที่คอกม้าทุกคนต่างมา

    เฝ้าตะละแม่อยู่อย่างพร้อมเพรียง ยกเว้นเมืองหรือยุ่นยีที่ออกไปก่อนหน้าไม่นาน..

    โดยเขาแจ้งกับสมิงญาก่อนแล้วว่าจะนำม้าของเขาออกไปฝึก...

    ....................สมิงญามาถึงได้เอ่ยถามขึ้นทันที

    ............................"ตะละแม่มาถึงกองม้าแต่เช้าตรู่ มีเหตุอะไรหรือ"

    ............................"ข้าเพียงอยากให้ท่านคัดม้าฝีเท้าดีให้สัก 20 ตัว"

    ............................"ตะละแม่จะนำมันไปใช้งานใด"

    ............................"ข้าอยากใช้คนของเราไป...สืบเรื่องราวของเยยุ่นยังแดน

    สยาม..เพราะเยยุ่นไปจากเรานานมากแล้ว...ยังไม่มีใครส่งข่าวมารายงานความ

    คืบหน้าแต่อย่างใด" ตะละแม่พูดถึงเยยุ่นซึ่งเป็นบิดาของทีหม่องและอันยาทำ

    ให้ทีหม่องตื่นตัวเอ่ยขอตะละแม่ทันที

    ............................."หากสืบเรื่องราวของบิดาข้าน้อย ข้าน้อยขอติดตามไปกับคน

    ที่ตะละแม่ส่งไปด้วยได้ไหม"

    .....................ตะละแม่หันมาทางทีหม่อง มองอย่างเข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นลูกที่

    ห่วงใยบิดาตน..พลางเอ่ยขึ้น

    ............................."ทำไมจะไม่ได้เล่าทีหม่อง..พ่อของเจ้าดูแลข้ามาตลอด..

    ข้าเองก็เป็นห่วงเขาไม่น้อยกว่าเจ้าเช่นกัน"

    .....................อันยาได้ฟังเช่นนั้น จึงเอ่ยขอตะละแม่ขึ้นบ้าง

    ............................."ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยขอติดตามไปด้วยจะได้ไหมตะละแม่"

    ............................."แล้วแม่ของเจ้าเล่า..จะปล่อยให้นางอยู่คนเดียวหรือ" ตะละ

    แม่เอ่ยเป็นเชิงปรามอันยา

    ............................."แม่ข้าน้อยอยู่กับตะละแม่อยู่แล้ว ข้าน้อยหมดห่วง ขอข้าน้อย

    ได้ไปด้วยเถิดตะละแม่" อันยาโต้เถียงโดยรู้มาตลอดว่าตะละแม่ให้ความเมตตาแก่ตน

    และทีหม่อง

    ....................ตะละแม่แย้มยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าอย่างช้า ๆ พลางเอ่ยตอบ

    ............................."เจ้านี่มันดื้อจริง ๆอันยา ถ้าเจ้าอยากไปก็จงไปเถิด"

    ....................สมิงญาฟังความอยู่จึงเอ่ยถาม

    ............................."แล้วตะละแม่จะให้คนเดินทางเมื่อไร... ข้าน้อยจะได้คัดม้า

    เตรียมไว้"

    ............................ "อีกสามวัน" ตะละแม่ตอบสมิงญาพลางมองดูไปที่จุดที่

    พบเห็นม้าสีดำที่มองเห็นจากยอดปราสาท....และมองไปรอบ ๆก็ไม่พบเห็นม้าสีดำ

    ตัวนั้น..จึงได้เอ่ยถามสมิงญาทันที

    ............................"สมิงญา..ม้าตัวสีดำตัวหนึ่งที่มันผูกไว้ที่หลักไม้นั้นเมื่อ

    ยามเช้า...บัดนี้มันไปไหนเสียเล่า"

    .....................สมิงญายืนคิดแล้วเอ่ยตอบ

    ............................"ม้าสีดำตัวนั้นเป็นของยุ่นยี ขณะนี้เขาขี่มันออกไปฝึกที่

    ชายป่าลุ่มน้ำสาละวินน่ะตะละแม่"

    ............................"ยุ่นยี" ตะละแม่อุทานอย่างเบา ๆ แล้วเอ่ยถามต่อ

    ............................"ยุ่นยีเป็นใครมาจากไหน"

    ............................"เขามากับพวกชาวบ้านที่อพยพเข้ามาในหมู่บ้านของเรา

    และเพิ่งมาอยู่กับข้าน้อยได้ราวหนึ่งเดือน ...... แต่เขาเป็นคนฉลาดเฉลียวในการ

    ฝึกม้ามาก"

    ............................"เขามีวิธีฝึกอย่างไร" ตะละแม่ถามต่อ

    ............................"ยุ่นยีบอกว่า หากอยากให้ม้ามีกำลังขาที่แข็งแรง และมี

    กำลังทรงตัวได้ดี ต้องฝึกให้มันควบขึ้นภูเขาสูงบ่อย ๆ"

    ............................"เจ้าพูดเช่นนี้ ทำให้ข้าอยากพบเขาสักหน่อยแล้ว..เอาไว้

    ถ้ายุ่นยีกลับมาให้มาพบข้าที่ปราสาทพร้อมกับม้าของเขา..ข้าจะรอ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 19032010456.jpg
      19032010456.jpg
      ขนาดไฟล์:
      404.9 KB
      เปิดดู:
      30
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ยามบ่ายเมืองกลับมาที่คอกม้า..สมิงญาได้บอกให้เมืองนำม้า

    ของเขาไปพบตะละแม่ทันที...........เมืองรู้สึกสมหวังอย่างลึก ๆ ที่เขาจะได้พบเห็น

    "คนที่เขาอยากเห็น เพื่อหาหนทางพิสูจน์น้ำใจของนางว่า.... นางทิ้งลูกน้อยวัย

    เพียง 5 เดือนเศษจากเมืองน่านมายังลุ่มน้ำสาละวินนี้ได้อย่างไร"

    ....................เมืองจูงม้ามาที่ประตูกำแพงปราสาทและบอกทหารเฝ้าหน้าประตูว่า

    "เขาคือยุ่นยี..คนที่ตะละแม่สั่งให้มาพบ" ..ทหารได้ตรวจค้นตัวเขาและม้าเพื่อดูว่ามี

    อาวุธหรือไม่....ซึ่งเขาเองก็นำอาวุธต่าง ๆ ไว้ที่ห้องพักพร้อมกับซ่อนขวดแก้วทรงมะม่วง

    ใบนั้นไว้เช่นกัน..โดยไม่ได้นำติดตัวมา..

    ....................เมืองผ่านประตูเข้าไป และยืนรอตะละแม่พร้อมกับม้าสีนิลอยู่ที่บริเวณ

    ลานกว้างหน้าประตูปราสาท...ซึ่งบริเวณลานหน้าประตูปราสาทจะเป็นที่นั่งสั่งการของ

    ตะละแม่

    ....................สาวใช้ไปรายงานให้ตะละแม่ทราบ...ตะละแม่รีบลงมายังที่ประทับทันที

    พลางมองไปยังม้าสีดำและยุ่นยี ...ก็ให้มีความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ในใจ

    ....................นางจ้องมองพิจารณาหน้าตาของยุ่นยี ในขณะที่เมืองซึ่งอยู่ใน

    ชื่อของยุ่นยีก็จ้องมองพิจารณาหน้าตาของตะละแม่อย่างเพ่งพินิจเช่นกัน

    ....................หน้าตาของยุ่นยีและตะละแม่ช่างเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน..

    แม้กระทั่ง"ดวงตาที่งดงามและมีอำนาจแฝงอยู่ในตัว"ของทั้งสอง....ทั้งขณะที่แม่

    และลูกจ้องมองกันอยู่นี้......"ความรู้สึกที่อบอุ่นอันเป็นกระแสแห่งความรักความ

    เมตตาของแม่และลูก.....ได้เกิดกระทบจิตใจของกันและกันเป็นระยะ ๆ"

    ....................ตะละแม่รู้สึกเมตตาและเอ็นดูยุ่นยีผู้ที่อยู่เบื้องหน้าอย่างมาก..แม้

    จะเพิ่งพบเห็นเป็นครั้งแรก...ในขณะที่เมืองเอง..ก่อนหน้านี้"เคยชิงชังหญิงผู้นี้"..

    แต่เมื่อได้รับกระแสแห่งความเมตตาและเอ็นดูผ่านดวงตาของนางมาสู่จิตใจของ

    ตน...ทำให้จิตใจที่เคยชิงชังกลับอ่อนโยนลงในทันที..เมืองมองหน้านางนิ่งด้วย

    ความอ่อนโยน.....

    ....................นางเป็นผู้หญิงที่งดงาม...สง่าอย่างนางพญาและมีอำนาจ

    ประหลาดแฝงอยู่ในตัว....................

    ....................ตะละแม่ละสายตาจากยุ่นยีและหันไปมองม้าสีนิล...นางรู้สึกหวั่น

    ไหวอย่างบอกไม่ถูก..ด้วยม้าสีนิลกับม้าของนางซึ่งเป็นตัวแม่ของมัน..ช่างเหมือน

    กันอย่างไม่ผิดเพี้ยน...จนนางถึงกับลุกจากที่นั่งเดินเข้ามาใกล้ม้าตัวนั้น และเดินดู

    รอบ ๆ พร้อมกับเอามือมาแตะที่หน้าและลูบเบา ๆ พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"ข้ามองมันจากยอดปราสาทก็ให้คิดถึงม้าของข้าตัว

    หนึ่ง..ซึ่งมอบไว้ให้สามีข้าบนแผ่นดินสยาม หากม้าตัวนี้เป็นตัวเมีย..ข้าคงเข้าใจ

    ว่าเป็นม้าของข้า...ที่มันกลับมาหาข้าอีกเหมือนอย่างที่ข้าหลับฝันไปเมื่อคืนนี้"

    ....................ตะละแม่รำพึงรำพันอย่างพอใจที่มันเหมือนม้าของนาง..แล้วจึง

    หันมาพิจารณายุ่นยีใกล้ ๆ..ก็ให้รู้สึกว่า "นางคุ้นหน้ากับเขา" นางจึงเอ่ยถาม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2011
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"ยุ่นยี..เจ้ามาจากไหนหรือ"

    ............................"ข้าน้อยมาจากเมืองเมาะตะมะ(ถิ่นเดิมของมอญ)"

    ............................"เจ้าอยู่เมืองมอญ ...เจ้ามีเชื้อสายมอญอยู่หรือ"

    ............................"หามิได้..สายเลือดของข้าคือพม่า" เมืองตอบตาม

    ความจริง

    ....................ตะละแม่พยักหน้าตอบรับอย่างยินดี พลางเอ่ยขึ้น

    ............................."สมิงญาบอกข้าว่า เจ้ามีวิธีฝึกม้าที่ชาญฉลาด โดยใช้

    วิธีควบม้าขึ้นไปบนเขาสูง..เพื่อให้ม้าฝึกการทรงตัว..และมีกำลังแข็งแรง..เจ้าเคย

    ฝึกม้าของเจ้าเช่นนี้หรือ"

    ............................."ถูกแล้วขอรับตะละแม่...ม้าตัวนี้ถูกฝึกจนเป็นม้าที่แข็ง

    แกร่ง ...วิ่งได้รวดเร็ว ...มันสามารถปีนป่ายไปบนเขาสูงได้ โดยมิมีการเสียหลัก

    ล้มลงแต่อย่างใด"

    ............................."เจ้าสามารถแสดงให้ข้าดูได้ไหม"

    ....................เมืองรับฟังเช่นนั้น..ก็เดินไปขึ้นขี่ม้าสีนิลทันที...และควบขี่ไปบริเวณ

    รอบ ๆ ลานกว้างอย่างรวดเร็ว...และได้นำพาสีนิลวิ่งขนานไปกับกำแพงปราสาท..

    พอได้จังหวะเมืองก็กระตุกม้ากระโจนขึ้นบนกำแพงทันที.......ด้วยขาอันทรงพลัง

    ของม้าสีนิลได้ตะกุยเท้าหน้าทั้งสองไปที่บนกำแพง.......และดีดเท้าหลังอย่างสุด

    กำลัง....ขึ้นไปอบู่บนกำแพงรอบปราสาทที่สูงราว 5 เมตรทันที....บนกำแพงรอบ

    ปราสาทมีความกว้างราว 1 ศอก เมืองกระตุกม้าสีนิลให้วิ่งอย่างรวดเร็วบนกำแพง

    ไปรอบ ๆ..อย่างไม่สะทกสท้านหรือกลัวว่าจะตกจากกำแพงเลย...ความบ้าบิ่นทั้ง

    คนและม้าที่ทำเหตุการณ์อันเป็นอัศจรรย์ให้ปรากฎแก่ ....ตะละแม่และบรรดาทหาร

    และเหล่าผู้ภักดี....ถึงกับยืนตกตะลึงในความสามารถของ"คนและม้า" ..ไม่เคยมี

    ผู้ใดทำได้เช่นนี้ตั้งแต่พวกเขาเคยพบเห็นมา

    ....................ตะละแม่ลุกจากที่ประทับยืนมองดูยุ่นยีควบม้าอย่างชำนาญด้วย

    ความทึ้ง.... พร้อมกับเหล่าบริวารที่อยู่เคียงข้าง......ต่างก็มีท่าทีไม่ต่างจากนาง

    เช่นกัน

    ....................เมืองบังคับม้าให้กลับมายังลานกว้างตรงหน้าของตะละแม่..แล้ว

    จึงลงจากหลังม้า

    ....................ตะละแม่จึงเอ่ยชมเชย

    ............................"เก่งทั้งคนและม้า......ถ้าม้าของข้าทั้งหมดให้เจ้าฝึกได้

    เช่นนี้ ...มันคงเป็นกองกำลังม้าที่วิเศษ..ข้าอนุญาตให้เจ้านำม้าทั้งหมดไปฝึกตาม

    วิธีของเจ้า..ให้เหมือนม้าตัวนี้....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265.JPG
      IMG_2265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      28
    • 19032010456.jpg
      19032010456.jpg
      ขนาดไฟล์:
      404.9 KB
      เปิดดู:
      27

แชร์หน้านี้

Loading...