พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ครู่ใหญ่ต่อมาหลังจากที่พรรคพวกของเมืองขนลูกมะพร้าวใส่เกวียนทั้ง

    เล่มจนเต็ม....เมืองกับพวกก็เดินทางมุ่งสู่หมู่บ้านที่ตั้งอยู่เขตชายแดนเมืองน่านทันที

    ....................ชายแดนเมืองน่านนั้น..ทางแนวเขตทั้งหมด คือ ด้านทิศเหนือ ทิศตะวัน

    ออกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออก และตะวันออกเฉียงใต้บางส่วน...จะมีแนวเขตติดพรมแดน

    ของประเทศลาวทั้งสิ้น...ระยะทางจากทิศเหนือไล่มาจนถึงทิศตะวันออกเฉียงใต้บางส่วน

    จะมีความยาวเป็นร้อยกิโลเมตร...ที่เมืองและพรรคพวกจะต้องเดินทางไป.....ทุกหมู่บ้าน

    ตลอดแนว

    ....................ในขณะที่เมืองกับพวกกำลังเคลื่อนขบวนออกจากสวนมะพร้าวของลุง

    โต...บุญมีที่อยู่บนต้นไม้ซึ่งได้ฟังการสนทนาของเมืองกับลุงโตมาโดยตลอด....ก็ได้มอง

    ตามไปอย่างสนใจ...ว่าพวกเมืองจะขนเสบียงเหล่านั้นไปไหนกัน...เขารีบลงจากต้น

    มะพร้าวและถามลุงโตทันที

    ............................"ลุง..ปลัดเขาเอามะพร้าวกับเสบียงนั่นไปไหน"

    ............................"ก็เอาไปแจกจ่ายพวกชาวบ้านที่อยู่ในที่กันดารตามเขตชายแดน

    ไง....เจ้าเพิ่งมาอยู่ที่นี่คงไม่รู้หรอกว่าปลัดเมืองเขาทำอย่างนี้ทุกปี..ยามหน้าแล้ง"

    ....................บุญมียืนฟังอย่างนิ่งอึ้ง..เพราะว่าตั้งแต่เขาทำงานมาในฝั่งตะวันตก..

    เขาไม่เคยทำเยี่ยงนี้...อาจจะเป็นเพราะฝั่งตะวันตกถึงจะแล้งก็ยังไม่แย่เหมือนฝั่งนี้....ปลัด

    ปักษ์จึงไม่เคยพาเขาทำการดังกล่าวเยี่ยงปลัดเมืองมาก่อน....

    ....................ในความคิดของบุญมี..เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า "ทำไมคนฝั่งตะวันออกนี้จึง

    ได้รักและศรัทธาในตัวปลัดเมือง"....เพราะเขาเองเมื่อได้ยินได้ฟังมากับหูถึงพฤติการณ์

    ของปลัดเมือง...เขาก็เริ่มศรัทธาและคล้อยตามที่ปลัดปักษ์พูดกับเขาที่กุฏิของสำนักสงฆ์

    ว่า"คนที่นี่รักและศรัทธาในพวกเขามาก"

    .....................แนวคิดการจะให้มีสะพานข้ามแม่น้ำน่าน..คนฝั่งนี้ก็คิดเช่นเดียว

    กับคนฝั่งโน้น...บุญมีทบทวนไว้ในใจ..เพื่อรายงานให้ปลัดปักษ์ทราบ......เมื่อถึง

    กำหนดนัด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1365.JPG
      IMG_1365.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.9 MB
      เปิดดู:
      50
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...ตอนที่ 32 ลมหายใจสุดท้ายของชายแปลกหน้าจากพม่า...


    ....................เมืองนำพาพรรคพวกแจกจ่ายมะพร้าว พืชพันธุ์ธัญญาหาร และเสบียง

    อาหารให้แก่ชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้ชายแดนจนหมด.....พวกเขาเหลือเพียงเกวียนเปล่า 3 เล่มซึ่งจะต้องนำมันกลับด้วย

    ....................ระหว่างเดินทางกลับเป็นเวลาค่ำมืดเช่นเดียวกับทุก ๆ ปี ที่พวกเขามา

    กัน..เมืองจึงสั่งให้พรรคพวกจอดเกวียนไว้ใกล้ต้นไม้ใหญ่..แล้วนำเสื่อมาปูนอนใต้

    เกวียน...พร้อมกับจุดกองไฟขึ้นให้แสงสว่าง...และภายหลังจากกินอาหารเสร็จแล้วก็ได้

    เข้านอนด้วยความอ่อนเพลีย....แต่พวกเขาได้จัดเวรยามระวังภัยไว้

    ....................รุ่งขึ้นเช้า แสงอาทิตย์เริ่มฉายแสงมาจากทางทิศตะวันออก โดยทิศทาง

    ของดวงอาทิตย์ขึ้น.เมื่อมองด้วยสายตาจะเห็นว่า...ดวงอาทิตย์นั้นขึ้นที่ประเทศลาว..ซึ่ง

    เวียงจันทน์เมืองหลวงของประเทศลาว "เมืองสยามได้สูญเสียให้กับประเทศฝรั่งเศส

    ไปแล้ว"

    ....................เมืองและพรรคพวกตื่นขึ้นล้างหน้าเตรียมเดินทางต่อเพื่อกลับบ้าน..ใน

    ขณะนั้นเองทุกคนก็ได้ยินเสียงปืนดังแว่วมาแต่ไกล..จากเขตชายแดนสยามกับลาว....

    เมืองยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้พรรคพวกชลอการเดินทางไว้ก่อน...เพื่อรอดูเหตุการณ์..

    เพราะเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะ ๆ..และกำลังใกล้เข้ามาทางพวกเขาอยู่

    .....................เสียงปืนดังกล่าวเหมือนกับการยิงไล่กวดยิงสัตว์หรือคน...ชนิดที่ใกล้

    เข้ามามาก..ทุกคนมองไปทางทิศทางของเสียงปืน......ซึ่งเป็นบริเวณที่โล่งแจ้งซึ่งติดกับ

    ชายป่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A241.jpg
      A241.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.3 KB
      เปิดดู:
      69
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ในทันใดนั้น...เมืองก็ได้เห็นชายคนหนึ่งควบม้าออกมาจากชายป่านั้น

    อย่างรวดเร็ว....โดยมีคนขี่ม้าอีก 5 คน.ควบม้ากวดตามไล่ยิง...คนขี่ม้าที่ถูกไล่กวด...

    เห็นเมืองกับพรรคพวกอยู่ข้างหน้าเขา...เขาจึงควบม้ามุ่งตรงมาหาโดยยกมือเหมือนขอ

    ความช่วยเหลือ.....

    ......................เมืองเห็นดังนั้น...เขาเตรียมยกคันธนูขึ้นพร้อมกับนำลูกธนูขึ้นทาบ

    เตรียม..เล็งไปที่ชายคนแรกที่ไล่กวดยิงคนดังกล่าว.....บุญแทนยกปืนยาวขึ้นเล็งคู่กับ

    เมือง.....ในขณะที่มุกกับสายและพรรคพวกต่างก็ใช้เกวียนเป็นที่กำบัง..และยกปืนขึ้นเล็ง

    ไปกลุ่มคนที่ไล่ล่า

    ......................ในขณะที่ชายที่ถูกไล่ล่ายกมือขึ้นนั้น...ม้าของเขาลดความเร็วลง..

    เป็นจังหวะที่คนไล่ล่ากลุ่มนั้นตามมาทัน...พวกเขาจึงระดมยิงใส่ชายผู้นั้นหลายนัด..จนเขา

    ตกลงจากหลังม้าล่วงสู่พื้นดิน...แต่ม้าตัวนั้นยังคงวิ่งต่อมาทางกลุ่มของเมือง..

    ......................เมืองเห็นเช่นนั้นเขาจึงสั่งพรรคพวกยิงไปยังผู้ไล่ล่าทันที...พร้อมกับ

    ดึงสายธนูง้างเหนี่ยวลูกธนูอย่างเต็มเหยียด....ลูกธนูที่เขาไม่เคยยิงถูกเป้ามาก่อน

    อย่างตั้งใจ..และได้ปล่อยลูกธนูออกจากคันธนูไปอย่างเร็วและแรง

    ............................."เฟี้ยว"

    .......................ลูกธนูดอกนั้นพุ่งแหวกอากาศไปอย่างแรง...และพุ่งไปปักถูกชาย

    ผู้ไล่ล่าคนนำหน้าเสียบเข้าบริเวณหัวไหล่จนทะลุไปด้านหลัง..ปักคาอยู่....ทำให้ผู้

    ถูกลูกธนูถึงกับผงะและมองมายังคนยิงธนู

    .....................คนกลุ่มผู้ไล่ล่าได้หันอาวุธปืนมาทางกลุ่มของเมือง..และระดมยิงเข้า

    ใส่ทันที...กลุ่มของเมืองก็ยิงโต้ตอบกลับไป....เสียงของปืนดังสนั่นลั่นชายแดนทั่ว

    บริเวณนั้น..........กลุ่มผู้ไล่ล่าถูกอาวุธปืนยิงสกัดจนไม่สามารถลงมาดู..."ชายที่ถูกยิง

    ตกลงจากหลังม้าได้"...และพวกเขาเห็นว่ากำลังของเขามีเพียง 5 คน ในขณะที่เมืองมีถึง

    9 คน...พวกเขาจึงล่าถอยโดยคำสั่งจากคนที่ถูกลูกธนูของเมือง...โดยบุคคลนั้นก่อนที่

    เขาจะลับไปจากสายตาของเมือง...เขาได้มองมาที่เมืองด้วยสายตาที่เครียดแค้น..

    เหมือนจะจดจำเมืองให้ฝังใจ

    .....................เมืองวิ่งไปดูชายที่ถูกยิงตกหลังม้าคนนั้น...เขาถูกยิงบริเวณหน้าอก..

    อวัยวะภายในคือ ปอดของเขาคงกระจุ้ยไปด้วยบาดแผล..ทำให้เลือดไหลออกมาขวางทาง

    เดินหายใจ..และไหลออกมาทางปากและจมูก....เมืองจึงประคองศีรษะเขาขึ้น..โดยร่าง

    ของเขายังคงนอนเหยียดยาวอยู่ที่พื้นดิน...เมืองสอบถามชายผู้นั้นอย่างดัง

    ............................"เจ้าเป็นใคร...ทำไมจึงถูกพวกเขาไล่ล่า"

    .....................ชายผู้นั้นเหมือนรู้ตัวดีว่า"อีกไม่นานเขาคงสิ้นใจ"...เขาค่อย ๆ ลืมตา

    ขึ้นมองมาที่เมือง....พร้อมกับหยิบกระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็กเท่ากับขลุ่ยเลาหนึ่ง..เส้นผ่า

    ศูนย์กลางราว 1 นิ้ว..มีความยาว 1 คืบ..ปลายกระบอกถูกอุดด้วยครั่งทั้งสองด้าน..ที่อยู่ที่

    เอวของเขาส่งให้แก่เมืองพร้อมกับพูดขึ้นว่า

    ............................"ข้าเป็นชาวพม่า..หนีจากพม่ามาทางลาวเพื่อเข้าสยาม..

    มาหาขุนทัพที่มีลูกชื่อเมือง...แต่พวกพม่าฝ่ายตรงข้าม..ทราบความจริงจึงไล่ล่า

    ข้ากับพวกมาตั้งแต่แผ่นดินลาว..จนเหลือข้าเพียงคนเดียว..ช่วยนำกระบอกนี้ให้

    ขุนทัพด้วย"

    ....................ชายคนดังกล่าวส่งกระบอกไม้ไผ่ให้แก่เมืองเสร็จ..เขาก็กระอักออกมา

    เป็นเลือด..เพื่อจะขับเลือดที่ขว้างทางอากาศที่จะหายใจออก..อันเป็นการเพียรพยายาม

    ของคนใกล้ตาย..ที่อยากจะอยู่แม้เพียงน้อยนิด...เลือดของเขาไหลเปื้อนมือของเมือง..

    เมืองจ้องมองตาผู้ใกล้ตายอย่างเวทนาและสงสารอย่างจับใจ เขาจึงเอ่ยบอกกับชาย

    ผู้นั้นว่า

    ............................"ข้าคือ..เมืองลูกของขุนทัพ"

    .....................สิ้นสุดคำพูดของเมือง...ดวงตาของชายผู้ใกล้ตายเบิกกว้างขึ้นอย่าง

    ตื่นเต้น..พร้อมกับรอยยิ้มแห่งปิติอันเป็นความสุขของคนใกล้ตาย...เขาจ้องมองเมืองอย่าง

    มีความสุข..พร้อมกับยกมือขวามาลูบไล้ที่แก้มของเมืองอย่างทะนุถนอม..และพูดขึ้นอย่าง

    แผ่วเบา

    ............................"นายน้อยของข้า...องค์ชาย" เป็นคำพูดสุดท้ายพร้อมกับ

    การสิ้นลมหายใจด้วยอาการที่ยิ้มอย่างมีความสุข

    .....................เมืองไม่เข้าใจที่ชายผู้นี้พูด..พร้อมทั้งแปลกใจในอาการของผู้ตาย...

    เขาหยิบกระบอกไม้ไผ่นั้นใส่ยามเพื่อนำไปให้ขุนทัพพ่อของเขา...พรรคพวกทุกคนที่ยืน

    ห้อมล้อมเมืองและชายผู้นั้นอยู่....ต่างก็แปลกใจและสงสัยในเหตุการณ์ดังกล่าวเหมือนกับ

    เมือง.......ว่า....."ชาวพม่าผู้นี้เป็นใคร ลักษณะวัยของเขามีอายุราว 50 ปีเศษซึ่ง

    อ่อนกว่าขุนทัพ..และขุนทัพกับชาวพม่าคนนี้ไปรู้จักกันได้อย่างไร....และทำไม

    ชาวพม่าผู้นี้จึงต้องหนีฝ่าจากเมืองพม่า..และเดินทางผ่านประเทศลาวมุ่งตรงมา

    ยังเมืองน่าน..แผ่นดินสยามเพื่อมาหาขุนทัพ"

    .....................เมืองสั่งให้พรรคพวกนำเกวียนเคลื่อนเข้ามาใกล้ศพ..และได้ใช้

    เสื่อห่อศพนั้นไว้...และนำขึ้นเกวียนเพื่อนำกลับไปให้ขุนทัพดู...และจะได้ฝังหรือ

    เผาศพนั้น..อันเป็นการต่อมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A191.jpg
      A191.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.8 KB
      เปิดดู:
      59
    • A151.jpg
      A151.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.8 KB
      เปิดดู:
      58
    • A931.jpg
      A931.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.7 KB
      เปิดดู:
      64
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2011
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ระหว่างเดินทางกลับบ้าน...เกวียนที่บรรทุกศพชาวพม่าถูกอำพรางศพ

    ไว้ โดยกิ่งไม้และท่อนไม้ตัดเป็นท่อน ๆเหมือนฟืนก่อไฟ..วางซ้อนทับไปที่ศพ..ดูเหมือน

    ว่า.."พวกเขากำลังบรรทุฟืนกลับบ้าน"..และพวกคนหนึ่งของเมืองที่นั่งเกวียนอยู่แต่ก่อน..

    เป็นผู้ขี่ม้าของชาวพม่าผู้ตายมา

    ....................ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงไปทางทิศตะวันตก..ในขณะที่กองเกวียนกำลัง

    เดินผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ ..ชาวบ้านเมืองเห็นกองเกวียนกลับมา..ก็แสดงความดีใจที่เห็นพวก

    เขากลับมาอย่างปลอดภัย....และมองดูด้วยสายตาชื่นชมในความดีของพวกเขา...

    ....................เมืองครุ่นคิดมาตลอดทางถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในวันนี้ว่า "พ่อจะมีคำ

    ตอบให้เขาอย่างไร"...เขาจึงอยากกลับให้ถึงบ้านโดยเร็ว...เช่นเดียวกับพรรคพวกของ

    เขา....พวกเขาจึงเรีงรีบเดินทางอย่างไม่หยุดพัก..และมาถึงบ้านในตอนเกือบเที่ยงคืน

    ....................บ้านของขุนทัพ.เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงแบบบ้านโบราณหลัง

    ใหญ่ ..แต่ก็มีเรือนอีกหนึ่งหลังที่อยู่ใกล้กันไมกนัก...เป็นเรือนที่ปลูกติดกับพื้นดินหลังใหญ่

    "มีลักษณะเป็นห้องโถงห้องเดียว ..ใช้สำหรับทำงานหรือประชุมพวกพ้อง" ซึ่งเรือนนี้จะ

    ปลูกใกล้กับบ้านคนรับใช้อีกหลายหลัง

    .....................เมืองสั่งให้พรรคพวกนำ"ร่างไร้วิญญาณของชาวพม่า" ผู้นั้นลงจาก

    เกวียนและนำไปไว้ที่เรือนอันเป็นห้องโถงดังกล่าว...และได้จุดคบเพลิงหรือตะเกียงให้แสง

    สว่างพอมองเห็น..แล้วเมืองได้รีบไปปลุกขุนทัพพร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ขุนทัพฟัง

    .....................ขุนทัพเดินตามเมืองเข้าไปในเรือนที่วางศพ..ก็เห็นพรรคพวกอีก 8 คน

    รออยู่...ด้วยเมืองไม่ให้ปลุกผู้อื่นขึ้นมาจัดการธุระด้วย.....ร่างของชาวพม่าเริ่มแข็ง..ขุน

    ทัพนำคบเพลิงไปส่องดูใกล้ ๆศพนั้น...พร้อมกับเมืองและบุญแทน...โดยพวกที่เหลืออยู่

    คอยดูอยู่ใกล้ ๆ ในขณะที่อีกสองคนแยกไปเฝ้าเป็นยามอยู่หน้าเรือนนั้น

    .....................ขุนทัพพยายามจ้องมองดูศพนั้นโดยเฉพาะที่ใบหน้า...แต่เขาไม่เคย

    เห็นชาวพม่าผู้นี้มาก่อนเลย....ขุนทัพส่ายหน้าอย่างช้า ๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"ข้าไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน"

    .....................ขุนทัพพูดพร้อมกับนำกระบอกไม้ไผ่ที่รับจากเมืองมาก่อนหน้านี้..ยก

    ขึ้นพิจารณาดู..ก็เห็นครั่งสีแดงที่หยอดปิดแน่นทั้งหัวและท้ายกระบอก...ขุนทัพจึงส่ง

    กระบอกไม้ไผ่ให้แก่บุญแทน...บุญแทนใช้ไฟลนครั่งด้านหนึ่งให้ละลาย

    ......................ในขณะที่บุญแทนกำลังลนครั่งด้วยไฟอยู่นี้...ขุนทัพคิดอยู่ในใจ

    ว่า........"ชายพม่าผู้นี้น่าจะเป็นคนที่มาจากสายฝนแม่ของเมือง...และกระบอกไม้ไผ่นั้น

    น่าจะเป็นหนังสือหรือจดหมายที่ถูกบรรจุอยู่ภายใน"....แต่ขุนทัพไม่เข้าใจว่ามันสำคัญ

    อย่างไร ถึง "ขนาดมีการตามฆ่ากันเพื่อแย่งชิงกระบอกไม้ไผ่นั้น"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A261.jpg
      A261.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45 KB
      เปิดดู:
      57
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .............ตอนที่ 33 ความจริงกระจ่างด้วยจดหมาย..........


    .....................หลังจากครั่งสีแดงที่ปิดกระบอกไม้ไผ่ละลายออกจนหมด...บุญแทนส่ง

    กระบอกนั้นให้แก่ขุนทัพ....เป็นขณะเดียวกับที่ทุกคน ณ ที่นั้นจ้องมองดูขุนทัพอย่างไม่กระ

    พริบตา...ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า"มันคืออะไร"

    .....................ขุนทัพกระแทกปากกระบอกไม้ไผ่นั้นลงบนฝ่ามือซ้าย...ก็ปรากฎว่า"มี

    แหวนทองคำออกจากปากกระบอกนั้นหล่นลงสู่มือซ้ายของขุนทัพ"..."ใช่แล้วมัน

    คือ แหวนปลอกมีดทองคำที่สายฝนนำมันมาจากเมืองพม่า..และมีอยู่ที่ขุนทัพและ

    เมืองอีกจำนวนมาก".....ซึ่งเมืองเคยนำมันไปแลกเป็นเงินเพื่อเสียภาษีแทนชาวบ้าน

    และใช้ซื้อสิ่งของต่าง ๆ

    ....................เมืองและทุกคนเริ่มแปลกใจว่า.."แหวนเช่นนี้ที่เขาเห็นอยู่เป็นชนิดเดียว

    กับที่บ้านของขุนทัพ..และมันไปอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ที่ชาวพม่านำมาอย่างไร"..เมืองไม่

    เคยรู้มาก่อนว่า "แม่ของเขาเป็นชาวพม่า..เขารู้เพียงแต่แม่ของเขาชื่อ "สายฝน".

    เป็นคนแม่สาย เมืองเชียงราย..และทิ้งเขาไปแต่เล็ก..เขาจึงไม่มีความผูกพันกับ

    แม่ของเขาเลย"

    ....................ขุนทัพหยิบแหวนขึ้นมาถือไว้ในกำมือขวา..มือเดียวกับที่เขาถือกระบอก

    ไม้ไผ่อยู่..แล้วเขาก็กระแทกปากกระบอกใส่บนฝ่ามือซ้ายอีกครั้ง...และยกกระบอกขึ้นดู

    ปรากฏว่า มีกระดาษสีขาวถูกม้วนไว้พอดีกับช่องกระบอกโผล่ออกมาเล็กน้อย...เขา

    จึงใช้มือซ้ายดึงกระดาษนั้นขึ้นมา...และส่งกระบอกไม้คืนให้กับบุญแทน...แล้วจึงส่งแหวน

    ปลอกมีดทองคำให้แก่เมือง

    .....................ขุนทัพคลี่กระดาษนั้นออกมาและกางขึ้น..พร้อมกับไล่อ่านตัวหนังสือที่

    ปรากฎอยู่ในจดหมายนั้นอยู่ในใจ..ข้อความในจดหมายเป็นลายมือของสายฝนที่เขียน

    เป็น"ภาษาสยาม"ตามที่นางเคยเรียนรู้ตัวหนังสือสยามมาจากขุนทัพ..ในขณะที่อยู่เมือง

    น่าน มีใจความว่า....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............."ขุนทัพสามีที่รักของข้า

    ....................ข้าให้"เยยุ่น"กับพวกนำจดหมายนี้มาถึงท่าน "เยยุ่น" คือ ทหารพม่า

    กลุ่มที่ไปส่งข้าเข้าแผ่นดินสยามในคืนนั้น..แต่ท่านไม่เคยเห็นเขา มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับ

    ข้ามากมายหลังจากที่ข้ามาจากท่าน..ข้าจึงตัดสินใจบอกความจริงแก่ท่าน..ข้าเป็นราช

    ธิดาองค์เล็กแห่งราชวงศ์พม่า...ราชบุตรองค์โตเป็นผู้นำข้าไปฝากไว้กับท่านในคืนนั้น

    บัดนี้เสียชีวิตไปแล้ว

    ....................เมืองของเราหลังจากกองทัพอังกฤษยึดเมือง "ราชวงศ์" และ "ขุนนาง"

    ต่างหลบหนี ทรัพย์สมบัติมหาศาลของราชวงศ์ถูกนำไปเก็บไว้ที่ซ่อน ณ ภูเขาลูกหนึ่งโดย

    มีประตูกลปิดไว้สนิท..การเปิดประตูจะต้องใช้ขวดแก้วรูปผลมะม่วงใบนั้นที่มีแม่เหล็กอยู่

    ทาบกับประตูกล ประตูจึงเปิดออกได้

    ....................กองทัพอังกฤษรู้อยู่แก่ใจว่า...พวกเราพยายามต่อต้านที่จะกู้อิสรภาพ

    คืน..กองทัพอังกฤษจึงขัดขวางทุกวิถีทาง...เป็นขณะเดียวกันกับฝ่าย"ราชวงศ์" กับ "ขุน

    นาง" แตกแยกกัน...ฝ่ายขุนนางรู้มาว่าอย่างไรเสียอังกฤษต้องคืนเอกราชให้เรา...และ

    เมื่อคืนเอกราชให้เราต้องคืนให้แก่"ราชวงศ์"....ฝ่ายขุนนางไม่ต้องการกษัตริย์ปกครอง

    แผ่นดิน...พวกเขาจึงลอบฆ่าเชื่อพระวงศ์ที่จะสืบทอดบัลลังก์จนหมดสิ้น....เมืองเป็นเชื้อ

    พระวงศ์ที่มีสายเลือดสยามอยู่...แม้เขาจะจัดอยู่ลำดับท้ายสุด..แต่บัดนี้ราชวงศ์เหลือเขา

    เพียงคนเดียวที่จะสืบทอดบัลลังก์ของแผ่นดินเรา

    .....................ข้าจึงให้เยยุ่นกับพวกมารับเมือง..เพื่อนำขวดแก้วกลับไปเปิดประตูกล

    นำทรัพย์สมบัติออกมากู้แผ่นดินและกู้ราชวงศ์คืน...โดยการต่อต้านของฝ่ายขุนนางที่จะล้ม

    ราชวงศ์ของเรา......แต่"เอหม่อง"คนฝ่ายขุนนางรู้เรื่องนี้ จึงส่งคนตามล่าเยยุ่น..ข้าจึงให้

    เขาเดินทางหลบหนีไปทางฝั่งเมืองลาวและเข้ามายังเมืองน่าน...หวังว่าเยยุ่นจะปลอดภัย

    จากเอหม่อง

    ..................................ข้าหวังว่าท่านจะให้เมืองลูกของเราสืบราชวงศ์พม่าต่อไป

    ..............................................ขอสามีและลูกที่ข้ารักจงมีสุข

    ......................................................"สายฝน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 19032010458.jpg
      19032010458.jpg
      ขนาดไฟล์:
      561.1 KB
      เปิดดู:
      46
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2011
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ขุนทัพอ่านจดหมายจนเข้าใจกระจ่าง...เขาถึงกับนิ่งอึ้งไปและไม่อาจ

    ตัดสินใจใด ๆ ได้ ...ขุนทัพมองหน้าเมืองลูกชายและส่งจดหมายนั้นให้โดยไม่พูดอะไร...

    พร้อมกับเดินตรงมาที่ร่างไร้วิญญาณของเยยุ่นโดยมีบุญแทนเดินตาม...ขุนทัพมองหน้าศพ

    นั้นแล้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ

    ............................"เยยุ่น"

    .....................ทุกคน ณ ที่นั้น ยกเว้นเมืองที่กำลังอ่านจดหมายอยู่..มองมาทางขุน

    ทัพและที่ศพนั้น...บุญแทนจึงเอ่ยขึ้นกับขุนทัพ

    ............................."เอาอย่างไรกันดีล่ะ..ลุงขุน"

    ............................."ฝังศพเขาภายในคืนนี้" ขุนทัพเอ่ยตอบโดยยังคงมองหน้า

    ศพนั้นอยู่

    ....................คำสั่งของขุนทัพ ทำให้พรรคพวกที่อยู่นั้น กระวีกระวาดนำศพของเยยุ่น

    ขึ้นเกวียนอีกครั้ง...และขุนทัพก็พาพวกไปบริเวณที่สวน....ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไปไกลพอ

    สมควร..พร้อมกันนั้นขุนทัพได้สั่งให้ทำโลงใส่ศพ..พร้อมกับให้สายและมุก"ทำป้ายและ

    เขียนหนังสือไว้เป็นเกียรติแก่ผู้ตายว่า"

    ............................"เยยุ่น ผู้ซื่อสัตย์"

    .....................ศพของเยยุ่นถูกฝังโดยเร่งรีบ..โดยมีป้ายปักไว้เหนือหลุมอันเป็นการ

    สดุดีความซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย..ต่อหน้าที่อันเป็นคุณความดีของเขา..แม้เขาจะเป็น

    คนต่างชาติ..แต่ขุนทัพเห็นคุณธรรมของเขาในข้อนี้ ....และทั้งหมดก็แยกย้ายกัน

    กลับมานอนที่บ้านขุนทัพ

    .....................เมืองไม่ได้พูดอะไรกับขุนทัพ..นอกจากส่งจดหมายกลับคืนขุนทัพ ทำ

    เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...แต่ภายในใจของเมืองนั้น"รู้สึกตกใจกับประวัติของตนเอง และ

    ครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา ตลอดคืน"

    .....................เยยุ่นกับพวกเสียชีวิตทั้งหมด..ไม่มีผู้ใดที่จะพาเมืองกลับไป

    เมืองพม่าได้..ประกอบกับเมืองนั้น..เขาผูกพันกับเมืองน่าน..แม่น้ำน่าน..มากกว่า

    จะคิดเป็นอย่างอื่น
     
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...................ตอนที่ 34 แรงแค้นของเอหม่อง..............



    ....................หลังจากที่"เอหม่อง"ซึ่งเป็นผู้นำในการไล่ล่า"เยยุ่น"กับพวก.....มา

    ตั้งแต่"เมืองพม่า" "เมืองลาว" และมาถึง"แผ่นดินสยาม"ในเขตเมืองน่านฝั่งตะวันออก

    และได้ถูกลูกธนูของ"ปลัดเมือง"ยิงถูกปักทะลุที่บริเวณหัวไหล่...เขากับพวกได้ควบม้าหนี

    มาทางเขตชายแดนเมืองน่านฝั่งตะวันออกอีกด้านหนึ่งขึ้นมาทางเหนือ......เพื่อตั้งหลัก

    ปรึกษาหารือกันต่อไป

    ....................จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญอย่างไรไม่อาจทราบได้...เอหม่องกับพวกได้ควบ

    ม้ามาหยุดพักหลบที่ต้นไม้...ที่อยู่บริเวณที่ปลัดปักษ์เคยเลี้ยงวัวอยู่.."และเมืองเคยมานั่ง

    หลับใต้ต้นไม้แห่งนี้" ...แต่ยามนี้เป็นที่เปลี่ยวไม่มีผู้ใดอยู่

    ....................เอหม่องลงจากหลังม้า..สิ่งแรกที่เขาทำคือ "ดึงลูกธนูที่ปักทะลุหัว

    ไหล่ออก...ซึ่งเป็นขณะที่บาดแผลของเขาเริ่มระบมและเจ็บปวดมาก"...เขาดึงลูกธนูออก

    ด้วยความเจ็บปวด

    ....................ลูกธนูของเมืองเป็นลูกธนูไม้ที่เหลาหัวไว้อย่างแหลมคม..มันไม่ใช่ลูก

    ธนูที่มีหัวเหล็กหรือเงี่ยงเหล็กสวมตอกไว้..อย่างที่พบเห็นทั่วไปในสมัยนี้..ดังนั้นเอหม่อง

    จึงดึงมันออกมาอย่างง่ายดายโดยลูกธนูดอกนั้น"ยังคงสภาพดีอยู่"....เอหม่องหยิบลูกธนู

    ขึ้นพิจารณาทั้งดอก..แล้วเขาก็สบถคำออกมา..เมื่อนึกถึงคนที่ส่งลูกธนูดอกนี้มายังร่าง

    ของเขา

    ............................"มันเป็นใครวะ..แล้วกูจะเก็บลูกธนูของมึงไว้คืนมึงพร้อม

    กับความตายของมึง"

    ....................ในขณะที่เอหม่องสบถคำต่อหน้าลูกธนู และ ลูกสมุนชาวพม่าของเขา..

    พลันสายตาของเขาก็เหลือบมองไปที่ต้นฝั่งที่อยู่ใกล้เคียงกับต้นไม้ใหญ่ที่พวกเขาหยุดพัก

    อยู่....เขาเห็นลูกธนูดอกหนึ่งปักอยู่ที่ต้นฝรั่งนั้น มันคือ "ลูกธนูดอกที่เมืองยิง

    พลาดจากลูกฝรั่งไปปักที่ต้นฝรั่งแล้ว..เขาไม่ได้เก็บมันกลับคืน"

    ....................เอหม่องกับพวกเดินไปที่ต้นฝรั่งนั้น..และเขาก็ดึงลูกธนูดอกนั้นออกมา

    พิจารณาคู่กับลูกธนูที่เขาถืออยู่ "มันเหมือนกันมาก..เอหม่องรู้สึกได้ทันทีว่าลูกธนูทั้ง

    สองดอกนี้..มีเจ้าของเป็นคนเดียวกัน"

    ....................เอหม่องจึงได้สั่งการกับลูกสมุนของตนทันที

    ............................"เบงกอล..เจ้าจงปลอมตัวเป็นชาวบ้านไปสืบเรื่องเจ้าของธนูนี้

    ว่า...มันเป็นใคร..และสืบเรื่องของเยยุ่น..ขุนทัพและลูกชายของมัน....ส่วนเจ้าแซงคา

    กลับไปรายงานท่านขุนนางที่พม่า....และให้ส่งกำลังมาช่วยข้าด้วย..ข้าจะจัดการพวก

    ราชวงศ์ให้สิ้นเสียที"

    ....................หลังสิ้นคำสั่ง "เบงกอล" และ "แซงคา" ก็เดินทางไปตามคำสั่งทันที

    ....................เอหม่องได้รับคำสั่งจากขุนนางพม่าให้มา.."สังหารเมือง มีสุข ซึ่ง

    เป็นรัชทายาทของราชวงศ์ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว..ที่จะสืบทอดบัลลังก์ที่

    ว่างอยู่"..หลังจากกษัตริย์"พระเจ้าสีป่อ" ถูกบังคับให้สละราชสมบัติเมื่อปี พ.ศ.

    2428 และเนรเทศไปอยู่ที่อินเดียหลังสิ้นสงครามพม่า-อังกฤษ ครั้งที่ 3"

    ...................."ซึ่งหากราชวงศ์ไม่พยายามที่จะนำเมืองกลับไป..เขาก็คงไม่มี

    ภัยจากเอหม่อง...คงมีแต่งานเดียวที่เอหม่องจะต้องทำคือ "นำขวดแก้วรูปผล

    มะม่วงกลับไปเพื่อเปิดประตูกลนำทรัพย์สมบัติออกมาเท่านั้น"

    ...................."แต่เพราะราชวงศ์ต้องการให้"เมือง มีสุข"กลับไปสืบทอด

    บัลลังก์ เอหม่องจึงได้รับคำสั่งมาสองอย่างคือ สังหารเมือง มีสุข และ นำขวด

    แก้วกลับไปพม่า.....แต่เหตุที่ฝ่ายราชวงศ์รู้แผนการณ์ของขุนนางพม่า..สายฝน

    จึงได้ส่งเยยุ่นให้มาแจ้งข่าวแก่ขุนทัพ..และมารับเมืองกลับไปพม่า

    ....................เอหม่องจึงต้องตามล่าเยยุ่นกับพวกมา..พร้อมกับเข้าแผ่นดิน

    สยาม..เพื่อทำงานตามที่ขุนนางพม่าสั่งการ....โดยเอหม่องหารู้ไม่ว่า "เมือง มีสุข

    ที่เขาตามสังหารและเก็บขวดแก้วไว้ คือ คนที่ส่งลูกธนูไปปักไว้ที่บริเวณหัวไหล่ของ

    เขาจนทะลุ"

    ....................เอหม่องได้อยู่คุมเชิงบริเวณชายแดนกับพวกที่เหลือเพียง 3 คน...ส่วน

    อีกสองคน คือ "เบงกอล" และ แซงคา" ได้ไปทำงานตามคำสั่งของเขา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Midet019.JPG
      Midet019.JPG
      ขนาดไฟล์:
      124.9 KB
      เปิดดู:
      47
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011
  9. beerdekpee

    beerdekpee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +61
    ฆ่าตัวตายไม่ควรตำหนิเสมอไป

    ๗๙. ปัญหา เรื่องมีอยู่ว่า พระฉันนะอาพาธหนัก และคิดจะฆ่าตัวตายด้วยศาสตรา พระสารีบุตรได้เทศนาสั่งสอนและห้ามปรามไว้ แต่ในที่สุดพระฉันนะก็ฆ่าตัวตายจนได้ และได้รับคำตำหนิติเตียนจากญาติมิตรและคนเป็นอันมาก พระสารีบุตรจึงทูลถามพระพุทธเจ้าถึงเรื่องนี้ พระพุทธองค์ทรงมีทรรศนะว่าอย่างไร ?

    พุทธดำรัส ตอบ “ดูก่อนสารีบุตร พระฉันนะยังมีสกุลมิตร สกุลสหายและสกุลที่คอยตำหนิอยู่ก็จริง แต่เราหาเรียกบุคคลว่า ควรถูกตำหนิด้วยเหตุเพียงเท่านี้ไม่...... บุคคลใดแลทิ้งกายนี้และยึดมั่นกายอื่น บุคคลนั้นเราเรียกว่า ควรถูกตำหนิ ฉันนะภิกษุหามีลักษณะนี้ไม่ ฉันนะภิกษุหาศาสตรามาฆ่าตัว อย่างไม่ควรถูกตำหนิ”
    ฉันโนวาทสูตร อุ. ม. (๗๕๓)
    ตบ. ๑๔ : ๔๗๙ ตท. ๑๔ : ๔๐๗
     
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    ..........อนุโมทนากับพระพุทธดำรัส.....ที่ท่านนำมาเขียนแสดงไว้ดี

    แล้ว..ด้วยครับ

    .........ขอให้ท่านเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปทั้งทางโลกและทางธรรมครับ.......
     
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ปลัดปักษ์หรือคนเลี้ยงวัว...ได้ย้ายที่เลี้ยงวัวของเขาไปเรื่อย..เพื่อสืบ

    เรื่องราวของขุนทัพและปลัดเมือง....และรอเวลาให้ครบกำหนด 1 เดือน ..เพื่อกลับไปยัง

    สำนักสงฆ์ที่นัดหมายเพื่อฟังข่าวจากบุญมี...ที่เลี้ยงวัวตรงที่เขาพบกับปลัดเมือง...ปักษ์ไม่

    เคยกลับมาอีกเลย...ดังนั้นปลัดปักษ์หารู้ไม่ว่า..ลูกธนูที่ปลัดเมืองยิงปักคาไว้ที่ต้น

    ฝรั่ง..ได้ถูกเอหม่องนำไปแล้ว

    ....................แนวเขตชายแดนของเมืองพม่าหรือประเทศพม่า..ประเทศลาวหรือเมือง

    ลาว..ประเทศสยามหรือเมืองสยาม..เป็นแนวเขตที่มีพื้นที่กว้างขวางและยาวหลาย

    กิโลเมตร...ทหารที่ดูแลแนวเขตตรวจตราดูไม่ทั่วถึง...ทำให้มีการลักลอบเข้าประเทศไป

    มาระหว่างกันทั้งสามประเทศโดยไม่มีผู้ใดตรวจสอบ...การผ่านไปมาในพื้นที่ของทั้งสาม

    ประเทศจึงเป็นการง่าย...โดยจะเห็นว่า"พระธุดงค์ในสมัยนั้นสามารถเดินธุดงค์เข้าไปยัง

    ประเทศพม่า ลาว และแม้แต่ประเทศเขมรได้อย่างสะดวก"

    ....................การนำกำลังคนจำนวนมากเข้ามาในประเทศสยาม..ในพื้นที่ของเมือง

    น่านของ"แซงคา"ในกาลต่อมานั้นจึงไม่เป็นการยาก...ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นพื้นที่ฝั่งตะวันออก

    ของแม่น้ำน่านคงวุ่นวายไม่น้อย

    ....................แม้พื้นที่เมืองน่านฝั่งตะวันออกจะกว้างใหญ่ไพศาล..แต่ประชาชนกลับมี

    จำนวนน้อยเมื่อเทียบกับพื้นที่....ไม่มีคนเพียงพอที่จะครอบครองพื้นที่ได้ทั้งหมด...บาง

    แห่งเป็นป่าไม้...บางแห่งเป็นภูเขา...ดอย...บางแห่งเป็นห้วย..บางแห่งเป็นพื้นที่ราบ...จึง

    เป็นการง่ายที่"กองกำลังของเอหม่อง"..จะลอบเข้ามาตั้งทัพอยู่ในพื้นที่ที่ตรวจสอบไม่ได้

    อะไรจะเกิดขึ้นกับขุนทัพ ปลัดเมือง ปลัดปักษ์และพรรคพวกคงต้องติดตามต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00421.JPG
      DSC00421.JPG
      ขนาดไฟล์:
      59.3 KB
      เปิดดู:
      38
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2011
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..............ตอนที่ 35 ปลัดปักษ์กลับฝั่งตะวันตก.......

    ....................ณ สำนักสงฆ์ หลังจากปักษ์กับพวกได้สืบหาข้อมูลเป็นระยะเวลา 1

    เดือนแล้ว...พวกเขาได้เดินทางมาพบกันยังสถานที่ดังกล่าวตามที่นัดหมาย...โดยหารู้ไม่

    ว่า..บัดนี้กองกำลังพม่ากลุ่มหนึ่งได้ทยอยกันเข้ามาบนแผ่นดินสยาม ณ เมืองน่านฝั่งตะวัน

    ออกแล้ว.....เพื่อตามหาขวดแก้วรูปผลมะม่วงกลับคืนสู่พม่า และ ตามสังหารปลัดเมือง

    และได้ฆ่าเยยุ่นในพื้นที่ฝั่งตะวันออก

    ....................ปักษ์ฟังรายงานจากบุญมีถึง "การที่ปลัดเมืองนำเสบียงอาหารไปแจก

    จ่ายชาวบ้านในท้องถิ่นทุรกันดารบริเวณชายแดน..และแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการต้องการ

    สะพานข้ามแม่น้ำน่าน....ส่วนกัมพูก็รายงานว่าเขาตรวจตราทำแผนที่จากด้านทิศใต้ไป

    ทางทิศเหนือยังไม่แล้วเสร็จ...และเขาต้องกลับไปทำงานต่อ".....ซึ่งรายงานของพวกเขา

    สร้างความพอใจให้แก่ปักษ์...แต่ปักษ์มิได้เล่าเรื่องราวที่เขาได้พบกับเมือง....ให้ผู้ช่วยทั้ง

    สองของเขาได้ฟังแต่อย่างใด.....งานสืบของปักษ์เพื่อหาความผิดของขุนทัพและปลัด

    เมืองล้มเหลว....แต่ปักษ์ก็พึงพอใจ

    ....................ปักษ์กับบุญมีมุ่งหน้าเดินทางกลับฝั่งตะวันตก...ส่วนกัมพูเขาต้องกลับ

    ไปทำงานต่อให้ลุล่วง..จึงยังคงอยู่ฝั่งตะวันออกในพื้นที่ของปลัดเมือง

    ....................เจ้าเมืองน่านได้รับรายงานจากปลัดปักษ์ ซึ่ง ณ ที่นั้นยังมีขุนแสง และ

    ร.ต.ต.เวียงร่วมฟังอยู่ด้วย....เมื่อไม่ได้ความกระจ่างเรื่องภาษีและที่มาของทรัพย์สินขุน

    ทัพ....ขุนแสงจึงเสนอให้เจ้าเมืองน่าน..เรียกตัว"ขุนทัพหรือปลัดเมือง คนใดคนหนึ่ง

    มาสอบถามเรื่องภาษีฝั่งตะวันออก"

    ....................บุญมีได้คำสั่งจากเจ้าเมืองน่านให้ไป"ส่งหนังสือแจ้งให้ขุนทัพหรือปลัด

    เมืองมาพบเจ้าเมืองน่าน".......ในฝั่งตะวันออกผู้ที่ทำหน้าที่ส่งภาษีให้แก่เจ้าหน้าที่เมือง

    น่านคือ"สาย" ..เขาจะรับเงินจากปลัดเมืองที่รวบรวมให้แก่เขาและขี่ม้าข้ามแพ..มายังฝั่ง

    ตะวันตก...เขาจึงรู้จักกับพวกขุนแสง..และเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตก เช่น ปลัดปักษ์ บุญมีและ

    กัมพู...อีกทั้งคนในครอบครัวของเจ้าเมืองน่าน เช่น "บุตรสาวทั้งสองของเจ้าเมืองน่าน"

    ....................ในวันที่ปักษ์กับพวกเข้ามายังฝั่งตะวันออกหากสายได้เห็น..เขาจะบอก

    กับเมืองให้รู้ได้ทันทีว่า"ผู้ที่เข้ามาในพื้นที่ คือ ปลัดปักษ์แห่งฝั่งตะวันตก"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00419.JPG
      DSC00419.JPG
      ขนาดไฟล์:
      58.1 KB
      เปิดดู:
      43
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2011
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................บุญมีขี่ม้าข้ามแพจากฝั่งตะวันตกไปฝั่งตะวันออก..และตรงไปที่บ้าน

    ของขุนทัพ..ตามที่เขาเคยได้รับฟังคำบอกเล่าจาก"สาย"......ในขณะนั้น"ปลัดเมือง"

    กับ"บุญแทน" ได้กลับมาจากการสืบเรื่อง"คนพม่าที่ลักลอบเข้ามาในพื้นที่"..และกำลังผูก

    ม้าเข้ากับหลักไม้ในบริเวณบ้าน

    ....................ปลัดเมือง และ บุญแทน ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากประตูรั้วบ้านวิ่ง

    เข้ามาในบ้าน...พวกเขาจึงหันไปมองตามเสียงนั้น....และทั้งคู่ก็พบกับ"บุรุษแปลกหน้า

    หนึ่งในสามของผู้ที่ลอบเข้ามาในพื้นที่ฝั่งตะวันออก...ที่เมืองและบุญแทนพบในวันนั้น"

    เมืองและบุญแทนจ้องมองบุญมีอย่างแปลกใจจนบุญมีควบม้ามาถึงตรงหน้าพวกเขา

    ....................บุญมีลงจากหลังม้า......แล้วส่งหนังสือฉบับหนึ่งให้กับเมือง..พร้อมกับ

    พูดขึ้น

    ............................"ข้ามีหนังสือจากเจ้าเมืองน่าน..มาถึงขุนทัพและปลัดเมือง"

    ....................เมืองรับหนังสือนั้นอย่างไม่พอใจ..ด้วยพอจะคาดเดาอะไรบางอย่าง

    ได้.......เขาจึงจ้องมองหน้าบุญมีด้วยอาการโกรธ..แล้วจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"เจ้านั่นเอง...ที่ลอบเข้ามาในพื้นที่ข้า...พวกเจ้ามาสืบอะไร

    หรือ"

    ............................"ข้าขอโทษด้วย...ข้าทำตามคำสั่งของเจ้าเมือง" บุญมีกล่าว

    ออกไป..เพื่อบรรเทาความโกรธของเมือง

    ............................."แล้วเจ้าตอบข้าได้ไหมว่า........พวกเจ้ามาทำอะไรในเขต

    พื้นที่นี้" เมืองพูดพร้อมกับจ้องมองบุญมีอย่างเอาจริงเอาจัง.....จนบุญมีต้องหลบ

    สายตาและตอบไป

    ............................."มันเป็นความลับ..ข้าตอบท่านไม่ได้"

    ............................."ถ้าเช่นนั้น..เจ้าจงกลับไปซะ" เมืองพูดขับไล่บุญมีด้วย

    อารมณ์โกรธ

    .....................เพราะการที่เจ้าเมืองน่าน..ส่งคนมาสืบอะไรบางอย่างในพื้นที่ของ

    เขา..โดยไม่แจ้งให้เขารู้......"พฤติการณ์จึงดูเหมือนว่า..เจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกไม่ได้ให้

    ความไว้วางใจเขา...เหมือนหวาดระแวงอะไรบางอย่าง".....ซึ่งเป็นธรรมดาของคนที่ตั้งใจ

    ทำงาน..แต่กลับถูกจับผิด...เขาจึงรู้สึกว่า.."ฝ่ายเจ้าเมืองน่านไม่ได้ให้เกียรติเขา...

    ประกอบกับเขานั้นมีอาการเคร่งเครียดกับประวัติของเขา...และเรื่องของชาวพม่า..พร้อม

    การทำผิดหน้าที่ของขุนทัพ...ที่ถูกปกปิดไว้"....เขาจึงระงับอารมณ์โกรธไม่อยู่คำพูดของ

    เขาจึงเหมือนกับ "เห็นบุญมีเป็นศัตรู"

    .....................ขึ้นชื่อว่า "แขกมาเยือนบ้านแล้ว"..เจ้าบ้านควรต้อนรับขับสู้

    อย่างดี..จึงชื่อว่า "สร้างความเป็นมงคลให้แก่บ้าน" ...แต่บ้านใดไม่ให้เกียรติแขก

    ผู้มาเยือนจึงชื่อว่า "สร้างความอัปมงคลให้แก่บ้าน"...เพราะแขกผู้มาเยือนย่อมเล่า

    ในสิ่งที่เขาพบเห็นแก่คนสนิท..หรือ ผู้ที่เขานับถือฟังถึงการมาเยือนบ้านนั้น ๆ.....เช่นเดียว

    กับบุญมี..."เขากลับมารายงานพฤติการณ์ของปลัดเมืองให้ปลัดปักษ์ทราบทันที..ทำให้

    ปลัดปักษ์คิดอย่างหนัก"..เขาจึงเอ่ยกับบุญมี

    ............................."อย่างที่ข้าเคยยืนยันกับเจ้าที่สำนักสงฆ์..หากเขารู้ว่าพวกเรา

    มาจับผิดเขา...เขาต้องคิดว่าพวกเราเป็นศัตรูของเขา...ไม่ได้การเสียแล้ว...หลังจากที่เจ้า

    เมืองเรียกเขามาสอบถามเสร็จ...เจ้าต้องรีบไปตามกัมพูกลับมาให้พ้นจากพื้นที่ของเขา

    โดยเร็ว"

    ............................."ข้าก็คิดเช่นนั้น...อีกสามวัน..หลังจากปลัดเมืองมาฝั่งเรา..ข้า

    จะกลับไปตามกัมพูกลับฝั่งตะวันตกทันที" บุญมีแสดงความเห็นด้วยห่วงใยกัมพู
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 019.jpg
      019.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.2 KB
      เปิดดู:
      52
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................กล่าวฝ่ายปลัดเมือง...หลังจากที่บุญมีกลับไปแล้ว..เมืองได้เปิดหนังสือ

    ของเจ้าเมืองน่านออกอ่าน..ก็พบข้อความที่ให้ "ขุนทัพหรือปลัดเมืองผู้ดูแลพื้นที่ฝั่งตะวัน

    ออกไปพบเจ้าเมืองน่านในวันพรุ่งนี้".....เมืองเองรู้สึกหนักใจด้วยไม่รู้ว่า.."เจ้าเมืองน่านมี

    เรื่องใดที่ให้พ่อหรือเขาไปพบ".....เพราะในส่วนของเขาเอง..รู้สึก..."กังวลเรื่องของคน

    พม่าที่บุกรุกเข้ามาในแผ่นดินสยาม ณ เมืองน่านมากกว่า"....และทันทีที่ได้อ่านจดหมาย

    ของสายฝนแม่ของเขา...ที่มีมาถึงขุนทัพพ่อของเขา....เมืองเข้าใจทันทีว่า "คนพม่ากลุ่ม

    นั้นต้องการมาสังหารเขา..และต้องการขวดแก้วใบนั้น....เขาจึงพยายามที่จะค้นหาเพื่อขับ

    ไล่คนพม่ากลุ่มนั้นออกจากเมืองน่าน ...โดยไม่ให้เจ้าเมืองน่านและเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกรู้

    ....................เมืองดื่มเหล้าอย่างหนักเพียงคนเดียว...หลังจากที่บุญแทนกลับไป

    แล้ว..เขาดื่มเหล้าเพื่อรอขุนทัพจนเย็น...ขุนทัพจึงกลับมาบ้าน...เมืองส่งหนังสือของเจ้า

    เมืองน่านให้ขุนทัพอ่าน...ขุนทัพมองหน้าบุตรชายเพียงเล็กน้อยก้ต้องหันหนีไปทางอื่น..

    พร้อมกับเดินไปนั่งที่ระเบียงหน้าบ้าน...เมืองเดินตามเข้ามานั่งใกล้..โดยเขาเองก็ไม่มอง

    หน้าขุนทัพเช่นกัน

    ....................สองพ่อลูกไม่สู้หน้ากัน..โดยขุนทัพรู้ว่า"เมืองแคลงใจที่ขุนทัพปกปิด

    เรื่องราวของแม่เมืองมาโดยตลอด.....พร้อมกับเรื่องราวอีกมากมายโดยเฉพาะเรื่อง..

    "ขุนทัพกระทำผิดต่อหน้าที่"
     
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ................ตอนที่ 36 เมตตาธรรมหรือหน้าที่........

    ....................เมืองหันหน้ามองไปที่หน้าบ้านแล้วเอ่ยกับขุนทัพโดยไม่มองหน้า

    ............................"พ่อถึงเวลาหรือยังที่พ่อจะบอกอะไรที่ข้าไม่รู้ ให้ข้ารู้"

    ....................ขุนทัพนั่งนิ่งอย่างชั่งใจ..แล้วหันหน้าไปอีกด้านหนึ่งพร้อมกับคิด

    ว่า."เขาสมควรบอกเรื่องราวต่าง ๆ ให้แก่บุตรชายฟัง"...เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปกติ

    นัก..ด้วยรู้สำนึกอะไรบางอย่างที่พาให้หัวใจของเขาเศร้าสลด

    ............................"พ่อรู้ว่า..เจ้าอยากรู้เรื่องอะไร...เจ้าจงฟังให้ดี..กองทัพอังกฤษ

    ได้มาขอให้พระเจ้ากรุงสยาม คือ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า

    อยู่หัว..ช่วยกองทัพอังกฤษรบกับพม่า...จนพม่าพ่ายแพ้สูญเสียเอกราชในปี พ.ศ.2367ใน

    ขณะนั้นกองทัพอังกฤษยึดครองพม่าอยู่....มีชาวพม่าพยายามจะหลบหนีเข้ามาในแดน

    สยามมาโดยตลอด....จนกระทั่งเมื่อตอนพ่อเป็นทหารในปี 2437 สมัยรัชกาลที่ 5 พ่อกับ

    พวกได้ถูกเรียกตัวไปประจำการอยู่ชายแดนด่านแม่สาย..เพื่อผลักดันชาวพม่าไม่ให้เข้า

    แดน.....มีคนพม่ากลุ่มหนึ่งขี่ม้ามาที่ด่าน..แล้วขอให้ดูแลผู้หญิงคนหนึ่งแทนเขาก่อน....

    แล้วเมื่อเขาทำงานเสร็จ...เขาขอให้ส่งตัวผู้หญิงคนนั้นกลับคืนสู่แดนพม่า..ผู้หญิงคนนั้น

    ก็คือแม่ของเจ้า..โดยพ่อไม่รู้มาก่อนว่าแม่ของเจ้า คือ ราชธิดาจากเมืองพม่า"

    ............................"พ่อก็เลยทำผิดหน้าที่ของตน..ทั้งที่รู้อยู่"

    ....................ขุนทัพนั้นรู้สึกผิดมานาน..เพียงแต่เก็บความเสียใจในการทำผิดหน้าที่

    เอาไว้..แต่เมื่อลูกรักของเขามาสะกิดสิ่งนั้น....ซึ่งเหมือนกับบาดแผลของเขาให้เปิดกว้าง

    เขาจึงรู้สึกเจ็บปวด..และสลดหดหู่หัวใจอย่างมาก....ด้วยสมัยก่อนนั้นยึดถือความซื่อ

    สัตย์ต่อหน้าที่ถือว่า "มีเกียรติอย่างยิ่ง"....ดังนั้นการกระทำผิดหน้าที่..จึงเป็น

    เรื่อง"น่าละอายอย่างยิ่งเช่นกัน"...ถือว่า.."เป็นการทรยศต่อบ้านเมืองและมีโทษ

    หนัก".....ขุนทัพจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงค่อยลงอย่างเศร้าสลด.........ด้วยต้องการอธิบาย

    ให้ลูกเข้าใจ

    ............................"ถ้าไม่มีเหตุการณ์นั้น..ก็คงไม่มีเจ้าในวันนี้...เมื่อถึงกาล

    เวลา"ต้องเลือก"แล้วเจ้าจะรู้เอง....ธรรมชาติมันจะสอนเจ้าเองว่า "เจ้าควรเลือกสิ่ง

    ใด"ระหว่างสองสิ่ง "เมตตาธรรม กับ หน้าที่"....เป็นของดีเป็น"ความดี"เป็นความสูง

    ส่งด้วยกันทั้งสองอย่าง....เมตตาธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ใจของเราสร้างขึ้นมา..มันอยู่คู่กับ

    ใจของเรามาแต่เดิม.....ส่วนหน้าที่นั้นเป็นสิ่งที่คนภายนอกกำหนดให้เรายึดมั่นเป็น

    สัจจะ..............เจ้าเคยได้ยินเรื่องราวของพระพุทธองค์มาแล้ว....เจ้าชายสิทธัตถะ

    มี"หน้าที่"ที่จะต้องสืบราชบัลลังก์ และ ดูแลพระมเหสีกับพระโอรส...แต่เพราะ

    พระองค์มี"เมตตาธรรม"ที่อยากจะช่วยเหลือผู้คนให้พ้นทุกข์.."จึงหนีจาก

    หน้าที่"เพื่อออกบวชค้นหาทางพ้นทุกข์มาสู่ผู้คน...ทรงต้องลำบากตรากตรำเป็น

    เวลาถึง 6 ปี กว่าจะตรัสรู้พบหนทางพ้นทุกข์...เมื่อรู้แล้วพระองค์ก็นำมาสอนผู้คน

    ให้รู้ตาม......แสดงว่าพระองค์ทรงเลือก"ความเมตตาธรรม"ต่อมวลผู้คนมากกว่า

    เลือกหน้าที่...อันทำให้เห็นว่า "แท้จริงแล้วเมตตาธรรมต่างหากที่มีค่ายิ่งกว่า

    หน้าที่"

    .....................เมืองนั่งฟังนิ่งและค่อย ๆ หันมามองหน้าขุนทัพ แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"เมื่อเป็นเช่นนั้น..พ่อจึงเลือกเอาการช่วยเหลือแม่..ช่วยเหลือ

    คนพม่าด้วยเมตตาธรรม"

    ............................"ถูกต้องแล้วเมือง...เมื่อถึงเวลาที่สถานการณ์บังคับให้ต้อง

    เลือก..เจ้าจะรู้เอง"

    ....................เมืองเอ่ยโต้ขุนทัพในทันที..เมื่อเขาคิดบางสิ่งบางอย่าง

    ............................."แต่...เมียของพ่อ..เขาเลือกหน้าที่มากกว่าจะเลือกให้

    ความเมตตากับตัวข้า"

    ....................ขุนทัพฟังคำโต้ของเมือง..เขาถึงกับนิ่งอึ้ง..และหยุดฟังเมืองพูดต่อ

    ............................."ท่านเป็นพ่อข้า..ท่านเลือกความเมตตา..เหมือนท่านจะ

    สอนข้าให้เลือกความเมตตาเป็นทางเดิน....ส่วนแม่ของข้าเลือกเอาหน้าที่..เหมือน

    กับชี้แนวให้ข้าเดินก่อนหนีข้าไป....แล้วข้าซึ่งเป็นลูกของท่านทั้งสอง...จะให้ข้า

    เลือกสิ่งใดเล่า"

    ....................ขุนทัพจำนนต่อคำโต้ของเมือง...แม้แต่ตัวขุนทพเองก็ยังรู้สึกสับสน

    ต่อ"การเลือกที่จะกระทำ"..เพราะนอกจากเหตุการณ์นี้...ขุนทัพก็เคยเลือกที่จะกระทำ

    ตามหน้าที่มากกว่าเมตตาธรรม...โดยครั้งหนึ่งขุนท้พเคยตามไปจับโจรที่หมู่บ้านแห่ง

    หนึ่ง...ในขณะที่โจรผู้นั้นอยู่กับเมียและลูกที่ยังเล็กอยู่...ซึ่งเมียและลูกของโจรผู้นั้นน่า

    เวทนาและน่าสงสารมาก....ซึ่งหากเขาเลือกเอาเมตตาธรรมโดยการปล่อยโจรผู้นั้น

    ไปก็ทำได้....แต่การณ์กลับเป็นขุนทัพเลือกเอาหน้าที่..คือ..การจับโจรส่งเจ้าเมือง

    น่านมากกว่าจะเลือกเอาเมตตาธรรม

    ....................ขุนทัพนิ่งอึ้งอยู่นานแล้วค่อย ๆ หันไปมองหน้าลูกชายอย่างเมตตาด้วย

    ไม่รู้จะสอนลูกเช่นไร....จึงได้เอ่ยขึ้นอย่างเศร้าสลด

    ............................"สุดแท้แต่เจ้าจะเลือกเถิดเมือง..เพราะอย่างไรเสีย"มันคือ

    ความดีทั้งคู่".."

    ....................เมืองจ้องมองดูขุนทัพด้วยรู้สึกถึง "ความรักและความเมตตา" ที่พ่อของ

    ตนแผ่ออกมา...แล้วเขาจึงเอ่ยแก่ขุนทัพอย่างแผ่วเบา

    ............................."พรุ่งนี้ ให้ข้าไปพบเจ้าเมืองน่านแทนพ่อ"

    ....................เมืองกล่าวจบ..เขาก็ลุกขึ้นเดินไปจากขุนทัพ...โดยมีสายตาของขุนทัพ

    มองตามอย่างเข้าใจ....แล้วเขาก็ขึ้นม้าควบออกไป..มุ่งหน้าไปยังบ้านเชิงเขา..ซึ่งนางมีผู้

    เป็นอาของเขาอยู่ที่นั่น....เวลาที่เขามีเรื่องทุกข์ใจบางอย่าง...เขาจะไปที่บ้านแห่งนี้

    เสมอ...เพราะมันเป็นบ้านที่มีสภาพแวดล้อมอันงดงามของป่าไม้ ท้องทุ่ง ขุนเขา และ

    ความเงียบสงบ

    ....................เขารู้สึกสับสนกับการ"เลือก"มากว่า..."เมื่อถึงเวลาเขาควรเลือกสิ่งใด"

    ดังเช่น "การอยู่เมืองน่านต่อไป" หรือ "การเดินทางไปประเทศพม่าเพื่อกู้ราชวงศ์

    ของเขากลับคืน"....ซึ่งสถานการณ์ยังไม่มีสภาพบังคับให้เขาต้องเลือกสิ่งใด...นอก

    จากรอให้ถึงเวลา..หรือ ว่า "เขาจะไม่มีโอกาสได้เลือกสิ่งใดเลย"

    .....................เมือง มีสุข ณ บัดนี้อุปนิสัยความเป็นคนรักสนุกของเขา..แทบ

    จะไม่มีผู้ใดพบเห็น..หลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านเข้ามาให้เขาขบคิดมากมาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2011
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..ตอนที่ 37 พบเจ้าเมืองน่าน และ ความรักอดีตชาติ..


    .....................รุ่งขึ้นวันใหม่ ปลัดเมือง บุญแทน และ สาย รวม 3 คน ..ได้เดินทาง

    ข้ามแพจากฝั่งตะวันออกไปฝั่งตะวันตก..อันเป็นที่ตั้งของเมืองน่าน..เพื่อพบกับเจ้าเมือง

    น่านที่จวนของเจ้าเมือง....ส่วนขุนทัพและมุก..พร้อมกับพรรคพวกได้ทำหน้าที่แกะรอย

    ติดตามกลุ่มพม่าที่เข้ามาในพื้นที่ฝั่งตะวันออกแทน

    ....................."ความรัก" ..มีเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้นใน"ปัจจุบัน" มีเพียง 2

    อย่าง..ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเหตุไว้"ซึ่งเป็นความจริงตลอดมา"..ที่

    กล่าวเช่นนี้ยืนยันเฉพาะที่เป็น "ความรัก"อย่างเดียว...ไม่ใช่ "ความชอบ" หรือ "รักในรูป

    ร่างหน้าตา" หรือ "การกระทำของผู้หนึ่งผู้ใดที่ถูกใจตน" แล้วเหมาเอาว่าเป็น "ความรัก"

    เช่นนั้น "ไม่ใช่ความรักตามที่เอ่ยถึง"..แต่นั้นคือ "ความหลงรัก" (หลงว่าเป็นความ

    รัก)

    ....................เหตุแห่งความรัก 2 อย่าง นั้นคือ เหตุแรกมาจากการที่เคยรักกันมา

    ก่อนในอดีตชาติหรือเรียกว่า "บุพเพสันนิวาส"เพราะเคยรักกันมาก่อนไม่ว่าจะเจอกัน

    ชาติไหน ๆ ก็จะรู้สึกคุ้นเคยกันและรักกันในทันทีที่พบเห็นกัน...เหตุที่สองมาจากการที่

    ชายหญิง(สมัยนี้อาจจะเป็น"ชาย","ชาย" หรือ "หญิง","หญิง"รวมอยู่ด้วย) .

    เพิ่งมาพบกันในปัจจุบันชาติ และได้ช่วยเหลือเกื้อกูลอุปถัมภ์ค้ำจุนกัน..มีความดี

    ต่อกัน..แล้ว"กลายมาเป็นความรักต่อกัน"

    ....................ในตอนนี้เป็นตอนสำคัญตอนหนึ่ง...ที่ต้องกล่าวถึงเรื่องราวทางความรัก

    ให้กระจ่าง...เพราะเป็นตอนที่จะต้องเขียนถึงบุคคลสำคัญที่ได้ "สร้างอนุสรณ์ความทรง

    จำของฉันเพื่อเธอ" อันเป็นการยืนยันความรักอันยิ่งใหญ่ของนาง...ที่ปรากฏขึ้น ณ

    พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน..ให้เป็นเรื่องเล่าขานใน "ตำนานความรัก"ความ

    รักของนางเป็น "ความรักที่มาจากเหตุแรกตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้"...

    ก่อนที่เราจะตามไปดู"ความรักเหตุที่สอง".."อนุสรณ์ความทรงจำของฉันเพื่อเธอ"

    ณ เมืองสุราษฎร์ธานี

    ....................เมืองและพวกควบม้าผ่านตลาดเมืองน่าน โดยมีสายเป็นผู้บอกทาง..ท่า

    ทางของเมืองยามอยู่บนหลังม้าดูช่างงามสง่ายิ่งนัก....เมื่อถึงใจกลางตลาด..เขาบังคับ

    ม้าให้เดินไปอย่างช้า ๆ.."ลำตัวของเขายืดตรงอกผายไหล่ผึ่งเหมือนคำโบราณ..กล่าวถึง

    ลักษณะของชายชาตรี"..ประกอบกับเขามีหน้าตาและรูปร่างที่งดงาม..โดยเฉพาะดวง

    ตาที่สวยงามและมีอำนาจ...ยามผ่านตลาดอันเป็นแหล่งรวมผู้คน..จึงมีคนมองเขาอย่าง

    ชื่นชม..ด้วยไม่เคยพบเห็นบุรุษรูปงามผู้นี้มาก่อน

    .....................เช่นเดียวกับ"สายพิณ"บุตรสาวคนเล็กของเจ้าเมืองน่านอายุราว 16

    ปี พี่สาวของเธอคือ"สายใจ"คนที่ปลัดปักษ์หมายปองอยู่

    .....................สายพิณเดินเที่ยวในตลาดกับ "สำเนียง" หญิงรับใช้บ้านเจ้าเมือง

    น่าน..ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของ"สายพิณและสายใจ"สายพิณยืนมองจ้องบุรุษรูปงาม..ใน

    ขณะที่ม้ากำลังเดินผ่านไป..ด้วยสายตาที่นิยมชมชอบในความสง่างามของเขา...

    โดยหารู้ไม่ว่า"ชายผู้นี้"คือ "ปลัดเมือง มีสุข"..คนที่นางเคยพร่ำบนกับ "สาย"คน

    ของขุนทัพยามที่สายมาส่งภาษีที่ฝั่งตะวันตก..ว่า "นางอยากพบและอยากเห็น

    เขามาก...และได้ฟังเรื่องราวของเขาที่ได้ควบขี่ม้าขึ้นไปสู้กับดวงอาทิตย์บนยอด

    เขาสูง..จนพบปรัชญาบางอย่าง..ทำให้นางต้องการเห็นเขาที่สุด"..เพราะเหตุที่สาย

    พิณเอาแต่มองบุรุษงามผู้นี้.จึงไม่ได้ทันสังเกตเห็นว่าสองคนที่มากับบุรุษผู้นี้ คนหนึ่ง คือ "สาย"

    .....................เมืองชำเรืองมองดูสายพิณเล็กน้อยขณะกำลังผ่านร่างของนางไป..

    รู้สึกว่า"หญิงผู้นี้ช่างงามนัก..และรู้สึกคุ้นเคยกับนางมาก่อน"..เขาจึงหันหลังกลับไป

    มองอย่างช้า ๆ ก็พบสายตาของสาวน้อยผู้นั้นยืนจ้องมองเขาอยู่....แต่ความที่เขาต้อง

    ไปพบเจ้าเมืองน่านให้เสร็จธุระ..แล้วต้องกลับไปช่วยขุนทัพตามหาร่องรอยคนพม่า...เขา

    จึงรีบควบม้าไปทันทีเมื่อผ่านจุดหนาแน่นของกลุ่มคนในตลาดแล้ว

    ....................เมืองลับตาไปจากสายพิณ สายพิณได้เอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้นกับ

    สำเนียง

    ............................"บุรุษผู้นี้..เป็นใครกันน่ะพี่สำเนียง"

    ............................"สองคนที่อยู่หน้า..ข้าไม่รู้จัก..แต่คนหลัง เขา คือ คุณสายคน

    ของขุนทัพ" สำเนียงตอบตามที่ตนรู้ เพราะฝั่งตะวันตกนี้ สายจะมาบ่อย...ซึ่งผิดกับเมือง

    และบุญแทนที่ไม่เคยย่างกรายมาเลย........สำเนียงจึงเห็นสายอยู่บ่อยครั้งเช่นเดียวกับ

    สายพิณ

    .....................แต่แล้วสำเนียงก็นึกเรื่องที่ได้ยินเจ้าเมืองพูดเมื่อวานนี้ว่า "ขุนทัพหรือ

    ปลัดเมืองจะมาพบเจ้าเมืองน่าน..แต่ที่สำเนียงเห็นไม่ใช่ขุนทัพคนที่นางเองรู้จักและเห็น

    หน้า.....ดังนั้น คนที่ขี่ม้ามากับสายที่นางเห็นพร้อมกับสายพิณ..น่าจะเป็น "ปลัดเมือง" ..

    นางจึงแสดงความเห็นทันที

    ............................"เอ..หรือว่า..คนผู้นั้นจะเป็นปลัดเมือง"

    .....................ทันทีที่สำเนียงพูดคำว่า"ปลัดเมือง"...สายพิณก็ให้รู้สึกว่า "หัวใจของ

    นางเต้นระรัวอย่างไม่เป็นปกติสุข"....ด้วยนางยังเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับอุปนิสัยอีกส่วน

    หนึ่งของเขาก่อนหน้านี้ว่า "เขาเป็นคนมีคุณธรรม รักสนุก โลดโผน กล้าหาญบ้าบิ่น

    และเป็นบุรุษรูปงามที่เอาแต่ดื่มเหล้า..พร้อมกับไม่เคยมีหญิงใดในดวงใจ..และเรื่อง

    ราวที่ประทับใจนางมากที่สุด นั่นคือ "บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์" ..ดังนั้นนางจึงชื่น

    ชอบปลัดเมืองมากพร้อมกับการอยากพบเห็นและรู้จักเป็นที่สุด........นางจึงตั้งใจฟัง

    สำเนียงพูดต่อ

    ..........................."เพราะว่า..เมื่อวานนี้ข้าได้ยินท่านเจ้าเมืองพูดว่า..วันนี้ท่านจะ

    สอบถามอะไรบางอย่างกับขุนทัพหรือปลัดเมือง..แต่ขุนทัพไม่มากับคุณสาย..ฉะนั้นคนผู้

    นั้นต้องเป็นปลัดเมืองแน่นอน"

    ....................คำพูดของสำเนียงทำให้สายพิณตื่นเต้นและดีใจมาก..นางจึงชวน

    สำเนียงกลับบ้านทันที โดยขึ้นรถม้าของเจ้าเมืองที่มีคนบังคับม้ารออยู่..แล้วตามปลัด

    เมืองไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2011
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ณ จวนเจ้าเมืองน่าน..เมืองกับพวกมาถึงได้ผูกม้าไว้ที่กำแพงรั้วกั้นเขต

    ด้านนอก...แล้วจึงเดินผ่านตำรวจยามสองนายที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้ว....และเดินเข้าไปใน

    บริเวณสนามหญ้าซึ่งอยู่หน้าบริเวณที่ทำการออกว่าราชการของเจ้าเมืองน่าน

    ....................และเมืองก็ได้พบปับ ปลัดปักษ์ บุญมี ร.ต.ต.เวียงหัวหน้าตำรวจ..พร้อม

    กับตำรวจอ่ก 3 นาย.....ซึ่งสายได้กระซิบบอกกับเมือง...ถึงชื่อบุคคลทั้งหมดและตำแหน่ง

    ให้เมืองทราบ...เมืองเดินไปอยู่ต่อหน้าปลัดปักษ์พร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างเหน็บแนม

    ............................"ฝั่งตะวันออก..พวกเจ้าคงท่องเที่ยวกัยสนุกสินะ"

    .....................ปักษ์ไม่ตอบรับคำพูดของเมือง..แต่ได้มองไปที่คันธนูและลูกธนูที่

    เมืองนำติดตัวมา..พร้อมกับอาวุธปืนที่เหน็บอยู่บริเวณเอวของเมือง...แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าที

    ที่ขรึงขรัง

    ............................"พวกเจ้าไม่รู้หรือว่า..การพบเจ้าเมืองห้ามนำอาวุธเข้ามาด้วย"

    ......................เมืองเริ่มรู้สึกว่า.."การพูดของปักษ์เริ่มที่จะรุกไล่เขา" ..คงเป็นเพราะ

    ไม่พอใจเรื่องที่เขาไล่บุญมีกลับไปตอนส่งหนังสือเมื่อวานนี้....เหตุดังกล่าวทำให้เกิดความ

    ไม่พอใจกันเกิดขึ้น...เมืองยกคันธนู กระบอกลูกธนูและอาวุธปืนของเขาส่งให้ปลัดปักษ์

    อย่างประชดแล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็จงถือมันไว้ให้ข้าด้วย"

    ....................เช่นเดียวกับบุญแทนและสาย...ก็ส่งอาวุธปืนของเขาให้แก่ตำรวจที่อยู่

    ณ ที่นั้น..แต่ปักษ์ก็ได้เอ่ยขึ้น

    ............................."พวกเจ้าไม่ต้องเข้าไป ท่านเจ้าเมืองอยากพบคนเก่งเพียงคน

    เดียว"

    ....................คำพูดของปักษ์เป็นทำนองเหน็บแนมเมือง...ซึ่งเขาทั้งสองต่างรู้สึกไม่

    ชอบหน้ากันด้วยความโกรธ..ความโกรธและความขุ่นเคืองที่อยู่ภายในใจของคน

    ย่อมบดบังความดีที่มีให้กันและมิตรภาพให้สิ้นสุดลงเสมอ

    ....................เมืองเดินผ่านกลุ่มผู้ต้อนรับอย่างทรนงและรวดเร็ว...ทำให้ปักษ์และหัว

    หน้าตำรวจต้องรีบเดินตาม.....โดย บุญแทน สาย บุญมี และตำรวจอื่น ยืนรออยู่ภายนอก

    ที่ทำการ

    ....................ภายในที่ทำการของเจ้าเมืองน่านที่เป็นสถานที่ออกว่าราชการ..มีโต๊ะ

    ขนาดใหญ่โค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวโอบล้อมเก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งอยู่กลาง....โดยมีเจ้าเมือง

    น่านนั่งอยู่บนเก้าอี้นอกวงล้อมโต๊ะจันทร์เสี้ยว.....ลักษณะเผชิญหน้ากับผู้ที่มานั่งที่เก้าอี้...

    ในส่วนปลายจันทร์เสี้ยวทั้งสองข้างจะมีเก้าอี้นั่ง

    .....................ปักษ์บอกเมืองให้นั่งเก้าอี้ในวงจันทร์เสี้ยวนั้น...ส่วนเขานั่งอยู่เก้าอี้

    ปลายจันทร์เสี้ยวกับหัวหน้าตำรวจ..โดยปลายจันทร์เสี้ยวอีกด้านหนึ่งมีขุนแสงนั่งรออยู่

    ก่อนแล้ว

    .....................เจ้าเมืองน่านเพิ่งเห็นปลัดเมืองเป็นครั้งแรก..ด้วยลักษณะของเขาและ

    รูปร่างที่สง่างามสมชายชาตรี ทำให้เจ้าเมืองรู้สึกพอใจ...เมืองสบสายตากับเจ้าเมืองน่าน

    และรอการสอบถาม...เจ้าเมืองน่านจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"ข้ามีเรื่องที่จะสอบถามและอยากปรึกษากับเจ้า จึงต้องเรียกเจ้า

    มา...ข้ากับเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตก...มีความเห็นว่า..เมืองของเราถูกแยกออกเป็นสองฝั่ง

    โดยแม่น้ำน่าน..ทำให้ไม่สะดวกในการดูแล...และ การเดินทางไปมาทั้งสองฝั่ง..ข้าจึงเห็น

    ควรสร้างสะพานเชื่อมต่อแผ่นดินทั้งสองเข้าด้วยกัน..เจ้ามีความเห็นเป็นเช่นไร"

    ....................เจ้าเมืองหยุดพูดเพื่อรอฟังเมืองตอบ...เมืองรู้สึกยินดีไม่น้อย...ซึ่งเขา

    และคนฝั่งตะวันออกก็มีความคิดเห็นเช่นนั้น..เขาจึงเอ่ยตอบเจ้าเมืองน่านตามความคิดเห็น

    ด้วยสีหน้าแจ่มใส

    ............................"ความคิดของข้าน้อย..และชาวบ้านฝั่งตะวันออกส่วนใหญ่ก็คิด

    เห็นเป็นอย่างเดียวกับใต้เท้าขอรับ"

    .....................เจ้าเมืองน่านพยักหน้าอย่างพอใจ..แล้วจึงเอ่ยต่อ

    ............................"แต่ปัญหาของเมืองเรา..คือ เงินเราไม่พอใช้จ่ายในการก่อสร้าง

    สะพาน เพราะภาษีที่เราเก็บอยู่มันได้น้อย...โดยเฉพาะฝั่งตะวันออกที่เจ้ารับผิดชอบอยู่"

    .....................เมืองเริ่มเดาเหตุการณ์บางอย่างออกว่า "การที่ปลัดปักษ์กับพวกเข้าไป

    ในพื้นที่ของเขา..ก็คงมาสืบเรื่องความเป็นอยู่และรายได้ของฝั่งตะวันออกอย่างหนึ่ง...

    ส่วนอื่นเขายังเดาไม่ออก..เขาจึงเอ่ยขึ้นเป็นเชิงรุกพร้อมกับเหน็บแนมไปทางปลัดปักษ์

    ............................"เหตุที่ภาษีฝั่งตะวันออกเก็บได้น้อย..ใต้เท้าน่าจะมีคำตอบจาก

    ปลัดปักษ์ที่ไปขึ้นฝั่งตะวันออก..ท่องเที่ยวอยู่นานก็ได้นี่ขอรับ"

    ....................เมืองพูดพร้อมกับหันไปทางปลัดปักษ์ซึ่งนั่งอยู่...ก็เห็นปักษ์มีกริยาและ

    สีหน้าไม่พอใจกับคำพูดเหน็บแนมของเมือง..เจ้าเมืองเห็นเช่นนั้นจึงได้พูดขึ้น

    ............................"ข้าส่งเขากับพวกไปเอง..เขารายงานให้ข้าทราบแล้ว...แต่จะ

    ละเอียดเช่นเจ้า...ที่ดูแลท้องที่อยู่ได้เช่นไร"

    ....................เมืองฟังเจ้าเมืองน่านพูดอย่างมีเหตุมีผล...เขาจึงเอ่ยอธิบายรายงาน

    ต่อเจ้าเมืองน่าน

    ............................"ขอรับใต้เท้า..ฝั่งตะวันออกของเราประชาชนส่วนใหญ่ประกอบ

    อาชีพ ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ พร้อมกับรับจ้าง...จึงอยู่ในฐานะยากจน..การทำนากว่าจะ

    ได้เงินต้องรอจนขายข้าวได้แล้ว....จึงมิได้มีรายได้ประจำอย่างฝั่งตะวันตก..ซึ่งมีสารพัด

    อาชีพ..เช่น การค้าขายก็ทำให้เกิดรายได้ประจำ..เหตุนี้จึงทำให้ภาษีฝั่งตะวันออกไม่

    สามารถเก็บได้เป็นจำนวนมากขอรับใต้เท้า"

    .....................เจ้าเมืองฟังปลัดเมืองอธิบาย จึงได้ชำเรืองไปทางปลัดปักษ์ก็เห็นเข้า

    พยักหน้าคำนับเจ้าเมืองน่าน..อันเป็นกริยารับรองในคำพูดของปลัดเมือง

    .....................การกระทำของปลัดปักษ์ที่รับรองคำพูดของปลัดเมือง..แม้เขา

    กับปลัดเมืองจะมีเรื่องที่ไม่พอใจกันอยู่.......ทำให้เห็นว่า "เขาเป็นคนซื่อตรงต่อ

    หน้าที่..โดยที่ไม่นำเรื่องอคติมาให้ร้ายฝ่ายตรงข้าม"

    .....................เจ้าเมืองทราบความเช่นนั้นจึงได้เอ่ยขึ้นต่อ

    ............................"แต่ก็มีที่เจ้านำเงินส่วนตัวของเจ้า มาเสียภาษีแทนชาว

    บ้านมิใช่หรือ"

    .....................เมืองรู้สึกว่า เจ้าเมืองน่านรู้พฤติการณ์ของเขาละเอียด..จึงไม่กล้า

    ปฏิเสธ

    ............................."เป็นจริงขอรับใต้เท้า..เพราะพวกเขาไม่มีเงินเสียให้เรา ข้าจึง

    นำเงินส่วนตัวของข้าอันเป็นเงินค่าตอบแทนในการทำงานมาเสียแก่เจ้าหน้าที่แทน...เพื่อ

    ให้รายได้ของเมืองเรามีสม่ำเสมอขอรับใต้เท้า"

    .....................เจ้าเมืองน่านรู้สึกพอใจในคำพูด และ ความเสียสละของเขา..แต่ก็ได้

    โต้แย้งขึ้นว่า

    ............................"ในเมื่อเจ้านำเงินค่าตอบแทนมาจ่ายภาษีแทนชาวบ้าน...

    แล้วเจ้าเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายส่วนตัว"

    ............................"เงินที่พ่อของข้าเก็บสะสมไว้มีอยู่มาก..ข้าจึงนำมันออกใช้จ่าย

    ส่วนตัวและช่วยเหลือชาวบ้านอีกส่วนหนึ่ง..ขอรับใต้เท้า"

    ....................คำตอบของเมืองทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นเริ่มตั้งใจฟังอย่างจด

    จ่อ..โดยเฉพาะขุนแสง

    ....................เจ้าเมืองรับฟังคำพูดที่เมืองตอบแล้วจึงย้อนถามในทันที

    ............................"แล้วเจ้ารู้ไหม..ว่าพ่อของเจ้านำเงินมาจากไหน"

    .....................คำถามนี้ทำให้เมืองถึงกับนิ่งอึ้ง...โดยตอนแรกเมืองไม่รู้ว่า "ขุนทัพได้

    ทรัพย์สินเงินทองมาอย่างไร"...แต่เพราะจดหมายของสายฝนแม่ของเขา...พร้อมกับ

    แหวนปลอกมีดทองคำที่มีมาพร้อมกับจดหมายที่มีถึงขุนทัพ....เมืองจึงรู้ว่ามันคือ

    ทรัพย์สินของแม่เขาที่นำมาจากพม่า...แต่เขาไม่อาจพูดความจริงได้..ด้วยพูดไปก็จะ

    สาวไปถึง"การกระทำผิดของขุนทัพที่ลักลอบนำแม่ของเขาซึ่งเป็นชาวพม่าเข้า

    แผ่นดินสยาม"..เมืองจึงเอ่ยตัดบททันที

    ............................"ข้าน้อยเองก็ไม่รู้ว่า..พ่อของข้าน้อยมีทรัพย์สินขึ้นมาจากเหตุ

    ใด..ด้วยข้าเติบโตขึ้นมาก็เห็นว่า..ทรัพย์สมบัตินั้นมีอยู่แล้ว...ข้าไม่เคยเห็นพ่อของข้าไป

    ทุจริตหรือหาทรัพย์สินจากผู้ใดนะขอรับใต้เท้า"

    .....................เจ้าเมืองน่านนั่งนิ่งอย่างพิจารณา..แล้วจึงเอ่ยสรุป

    ............................"เอาเป็นว่า..ข้าขอสั่งเจ้ากับขุนทัพให้เข้มงวดเรื่องภาษี..

    เพราะเมืองน่านของเราจำเป็นต้องมีสะพาน...แล้วข้าขอขอบใจเจ้ากับขุนทัพและเจ้า

    หน้าที่ฝั่งตะวันออกที่ดูแลประชาชนของข้าเป็นอย่างดี"

    ....................เสร็จการสอบถาม..เมืองเดินออกมาจากที่ทำการพร้อมกับหัวหน้า

    ตำรวจที่เดินออกมาส่ง...เมืองและพวกเดินออกมาจนถึงประตูรั้วที่ตำรวจยามทั้งสองนาย

    ยืนอยู่ เพื่อจะออกไปเอาม้า....
     
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....ตอนที่ 38 ลูกธนูดอกกุหลาบแห่งคำมั่นสัญญา.....

    ....................แต่แล้วสายตาของเมืองก็พบกับ......สาวน้อยผู้ที่เขานึกชมอยู่ในใจ

    ว่า.."หญิงนี้ช่างงามนัก" .....กำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วใกล้กับม้าของพวกเขา

    ....................เมืองสบสายตากับนางอีกครั้ง..หลังจากที่เคยสบตากันในตลาด...แล้ว

    จ้องมองดูอย่างพิจารณา"ด้วยความรู้สึกกระทบจิตใจว่า..เขาเหมือนรู้จักคุ้นเคยกับสาวน้อย

    ผู้นี้มาก่อน".....สายกระซิบบอกกับเมืองว่า "นางคือ"สายพิณ"..บุตรสาวคนเล็กของเจ้า

    เมืองน่าน"

    ....................สายพิณจ้องมองเมืองขณะที่เขากำลังเดินมาจนใกล้นาง...นางได้ยิ้ม

    แย้มแจ่มใสอย่างดีใจ..พร้อมกับเดินเข้าไปหา..แล้วเอ่ยขึ้นกับเมืองทันที

    ............................"ปลัดเมือง...ข้าได้ยินได้ฟังเรื่องราวของเจ้ามากมาย..เจ้าเป็น

    ผู้มีคุณธรรม เจ้ากล้าหาญบ้าบิ่น เจ้าเป็นผู้ควบม้าปีนไต่ภูเขาสูงเพื่อสู้กับดวงอาทิตย์..ข้า

    ชื่นชมตัวเจ้าและอยากเห็นเจ้ามานานแล้ว"

    ....................สายพิณพูดสาธยายอย่างเร็วด้วยอาการดีใจ..ทำให้เมืองรู้สึกประหลาด

    ใจพร้อมกับรู้สึกยินดี...เขาสงสัยว่าลูกท่านเจ้าเมืองไปรู้เรื่องราวของเขามาจากไหน เขา

    จึงเอ่ยถามทันที

    ............................"เจ้าไปรู้เรื่องราวของข้ามาจากไหนหรือ"

    ............................"คุณสาย...เป็นคนบอกข้าเอง..ข้าอยากรู้เรื่องราวของเจ้า...

    และทุกครั้งที่เขามาฝั่งตะวันตก..ข้าจึงถามเขา"

    ....................สายพิณเป็นสาวแรกรุ่นที่ยังมีความรู้สึก "เป็นเด็กอยู่" ..นางถูกพ่อแม่

    ตามใจ..อยากทำอะไรก็ทำโดยไม่คำนึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณ"ที่ผู้หญิงไม่ควรเอ่ย

    กับผู้ชายก่อน"

    ....................หลังจากสายพิณเอ่ยตอบ..เมืองได้หันไปทางสาย..ก็เห็นสายยืนยิ้ม

    อย่างเก้อเขิน....เขาจึงหันกลับมาที่สายพิณเพื่อฟังเธอพูดต่อ

    ............................"วันหน้า..เจ้าควรมาส่งภาษีเอง..และให้คุณสายอยู่เฝ้าบ้าน...

    ข้าจะได้เห็นเจ้าอีก...และถ้าสะพานข้ามแม่น้ำน่านที่เมืองเรากำลังจะก่อสร้าง..สร้างเสร็จ

    เมื่อไร..เจ้าต้องมารับข้าไปปีนไต่ภูเขาสูงเพื่อสู้ดวงอาทิตย์เหมือนกับเจ้านะ"

    ....................เมืองก้มหน้าเพื่อหลบสายตาของสายพิณ..พร้อมกับอมยิ้มพลางถอน

    หายใจและส่ายหน้าอย่างช้า ๆ..เขารู้สึกเอ็นดูสายพิณดุจน้องสาวและเป็นครั้งแรกที่มี

    ผู้หญิงมาเอ่ยวาจาชื่นชมในตัวเขาอย่างซึ้งหน้า

    ....................เมืองหยิบลูกธนูที่อยู่ในกระบอกที่เขาสะพายอยู่ด้านหลังออกมา 1 ดอก

    และได้เดินไปเด็ด"ดอกกุหลาบสีแดง"..ดอกใหญ่สวยงามดอกหนึ่งที่อยู่ริมรั้วของจวนเจ้า

    เมือง...แล้วนำดอกกุหลาบมาพันผูกเข้ากับปลายแหลมของลูกธนูด้วยเชือกเส้นเล็กที่เขา

    ติดตัวมา.....เมื่อเขาทำมันเสร็จจะเห็นปลายแหลมอันเป็นส่วนของลูกธนูที่ทำร้ายคน.."จะ

    เปลี่ยนเป็นดอกกุหลาบสีแดง ..มันจึงดูเหมือนกับ "ลูกธนูดอกกุหลาบสีแดง"

    .....................เมืองเดินกลับไปหาสายพิณด้วย"ความเป็นมิตร"..เขายิ้มให้สายพิณ

    แล้วส่งลูกธนูดอกกุหลาบสีแดงให้กับสายพิณแล้วเอ่ยขึ้น

    ............................."ลูกธนูดอกกุหลาบนี้เป็นสัญญาของข้า...หากสะพาน

    ข้ามแม่น้ำน่านสร้างเสร็จเมื่อไร..เจ้าจงนำมันไปให้ข้า...แล้วข้าจะพาเจ้าไปสู้กับ

    ดวงอาทิตย์บนยอดภูเขาสูงกับข้า...จงเก็บมันไว้"

    .....................สายพิณรับลูกธนูดอกกุหลาบจากเมืองพร้อมกับฟังคำสัญญาของเขา..

    ด้วยความตื่นเต้นและดีใจ...ด้วยตนเองนั้นมีความชื่นชอบใน "ปลัดเมือง มีสุข ดุจดัง

    วีรบุรุษในดวงใจของนาง"....นางจ้องมองลูกธนูดอกกุหลาบด้วยสายตาลิงโลด

    ....................."ลูกธนูดอกกุหลาบ"ไม่เพียงเป็นของแปลก แต่ยังมีความสวยงามอีก

    ด้วย...หากพิจารณาดูแล้วมันมีความหมายเหมือน "อาวุธที่ไม่ทำร้ายใคร เป็นสิ่งสวย

    งามที่จะมอบให้แก่กัน..ดอกกุหลาบเป็นเหมือนสิ่งแทนความรัก"

    .....................สายพิณดีใจตรงเข้าสวมกอดเมืองพร้อมกับพูดขึ้นด้วยอาการดีใจ

    ............................"เจ้าสัญญาแล้วนะ..ข้าชอบเจ้ามากปลัดเมือง"

    .....................เมืองตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก...เขามองหน้าตำรวจยาม..พร้อมกับมอง

    สายและบุญแทน..พลางเอ่ยกับสายพิณอย่างแผ่วเบา

    ............................."ปล่อยข้าเถิด..แล้วข้าจะจดจำเจ้าไว้"

    ....................สายพิณละจากเมือง...นางก็ยังยิ้มหัวเราะอย่างชอบใจเหมือนกับเด็ก

    น้อยได้ของถูกใจ

    ....................สายพิณมองปลัดเมืองที่กำลังควบม้าออกไปด้วยสายตาที่ชื่นชม..จน

    เขาลับจากสายตาไป..นางรีบนำลูกธนูดอกกุหลาบดอกนั้นไปอวดกับสายใจพี่สาวของตน

    และสำเนียง..พร้อมกับหมุนตัวไปมา..โดยที่มือยังถือลูกธนูดอกกุหลาบนั้นด้วยความปลื้ม

    ใจ และก็เดินไปพบกับเจ้าเมืองเพื่ออวดลูกธนูแก่เจ้าเมือง ณ ที่ทำการโดยขณะนั้นไม่มีผู้

    ใดอยู่นอกจากเจ้าเมืองน่าน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • red_rose.gif
      red_rose.gif
      ขนาดไฟล์:
      34.2 KB
      เปิดดู:
      351
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................."ท่านพ่อ..ถ้าสะพานข้ามแม่น้ำน่านสร้างขึ้นเสร็จเมื่อไร ท่าน

    ต้องอนุญาตให้ปลัดเมืองพาข้าขึ้นยอดภูเขาสูงเพื่อสู้กับดวงอาทิตย์นะ"

    .....................คำว่า"สู้กับดวงอาทิตย์" เจ้าเมืองรู้สึกแปลกใจมาก..กับคำพูดของบุตร

    สาวคนเล็ก...จึงเอ่ยย้อนถามคำนี้แก่สายพิณลูกรัก

    .............................."ปลัดเมือง..เขาไปสู้ดวงอาทิตย์อย่างไร..แล้วจะพาเจ้าไปสู้

    อย่างไร"

    .............................."โธ่..ท่านพ่อรู้ไหมว่า...ภูเขาสูงบนฝั่งตะวันออกลูกนั้น...ไม่

    มีใครปีนไต่ขึ้นไปได้..แต่ปลัดเมืองเขาสามารถขี่ม้าปีนไต่ภูเขาลูกนั้น...แล้วไปยืนบนยอด

    เขาเพื่อรับแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันที่ร้อนแรงอย่างสุด ๆ...แล้วเขาก็ใช้สายตาจ้องมองสู้กับ

    ดวงอาทิตย์ยามนั้น..ข้าไม่เคยได้ยินผู้ใดเคยทำเช่นนั้นมาก่อนเลย"

    .....................สายพิณอธิบายอย่างรวดเร็วด้วยอาการตื่นเต้น พร้อมใช้มือไม้ประกอบ

    ท่าทางเล่าให้เจ้าเมืองน่านฟัง..อย่างมีรสชาดและสนุกสนาน....แต่เจ้าเมืองรับฟังด้วย

    อาการนิ่งสงบอย่างพิจารณา..โดยไม่ได้มีอาการตื้นเต้นตามลูกสาวหัวดื้อแม้แต่น้อย..

    พลางคิดในใจว่า"เมือง มีสุข ไม่ใช่คนธรรมดาเสียแล้ว ..เขาคิดอ่านการใดและทำอะไรที่

    ไม่เหมือนใคร..ไม่มีใครสู้กับดวงอาทิตย์ได้..เขาเองก็น่าจะรู้...แต่ทั้งที่รู้ว่าสู้ไม่ได้ "แต่

    ทำไมเขายังสู้" หรือว่าการต่อสู้ครั้งนี้ "เขาคือผู้ชนะ"..."

    .....................เมือง มีสุข เขาคือ..ผู้ที่เห็นจุดดับบนดวงอาทิตย์ ในขณะที่ผู้อื่น

    ไม่เห็น..เพราะแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างจ้าอย่างร้อนแรงนั้น...เหมือนกับปกปิดความ

    มืดหรือจุดดับในตัวเองเอาไว้...และสาดแสงจ้าเพื่อป้องกันคนมองดูดวงอาทิตย์....

    ความสว่างร้อนแรงเกินที่สายตาคนจะจ้องมอง...ทำให้ไม่มีผู้ใดคิดที่จะมองดวง

    อาทิตย์ยามนั้น....แต่เขาได้มองฝ่าแสงสว่างอันร้อนแรงนั้นจนเห็นจุดดับหรือจุด

    มืดมิดบนดวงอาทิตย์..แต่เขาไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟัง...สิ่งที่เขาเอ่ยยามนั้น คือ

    "ดวงอาทิตย์ยังมีวันดับ" และ "ดวงอาทิตย์ไม่มีความเย็นเหมือนตัวเขา"

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ยามดึก ณ ห้องนอนของสายใจและสายพิณที่จวนเจ้าเมืองน่าน..สาย

    พิณยังคงชื่นชม "ลูกธนูดอกกุหลาบสีแดง" ที่เมืองให้นางไว้..นางถือมันไว้พร้อมกับเอ่ยกับ

    สายใจอย่างแผ่วเบา

    ............................"พี่ว่ามันสวยไหม" นางพูดด้วยอาการยิ้มเล็กน้อยแล้วจ้อง

    มองสายใจอย่างรอคำตอบ

    ....................."ลูกธนูดอกกุหลาบสีแดง" ซึ่งอยู่ในมือของสายพิณ..ท่ามกลาง

    ความสว่างจ้าของแสงจันทร์ขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งแสงเย็นตาผ่านหน้าต่างห้อง...สาด

    ส่องกระทบกลีบดอกกุหลาบสีแดงซึ่งอยู่ที่ปลายแหลมของลูกธนู..จนเกิดประกายสีทอง

    บนสีแดงนั้น...ทำให้มันดูสวยซึ้งอย่างจับใจ....อาจจะเป็นแสงจันทร์ที่มีอานุภาพ"แห่ง

    ความรักสถิตย์อยู่" ให้หนุ่มสาวทุกคู่บนโลกได้สัมผัสแล้ว"จะเกิดความรักอันจับใจ"..

    เมื่อแสงนั้นสัมผัสกับกลีบกุหลาบ"ทำให้สายพิณรู้สึกคิดถึงปลัดเมืองอย่างจับใจ" จน

    เหมือนเห็นภาพของเขาขณะส่งลูกธนูดอกกุหลาบให้มาปรากฎอยู่บนดอกกุหลาบสีแดงนั้น

    ............................."อืม..สวยดี..แต่เจ้าถือแล้วนอนกอดมันไว้อยู่อย่างนี้..ไม่ช้า

    กลีบของมันก็เหี่ยวแล้วล่วงหมด" สายใจตอบพร้อมกับเอ่ยเตือนน้องสาว

    ............................."เออ..จริงสิพี่ แล้วข้าควรทำอย่างไร" นางคล้อยตามคำพูด

    ของพี่สาวและขอความเห็น

    ............................."เจ้าควรเอาส่วนที่เป็นดอกกุหลาบ .นำมันไปวางใต้หนังสือ

    หนัก ๆให้มันทับให้แบน...หลาย ๆวัน มันก็จะติดอยู่กับก้านไม่หลุดออก"

    ............................."แต่มันก็ไม่สวยเหมือนเดิมนะสิ" นางเห็นแย้ง

    ............................."มันเป็นของเจ้า..เจ้าก็เลือกเอาว่าจะให้มันสวยแบบนี้แต่อยู่

    ไม่นาน..หรือ ไม่สวยแต่อยู่กับเราได้นาน...จะเอาแบบไหน..เลือกเอา"

    ....................สายพิณนอนคิดตามคำพูดของพี่สาว..แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างเห็นด้วย

    .............................."จริงของพี่..ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้..กว่าสะพานข้ามแม่น้ำน่านจะ

    สร้างเสร็จ กลีบกุหลาบคงล่วงหมด...แล้วข้าจะเอาสัญญาลูกธนูดอกกุหลาบ ไปให้ปลัด

    เมืองได้อย่างไร"
    .....................สายพิณพูดจบ..นางได้สปริงตัวลุกจากที่นอน..แล้วเอาลูกธนูดอกกุหลาบไปวาง


    ไว้ใต้หนังสือหนักทับเป็นจำนวนหลายเล่ม...โดยการจัดดอกกุหลาบไว้อย่างทะนุถนอม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...