พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองนำม้าไปผูกที่หลักไม้หน้าบ้าน..ในขณะที่นะจาและจาโอขึ้นบน

    บ้านเพื่อตระเตรียมอาหารและเหล้าให้แก่เมือง....ด้วยรู้นิสัยผู้มาเยือนชอบดื่มเหล้าเป็น

    ชีวิตจิตใจ...หากลีเจงผู้พี่ของนะจาอยู่..ทั้งเมืองและลีเจงก็จะดื่มกันจนเมาพับกันไป.ซึ่งไม่

    แตกต่างจากการร่วมวงเหล้าที่บ้านลุงแก้วเท่าใดนัก...ด้วยคบหาเป็นมิตรสหายกันมา

    นาน ...ทำให้ไม่มีความหวาดระแวงต่อกัน....

    .....................เมืองเอ่ยขึ้นขณะดื่มเหล้าจากถ้วยกะลาเป็นถ้วยที่สาม

    ............................."หากลีเจงมาถึง...ข้าจะสั่งเสียบางสิ่งบางอย่างแล้วข้าจะไป"

    ............................."เจ้ามีเรื่องอันใดยังไม่ได้เล่าให้ข้าฟังเลย..ว่าเหตุใดเจ้าต้องมา

    เอายามดึก" จาโอเอ่ยทวงคำตอบจากเมือง..ซึ่งเป็นคำถามที่นะจาก็อยากรู้คำตอบ

    ............................."มีกลุ่มคนจากแดนพม่า..เข้าเขตแดนสยาม พวกเขาทำร้ายคน

    ฝั่งตะวันตกของปลัดปักษ์จนเสียชีวิตในเขตรับผิดชอบของข้า...ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเมือง

    น่านและเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกโดยเฉพาะปลัดปักษ์รู้ว่า.......มีกลุ่มคนจากแดนพม่าบุกเข้า

    มาที่ฝั่งตะวันออก"

    ............................."กลุ่มคนพม่ากลุ่มนั้นบุกเข้ามาทำไม" นะจาเอ่ยถามบ้าง

    ............................."พวกเขามาตามหาข้า และต้องการฆ่าข้าเสีย"

    ............................."เจ้าพูด..ข้าไม่เข้าใจว่าคนพวกนั้นรู้จักเจ้าได้อย่างไร..และ

    ทำไมต้องการตามฆ่าเจ้า"

    ............................."เรื่องนี้ข้ายังบอกเจ้าไม่ได้ สิ่งที่ข้าบอกได้ก็คือ..เรื่องที่จะให้

    ลีเจงช่วยข้า"

    ............................."เจ้าจะให้พี่ข้าช่วยเจ้าอย่างไร"

    ............................."ข้าอยากให้ลีเจงรวมคนที่มีฝีมือของเผ่ามูเซอ..และตามไปขอ

    กำลังคนจากเผ่าต่าง ๆเอาไว้...เพื่อรอข้านำพาพวกเขาไปขับไล่กุล่มคนพม่าออกไปจาก

    ฝั่งตะวันออก..เพราะข้าไม่ต้องการให้เจ้าเมืองน่านและเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกรู้เรื่อง..จึงไม่

    อาจขอกำลังจากฝั่งตะวันตกได้"

    ....................เมืองตั้งใจจะนำกองกำลังของเผ่าต่าง ๆ ในฝั่งตะวันออกเพื่อขับไล่กลุ่ม

    คนพม่าหรือกองกำลังของเอหม่อง....โดยไม่ต้องการให้เจ้าเมืองน่านและเจ้าหน้าที่ฝั่ง

    ตะวันตกรู้...เพราะจะทำให้พวกเขาสืบสาวราวเรื่องว่า "ทำไมกลุ่มคนพม่าจึงเข้ามาในเมือง

    น่านฝั่งตะวันออก..และทำไมต้องตามหาปลัดเมืองเพื่อฆ่าเขาทิ้ง"....ซึ่งหากสืบสาวไปก็

    จะพบว่า "เมืองมีแม่เป็นชาวพม่า..และจะได้คำตอบว่า ขุนทัพได้กระทำผิดหน้าที่

    ตอนอยู่ด่านแม่สายโดยลักลอบนำพาคนพม่าเข้าแผ่นดินสยาม"

    ....................นะจากับจาโอเข้านอนในห้องเดียวกัน...ส่วนเมืองนั้นนอนหลับสนิทใน

    ห้องนอนของลีเจง...เดือนหงายสาดส่องเข้ามาในห้องที่เมืองนอนอยู่ นะจาผู้ที่ชื่นชอบ

    เมืองและหลงรักเมืองอยู่..ตั้งแต่นางพบเมืองตอนเริ่มแรกรุ่นที่เมืองควบม้าขึ้นมา

    บนดอย....และพบกับลีเจงพร้อมพวกชนเผ่ามูเซอจนเป็นสหายสนิทของลีเจงพี่

    ชายของนาง.....และคบหากันมาตลอด....ส่วนเมืองนั้นเองก็ชื่นชอบนะจาอยู่บ้าง

    ....................นะจานอนไม่หลับด้วยคิดว่า "เหตุใดเมืองจึงบอกเรื่องราวบางอย่าง

    กับนางไม่ได้"..นางจึงเดินเข้ามาในห้องของลีเจงที่เมืองนอนหลับอยู่....

    .....................แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างฉายมาบนใบหน้าของเมือง...ทำให้

    เห็นหน้าตาเขาชัดเจนและหล่อคมสันต์ขึ้นในสายตาของนะจา..นางได้พินิจเขาอยู่

    นานด้วยความคิดถึง..แต่มิกล้าจะทำการใดให้ผิดประเพณี..ด้วยท่าทีของเมืองก็มิ

    ได้แสดงออกในทางรักใคร่ฉันชู้สาวกับนาง...แต่เป็นความเอ็นดูนางมากกว่า...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1_original.jpg
      1_original.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148.4 KB
      เปิดดู:
      48
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2011
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................รุ่งเช้าวันใหม่อันเป็นวันสดใสบนดอย...มวลหมู่ดอกไม้เริ่มบานสพรั่ง

    โดยเฉพาะดอกฝิ่นที่มีสีขาวนวลสะอาดตาที่พวกชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ปลูกขึ้น...โดยยังไม่มี

    กฎหมายสยามหวงห้ามไม่ให้ปลูกโดยอ้างอิงว่าพืชชนิดนี้ คือ "ยาเสพติด"

    ....................พวกชาวเขาจึงปลูกมันขึ้นเพื่อเสพ..ด้วยว่าเสพมันแล้ว"ทำให้สุขใจ"

    นอกจากนี้ยังเป็นยาระงับความเจ็บปวดได้ดียิ่ง...หมู่วิหคโผผินบินไปมาส่งเสียงร้องแข่งกับ

    เสียงไก่ขันที่ชาวเขาเลี้ยงไว้เพื่อกินไข่ของมัน..และนำมันมาเชือดเป็นอาหาร

    ....................สายลมเย็นอ่อน ๆโชยมา มีแสงสว่างแต่ยังไร้ซึ่งดวงตะวันประดับฟ้า..

    นะจาและจาโอสาวน้อยวัยเดียวกัน...ตื่นก่อนแขกผู้มาเยือนซึ่งยังคงหลับอยู่ด้วยความอ่อน

    เพลียและฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเมื่อคืนนี้...

    ....................สาวน้อยทั้งสองแต่งชุดชาวเผ่ามูเซอจนดูงามตระการตา..เดินเคียงคู่ไป

    ที่ "ลำห้วย"..อันเป็นสถานที่ลบปมด้อยของดอยแห่งนี้.......ที่คนส่วนใหญ่เล่าลือกันว่า

    "บนดอยไร้น้ำ"

    ....................ณ ยามนี้ ความสวยงามที่ประดับบนดอยยามเช้านี้..ทำให้หวลคิดถึงบท

    เพลง "เทพธิดาดอย"ที่อยู่ในความทรงจำของผู้เขียนที่ต้องบันทึกเอาไว้..ทั้งทำนอง

    ดนตรี..เนื้อร้องและเสียงร้องของผู้ร้อง คือ แพทย์หญิงพันทิวา สินรัชตานันท์ ที่ผู้เขียนได้ยินได้ฟังมา

    เมื่อประมาณเกือบ 30 ปีมาแล้วนั้น...บทเพลงนี้ไพเราะและมีเสียงร้องที่สูงแหลมบาดใจ..

    จนต้องหยุดฟังเพลงจนจบ...และเกิดจินตนาการอันมากมายตามบทเพลงนั้น..ก็ขอ

    บันทึกเอาไว้เพื่อให้ผู้อ่าน...จินตนาการไปตามบทเพลง"แทนการบรรยายเรื่องราว

    ตอนนี้"......


    ...................."มวลเถาวัลย์ป่าใบเขียว...คดลดเลี้ยวพันเกี่ยวคบไม้ใหญ่

    ....................ฝูงมัจฉาว่ายแหวกน้ำใส...เวียนวนไปภายในสายวารี

    ....................มวลบุปผชาติดาดเนินเขางาม...แลสพรั่งแทรกตามหินทุกก้อนมี

    ....................สาวแม้วแฉล้มแก้มสดศรี....กายใจพลีให้ชายเชื้อชาติไทย

    .....................นวลหน้าขาวผ่องนวลใย...ไร้ไฝฝ้า....

    ....................เรือนร่างโสภาสวมเสื้อเขียว...ปราดเปรียวว่องไว

    ....................อ่อนหวานงามเยือกเย็น...เช่นจันทร์สาดแสงส่องฟ้าอำไพ

    ....................ดุจไฟร้อนแรงแห่งแสงอาทิตย์...ยามรักเข้าครอบครอง....

    .....................สาวเจ้าไม่คิดที่จะรัก...ชายบ้านเดียวกัน

    ....................ทุกลมหายใจยึดมั่น...แต่ชายหนุ่มไทยที่เจ้าหมายปอง.รักเขาล้นใจ...

    .....................อันอานุภาพความรัก...แท้นักประจักษ์รักยิ่งใหญ่

    ....................มีอำนาจเหนือทุกสิ่งใด...มนต์ดลใจพันผูกสองชีวัน

    ....................แม้วกับหนุ่มไทยฉ่ำชื่นหัวใจ...ดวงฤทัยมีแต่รักที่คงมั่น

    ....................ลืมสิ้นทุกสิ่งเคยผูกพัน..ลืมกลางคืนกลางวันลืมเวลา..

    .....................ลืมสิ้นทุกสิ่งเคยผูกพัน...ลืมกลางคืน..กลางวัน..ลืมเวลา..."



    .....................ณ ลำห้วยสายธารแหล่งน้ำที่เชิงดอย...จาโอเอ่ยขึ้นกับนะจาขณะที่

    กำลังตักน้ำ

    ............................."เมืองคิดอย่างไรกับเจ้าหรือ..นะจา"

    ............................."ข้าไม่รู้..เท่าที่รู้จักเมืองมา..เขาไม่เคยบอกรักข้า"

    ............................."แต่ว่าเจ้ากับเขาสนิทสนมกันดีมิใช่หรือ"

    ............................."ข้อนั้นมันก็ถูกของเจ้า..แต่เขามองข้าไม่ต่างกับลีเจงมองข้า

    เท่าใดนัก..หรือเขาอาจเห็นข้าเป็นเหมือนน้องสาวของเขา"

    .............................."ถ้าเป็นเจ้ากาลู..ข้าบอกเจ้าได้เลยว่า กาลูมันรักเจ้าแน่" จา

    โอพูดซ่อนยิ้มอย่างยั่วเพื่อน

    ...................."กาลู"..ที่จาโอเอ่ยถึง..คือ ผู้ที่ติดตามพ่อเฒ่าอองซอนหัวหน้า

    เผ่ามูเซอ...เขากับพวกเป็นเหมือนองครักษ์พิทักษ์หัวหน้าเผ่า.."และหลงรักในตัว

    นะจาอยู่"..แต่กาลูก็รู้ว่านะจาแอบรักเมืองอยู่เช่นกัน...

    ....................นะจามองค้อนจาโอด้วยไม่อยากให้เอ่ยถึงกาลู...ทำให้จาโอหัวเราะ

    ออกมาที่ยั่วเพื่อให้งอนได้สำเร็จ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2011
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองตื่นขึ้นมาไม่พบเห็นผู้ใดอยู่ในบ้าน..เขาจึงออกจากบ้านเดินสำรวจ

    ที่ตามบ้านต่าง ๆ...เพื่อมองหาชายหนุ่มเผ่ามูเซอที่สามารถออกศึกกับเขาได้.......ก่อนที่

    ลีเจงจะกลับมา

    ....................ยามสาย..ลีเจงสหายของเมืองได้ขี่เกวียนบรรทุกกวางป่าขนาดย่อม ๆ

    สามตัว..เดินทางเข้าหมู่บ้านพร้อมกับพรรคพวกอีกสี่คนที่ขี่ม้าตามมา...ลีเจงเห็นเมืองเดิน

    ไปมาในหมู่บ้านแต่ไกลก็จำได้ ลีเจงจึงรีบบังคับม้าที่ลากเกวียนให้เดินเร็วขึ้น..

    ....................เสียงฝีเท้าม้าและเกวียนเคลื่อนเข้ามาใกล้ทำให้เมืองหันไปดู..ก็ให้รู้สึก

    ดีใจยิ่งนักที่..."คนที่เขารอคอยอยู่กลับมาแล้ว"......พลางเอ่ยทักเมื่อมองดูกวางทั้งสาม

    บนเกวียน

    ............................"ฝีมือเจ้าไม่ตกเลยนะลีเจง"

    ............................"ถ้าไม่ใช่ยางน่องคงเอาไม่อยู่หรอก.....ว่าแต่เจ้ามาอย่างไรใน

    เช้านี้"

    ...................."ยางน่อง"ที่ลีเจงเอ่ยถึง คือ ยาพิษที่ใช้อาบหรือเคลือบหัวลูกดอกหรือ

    ลูกธนูหน้าไม้..เพื่อใช้ยิงสัตว์หรือคนร้ายที่บุกรุกเผ่ามูเซอ....

    ............................."ข้ามารอเจ้าตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว" .....เมืองเอ่ยตอบ.....ทำ

    ให้ลีเจงขมวดคิ้วฉงนว่า.....เมืองมีเหตุอันใดถึงมาหาเขาในตอนกลางคืน

    ............................."แล้วเจ้าได้เจอพ่อข้ากับนะจาหรือยัง"

    ............................."พ่อเจ้ายังไม่กลับมาจากเผ่าเหย้าเลย..ส่วนนะจาน้องเจ้ายังรู้

    ใจข้าเหมือนเดิม"

    ....................คำว่า "รู้ใจเหมือนเดิม"..คือ การนำเหล้าชั้นยอดของเผ่ามูเซอที่หมัก

    เอาไว้มาให้ดื่มกิน..ซึ่งลีเจงฟังก็รู้ความหมาย..จึงได้หัวเราะออกมา..พร้อมกับเอ่ยขึ้นเมื่อ

    เห็นสีหน้าอิดโรยของเมือง

    ............................"นี่ท่าทางของเจ้าดูอิดโรย..ท่าจะดื่มมันหนักสินะเมื่อคืนนี้"

    ............................"เปล่าหรอก..ข้าเพียงแต่เดินทางมาไกลโดยไม่หยุดพักจนถึงที่

    นี่เอายามดึก"

    ............................"แสดงว่าเจ้ามีเรื่องเดือดร้อนจึงมาหาข้า..เราไปหาที่คุยกัน

    เถอะ"

    .....................ลีเจงฟังคำพูดและดูพฤติการณ์ท่าทางของเมืองจึงเอ่ย..ชวนคุยธุระ..

    พร้อมกับส่งสัญญาณให้เมืองขึ้นเกวียนนั่งคู่กันเพื่อเดินทางไปบ้าน...และระหว่างทางเมือง

    ก็ได้เล่าสาเหตุที่เขามาพบลีเจงให้ลีเจงฟังจนเข้าใจ....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • buatong3.jpg
      buatong3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      119.7 KB
      เปิดดู:
      45
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เกวียนมาถึงบ้าน..ลีเจงสั่งให้ลูกน้องที่ตามมาด้วย..นำกวางไปชำแหละ

    แจกจ่ายตามบ้านต่าง ๆ และนำเนื้อกวางที่เหลือจากจ่ายแจกนำมาย่างที่กองไฟที่ก่อขึ้นใต้

    ต้นไม้หน้าบ้านและนั่งล้อมวงดื่มเหล้าคุยปรึกษาหารือกัน..เป็นขณะเดียวกับที่นะจาและจา

    โอตักน้ำกลับมาบ้านพอดี.....

    ............................."ลีเจงเจ้ากลับมาได้ทันคนรอคอยเลยนะ" นะจาเอ่ยทักพี่ชาย

    แกมสัพยอกเมือง

    ............................."ทุกที..เห็นมาเอาเกือบเที่ยงวัน" จาโอเอ่ยเสริมต่อจากนะจา

    ............................."ข้าได้กวางมาสามตัวย่อม..มาแต่กลางวันเมื่อวานนี้ทิ้งไว้ข้าม

    คืนแล้ว...ข้าเลยต้องรีบกลับกลัวเนื้อจะเน่าเสีย"...ลีเจงเอ่ยตอบ

    ....................นะจาและจาโอนำน้ำไปใส่ตุ่มแล้วเข้ามานั่งร่วมวงสนทนากับเมืองและลี

    เจง..ซึ่งกำลังสนทนาปรึกษาหารือกับพรรคพวก

    .............................."ในส่วนของเผ่ามูเซอ..ข้าจะเลือกคนที่มีฝีมือเอง...แต่ใน

    ส่วนของเผ่าอื่น..ข้าคงต้องให้พ่อข้าจัดการ" ลีเจงเอ่ยแก่เมืองและพรรคพวกหลังจากฟัง

    เรื่องราวที่เมืองเล่าให้ฟังและต้องการมาขอกำลังช่วย...

    .............................."ถ้าเช่นนั้น..เจ้าน่าจะค้างคืนอีกสักคืนเพื่อรอพ่อข้ากลับมา

    จากเผ่าเหย้าก่อน...แล้วจึงปรึกษาความกัน" นะจาเอ่ยตามเป็นเชิงแนะเมือง

    ....................เมืองนั่งนิ่งใช้ความคิด..ด้วยตนเองยังไม่รู้ข่าวจากมุก.ที่ได้สั่งให้มุกไป

    บอกแก่ขุนทัพให้นำกำลังมาจัดการกับกองกำลังของเอหม่องที่ฐานที่ตนเองและมุกค้น

    พบ...เมืองคิดว่าจะต้องมีกองกำลังของพม่าติดตามเข้ามาเพิ่มที่ฐานแห่งนั้นอีก..

    ....................แต่ฐานที่ตั้งแห่งนั้นเอหม่องกับพรรคพวกได้เคลื่อนย้ายกำลังขึ้นเหนือ

    ไปแล้ว...โดยไปตั้งมั่นรอกำลังเสริมจากกองกำลังพม่าอยู่ที่ใกล้กับ"ห้วยโก๋น"..โดยที่

    เมืองไม่รู้...ด้วยเอหม่องคาดการณ์ว่าเมืองจะต้องนำกำลังมาขับไล่พวกเขาที่ฐานแห่งนั้น

    จึงรีบหนีมาเสีย..และส่งคนไปขอกำลังเพิ่มจากขุนนางพม่า...

    ....................เมืองไม่แน่ใจว่า "มุกจะพบกับขุนทัพหรือไม่"...ดังนั้น เขาจึงคิดจะกลับ

    ไปยังฐานที่ตั้งนั้นอีกครั้ง...เพื่อสำรวจดูว่า"กองกำลังของเอหม่องยังคงอยู่หรือไม่"...หาก

    ยังอยู่เขาจะกลับมานำกองกำลังของชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ไปขับไล่เอหม่องกับพวก..ให้ออก

    จากฝั่งตะวันออกของเมืองน่านเสีย....

    .....................แต่การที่จะรวบรวมกำลังชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ได้.........ก็เห็นจะมี

    เพียง"พ่อเฒ่าอองซอน"ที่มีนิสัยผูกมิตรกับเผ่าต่าง ๆ อยู่เสมอเพียงผู้เดียว..ที่เขาจะต้อง

    อธิบายให้พ่อเฒ่าเข้าใจว่า "เขากำลังทำอะไร"

    ......................ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนใจจากเดิมที่คิดว่า.."เมื่อพบลีเจงแล้วก็จะจาก

    ไป..เป็นรอพ่อเฒ่าอองซอนตามคำเสนอแนะของนะจา"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หลังจากอาหารมื้อเช้าเสร็จ ..ลีเจงเดินนำหน้าเมืองขึ้นมาบนบ้าน..และ

    ตรงเข้าไปในห้องของเขาที่เป็นที่หลับนอนของเมือง...ลีเจงเห็นคันธนูใหญ่พร้อมกับลูก

    ธนูที่อยู่ในกระบอกไม้ไผ่แขวนอยู่ข้างที่หลับนอนของเมือง...เขาจึงหยิบคันธนูขึ้น

    มาจับแล้วลองง้างสายดู พร้อมกับเอ่ยขึ้นแก่เมือง...

    ............................"เมือง..เจ้ามาใช้ธนูเป็นอาวุธแทนปืนพกแล้วหรือ"

    ............................"ข้ายังใช้ปืนอยู่...แต่ยามที่ข้าไม่ต้องการให้เกิดเสียงดัง...ข้า

    จำเป็นต้องใช้มัน"

    .....................ลีเจงพยักหน้ารับตามคำพูดเมือง..แล้วแจงความรู้เกี่ยวกับธนูแก่เมือง

    ............................."ธนูมันสามารถยืดหยุ่นความแรงได้ดีกว่าหน้าไม้ของข้า..หาก

    เราดึงง้างสายเต็มกำลังและปล่อยลูกธนูออกไป..มันจะไปได้ไกลและแรงมาก...แต่หากเรา

    ไม่อยากให้มันไปไกลหรือต้องการลดแรงลูกธนูลง...เราก็ดึงง้างสายมันพอประมาณแล้ว

    ปล่อยลูกธนูออกไป....มันก็จะไปตามแรงนั้น.....หากใช้มันจนชำนาญ....เจ้าก็สามารถ

    บังคับการยิงให้พอเหมาะแก่ระยะเป้าได้อย่างแม่นยำ

    .............................ส่วนหน้าไม้ของข้าลูกแต่ละดอกจะมีความแรงเท่ากันหมด..ไม่

    ว่าเป้าหมายจะอยู่ไกลหรือใกล้...เพราะมันถูกบังคับให้ดึงสายมาเพียงไกดึงสายเท่านั้น...

    ข้าปล่อยลูกหน้าไม้ออกไปก็ต่อเมื่อกดไกลง..ลูกดอกหน้าไม้ก็จะพุ่งออกไป"

    .....................ลีเจงพูดพร้อมกับหยิบลูกธนูหน้าไม้ของตนพาดเข้ากับคันธนูของเมือง

    ที่ตนเองถืออยู่..แล้วเล็งไปที่นอกหน้าต่าง.."เป้าหมายคือต้นไม้ตนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป

    ราว 30 เมตร"....ลีเจงปล่อยลูกหน้าไม้ที่ถูกยิงด้วยคันธนูออกไปอย่างแรง..ลูกหน้าไม้พุ่ง

    ออกไปอย่างเร็วและแรงไปปักยังเป้าหมาย....

    ......................เมืองจึงเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจปนความยินดีกับความแม่นยำของสหาย

    ที่ใช้...ลูกหน้าไม้แทนลูกธนูยิงด้วยคันธนูถูกเป้า....

    ............................"ข้าคิดว่าเจ้ายิงหน้าไม้ได้แม่นยำเพียงอย่างเดียว..ไม่คิดว่าเจ้า

    จะใช้ธนูได้ดีเยี่ยมเท่ากัน"

    ......................ลีเจงอมยิ้มแล้วเอ่ยตอบ

    ............................."ข้าเล็งมันเหมือนกับเล็งหน้าไม้ของข้า..หน้าไม้ของข้าเวลา

    ใช้...มันจะต้องนิ่ง..ลูกของมันถูกวางอยู่บนรางหน้าไม้อย่างสงบรอเวลาที่ผู้ยิงจะปล่อยมัน

    ออกไปพิชิตเหยื่อ...ส่วนลูกธนูมันไม่มีรางไม้ให้มันวาง มันจึงไม่อาจอยู่นิ่งได้..นอกจาก

    เจ้าต้องบังคับมันให้นิ่งเท่านั้น..เมื่อปล่อยลูกออกไปมันจะแม่นยำเหมือนหน้าไม้ที

    เดียว"

    ....................ลีเจงพูดพร้อมกับนำหน้าไม้อันใหญ่ของตนออกมา..แล้ววางลูกที่ราง

    ไม้เล็งไปที่เป้าเดิมกับที่ยิงด้วยคันธนู..แล้วกดไกปล่อยลูกหน้าไม้ทันที...ลูกหน้าไม้พุ่ง

    ออกจากรางตรงไปปักที่ต้นไม้เบียดกับลูกแรกอย่างชิดติดกัน..ทำให้เมืองถึงกับเอ่ยชม..

    ............................"เจ้านี่เข้าใจหลักการยิงทีเดียว ข้าคงต้องฝึกหัดอีกนานจึงเป็น

    ดังเจ้า"

    ............................"เจ้าไม่ต้องฝึกหัดเรื่องการยิงหรอก..เจ้าฝึกเพียงใจของเจ้า

    ให้นิ่งไม่หวั่นไหวกับสิ่งใดทั้งนั้นเวลาเจ้ายิงมัน"

    ............................"ข้าเคยเรียนรู้..การยิงเป้าเคลื่อนที่..แต่กับ เป้าที่นิ่ง.ข้าเพิ่งรู้

    จากเจ้า"

    .....................ลีเจงรู้สึกฉงนและมองหน้าเมืองอย่างสงสัย พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"เป็นไปได้อย่างไร..การยิงธนูต้องฝึกหัดจากเป้านิ่ง ที่ต้อง

    ยิงฝึกฝนให้เข้าเป้าจนชำนาญก่อน..แล้วจึงมายิงเป้าเคลื่อนที่...ใครเป็นคนสอนเจ้า

    ยิงเป้าเคลื่อนที่"

    ............................"ศัตรูที่จะมาฆ่าข้าเอง"

    ....................ลีเจงแปลกใจที่คนคิดฆ่าเมือง จะมาสอนการยิงธนูให้แก่เมืองเช่นไร จึง

    รีบเอ่ยถาม

    ............................"มันเกิดขึ้นได้อย่างไร"

    ............................"ข้าลอบดูวิธีการที่มันยิงและเรียนรู้จากมัน..ข้าเห็นมันสอยอีกา

    ที่กำลังบินวนอยู่บนท้องฟ้าจนล่วงลงมา"

    .....................เมืองพูดพร้อมกับจับคันธนูที่ลีเจงกำลังส่งให้..แล้วหยิบลูกธนูของตน

    จากกระบอกไม่ไผ่ขึ้นทาบกับคันธนู.."อันลูกธนูดอกที่ 5 ของเมือง"แล้วเล็งขึ้นไปบน

    ท้องฟ้าเป้าหมายคือ..เหยี่ยวใหญ่

    ตัวหนึ่งที่กำลังบินไล่นกน้อยสามตัวเพื่อจับกินเป็นอาหาร..แล้วปล่อยลูกธนูออก

    จากสายคันธนู....ลูกธนูพุ่งทะยานขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วและแรงพุ่งเจาะเข้ากลางลำ

    ตัวของเหยี่ยวใหญ่ตัวนั้นล่วงหล่นลงมาก่อนที่จะตะครุบนกน้อยเป็นอาหาร.........

    ลีเจงเห็นเช่นนั้นถึงกับอุทาน..

    ............................"เยื่ยมมากเมือง..เจ้าเป็นคนมีสติปัญญามากจึงมีความคิด

    อ่านและเรียนรู้อะไรได้รวดเร็วจริง ๆ"

    ............................"การยิงเป้าเคลื่อนที่ มือข้าต้องเคลื่อนที่ตามเป้า..แล้วยิง

    สกัดข้างหน้ากะระยะให้เป้าเคลื่อนที่เข้าหาลูกธนูตามระยะที่กะไว้..ส่วนการยิงเป้า

    นิ่งมือเจ้าจึงต้องนิ่งตามที่เจ้าว่า..เพราะเหตุที่มือข้าไม่เคยนิ่ง...ไม่ว่าปืนหรือลูกธนู

    ข้าไม่เคยยิงเป้านิ่งได้ดั่งใจ"

    ............................"ใจนิ่งเท่านั้นแหละเมือง..ที่เป็นตัวกำหนดการยิงเป้านิ่ง"

    .....................เมืองมองหน้าลีเจงอย่างยอมรับในคำแนะนำ ..แต่เขามีเรื่องสงสัย

    บางอย่างจึงเอ่ยถาม

    ............................"ธนูเจ้าก็ยิงได้ และข้าก็เชื่อว่าชาวมูเซอ รวมทั้งชนเผ่าอื่น ๆก็

    ใช้มันได้เช่นกัน...และข้าคิดว่าธนูสามารถใช้ได้รวดเร็วกว่าหน้าไม้...แล้วทำไมเจ้ากับชาว

    มูเซอและชาวเขาเผ่าอื่นจึงนิยมมาใช้หน้าไม่เล่า"

    .....................คำถามของเมือง ทำให้ลีเจงหัวเราะขึ้น พร้อมกับมองหน้าเมืองแล้ว

    ย้อนถามกลับไป

    ............................"เวลาที่เจ้าดึงสายง้างคันธนู เจ้าต้องใช้กำลังแขนทั้งสองข้าง

    ดึงสายง้างมันก่อนจะปล่อยลูก...แล้วเจ้าสามารถง้างดึงมันไว้ได้นานเท่าไร"

    ............................"ไม่ถึงนาที"

    ............................"ทำไม"

    ............................."เพราะข้าจะปวดเมื่อยล้า..แล้วมือจะสั่นทำให้คันธนูไม่อยู่ที่"

    ............................."ถูกต้องนั่นคือคำตอบ...ธนูเป็นอาวุธที่เมื่อง้างสายแล้วต้องยิง

    ในทันที จึงจะมีความแม่นยำ..ไม่เช่นนั้นจะเป็นเยี่ยงที่เจ้าพูดมา.....ส่วนหน้าไม้เป็นอาวุธ

    ที่เมื่อดึงสายแล้วล็อคไกไว้มันก็จะอยู่เช่นนั้นโดยไม่ต้องออกแรงดึงเหมือนธนู..และจะใช้

    ยิงเมื่อไรก็ได้...พวกข้าต้องซุ่มดูสัตว์...หากข้าใช้ธนูง้างสายเพื่อจะยิงระหว่างพบสัตว์..

    สัตว์มันจะได้ยินเสียงง้างสายธนู...มันก็จะวิ่งหนีไปในทันที.มันเสียเวลามากกว่าหน้าไม้..

    ด้วยเหตุนี้ข้ากับพวกชาวเขาจึงนิยมใช้หน้าไม้เป็นอาวุธ"

    ............................"แล้วข้าควรทำอย่างไร..จึงถือคันธนูไว้ได้นาน"

    ............................"เจ้าก็ต้องฝึกยกถือคันธนูเล่งเป้าเป็นเวลานานให้เคยชิน..

    และต่อจากนั้นเจ้าก็ควรฝึกง้างสายคันธนูควบคู่กันในเวลาต่อมา..นั่นคือเจ้าต้องสู้

    กับความปวดเมื่อยอ่อนหล้าของตนเองจนเจ้าคุ้นเคยกับมัน..หากเจ้าต้องการยิงธนู

    ให้เหมือนหน้าไม้"

    ....................การอธิบายเชิงวิจารณ์ของลีเจงเกี่ยวกับธนูและหน้าไม้..ทำให้เมืองได้

    รับความรู้ในการยิงธนูขึ้นมาอีก...เพราะเมืองนั้นต้องการฝึกการใช้ธนูให้คล่องแคล่ว

    และแม่นยำ..เนื่องจากเขาเพิ่งเริ่มที่จะใช้ธนูเป็นอาวุธและไม่มีความชำนาญ...ซึ่ง

    อาวุธธนูนี้แหละที่เขาจะต้องใช้ต่อกรกับเฮียงคี้ผู้ที่มีฝีมือเป็นเลิศในการยิงธนู

    ....................และมันจะเป็นตำนานการต่อสู้ด้วยธนูที่ยิ่งใหญ่ในเมือง

    น่าน.."ระหว่างเมืองซึ่งด้อยกว่าเฮียงคี้หลายกระบวนท่า..และอะไรเล่าที่ทำให้

    เฮียงคี้จบชีวิตลงในการต่อสู้ที่บันทึกไว้ในภาพวาดที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

    จังหวัดน่าน".......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A151.jpg
      A151.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.8 KB
      เปิดดู:
      36
    • A3451.jpg
      A3451.jpg
      ขนาดไฟล์:
      105.2 KB
      เปิดดู:
      42
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2011
  6. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    -พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่พญาช้างนาฬาคิรีว่า "นาฬาคิรีเอ๋ย ที่เธอกำเนิด

    เป็นสัตว์เดรัจฉานในชาตินี้เพราะเธอทำกรรมไม่ดีไว้ในชาติก่อน เธออย่าทำ

    กรรมหนักเช่นทำร้ายเราผู้เป็นพระพุทธเจ้าเลย เพราะจะเป็นบาปติดตัวเธอไป

    ชั่วกาลนาน"

    ชอบประโยคนี้มากเลย
     
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    ...........อนุโมทนากับท่านด้วยครับ...แสดงว่าท่านแท้จริง

    เป็น"ผู้ที่มีความเมตตาสูงอยู่ภายในจิตใจ"

    ...........พระดำรัสนี้จะกระทบจิตใจของ"ผู้มีเมตตาประจำใจ

    อยู่เสมอครับ" ...กระแสเมตตาที่พระพุทธองค์กล่าวมานี้..เป็น

    การส่งพระเมตตาต่อพญาช้างนาฬาคิรีอย่างสุดซึ้งด้วยคำ

    พูด....ถ้าผู้ตั้งมั่นอยู่ในความเมตตาพบเห็นจะรู้สึกและสัมผัสได้

    ทันทีเช่นท่านครับ........

    ...........ขอให้ท่านสมปรารถนาและเจริญทั้งทางโลกในทางที่

    ชอบ...และเจริญทางธรรมยิ่งขึ้นไปครับ....ด้วยความจริงใจครับ
     
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ยามบ่ายบนดอยเผ่ามูเซอ..ลีเจงนอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้อง..ส่วน

    เมืองครุ่นคิดถึงคำพูดของลีเจง.."ที่แนะให้เขาฝีกยกคันธนู"..เขาจึงเดินถือคันธนูออก

    มานอกบ้าน..แล้วเดินมาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน..ซึ่งเป็นสถานที่ก่อกองไฟและกินอาหาร

    เมื่อเช้านี้...และเมืองได้ยกคันธนูด้วยมือขวาชูไปข้างหน้าให้ขนานกับพื้นดิน..

    พร้อมกับนับเลข 1 ถึง 100 แล้วจึงลดคันธนูลง...ต่อมาก็ยกคันธนูขึ้นอีก..แล้วนับ

    1 ถึง 200 เมืองทำไปเรื่อย ๆ พร้อมกับการนับที่เพิ่มมากขึ้น...

    .....................เป็นขณะเดียวกับที่นะจากลับจาก..สังเกตรอคอยขบวนเกวียนของพ่อ

    เฒ่าอองซอน...ที่ดูแล้วยังไม่กลับมา..นะจาจึงกลับบ้านมาก่อน.และพบเห็นพฤติการณ์

    ของเมืองจึงเอ่ยถามขึ้นทันที

    ............................."เมือง..เจ้าทำอะไรอยู่"

    .....................เมืองหยุดนับเลขแต่ยังคงยกคันธนูไว้อยู่ แล้วเอ่ยตอบ

    ............................."ข้ากำลังฝึกยกคันธนูให้ได้นานอยู่"

    ............................."ใครแนะเจ้าให้ทำเช่นนี้"

    ............................."ลีเจง"

    .....................พอนะจาได้ยินชื่อผู้แนะนำคือ "พี่ชายของตน" ก็หัวเราะขึ้นมาทันที

    พร้อมกับเอ่ยอย่างเย้ยหยัน

    ............................."พี่ชายข้า ใช้หน้าไม้เป็นอาวุธนะ ข้าไม่เคยเห็นพี่ชายข้า

    ยิงธนูให้ข้าเห็นเลย....ลีเจงน่าจะสอนเจ้าใช้หน้าไม้มากกว่า...ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้า

    ยังดีอยู่หรือเปล่า..ที่เอาคนยิงหน้าไม้มาเป็นครูฝึกธนู"

    .....................เมืองยังคงยกคันธนูเฉยอยู่ พลางยิ้มแล้วเอ่ยตอบ

    ............................."เหตุผลไง นะจา..พี่ชายเจ้าพูดได้สมเหตุสมผล..ข้าจึง

    ควรฟังเขาแล้วถือเขาเป็นอาจารย์ข้าอีกตำแหน่งหนึ่ง..นอกจากเป็นสหายแล้ว"

    ............................."เจ้านี่ไม่เข้าท่าเลย..แต่เอาเถอะ เจ้ายกคันธนูอยู่อย่างนั้นไม่

    ต้องนับเลข ข้าจะเป็นคนนับให้เจ้าเอง คราวนี้เอากี่ร้อย"

    ............................."ห้าร้อย"

    ............................."โอโห..นี่เจ้าตั้งใจจริงแท้..พี่ข้าคงให้รางวัลเจ้าแน่ถ้าเขาตื่น

    ขึ้นมา...เย็นนี้ถ้าพ่อข้ากลับมาอีก..พวกเจ้าคงเมากันสนุกจนลืมข้าแน่"

    .....................เมืองนึกขันในคำพูดของนะจา."ที่ช่างพูดไม่ได้หยุดหย่อนเหมือน

    เดิม"จึงเอ่ยขึ้น

    ............................."ข้าจะลืมเจ้าได้อย่างไร..บนดอยแห่งนี้เห็นมีแต่เจ้าที่รู้ใจ

    ข้า นับเลขต่อเถอะ"

    .....................คำพูดของเมืองทำให้นะจา ยิ้มแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ พร้อม

    กับนับเลขต่อให้เมืองอย่างใจจรดจ่อ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1208960542540.gif
      1208960542540.gif
      ขนาดไฟล์:
      133 KB
      เปิดดู:
      168
    • 112.jpg
      112.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.7 KB
      เปิดดู:
      41
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2011
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ยามเย็นบนดอยเผ่ามูเซอ..พ่อเฒ่าอองซอน กาลูและผู้ติดตามเร่ง

    ขบวนเกวียนและม้าที่ขี่อยู่เพื่อให้ทันถึงหมู่บ้านก่อนค่ำ..และก็เป็นไปตามคาดหมาย

    ....................พ่อเฒ่าอองซอนและผู้ติดตามมาพบกับนะจาที่ปากทางเข้าหมู่บ้านก่อน

    ค่ำ...นะจาจึงเอ่ยรายงานเรื่องของเมืองที่เขามาขอความช่วยเหลือ..โดยให้พ่อเฒ่าจะต้อง

    เป็นผู้เชื้อเชิญกำลังของคนเผ่าต่าง ๆ มารวมกำลังรอเมืองเอาไว้...ซึ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับ

    พ่อเฒ่าผู้มีมิตรสัมพันธ์กับเผ่าต่าง ๆ แต่อย่างใด เช่นครั้งนี้

    ....................การไปเยือนเผ่าเหย้าของพ่อเฒ่าอองซอนครั้งนี้..ได้นำเอาเนื้อสัตว์ตาก

    แดดแห้งจำนวนหนึ่ง..ซึ่งใช้กินเป็นอาหารและเก็บได้นานพอควร..พร้อมกับฝิ่นดิบที่

    สามารถใช้สูบ และนำมาทำเป็นยาแก้ปวดต่าง ๆ......พร้อมกับใช้ทาหัวริดสีดวงทวารที่

    โผล่ออกมาให้มันแห้งและหลุดไป..ไปให้แก่เผ่าเหย้า.....ในขณะที่เผ่าเหย้าก็ได้ให้น้ำผึ้ง

    และรังผึ้งจำนวนมากมอบให้แก่พ่อเฒ่านำกลับมาฝากชาวเขาเผ่ามูเซอ...

    ....................การผูกมิตรของพ่อเฒ่านี้ไม่แตกต่างไปจากเมืองเลย..เพราะเขา

    ทั้งสองทำตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา..ทั้งที่พวกเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังพระ

    ท่านสอน..ถึงหลักเรื่อง"การผูกมิตร"ไว้แต่อย่างใด...แต่เพราะอุปนิสัยของพวก

    เขาประพฤติตนเช่นดัง"คำสอนของพระพุทธองค์"...พวกเขาจึงได้รับผลนั้น คือ

    การต้อนรับจากมิตรที่พวกเขาไปมาหาสู่อยู่เสมอ..............

    ....................ก็หลักคำสอนเรื่อง "สังคหวัตถุ 4"นั่นไงที่พวกเขาใช้มันจนเป็น

    นิสัย ซึ่งแปลว่า "สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการสงเคราะห์ หรือ สิ่งอันเป็นความเอื้อเฟื้อ

    เกื้อกูล" มีหลักให้ประพฤติปฏิบัติ 4 อย่าง คือ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา

    สมานัตตตา

    ....................ทาน คือ การให้ปันสิ่งของที่ควรให้แก่มิตรและผู้อื่น

    ....................ปิยวาจา คือ การพูดด้วยวาจาที่ไพเราะอ่อนหวาน

    ....................อัตถจริยา คือ การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์..ไม่เหลวไหล

    ....................สมานัตตตา คือ การวางตนเสมอมิตรและผู้อื่น..ไม่ถือตัวว่าตน

    เองเหนือกว่า

    ....................คุณทั้ง 4 อย่างนี้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจของผู้อื่นไว้ได้ พระพุทธ

    ศาสนาได้ให้ความกระจ่างถึงผลการปฏิบัติดังกล่าว จะทำให้ผูกใจมิตรหรือผู้อื่น

    ทำให้เกิดความสมานสามัคคี..ก็เป็นจริงดังท่านว่ามาแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน.....


    ....................รอบกองไฟหน้าบ้านพ่อเฒ่าอองซอน..พ่อเฒ่ายกกล้องสูบยาฝิ่น(มี

    ลักษณะคล้ายไปป์สูบบุหรี่)..มาคาบด้วยริมฝีปากแล้วบรรจงสูบมันเข้าปอดอย่างช้า ๆ

    พร้อมกับพ่นควันออกมาจนควันตลบ..ทำให้เมืองซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ต้องเบนหน้าหลบด้วยฉุน

    ควัน...นะจากับจาโอที่นั่งอยู่ข้าง ๆถึงกับหัวเราะ...และนะจาได้เอ่ยขึ้น

    ............................."ทุกทีเคยนั่งข้างพี่ข้า..แต่วันนี้เจ้าลนไปนั่งข้างพ่อข้าเอง..เจ้า

    ก็ได้รับควันเสพสุขเต็ม ๆ"

    ............................."หากข้าไม่นั่งข้างพ่อเจ้า..แล้วข้าจะเล่าเรื่องได้ถนัดเช่นไร"

    ............................."เรื่องของเจ้า..ธุระของเจ้าข้ารายงานพ่อข้าให้ฟังหมดแล้ว..

    เจ้าไม่ต้องเล่าให้เสียเวลาหรอก..ดื่มเหล้าของเจ้าต่อไปเถอะ"

    ............................."ข้าดื่มเหล้าของเจ้าแล้ว...แต่วันนี้รสชาดมันทำไมจึงหวาน"

    .....................ลีเจงซึ่งนั่งตรงข้ามกับเมืองหน้ากองไฟได้แย้มหัวเราะพลางเอ่ยขึ้น

    ............................."มันหวานและรสชาดดีใช่ไหม"

    ............................."ใช่..และมันยังร้อนท้องมาก..ข้าไม่เคยดื่มเหล้ารสอย่างนี้"

    ............................."มันเป็นสิ่งสร้างสรรค์จากน้องสาวข้าเอง" ลีเจงพูดพร้อม

    กับชำเรืองไปที่นะจาที่นั่งอยู่ข้างเมือง...ซึ่งกำลังอมยิ้มซ่อนความภูมิใจไว้อยู่..จนเมือง

    ต้องหันไปถาม..

    ............................."เจ้าทำเช่นไร..จึงได้เหล้ารสชาดดีเช่นนี้"

    ............................."ข้าเอาน้ำผึ้งและรังผึ้งที่พ่อเอามาจากเผ่าเหย้าผสมหมักเข้ากับ

    เหล้าของเรา.....นอกจากนี้ข้ายังหมักไว้เพื่อเจ้าเอาไว้ใส่ขวดแก้วของเจ้า...ไปกินระหว่าง

    ทางด้วย"

    ............................."เจ้าเก่งมากนะจา..ขอบใจ..เหล้าของเจ้ามันเป็นยาบำรุงกำลัง

    อย่างดี"

    ............................."เหล้าข้าจะเป็นยาได้อย่างไร"

    ............................."เจ้าไม่รู้หรือว่า น้ำผึ้งมาจากเกสรดอกไม้ที่เป็นยาและยังมี

    พิษของผึ้งที่มีฤทธิ์อ่อนผสมเข้าไปด้วย..มันจึงทำให้เป็นยาบำรุงกำลังอย่างดี"

    ............................."ข้าเพิ่งรู้"

    .....................พ่อเฒ่าดึงกล้องยาฝิ่นออกจากปาก พลางเอ่ยขึ้นแก่เมือง

    ............................."ตกลงอีกสองวันข้าจะข้ามไป เผ่าแม้ว กระเหรี่ยง อีก้อ และ

    เผ่าอื่น ๆ แล้วจะย้อนกลับมาที่เผ่าเหย้า..เพื่อหาคนให้เจ้า"

    ............................."พ่อเฒ่าคาดว่าจะได้สักกี่คน"

    ............................."สัก 30 คน รวมกับเผ่ามูเซอของเราก็ราว 40 คน"

    ............................."ขอบคุณพ่อเฒ่า ข้าจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้"

    ............................."เจ้าเป็น.."คนเมือง"..ที่มีไมตรีต่อเผ่าเราและเป็นมิตรที่ดี

    ตลอดมา..เคยนำเอาผลไม้ของเมืองน่านมาให้เผ่าเราอยู่เป็นนิจ..ข้ายังไม่เคยตอบ

    แทนเจ้าเลย"

    ............................."เรื่องผลไม้มันเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับข้า..แต่เรื่องที่ผู้

    คนจะไปเสี่ยงตายกับข้ามันเรื่องใหญ่มาก มันเทียบกันมิได้"

    ............................."ขึ้นชื่อว่า ...ความมีน้ำใจที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน..

    มันเป็นความยิ่งใหญ่งดงามเสมอกันนะเมือง"

    .....................เมืองพยักหน้ารับตามคำพูดของพ่อเฒ่าอองซอน และลีเจงได้เอ่ยถาม

    ขึ้นแก่เมือง

    ............................."เจ้าจะให้คนมารวมกันที่เผ่ามูเซอเมื่อใด"

    ............................."ข้าจะกลับไปฐานที่ตั้งของค่ายพม่าก่อน..หากมันยังคงอยู่..

    ข้าจะรีบกลับมาหาเจ้าเพื่อตามคนเผ่าต่าง ๆ มารวมกันที่นี่อีกครั้งหนึ่ง..แต่หากมันหลบหนี

    ไป...ข้าคงต้องติดตามจนเจอค่ายของมัน...จึงกลับมาส่งข่าวเจ้า.......เพื่อตามคนมา

    รวมกันอีก"

    ............................."ได้ข้าจะรอ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2238.JPG
      IMG_2238.JPG
      ขนาดไฟล์:
      21.8 KB
      เปิดดู:
      40
    • A231.jpg
      A231.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66 KB
      เปิดดู:
      37
    • Africa14.jpg
      Africa14.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.9 KB
      เปิดดู:
      46
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ห้องนอนของลีเจง..เมืองนอนไม่หลับด้วยครุ่นคิดอะไรหลายอย่าง เขาจึงเดิน

    ออกจากห้องลีเจงยามดึกสงัด..และเดินออกมาที่กองไฟหน้าบ้านที่กำลังมอดไหม้..โดยมีแสงจันทร์

    ส่องสว่างไปทั่วบริเวณดอย..ทำให้มองเห็นทิวเขาป่าดงพงพีเบื้องหน้ามืดครึ้มไปหมด...

    .....................เสียงเปิดประตูของเมือง..นะขาได้ยินมันเพราะตนเองก็นอนไม่หลับ..นะจารู้สึก

    ว่า"เมืองต้องเดินออกจากห้อง"...นางจึงเดินตามเมืองออกไป..ก็พบเมืองกำลังจ้องมองไปที่ทิวเขา...

    นะจาจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ..เมืองได้ยินเสียงเดินจึงหันกลับมาก็พบนะจา...

    ............................."เจ้ายังไม่หลับอีกหรือนะจา จึงออกมาข้างนอก"

    ............................."จะให้ข้าหลับได้อย่างไร..ในเมื่อแขกของข้ายังตื่นอยู่"

    ......................เมืองมองหน้านะจาแล้วจึงเอ่ยถาม

    ............................."ยามข้าไม่มาที่นี่ กาลูดูแลเจ้าดีอยู่หรือ"

    ............................."ข้าอยู่กับเจ้าที่นี่ แต่ใยถามถึงคนอื่น"

    ............................."ข้ารู้สึกว่า..กาลูรักเจ้า..ข้าจึงคิดอยู่นาน"

    ............................."เจ้าคิดเรื่องใด"

    ............................."ข้าคิดว่า หากข้าเป็นคนเผ่ามูเซอ..ข้าคงไม่รักเจ้าอย่างน้องสาว"

    ....................คำพูดของเมืองทำให้หัวใจของนะจาเต้นเร็วขึ้น นางจึงรีบถาม

    .............................."ทำไม"

    .............................."ข้าเห็นและคลุกคลีกับเจ้าและพี่เจ้ามาแต่เล็ก ทำให้เจ้ารู้ใจข้าไป

    เสียหมด การที่อยู่ใกล้คนที่รู้ใจมันย่อมดีกว่า..ไปอยู่กับคนที่ไม่แน่ใจ"

    .............................."เจ้าพูดเช่นนี้ เจ้าอยากบอกรักข้าหรือ" นะจาถามด้วยเสียงสั่น

    ....................เมืองจ้องหน้านะจาพลางเอ่ยขึ้น

    .............................."ข้ายังบอกสิ่งใดกับเจ้าไม่ได้ นอกจากข้าจะต้องค้นหาตัวข้าเองให้

    พบก่อน"

    ....................นะจาก้มหน้าอย่างผิดหวัง..แล้วเอ่ยถาม

    .............................."พรุ่งนี้เจ้าจะไปที่ใด"

    .............................."ข้าจะไปที่ค่ายพม่า..หากไม่พบ..ข้าจะข้ามไปฝั่งตะวันตกของแม่

    น้ำน่าน..เพื่อค้นหาตัวข้าเองให้ได้"

    ....................นะจาไม่เข้าใจความหมายที่เมืองพูด นางจึงทักท้วง

    .............................."แล้วที่เจ้าบอกกับพ่อและพี่ข้าว่า หากไม่พบค่ายพม่า..เจ้าจะตาม

    จนพบแล้วกลับมานำคนไปขับไล่เล่า"

    .............................."เรื่องนั้นข้าต้องทำ แต่ข้าสงสัยบางสิ่งบางอย่าง..จึงอยากเดินทาง

    ไปฝั่งตะวันตกก่อน..เมื่อข้ารู้บางสิ่งบางอย่างแล้วข้าจะกลับมา...ข้าเชื่อว่าต้องมีสหายของ

    ข้าบางคนจะต้องขึ้นมาตามข้าถึงดอยแห่งนี้..หากเขามาเจ้าจงบอกว่าให้เขากลับไปรอที่บ้าน

    ขุนทัพพ่อข้า...และไม่ต้องบอกเขาว่าข้าไปไหน"

    .....................เมืองต้องการค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ฝั่งตะวันตกในตัวเมืองน่าน..และเขา

    คาดการณ์ว่าสหายของเขาคนหนึ่งจะต้องขึ้นมาตามเขาบนดอยแห่งนี้.......คนที่เมืองคาด

    ว่า..."จะฉลาดเฉลียวและมุ่งมั่นอดทนขึ้นมาตามถึงบนดอยแห่งนี้ได้" ก็คือ "สาย"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2011
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................รุ่งขึ้นเช้าเมืองเตรียมออกเดินทาง..เขาขึ้นขี่หลังม้าด้วยใจที่"มุ่งมั่นเต็มเปี่ยม..

    ยืดอกด้วยความสง่างาม"...เป็นขณะเดียวกับลีเจง "หอบเอาลูกดอกหน้าไม้จำนวนหนึ่งใส่ไว้ในซอง

    หนังสัตว์"..เดินตรงเข้ามาหาเมืองและเอ่ยขึ้น

    ............................"ลูกดอกหน้าไม้พวกนี้มันใช้กับคันธนูของเจ้าได้..เจ้าจงเก็บมันไว้ใช้ฝึกยิง

    และ..เป็นอาวุธยามลูกธนูของเจ้าหมดจากกระบอก"

    .....................เมืองก้มลงรับจากลีเจงแล้วนำมันมาไว้ที่ด้านหลังกับกระบอกลูกธนูพร้อมกับผูกมัน

    ไว้กับตัวอย่างแน่นและเอ่ยตอบลีเจง

    ............................."ขอบใจเจ้ามากสหาย"

    ............................."เจ้าอย่าลืมที่ข้าชี้แนะแก่เจ้า..แล้วเจ้าจะเป็นนักแม่นธนูตัวยง"

    .....................เมืองพยักหน้ารับตามคำพูดของลีเจง..เป็นขณะเดียวกับที่นะจาเดินมาที่ข้างม้าอีก

    ด้านหนึ่ง..พร้อมกับส่งห่อผ้าที่ข้างในบรรจุด้วยเสบียง คือ ข้าวเหนียวและเนื้อกวางตากแห้งซึ่งย่างจน

    สุกดี...พร้อมกับส่งขวดแก้วทรงมะม่วงของเมือง..........ที่นางนำมันไปใส่เหล้าผสมน้ำผึ้งจนเต็มขวด

    ให้แก่เมือง..... เมืองจึงนำมันสะพายไว้ที่หัวไหล่และจึงหันกลับมาสบตากับนะจา นะจาจึงได้เอ่ยขึ้น

    ............................."เจ้าจงกลับมาที่นี่อีก"

    .....................คำพูดของนะจา คือ คำอวยพรก่อนจากให้เมืองโชคดีได้กลับมาหานาง

    อีก..เมืองพยักหน้าและกระตุกม้าควบออกไปจากดอยแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว...พร้อมกับสายตา

    ของพี่น้องสองคนที่เฝ้ามองดู.."แขกผู้มาเยือน" ที่กำลังลับไป...แต่สายตาของ"สาวดอยเผ่า

    มูเซอนั้นมองไป..ด้วยความคิดอันมากมายอย่างมีความหมาย.....



    ..........งามสง่าอยู่บนหลังอาชา..ดุจนักรบผู้ทรนง...ใจมั่นคงมุ่งมั่น...หาความหมาย...จาก

    ยอดดอยสู่ที่ราบ...ไม่กลัวตาย...จุดมุ่งหมาย...ความพินาศของศัตรู.....

    ..........ลาก่อนแม่สาวชาวป่าดอย...ผู้เฝ้าคอย...ข้าลาละเน้อ....จำใจลาด้วยอาวรณ์...ใจ

    รอน ๆ เหลียวมองเหม่อ...เมามึนยืนเพ้อ.....ฟังมูเซอออดอ้อน....



    .....................เมือง มีสุข ได้ขี่ม้าสีนิลทะยานขึ้นมาที่บนดอยแห่งนี้ และพบชาวเขาเผ่า

    มูเซอครั้งแรกเมื่อเขามีอายุเพียง 13 ปี .....ในขณะที่ลีเจงอายุ 15 ปี...และนะจาอยู่ในวัย

    เพียง 9 ปี....พวกเขาคบหากันและสนิทสนมกันมาแต่เยาว์วัย..โดยเมืองจะนำผลไม้จากเมือง

    น่านนำมาให้และแจกจ่ายบนดอยแห่งนี้...นะจาเรื่มชอบเมืองมาตั้งแต่เมื่อพบครั้งแรก...และ

    ปลูกฝังเรื่อยมาจนนางเป็นสาวย่าง 16 ปี.........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2011
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .......ตอนที่ 53 สายพิณกับบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์....


    ....................เมืองควบม้าสีนิลด้วยความเร็วทะยานลงจากดอย...มุ่งหน้าลงใต้ไปสู่

    แนวเขตตะวันออกใกล้กับพรมแดนประเทศลาว...ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของกองกำลังพม่า..ซึ่ง

    เขาได้ประกาศศักดาด้วยลูกธนูที่ยิงพุ่งเข้ากลางลูกธนูของเฮียงคี้จนหักสบั้น...และลูกธนู

    ของเขายังพุ่งตรงไปที่อีกาทำลายเป้าหมายของลูกธนูเฮียงคี้จนสิ้นเชิง...ทำให้เฮียงคี้และ

    กองกำลังพม่าซึ่งนำโดยเอหม่องเจ็บแค้นเป็นที่สุด..จนต้องไล่ล่าตามระดมยิงเมืองจน

    สนั่นลั่นป่าในทันทีทันใด....แต่แล้วเมื่อมาถึงปากเหวลึกเมืองก็ได้กระตุกม้าวิ่งโจนทะยาน

    ข้ามเหวลึกโดยมีเฮียงคี้ไล่ตามยิงธนูใส่...แต่เขาก็หลบคมธนูของเฮียงคี้และข้ามพ้นเหว

    ลึกได้ราวปาฏิหาริย์.....

    .....................บัดนี้เมื่อมาถึงที่แห่งนั้น..แต่เขาไม่พบกองกำลังของเอหม่องอยู่ที่นั่น..

    และได้สำรวจเพื่อความแน่ใจว่า "กองกำลังของเอหม่องได้ถูกขับไล่ตีกระเจิงโยขุนทัพกับ

    พวกหรือไม่"....แต่เขาไม่พบร่องรอยการต่อสู้...เมืองจึงเชื่อว่า กองกำลังของเอหม่อง

    ต้องหนีจากไปก่อนที่ขุนทัพจะมาถึง...

    .....................เมืองหันม้ามุ่งหน้ากลับไปทิศตะวันตกเพื่อไปที่แม่น้ำน่าน..โดยไม่คิด

    ที่จะแกะรอยกองกำลังของเอหม่องต่อไป...ด้วยเชื่อว่า "ขุนทัพกับพวกกำลังทำหน้าที่นี้อยู่

    โดยมีมุกเป็นผู้นำทาง"

    .....................ด้านขุนทัพได้สั่งคนให้กระจายกำลังกันตามหาเมืองทางหนึ่ง อีก

    ทางหนึ่งก็เร่งแกะรอยกองกำลังของเอหม่อง......เป็นขณะเดียวกับที่ ปลัดปักษ์และ

    ร.ต.ต.เวียงก็ได้พาพวกตามหาปลัดเมืองอย่างรีบเร่ง..แต่ด้วยเหตุที่ไม่ชำนาญพื้นที่

    ฝั่งตะวันออก..ทำให้ปลัดปักษ์กับพวกเดินทางอย่างล่าช้า..แต่ก็ยังมีจุดหมายที่พวกเขาจะ

    สืบให้รู้ว่า ............"มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นที่ฝั่งตะวันออก เพื่อนำไปรายงานเจ้า

    เมืองน่าน".......
     
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ......ตอนที่ 53 สายพิณกับบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์.....


    ....................เมืองควบม้าสีนิลด้วยความเร็วทะยานลงจากดอย...มุ่งหน้าลงใต้ไปสู่

    แนวเขตแดนตะวันออก...ใกล้กับพรมแดนประเทศลาว..ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของกองกำลังพม่า

    หรือเอหม่อง....ซึ่งเขาได้ประกาศศักดาด้วยลูกธนูที่ยิงพุ่งเข้ากลาง..ลูกธนูของเฮียงคี้จน

    หักสบั้น..และลูกธนูของเขายังพุ่งตรงไปที่เสียบกลางลำตัวอีกาพร้อมกับรอยหักของลูกธนู

    เฮียงคี้...ทำลายเป้าหมายลูกธนูของเฮียงคี้จนสิ้นเชิง...ทำให้เฮียงคี้และกองกำลังพม่าซึ่ง

    นำโดยเอหม่องเจ็บแค้นเป็นที่สุด...จนต้องไล่ล่าตามระดมยิงเมืองจนสนั่นลั่นป่าทันทีทัน

    ใด...แต่แล้วเมื่อมาถึงปากเหวลึก......เมืองก็ได้กระตุกม้าวิ่งโจนทะยานข้ามเหวลึกโดยมี

    เฮียงคี้ยิงธนูใส่ไล่ตาม...แต่เขาก็หลบคมธนูของเฮียงคี้และข้ามพ้นเหวลึกได้ราวปาฏิหาริย์

    ....................บัดนี้เมืองมาถึงที่แห่งนั้น แต่เขาไม่พบกองกำลังของเอหม่องอยู่ที่

    นั่น..และได้สำรวจเพื่อความแน่ใจว่า "กองกำลังของเอหม่องได้ถูกขับไล่ตีกระเจิง

    โดยขุนทัพกับพวกหรือไม่"...แต่เขาไม่พบร่องรอยการต่อสู้.......เขาจึงเชื่อว่า

    "กองกำลังของเอหม่องต้องหนีจากไปก่อนที่ขุนทัพจะมาถึง"

    ....................เมืองหันม้ามุ่งหน้ากลับไปทางทิศตะวันตก..เพื่อไปที่แม่น้ำน่าน..โดย

    ไม่คิดที่จะแกะรอยกองกำลังของเอหม่องต่อไป...ด้วยเชื่อว่า "ขุนทัพกับพวกกำลังทำ

    หน้าที่นี้อยู่โดยมีมุกเป็นผู้นำทาง"

    ....................ด้านขุนทัพได้สั่งคนให้กระจายกำลังออกเป็นสองทาง..โดย"ตามหา

    เมืองทางหนึ่ง"...อีกทางหนึ่ง"ก็เร่งแกะรอยกองกำลังของเอหม่อง" เป็นขณะเดียวกับ

    ที่"ปลัดปักษ์และร.ต.ต.เวียงก็ได้พาเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกตามหาปลัดเมืองอย่างรีบเร่ง"

    แต่ด้วยเหตุไม่ชำนาญพื้นที่ฝั่งตะวันออก..ทำให้ปลัดปักษ์กับพวกเดินทางอย่างล่าช้า..แต่ก็

    ยังมีจุดหมายอีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำ คือ พวกเขาจะสืบให้รู้ว่า "มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นที่

    ฝั่งตะวันออก..เพื่อนำไปรายงานเจ้าเมืองน่าน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2011
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมืองควบม้ามาถึงแม่น้ำน่านเมื่อตะวันลับขอบฟ้า..เขาหลบเลี่ยงไม่ให้

    ผู้ใดพบ..โดยควบม้าขึ้นไปทางตอนเหนือของแม่น้ำน่าน..และจูงม้าว่ายข้ามแม่น้ำน่าน

    ซ่อนตัวมายังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน...และควบม้าลัดเลาะฝ่าความมืด..เพื่อมุ่งไปยังตัว

    เมืองน่าน..เป้าหมาย คือ "จวนเจ้าเมืองน่าน"

    .....................ในสถานที่ "ที่น่าจะเป็นอันตายสำหรับเขา" แต่บัดนี้มันเป็นที่ "ที่

    ปลอดภัยที่สุดสำหรับเขา"...เหมือนคำที่ว่า "สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด คือ สถานที่ที่

    อันตรายที่สุด"....เพราะเหตุว่า ปลัดปักษ์และกองกำลังเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกไปติดตาม

    เขาอยู่ที่ฝั่งตะวันออกเสียสิ้น...เมืองเดาเหตุการณ์ได้แม่นยำว่า "ไม่น่าจะมีกองกำลังของ

    ปลัดปักษ์อยู่ที่ฝั่งตะวันตก..เพราะเขาจะต้องออกตามล่าเมืองจนถึงที่สุดในฝั่งตะวันออก...

    ด้วยสายตาที่มุ่งมั่นที่เขาเคยเห็นจากปลัดปักษ์ "ฝั่งตะวันตกไม่ใช่ที่อยู่ของเมือง มีสุข

    ทุกคนย่อมรู้ดี"...

    ....................เมืองเดินม้าอำพรางตัวมาที่ประตูรั้วด้านหลังของจวนเจ้าเมืองน่านและ

    สังเกตดูว่า "ห้องใดจะเป็นห้องนอนของสายพิณ"..และเขาได้สังเกตเห็นบางสิ่งจาก

    เงาดำที่แสงตะเกียงสาดส่องไปยัง"ผู้หญิงคนหนึ่งภายในห้องห้องหนึ่ง"..ซึ่งอยู่ใกล้รั้วด้าน

    ข้าง....เมืองเขียนข้อความใส่กระดาษผูกเข้ากับลูกธนูของเขา ..กะระยะให้ลูกธนูพุ่งเข้า

    หน้าต่างอย่างแผ่วเบา..แล้วเขาดึงสายธนูพอประมาณพร้อมกับปล่อยลูกธนูไปตามที่กะ

    ไว้"อันเป็นลูกธนูดอกที่ 6ของเมืองที่ใช้มัน"...

    .....................ลูกธนูของเมืองพุ่งเข้าหน้าต่างห้องอย่างแผ่วเบา..พุ่งไปเสียบที่

    ชั้นหนังสือภายในห้องใกล้เคียงกับลูกธนูดอกกุหลาบที่สายพิณนำหนังสือมาทับไว้

    ที่ดอกกุหลาบไว้อย่างบังเอิญ...

    ....................แต่อนิจจาผู้ที่อยู่ในห้องมิใช่"สายพิณ" หากแต่เป็น"สายใจ"พี่

    สาวแสนสวยที่เข้มงวดและเจ้าระเบียบ ผู้คอยดูแลน้องสาวแสนซนของตนอยู่..

    ....................สายใจได้ยินเสียงลูกธนูที่พุ่งเข้ามาเสียบที่ชั้นหนังสือ จึงได้ถือ

    ตะเกียงเข้ามาดูใกล้ ๆ ก็พบ"ลูกธนูดอกนั้นมีกระดาษถูกพันด้วยเชือกมัดอยู่กับลูก

    ธนู"....นางหยิบลูกธนูขึ้นมาดูก็เดาได้ว่า "เจ้าของลูกธนูดอกนี้จะต้องเป็นเจ้าของ

    คนเดียวกับเจ้าของลูกธนูดอกกุหลาบ".......เมื่อเทียบพิจารณากับ "ลูกธนูดอก

    กุหลาบ"แล้ว....

    ...................."บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์" หรือ "ปลัดเมือง มีสุข" สายใจอุทานอยู่

    ในใจ..แล้วจึงรีบแกะกระดาษที่อยู่กระดาษที่อยู่กับลูกธนูออก..พร้อมกับเร่งคลี่อ่าน

    ข้อความในกระดาษโดยเร็ว..ความว่า

    ............................"ข้ารอเจ้าอยู่ที่วัดร้างท้ายเมือง พรุ่งนี้เจ้าโปรดไปหาข้า"

    .....................อ่านจบสายใจรีบพับกระดาษ..แล้วนำกระดาษและลูกธนูดอกนั้น

    ซ่อนไว้ที่ใต้ที่นอนด้านของตนก่อนที่สายพิณจะมาพบเห็น...

    .....................ในขณะนั้นเอง ..สายพิณก็ได้เดินเข้ามาในห้อง และเอ่ยขึ้นอย่างเบื่อ

    หน่ายให้แก่พี่สาวตนฟัง

    ............................."ข้าไม่ทราบข่าวคราวของปลัดเมืองเลย.พี่สายใจคิดว่าปลัด

    ปักษ์จะตามหาเขาพบไหม"

    ............................."พี่ไม่รู้..แต่อีกไม่นานคงมีคนมาส่งข่าวกับท่านพ่อ"

    ............................."ฆ่าไม่เชื่อหรอกว่า..ปลัดเมืองจะฆ่าบุญมี"

    ............................."ท่านพ่อและปลัดปักษ์เขาก็พอรู้แล้วว่า ปลัดเมืองไม่ได้ฆ่า"

    ............................."แล้วทำไมท่านพ่อจึงให้ปลัดปักษ์ไปตามจับปลัดเมือง"

    ............................."พี่คิดว่า..ท่านพ่อต้องการให้ปลัดปักษ์ไปสืบเรื่องราว

    มากกว่า..ว่ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นที่ฝั่งตะวันออก"

    ............................."ข้าอยากพบกับปลัดเมืองจังเลย" สายพิณครวญให้พี่

    สาวฟัง.....จนสายใจรู้สึกว้าวุ่นใจ จึงรีบเอ่ยตัดบท

    ............................."นี่ดึกมากแล้ว..นอนกันเถอะ"..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2011
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................รุ่งขึ้นเช้าท้องฟ้าเมืองน่านมืดครึ้มส่อเค้าว่าฝนจะตก เนื่องจาก

    เข้าฤดูฝนมาหลายวัน....สายใจเริ่มกังวล.........นางลุกขึ้นแต่งตัวแต่เช้าและบอกกับ

    สายพิณว่า

    ............................"พี่จะไปธุระข้างนอก...และจะแวะถามข่าวคราวปลัดปักษ์จาก

    ขุนแสง...เจ้าต้องอยู่กับพี่สำเนียง..ดูแลท่านพ่อ และคอยรับใช้ท่านแม่เข้าใจไหม"

    ............................"ก็ได้..แต่พี่สายใจอย่าลืมถามข่าวคราวปลัดเมืองมาบอกข้า

    ด้วยนะ...แล้วอย่าลืมแหงนดูบนฟ้าบ้าง..เดี๋ยวหน้าขาว ๆ สวย ๆ จะเละด้วยน้ำฝนจนปลัด

    ปักษ์วิ่งหนี" สายพิณพูดยั่วพี่สาวอย่างอารมณ์ดี.......จนสายใจอดหัวเราะไม่ได้

    พลางเอ่ยตอบ

    ............................"วิ่งหนีพี่ไม่กลัวดอก..กลัวแต่จะวิ่งตามนะสิ"

    ............................"จริงเหรอ...ข้าว่าปลัดปักษ์ป่านนี้..คงจะไม่ไปตามปลัด

    เมืองอย่างเดียวหรอก..คงจะหาสาวฝั่งตะวันออกเดินทางเป็นเพื่อนแก้เหงาแล้วล่ะ" สาย

    พิณยังยั่วต่อจนสายใจต้องตัดบท..

    ............................."หยุดพูดได้ พี่จะไปแล้ว"

    .....................สายใจโพกผ้าคลุมผมกันฝุ่นละอองแล้วขึ้นขี่บนหลังม้า โดย

    ซ่อนลูกธนูและจดหมายของเมืองไว้ไม่ให้สายพิณเห็น..แล้วนางก็ควบม้าอย่างเร็วมา

    ที่วัดร้างท้ายเมืองทันที

    .....................เมืองยืนรอสายพิณอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ....โดยผูกม้าสีนิลไว้ใกล้ ๆ...

    สายลมแรงกรรโชกพัดเอาฝุ่นคลุ้งกระจายเข้าหาตัว.........จนต้องเอามือป้องหน้ากันฝุ่น

    เข้าตา..บ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนคงจะเทลงมา...และเมื่อฝุ่นจางลง เมืองก็ได้เห็นผู้มา

    เยือนโพกผ้าคลุมผมและหน้า..ควบม้าตรงเข้ามาหาตน...สังเกตดูแล้วผู้มาเยือน

    ไม่ใช่สายพิณ....เขาจึงเพ่งสังเกตอย่างระวังตัวก็เข้าใจว่า.."ผู้อยู่บนหลังม้าเป็น

    หญิง" ด้วยหญิงกับชายควบม้ามีลักษณะแตกต่างกัน...

    .....................จนม้ามาอยู่ต่อหน้า.."ผู้มาเยือนโดยไม่ได้เชิญ" ก็ลงจากหลังม้า..

    เมืองจ้องมองว่า"นางคือใคร"..เป็นขณะเดียวกับที่ผู้มาเยือนก็ได้เพ่งมองพินิจ

    พิจารณาเมืองด้วยเช่นกัน....

    .....................สักครู่หนึ่ง หน้าตาของผู้มาเยือนก็ถูกเปิดเผยออกมา...เมื่อนางเปิด

    ผ้าคลุมหน้าและผมออกต่อหน้าเมือง.."นางเป็นผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งที่มีดวง

    ตากลมดำขนตางอน รูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นอย่างสตรีทั่วไป"

    .....................สายใจเองเมื่อเห็นเมืองก็ถึงกับนิ่งอึ้ง..พลางถามตัวเองในใจว่า "บุรุษ

    ผู้นี้หรือ คือ เมือง มีสุข ที่น้องสาวของนางเฝ้าหลงใหล..เพียงแค่ได้ยินชื่อและเรื่อง

    ราวของเขาที่เกิดขึ้นจนได้นามว่า"บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์"..และเมื่อน้องของนาง

    ได้พบเขา..และเขาได้มอบ"ลูกธนูดอกกุหลาบ"อันเป็นสัญญาว่า "หากสะพานข้าม

    แม่น้ำน่านสร้างเสร็จเมื่อไร..เขาจะพาสายพิณน้องสาวของนาง..ไปสู้กับดวง

    อาทิตย์บนยอดเขาสูง"...น้องสาวของนางก็ถึงกับคลั่งไคลหลงใหลในตัวเขา"..

    ....................."สมควรแล้วที่สายพิณจะหลงใหลในตัวเขา ก็เพราะ ด้วยหน้าตา

    ท่าทางของเขาดูหล่อเหลามีเสน่ห์สมชายชนตรี..ดวงตาของเขาดูสวยงามมีอำนาจ

    และมีความเมตตาฉายแววอยู่"....

    ......................คิดพลางแล้ว สายใจจึงหยิบลูกธนูและจดหมายของเมืองออกจากที่

    ซ่อนใต้อานม้าแล้ว"ส่งให้แก่เมือง"พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"ข้าเพิ่งเห็นท่าน ..สมแล้วกับที่สายพิณน้องสาวข้าจะหลงใหล

    ในตัวท่าน..แต่ท่านไม่ควรนัดน้องข้ามาเพื่อเกี้ยวพาราสี ณ ที่นี้"

    .......................คำพูดของสายใจ..ทำให้เมืองรู้ได้ว่า..ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเขาคือ

    "สายใจ" บุตรสาวคนโตของเจ้าเมืองน่าน..ด้วยเคยรู้มาจาก"สาย"..ซึ่งมาส่งภาษีให้

    ฝั่งตะวันออกเล่าให้ฟัง...เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความนอบน้อม..

    ............................."ข้าเคยรู้มาว่า..คุณหนูสายใจบุตรสาวคนโตของเจ้าเมือง

    น่าน..เป็นผู้ที่มีอัธยาศัยอันดีและมีความเมตตาโอบอ้อมอารีย์ต่อคนทั่วไป..และน่าจะรู้

    เรื่องราวของข้าดี...ว่าข้ากำลังถูกตามล่าอยู่.........แล้วจะมีแก่ใจมาเกี้ยวพาราสีสายพิณ

    ได้เช่นไร"

    ....................สายใจจ้องมองตาของเมือง..ด้วยคำพูดของเขาช่างอ่อนน้อมและมี

    เหตุผล..พลางเอ่ยถามต่อ..

    ............................"ถ้าเช่นนั้น..ท่านนัดสายพิณมาพบทำไม..ข้ายังไม่บอกน้องข้า

    เรื่องท่าน..ด้วยกลัวว่าน้องข้าจะมาพบท่านโดยทันที..และผู้ใดรู้เข้าจะครหาน้องข้า..

    และยังลามมาถึงข้าว่าไม่อบรมดูแลน้องให้ดี"

    ............................"ข้ามีเรื่องต้องให้สายพิณช่วยเหลือข้าบางสิ่งบางอย่าง..

    จึงนัดนางมาเพื่อบอกกล่าว..หาได้มีใจคิดอกุศลต่อสายพิณไม่"

    ............................"เรื่องท่านหลบหนีคดีฆ่าบุญมี..ข้ารู้อยู่ แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่

    ท่านต้องแจงให้ท่านพ่อข้ารู้...แต่ท่านมิได้มาแจงตามกำหนด..ท่านพ่อจึงให้ปลัดปักษ์ไป

    ตามหาตัวท่าน..และไปสืบว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นที่ฝั่งตะวันออก...ท่านควรไปพบท่านพ่อ

    ของข้ามากกว่าจะมาหาสายพิณ....ท่านพ่อของข้าเป็นคนฉลาดมีเหตุผลและเมตตาธรรม

    อันควรแก่ท่าน..ที่จะเข้าไปหาท่านพ่อ..มิใช่มาหลบซ่อนตัวอยู่เช่นนี้ หากท่านแจงความ

    จริงออกมา...ปลัดปักษ์ก็ควรกลับโดยไม่ต้องไปตามท่านหรือสืบเรื่องราวอันใดอีก"

    ............................"ข้ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ไม่อาจแจงสิ่งใดต่อท่านเจ้าเมือง

    ได้ ขอแม่นางได้โปรดเห็นใจข้าและเชื่อข้าสักครั้งหนึ่งเถิด..ได้โปรดเก็บเรื่องราวที่พบข้า

    ไว้เป็นความลับ..และบอกแก่สายพิณให้มาพบข้า...ข้าจะถนอมน้องของแม่นางและ

    ปกป้องดูแลเช่นเดียวกับที่แม่นางรักและดูแล"

    ............................"และหากท่านจับน้องข้าไว้..เพื่อเป็นประกันเอาไว้หลบหนี ข้า

    ควรทำเช่นไร"

    ............................"วิสัยของข้าไม่ใช่คนเยี่ยงนั้น ขอแม่นางวางใจเถิด"

    ....................สายใจยืนสงบนิ่งมองดูกริยาท่าทางของเมือง..ประกอบกับคำ

    พูดของเขา.."ก็เห็นแววตาแห่งความจริงใจและจริงจัง" แต่ด้วยวิสัยของหญิงที่ถือ

    ตัวอยู่พอประมาณ จึงเอ่ยขึ้น

    ............................."เรื่องข้าจะให้น้องข้ามาพบท่านหรือไม่ ขอข้าคิดดูอีกที"

    .....................เมืองได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยอ้อนวอนต่อสายใจ ในขณะที่ฝนเริ่ม

    โปรยปรายจากฟ้า

    ............................."ได้โปรดเถิดแม่นางสายใจ..ข้าจะรอสายพิณอยู่ที่นี่จน

    ถึงวันพรุ่ง..หากแม่นางมีแก่ใจเมตตาต่อข้าที่มาด้วยความตั้งใจ..และมิได้รู้จักผู้ใด

    ในฝั่งตะวันตก..นอกจากสายพิณและตัวแม่นางที่พอจะช่วยเหลือข้าได้"

    .....................สายใจจ้องมองดวงตาของเมืองก็ให้รู้สึก "สงสารอย่างจับใจ"

    จนตัวเองเริ่มสับสนว่า"ควรให้สายพิณน้องสาวออกมาพบกับเมืองหรือไม่"

    .....................สายใจเดินจากเมืองมาขึ้นม้าและคลุมผ้าเหมือนตอนมา..และชักม้า

    เดินห่างเมืองไปอย่างช้า ๆ..โดยมิได้กระตุกม้าให้วิ่งโดยเร็ว "ด้วยกำลังสับสนในความ

    คิด"...จนฝนได้โปรายปรายมาถูกร่างกายและตัวเองเริ่มเปียก..ก็ให้รู้สึกตัวจึงกระตุกม้า

    ควบไปจากที่นั่นโดยเร็ว..ทิ้งให้เมืองยืนมองดูทั้งคนและม้าจนลับตาไป..พลางภาวนาขอ

    ให้"สายใจบอกแก่สายพิณให้มาพบเขา"

    ....................สายใจกลับถึงบ้านด้วยตัวเปียกปอน..สายพิณจึงรีบเข้ามาถามไถ่

    พร้อมกับเอาผ้าเช็ดตัวมาเช็ดที่ผมและตามเนื้อตามตัวของสายใจอย่างประจบและห่วงใย

    พลางพูดขึ้น

    ............................"ข้าบอกพี่แล้วให้แหงนดูท้องฟ้า..มันมืดครึ้มส่อเค้าว่าฝนจะตก

    อย่างนี้ยังจะออกไปอีก..ปลัดปักษ์เขาไม่สนใจหญิงใดที่ฝั่งตะวันออกหรอก..เพราะพี่สาว

    ของข้าสวยเอาการเช่นนี้ มีหรือปลัดปักษ์จะเปลี่ยนใจ"

    .....................สายใจได้ฟังพลางหัวเราะอย่างชอบใจแล้วจึงเอ่ยโต้กลับ

    ............................"เจ้าพูดจาประจบพี่เช่นนี้..พี่รู้ดีหรอกนะว่าเจ้ากำลังจะถามพี่

    เรื่องใด"

    .....................สายพิณหัวเราะบ้างด้วยพี่สาวรู้ทัน จึงเร่งถามคำถามที่ตั้งใจไว้ทันที

    ............................"พี่ได้ข่าวปลัดเมืองไหม แล้วขุนแสงแจ้งข่าวอย่างไรเกี่ยวกับ

    ตัวปลัดปักษ์"

    .....................สายใจจ้องมองดูน้องสาวที่เอ่ยถามอย่างร้อนลน และเอ่ยตอบอย่าง

    เสียงดังปนหยอกล้อ

    ............................"เจ้าเห็นพี่เปียกปอนอย่างนี้ เจ้าคิดว่าพี่จะไปได้ไกลถึง

    บ้านขุนแสงหรือ.....พี่ไปธุระไม่เท่าไร ฝนมันก็เทลงมาอย่างหนัก จนเละอย่าง

    ที่เห็นนี่ไง"

    ............................"เป็นอันว่า..ออกนอกบ้านคราวนี้ล้มเหลว"

    ............................"ใช่"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2011
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................สายใจขึ้นมาบนห้องคนเดียว..และเดินไปที่กองหนังสือที่ "สาย

    พิณขนมันมาทับดอกกุหลาบที่ผูกติดไว้กับปลายลูกธนู..ของลูกธนูดอกกุหลาบ"ที่

    สายใจเป็นคนแนะนำให้สายพิณ"ทับมันไว้"..เพื่อไม่ให้ดอกกุหลาบมันเหี่ยวแห้งจน

    กลีบใบหลุดไปตามกาลเวลา....และสายใจได้ยกหนังสือขึ้นพร้อมกับ หยิบลูกธนูดอก

    กุหลาบขึ้นมาพิจารณา..ประกอบกับนึกถึงใบหน้าของเจ้าของลูกธนูดอกนี้ เพื่อ

    พิจารณาว่า"เขาเป็นคนเช่นไร"

    ....................โดยสายใจทราบจากสายพิณและบุคคลต่าง ๆที่เคยรู้จักเมือง...ที่มีข่าว

    แว่วมาถึงฝั่งตะวันตกว่า "เมืองเป็นคนมีคุณธรรม รักสนุก โลดโผน กล้าหาญบ้าบิ่น

    และเป็นผู้ที่ควบม้าขึ้นไปบนยอดภูเขาสูง..เพื่อจ้องมองดูดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน

    จนพบปรัชญาบางอย่าง"

    ....................คำบอกเล่ากับการได้พบตัวจริงของเมือง...ที่นางรู้สึกได้ "การ

    พูดคุยด้วยความสนุกสนานหรือกิริยาโลดโผนนางไม่พบเห็น" แต่ความ "กล้า

    หาญบ้าบิ่นดูได้จากการกระทำที่เมืองกล้าบุกมายังฝั่งตะวันตก โดยที่รู้ว่าเจ้า

    หน้าที่ฝั่งตะวันตกกำลังตามจับเขาอยู่..พออนุโลมได้ว่า นี่คือ "ความกล้าหาญ

    บ้าบิ่นอย่างที่คนเล่าลือกัน"....."และคนกล้าหาญบ้าบิ่นเยี่ยงนี้ นางควรให้น้องสาว

    ของนางออกไปพบเขาหรือ"

    ....................แต่เมื่อพิจารณายามเมืองมาปรากฎอยู่ต่อหน้านาง....."เขาดู

    นอบน้อมต่อนางทั้งกริยาและคำพูดคำจา .........ประกอบด้วยแววตาหาได้คิดร้าย

    ต่อผู้ใดไม่ สิ่งที่เขาทำให้สายพิณ คือ ลูกธนูดอกกุหลาบที่อยู่ในมือของ

    นางดอกนี้ ซึ่งเป็น "เสมือนคำมั่นสัญญาของเขาที่ให้ไว้แก่สายพิณ" ว่า ..หาก

    สะพานข้ามแม่น้ำน่านสร้างเสร็จ เขาจะพาสายพิณควบม้าไปขึ้นภูเขาสูงเพื่อสู้กับ

    ดวงอาทิตย์กับเขา....

    ...................."ลูกธนูเปรียบเหมือนใจและตัวเขา" "ดอกกุหลาบเทียบได้กับ

    สายพิณ"....การที่เขาเอาเชือกมาผูกดอกกุหลาบไว้กับปลายธนู.."เหมือนเขาผูก

    สายพิณไว้กับใจและตัวเขา"....การเปลี่ยนปลายแหลมของลูกธนูเป็นดอกไม้ สื่อ

    ความหมายว่า "เขาไม่คิดร้ายต่อสายพิณ"

    .....................สายฝนเริ่มตกแรงขึ้นพร้อมกับเสียงฟ้าคำราม...สายใจพยายามคิดต่อ

    ไปว่า "เมือง มีสุข กำลังอยู่เช่นไร ยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้นหรือ...แล้วเขาจะเอาอาหาร

    และน้ำจากที่ใดมากินประทังความหิว..คนยามมีภัยและต้องระเหเร่ร่อนหลบหนีจะ

    หาสิ่งเหล่านี้ได้จากที่ใด....สายใจสับสนในความคิดมากขึ้นว่า.."นางควรติดสินใจ

    บอกให้สายพิณไปพบกับเมืองตามคำอ้อนวอนขอของเขาหรือไม่"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2011
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ยามดึกภายในห้องนอนของสองพี่น้องบุตรสาวเจ้าเมืองน่าน..

    สายใจนอนฟังเสียงสายฝนที่ตกกระทบหลังคา.......พร้อมกับมองออกไปนอก

    หน้าต่าง....เห็นฟ้าแลบ ประกายฟ้าแลบทำให้แสงสว่างไปทั่วบริเวณนอกบ้าน..

    พร้อมกันนั้น...แสงยังสาดส่องเข้ามาภายในห้องนอนจนเห็นบางส่วนของ"ลูกธนู

    ดอกกุหลาบ"......

    .....................สายใจครุ่นคิดถึง "เจ้าของลูกธนูอีกครั้ง" และพลิกตัวกลับมาเพ่งมอง

    หน้า "น้องสาวของตนที่นอนอยู่เคียงข้างในขณะที่กำลังหลับอย่างมีความสุข" ด้วยสาย

    ฝนนั้นตกที่ใด "ย่อมเหมือนเสียงดนตรีธรรมชาติ" ที่ขับกล่อมคนให้นอนหลับอย่างลืมสิ้น

    เสียทุกสิ่ง...นางคิดว่า "สายพิณกำลังอยากพบปลัดเมืองเป็นที่สุด...ในขณะที่ปลัด

    เมืองก็กำลังรอคอยสายพิณอยู่......ควรแล้วหรือที่นาง...."จะห้ามไม่ให้ปลัดเมือง

    และสายพิณพบกัน".....

    ....................เสียงสายฟ้าร้องคำรามดึงกึกก้อง...คำพูดของ เมือง มีสุข แว่ว

    เข้ามาในจิตใจ...."ได้โปรดเถิดแม่นางสายใจ ข้าจะรอสายพิณอยู่ที่นี่ถึงวันพรุ่ง

    หากท่านมีแก่ใจเมตตาต่อข้าที่มาด้วยความตั้งใจจริง..และไม่ได้รู้จักผู้ใดในฝั่ง

    ตะวันตก..นอกจากสายพิณและตัวแม่นางที่พอจะช่วยเหลือข้าได้"...

    .....................สายใจครุ่นคิดถึงเมือง..จนหลับไป......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................รุ่งเช้าสายใจรีบปลุกสายพิณที่กำลังงัวเงียไม่อยากตื่นอยู่.....

    ด้วยเกรงว่าปลัดเมืองจะไปเสียก่อน พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"สายพิณ..เจ้าจงรีบตื่นโดยเร็ว"

    ............................"ขอข้าหลับต่ออีกหน่อยหนึ่งเถิด" ผู้หลับเอ่ยครวญต่อรอง

    ............................"ไม่ได้ถ้าเจ้าไม่รีบตื่นจะไม่ทันการณ์" สายใจว่าพลางก็เขย่าตัว

    น้องสาวที่กำลังสลึมสลืออยู่

    ............................"ทันการณ์อะไร...ฝนเพิ่งหยุดตก..ข้าไม่อยากออกไปไหนทั้ง

    นั้น"

    ............................."เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ออกไปไหน" สายใจเสียงเข้ม

    ............................."แน่ใจ"

    ............................."ได้..แล้วเจ้าจะไม่ได้พบเจ้าของลูกธนูดอกนั้นอีก"

    ............................."หา..พี่ว่าอะไรนะ" สายพิณเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินคำว่า

    ลูกธนูดอกนั้น..ซึ่งมันหมายถึง "ลูกธนูดอกกุหลาบ..เจ้าของมัน ก็คือ เมือง มีสุข

    นั่นเอง"

    .....................สายพิณหันมามองหน้าสายใจ เพื่อฟังสายใจพูดต่อ...

    ............................."เจ้าจงรีบลุกเสียโดยเร็ว แล้วรีบไปที่วัดร้างท้ายเมือง

    แล้วเจ้าจะพบคนที่รอคอยเจ้าอยู่"

    ............................."ปลัดเมือง" สายพิณอุทานได้แค่นี้ก็รีบลุกขึ้นทันที
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................สายพิณจัดการกับตัวเองและแต่งตัวจนดูงาม พลางขึ้นม้าควบ

    ออกจากจวนโดยเร็ว..โดยมีสายตาของสายใจมองตามอย่างห่วงใย

    ....................เมือง มีสุข ยังคงรอคอยสายพิณอยู่ที่วัดร้าง..พลางคิดว่า"หากเขา

    รู้อะไรบางอย่าง..เขาจะกำหนดเป้าหมายของเขา..ที่จะกระทำทันที"

    ....................เสียงฝีเท้าม้าใกล้เข้ามาที่วัดร้าง ...เมืองหันมองไปตามเสียง...ร่าง

    ของสาวน้อยที่ตนเองรอคอยนั่งอยู่บนหลังม้า.....ผมยาวสลวยพลิ้วไปตามสายลม..และ

    ควบม้าเข้ามาใกล้....เขารู้สึกดีใจเพราะแน่ใจมาตลอดว่าผู้หญิงคนนี้ คือ มิตรที่ไม่

    ทำร้ายเขาอย่างแน่นอน..ด้วยใจที่รักและเอ็นดูหญิงผู้นี้มาแต่แรกที่พบเห็น....

    ....................ทันที่ที่ลงจากหลังม้า..สายพิณก็ได้วิ่งเข้าไปสวมกอดเมืองด้วยความ

    ดีใจ...และเอ่ยถาม

    ............................"ปลัดเมือง เจ้าหนีไปอยู่ที่ไหน ข้าเป็นห่วงเจ้า"

    .....................เมืองโอบกอดสายพิณอย่างทะนุถนอมแล้วจึงเอ่ยตอบ

    ............................"ข้าหลบไปทั่วพื้นที่ฝั่งตะวันออก ปลัดปักษ์ไม่ชำนาญพื้นที่..

    เขาไม่มีทางรู้ว่าข้าอยู่ที่ใด"

    ............................"แล้วมีเหตุการณ์ใดเกิดที่ฝั่งตะวันออก ท่านพ่อข้าต้องการรู้

    มากกว่าเรื่องผู้ใดฆ่าบุญมีเสียอีก..เขาจึงส่งปลัดปักษ์ไปสืบหา"

    ............................"มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นจริง ๆ ข้าจึงต้องมาพบเจ้าก่อนที่จะ

    แจงสิ่งใดออกมา"

    ............................"เจ้ามาพบข้า ..ต้องการให้ข้าช่วยสิ่งใด"

    ....................เมืองค่อย ๆ ดันสายพิณออกจากตัวแล้วมองหน้าพลางเอ่ยขึ้น

    ............................"ที่ห้องหนังสือของท่านเจ้าเมืองจะมีหนังสืออยู่หลายเล่ม"

    ............................"ใช่"

    ............................"ข้าต้องการให้เจ้าค้นหาหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์

    ราชวงศ์พม่า...ความเกี่ยวพันสยามกับพม่า..และข้อตกลงระหว่างอังกฤษกับ

    พม่า..เรื่องพม่าต้องไม่รุกรานแดนสยาม"

    ............................"เจ้าจะเอาหนังสือเล่านั้นไปทำไม"

    ............................"ข้าต้องการอ่านเพื่อทราบเรื่องบางเรื่อง...โดยข้าจะอยู่

    อ่านหนังสืออยู่ที่นี่จนกว่าจะพบ..แล้วถ้าเจ้าไม่ได้ไปที่ใดก็จงมาอยู่เป็นเพื่อนข้า"

    ............................"ได้..ถ้าเช่นนั้นข้าจะรีบกลับไปค้นหาหนังสือที่เจ้าต้อง

    การ"

    ....................สายพิณละจากเมือง แล้วกลับไปค้นหาหนังสือทันที..จนพบหนังสือดัง

    กล่าว..พลางบอกกับสายใจให้ช่วยจัดอาหารให้นางนำไปให้ปลัดเมือง..ซึ่งสายใจก็จัดทำ

    ให้อย่างง่ายดาย..ด้วยดีใจเช่นกันที่ทั้งคู่ได้พบกัน..แต่อดสงสัยไม่ได้เกี่ยวกับ หนังสือ

    เรื่องราวประวัติศาสตร์ของราชวงศ์พม่า..ว่า เมือง มีสุข..ต้องการอ่านมันไปทำไม

    หรือมีเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นที่ฝั่งตะวันออกที่เกี่ยวกับคนพม่า...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • birds_fly.gif
      birds_fly.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.8 KB
      เปิดดู:
      157
    • fairy14.jpg
      fairy14.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31 KB
      เปิดดู:
      47
    • 19807.gif
      19807.gif
      ขนาดไฟล์:
      175.7 KB
      เปิดดู:
      183
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................สายพิณย้อนกลับมาหาปลัดเมืองพร้อมนำหนังสือและอาหารมา

    ให้...เมืองรับเปิดอ่านหนังสือดังกล่าวทันที..ได้ความว่า..

    ....................อังกฤษกับพม่าเริ่มมีปัญหากันมาตั้งแต่รัชสมัย"พระเจ้าปดุง"..ผู้ที่เคย

    ทำสงครามเก้าทัพกับสยามในสมัยรัชกาลที่ 1..โดยพระเจ้าปดุงส่งทหารปราบปรามเมือง

    ยะไข่ซึ่งเป็นกบฎ...พวกกบฎสามคนได้หนีเข้าไปในเมืองจิตตะกองอันเป็นเมืองขึ้นของ

    อังกฤษ...กองทัพพม่าตามประชิดเมืองและยื่นคำขาดให้อังกฤษส่งตัวสามกบฎออกมา

    ....................อังกฤษมีทหารรักษาเมืองอยู่เพียงหมวดเดียว......เลยต้องยอมส่ง 3

    กบฎยะไข่ให้..ทำให้พม่าได้ใจ..แต่ตอนนั้นอังกฤษยังมีศึกด้านอื่นอีก..เลยทำเฉยปล่อยให้

    พม่าระรานไปก่อน

    ....................ต่อมาในรัชสมัย"พระเจ้าจักกายแมง"..พม่ารุกเข้าไปยึดเมืองจิตตะกอง

    และเมืองกะชา..."เจ้าเมืองกะชา"หนีไปสวามิภักดิ์ขอให้อังกฤษช่วย..อังกฤษกับพม่า

    เลยเปิดศึกกันในปี พ.ศ.2366 ..แม้อังกฤษจะเกณฑ์ทหารอินเดียมาช่วยก็ยังสู้พม่าไม่

    ได้..เพราะภูมิประเทศเป็นป่า....ทหารพม่ามีความชำนาญมากกว่า..อังกฤษเลยขนทหาร

    อังกฤษและอินเดีย 11,000 คน ให้ "นายพล เซอร์อาชิบัลต์ แคมป์เบล" ยกทัพมาทาง

    เรือ..พม่าไม่คาดคิดว่า"อังกฤษจะตลบหลังทางทะเล"..อังกฤษจึงเข้ายึดเมือง "ร่างกุ้ง"ได้

    โดยง่ายในปี พ.ศ.2367 .....โดยขณะนั้นเมืองหลวงของพม่า คือ "อังวะ" ไม่ใช่

    "ร่างกุ้ง"

    ....................การตีเมืองอังวะจะต้องขนทหารขึ้นไปตามลำน้ำ"อิระวดี" ซึ่งจะต้องใช้

    เรือและกำลังทหารเป็นจำนวนมาก......อังกฤษขอให้"สยามช่วยส่งทหารร่วมรบ"กับ

    กองทัพอังกฤษเพื่อตีเมืองพม่า...

    .....................ในที่สุดกองทัพพม่าถูกอังกฤษถล่มด้วยปืนใหญ่จนถอยร่น.."กองทัพ

    พม่าแตกยับเยิน"....พระเจ้าจักกายแมงยอมจำนนต่ออังกฤษ...และยอมทำสัญญา

    ยกเมืองที่ถูกอังกฤษตีได้ทั้งหมดให้อังกฤษ..ทั้งยอมใช้ค่าเสียหายให้อังกฤษอีก

    10 ล้านรูปี และทำสัญญาให้อังกฤษ 11 ข้อ โดยข้อหนึ่งกำหนดว่า "อังกฤษห้าม

    พม่าทำร้ายสยามหรือรุกรานประเทศสยาม"...

    ....................เมืองอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบก็ให้เห็นความ "ไม่มีสัจจะของ

    พม่า"..เมื่อเขาเองเพิ่งถูกกองกำลังพม่า..ซึ่งบุกรุกเหยียบเข้ามาบนแดนสยามและ

    ไล่ฆ่าเขาอยู่....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...