พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...............ตอนที่ 39 ความตายของบุญมี.............


    ....................หลังจากเมืองกลับมาฝั่งตะวันออก..เขาได้สอบถามและปรึกษากับบุญ

    แทนและสาย...ถึง.."คนผู้หนึ่งที่มากับปลัดปักษ์และบุญมี..ตอนที่พวกเขามาสืบเรื่องราวที่

    ฝั่งตะวันออก...แต่ตอนที่เมืองไปพบเจ้าเมืองน่าน..ไม่มีคนผู้นี้อยู่เลย ณ ที่ทำการ..สาย

    บอกกับเมืองว่าเขา คือ "กัมพู"..."

    .....................เมืองสงสัยว่า กัมพูน่าจะยังคงอยู่เพื่อทำอะไรบางอย่างในฝั่งตะวัน

    ออก.."เมืองเริ่มห่วงกังวลในกัมพู"..ด้วยเกรงว่าพวกพม่าโดยการนำของเอหม่องจะพบ

    กัมพูและฆ่าเขาเสีย..เพื่อไม่ให้กัมพูนำเรื่องพม่าบุกเข้าเมืองน่านมารายงานเจ้าเมืองน่าน

    หรือ ไม่ก็กัมพูเมื่อพบเห็นพวกพม่าแล้วจะนำความมารายงานกับเจ้าเมืองน่าน อันเป็นเหตุ

    ให้เจ้าเมืองน่านสืบหาสาเหตุที่พวกพม่าเข้ามาบนแผ่นดินสยาม นั่นคงไม่พ้นมาจากสาเหตุ

    ความผิดเดิมของขุนทัพบิดาของเขา.......และเกี่ยวพันมาถึงตัวเขาที่มีสายเลือด

    ของ....."พม่าและสยามรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในตัวของเขา"

    ....................เมืองได้นำเรื่องกัมพูปรึกษาขุนทัพ..ขุนทัพจึงสั่งพรรคพวกให้ค้นหา

    กัมพูเป็นการด่วน..และช่วยให้กัมพูออกจากพื้นที่ฝั่งตะวันออกโดยเร็ว...เพื่อปกปิดกัมพู

    เรื่องคนพม่าบุกเข้าดินแดนพื้นที่ฝั่งตะวันออก......พร้อมกับช่วยกันสืบหาที่หลบซ่อนของ

    เอหม่องกับพวก..เพื่อทำการขับไล่ออกจากพื้นที่ฝั่งตะวันออก

    ....................ในส่วนของปลัดปักษ์นั้นเข้าใจเมืองผิด..เขาคิดว่า "กัมพูอาจจะรับ

    อันตรายจากเมืองกับพวก"...จึงรีบให้บุญมีข้ามไปฝั่งตะวันออกเพื่อตามหากัมพูกลับฝั่ง

    ตะวันตกทันที...หลังจากเสร็จการสอบถามปลัดเมืองของเจ้าเมืองน่าน...

    .....................บุญมีเดินทางขึ้นฝั่งตะวันออกอย่างอำพรางตนโดยไม่แจ้งให้ขุนทัพ

    ปลัดเมือง หรือเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกทราบ

    .....................กัมพูนั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบทำแผนที่อยู่ฝั่งตะวันออก การทำ

    แผนที่ของเขาแปลกกว่าที่ยึดถือปฏิบัติกันมาในปัจจุบันนี้..เพราะปัจจุบันนี้จะเริ่มต้นจากทิศ

    เหนือไล่ไปทางทิศใต้..ทำให้เห็นว่า "รูปแผนที่ในปัจจุบันจะมีทิศเหนืออยู่ด้านบนของ

    แผ่นกระดาษแผนที่เสมอ" ดังเช่น แผนที่ประเทศไทย เป็นต้น

    .....................แต่กัมพูนั้นเขากลับเริ่มต้นจากทิศใต้ไล่ไปทางทิศเหนือ..โดยสมัยนั้น

    ยังไม่มีหลักการทำแผนที่มาก่อน..เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า "กัมพูนั้นมาอยู่ในพื้นที่ด้าน

    ใต้ของฝั่งตะวันออกเป็นจุดเริ่มแรก"...เขาจึงจำเป็นต้องยึดด้านทิศใต้ขึ้นไปทางเหนือ...

    ดังนั้น ด้วยเหตุนี้กัมพูจึงยังไม่พบเอหม่องกับพวกพม่า..เพราะเอหม่องซ่องสุมคน

    พม่าไว้ทางทิศเหนือ....เนื่องจากอาณาเขตและแนวเขตพื้นที่ฝั่งตะวันออกของเมือง

    น่านกว้างใหญ่ไพศาลกว่ากัมพูจะเดินทางขึ้นเหนือก็คงเป็นเวลานานหลายวัน กัมพูจึงพ้น

    ภัยจากเอหม่อง

    ....................บุญมีนั้นไม่รู้ว่าขณะนี้กัมพูอยู่ส่วนใดของพื้นที่ฝั่งตะวันออก..และเขาก็

    ไม่รู้เช่นกันว่า "มีกลุ่มคนพม่านำโดยเอหม่องบุกรุกเข้ามาในพื้นที่"..เขาจึงเริ่มค้นหากัมพู

    จากแนวเขตด้านทิศเหนือไล่ไปทางทิศใต้ "เขาจึงไม่มีวันพบกับกัมพู"..แต่คนที่เขาจะ

    พบก็คือ "เอหม่องและพรรคพวกชาวพม่า"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00421.JPG
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      248
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เอหม่องได้รับทราบจาก"เบงกอล"ที่เข้าไปสืบเรื่องราวของขุนทัพและ

    เมือง..พร้อมกับรู้ว่า "ผู้ที่ยิงธนูถูกเอหม่อง คือ เมือง มีสุข นั่นเอง"..เอหม่องกำลังรอ

    กำลังเสริมจาก"แซงคา"ที่พาพรรคพวกพม่าเป็นคนของขุนนางพม่ามาสมทบ...เพื่อที่จะ

    เข้าโจมตีสังหาร "เมือง มีสุข รัชทายาทแห่งราชวงศ์พม่า"และ "นำขวดแก้วรูปทรง

    มะม่วงใบนั้นกลับแผ่นดินพม่าตามคำบัญชาของขุนนางพม่า"

    ....................บ่ายวันนั้น บุญมีควบม้าจนถึงสุกเขตชายแดนตอนเหนือของฝั่งตะวัน

    ออกซึ่งอยู่ติดกับพรมแดนประเทศลาว..เขาเริ่มค้นหาร่องรอยของกัมพู..เช่น หลักไม้ที่

    กัมพูปักไว้ขณะทำแผนที่ และรอยขึงเชือกตามแนวหลักเขต แต่เขายังไม่พบ..จนบุญมี

    รู้สึกอ่อนเพลีย..เขาจึงเริ่มบ่น

    ............................"กัมพู..มันเริ่มทำแผนที่ตอนไหนของมันวะ" บุญมีบ่นพร้อมกับ

    บังคับม้าเดินไปทางทิศใต้

    .....................ระหว่างนั้นบุญมีก็ได้เห็น"ชายแปลกหน้าโพกผ้าไว้บนศีรษะเหมือนกับ

    ชาวพม่า 4 คน"..นั่งอยู่บนหลังม้าเหมือนกับรอคอยอะไรอยู่...เขาจึงรีบบังคับม้าเดินหลบ

    และซุ่มดูอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่....

    .....................เอหม่อง เบงกอลกับพวกได้มารอคอยแซงคาอยู่แนวชายแดน ซึ่งวันนี้

    เป็นวันที่ครบกำหนดนัดหมายที่แซงคาจะต้องพาพรรคพวกมาสมทบอีก

    .....................แซงคาได้พา"นักฆ่าหน้าหยก"ที่มีฝีมือการยิงธนูได้แม่นยำมาก...

    เขาไม่ใช่ชาวพม่า...แต่เป็นชาวจีนเชื้อสายมองโกลมีนามว่า"เฮียงคี้ แซ่เจ็ง"โดยเฮียงคี้

    ได้พลัดถิ่นมาอาศัยอยู่กับชาวเผ่ามูเซอในแดนพม่า...ขุนนางพม่าเป็นผู้พบเขาและได้ชุบ

    เลี้ยงเขาไว้เป็นมือสังหาร...เขานี่เองเป็นผู้ที่สังหารราชบุตรองค์โตแห่งราชวงศ์พม่า

    พี่ชายของสายฝน

    .....................เฮียงคี้ แซ่เจ็ง..เขาสืบเชื้อสายมาจากตระกูล "เจ็งกิสข่าน" และใช้

    ชื่อแซ่ว่า "แซ่เจ็ง" ดังนั้นเขาจึงมีความชำนาญในการใช้ธนูดุจบรรพบุรุษของเขา...ซึ่ง

    ฝีมือการยิงธนูของเขาเหนือชั้นกว่าเมือง มีสุข ผู้ที่ยิงธนูชั้นฝึกหัดมากมาย...

    ตระกูล"เจ็ง" สามารถใช้ธนูยิงนกอินทรีที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว...ให้ล่วงลงสู่

    พื้นมาตายอย่างแม่นยำ...เฮียงคี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน...เป้าธนูที่เคลื่อนไหวได้...เขา

    สามารถกะระยะยิงได้แม่นยำเช่นกัน..นกอินทรีไม่น้อยที่ต้องล่วงจากท้องฟ้ามา

    ตายเพราะคมลูกธนูของเขา...ซึ่งหัวของลูกธนูของเขาจะเป็นเงี่ยงเหล็กและแหลม

    คม...ผิดกับลูกธนูของเมืองซึ่งเป็นเพียงหัวไม้เหลาไว้อย่างแหลมคมเท่านั้น...ลูก

    ธนูของเฮียงคี้เมื่อยิงถูกเป้าแล้วไม่สามารถดึงหัวออกตรงปากทางเข้าของบาด

    แผลได้..นอกจากต้องดันให้มันทะลุแล้วหักหัวทิ้ง..แล้วจึงดึงออก

    .....................บัดนี้ แซงคาและเอียงคี้นักล่านกอินทรี..พร้อมพรรคพวกพม่ากลุ่ม

    ใหญ่ ก็ได้เดินทางมาถึงเขตชายแดนเมืองน่านฝั่งตะวันออก โดยพวกเขาใช้เส้นทางเดิม

    คือ พม่า ลาว และเมืองน่าน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • บทที่38.psd
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      274
    • IMG_2240.JPG
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      251
    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      208
    • IMG_2238.JPG
      IMG_2238.JPG
      ขนาดไฟล์:
      21.8 KB
      เปิดดู:
      41
    • IMG_2237.JPG
      IMG_2237.JPG
      ขนาดไฟล์:
      17.1 KB
      เปิดดู:
      204
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2011
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................บุญมีซึ่งซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ ได้เห็นคนพม่ามากมายเคลื่อนกำลังเข้ามา

    ในเขตแดนเมืองน่านฝั่งตะวันออกเขาเริ่มสังหรณ์ใจว่า "พวกพม่ากลุ่มนี้น่าจะมาก่อการร้าย

    ในแผ่นดินสยาม...เพราะในอดีตพม่ากับสยามเป็นศัตรูสู้รบกันมาโดยตลอด ตั้งแต่

    สมัยกรุงศรีอยุธยา แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ โดยเริ่มจากสงครามช้าง

    เผือก เป็นต้นมา ...จนมาสิ้นสุดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

    รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี ...โดยกองทัพอังกฤษมาขอให้เมืองสยามช่วยกอง

    ทัพอังกฤษรบกัมพม่า..และเมื่อพม่าเป็น"เมืองขึ้นของประเทศอังกฤษ"...อังกฤษ

    ได้ให้พม่าทำสัญญาข้อหนึ่งในจำนวนหลายข้อ คือ "ห้ามพม่ารุกราญแผ่นดิน

    สยามตลอดไป"....แต่สัญญาข้อนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์เพียงใดที่จะให้พม่ายึดมั่น

    และเคารพในสัญญาข้อนั้น.....ในเมื่อขณะนี้กลุ่มชนพม่ากองกำลังกลุ่มหนึ่งได้

    เคลื่อนเข้ามาในแผ่นดินสยามแล้ว

    ....................สิ่งแรกที่บุญมีคิดอยู่ตอนนี้ คือ "เขาจะต้องรีบหลบคนพม่ากลุ่มนี้แจ้ง

    ข่าวให้แก่ขุนทัพหรือปลัดเมืองผู้ดูแลฝั่งตะวันออก..เพื่อหาทางป้องกันต่อต้านพร้อมกับขับ

    ไล่ออกไป....และรีบไปรายงานกับเจ้าเมืองน่านและปลัดปักษ์ในทันที"

    ....................บุญมีจึงพยายามบังคับม้าย่องออกจากพุ่มไม้...เพื่อไม่ให้พวกนั้นเห็น

    และรีบหนีออกจากพุ่มไม้นั้นโดยเร็ว

    ....................เอหม่องได้พบกับพรรคพวกพม่าที่แซงคาพามา ณ ที่จุดรอคอย...ใน

    ขณะที่กำลังพูดคุยปรึกษาหารือกันอยู่นั้น....เฮียงคี้ได้มองไปที่พุ่มไม้ด้านทิศเหนือจากจุด

    นัดพบราว 50 เมตร...เขาเห็นการสั่นไหวของพุ่มไม้...เขาจึงหยิบลูกธนูออกมา

    จากกระบอกด้านหลัง..แล้วนำมาทาบกับคันธนูและง้างดึงสายธนูในลักษณะเตรียม

    ยิง..โดยหันหัวลูกธนูไปทางพุ่มไม้นั้น....เอหม่องและทุกคนเห็นพฤติการณ์ของเฮียงคี้

    เช่นนั้นจึงหยุดดู พร้อมกับเอ่ยถาม

    ............................"มีอะไรหรือ..เฮียงคี้"

    ............................"มีคนแอบอยู่ที่หลังพุ่มไม้นั่น" เฮียงคี้พูดแผ่วเบาดุจกระซิบ

    .....................ชนพม่ากลุ่มนั้นจึงหันไปดูที่พุ่มไม้ ก็เห็นพุ่มไม้ไหว ๆ อยู่ แซงคาจึง

    ตะโกนสั่งขึ้น

    ............................"พวกเราไปจับไอ้คนที่อยู่หลังพุ่มไม้ออกมา"

    .................... ทันทีที่ได้ยินเสียงแซงคาสั่ง...บุญมีรู้สึกได้ทันทีว่า"ภัยกำลังมาถึงตัว

    ของเขาแล้ว"....เขารีบชักม้าหันหลังกลับและควบม้าออกไปจากพุ่มไม้โดยเร็ว...โดยมี

    กลุ่มคนพม่าราว 10 คน ควบม้าไล่ตาม

    ....................เฮียงคี้หันหัวลูกธนูตามทิศทางบุญมีไป...อย่างกะระยะในขณะที่

    เขานั่งอยู่บนหลังม้า..เอหม่องเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยปรามขึ้น

    ............................"อย่าเพิ่งให้มันตายเลยนะ เฮียงคี้"

    ............................"ได้" เฮียงคี้รับปากพร้อมกับปล่อยลูกธนูออกไปทันที

    ....................ลูกธนูพุ่งไล่ตามบุญมีไปอย่างรวดเร็วและแรงในระยะ 80 เมตร

    และพุ่งปักเข้าที่สะบักหลังอย่างแรง..จนทะลุออกใต้รักแร้ด้านขวาในลักษณะเข้า

    ทะแยงจนทำให้เขาตกลงจากหลังม้า...และม้าก็วิ่งไปอีกราว 10 เมตรก็หยุดวิ่ง

    เพราะไม่มีคนบังคับม้าให้วิ่งต่อไป

    ....................กลุ่มพม่าที่ไล่ตามบุญมีไป...ได้ตรงเข้าจับตัวเขา.....พร้อมกับนำเขา

    และม้ากลับมาที่เอหม่อง....เอหม่องกับพวกลงจากหลังม้า..แล้วเดินมาอยู่ต่อหน้าบุญมีที่

    ถูกลูกสมุนของตนจับแขนทั้งสองข้างเอาไว้พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"เจ้าเป็นใครจึงมาแอบซุ่มดูพวกข้า"

    .....................บุญมีมองหน้าเอหม่อง..พร้อมด้วยรอยยิ้มอย่างเย้ยหยันในตัวเอ

    หม่อง..โดยไม่มีความสะทกสท้านต่อการเป็นเชลยพลางเอ่ยตอบไป

    ............................."ข้าเป็นเจ้าของแผ่นดินที่พวกเจ้ากำลังยืนอยู่..ข้ามีสิทธิ์

    ที่จะยืนอยู่ที่ใดก็ได้...ไม่เหมือนกับพวกเจ้าที่ถูกกองทัพอังกฤษมันขี่คอจนไม่มี

    แผ่นดินจะอยู่"

    ....................คำพูดของบุญมี ทำให้เอหม่องกับพวกเกิดความโกรธอย่างมาก..มัน

    เป็นคำพูดที่ "ชี้ปมด้อยในลักษณะที่เหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งให้เจ็บแค้น"

    ....................คำพูดลักษณะเช่นนี้..ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันอยู่ตลอดมา

    ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันนี้...แม้แต่เป็นสามีภริยากัน...เพื่อนที่รักกัน...ผู้บังคับ

    บัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา...."ก็อาจถึงฆ่ากันตายในทันที"เฉกเช่น..ตำรวจชั้น

    ผู้น้อยใช้อาวุธปืนยิงผู้บังคับบัญชาตายบนสถานีตำรวจที่มีข่าวเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน

    มานี้.....พวกเราจึงควรละคำพูดชนิดนี้เสีย...."เพราะพูดเมื่อใดภัยย่อมถึงตัวไม่

    ทันที...ก็ในภายหลัง..แต่เพราะเหตุที่พูดเช่นนี้แน่นอน"

    ....................ด้วยความโกรธเอหม่องได้ใช้มือขวาของเขาตบที่ใบหน้าของบุญมี

    อย่างแรง..แล้วเอ่ยโต้กลับอย่างดัง

    ............................"ถึงข้าจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ข้าก็ไม่เคยคิดจะแย่งแผ่นดิน

    ของใคร"

    .....................บุญมีเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นเรื่อย ๆ จึงได้โต้กลับไปอย่างเสียงดังเช่นกัน

    ............................"แล้วพวกเจ้าเข้ามาในแผ่นดินของข้าทำไม"

    ............................"ข้ามาทำงานบางอย่าง..หากเจ้าให้คำตอบแก่ข้าโดยดี..

    ข้าจะปล่อยเจ้าไป"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      198
    • IMG_2237.JPG
      IMG_2237.JPG
      ขนาดไฟล์:
      17.1 KB
      เปิดดู:
      193
    • IMG_2238.JPG
      IMG_2238.JPG
      ขนาดไฟล์:
      21.8 KB
      เปิดดู:
      45
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2011
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เอหม่องพูดจบ..และได้สั่งให้ลูกสมุนนำเอาลูกธนูของเมืองออกมาทั้ง

    สองดอก..เพื่อให้บุญมีดู....บุญมีเห็นลูกธนูทั้งสองดอกก็จำลักษณะของมันได้ว่า"เป็นของ

    ปลัดเมืองที่เขาเคยเห็นตอนที่ปลัดเมืองนำมาที่สวนลุงโต..และที่จวนเจ้าเมือง" บุญมีจึง

    เอ่ยถามอย่างสงสัย

    ............................."เจ้าไปได้ลูกธนูนั้นมาจากไหน"

    .....................คำถามของบุญมี..ทำให้เอหม่องนึกรู้ทันทีว่า "บุญมีต้องรู้จักกับ

    เมืองอย่างแน่นอน".....ทำให้เขาเริ่มมีความหวังในการ"เริ่มการแก้แค้นพร้อมกับเริ่มการทำ

    งาน"เอหม่องจึงเอ่ยตอบบุญมีไปด้วยแววตาอาฆาตแค้น

    ............................."เมือง มีสุข มันเป็นคนให้ข้าเอง"

    .....................บุญมีเห็นอากัปกิริยาของเอหม่อง....จึงได้พิจารณามองไปที่ลูกธนูทั้ง

    สองดอกก็เห็นว่า..."ลูกธนูดอกหนึ่งมีรอยคราบเลือดแห้งติดอยู่"..เขาจึงนึกรู้ทันทีว่า

    "ปลัดเมืองน่าจะใช้ลูกธนูนี้ยิงถูกเอหม่อง" ....เขาจึงเอ่ยหัวเราะขึ้นอย่างขบขันและใช้คำ

    พูดเย้ยหยันเอหม่องอีกครั้ง

    ............................"เจ้านี่มันดวงซวยเสียจริง..ที่ให้ปลัดเมืองยิงลูกธนูถูกเจ้า

    ได้...ปลัดเขาเพิ่งฝึกหัดยิงธนู..และเขาไม่เคยยิงถูกเป้ามาเลยสักครั้ง...ฝีมือห่วย

    แตกอย่างนั้นยังยิงเจ้าถูกได้..เจ้านี่คงเป็นเป้าแรกที่เขายิงถูก ..แสดงว่าเจ้ามัน

    ซวยจริง ๆ...สงสัยจะมาตายที่แผ่นดินสยามซะมั้ง"

    .....................คำพูดของบุญมีเหมือนกับเอาน้ำมันไปราดที่กองไฟ..เอหม่องรู้สึก

    โกรธแค้นในคำพูดของบุญมีอยู่ก่อนแล้ว...และเมือฟังคำพูด"ลักษณะเย้ยหยัน"ของบุญมี

    อีก.....จึงเกิดโทสะอย่างแรงกล้า....เขาจึงได้หยิบลูกธนูอันที่ไม่มีคราบเลือดของเขา..

    คือ "อันที่เมืองยิงทิ้งไว้ที่ต้นฝรั่ง"...และกำลูกธนูไว้แน่น.....พร้อมกับใช้มัน "ทิ่มแทง

    บุญมีบริเวณทรวงอกที่เป็นที่ตั้งของหัวใจอย่างแรงจนมันทะลุผ่านหัวใจออกแผ่น

    หลังของบุญมี".....พร้อมตะโกนขึ้นอย่างดัง

    ............................"ถ้าเจ้ารู้จักมันดี..ข้าก็ขอฝากลูกธนูดอกนี้คืนมันไปก่อน"

    .....................บุญมีเมื่อโดนลูกธนูปักเข้ากลางหัวใจ..เขาถึงกับ"สะดุ้งเฮือกใหญ่

    และดิ้นอย่างแรงด้วยความเจ็บปวด"....แต่แขนของเขาทั้งสองถูกลูกสมุนเอหม่องจับ

    ไว้....."หัวใจของเขาทึ่สูบฉีดโลหิตเมื่อมันมีบาดแผลเกิดขึ้น....เลือดที่สูบฉีดอยู่จึง

    ทะลักออกมาจากหัวใจเรื่อย ๆ และได้พุ่งออกมาทางปากและจมูกของบุญมี...สาย

    ตาของเขาเริ่มพล่ามัว..และกระอักออกมาเป็นเลือดหลาย ๆ ครั้ง......และในที่

    สุด"บุญมีก็ตายไปต่อหน้าเอหม่อง"

    ....................เอหม่องสั่งลูกสมุนจับร่างของบุญมีมัดแน่นคว่าหน้ากับหลังม้า...เพื่อ

    ไม่ให้ศพล่วงจากหลังม้า...โดยยังคงมี"ลูกธนูของเมืองปักอยู่บริเวณหน้าอก"..ส่วนลูก

    ธนูของเฮียงคี้ถูกนำออกจากศพของบุญมี....

    ....................เอหม่องคิดว่า.."ม้าตัวนี้ต้องกลับไปที่อยู่ของมัน"...และเมืองจะต้อง

    พบกับศพนี้ซึ่งมีลูกธนูของเขาปักอยู่...และเมืองจะต้องกลับมาตามหาเขา...ซึ่งเขา

    สามารถฆ่าเมืองได้โดยง่าย..โดยไม่ต้องบุกไปถึงบ้าน...อันเป็นแผนหลอกล่อให้เมืองมา

    พบเขาเอง.....เหมือนคำโบราณกล่าวไว้ว่า มันคือ "แผนล่อเสือออกจากถ้ำ".....โดย

    เอหม่องได้ตั้งค่ายชุมนุมกันอยู่ชายแดนเมืองน่านฝั่งตะวันออก...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      192
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ว้นรุ่งขึ้น..มีชาวบ้านพบศพของบุญมีถูกมัดติดอยู่บนหลังม้า..ท้ายหมู่

    บ้านโดยไม่รู้ว่าเป็นใคร...ชาวบ้านได้มาแจ้งขุนทัพ.......ขุนทัพและปลัดเมือง..พร้อมเจ้า

    หน้าที่ฝั่งตะวันออกได้พากันตามชาวบ้านออกไปดู....พบว่า ม้าและศพอยู่ท้ายหมู่

    บ้านบริเวณทุ่งนาที่ติดกับชายป่า

    .....................ภาพที่เห็น คือ ศพนั้นมีลูกธนูดอกหนึ่งปักชี้โด่ปลายแหลมทะลุ

    ออกมาจากด้านหลังบริเวณส่วนซีกซ้าย..อันเป็นที่ตั้งของหัวใจยาวประมาณศอก

    เศษ..อันทำให้เห็นว่า...ลูกธนูปักเข้าไปเกือบหมดความยาวของลูกธนู..โดยศพนั้น

    นอนคว่ำหน้าอยู่บนหลังม้า..และถูกมัดติดกับม้าด้วยเชือกยาวหลายทบ

    .....................เมืองบอกให้สายซึ่งอยู่ใกล้ศพจับศีรษะศพเพื่อยกขึ้นดูหน้าผู้ตายว่า

    เป็นใคร...และแล้วทุกคน ณ ที่นั้น...ก็ต้องตกใจจนน่าซีด..โดยเฉพาะสายผู้จับศพ

    ถึงกับอุทานอย่างดัง

    ............................"บุญมี"

    ............................"มันเป็นไปได้อย่างไร....เขาข้ามาในพื้นที่ของเราตั้งแต่

    เมื่อไร" บุญแทนเอ่ยอุทานตาม..พร้อมกับเอ่ยคำถามแบบตั้งข้อสังเกต

    .....................ในขณะนั้น เมืองกลับยืนนิ่งอย่างใช้ความคิด แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นอย่าง

    แผ่วเบาให้กับขุนทัพและพรรคพวกได้ยิน

    ............................"ลูกธนูที่ปักศพดอกนั้น...เป็นของข้าเอง"

    ............................"หา" ทุกคน ณ ที่นั้นอุทานอย่างพร้อมกัน

    ......................สิ้นคำอุทาน บุญแทน สาย และมุก..รีบแก้เชือกที่ผูกศพกับม้านั้น..

    เพื่อให้ศพลงสู่พื้นดิน...และหงายดูส่วนหางของลูกธนู...โดยส่วนหางของลูกธนูที่พบจะ

    ทำด้วย...ใบลานแห้งแข็งเสียบตัดกันที่ตัวไม้....และ...หยดครั่งสีแดงที่ตัวไม้เพื่อ

    กันใบลานอันเปรียบเสมือน....หางเสือบังคับลูกธนูให้ตรงทิศทางหลุดออก

    ......................"ใช่"..มันคือลูกธนูฝีมือของลุงแก้วที่ทำขึ้นให้กับปลัดเมือง..

    เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนจึงเชื่อตามคำบอกของเมืองอย่างหายสงสัย.."เพราะมัน

    เหมือนกับลูกธนูที่อยู่ในกระบอกไม้ที่เขาสะพายอยู่ด้านหลัง"

    .....................ทุกคนนั้นต่างเชื่อว่า "เมืองมิได้เป็นผู้ฆ่าบุญมี" ...แต่สงสัยตรงที่ลูก

    ธนูของเมือง...ไปปักอยู่ที่ศพนั้นได้อย่างไร...เพราะเหตุการณ์นี้ "อาจทำให้เจ้าหน้าที่

    ฝั่งตะวันตก เช่น ปลัดปักษ์เชื่อว่า...เมืองเป็นคนฆ่าบุญมี"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2237.JPG
      IMG_2237.JPG
      ขนาดไฟล์:
      17.1 KB
      เปิดดู:
      200
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมืองเดินไปตรวจดูศพ..เขาเห็นบาดแผลอีกสองแผล คือ ตรงสะบัก

    หลังด้านขวา และ ใต้รักแร้ด้านขวา ....เขาจึงลองใช้กิ่งไม้ที่มีก้านตรง..ขนาดเท่า

    แท่งดินสอดำเขียนหนังสือยาวประมาณศอก..ที่ตกอยู่บริเวณนั้น..เสียบไปในรู้บาดแผล

    สะบักด้านหลัง..ก็ได้เห็นรอยแยกของแผลแรกแหวะออกเป็นรูปกากบาด...เขาจึงดัน

    ไม้ลึกเข้าไปอีกก็รู้สึกว่า ...มันเป็นรูและไม้ได้ดันไปจนถึงอีกบาดแผลหนึ่งใต้รักแร้

    ขวาจนทะลุถึงกัน...เขารู้สึกว่ามันคือ บาดแผลของลูกธนูยาวดอกเดียวกัน..โดย

    แผลใต้รักแร้ขวาก็มีลักษณะเป็นกากบาดเช่นกัน........บาดแผลทั้งสองบาดแผลนี้ไม่

    ทำให้บุญมีถึงแก่ความตายได้แน่..แต่การที่ลูกธนูไปยันใต้รักแร้นั้น..ทำให้บุญมีไม่

    สามารถหุบแขนของเขาลงได้...ทำให้เขาต้องยกแขนในขณะควบม้า"จึงเสียการ

    ทรงตัวและอาจตกลงจากหลังม้าได้"

    .....................เมืองนั่งนิ่งอยู่ข้างศพนั้น พลางคิดว่า "ใครกันนะที่ยิงธนูได้ร้ายกาจ

    ถึงเพียงนี้ เขาตั้งใจยิงบุญมีไม่ให้ตาย..แต่ต้องการยิงให้เสียการทรงตัว..และ

    ฉลาดในการยิงทะแยงลูกจากสะบักหลังไปยันรักแร้".....และบาดแผลที่เป็นรูปกาก

    บาดแสดงว่า "หัวของลูกธนูจะต้องมีลักษณะเป็นเงี่ยงแฉกสี่แฉก" ...การที่จะเอาลูก

    ธนูออกจากบาดแผลนี้ได้จะต้อง...หักหัวแหลมของลูกธนูที่เป็นเงี่ยงออกเท่านั้นจึงจะ

    ดึงลูกธนูออกได้..."แล้วทำไมพวกเขาต้องดึงลูกธนูดอกนั้นออก..คงเหลือลูกธนู

    ของเขาไว้เท่านั้น"

    .....................เมืองพิจารณาต่อไปว่า "ลูกธนูของเขาที่ปักอยู่ที่ศพไม่น่าเกิดจาก

    แรงยิงธนู..เพราะการใช้แรงยิงจากคันธนูไม่น่าจะเข้าลึกเกือบหมดดอกเช่น

    นี้".."มันน่าจะเกิดจากการทิ่มแทงอย่างแรงมากกว่า"....เดิมเมืองคิดว่าลูกธนูดอกนี้

    คือ "ดอกที่เขายิงคนพม่าตัวหัวหน้าคนนั้น..และ คนผู้นั้นฝากกลับมายังเขา"...แต่

    เมื่อพิจารณาถึงตำหนิของลูกธนูแล้ว...เขาจึงรู้ว่ามันคือ "ดอกที่เขายิงทิ้งไว้ที่ต้นฝรั่ง

    และไม่ได้เก็บคืนมา..คนที่รู้เรื่องลูกธนูดอกนี้ คือ คนเลี้ยงวัว นั่นเอง"

    .....................ลุงแก้วนั้น..เป็นผู้ที่ทำคันธนู และเหลาลูกธนูให้เมืองเพียง 10 ดอก..

    และเมื่อลุงแก้วทำเสร็จได้วางลูกธนูทั้ง 10 ดอกเรียงกันไว้.......และใช้ปลายมีดกรีด

    ทะแยงจากหัวลูกธนูดอกแรกทะแยงเฉียงไปถึงปลายดอกที่ 10..เพื่อให้เมืองดู

    ตำหนิว่า...."ดอกไหนคือ ดอกแรก..ดอกที่สอง ..สาม จนถึงดอกที่ 10...และเมื่อ

    นำลูกธนูทุกดอกมาวางเรียงกันตามลำดับ........ก็จะเห็นแส้นทะแยงมุมเส้นนั้น...

    แต่ถ้าเรียงลูกธนูไม่ตรงตามลำดับก็จะ....ไม่ได้เส้นทะแยงมุม"

    .....................เมืองใช้ลูกธนูไป 3 ดอก..และเขาจำตำหนิได้ ดอกแรก คือ ยิงทิ้งไว้

    ที่ต้นฝรั่ง ...ดอกที่สอง คือ ใช้ยิงคนพม่าตัวหัวหน้า และ...ดอกที่สาม เขาเอา

    ดอกกุหลาบมาพันด้วยเชือกไว้ที่ปลายแหลม เป็น.."ลูกธนูดอกกุหลาบ".. และให้

    สายพิณไป.....(ให้ตั้งข้อสังเกตดู"วิถีหรือเส้นทางของลูกธนูแต่ละดอก" ..มันจะถูกยิง

    กลับไปกลับมา..และถูกเปลี่ยนมือบ่อยครั้ง..."เพราะมันเป็นธนูแห่งความหมายที่ยังคง

    อยู่จนทุกวันนี้")

    ....................เมืองพิจารณาและคิดเห็นจนได้"ข้อสรุป" ...เขาจึงลุกขึ้นยืนด้วยท่า

    ทางเคร่งเครียดและเอาจริงเอาจัง ..พร้อมกับหันมาทางขุนทัพแล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"พ่อ..เราคงต้องให้คนของเราไปส่งข่าวให้เจ้าเมือง..และ

    ปลัดปักษ์..เพื่อให้พวกเขามารับศพบุญมีกลับฝั่งตะวันตก..แต่อย่างไรเสียอย่าให้

    พวกเขารู้ว่า....มีพวกพม่าบุกรุกเข้ามาในฝั่งตะวันออกของเรา"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2238.JPG
      IMG_2238.JPG
      ขนาดไฟล์:
      21.8 KB
      เปิดดู:
      35
    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      193
    • IMG_2237.JPG
      IMG_2237.JPG
      ขนาดไฟล์:
      17.1 KB
      เปิดดู:
      182
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2011
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ขุนทัพฟังบุตรชายเอ่ยอย่างพิจารณาใช้ความคิด..แล้วจึงถามความเห็น

    ของเมืองกลับไป

    ............................"แล้วเจ้าคิดอย่างไรกับศพนี้

    ............................"ข้าคิดว่า..เจ้าคนพม่าตัวหัวหน้าที่ข้าเคยเล่าให้พ่อฟังว่า..ข้ายิง

    ลูกธนูถูกมัน...มันต้องฆ่าบุญมี..แต่ข้าแปลกใจตรงที่ลูกธนูดอกนี้..ข้าไม่ได้ใช้ยิงมัน...แต่

    ข้ายิงลูกธนูดอกนี้ทิ้งปักไว้ที่ต้นฝรั่งบริเวณเขตชายแดน...ในเมื่อมันเอาลูกธนูดอกนี้มา

    ได้..ข้าก็พอจะรู้แล้วล่ะว่า..พวกมันน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่ใด"

    .....................เมืองอธิบายความคิดของเขาให้ขุนทัพบิดาฟัง...แล้วเขาจึงเอ่ยต่อ

    โดยหันไปทางพรรคพวกที่อยู่ฟัง ณ ที่นั้น

    ............................."ปลัดปักษ์..มีเรื่องไม่พอใจกับข้าเป็นส่วนตัว...ลูกธนูของข้าที่

    ปักอยู่ที่คนของเขา....เขาต้องเชื่อแน่ว่า..ข้าคือ..คนฆ่าบุญมีถ้าเราไม่อธิบายเรื่องพวก

    พม่าให้เขารู้...........พวกเจ้าบอกกับเขาเพียงว่า...ข้าไม่ได้ฆ่าบุญมี..แล้วข้าจะหาพยาน

    หลักฐานมาพิสูจน์ตัวข้าเอง...อย่าให้เขาตามจับข้า"

    ....................เมืองพูดจบก็เดินกลับไปที่ม้าสีนิลเพื่อจะออกเดินทาง...บุญแทนซึ่งเป็น

    คู่หูของเขามาตลอดได้เอ่ยขึ้น

    ............................."แล้วปลัดจะไปที่ไหน"

    ....................เมืองขึ้นนั่งบนหลังม้าเสร็จ จึงได้ตอบคำถามของบุญแทน

    ............................."ข้าจะไปที่ต้นฝรั่งต้นนั้น..และจะตามหาพวกมัน..ตามลูกธนู

    ที่พวกมันส่งมาท้าทายข้า"

    .....................เมืองเข้าใจความคิดของเอหม่องว่า "การที่เอหม่องปักลูกธนูของ

    เขามาให้ดูเพื่อท้ารบกับเขา"...ดังนั้นเขาจึงไปตามคำท้าด้วยความมั่นใจ..เพราะพื้นที่

    ฝั่งตะวันออกเมืองรู้ทางหนีทีไล่ได้ดี....ประกอบกับปัญญาความคิดของเขา...เขาเชื่อแน่

    ว่า ต้องเอาชนะคนพม่าได้....เมืองมองหน้าบุญแทนแล้วเอ่ยขึ้น

    ............................."บุญแทนเจ้าเป็นคนใจเย็น..น่าจะต้านความโกรธของปลัด

    ปักษ์ได้..เจ้าควรอยู่ที่นี่"

    .....................เมืองพูดจบก็ชักม้าหันกลับหลังไปทางทิศตะวันออก...และควบออกไป

    ทันทีอย่างรวดเร็ว...โดยมีมุกมองตามหลัง...แต่ในทันใดนั้นมุกเองก็วิ่งไปที่ม้าของตนแล้ว

    บอกกับขุนทัพกับพรรคพวกว่า

    ............................."ข้าจะตามไปเป็นเพื่อนปลัด" แล้วมุกก็ควบม้าตามเมืองไป

    อย่างรวดเร็วเช่นกัน

    ....................(กล่าวถึง"มุก" นั้น..ความจริงเขาเป็น"ผู้หญิงแต่แต่งตัวเป็นชาย".

    โดยนอกจาก"เมือง"แล้วพรรคพวกไม่มีใครรู้ว่าเขาคือ .."ผู้หญิง"....ซึ่งเรื่องราวของมุก

    จะกล่าวถึงเขา.....ในตอน"ความเป็นหญิงของมุก")
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หลังจากเมืองและมุกลับตาไปแล้ว...ขุนทัพได้ให้สายเดินทางไปแจ้ง

    ข่าวกับเจ้าเมืองน่าน.........ข่าวการตายของบุญมีเป็นข่าวใหญ่ยิ่งนักสำหรับคนฝั่ง

    ตะวันตก...โดยเฉพาะปลัดปักษ์.."เขาทั้งเสียใจและคับแค้นใจ"...ด้วยระแวงอยู่ว่า

    ปลัดเมือง จะทำร้ายกัมพู...แต่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นบุญมี..ซึ่งเขาเป็นคนส่งให้ไปตามกัมพู

    กลับ..และไม่เคยนึกคิดว่าจะมีการตายเกิดขึ้น.....

    ....................เจ้าเมืองน่าน ขุนแสง ปลัดปักษ์ ร.ต.ต.เวียง หมอประจำเมืองน่าน.รวม

    ทั้งตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกมากมาย...ได้พากันเดินทางข้ามแม่น้ำน่านด้วยแพ

    ขนาดใหญ่..โดยการนำทางของสาย....

    ....................และเมื่อทุกคนมาถึงสถานที่พบศพบุญมี..ก็ได้พบขุนทัพ บุญแทน และ

    พรรคพวกเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกรอรับอยู่...โดยศพของบุญมีนั้นขุนทัพสั่งให้บุญแทน

    นำ"ผ้าขาวขนาดพอดีร่างของบุญมีมาคลุมปิดศพเอาไว้"

    ....................ปลัดปักษ์เดินมานั่งคุกเข่าที่ด้านศีรษะของศพบุญมี ..แล้ว..เปิดผ้า

    คลุมศพออกทั้งหมดพร้อมกับโยนผ้าขาวกองไว้ข้าง ๆ...ทุกคนที่เห็นสภาพศพ

    ของบุญมีถึงกับนิ่งอึ้งด้วยความเวทนาและสงสารอย่างจับหัวใจ...โดยเฉพาะปักษ์

    เขากั้นน้ำตาของความเป็นลูกผู้ชายของเขาไม่อยู่..น้ำตาได้ไหลออกมาคลอเบ้า

    พร้อมกับดวงตาที่แดงกล่ำ....ด้วยความรักและความผูกพันของเขาและบุญมี..ซึ่ง

    เป็นทั้งเพื่อนรักและลูกน้องที่ดีของเขา...เขาสะกดความเศร้าโศกเสียใจด้วยการ

    กำมือแน่น..เพื่อให้เล็บมือที่ยาวจิกเข้าที่ฝ่ามือให้มันเจ็บ.."อันเป็นการกระทำที่

    ต้องการให้ความเจ็บปวดของร่างกายมาเบี่ยงเบนความเศร้าโศกของเขา"

    ....................ปลัดปักษ์มองเห็นลูกธนูที่ปักอยู่ที่ศพ..เขาจำได้ว่ามันคือ "ลูกธนูของ

    เมือง" และคิดระแวงมาแต่แรกว่าเมืองจะเล่นงานพวกเขา...เขาจึงเชื่อว่า "เมืองคือคน

    ฆ่าบุญมี"...ด้วยเหตุนี้ความแค้นของเขาจึงระเบิดออกมา...เขาจับลูกธนูดอกนั้นดึงออก

    จากศพของบุญมีอย่างแรงจนมันหลุดออกมาจากศพ...ปักษ์มองลูกธนูที่มีคราบเลือดของ

    บุญมีติดอยู่อย่างแค้นใจพลางเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล

    ............................"เมือง มีสุข กูจะตามล่ามึงให้ถึงที่สุด"

    .....................ทุกคน ณ ที่นั้นมิได้เอ่ยทักท้วงแต่ประการใด..ปล่อยให้ปลัดปักษ์ปล่อย

    อารมณ์โกรธแค้นของเขาออกมาให้มากที่สุด....ด้วยเห็นว่า.."ความโกรธแค้นของคน

    ย่อมทำให้ขาดสติ..และบดบังปัญญาของคนเสมอ....การที่จะชี้แจงสิ่งใดให้กับ

    บุคคลที่กำลังโกรธอยู่ให้เข้าใจเหตุผล....ไม่เคยเห็นมีผู้ใดกระทำได้มาก่อนเลยนับ

    แต่โบราณมาจนถึงปัจจุบันนี้...."ความโกรธ"..คนโบราณจึงให้คติเปรียบเทียบ

    เป็น...คำสอนอันเป็นจริงตลอดมาว่า..."น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง" เพื่อให้คนรุ่น

    หลังได้ศึกษาและรู้จัก......

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เจ้าเมืองน่านเห็นสภาพเหตุการณ์ให้คิดสงสัยอยู่ในใจ..จึงรอให้ปลัด

    ปักษ์สงบลงเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่า ปลัดเมืองเป็นคนฆ่าบุญมี"

    .....................คำพูดของเจ้าเมืองทำให้บุญแทนซึ่งรอคอยโอกาสอยู่ เริ่มเห็นช่อง

    ทางที่จะพูดแก้ต่างให้แก่เมือง...เขาจึงรอดูจังหวะในขณะที่เจ้าเมืองเอ่ยกับปลัดปักษ์

    ............................"ลูกธนูดอกนี้เป็นของปลัดเมืองนะขอรับใต้เท้า..และปลัดเมือง

    กับข้า..รวมทั้งบุญมีก็ไม่ค่อยลงกัน" ปลัดปักษ์เอ่ยอธิบาย

    ......................เจ้าเมืองน่านและทุกคน ณ ที่นั้นฟังนิ่งอย่างพิจารณา เจ้าเมืองน่าน

    จึงเอ่ยต่อ

    ............................"มันเป็นเพียงข้อสงสัย...ยังไม่แน่ชัดเสียทีเดียว"

    ............................"ถ้าเช่นนั้น..ปลัดเมืองหนีหายไปไหนจึงไม่อยู่สู้หน้า" ปักษ์เอ่ย

    โต้แย้ง แต่คำโต้แย้งของปักษ์ทำให้บุญแทนได้ช่องจังหวะขึ้นทันที..บุญแทนจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"ปลัดเมืองบอกว่า..เขาไม่ได้ฆ่าบุญมี.และเขากำลังไปหาพยาน

    หลักฐานมาแสดง"

    ....................ปักษ์ไม่พอใจคำพูดของบุญแทนด้วยเห็นว่า "บุญแทนน่าจะพูดช่วย

    เหลือพวกเดียวกัน" จึงเอ่ยตวาดออกไป

    ............................"ถ้าเช่นนั้น..ใครกันที่ฆ่าบุญมี..เจ้าบอกได้ไหม"

    ....................ขุนทัพและเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกต่างรู้ดีว่า.."ผู้ที่ฆ่าบุญมีต้อง

    เป็นคนพม่า.....แต่เพื่อปกปิดเรื่องคนพม่าบุกเข้าดินแดนฝั่งตะวันออก จึงนิ่งเงียบ

    ไปหมด"

    .....................เจ้าเมืองพิเคราะห์เหตุการณ์แล้ว..จึงมีความรู้สึกว่า "เจ้าหน้าที่ฝั่งตะวัน

    ออกน่าจะมีคำตอบให้แก่ปลัดปักษ์"...จึงเอ่ยขึ้นแก่ขุนทัพในฐานะผู้ดูแลฝั่งตะวันออก

    ............................"ขุนทัพ..ข้าว่าพรุ่งนี้ให้ปลัดเมืองมารายงานชี้แจงให้ข้าฟัง

    หน่อยนะ"

    .....................ขุนทัพโค้งศีระษะเล็กน้อยพร้อมเอ่ยรับคำ

    ............................"ขอรับ..ใต้เท้า"

    .....................ปักษ์นั้นอยากจะตามล่าเมืองอยู่..เขาเห็นเจ้าเมืองน่านพูดเช่น

    นั้น.."เหมือนเป็นการปรามเขา"..ปักษ์จึงเอ่ยเงื่อนไขต่อเจ้าเมืองน่านทันที

    ............................."แต่ถ้าพรุ่งนี้ปลัดเมืองไม่มาพบท่านเจ้าเมือง..ข้าขอตาม

    จับปลัดเมืองด้วยตนเองนะขอรับใต้เท้า"

    .............................."ได้"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หลังจากนั้น ร.ต.ต.เวียงและหมอได้มาตรวจดูที่ศพของบุญมี..และหมอ

    ก็ทำเช่นเดียวกับเมือง...คือ..เมื่อเห็นบาดแผลปรากฎอยู่ตรงสะบักหลังและใต้รักแร้..หมอก็

    ได้เอาไม้แย่เข้าไปที่บาดแผลก็พบว่า "ปากบาดแผลแยกออกเป็นสี่แฉกรูปกากบาด..และ

    ไม้ได้ทะลุไปถึงบาดแผลใต้รักแร้" หมอจึงเอ่ยขึ้นแสดงความเห็น

    ............................"แผลนี้..ลึกและยาวเชื่อมต่อกับแผลใต้รักแร้..ข้าคิดว่ามันน่าจะ

    เป็นลูกธนูที่ยิงเสียบเข้าไป...แต่เมื่อเปรียบเทียบกับแผลที่ลูกธนูปักอยู่ที่ศพ..และปลัดปักษ์

    ดึงออกไป...บาดแผลไม่เหมือนกัน..บาดแผลทั้งสี่รอย......น่าจะเกิดจากลูกธนูต่าง

    ชนิดกัน"

    ....................บาดแผลจากลูกธนูของปลัดเมือง......"เป็นเพียงบาดแผลรูกลม

    ของลูกธนู"....คำพูดของหมอ..ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดด้วยความ

    สงสัยเกี่ยวกับการตายของบุญมี

    ....................ปลัดปักษ์เองเริ่มเห็นด้วยกับหมอ...ความโกรธแค้นแต่แรกเริ่มเบา

    บาง...กลับมาเป็นการใช้สติขบคิดต่อมา

    ....................ศพของบุญมีถูกนำขึ้นเกวียนไปที่ท่าน้ำเพื่อนำขึ้นแพ..กลับฝั่งตะวันตก

    พร้อมกับขบวนของเจ้าเมืองน่านและเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตก..โดยมีขุนทัพกับพวกตามไปส่ง

    ที่ท่าน้ำ.....

    ....................ปักษ์เก็บลูกธนูของเมืองเอาไว้..ด้วยคิดว่าไม่ว่าคนฆ่าบุญมีจะเป็น

    ปลัดเมืองหรือผู้ใดก็ตาม...เขาจะนำลูกธนูดอกนี้คืนให้แก่คนฆ่าเช่นเดียวกับที่ทำกับ

    บุญมี.........เขาขอร้องให้เจ้าเมืองน่านและญาติของบุญมีอย่าเพิ่งทำพิธีเผาศพ..จนกว่า

    เขาจะล้างแค้นให้บุญมีได้สำเร็จ....ดังนั้นศพของบุญมีจึงถูกฝังไว้ก่อนที่วัดประจำ

    เมืองน่าน....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 00970_2.jpg
      00970_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.8 KB
      เปิดดู:
      40
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .................ตอนที่ 40 ประกายแห่งนักรบ............


    ....................เมืองควบม้าเรื่อยมาจนสุดเขตแดน...และตรงไปยังต้นฝรั่งบริเวณที่คน

    เลี้ยงวัวได้นำวัวมาเลี้ยง...โดยมีมุกควบม้าตามหลังไปติด ๆ...เมื่อเขามาถึงที่ต้นฝรั่งก็พบ

    ว่า "ลูกธนูของเขาที่ปักอยู่ได้หายไปแล้ว"....เขาลงจากหลังม้าตรวจตราทั่วบริเวณก็พบ

    ร่องรอยของการ"ก่อไฟโดยทิ้งขี้เถ้าและเศาไม้ที่ติดไฟและมอดไปไว้"....เขาเชื่อ

    ว่า.."พวกพม่าเคยมาพักอยู่บริเวณนี้"....เมืองมองหาคนเลี้ยงวัวโดยไม่รู้ว่า "คนเลี้ยงวัว

    คือ ปลัดปักษ์ที่กำลังจะออกตามล่าเขาอยู่ในไม่ช้านี้"

    .....................เมืองชี้ให้มุกดูรอยปักของลูกธนูที่ต้นฝรั่งและบอกมุกว่า

    ............................"เจ้าจงจำรอยนั้นไว้ให้ดี...รอยที่ลูกธนูของข้าปักอยู่..ขอให้

    ปลัดปักษ์ตามหาคนเลี้ยงวัวที่เคยเลี้ยงวัวอยู่แถวนี้...เขาเป็นพยานให้ข้าได้...ข้าขออ้างลุง

    แก้วเป็นพยานในการทำลูกธนูให้แก่ข้าเพียง 10 ดอกเท่านั้น"

    .....................เมืองเดินสำรวจตรวจรอยเท้าม้า..หลังจากบอกความแก่มุก..เขาเห็น

    รอยเท้าม้ามุ่งไปทางทิศเหนือ..เขาเชื่อว่าต้องเป็นรอยเท้าม้าของคนพม่า...เขาจึงบังคับ

    ม้าเดินแกะรอยไปโดยมีมุกอยู่เคียงข้าง..มุกไม่ทราบว่าเมืองจะทำเช่นไรต่อจึงได้เอ่ยถาม

    ............................"ถ้าเราตามจนพบพวกมัน..เราจะทำอย่างไรต่อ"

    ............................"เราจะคอยดูสถานการณ์ ถ้าพวกมันมีไม่มาก..เราต้องหาวิธี

    จัดการให้สิ้น...แต่ถ้าพวกมันมีมาก..เราจะจำที่ซ่อนของพวกมันแล้ว..ไปบอกพวกเราให้มา

    จัดการ...ก่อนที่เจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกจะรู้"

    .....................มุกพยักหน้าช้า ๆ อย่างเข้าใจ..พร้อมกับดึงอาวุธปืนลูกโม่ที่เอวออกมา

    ดู..และตรวจดูลูกกระสุนที่อยู่ในโม่...พบว่ามันยังคงเต็มอยู่..เขาจึงเก็บมันไว้ที่เดิม..เมือง

    เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยเตือน

    ............................"อย่าได้ใช้ปืนยิงมันเป็นเด็ดขาด..เสียงปืนจะทำให้พวกมันรู้ตัว"

    ............................"แล้วเราจะจัดการพวกมันอย่างไร" มุกถามด้วยความสงสัย

    ............................"รอดูแล้วแต่สถานการณ์"

    ....................และเย็นวันนั้น..เมืองและมุกก็ได้พบกับค่ายพม่า..ที่พวกพม่าซ่อนตัว

    อยู่..โดยค่ายดังกล่าวมีเวรยามเฝ้าอยู่รอบค่าย...มีกองกำลังพม่ามากมายเกินกว่าที่เมือง

    คิดไว้...เขาจึงซุ่มสังเกตการณ์ดูจนรุ่งเช้า...โดยหารู้ไม่ว่า"เจ้าเมืองน่านมีคำสั่งให้เขา

    ไปพบในวันนี้ ไม่เช่นนั้นปลัดปักษ์จะต้องออกตามล่าเขาอย่างแน่นอน"

    .....................ฝ่ายขุนทัพเมื่อเมืองไม่กลับมาที่บ้านเมื่อวานนั้น..เขาจึงพาพรรคพวก

    ออกติดตามเพื่อแจ้งข่าวให้ "เมืองไปพบเจ้าเมืองน่านในวันนี้".......

    .....................จุดที่ซ่อนตัวของเมืองและมุกที่ซุ่มดูเหตุการณ์..เป็นป่าไม้ทึบหนาอยู่

    บริเวณเนินสูงกว่าค่ายพม่าของเอหม่องไม่มากนัก....โยค่ายเอหม่องอยู่ห่างจากป่าไม้ทึบ

    นั้นราว 100 เมตร..จึงเป็นการยากที่พวกพม่าหรือทหารของเอหม่องจะสังเกตเห็น

    .....................เมืองและมุกเห็นเอหม่องเดินออกมาจากเต๊นท์กับพวกที่เขาเคยเห็น....

    ตอนตามล่าเยยุ่น....แต่ชายผิวขาวอีกคนหนึ่งที่สะพายคันธนู เมืองไม่เคยเห็นมา

    ก่อน..ซึ่งเขาผู้นั้นก็คือ "เฮียงคี้ แซ่เจ็ง" มือสังหารของขุนนางพม่าที่ส่งมาช่วยเอ

    หม่องนั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      182
    • A221.jpg
      A221.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.6 KB
      เปิดดู:
      43
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ในทันใดนั้นก็มีฝูงอีกาฝูงหนึ่งบินโฉบฉวัดเฉวียงอยู่บนฟ้าเหนือค่าย

    พม่าและส่งเสียงร้อง

    ............................"กา...กา....กา....." ดังระงม

    .....................เมืองสังเกตเห็นชายผิวขาวที่สะพายคันธนูอยู่..จับคันธนูที่สะพายอยู่

    ออกมา...พร้อมกับหยิบลูกธนูออกมาจากกระบอกไม้..ขึ้นทาบกับคันธนู..และแหงนมองไป

    ที่ฝูงอีกา

    .....................เฮียงคี้ยกคันธนูขึ้นเล็งไปทางฝูงอีกา...เขามองทิศทางการเคลื่อน

    ไหวของอีกาตัวหนึ่ง..ที่บินวนไปทางซ้ายหมุนเป็นวงกลม...เฮียงคี้มิได้เล็งธนูไปที่

    อีกา...แต่เขาดูพฤติกรรมของอีกาที่บินวนย้อนกลับมาที่เดิม..และดูระยะเวลาที่

    อีกาจะบินกลับมาที่เดิม...และแล้วเขาได้เล็งธนูไปที่จุดที่อีกาบินวนไปแล้ว..และจะ

    ต้องบินวนกลับมาที่เดิมพร้อมกับปล่อยลูกธนูออกไปทันที

    ............................."เฟี๊ยว......." เสียงลูกธนูพุ่งออกไปด้วยกำลังแห่ง

    ความเร็วและแรง

    ....................ในขณะที่อีกาบินวนกลับมาที่เดิม..โดยหารู้ไม่ว่า "ลูกธนูของเฮียงคี้

    กำลังพุ่งไป ณ ที่นั้นเพื่อรอมันอยู่" และในที่สุด..เมื่อมันบินกลับมาลูกธนูได้พุ่งปัก

    เข้ากลางลำตัวของมันขาดใจตายทันที.....และล่วงหล่นลงมาพื้นล่างตรงหน้าของ

    เอหม่องกับพวก...

    ....................เสียงหัวเราะเฮฮาแสดงความยินดีดังก้องไปทั่วค่าย..ที่เห็นฝีมือการ

    ยิงธนูของเฮียงคี้ที่สามารถเด็ดเป้าที่อยู่กลางอากาศ.........ล่วงลงมาอย่างน่า

    ตื่นตาตื่นใจ.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • flying.gif
      flying.gif
      ขนาดไฟล์:
      82.5 KB
      เปิดดู:
      103
    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      176
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2011
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เหตุการณ์ดังกล่าวไม่พ้นสายตาของเมืองซึ่งพิจารณาดูอยู่....เขาจึง

    เชื่อว่า"คนผู้นี้แหละที่ใช้ธนูของเขายิงบุญมีจากสะบักหลังทะลุไปยันใต้รักแร้"..

    และเมืองได้ใช้ปัญญาพิจารณาการยิงธนูของเฮียงคี้ว่า "เหตุที่คนผู้นี้สามารถยิงอีกาที่

    กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าถูกเพราะเหตุใด".....และเมืองก็ได้ใช้ปัญญาทำความเข้า

    ใจเพื่อเรียนรู้"วิชาการยิงธนูของเฮียงคี้"..เฮียงคี้ไม่ใช่อาจารย์สอนการยิงธนูให้แก่

    เมือง....แต่เป็น"ดุจศัตรูของเขา"...แต่วิชาการยิงธนูของเฮียงคี้ต่างหาก.."ที่เป็น

    อาจารย์ของเขา"..เขาเรียนรู้มันในขณะนั้นเอง....และเกิดความเชื่อมั่น......

    ว่า..."เขาต้องยิงธนูได้ดุจเฮียงคี้เช่นกัน"

    .....................เมืองเข้าใจว่า "เฮียงคี้ใช้การกำหนดพฤติกรรมของเป้าเคลื่อน

    ที่..ว่ามีทิศทางจะไปที่ใด...แล้วจึงยิงลูกธนูไปดักหน้าเป้า...และเป้าเคลื่อนที่จะวิ่ง

    ไปหาคมธนูของเขาเอง....ด้วยเหตุนี้เอง.เฮียงคี้จึงยิงธนูได้แม่นยำมาก...ดังนั้น

    การหลบคมธนูของเฮียงคี้ก็มีอยู่ทางเดียว คือ.......ทำให้เขาไม่สามารถกำหนด

    ทิศทางของเป้าได้..........หากเขากำหนดไม่ได้เขาก็ไม่สามารถยิงธนูได้ถูกเป้า

    อย่างแน่นอน"

    ....................เมืองรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่"อ่านคู่ต่อสู้ออก"...เขาเริ่มมั่นใจที่"จะท้ารบ

    กับกองกำลังพม่าที่อยู่เบื้องหน้าราว 50 คน ด้วยตัวของเขาเพียงคนเดียว"

    ....................เมืองบอกมุกทันทีว่า "หลังจากที่เมืองแสดงตัวให้กองกำลังเอหม่อง

    เห็น..พวกนั้นจะมองมาที่เขาเพียงคนเดียว..และจังหวะนี้ให้มุกควบม้าออกไปโดยเร็ว..เพื่อ

    ไปบอกขุนทัพให้มาช่วย...เพราะสืบได้แล้วว่า ..เอหม่องตั้งฐานทัพอยู่ที่นี่"

    ....................และขณะนั้นเอง..เมืองก็มองไปทางทิศตะวันออกของป่าอย่างพิจารณา

    จนทำให้มุกสงสัยจึงถามขึ้น

    ............................"มีอะไรหรือปลัด"

    ............................"หลังป่าด้านโน้น..มันคือเหวลึกที่เป็นช่องเขาห่างกันราว

    10 เมตร พวกมันไม่รู้เพราะแนวป่ามันบังไว้..ข้าจะควบม้าและบังคับมันกระโจน

    ข้ามเหวนั่น..พวกมันควบม้าตามข้าอย่างเร็วมันจะไม่ทันกะระยะการกระโจนของ

    ม้า...จะทำให้พวกมันพลาดตกลงเหวกันหมด" เมืองอธิบายอย่างกระซิบแผ่วเบา

    .....................มุกดวงตาลุกโพลงด้วยคาดไม่ถึง..และรู้สึกหวั่นใจเกี่ยวกับม้าสี

    นิลว่า.."จะกระโจนข้ามพ้นช่องเขาได้ไหม"..เขาจึงเอ่ยทักท้วง

    ........................... "แล้วปลัดคิดว่า..สีนิลจะข้ามพ้นหรือ"

    ..........................."ข้ากำลังพิจารณาอยู่..อย่างไรก็ต้องเสี่ยง ถ้าพวกมันตาม

    มากันหมด..เราก็คงกำจัดมันได้หมดแน่"

    ....................เมืองหันกลับมาที่กลุ่มเอหม่องอีกครั้ง..ก็เห็นเฮียงคี้หยิบลูกธนูขึ้นมา

    อีกและมองไปที่อีกาตัวหนึ่งที่บินวนอยู่...เมืองรู้สึกว่า"เขากำลังได้โอกาสท้ารบ

    แล้ว..และจะลองวิชาที่เรียนรู้จากการยิงธนูของเฮียงคี้เมื่อครู่นี้"

    ....................เมืองขึ้นขี่ม้าสีนิลอย่างรวดเร็ว..และนำคันธนูที่สะพายหลังออก

    มาพร้อมกับลูกธนูดอกหนึ่งขึ้นทาบ..แล้วมองไปที่อีกาตัวนั้นเช่นเดียวกับเฮียงคี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      167
    • A151.jpg
      A151.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.8 KB
      เปิดดู:
      37
    • A241.jpg
      A241.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.3 KB
      เปิดดู:
      33
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2011
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ในขณะนั้นเอหม่องและทหารพม่าทุกคนต่าง."แหงนดูอีกาตัวที่เฮียงคี้

    มองอยู่"..โดยไม่ได้สนใจมองทิศทางอื่น...อันเป็นช่วงจังหวะที่เปิดโอกาสให้เมืองควบม้า

    ออกมาจากป่าทึบนั้น..ตรงมายังเอหม่องและเฮียงคี้...สายตาของเมืองยังคงจับจ้องที่

    อีกาตัวนั้น...และมองดูเฮียงคี้ว่าเมื่อไรจะง้างสายธนู

    ....................และในที่สุด..เฮียงคี้ก็ดึงสายธนูง้างลูกธนูขึ้นพอประมาณกับระยะ

    ของเป้า...และปล่อยลูกธนูออกไป

    ....................เมืองนั้นอยู่ห่างไกลอีกามากกว่าเฮียงคี้..และกำลังควบม้าเข้ามา

    ใกล้เป้า....แต่เขาอยู่เนินดินที่สูงกว่าเฮียงคี้...เมื่อเห็นเฮียงคี้ง้างคันธนูและปล่อย

    ลูกธนูออกไป...เมืองจึงง้างสายธนูอย่างเต็มเหยียดเต็มกำลังจนได้ยินเสียงคันธนู

    ไม้ไผ่ลั่นเอียดเหมือนกับจะหักคามือ....เมืองคิดว่า "เขาปล่อยลูกธนูที่หลังเฮียงคี้

    เขาต้องเพิ่มความเร็วและแรงให้มากกว่าลูกธนูของเฮียงคี้..เพื่อให้ลูกธนูของเมือง

    จะได้ทันลูกธนูของเฮียงคี้"

    ....................ใครจะรู้ว่า .."แท้จริงแล้วเมืองมิได้มีเป้าหมายการยิงไปที่อีกา..

    แต่เป้าหมายของเมืองคือ.."ลูกธนูของเฮียงคี้"..เขาคิดอะไรหรือ...

    .....................ลูกธนูของเฮียงคี้พุ่งแหวกอากาศไปอย่างรวดเร็ว..เร็วกว่าการ

    บินวนของอีกาตัวนั้นมากมาย..และลูกธนูกำลังจะถึงอีกาตัวนั้น..

    ............................"เฟี้ยววววว.....".........

    ............................"เพี๊ยะ..ผลั้ก..."......

    ........................"เฟี้ยว..ฉึก..".......

    .....................และแล้วสายตาของเอหม่อง เฮียงคี้และเหล่าทหาร..ก็ได้เห็น"ลูก

    ธนูอีกดอกหนึ่ง"พุ่งแหวกอากาศมาอย่างเร็วและแรง...พุ่งตรงมาที่...."ลูกธนูของ

    เฮียงคี้"...และทันใดนั้นเอง

    ....................."ลูกธนูดอกนั้น"ก็พุ่งชนเข้ากลาง"ลูกธนูของเฮียงคี้"จนมันหัก

    กลางอากาศเป็นสองท่อน....แต่ด้วยความแรงของลูกธนูของเมือง"จึงดันส่งลูกธนู

    ของเฮียงคี้ตรงรอยหักทั้งสองท่อน...พุ่งตามลูกธนูของเมือง..พุ่งปักเข้าที่กลางลำ

    ตัวของอีกาตัวนั้น....ทำให้เห็นว่า.."อีกาตัวนั้นถูกลูกธนูของเมืองปักเข้ากลางลำ

    ตัว..โดยมี..สองท่อนของลูกธนูเฮียงคี้ปักขนาบลูกธนูของเมืองเอาไว้ที่อีกาตัวนั้น"

    ....................มันเป็น"สุดยอดของการยิงธนู"ของ"คนที่ยิงธนูชั้นฝึกหัดเช่น..

    เมือง มีสุข"...เขาเพิ่งเรียนรู้การยิงธนูของเฮียงคี้เพียงไม่กี่อึดใจ..และเขา

    สามารถ"ยิงหักเหลี่ยมคนที่ไม่ใช่อาจารย์ของเขา..แต่ได้แสดงการยิงธนูให้เขาดู

    โดยไม่เจตนา"...

    ...................."ลูกธนูของเมือง"..ไม่เพียงแค่ทำลาย"ลูกธนูของเฮียงคี้อย่าง

    เดียว...แต่ได้พุ่งตรงเข้าหาอีกาที่เป็นเป้าหมายของเฮียงคี้อีกด้วย"..

    ....................มันไม่ใช่เรื่องศิษย์ล้างครู..แต่เป็นเรื่อง.."หอกของใครคนนั้นเอา

    คืนไป"...ดังเช่นคำโบราณกล่าวไว้..."วิชายิงธนูของเฮียงคี้ถูกทำลายด้วยวิชา

    ของเขาเอง"...

    ....................อีกาได้ล่วงหล่นลงมากับพื้นดินต่อหน้าเฮียงคี้..พร้อมกับการหยุด

    ของม้าสีนิลที่เมืองบังคับให้หยุดในระยะ 50 เมตร......บนเนินสูงก่อนถึง..เอหม่อง

    เฮียงคี้กับพวก...

    ....................เฮียงคี้ เอหม่องกับพวกมองดูอีกาที่อยู่ตรงหน้า..ก็เห็นรอยเสียบ

    ของลูกธนูของตน...ที่ถูกลูกธนูของ"ผู้มาเยือน"ยิงทำลายจนหัก..และพวกเขาได้

    มองขึ้นไปบนเนินอันเป็น"ทิศทางที่มาของลูกธนูพิฆาตดอกนั้น"...ก็เห็น.."บุรุษผู้

    มาเยือนนั่งอยู่บนหลังม้าถือคันธนูด้วยมือขวา..ด้วยลำตัวที่นั่งเหยียดตรงอย่าง

    งามสง่า..โดยไม่มีที่ท่าว่า....จะเกรงกลัวพวกตน"....

    ............................"เมือง มีสุข"....เอหม่องอุทานอย่างแผ่วเบา..พร้อมกับ

    เฮียงคี้และทหารพม่าที่จ้องมองดูเมืองอย่างหวั่นไหว...และขยาดในฝีมือการยิงธนู

    ของเมือง...

    ...................."ความมั่นใจ"ของเมือง มีสุข..เป็นความสง่างามที่ทำให้เขากล้า

    บ้าบิ่นเช่นนี้...เขานั่งอยู่บนหลังม้าดุจราชสีห์ที่ไม่เกรงกลัวผู้ใด..และประกาศอย่าง

    กึกก้อง..ณ ที่นั้นด้วยคำพูดอันชาญฉลาดข่มขวัญศัตรู..และเพื่อยั่วให้ศัตรูโกรธ

    แค้น..จนขาดสติติดตามไล่เขาไป...โดยเขารู้จักชื่อ"เอหม่อง"จากจดหมายของ

    สายฝนแม่ของเขาที่มีถึงขุนทัพ..เขาจึงเอ่ยขึ้น.

    ............................"เอหม่อง...ชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือของข้าอยู่ตลอด

    เวลา...ครั้งแรกข้ายิงถูกเจ้าไม่หวังให้ตาย...กะสั่งสอนให้กลับพม่าไป...แต่เจ้าดัน

    ไปตามไอ้หน้าขาวมือธนูของเจ้ามาดวลฝีมือกับข้า..เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่า..

    ฝีมือของมันคู่ควรกับข้าไหม"

    ....................เอหม่องนั้นได้ยินคำพูดของบุญมีก่อนหน้านี้ว่า "เมืองเป็นแค่มือ

    ฝึกหัดยิงธนูที่ไม่เคยยิงถูกเป้า..แต่กลับยิงถูกเขาได้ถือว่าเขาซวยมาก"..........

    แต่ ณ เวลานี้เขาคิดว่า "บุญมีโกหก"...ซึ่งความจริงบุญมีพูดถูก..แต่เหตุการณ์เวลานี้

    เปลี่ยนไป...เพราะเมืองได้เรียนรู้การยิงธนูจากเฮียงคี้จนเข้าใจ..เขาจึงยิงลูกธนูไป

    ดักรอลูกธนูของเฮียงคี้และได้ผลถูกเช่นกัน....

    ....................เฮียงคี้ได้ยินคำพูดเหยียดหยามเช่นนั้น..โดยไม่รู้มาก่อนว่า "แท้จริง

    เมืองไม่ใช่ผู้ชำนาญการยิงธนูเหมือนเขา"..เขาโกรธแค้นมากจึงได้เอ่ยขึ้น

    ............................"ข้าชื่อเฮียงคี้ ไม่ใช่ไอ้หน้าขาว...เจ้ายิงธนูได้แม่น..แต่

    ไม่รู้ว่าเจ้าจะหลบลูกธนูของข้าได้ไหม เตรียมตัวได้แล้ว"

    .....................เฮียงคี้พูดพร้อมกับดึงลูกธนูออกมาทาบกับคันธนูและเล็งมาที่

    เมือง เมืองเห็นเช่นนั้น..จึงได้ชักม้าหันหลังกลับและควบออกไปทางทิศตะวันออก

    ซึ่งเป็นทิศทางของช่องเขาอันเป็นเหวลึกอย่างเร็ว....เอหม่องกับพวกเห็นเช่นนั้น..

    จึงสั่งทหารพม่าไล่ตามออกไปทันที โดยมีเฮียงคี้ควบม้าตามหลัง

    ....................ทหารพม่าใช้อาวุธปืนยิงเมือง.."แต่เฮียงคี้เขาถูกท้ารบด้วยธนู

    เขาและเมืองไม่อาจใช้อาวุธอื่นได้..นอกจากธนูที่จะต้องแก้ลำกัน"..

    ....................ในขณะที่ทหารพม่าไล่ตามเมือง....มุกได้ควบม้าออกจากที่ซ่อน

    ทันที และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเพื่อไปตามขุนทัพมาช่วยเมือง...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      185
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2011
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เฮียงคี้ไล่กวดเมืองตามหลังทหารพม่าซึ่งอยู่ข้างหน้าราว 10 คน..เสียงปืนจาก

    ทหารพม่าที่อยู่ข้างหน้าดังแข่งกันอย่างกัมปนาทกึกก้องทั่วป่าทึบ

    ....................เฮียงคี้ยกคันธนูขึ้นเล็งเพื่อกะระยะทิศทางการเคลื่อนที่ของเมือง..แต่ก็ถูกต้นไม้

    ใหญ่บังเสียทุกครั้งที่ง้างสายธนู...และเมื่อถึงช่วงป่าเปิดเขาก็เห็นเมืองควบม้าสลับซิกแซ็กไปมาจน

    เขาไม่มั่นใจในการปล่อยลูกธนู..เพราะยังจับทิศทางของเป้าเคลื่อนที่ไม่ได้...

    ....................ส่วนเอหม่องกับพวกทหารพม่าอีกราว 40 คน ก็ควบม้าไล่ตามเฮียงคี้ไปติด ๆ ..

    โดยมีทิศทางไปทางทิศตะวันออกของป่า...โดยเขาไม่รู้ว่าเบื้องหน้าของพวกเขา คือ ......"เหวลึก

    อันเป็นช่องเขากว้างประมาณ 10 เมตร ซึ่งยากที่ม้าผู้ใดจะข้ามพ้นได้"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A241.jpg
      A241.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.3 KB
      เปิดดู:
      39
  16. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419
    I will try to read all this post...thanks friend

    I am ศิษย์วัดถ้ำเมืองนะ .nice to meet you .
     
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    .....พุทธังอาราธนานังกะโลมิ...ธัมมังอาราธนานังกะโลมิ...สัง

    ฆังอาราธนานังกะโลมิ.....น้อมกราบนมัสการหลวงปู่ทวด..

    หลวงปู่ดู่...หลวงตาม้า...ด้วยใจรักและเคารพอย่างสูงครับ....

    .....บุญท่านนำส่งดีแล้วครับที่ได้เป็นศิษย์วัดถ้ำเมืองนะ...ไม่

    นานก็จะมีบารมีเปี่ยมล้น..อนุโมทนาด้วยครับ..

    .....และขอขอบคุณที่ติดตามอ่าน...จะมี"ธรรม"..และ.."แนว

    คิด" ต่าง ๆ แทรกไปเรื่อย ๆครับ......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2011
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมื่อใกล้พ้นเขตป่าทึบใกล้ถึงช่องเขา...เมืองจับเชือกม้าสีนิลไว้แน่น

    และยกสะโพกขึ้นควบม้าสีนิลอย่างเร็ว..พร้อมกับกะจังหวะให้ม้าสีนิลกระโจนข้ามเหวลึก

    นั้น...โดยที่ทหารพม่าที่ตามติดมาบนหลังม้า 10 คนไม่ทันระวังตัว...เมื่อเห็นม้าของเมือง

    ควบเร็วขึ้น..พวกเขาก็บังคับม้าให้วิ่งเร็วขึ้นโดยไม่ได้กะระยะที่จะกระโจนข้ามเหวไว้..และ

    ไม่ได้เตรียมตัวหยุดม้าเมื่อถึงหน้าผา.......

    ....................เมืองควบม้ามาถึงปากเหวบริเวณหน้าผา..เขาบังคับม้าให้

    กระโจนข้ามเหวลึก...เพื่อไปยังอีกฟากของช่องเขาทันที...

    ....................ภาพของม้าสีนิลลอยแหวกอากาศข้ามช่องเขากว้างราว 10

    เมตรได้ปรากฎขึ้นต่อหน้าทหารพม่าและเฮียงคี้...เฮียงคี้บังคับม้าหยุดได้ทัน..แต่

    ในส่วนของทหารพม่าบนหลังม้าทั้ง 10 คนนั้น..ไม่สามารถหยุดม้าได้ทัน..ได้

    ตกลงไปในเหวลึกทั้งคนและม้า....

    .....................ในขณะที่เมืองและม้าสีนิลกำลังลอยตัวอยู่บนอากาศระหว่าง

    ช่องเขา...ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เฮียงคี้ง้างสายธนูขึ้นโดยกะทิศทางการเคลื่อนที่

    ของเป้า คือ เมืองได้อย่างแน่นอนแล้ว...ก็ได้ปล่อยลูกธนูจากสายพุ่งไล่ตามเมือง

    ไปทันที...

    .....................เมืองคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่า.."ตอนที่เขาลอยอยู่กลางอากาศ

    และมีทิศทางที่แน่นอนคือฟากเขาโน้น...เขาจะต้องถูกเฮียงคี้ยิงธนูใส่อย่างแน่

    นอน".....ดังนั้น..เขาจึงเหลือบกลับมามองเฮียงคี้ขณะที่ปล่อยลูกธนูออก...และเมื่อ

    เขาเห็นลูกธนูพุ่งออกมาจากคันธนู...เขาจึงโน้มตัวลงนอนคว่ำแนบกับม้าสีนิล...

    ทำให้ลูกธนูของเฮียงคี้พุ่งเลยไปปักอยู่ฟากเขาโน้น...และเขาก็บังคับม้าข้ามเหว

    ตามไปฝั่งโน้นได้อย่างปลอดภัย....

    ....................เมืองควบม้าไปดึงลูกธนูของเฮียงคี้ที่ปักอยู่กับพื้นดินขึ้นมา...แล้วก็ควบ

    ม้ากลับไปที่ปากเหว...พร้อมกับ"ชูลูกธนูของเฮียงคี้ขึ้น"และตะโกนขึ้นอย่างดัง

    ........................"เฮียงคี้...นี่คือคำตอบ..ที่เจ้าถามว่าข้าจะหลบลูก

    ธนูของเจ้าได้ไหม"

    .....................เฮียงคี้มองเมืองอย่างเสียหน้า..และฟังเมืองพูดต่อ

    ........................"ข้าจะเก็บลูกธนูของเจ้าไว้เป็นที่ระลึก..วิชายิงธนู

    ของข้า....ข้าเรียนมาจากเจ้าตอนที่..เจ้ายิงอีกาตัวแรกนั่นแหละ"

    .....................เฮียงคี้ตกตะลึงในคำพูดของเมือง..ด้วยคิดไม่ถึงว่า "จะมีคนอัจฉริยะ

    ที่สามารถเรียนรู้การยิงธนูของเขาได้รวดเร็วปานนี้ เมือง มีสุข เจ้าช่างน่ากลัวยิ่ง

    นัก ..แต่สักวันหนึ่งเจ้าต้องพลาดถูกคมธนูของข้าแน่" นี่คือความรู้สึกภายในใจ

    ของเฮียงคี้ เฮียงคี้คิดได้ดังนี้จึงเอ่ยโต้กลับไปบ้าง

    ........................."ลูกธนูของเจ้าที่ปักอยู่ที่อีกา..ข้าก็จะเก็บมันไว้เป็น

    ที่ระลึกเช่นกัน...แต่ข้าจะคืนให้เจ้าพร้อมกับความตายของเจ้าในไม่ช้า"

    .....................เอหม่องกับพวกควบม้ามาถึงเฮียงคี้ ก็ให้รู้สึก"เครียดแค้นยิ่งนัก.ที่

    คนของเขามาตกเหวตายอย่างเสียรู้ เมือง มีสุข..พร้อมกับการหนีรอดไปได้...เขา

    จึงสั่งให้ทหารระดัมยิงปืนใส่เมืองที่อยู่อีกฟากทันที...ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เมือง

    ชักม้าหันหลังกลับ...และควบม้าหนีกระสุนปืนอย่างไม่เหลียวหลัง..

    .....................เมืองหนีรอดไปได้..แต่เอหม่องได้สั่งให้ทหารพม่ากลุ่มหนึ่งซึ่งนำโดย

    เบงกอลติดตามแกะรอยหาหนทางข้ามฟากไปฟากเขาโน้น....แต่ตนเองกับเฮียงคี้และพวก

    ที่เหลืออยู่รีบกลับค่าย...เพื่อย้ายค่ายหนี.."ด้วยเกรงว่าเมืองจะแจ้งฐานที่ตั้งของค่าย

    ตนให้แก่พรรคพวกกลับมาถล่มค่ายของเขา"....

    ......................เอหม่องจึงพาพรรคพวกย้ายค่ายไปตั้งค่ายที่อยู่...บริเวณเหนือขึ้นไป

    อีกจากค่ายเดิม..จนเกือบถึงสถานที่ที่เรียกว่า "ห้วยโก๋น" ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอ

    เฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน.......ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนระหว่างประเทศไทย..กับ...

    สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนาลาว.....

    .......................ดังนั้น ในขณะที่มุกได้พบกับขุนทัพและพวก...ได้ตามติดมาที่ค่าย

    ของเอหม่อง..จึงพบกับร่องรอยการตั้งค่ายที่ถูกรื้อถอนเท่านั้น...แต่หาวี่แววของ

    ทหารพม่าไม่

    ........................มุกจึงพาขุนทัพเร่งไปดูเมืองที่เหวลึกอันเป็นช่องเขาด้านทิศตะวัน

    ออกของป่าทึบ...เพื่อดูร่องรอยของปลัดเมืองว่า "ม้าสีนิลได้พาเมืองกระโจนข้ามเหว

    ลึกไปพ้นไหม"...และแล้วพวกเขาก็พบเห็นเบื้องล่างของเหวเป็นศพทหารพม่าและ

    ม้าที่ล่วงมาจากหน้าผาราว 10 ศพ..แต่ไม่พบร่างของเมือง..."ทุกคนจึงเชื่อว่า ม้า

    สีนิลพาเมืองกระโจนข้ามเหวลึกอย่างปลอดภัย"....

    ....................ทุกคนจึงรีบติดตามเมืองโดยหาหนทางข้ามเหวลึก...เพื่อแจ้งให้"เมือง

    ไปพบกับเจ้าเมืองน่านให้ทันก่อนเที่ยงคืนของคืนนี้".....ซึ่งหากพ้นกำหนดเวลาดัง

    กล่าวจะขึ้นวันใหม่ทันที...ซึ่งจะเป็นสัญญาณแห่งการไล่ล่าของปลัดปักษ์ที่มีความ

    แค้นต่อปลัดเมือง...

    .....................ขณะนี้ "เมือง มีสุข" กำลังจะถูกล่าจากกลุ่มคน 2 กลุ่ม คือ

    "กลุ่มของเอหม่อง" และ "กลุ่มของปลัดปักษ์"...เขาจะหนีรอดอย่างไร...

    .....................สำหรับ"ลูกธนูดอกที่ 4 ของเขา ณ ตอนนี้เฮียงคี้ได้เก็บไว้โดย

    ดึงมาจากอีกาตัวนั้นโดย"ไม่ยอมล้างคราบเลือดของอีกาออกเลย".." และลูกธนู

    ของเฮียงคี้ที่ยิงเมืองพลาดตอนข้ามเหว "เมืองก็เก็บไว้ใส่กระบอกลูกธนูสะพาย

    หลังไว้".....ก็ต้องขอย้ำให้สังเกตลูกธนูแต่ละดอกเอาไว้อีกครั้ง....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A241.jpg
      A241.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.3 KB
      เปิดดู:
      38
    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      166
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2011
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ................ตอนที่ 52 ผู้ถูกล่ากับเผ่ามูเซอ...........


    ....................เมืองควบม้าหนี การตามล่าของเหล่าสมุนเอหม่องอย่างสุดชีวิต...ขุน

    ทัพพร้อมมุกกับพรรคพวกก็เริ่งติดตามเมือง....เพื่อนำความบอกให้เมืองไปพบกับเจ้าเมือง

    น่านให้ทันภายในเที่ยงคืนนี้...มิฉะนั้นปลัดปักษ์กับพรรคพวกคงระดมกำลังกันออกตามล่า

    เมืองโดยไม่ลดละ.....

    ....................และในที่สุด ก็เลยเวลาเที่ยงคืนที่เจ้าเมืองน่านกำหนดให้เมืองมา

    พบ...ซึ่งหลังจากนั้นเพียงนาทีเดียวปลัดปักษ์ก็เข้าพบเจ้าเมืองน่าน...ซึ่งกำลังนั่งดูเวลา

    นาฬิการอ...อยู่ที่โต๊ะทำงาน...ภายในจวนแม้จะเป็นเวลาดึกดื่น..ทำความแปลกใจให้

    เจ้าเมืองน่านมาก.....

    ............................"ใต้เท้าขอรับ..เลยเวลาที่ใต้เท้าให้กับปลัดเมืองแล้ว......ข้าขอ

    อนุญาตตามจับปลัดเมืองนะขอรับ"

    ............................"เลยกำหนดเพียงนาทีเดียว..เจ้าก็เอาเป็นเอาตายต่อปลัดเมือง

    ถึงเพียงนี้เชียวหรือ"

    ............................"ใต้เท้าขอรับ..เรื่องการตายของบุญมี..มันต้องมีสิ่งที่พวกฝั่ง

    ตะวันออกปิดบังพวกเราอยู่ใต้เท้าก็เห็นมิใช่หรือ.......ตามลักษณะบาดแผลที่หมอตรวจ

    รายงาน บาดแผลอีกสองบาดแผลบริเวณใต้รักแร้และสะบักหลังไม่ใช่ลูกธนูของปลัดเมือง

    ที่ปักอยู่ที่ศพ"

    ............................"ข้ารู้แล้ว...แล้วเจ้าพอจะคลายโทสะที่ปิดบังปัญญาเจ้าอยู่ได้

    หรือยัง" เจ้าเมืองน่านพูดเตือนสติปลัดปักษ์ ทำให้เขาพยักหน้ายอมรับ แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"ข้ามิได้ข้องใจเรื่องปลัดปักษ์ฆ่าบุญมี...แต่ข้าข้องใจเรื่องตัว

    คนฆ่า.และแค้นใจที่ทำไมพวกฝั่งตะวันออกไม่ยอมบอกความเป็นไปให้กระจ่าง..ข้าจึง

    อยากพบตัวปลัดเมืองและเค้นเอาความจริง"

    ............................"เมื่อเจ้าเข้าใจอะไรได้ดี ข้าก็อยากให้เจ้าไป...แต่มิใช่ไปเพื่อ

    จับปลัดเมืองฐานขัดคำสั่งที่ไม่ยอมมาพบข้าเพียงอย่างเดียว....แต่ข้าอยากให้เจ้าเร่งสืบ

    ให้กระจ่างว่าฝั่งตะวันออกมีสิ่งใดเกิดขึ้น..แล้วจงรีบกลับมารายงานข้า..แม้ไม่ได้ตัวปลัด

    เมืองมาก็ตาม"

    ............................"ขอรับใต้เท้า...ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย"

    ............................"ทำไมถึงไม่รอให้ตะวันขึ้นก่อน"

    ............................"ข้า....เป็นห่วงกัมพูที่มันยังเดินตรวจตราทำแผนที่ที่ฝั่งตะวัน

    ออกอยู่.......แล้วคิดว่าฝั่งโน้นต้องมีเหตุร้าย......ต้องรีบหามันให้พบก่อนเหตุร้ายจะถึง

    มันนะขอรับ"

    ....................เจ้าเมืองน่านนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิด ก่อนเอ่ยอนุญาตแก่ปลัดปักษ์

    ............................"ถ้าเช่นนั้น..เจ้าจงไปเถิดแล้วอย่าลืมให้หัวหน้าตำรวจเวียงนำ

    กำลังตำรวจไปสมทบด้วย"

    ....................ปลัดปักษ์ ร.ต.ต.เวียงพร้อมพรรคพวก ได้เร่งเดินทางโดยม้าเร็วไปยัง

    แพที่ท่าน้ำและได้ข้ามแม่น้ำน่านไปฝั่งตะวันออกในคืนนั้นเลย......
     
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................กองกำลังของเอหม่องส่วนหนึ่ง..ได้หาทางข้ามเหวลึกที่เมืองควบม้า

    กระโดดข้ามไปโดยใช้ระยะเวลาค่อนข้างมาก...พวกเขาจึงตามเมืองไม่ทัน..แต่ก็ยังเร่ง

    ตามล่าเมืองอยู่...ในขณะที่ขุนทัพกับพรรคพวกก็เร่งติดตามเมือง...ขณะนี้จึงมีกลุ่มที่

    ติดตามเมืองถึง 3 ฝ่ายด้วยกัน....กลุ่มเอหม่องและกลุ่มของปลัดปักษ์..ตามอย่างไม่เป็น

    มิตร...ส่วนกลุ่มของขุนทัพมาเพื่อช่วยเหลือ...แล้วกลุ่มใดที่จะพบเมืองก่อน...

    ....................เมืองควบม้าผ่านป่าทึบที่เขาชำนาญทางเกินกว่าผู้ใดในฝั่งตะวันออก..

    และหักเลี้ยวขึ้นไปทาง"ยอดดอยทางเหนือ"...ขึ้นไปยังที่อยู่ของ"ชาวเขาเผ่ามูเซอ"ที่

    เขาเคยไปมาหาสู่โดยไม่มีผู้ใดที่ฝั่งตะวันออกล่วงรู้

    ...................."ลีเจง" คือชายหนุ่มเผ่ามูเซอรุ่นราวคราวเดียวกับเมือง."ที่

    เมืองอยากพบ" รวมทั้ง.."นะจา" น้องสาวของลีเจง..ซึ่งมี "จาโอ" สาวเผ่ามูเซอ

    เป็นเพื่อนสนิท...ลีเจงกับนะจาเป็นลูกของหัวหน้าเผ่ามูเซอคือ พ่อเฒ่า"อองซอน"

    ....................เผ่ามูเซอบนดอยฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน..เป็นชนเผ่ากลุ่มเล็กมี

    บ้านราว 70 หลังคาเรือน..อยู่ด้วยความสงบสุขบนดอยสูง...หาอาหารโดยการล่าสัตว์ มี

    หน้าไม้และลูกดอกเป่าเป็นอาวุธในการล่า...พร้อมกับ การปลูกผักผลไม้ เลี้ยงไก่ เลี้ยงสุกร

    เป็นอาหาร.....การสร้างบ้านจะปลูกติดกับพื้นดิน..ห่างกันพอประมาณ บางบ้านก็ยกใต้ถุน

    สูงประมาณ 1 เมตร และมีบันไดขึ้น

    .....................ตะวันตกดินไปหลายเพลาแล้ว.."บุรุษยามวิกาลสะพายคันธนูคู่ชีพ

    ขี่ม้ามาด้วยความเหน็ดเหนือยอ่อนหล้ามุ่งตรงเข้ามาในหมู่บ้านเผ่ามูเซอ" ซึ่งหมู่

    บ้านจุดคบเพลิงไว้หน้าบ้านทุกหลัง..ทำให้มีแสงสว่างพอที่จะหาบ้านหลังที่ต้องการได้

    .....................จาโอสาวน้อยเดินผ่านสวนทางกับ "บุรุษยามวิกาล" แสงไฟสลัว

    สาดส่องไม่ถึงใบหน้าทำให้ต้องหยุดมองเพ่งดูที่ใบหน้าว่า "บุรุษผู้นี้คือใคร" เพราะแต่งกาย

    มิใช่เยี่ยงคนเผ่ามูเซอ...พอม้าตัวนั้นผ่านไปยังคบเพลิงตรงหน้านาง..สาวน้อยก็ร้อง

    อุทานขึ้นอย่างดีใจ

    ............................"เมือง..สูเจ้ามาได้จะใดดึกดื่นปานนี้"

    ....................เมืองฝืนยิ้มทั้งที่อ่อนหล้าพลางเอ่ยตอบจาโอ

    ............................"ข้ามีเรื่องต้องให้ลีเจงช่วย"

    ............................"ลีเจงออกไปล่าสัตว์ พรุ่งนี้เช้าคงกลับมา...ข้าจะพาสูเจ้าไปพบ

    นะจาก่อน"

    ....................เมืองลงจากหลังม้า แล้วจูงม้าเดินตามจาโอไปในทันใด

    ....................จาโอพาเมืองไปบ้าน"หัวหน้าเผ่าอองซอน" ซึ่งเป็นบ้านยกใต้ถุนสูง

    หลังใหญ่ แล้วจาโอก็ตะเบ่งเสียงเรียกทันที

    ............................"นะจา ..นะจา..เจ้าตื่นอยู่หรือเปล่า"

    ............................"ข้าตื่นอยู่..เจ้ามีเรื่องอันใดมาร้องเรียกยามดึก" เสียง

    จากในห้องภายในบ้านหลังนั้นส่งเสียงตอบ

    ............................"เจ้าออกมาข้างนอกก่อน..แล้วเจ้าอาจจะตื่นจนไม่ยอม

    นอน"

    ....................ประตูห้องภายในบ้านเปิดออก...พร้อมกับสาวน้อยน่ารักผิวขาวเนียน

    ดวงตากลมใส ผมยาวสลวยเดินถือตะเกียงน้อยออกมา...ตรงมายังที่จาโอก็มอง

    เห็น"คนคุ้นหน้ายืนอยู่ข้างจาโอ".....ก็คนคุ้นหน้าผู้นี้แหละที่ตนเองอยากพบเจอเป็น

    หนักหนาด้วยหายหน้าจากเผ่ามูเซอไปเสียนาน..จึงยิ้มและหัวเราะอย่างดีใจพลาง

    เอ่ยขึ้น

    ............................"เมือง เจ้ามาได้อย่างไร"

    ............................"ข้าคิดถึงเจ้า และมีเรื่องให้ลีเจงช่วย" เมืองตอบอย่าง

    ยินดี

    .....................คำตอบนี้ทำให้นะจาผู้เฝ้าคิดถึงพอใจยิ่งนัก..รีบเดินหรี่เข้ามาหา

    ทันที

    ............................."ข้าคิดถึงเจ้าอยู่..เจ้าหายไปหลายเดือนเลย"

    ............................."บ้านเมืองของข้ากำลังวุ่นวาย..ข้าต้องอยู่สะสาง จึงไม่

    ได้มา..ว่าแต่พ่อเฒ่าหลับแล้วหรือ"

    ............................."พ่อข้าไปธุระที่เผ่าเหย้า..ส่วนพี่ข้าไปซุ่มล่าสัตว์"

    ....................."เผ่าเหย้า"ที่นะจาเอ่ยถึง..ก็เป็นอีกชนเผ่าหนึ่งที่อยู่บนดอยฝั่งตะวัน

    ออกของแม่น้ำน่านเช่นเดียวกับเผ่ามูเซอ...นอกจากนี้ยังมี "เผ่าแม้ว" "เผ่าอีก้อ" "เผ่า

    กระเหรี่ยง" และอีกหลายเผ่า...ซึ่งแต่ละเผ่าก็มีขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างกันออก

    ไป..แต่ชนเผ่าเหล่านี้ก็ยังรักที่จะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน..จึงมีการเยี่ยมเยียนไปมาหาสู่ซึ่งกัน

    และกันอยู่สม่ำเสมอ

    ............................"ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็อยู่บ้านคนเดียว"

    ............................"ใช่ แล้วเจ้ากับจาโอจะไม่ขึ้นไปบนบ้านก่อนหรือ"

    ............................"เจ้ากับจาโอขึ้นไปก่อนเถืด..ข้าจะเอาม้าไปผูก"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A231.jpg
      A231.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66 KB
      เปิดดู:
      36
    • A261.jpg
      A261.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45 KB
      เปิดดู:
      37
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...