พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    ขอบคุณครับพี่ชาย

    แต่บางทีเขาก็มีการเปรียบเทียบครับ เช่นเทพเจ้าไฉ่ชิงเอี้ย คือท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณของเรานี่เอง

    ผมเคยนั่งเพลินๆ แล้วลองศึกษาเรื่องเทพเจ้ากรีก และไทย และจีน ทั้งหมดนี้มีความเกี่ยวข้องกันครับพี่ ยกตัวอย่างเช่น เซอุส กับรามสูญจ์ และอีกหลายๆองค์ มันเกี่ยวพันกันทั่วโลกครับ เรื่องพวกเทพเจ้า แค่เรียกกันคนละอย่าง อันนี้สังเกตุเล่นๆครับ
     
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................และคืนสุดท้าย..หลวงปู่ศุขก็ได้สวดอภิธรรมถวายพระศพและเหล่า

    วิญญาณเช่นคืนก่อน...พร้อมกับนั่งสมาธิแผ่เมมตาและบุญกุศลอันไม่มีประมาณ..และรุ่ง

    ขึ้นเช้าก่อนที่หลวงปู่ศุขจะจากลาสถานที่นั้น.....หลวงปู่ศุขได้นำก้อนดินที่แห่งนั้นมาเสก

    เป่า....และโปรยไปรอบพระเจดีย์...พลางอธิษฐานต่อพระแม่ธรณีขอให้เปิดทาง...ให้ผู้มี

    บุญบารมีที่สมเด็จพระมหาอุปราชาเอ่ยถึงนั้นเป็นผู้มาพบ...หรือ..หากจะเป็นบุคคลใดที่

    สามารถจะให้ข่าวถึงผู้มีบุญญาธิการมาสถานที่นี้....ก็ขอให้เปิดทางให้เข้ามาพบและนำ

    ความบอกแก่ผู้มีบุญ.....และหลวงปู่ศุขได้ฉีกผ้าเช็ดหน้าสีจีวรพื้นหนึ่งผูกกับไม้และปักทิ้ง

    ไว้...อธิษฐานอย่าให้ผู้อื่นใดพบพระเจดีย์..นอกจากที่ท่านบอกกล่าวพระแม่ธรณี

    ...................หลวงปู่ศุขนั่งรำลึกทบทวนเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างพิเคราะห์...ในภาวะที่

    ลมเย็นพัดผ่านมาที่กุฏิภายในวัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า และได้พิจารณาข่าวที่ท่านทราบ

    ว่า....."สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ" พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า

    เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงสยาม....ได้พยายามสืบหาเจดีย์ที่สร้างไว้...ที่สมเด็จพระ

    นเรศวรกระทำยุทธหัตถี กับ สมเด็จพระมหาอุปราชา......และได้ทรงค้นพบที่ตำบลหนอง

    สาหร่าย แขวงเมืองสุพรรณบุรี เมื่อปี พ.ศ.2456 .....ณ เวลานี้ปี พ.ศ.2462 ผ่านมาได้

    6 ปีแล้ว....

    ....................หลวงปู่ศุขได้ทราบข่าวว่า...มีชาวบ้านผู้หนึ่งมาพบกับ"ผ้าจีวรเก่าผูกติด

    กับไม้"...แล้วเขาได้เห็นอักขระยันต์ในผ้าผืนนั้น...จึงดึงออกมาจากไม้ที่ปักอยู่....และเขา

    คิดว่าจีวรนี้ต้องเป็นของพระธุดงค์ไม่องค์ใดก็องค์หนึ่ง...ด้วยความศรัทธาในพระธุดงค์...

    จึงได้เอาผ้าผืนนั้นพนมไว้กับมือ...แล้วขอไว้เป็นของคุ้มภัยกับตัว....แล้วจึงเอาผ้าจีวรผืน

    นั้นโพกเคียนไว้กับหัว....พลันก็ปรากฏเจดีย์ขึ้นต่อหน้าเขา..ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่เห็น...

    เขาไม่รู้ว่าผ้าผืนนั้นคือ "ผ้าจีวรของหลวงปู่ศุขแห่งวัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า"

    ....................ชายคนนั้นทราบว่า..สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กำลังติดตาม

    พระเจดีย์ยุทธหัตถีอยู่...และเขาคิดว่าเจดีย์ที่เขาพบ...อาจเป็นเจดีย์ยุทธหัตถี..จึงได้นำ

    ความกราบทูลแจ้งให้ทราบ..และพระองค์ก็ได้เสด็จที่พระเจดีย์..และได้พิจารณาพิเคราะห์ดู

    ก็รู้แจ้งว่า "เป็นเจดีย์ยุทธหัตถีจริงและได้สร้างครอบพระศพของสมเด็จพระมหาอุปราชาเอา

    ไว้"

    ....................พระองค์จึงได้ให้ผู้ค้นถากถางจนเห็นเนินพระเจดีย์ชัด...แล้วทรงจัดให้

    สวดอภิธรรมถวายและแผ่บุญกุศล....พร้อมกับกราบทูลเชิญเสด็จ"พระบาทสมเด็จพระ

    มงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6" ทรงประกอบพิธีบวงสรวงสมโภชและ"อันเชิญดวง

    วิญญาณของสมเด็จพระมหาอุปราชาสู่สรวงสวรรค์พร้อมกับเหล่านักรบทั้งหลาย...เมื่อวัน

    ที่ 28 มกราคม 2456 และรับสั่งให้บูรณะพระเจดีย์เป็นการด่วน(ข้อมูลบางส่วนจากประวัติ

    เจดีย์ยุทธหัตถี อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี)

    ....................เป็นอันว่า คำบอกของสมเด็จพระมหาอุปราชาแก่หลวงปู่ศุขในครั้งนั้น

    ได้เกิดขึ้นมาแล้ว...ผู้มีบุญบารมีบุญญาธิการที่สมเด็จพระมหาอุปราชาเอ่ยถึงก็คือ "พระ

    บาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 "...หลวงปู่ศุขรำพึงรำพันต่อไปว่า

    "สมเด็จพระมหาอุปราชาคงขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไปแล้ว"..และ "ผู้ใดต่อไปเหล่าที่จะมา

    อัญเชิญพระศพของพระองค์กลับเมืองพม่า"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6...พระองค์มากยิ่ง

    ด้วยบุญญาธิการบารมียิ่งนัก...พระองค์ต้องไม่ใช่ลักษณะของคนธรรมดาที่มาเกิด...แต่

    พระองค์ท่านน่าจะเป็นมหาเทพที่ยิ่งใหญ่ลงมาจุติ....พระองค์ทรงทำคุณประโยชน์แก่กรุง

    สยามอย่างมากมาย...ไม่เคยมีพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใดที่มีพระประวัติถึงขนาด "เทพอสูร

    แห่งป่าหรือเจ้าป่า ที่ชื่อว่า "ท้าวหิรัญพนาสูร" ยอมเป็นข้าทาสและองครักษ์พิทักษ์รักษา

    พระองค์..นอกจากรัชกาลที่ 6 พระองค์นี้

    ....................ท้าวหิรัญพนาสูร ท่านก็เป็นเจ้าป่า..ถือว่าเป็นเทพอสูรที่ใหญ่พอสมควร

    ทำไมถึงมานึกรักเคารพและเกรงกลัวในบารมีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

    ยิ่งนัก....หากท่านเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา..แม้จะเป็นกษัตริย์..มีหรือที่เทพอสูรตนนี้จะ

    เคารพรักและยอมเป็นข้าทาสองครักษ์พิทักษ์รักษา ...แต่เพราะเทพอสูรตนนี้จะต้องเห็นถึง

    แสงแห่งรัศมีบุญญาธิการที่บ่งบอกถึงความไม่ธรรมดาในตัวพระองค์...ว่าแท้จริงแล้ว..ท่าน

    คือ...มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่แบ่งภาคลงมาจุติเป็นมนุษย์เพื่อสร้างบารมี

    ....................ก็คราวหนึ่งพระองค์ท่านทรงไปบัญชาการฝึกลูกเสือ หรือ กองเสือป่า..

    ที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น อันเป็นการให้กำเนิดลูกเสือแห่งกรุงสยาม...พระองค์ได้เสด็จประทับที่

    ป่าแห่งหนึ่ง...

    ....................ในคืนหนึ่งขณะที่พระองค์ท่านบรรทมอยู่..และได้ลืมพระเนตรขึ้นก็พบ

    เห็น....อสูรตนหนึ่งมีเขี้ยวเหมือนยักษ์ ตัวดำรูปร่างสูงใหญ่ถือไม้กระบองยืนเฝ้าดูพระองค์

    ท่านอยู่...พระองค์ท่านกลับมิได้เกรงกลัว..ได้ลุกขึ้นถามอสูรตนนั้นไปว่า

    ............................"ท่านเป็นใคร..และมาทำอะไรอยู่ที่นี่"

    .....................อสูรตนนั้นตอบว่า

    ............................"เราคือท้าวหิรัญพนาสูรเป็นเจ้าป่าแห่งนี้..เหตุที่มาพบพระองค์

    เพราะต้องการเป็นข้ารับใช้และพิทักษ์รักษาพระองค์..ขอพระองค์ทรงอนุญาตด้วย"

    .....................พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรัสตอบไปว่า

    ............................"หากเป็นความประสงค์ของท่าน...เราก็ยินดีให้ท่านพิทักษ์

    รักษาเรา..จงมาอยู่กับเราเถิด"

    .....................ท้าวหิรัญพนาสูรรู้สึกยินดียิ่งนัก..และนับตั้งแต่นั้นมาท่านก็ได้ติดตาม

    พิทักษ์รักษารัชกาลที่ 6 มาโดยตลอด.."ซึ่งพระองค์ท่านก็ได้บันทึกเรื่องท้าวหิรัญพนาสูร

    เอาไว้"

    .....................นอกจากนี้ยังได้โปรดสร้างรูปปั้นท้าวหิรัญพนาสูรเทพผู้พิทักษ์พระองค์

    ไว้เป็นที่ระลึกสักการะ..ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า...ซึ่งผู้เจ็บป่วยทั้งหลายต่างก็มาขอ

    พร..บนบานต่อท่านขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ..ต่างก็สมหวังไปทุกราย

    .....................อย่าว่าแต่"เทพอสูร"เลยที่จงรักภักดีต่อพระองค์..แม้แต่"ท่านเจ้าคุณ

    นรรัตน์ราชมานิต"..ที่ผู้คนกล่าวขานว่า "ท่านคือพระอรหันต์กลางกรุง" ซึ่งท่านเคยเป็น

    มหาดเล็กของพระองค์ท่าน...ก็จงรักภักดีต่อพระองค์ท่านอย่างที่ไม่เคยมีข้าราชบริพาร

    ท่านใดในพระองค์ท่านกระทำเยี่ยงนี้...พระองค์ท่านสวรรคต..ท่านเจ้าคุณก็ได้บวชพระถวาย

    เป็นพระราชกุศลและไม่เคยสึกจากเพศบรรพชิตเลย

    ....................มีเรื่องเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้ส่ง

    คนไปอาราธนาเชิญท่านสึกมารับราชการในพระองค์ท่าน..โดยจะให้ตำแหน่งที่สำคัญ...

    ท่านก็ได้กล่าวปฏิเสธ และ แจ้งคำบอกเป็นสัจจะที่ทำให้ผู้คนได้ยินได้ฟัง ถึงกับต้องสดุดี

    ในความจงรักภักดีอันยิ่งใหญ่ของท่านที่มีต่อรัชกาลที่ 6 "เราไม่ขอเป็นข้าสองเจ้า บ่าว

    สองนาย" คำพูดนี้ย่อมแสดงถึงความจงรักภักดีที่พระภิกษุนรรัตน์มีต่อพระองค์ท่านอย่าง

    ไม่เปลี่ยนแปลง

    ....................เมื่อพระคุณเจ้าบวชเป็นพระ ก็ได้ปฏิบัติธรรมและแผ่บุญกุศลถวาย

    พระองค์ท่านตลอดมาจนกระทั่งพระภิกษุนรรัตน์มรณภาพ...ก็พระองค์ท่านพระบารมียิ่ง

    ใหญ่เพียงใด ที่ขนาดเทพอสูร และ พระอรหันต์กลางกรุงที่ถือว่าตัดเสียแล้วซึ่งกิเลส ยังคง

    จงรักภักดีโดยไม่เสื่อมคลาย..

    ....................ขนาดสุนัขสัตว์เดรัจฉานที่ชื่อ"ย่าเหล" ก็ยังรับรู้ถึงพระบารมีอันยิ่งใหญ่

    ของพระองค์และความรักความเมตตาที่พระองค์ท่านมีต่อ"ย่าเหล".....ย่าเหลจะติดตาม

    พระองค์ไปทุก ๆที่ ด้วยความจงรักภักดีโดยจะคอยดูแลพิทักษ์รักษาพระองค์เช่นเดียวกับ...

    ท้าวหิรัญพนาสูร...ต่างกันตรงที่ว่า ท้าวหิรัญพนาสูรมาโดยผู้อื่นไม่เห็น..แต่พระองค์ท่าน

    เห็น.....หรือว่าพระองค์ท่านมีตาทิพย์ที่สามารถมองเห็นอมนุษย์ที่คนธรรมไม่สามารถมอง

    เห็นได้...

    ....................พระองค์ท่านได้เขียนบันทึกประวัติเรื่องราวของ"ย่าเหล"ไว้..และเมื่อย่า

    เหลตายไป..พระองค์ก็ได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้เป็นอนุสรณ์ที่ระลึก...ซึ่งปรากฏอยู่ที่จังหวัด

    นครปฐม..อันแสดงถึงความรักที่พระองค์ท่านมีต่อย่าเหล...แม้แต่สุนัขพระองค์ยังทรงให้

    เกียรติถึงเพียงนี้..มีกษัตริย์หรือบุคคลใดในอดีตเล่าจะทำได้เยี่ยงพระมหากษัตริย์พระองค์นี้

    ....................นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของพระองค์อีกมากมายที่สร้างคุณประโยชน์แก่

    กรุงสยาม..แต่เรื่องนั้นดูแล้วไม่อลังการเพียงพอที่ยืนยันบุญญาธิการบารมีอันไม่ธรรมดา

    ของพระองค์....โดยเฉพาะเรื่อง"ท้าวหิรัญพนาสูร" เจ้าป่าหรือราชาแห่งป่า ยังยอมเป็นข้า

    ผู้พิทักษ์รักษาพระองค์..ย่อมยืนยันถึงบุญญาธิการบารมีที่ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดในอดีต

    เทียบได้เลย.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ดวงวิญญาณของสมเด็จพระมหาอุปราชาขึ้นสู่สรวงสวรรค์..โดย

    พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีบวงสรวงและอันเชิญดวง

    วิญญาณขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ณ ดอนเจดีย์ เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2456

    .....................ผู้ใดจะเป็นผู้อัญเชิญพระศพของพระองค์กลับพม่า...โดยมี

    คำปริศนาที่สมเด็จพระมหาอุปราชาตรัสแก่หลวงปู่ศุขว่า........"พระคุณเจ้ารู้ไหม

    ว่า จะมีบุคคลที่มีสายเลือดพม่าและสยามรวมอยู่ในตัวจะได้เกิดขึ้นทางทิศเหนือ

    ของสยามติดแม่น้ำ......ฯลฯ........ เราจะบอกว่าบุคคลผู้มีสายเลือดสองแผ่น

    ดิน.......ฯลฯ....บุคคลนั้นหากฝ่าเคราะห์กรรมที่ชนพม่าทำไว้ได้..เขาจะขึ้นเป็น

    กษัตริย์แห่งพม่า ......และเขาจะเป็นผู้นำพระศพวีรกษัตริย์ พระญาติวงศ์ ประชา

    ราชและเถ้ากระดูกแห่งอโยธยาที่อยู่หงสาวดีกลับมากรุงสยาม.......... และจะเป็น

    ผู้ที่ทูลขอกษัตริย์แห่งกรุงสยามเพื่อนำพระศพของเรากลับไป ......แต่เขาจะได้

    เพียงพระศพ แต่วิญญาณของเราจะถูกผู้มีบุญแห่งสยามส่งเสด็จขึ้นสรวงสวรรค์

    แล้ว.."

    ....................จนบัดนี้..หลังจากพระเจ้าสีป่อ กษัตริย์องค์สุดท้ายของประเทศ

    พม่าถูกบังคับให้สละราชสมบัติและเนรเทศไปอยู่ที่ประเทศอินเดียหลังสิ้นสงคราม

    พม่ากับอังกฤษ ครั้งที่ 3......ไม่ปรากฎว่ามีบุคคลที่มีสองสายเลือดพม่ากับสยาม

    ขึ้นเป็นกษัตริย์ในพม่าเลย...พระเจ้าสีป่อเป็นผู้มีเชื้อสาย"ไทยใหญ่กับพม่า"..จึง

    ไม่ใช่แน่นอน........

    .....................เกิดเหตุการณ์ใดขึ้น...บุคคลที่มีสองสายเลือดถือกำเนิดทางทิศ

    เหนือของสยามจริงหรือไม่...และเคราะห์กรรมอันใดที่ต้อง"ฝ่าฟันไปได้"จึงจะได้ขึ้น

    เป็นกษัตริย์พม่า......จะนำมาเสนอในตอนต่อไปครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...................ตอนที่ 14 เปิดตำนานลูกแม่น้ำน่าน............


    ....................ในปีพุทธศักราช 2437 ในแผ่นดินสยาม..อยู่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ

    พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี ประเทศไทยยังคงมีชื่อเรียก

    ว่า"ประเทศสยาม" หรือ "เมืองสยาม" ชนชาติฝรั่งตะวันตกกำลังล่าเมืองขึ้นหรือเมือง

    อาณานิคมของตน.....จากดินแดนตะวันตกสู่ดินแดนตะวันออกของคาบสมุทรอินโดจีน

    ....................กองทัพอังกฤษเป็นฝรั่งชนชาติที่รบกับประเทศพม่า จนพม่าพ่ายแพ้ตก

    เป็นเมืองขึ้นหรือเมืองอาณานิคมของประเทศอังกฤษก่อนหน้านี้...........เหตุเพราะอาวุธ

    ยุทโปกรณ์ของกองทัพอังกฤษเหนือชั้นกว่า

    ....................ราชวงศ์ของกษัตริย์พม่า และเหล่าขุนนางพม่าต่างขนย้ายทรัพย์สิน

    เงินทองของมีค่าหลบหนีการปกครอง...และการราวีของกองทัพอังกฤษไปตามชายแดน

    ของประเทศเพื่อนบ้าน...เพื่อลักลอบหนีเข้าประเทศเพื่อนบ้าน...แม้แต่การแฝงตัวเข้าไป

    อยู่กับชนชาวเขาเผ่าต่าง ๆ เช่น กระเหรี่ยง เป็นต้น

    ...................ก่อนหน้านั้น..ปีพุทธศักราช 2428 พระเจ้าสีป่อหรือพระเจ้าธีบอ..

    กษัตริย์พม่าองค์สุดท้าย..ถูกบังคับให้สละราชสมบัติและเนรเทศไปอยู่ที่อินเดียหลังสิ้น

    สงครามพม่า-อังกฤษ ครั้งที่ 3

    ...................ในปีพุทธศักราช 2437 ณ ชายแดนกรุงสยาม ด่านแม่สายของเมือง

    เชียงราย....หัวหมู่ทัพ(ผู้บังคับหมู่)วัย 30 ปี ยังไร้ซึ่งนามสกุลในขณะนั้น..เป็นทหารจาก

    เมืองน่าน พร้อมกับบรรดาเหล่าทหารจากเมืองต่าง ๆของกรุงสยามได้ถูกเรียกตัวไปประจำ

    การอยู่ชายแดนเขตติดต่อกับประเทศพม่า...ด้านพรมแดนตลอดแนว...เพื่อไปเป็นกอง

    กำลังผลักดันชนชาวพม่า..และชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ไม่ให้รุกล้ำหรือหลบหนีเข้ามายังประเทศ

    สยาม

    ....................หัวหมู่ทัพพร้อมกับทหารภายใต้การบังคับบัญชาของเขา...จะผลักดัน

    ชนชาวพม่าหลายคนไม่ให้เข้ามาในแผ่นดินสยาม...เขาทำงานร่วมกับเหล่าทหารหลาย

    คน...แต่ในจุดที่เขาอยู่สถานที่หนึ่งมีทหารประจำการเพียง 5 นาย โดยมีเขาเป็นหัวหน้า

    ....................และแล้วคืนหนึ่งในฤดูฝน..ท่ามกลางสายฝนที่ตกพรำประปาย..ทัพและ

    ทหารของเขาได้เข้าเวรรักษาการณ์อยู่...ได้เห็นม้า 5 ตัวที่มีคนนั่งขี่อยู่ควบมาจากป่าทึบ

    ดินแดนพม่าและตรงมายังด่านของเขา

    ....................ทัพสั่งลูกน้องเตรียมอาวุธปืนยาวประทับเล็งไปยังคนกลุ่มนั้น..เพื่อ

    เตรียมพร้อมที่จะยิงและผลักดันคนกลุ่มนั้นให้กลับเข้าไปในเขตแดนพม่า

    ....................คนกลุ่มนั้นเห็นทัพและเหล่าทหารยกปืนเล็งมาจากแสงไฟคบเพลิงที่ปัก

    ไว้ในป้อมที่พัก...พวกเขาจึงหยุดม้าห่างจากทัพและพวกราวประมาณ 10 เมตร

    ....................หนึ่งในห้าของคนกลุ่มนั้นได้บังคับม้าเดินมาอย่างช้า ๆ โดยไม่เกรงกลัว

    ต่ออาวุธปืนที่ต่างเล็งมาที่เขา.....เขาอยู่บนหลังม้าด้วยความสง่างาม..จนม้ามาหยุดต่อ

    หน้าทัพ...เขาลงจากหลังม้าแล้วเดินมาที่ทัพ...ทัพสังเกตท่าทางของเขาดูองอาจเป็นชาย

    ที่มีอายุราว 50 ปี..เขาน่าจะเป็นทหารของพม่าในความคิดของทัพ

    ....................ชายผู้นั้นได้ส่งถุงผ้าถุงหนึ่งให้แก่ทัพแล้วพูดขึ้นว่า

    ............................"เปิดทางให้นางเข้าสู่เมืองสยามแล้วดูแลนางด้วย" เขาพูดด้วย

    ภาษาสยามหรือไทยได้ชัดเจนด้วยน้ำเสียงดุดันมีอำนาจ

    ....................ทัพแก้เชือกที่มัดปากถุงออกแล้วเปิดปากถุงออกดู...เขาก็ต้องตกตลึง

    ด้วยภายในถุงนั้นเต็มไปด้วยแหวนทองคำมากมาย เป็นแหวนที่ไม่มีลวดลายลักษณะคล้าย

    แหวนปลอกมีดที่ใส่ไว้ที่ด้ามมีด....และก่อนที่ทัพจะพูดอะไร...บุรุษจากแดนพม่าผู้นั้นก็ได้

    เดินไปจูงม้าที่มีผู้นั่งอยู่บนหลังม้าคล้ายสตรีออกมาจากพวกที่รออยู่..แล้วถือเชือกม้าส่งให้

    กับทัพแล้วพูดขึ้น

    ............................"ข้ามอบนางไว้กับเจ้า..ดูแลนางให้ดีแล้วราชวงศ์พม่าจะไม่ลืม

    บุญคุณเจ้า....ข้าจะกลับไปเอาเมืองคืน...หากได้เมืองคืนเจ้าจงส่งนางกลับพม่า..แล้วข้า

    จะตอบแทนบุญคุณแก่เจ้า"

    ....................เมื่อบุรุษพม่าพูดจบ ก็ขึ้นบนหลังม้าแล้วควบออกไปโดยเร็วพร้อมกับ

    พวกที่รออยู่..โดยไม่รอคำตอบรับหรือปฏิเสธของทัพเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................สายฝนได้เริ่มลงเม็ดหนาขึ้นกระหน่ำลงมาบริเวณด่าน...พร้อมกับลมฝน

    ที่พัดป่าไม้บริเวณชายแดน..จนต้นไม้หลายต้นลู่ไปตามลมฝน....ไฟคบเพลิงที่ปักไว้

    บริเวณด่านได้ถูกน้ำฝนสาดจนดับลง....คงเหลือแต่ที่ปักไว้ในป้อมที่พัก

    ....................ทัพถือเชือกม้าตัวนั้น..โดยที่นางยังคงนั่งอยู่บนหลังม้า...และจูงไปที่

    หลักไม้หน้าป้อมบริเวณเดียวกับที่ม้าของเขาและลูกน้องผูกไว้...โดยเขาส่งถุงใส่แหวน

    ทองให้แก่ทหารที่เดินตามเขามาด้วย...แล้วผูกเชือกม้าไว้ที่หลัก..พร้อมกับรับนางลงจาก

    หลังม้าพาเข้าไปในป้อมที่พักเพื่อหลบสายฝน...

    ....................แสงไฟจากคบเพลิงในป้อมได้สาดส่องไปที่นาง....ทัพจึงเห็นว่า..นาง

    ได้โพกผ้าปิดคลุมผมและใบหน้าไว้..คงเหลือแต่เพียงดวงตาคู่นั้น....ลักษณะการแต่งกาย

    ของนาง..สวมเสื้อผ้าแขนยาวและนุ่งกางเกงคล้ายทหารพม่า....ทัพบอกลูกน้องให้ส่งถุง

    ใส่แหวนทองมาให้เขา...หลังจากนั้นเขาได้ส่งถุงใส่แหวนทองคืนให้แก่นางทั้งหมด..พร้อม

    กับเอ่ยขึ้นว่า

    ............................"จงเก็บของนี้ไว้เถิด ข้าช่วยมิได้หวังสิ่งตอบแทน"

    .....................หลังจากนางรับถุงนั้น เขาได้เอ่ยต่อทันที

    ............................"ข้าไม่รู้ว่าแม่นางพูดภาษาสยามของพวกเราได้ไหม..ข้าชื่อทัพ

    เป็นหัวหมู่ทหารจากเมืองน่าน...ถูกเรียกตัวมาช่วยรักษาการณ์ที่นี่..เสร็จกิจข้าจะพาแม่

    นางกลับเมืองน่าน...และหากบุคคลที่ฝากแม่นางไว้กับข้า...เขาทวงเมืองคืนสำเร็จ..ข้าจะ

    พาแม่นางไปส่งคืนเมือง"

    ....................แม่นางนั้นฟังทัพสาธยาย..นางเข้าใจภาษาสยามหรือภาษาไทยได้ดี..

    นางได้เปลื้องผ้าที่คลุมหน้าและผมออก...และทัพได้เห็นดวงหน้านั้นจากแสงไฟที่สาด

    ส่องอย่างชัดเจน....ดวงหน้าของนางเป็นรูปไข่รับกับผมยาว...ดวงตาสวยแบบมีอำนาจ...

    แม้นางจะเป็นแขกที่ถูกฝาก...แต่สายตาของนางหาได้หวั่นเกรงภัยใด...นางมีลักษณะ

    งามอย่างสตรีสูงศักดิ์....ทัพคิดว่าจากท่าทางของนาง...และแหวนทองคำมากมายที่บุรุษ

    คนนั้นส่งมอบให้เขาและเขาได้คืนนางไปแล้ว...แสดงให้เห็นถึงว่า....นางนั้นต้องไม่ใช่คน

    ธรรมดาสามัญชนอย่างแน่นอน.....และนางจะต้องเป็นผู้ที่มีความสำคัญถึงขนาดนาย

    ทหารพม่า...พานางหลบหนีออกมา...แต่ทัพเองก็ไม่กล้าคิดหาคำตอบว่า "นางคือใคร"..

    นอกจากจะฟังนางเท่านั้นที่จะแสดงตัวหรือไม่

    ............................."เราชื่อ โชอั้ว..ท่านรู้แค่นี้ก็พอ..อย่าได้ถามว่าเราเป็นใครมา

    จากไหน"

    ....................นางบอกชื่อแก่ทัพและพูดตัดบทไม่ให้เขาถามสิ่งใดต่อ...แต่ทัพคิดว่า

    ชื่อนั้นน่าจะเป็นชื่อสมมุติที่อำพรางชื่อจริงของนางมากกว่า...และทัพคิดว่าชื่อนี้ไม่เหมาะ

    ที่จะใช้ในเมืองน่าน...เพราะใครได้ยินก็ต้องรู้ว่า "นางคือพม่า"..ซึ่งเขาอาจจะถูกสอบสวน

    ที่ลอบนำชาวพม่าเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต"ทัพรู้ดีว่าเขากำลังทำผิดต่อหน้าที่ แต่

    เพราะคุณธรรมที่มีอยู่ในใจ เขาพร้อมจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์...แม้จะเป็นคนของชาติที่

    เคยบุกรุกแผ่นดินสยาม"

    ............................"ข้าว่าชื่อนี้ไม่เหมาะแก่การอยู่เมืองสยาม"

    ............................"แล้วท่านจะให้ข้ามีชื่อเช่นไร" นางย้อนถาม

    ............................"แม่นางมากับสายฝน...ขอนางจงใช้ชื่อ"สายฝน"ในแผ่นดิน

    สยามเถิด"

    ....................ทัพตั้งชื่อให้แก่นางด้วยรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...นางรู้สึกพอใจที่

    ได้ยินชื่อ..จึงยิ้มให้กับทัพอย่างมีไมตรีพร้อมกับสายตาที่อ่อนโยนลง......และนางได้หยิบ

    ขวดแก้วใบหนึ่งที่นางใส่ไว้ในถุงที่ถักด้วยเชือกมะนิลาและสพายไว้ที่ไหล่ขาวเฉียงมาทาง

    เอวซ้าย

    ...................."ขวดแก้ว"ที่นางดึงออกมาจากถุงเชือกมะนิลานั้น"มีลักษณะเป็นขวด

    แก้วใสรูปทรงคล้ายผลมะม่วงขนาดเท่าฝ่ามือ...นางได้ใช้มือซ้ายและมืองขวาจับขวดแก้ว

    ดึงแยกจากกัน...ทำให้เห็นขวดแก้วที่ถูกแยกจากกันเป็นฎดั่งผลมะม่วงที่ถูกผ่าครึ่งซีก""

    ....................นางถือขวดแก้วที่ถูกแยกจากกันไว้ในมือคนละข้าง แล้วพูดขึ้นว่า

    ............................"ขวดแก้วซีกขวานี้ คือ น้ำจัณฑ์ของพม่า(สุรา) ส่วนซีกซ้ายเป็น

    น้ำจากแม่น้ำสาละวิน..เชิญท่านดื่มทั้งสองขวดเถืด"

    ....................ทัพเห็นขวดใบนั้นที่มีรูปทรงดั่งผลมะม่วง..และยังสามารถแยกจากกัน

    ได้เป็นสองส่วน..เขารู้สึกประหลาดใจด้วยไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน...เขาจึงยื่นมือรับขวด

    จากนางไว้ทั้งสองส่วน...และเลือกดื่มน้ำขวดแก้วซีกซ้ายก่อนเพื่อลิ้มรสน้ำ........จากแม่

    น้ำสาละวิน

    ....................แม่น้ำสาละวินเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านประเทศพม่า...มีต้นกำเนิดอยู่ที่ภูเขา

    สูงคือ.."เทือกเขาหิมาลัย"อันเป็นเทือกเขาบริเวณหลังคาโลก ..คือ..ส่วนที่สูงทึ่สุดของ

    โลกที่มีบรรยากาศแห่งความหนาวเย็นในฤดูหนาวติดลบคือต่ำกว่า 0องศาเซนเซียส...จึง

    เกิดหิมะและน้ำแข็งขึ้น...แม่น้ำสาละวินจึงเป็นดุจสิ่งมงคลที่ไหลมาจากที่สูง

    ............................"ทำไมน้ำนี้จึงมีรส" ทัพเอ่ยถามหลังจากดื่มไปเพียงอึกเดียว

    ............................"น้ำจากแม่น้ำสาละวิน..เป็นน้ำที่มีรส ดื่มแก้กระหายและอิ่มกว่า

    น้ำอื่น" นางอธิบายสรรพคุณ ทัพพยักหน้ารับความเป็นจริงตามที่นางพูด...แล้วเขาก็ยก

    ขวดแก้วอีกส่วนหนึ่งที่เป็น้ำจัณฑ์ดื่ม....ทัพรู้สึกว่ารสชาดมันขมมาก..และเมื่อมันลงถึง

    ท้อง...ท้องของเขารู้สึกเย็นวาบและร้อนขึ้นเรื่อย ๆ

    ....................ทัพนำเอาขวดแก้วที่แยกจากกันทั้งสองส่วน มาจ่อชนกันก็ได้เห็น

    ว่า"ขวดแก้วทั้งสองส่วนนั้นพุ่งเข้าหากัน และประกบดูดติดกันเหมือนมีแม่เหล็กดูดอยู่"...

    ทัพแปลกใจอย่างมากที่มีขวดเช่นนี้อยู่บนโลกใบนี้....นางเห็นเขามีสีหน้าแปลกใจ..นางจึง

    ได้หัวเราะขึ้นแล้วเอ่ยอธิบาย

    ............................"ท่านไม่ต้องแปลกใจหรอก ขวดทั้งสองส่วนนั้นมีแม่เหล็ก..และ

    มันเป็นกุญแจเปิดอะไรบางอย่าง...ข้าใส่น้ำจากสาละวินเพื่อรำลึกถึงเมืองของข้า...ข้าใส่

    น้ำจัณฑ์ไว้เพื่อดื่มกระตุ้นหัวใจให้มีพลังในการต่อสู้"

    ....................นางอธิบายจนทัพรู้สึกทึ้งในตัวนาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................จากวันที่ 13 กรกฎาคม 2554 ณ เวลา 12.35 น. ถึง วันที่ 14

    กรกฎาคม 2554 เวลา 11.52 น........กระทู้นี้ถูกเปิดอ่านถึง 127 ครั้ง..เป็นสถิติ

    ที่มากกว่าก่อนมาก....อันถือว่าผู้มีเกียรติได้ให้ความสนใจเพิ่มขึ้น....

    ....................เรื่องที่ผมนำมาเขียนนี้..ท่านพิจารณาไปเรื่อย ๆจะเห็นว่ามีเรื่อง

    ของ"ประวัติศาสตร์ ธรรมะ แนวคิดทางปรัชญา สุภาษิต ความรัก การต่อสู้

    ปาฏิหาริย์ เสียงเพลง ความเพลิดเพลินและอื่น ๆ อีกมากมาย" เพราะผมเห็นว่า

    เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านจึงได้นำมาเขียน.....มอบให้ท่านด้วยใจจริงครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  8. Zintellar

    Zintellar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +143
    สาธุอนุโมทนามิ กระผมก็เป็นอีกคนที่เคยส่งสัยเกี่ยวกับการถวายศีรษะตัวเองเป็นพุทธบูชาเหมือนกัน ตอนนี้ก็มีความกระจ่างแล้ว ขอบคุณมากครับ
     
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    ..............ขอให้ท่านเจริญยิ่งทั้งทางโลกและทางธรรมครับ..........
     
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................โชอั้วหรือสายฝน นางได้ให้แหวนทองคำแก่ทหารลูกน้องของทัพไป

    คนละ 5 วงอันเป็นสินน้ำใจที่พวกเขาดีต่อนาง....ส่วนทัพไม่ยอมรับสิ่งใดจากนางเลย...

    และเขาได้พานางกลับเมืองน่าน....พร้อมกับปรึกษาหารือกับลูกน้องให้บอกญาติพี่น้องและ

    ชาวเมืองน่านว่า "สายฝนคือคนรักของทัพที่อยู่เมืองเชียงราย และได้แต่งงานกันที่เมืองดัง

    กล่าว"

    ....................สายฝนจึงได้มาอยู่เมืองน่านในฐานะภริยาของทัพ...แต่ทัพไม่เคยล่วง

    เกินนาง...และ.........."เขายังคงรอคอยฟังข่าวที่ชาวพม่าจะชิงเมืองคืนจากกองทัพ

    อังกฤษ.หรือไม่ก็อังกฤษจะคืนเอกราชให้แก่เมืองพม่า...แต่วันแล้ววันเล่าข่าวดีเช่นนั้นก็ยัง

    ไม่ปรากฎ"

    ....................ทัพได้รับเลื่อนยศและตำแหน่งเพิ่มขึ้นอีก

    ....................และในปีพุทธศักราช 2440 อันเป็นเวลา 3 ปีต่อมาที่สายฝนอยู่ในแผ่น

    ดินสยาม.....นางได้ใกล้ชิดกับทัพมาก..และด้วยความดีที่ทัพมีต่อนาง...ทำให้นางรู้สึกรัก

    ทัพอย่างแท้จริง...เช่นเดียวกับทัพก็รักนางจนสุดหัวใจ..และทั้งคู่ก็ได้อยู่กินฉันสามีภริยา

    กันอย่างแท้จริง ณ เมืองน่าน

    ....................แหวนทองคำซึ่งยังคงเหลืออยู่มากมายที่สายฝน....ถูกนำออกมาขาย

    และนำมาปลูกสร้างบ้านเรือนใหญ่โต มีที่ดิน มีข้าทาสบริวารรับใช้จำนวนมาก...ทัพและ

    สายฝนจัดอยู่ในประเภท"ผู้มีฐานะในเมืองน่าน"

    ....................แต่สายฝนก็มิเคยแพร่งพรายเรื่องของนางให้ทัพรู้เลยว่า...."นางคือใคร

    ในแผ่นดินพม่า"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..................ตอนที่ 15 เมือง มีสุข ลูกแม่น้ำน่าน............


    ....................ณ เมืองน่าน ปีพุทธศักราช 2441 ทัพได้รับแต่งตั้งจากเจ้าเมืองน่านให้

    อยู่ในตำแหน่ง "ขุน" คนในเมืองน่านจึงเรียกขานเขาว่า "ขุนทัพ" ซึ่งตำแหน่งดังกล่าว

    เทียบเท่าในปัจจุบันก็คือ "กำนัน" ...แต่ตำแหน่งกำนันในสมัยนั้น.."มีบารมีและความยิ่ง

    ใหญ่เหนือกว่าในปัจจุบันมากนัก"

    ....................ขุนทัพและสายฝนได้ย้ายบ้านเดิมจากเชิงเขา........มาปลูกขึ้น

    ใหม่....."ใกล้กับแม่น้ำน่าน" ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน..ซึ่งจะอยู่คนละฝั่งกับฐานที่

    ตั้งของเมืองน่าน...และบ้านเดิมของเขาได้ยกให้กับ "นางมี"น้องสาวร่วมบิดามารดา...

    เพียงคนเดียวของขุนทัพ..ได้อาศัยอยู่ต่อมา

    .....................ณ บ้านหลังใหม่ในปีเดียวกันนี้...สายฝนได้ตั้งครรภ์และได้ให้กำเนิด

    ทารกน้อย...ผิวพรรณขาวใสน่ารักในตอนเช้าวันหนึ่ง.....เมื่อทารกน้อยเกิดขึ้นมาได้

    ร้องไห้ไม่ยอมหยุด...ไม่ยอมดื่มนมจากเต้าของสายฝนผู้เป็นแม่..แม้แต่น้ำนมของหญิงอื่น

    เช่นกัน

    .....................การร้องไห้เช่นนี้ย่อมทำให้ทารกน้อยเหนื่อยและหัว....การหายใจสดุด

    และอาจหมดแรงสิ้นลมได้....ทำให้สายฝนทุกข์ใจถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความสงสารลูกน้อย

    .....................สายฝนมีอาการทุเลาขึ้นจากการคลอดลูกพอประมาณ..จึงได้ปรึกษา

    ขุนทัพ หมอตำแยและข้าทาสบริวาร "ก็มีความเห็นว่าควรนำพาทารกน้อยไปหาหมอใน

    เมืองน่าน".....และได้พากันลงมาที่ท่าน้ำขึ้นเรือข้ามฝากเพื่อไปฝั่งตะวันตกหาหมอตามที่

    คิดไว้

    ............................"อุแว้..อุแว้.." เสียงร้องไห้ของทารกน้อยยังคงมีอยู่ตลอดนับ

    แต่ที่เขาคลอดออกมา

    .....................สายฝนพยายามเอาหัวนมของนางใส่ปากทารกนั้น..แต่หาเป็นผลไม่

    ทารกน้อยยังคงร้องไห้ไม่หยุด..และไม่ยอมดูดดื่มน้ำนมของนาง

    .....................เรือกำลังแล่นจากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านไปยังฝั่งตะวันตกอย่าง

    ช้า ๆ...สายฝนเริ่มคิดถึงขวดแก้วทรงมะม่วงที่นางเก็บรักษาไว้ "น้ำจากแม่น้ำสาละวิน"ภาย

    ในขวดใบนั้น....แต่นางไม่ได้นำติดตัวมา..นางได้คิดอยู่ในใจว่า

    ............................"หรือทารกน้อยนี้ เหตุเพราะมีสายเลือดพม่า ......น้ำจากสาละ

    วินหากให้ทารกน้อยดื่มอาจดีขึ้น" แต่นางก็ไม่ได้แสดงคำพูดใดออกมา..เพราะคนที่อยู่บน

    เรือนั้น..นอกจากขุนทัพคนเดียวที่รู้ว่านางคือ "ชาวพม่า"

    ....................เรือแล่นมาถึงกลางแม่น้ำน่าน..การที่จะย้อนกลับไปเอาขวดแก้วคงเสีย

    เวลา....สายฝนจึงมองไปในแม่น้ำน่านที่กำลังไหล.."เห็นน้ำนี้ช่างใสสะอาดนัก" นางบอก

    ให้คนพายเรือชลอความเร็วและพายไปช้า ๆ....และนางได้เอามือขวาแตะและจุ่มลงไปใน

    แม่น้ำ โดยที่มือซ้ายยังคงอุ้มทารกน้อยที่กำลังร้องไห้จนน้ำตาอาบแก้ม..พร้อมกับวั๊ก

    ประคองน้ำในแม่น้ำน่านใส่อุ้งมือ...และนางได้..."เทน้ำจากอุ้งมือไหลผ่านนิ้วทั้งห้าเข้าสู่

    ปากทารกน้อยทันที"

    ...................."ความอัศจรรย์ได้เกิดขึ้น"..ทันทีที่น้ำจากแม่น้ำน่านไหลลงสู่ปากของ

    ทารกน้อย..."ทารกน้อยถึงกับนิ่งเงียบและดื่มน้ำนั้นอย่างกระหาย"....อาหารมื้อแรกของ

    ทารกน้อยกลับไม่ใช่น้ำนมแม่...แต่เป็น..."น้ำจากแม่น้ำน่าน หรือว่า น้ำที่ทารกดื่มกินนั้น

    คือ "น้ำนมจากแม่น้ำน่าน"..."

    ....................ทารกน้อยหลังจากดื่มน้ำจนหมดฝ่ามือก็นิ่งเงียบไป...หายใจถี่ ๆ อย่าง

    อาการหอบ....สายฝนได้นำลูกรักของนางอุ้มมาทางกาบขวาของเรือ...และจับทารกน้อย

    ตะแคงด้วยมือซ้ายพร้อมกับใช้มือขวาวั๊กน้ำลูกหน้าลูบตาทารกน้อย..ด้วยเห็นว่า "น้ำจาก

    แม่น้ำน่านนี้เป็นมงคลแก่ลูกของนาง"

    ....................ขณะนั้นเองแม่น้ำน่านที่กำลังไหลอย่างสงบ..."พลันก็ได้เกิดคลื่นเป็น

    ระลอกซัดตีเข้ากับเรืออย่างแรง โดยหาได้มีลมใดพัดผ่านมาเลย".....คลื่นซึ่งเกิดขึ้นมา

    เองโดยไม่มีสาเหตุได้ซัดตีจนเรือโคลง...และทันใดนั้นสายฝนได้เสียหลัก.."ทำให้ทารก

    น้อยหลุดจากมือของนางหล่นลงไปในแม่น้ำน่าท่ามกลางคลื่น"

    ...................."นางและคนบนเรือตกใจสุดขีด"...ข้าทาสต่างตะโกนกันโหวกเหวก...

    ขุนทัพสั่งให้นายท้ายเรือ..บังคับเรือให้นิ่งเพื่อมองหาทารกน้อย...แต่เรือก็ได้ลอยไหลไป

    ตามกระแสน้ำโดยมีคลื่นตีกระหน่าอยู่ตลอดเวลา

    ............................"ท่านขุน...ดูนั้น"....ข้าทาสคนหนึ่งได้มองทวนน้ำขึ้นเหนือไป

    ตรงที่ทารกน้อยหล่นน้ำห่างจากเรือราว 4 วา ...ทุกคนบนเรือหันไปมองตามที่ทาสผู้นั้นชี้

    ....................คนบนเรืออ้าปากตาค้างอย่างตกตะลึงกับ.."เหตุการณ์ขณะนี้"..ด้วย

    บริเวณนั้นได้พบเห็น..."ทารกน้อยลอยอยู่เหนือผิวน้ำและหยุดนิ่งอยู่กับที่มิได้ไหลตามน้ำ

    เหมือนเรือที่พวกเขานั่งมา"...... และ....."รอบ ๆทารกน้อยนั้น ได้มีเกลียวน้ำที่หมุนวน

    ล้อมรอบทารกน้อยนั้น..เหมือนกับจะกันสัตว์ร้ายใต้น้ำมิให้เข้าถึงทารกน้อย"

    ....................ขุนทัพและคนบนเรือเห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น."ถึงกับขนพองสยองเกล้า

    ด้วยคิดว่า.."ทารกน้อยผู้นี้อาจเป็นผู้มีบุญมาเกิด"......ขุนทัพสั่งให้พายเรือทวนน้ำเข้าไป

    หาทารกน้อยนั้น..."แต่เรือก็ได้มาหยุดที่ริมนอกวงของเกลียวน้ำที่หมุนอยู่ โดยมิอาจแล่น

    ผ่านวงเกลียวหมุนของน้ำเข้าไปหาทารกน้อยได้"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................สายฝนเอง "นางเริ่มตั้งสติ" และคิดว่า " ลูกของนางอาจจะมีอะไร

    ผูกพันอยู่กับแม่น้ำน่าน"....."ทารกน้อยไม่จมน้ำและลอยอยู่เหนือผิวน้ำ......และหยุดอยู่

    กับที่"......"เหมือนกับแม่น้ำน่านนี้มีชิวิตและจิตวิญญาณ..และกำลังโอมอุ้มลูกของนาง

    เอาไว้..พร้อมป้องกันภัยอันตรายให้แก่ทารกน้อย"

    ....................นางจึงได้นั่งคุกเข่าพนมมือขึ้นและหันไปทางลูกของนางที่ลอยอยู่ในวง

    เกลียวหมุนของน้ำ....พร้อมกันนี้น้ำตาแห่งความปิติได้ไหลออกมาอาบแก้มของนาง....

    ขุนทัพและคนบนเรือเห็นเช่นนั้นก็ได้นั่งคุกเข่าพนมมือขึ้นตามสายฝน...

    ....................สายฝนได้เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังกังวานไปทั้งลำน้ำช่วงนั้น

    ............................"ข้ารู้ว่า...แม่น้ำน่านกำลังโอบอุ้มลูกของแม่อยู่..และแม่ได้ให้

    น้ำนมของแม่แก่ลูกของแม่แล้ว...อีกทั้งยังป้องกันอันตรายให้แก่เขา......ข้าเป็นผู้ให้

    กำเนิดเขา.....ขอให้ข้าได้เป็นแม่ของเขา..ให้เขาได้ดูดดื่มน้ำนมจากข้าเช่นเดียวกับแม่

    ด้วยเถิด.....ขอแม่จงส่งมอบทารกน้อยแก่ข้า...เมื่อเขาเติบใหญ่ข้าจะบอกแก่เขาว่า....แม่

    น้ำน่าน คือ..แม่ผู้ให้ชีวิตแก่เขา" นางกล่าวจบลงทั้งน้ำตาพร้อมกับใจที่สงบนิ่งอย่าง

    รอคอย

    ....................และทันใดนั้นเอง บริเวณใต้น้ำที่ทารกน้อยลอยอยู่ "ได้บังเกิดแสง

    สว่างจ้าประดุจมีดวงอาทิตย์ที่กำลังเปล่งแสงยามเที่ยงวันอยู่ใต้น้ำ...ส่องสว่างขึ้นมาที่

    ทารกน้อยและเกลียวน้ำวน...และแผ่กระจายขึ้นสู่เหนือน้ำ.....ทารกน้อยได้ลอยผ่าเกลียว

    หมุนของน้ำนั้นตรงเข้ามาหาสายฝนอย่างช้า ๆ" ท่ามกลางสายตาของคนบนเรือที่เฝ้าดู

    อย่างตื่นตระหนก.......

    ....................สายฝนรับทารกน้อยจากแม่น้ำน่านอุ้มขึ้นมาโอบกอด..และหอมอย่าง

    ทะนุถนอม.....และ..."ทันทีที่ทารกน้อยสู่อ้อมอกของสายฝน..แสงสว่างและเกลียวหมุน

    วนของน้ำก็ยุติลงไปพร้อมกับคลื่นในแม่น้ำน่าน"

    ....................หมอตำแยที่อยู่บนเรือเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจนเกิดปิติอย่างแรงกล้า..

    จึงได้พนมมือแล้วรำพึงรำพันขึ้นในทันใด

    ............................"โถ...เด็กน้อยเอ๋ย..เจ้าเป็นลูกของแม่น้ำน่านหรอกหรือ"

    ....................ขุนทัพและคนบนเรือต่างปลื้มปิติ..โดยเฉพาะสายฝนนางรำพึงรำพันอยู่

    ในใจขณะที่ให้น้ำนมแก่ทารกน้อย "ชะรอยลูกของเราจะเป็นผู้มีบุญญาธิการมาเกิดเป็นแน่

    บางทีเขาอาจจะเป็นผู้ที่ทวงเมืองพม่าคืนจากอังกฤษ"...แล้วนางก็มองไปทางขุนทัพยิ้มให้

    แก่เขาอย่างอ่อนโยน....เมื่อพบว่าขุนทัพกำลังดูนางและลูกอย่างมีความสุข

    ....................เรือได้หันกลับเข้าฝั่งตะวันออก..เพื่อเดินทางกลับบ้าน...ด้วยการไปหา

    หมอในเมืองน่านหามีความจำเป็นอีกแล้ว....

    ....................ขุนทัพจัดพิธีรับขวัญลูกของเขาพร้อมกับตั้งชื่อให้เขาว่า "เมือง"

    ....................เรื่องราวอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น..คนที่มากับเรือได้ถ่ายทอดบอกเล่าสู่คนที่ไม่

    ได้ไปด้วย....ทำให้ผู้คนแตกตื่นมาดูทารกน้อย..ซึ่งขณะนี้กำลังหลับสนิทอยู่ในเปลนอน.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..............ตอนที่ 16 สายฝนลาลับ............


    ....................สายฝนเลี้ยงดูอุ้มชู"เมือง"ลูกของนางมาได้ 5 เดือน..ด้วยความรัก

    ความผูกพันอย่างลึกซึ้งเช่นเดียวกับผู้เป็นแม่ทั่วไป.....นางรู้สึกว่าทุกครั้งที่นางพาเมืองมา

    ยังริมแม่น้ำน่าน...เมืองจะส่งเสียงหัวเราะและยิ้มให้กับนางอย่างมีความสุข....และเมื่อ

    ทารกน้อยสัมผัสถูกกับน้ำในแม่น้ำน่านที่สายฝนวั๊กขึ้นมาลูบหน้าลูบตา.......และลูบไล้ไป

    ทั่วตัว.....ทารกน้อยจะดิ้นกระโดดโลดเต้นอยู่ในมือของนางอย่างสนุกสนาน....เมื่อนาง

    จับทารกน้อยจุ่มลงไปในแม่น้ำน่าน..ทารกน้อยจะดิ้นพร้อมกับสองขาแหวกว่ายน้ำ..และ

    พยายามจะดิ้นให้หลุดจากมือของนาง...เพื่อลงสู่แม่น้ำน่าน

    ....................น้ำในแม่น้ำน่านไหลลงสู่ปากของทารกเมืองครั้งใด...เขาจะดื่มกินอย่าง

    มีความสุขพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ"เอิ๊กอ๊าก"อย่างชอบใจหลังดื่มเสร็จ....ทารกเมืองทำ

    เหมือนกับว่า"การดื่มน้ำในแม่น้ำน่าน....เสมือนเขาได้ดูดดื่มน้ำนมจากแม่"

    ....................ณ เวลานี้ สายฝนเริ่มมีความคิดไปไกลว่า.."ทารกน้อยผู้นี้เป็นผู้ที่มี

    สายเลือดพม่า และ ยังเป็นลูกของแม่น้ำน่าน..หรือว่าเขา..เมื่อเติบใหญ่จะเป็นผู้กู้แผ่นดิน

    พม่าคืนจากอังกฤษ..ดังที่นางเคยคิด"

    ....................นางไม่ได้ข่าวคราวจากเมืองพม่าเลยว่า "ขณะนี้พรรคพวกของนาง

    กำลังทำอะไรกันอยู่"..."ทำไมกองทัพอังกฤษจึงยังคงอยู่ในเมืองพม่า" เป็นคำถามที่นาง

    ต้องหาคำตอบด้วยตนเอง..."นางจึงคิดที่จะคืนกลับพม่า...แต่นางก็รักและห่วงลูกของ

    นางอย่างจับใจ"

    ....................และเย็นวันหนึ่ง ..อยู่ระหว่างกำลังเปลี่ยนฤดูจากปลายฤดูฝนเป็นต้นฤดู

    หนาว....ดวงอาทิตย์กำลังจะลับไปทางท้ายเมืองน่านซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตก........ซึ่งขณะ

    นี้....."ดวงอาทิตย์กำลังเป็นดวงกลมสีแดงอ่อน ๆ ขนาดใหญ่"...สามารถจ้องมองดูด้วย

    ตาเปล่าได้...เพราะแสงจ้าที่ร้อนแรงของดวงอาทิตย์ได้หมดไปตามเวลา

    ....................สายฝนอุ้มลูกน้อยวัย 5 เดือนเศษออกมาสู่ริมแม่น้ำน่าน..พร้อมกับ

    สพายถุงขวดแก้วรูปทรงมะม่วงมาโดยลำพัง

    ....................นางจ้องมองดูดวงอาทิตย์อย่างนิ่งเงียบด้วยคิดว่า "ดวงอาทิตย์ยามนี้

    ช่างงามยิ่งนัก"...."เป็นดวงอาทิตย์ที่มีแต่ความเมตตาไม่ทำร้ายใคร..ดูแล้วช่างเย็นจับใจ

    นางเหลือเกิน"......"ของสิ่งเดียวกัน..บางเวลาร้อนแรงแผ่แสงจ้าจนผู้คนต่างหลบหนีและ

    ไม่กล้าที่จะเหลือบตามอง....แต่บางเวลากลับดูอ่อนโยนเย็นสบายตาจนดูงาม"

    ............................"ข้าอยากดูดวงอาทิตย์ตอนกำลังตกดินที่บ้านเมืองของข้าบ้าง"

    ....................นางรำพึงรำพันอยู่ในใจ...และได้ใช้มือขวาเปิดขวดแก้วทั้งสองส่วน

    ออก....แล้วนางได้ยกขวดซีกที่ใส่น้ำจัณฑ์ขึ้นจิบเล็กน้อย.....น้ำจัณฑ์ที่นางเคยบอกแก่

    ขุนทัพว่า...เป็นสิ่งที่กระตุ้นหัวใจนางให้มีพลังในการต่อสู้.......นางรู้สึกเย็นวาบในท้อง

    และค่อย ๆร้อนขึ้น

    ....................และนางได้ปิดขวดซีกน้ำจัณฑ์ ..พลางยกน้ำจากแม่น้ำสาละวินที่อยู่ใน

    ขวดอีกซีกหนึ่งขึ้นดื่ม..."ด้วยขณะนี้นางคิดถึงบ้านเมืองของนางอย่างจับใจ" จนน้ำตา

    ของนางรินไหลอาบแก้มและล่วงลงสู่ใบหน้าของลูกน้อย..ขณะที่ทารกน้อยกำลังหลับสนิท

    ............................"ลูกเอ๋ย...แม่คงต้องไปจากลูกแน่แล้ว..ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเห็น

    หน้าลูกของแม่อีกไหม" นางรำพึงรำพันด้วยเสียงสะอื้นอย่างแผ่วเบา..พร้อมกับใช้มือ

    ขวาลูบไล้ที่ศีรษะและใบหน้าของลูกน้อย..อย่างแผ่วเบาและทะนุถนอม

    ....................นางเดินลงไปในแม่น้ำน่านเพียงแค่ตะปอมเท้า..และคุกเข่าลงในแม่น้ำ

    น่านพลางเอ่ยกับแม่น้ำน่าน..ในขณะที่น้ำตาของนางยังคงรินไหลและหยดลงไปในแม่น้ำ

    ............................"แม่...ข้าขอฝากเมืองไว้ให้แม่ดูแลแทนข้าด้วย...หากข้ามี

    วาสนาได้กลับมาเมืองน่านอีก...ข้าจะเลี้ยงดูเขาแทนแม่จนเติบใหญ่"

    ....................นางพูดพร้อมกับยกขวดแก้วที่เปิดซีกส่วนที่เก็บน้ำจากแม่น้ำสาละวินเอาไว้..และเท

    น้ำนั้นลงในแม่น้ำน่านประมาณครึ่งขวด...และพูดด้วยเสียงสะอื้นต่อไป

    ............................"แม่ช่วยเก็บน้ำจากแม่น้ำสาละวินไว้ให้เขารำลึกถึงแผ่นดินแห่งสายเลือด

    ของเขาด้วย"

    ....................น้ำจากแม่น้ำสาละวินจำนวนหนึ่งได้ไหลลงสู่แม่น้ำน่านและ"รวมตัวกันเป็นอันหนึ่ง

    อันเดียวกัน"..พร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นของสายฝนที่ร้องไห้คร่ำครวญโหยหวลอย่างน่าสงสาร...เป็น

    ที่น่าเวทนายิ่งนัก...นางร้องไห้เหมือนกับรู้สึกสังหรณ์ใจว่า "นางคงไม่ได้กลับมาพบลูกของนาง..และ

    กลับมา ณ เมืองน่าน"ดินแดนแห่งความรักของนางอีก"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Sunset.jpg
      Sunset.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69.5 KB
      เปิดดู:
      41
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................รุ่งขึ้นเช้า...ขุนทัพได้เตรียมรถม้า เกวียน พร้อมกับสาวใช้และเสบียง

    อาหารให้กับสายฝนเพื่อเดินทางกลับคืนสู่พม่า....ด้วยขุนทัพนั้นทนอ้อนวอนรบเร้าจาก

    สายฝนไม่ได้...และจำนนด้วยเหตุผลที่ว่า.."นางจากเมืองพม่ามา 4 ปีกว่าแล้ว"..

    และ."เมื่อนางไปแล้วจะกลับมาหาขุนทัพและลูกอีก".....ซึ่งในคืนนั้นเองคนในบ้านจึงรู้

    ว่า.."นางเป็นชาวพม่า"...แต่ขุนทัพก็กำชับคนในบ้านห้ามเปิดเผยเรื่องนี้แก่ผู้ใด"

    ....................เมืองทารกน้อยถูกนำไปให้ "นางมี"......น้องสาวของขุนทัพซึ่งเป็น

    "อาของเมือง"..เลี้ยงดูที่บ้านเชิงเขา...ทหารที่เคยอยู่กับขุนทัพที่ด่านได้ถูกเรียกตัวมาร่วม

    เดินทางไปส่งสายฝนที่เขตพรมแดนสยาม-พม่า

    ....................ณ เขตชายแดน แม่สาย เมืองเชียงราย ...สายฝนลงจากรถม้า...นาง

    ได้แต่งชุดเหมือนกับวันที่นางเข้าสู่แผ่นดินสยาม...นางไม่ยอมให้รถม้าพร้อมกับสาวใช้

    ติดตามไปพม่า...นางได้ปลดม้าของนางที่มาพร้อมกับนาง......ในวันเข้าสู่แผ่นดินสยาม

    ออกจากรถม้า...แล้วจูงไปให้ขุนทัพพลางเอ่ยขึ้น

    ............................"ท่านจงเก็บม้าตัวนี้ไว้ให้เมือง....เมื่อมันมีลูก...ลูกของมันจะ

    เป็นพาหนะของเขาอย่างดี" นางพูดพร้อมกับดึงสายสะพายขวดแก้วรูปทรงมะม่วงออก

    จากไหล่..แล้วส่งให้ขุนทัพเพื่อให้เก็บไว้ให้เมืองเช่นกัน

    ....................ขุนทัพรับมอบม้าและขวดแก้วจากนาง..และได้ส่งม้าที่เขาขี่มาให้แก่

    สายฝน....แล้วดันนางขึ้นบนหลังม้า....เขาสังเกตดูเมียรักของเขาเวลานี้...ดูช่างมี

    ลักษณะ.."ท่าทางมีอำนาจเหมือนสตรีผู้สูงศักดิ์ที่เขาพบเห็นนางครั้งแรกในคืนนั้น"

    ....................ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม..พร้อมกับสายลมเย็นฉ่ำที่พัดผ่านมาอย่างแรง..ได้

    พัดต้นไม้บริเวณแนวเขตพรมแดน..ให้ลู่ไปตามสายลม..อันเป็นการส่อเค้าว่า"ฝนกำลังจะ

    ตก"....อันเป็นการตกสั่งลาฤดูฝน..เพื่อเริ่มต้นฤดูหนาวอย่างแท้จริง..ทำให้บรรยากาศ

    บริเวณนั้นเย็นเยือกเข้าไปในหัวใจ

    .....................สายฝนรู้สึกเย็นหวาบหวิวในหัวใจ...นางแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้อง

    ฟ้า..และก็กลับมามองที่ขุนทัพ...พลันสายฝนก็เริ่มโปรยปรายมาจากฟากฟ้า...นางและขุน

    ทัพต่างจ้องมองดูกัน...ด้วยทั้งคู่กำลังรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่สายฝนเข้าสู่แผ่นดิน

    สยาม..."นางมากับสายฝน"..และขณะนี้.."นางก็กำลังจะจากไปกับสายฝน"...และเมื่อ

    นางเข้าสู่ดินแดนพม่าจะไม่มีใครเรียกนางชื่อนี้อีก "สายฝน"

    ....................หยาดน้ำเล็ก ๆ รินไหลออกมาจากดวงตาปะปนกับน้ำฝนที่ตกลงมากระ

    ทบใบหน้านาง...โดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ว่า "นางกำลังร้องไห้"

    ............................"ข้าฝากลูกด้วยนะ" เสียงของนางดังแข่งกับเสียงสายฝน แล้ว

    นางก็กระชากม้าควบออกไปจากที่นั้นอย่างรวดเร็ว

    ....................ขุนทัพยืนเศร้าสลดอยู่ท่ามกลางสายฝน..พร้อมกับม้าคู่ใจของสายฝน

    เมียรัก...เขามองดูสายฝนเมียรักที่กำลังควบม้าออกไปไกลทุกที ๆ...ด้วยหัวใจที่เศร้าสลด

    และอาลัยอาวรณ์นางอย่างมาก...ด้วยสังหรณ์ใจว่า "นางจะไม่ได้กลับมาหาเขาอีก"...และ

    การเห็นนางครั้งนี้ "คงเป็นครั้งสุดท้าย"...น้ำตาแห่งความรักความอาลัยไหลปะปนกับน้ำ

    ฝนที่ตกลงมาอาบแก้ม........ไม่มีใครรู้ว่าเวลานี้ "ขุนทัพผู้เคยเป็นทหารที่เข้มแข็งแห่ง

    เมืองน่านบนแผ่นดินสยาม จะหลั่งน้ำตาออกมาดุจผู้ที่มีใจอ่อนแอ"

    ....................."สายฝน"นางมาปรากฎกายบนแผ่นดินสยาม..และมาสู่เขา...เหมือน

    กับ"น้ำฝนอันชุ่มฉ่ำมาหยดชะโลมใจของเขา ให้ต้นรักในหัวใจของเขาได้เกิดขึ้น..และ

    เจริญเติบโตอย่างงดงาม.....ณ วันนี้และต่อไป ต้นความรักของเขาที่อยู่ในใจ ..ไม่มี

    สายฝนนำน้ำฝนมาหล่อเลี้ยงอีกแล้ว.."ต้นความรักของเขาจะเจริญเติบโตไปได้หรือ"

    ....................."สายฝน"ควบม้าออกมาไกลจนเกือบจะลับตาสายตาของขุนทัพ...

    นางได้บังคับม้าให้หยุด..แล้วกระชากม้ากลับหลัง....นางมองดูมาที่ขุนทัพอีก

    ครั้ง.."เหมือนการสั่งลา"...และการมองมาครั้งนี้ของนาง...หากผู้ใดได้อยู่ใกล้นาง ณ ที่

    นั้น..จะเห็นว่า "ดวงตาของนางแดงกล่ำและมีน้ำตาไหลเอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่นั้นมาก

    มาย".....นางเงยหน้าขึ้นรองรับสายฝนที่กำลังตกลงมาอย่างแรงอยู่ครู่หนึ่ง....แล้วมองดู

    ขุนทัพซึ่งกำลังยืนตากฝนมองดูนางอยู่เช่นกัน.....นางได้พูดรำพึงรำพันกับตัวเองว่า

    ............................".."สายฝน"..ข้าจะไม่ลืมชื่อนี้..และไม่ลืมว่าผัวและลูกของข้า

    อยู่ในแผ่นดินสยาม...สยามเมืองที่โอบอุ้มปกป้องคุ้มครองข้ายามข้ามีภัย...เมืองที่ให้

    ความรักความอบอุ่นแก่ข้า...หากข้าสิ้นชีพไป...ขอข้าจงเกิดในแผ่นดินสยาม...แล้วข้าจะ

    ทดแทนคุณแผ่นดินสยามจนตราบชีวิตจะหาไม่..."ลาก่อนแผ่นดินสยาม"..."

    .....................จบคำรำพึงรำพัน..สายฝนค่อย ๆ ดึงเชือกบังคับม้าหันกลับไปยังเมือง

    พม่า...แล้วนางก็ควบม้าออกไปทั้งน้ำตาอย่างรวดเร็ว...จนลับไปจากสายตาของขุนทัพ..

    ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำอย่างแรง

    ....................."สายฝนลาลับ" และ "ลาจากแผ่นดินสยามชั่วนิรันดร์"

    .....................เสียงเพลงแห่งความรักความอาลัย..และความหวัง..ได้ดังกึกก้องอยู่

    ในหัวใจของ"สายฝน" และ "ขุนทัพ" อย่างไม่มีวันจบสิ้นออกไปจากใจของทั้งคู่นับตั้งแต่

    วินาทีที่ทั้งคู่จากกัน.....

    ............................"...วอน..อย่าลืมความหลัง..ครั้งรัก...เคยสดใส

    .............................มีสองเราชิดใกล้...ไม่ห่างหายหน้า

    ................................ขอเพียงเธอ..นั้นจงจำ...ถึงคำมั่นสัญญา

    .............................รักยามไกล...ไม่โรยรา...คืนหวลมา..อยู่เป็นคู่กัน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..................บุคคลเหล่านี้มีวิถีชีวิตอยู่ในเรื่องนี้..............


    ....................บรรพชิตหนึ่งดุจปรมาจารย์ผู้ให้คำสอนที่ล้ำเลิศ

    ....................บุรุษหนึ่งเลิศปัญญาหาญกล้าสู้ดวงอาทิตย์

    ....................บุรุษหนึ่งฉลาดยิ่งเพียรเป็นเลิศ

    ....................บุรุษหนึ่งไหวพริบล้ำเลิศเป็นเอกการยิงธนู

    ....................บุรุษหนึ่งเป็นดุจบรมครูการเป่าขลุ่ย

    ....................บุรุษหนึ่งกลับชาติเกิดเพื่อทำหน้าที่

    ....................บุรุษหนึ่งทรยศต่อหน้าที่ด้วยความดีที่ถูกต้อง

    ....................บุรุษหนึ่งทรงคุณธรรมแห่งนักปกครอง

    ....................บุรุษหนึ่งมุ่งมั่นกตัญญู

    ....................บุรุษหนึ่งเกิดมาเพื่อจะรัก

    ....................สตรีหนึ่งงามเด่นให้ความเย็นแก่โลก

    ....................สตรีหนึ่งเรียนรู้ความเป็นเอกแห่งปรัชญา

    ....................สตรีหนึ่งสูงศักดิ์เพียรกอบกู้ชาติ

    ....................สตรีหนึ่งเป็นแม่ที่แสนเลิศ

    .....................สตรีหนึ่งเป็นเลิศแห่งความจำและยอดศิลป์


    ...................เรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในเรื่องนี้.................


    "บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์"....."ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"....."หลวงปู่ศุข"....."ขลุ่ยฟ้า

    ผ่า"....."เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ"....."ตำนานการดวลธนู"....."ลูกธนูดอก

    กุหลาบ"....."ทำไมพม่าไร้ซึ่งกษัตริย์"....."ขวดแก้วทรงมะม่วง".....

    "การกลับชาติเกิดของนกกาเผือก"....."ชัยนาท น่าน สุราษฎร์ธานี พ.ศ.2666"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ......................ตอนที่ 17 สวัสดีเมืองน่าน..................


    ....................ณ เมืองน่าน ปีพุทธศักราช 2461 อยู่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 แห่ง

    ราชวงศ์จักรี.....พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปกครองแผ่นดิน..ประเทศ

    ไทยยังคงมีชื่อว่า "ประเทศสยาม" หรือ "กรุงสยาม" หรือ "เมืองสยาม" ..พระองค์ได้

    กำหนดกฎหมายให้ชาวสยามทุกคนต้องมี "นามสกุล" ต่อท้ายชื่อ....

    .....................ขุนทัพได้ตั้ง"นามสกุล"ของตนว่า "มีสุข"...ดังนั้น "เมือง" บุตรชาย

    คนเดียวของขุนทัพและสายฝนจึงมีชื่อและนามสกุลว่า "เมือง มีสุข"

    .....................การปกครองของเมืองน่านในสมัยนั้นยังคงใช้"เจ้าเมือง"ปกครองดูแล

    เมืองน่านอยู่...โดยกรุงสยามขณะนั้น..ยังไม่ได้กำหนด"เมืองในกรุงสยาม"ให้เป็น

    "จังหวัด อำเภอ และตำบล" เช่นปัจจุบันนี้

    .....................สองฝั่งของแม่น้ำน่าน..มีพื้นที่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และมี

    ราษฎรอาศัยอยู่ทั้งสองฝั่งแต่ไม่มากนัก...จำนวนพื้นที่มากแต่จำนวนคนน้อย..ไม่ได้สัด

    ส่วนกัน...จึงทำให้พื้นที่บางแห่งไร้ซึ่งผู้คน...โดยเฉพาะฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน

    .....................ฝั่งตะวันออกมี "ขุนทัพ มีสุข" เป็นผู้ปกครองดูแลท้องที่และขึ้นตรง

    ต่อ"เจ้าเมืองน่าน"......."เมือง มีสุข" ได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดตรีและเป็นผู้ช่วยของขุนทัพ

    ในการปกครองดูแลท้องที่...มีการจัดเก็บภาษีราษฎรเพื่อนำส่งเจ้าเมืองน่าน..เพื่อใช้จ่าย

    ในการบริหารเมืองน่าน

    .....................ฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของ"ตัวเมืองน่าน"...เจ้าเมืองน่านเป็นผู้

    ปกครองดูแลสูงสุด....โดยฝั่งนี้จะมีผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเมืองน่าน..ซึ่งอยู่ในตำแหน่ง

    ระดับเดียวกับ "ขุนทัพ"..เป็นผู้ช่วยในการปกครองดูแลท้องที่ เขาคือ "ขุนแสง หงษา"..

    และบุตรชายคนเดียวของ"ขุนแสง"ก็ได้รับ ตำแหน่งปลัดตรีและเป็นผู้ช่วยขุนแสงผู้เป็นบิดา

    ปกครองดูแลท้องที่...."ปักษ์ หงษา" คือ ปลัดตรีผู้นั้น

    ...................."ตำแหน่งปลัด" ที่ทั้ง เมือง และ ปักษ์ เป็นอยู่ในสมัยนั้นมิใช่ตำแหน่ง

    ปลัดอำเภอเช่นปัจจุบันนี้....เพราะสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียนการเมืองการปกครอง..และไม่มี

    การปกครองท้องที่แบบท้องถิ่น เช่น จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน.....ตำแหน่งดัง

    กล่าวคงเป็นเพียงฐานันดรของขุนที่ปกครองท้องที่..ที่จะแต่งตั้งผู้ใดก็ได้ให้เป็นผู้ช่วย..คง

    เป็นดังเช่น ตำแหน่ง "พระปลัด" "พระสมุห์" อันเป็นตำแหน่งในทางพระที่"พระเจ้าอาวาส

    ของวัด" จะแต่งตั้ง

    ....................ฝั่งตะวันตกที่ตั้งของเมืองน่าน ยังมีกองกำลังตำรวจเมือง ..คอยดูแล

    รักษากฎหมาย หรือ "พิทักษ์สันติราษฎร์" นำโดย "ร้อยตำรวจตรี เวียง ศิลา" ซึ่งเป็นหัว

    หน้าตำรวจ

    ...................."ขุนทัพ มีสุข" และ "ขุนแสง หงษา" ...สองขุนผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมือง

    น่าน..เทียบเคียงกับปัจจุบันนี้คงเป็นตำแหน่ง"กำนันปกครองท้องที่"...แต่ทว่าตำแหน่งดัง

    กล่าวที่สองขุนมีอยู่ยิ่งใหญ่กว่าปัจจุบันมากนัก...เหตุเพราะการเมืองการปกครองสมัยนั้น...

    มิใช่การปกครองในระบอบ"ประชาธิปไตย"ที่มีเสียงของประชาชนเป็นใหญ่...แต่เป็น

    ระบอบ"สมบูรณาญาสิทธิราช"....ซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นใหญ่...ดังนั้น ผู้ที่ทำงานให้กับ

    พระมหากษัตริย์ หรือ ทางราชการ จึงถือว่า"สำคัญยิ่ง"

    .....................และเป็นบุญของเมืองน่านเป็นอย่างยิ่ง..ที่..เจ้าเมือง สองขุน ปลัดตรี

    ทั้งสองฝั่ง และ หัวหน้าตำรวจ ต่างก็เป็นคนดีมีคุณธรรมไม่โกงกินบ้านเมือง...แต่ก็มีเหตุ

    ระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน ดังนั้น "ความแตกแยกจึงเป็นเรื่องของความคิด" ที่แต่ละฝ่าย

    สร้างขึ้นมาเอง มิใช่ความจริงแห่งการกระทำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1626.JPG
      IMG_1626.JPG
      ขนาดไฟล์:
      5 KB
      เปิดดู:
      32
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ณ เวลานี้ "เมือง มีสุข" ปลัดตรีแห่งเมืองน่านฝั่งตะวันออก อยู่ในวัย

    ย่างเข้าอายุ 20 ปี เขาไม่เคยพบเห็น"สายฝน"ผู้เป็นแม่...ไม่เคยได้รับรู้ความรักความ

    อบอุ่นจากแม่ที่มีต่อลูกเช่นเดียวกับผู้อื่น...ที่มีแม่คอยให้ความรักความอบอุ่น...ดังนั้น

    "ความรักความอบอุ่นเช่นนี้...เขาจึงไม่รู้จักและไม่เคยสัมผัสว่าเป็นเช่นใด"...เขาเติบโต

    โดยการเลี้ยงดูของ "นางมี มีสุข"ซึ่งเป็นอาผู้หญิงคนเดียวจนเติบใหญ่....แต่เขารู้สึกว่า

    ความรักความอบอุ่นของเขาที่ได้รับอย่างแท้จริงกลับเป็น"แม่น้ำน่าน".....มันเป็นความรัก

    ความอบอุ่นที่อยู่ภายในจิตใจของเขา....เขารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า "แม่น้ำน่านมีชีวิตมีจิต

    วิญญาณไม่เคยทำร้ายเขา ..และไม่เคยทอดทิ้งเขาเหมือนกับแม่ผู้ให้กำเนิดคนนั้น"

    ....................ทุกครั้งที่ลงอาบน้ำในแม่น้ำน่านและดื่มกินเขาจะรู้สึกสุขใจ...เขา

    สามารถว่ายน้ำข้ามแม่น้ำน่านจากฝั่งตะวันออกไปฝั่งตะวันตกไปกลับได้หลายเที่ยว...โดย

    มิได้แสดงอาการเหน็ดเหนื่อย...และสามารถว่ายน้ำได้รวดเร็วกว่าผู้อื่น"เสมือนกับว่าแม่น้ำ

    น่านจะเป็นแรงช่วยดันเขาให้ว่ายน้ำได้รวดเร็ว"

    ....................ก่อนหน้านี้สองปี "นางมี มีสุข" ได้สามีคือ "นายมา คงเมือง" และได้

    กำเนิดบุตรีคือ "เด็กหญิงมั่น คงเมือง" ซึ่งถือว่ามีศักดิ์เป็นน้องของ "เมือง มีสุข" ..

    และ"เด็กหญิงมั่น คงเมือง" ผู้นี้ในกาลต่อมาได้มีชีวิตอยู่จนถึง ปีพุทธศักราช 2546 คือ

    "คุณยายมั่น คงเมือง" ผู้เปิดตำนานเล่าขานเรื่องราวของ "เมือง มีสุข" ให้แก่คนรุ่นหลัง

    ....................เมือง มีสุข มีร่างกายแข็งแรงสูงราว 175 เซนติเมตร และงามสง่าสม

    ชายชาตรี ใบหน้าหล่อเหล่าคมสัน คิ้วดกดำและโค้งยาว ดวงตาดำเป็นประกายดุจสีนิล

    และสวยงามเหมือนดวงตาของสายฝนแม่ของเขาซึ่ง"ดูมีอำนาจอยู่ในตัว"...แต่ทว่า

    อุปนิสัยของเขากลับ"เป็นคนรักสนุก ขี้เล่น ชอบโลดโผนผจญภัย กล้าหาญบ้าบิ่น ชอบ

    เรื่องราวตื่นเต้นหวาดเสียว..พร้อมกับชอบดื่มสุราเป็นอาจิณ"....ซึ่งคงมาจากขวดแก้วรูป

    ทรงมะม่วงของแม่เขาที่ใส่เหล้าเอาไว้....และเขาก็สะพายมันติดตัวตลอดเวลา

    ....................เขาเป็นคนที่มี"เมตตา มีคุณธรรม รักบ้านเมืองและหน้าที่ที่เขามีอยู่"

    ....เป็นคน "ช่างคิด ช่างสังเกต ในแนวทางของ "นักปรัชญา".."

    ....................เมืองมีม้าตัวผู้สีดำ ขนของมันเป็นประกาย รูปร่างสูงใหญ่แข็งแกร่งฝีเท้า

    จัด..และแสนรู้..มันคือ "ลูกม้าของม้าสายฝนชื่อว่า "สีนิล".." ซึ่งสายฝนเคยทำนายไว้กับ

    ขุนทัพก่อนจากไปพม่าว่า "ลูกของมันจะเป็นพาหนะของเมืองได้เป็นอย่างดี" บัดนี้คำ

    ทำนายนั้นเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว
     
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...................ตอนที่ 18 บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์..............



    .....................วันนี้เป็นวันบ้าระห่ำของ "เมือง มีสุข" อีกวันหนึ่ง...เขาควบม้าสีนิล

    ทะยานไปบนเส้นทางเลียบแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก..ผ่านป่าทึบ..ผ่านทุ่งนาและตระเวณไป

    รอบเชิงเขาที่เป็นเทือกเขาสูงตะหง่านอย่างรวดเร็ว...เหมือนกับว่า"เขาต้องการดูฝีเท้าม้าคู่

    ใจของเขาว่ามันสามารถวิ่งได้เร็วปานใด"

    ....................."สีนิล" ม้าหนุ่มซึ่งมีเชื้อสายของ"ม้าศึก"ของตัวแม่อยู่ ...ได้วิ่งโจน

    ทะยานอย่างรวดเร็วปานพายุเล็ก ๆลูกหนึ่งไปกับ"เมือง มีสุข" จนมาถึงเชิงเขาด้านหลัง..

    เมืองบังคับม้าจากเชิงเขา...ให้วิ่งปีนป่ายขึ้นไปตามภูเขาสูง..เพื่อจะให้มันขึ้นสู่จุดสูงสุด

    ของยอดเขาเทือกนั้น....

    ....................."เมือง มีสุข"และ "ม้าสีนิล" ได้วิ่งปีนป่ายเขาไปอย่างบ้าบิ่นทั้งคนและ

    ม้า..โดยไม่มีความสะทกสะท้านว่า..จะตกลงไปจากเทือกเขาสู่พื้นดินข้างล่าง...เขานั่งบน

    หลังม้าบ้างและยืนบ้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลในการขี่ม้าระหว่างขึ้นเขา

    .....................ในความคิดของ"เมือง" ..."เขาต้องการไปอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ในช่วง

    เวลาเที่ยงวันให้มากที่สุด".....ด้วยอยากรู้ว่า..."ความร้อนแรงของดวงอาทิตย์" ที่เขาจะ

    สัมผัสบนยอดเขาสูงที่ไม่มีใครเคยขึ้นมา กับ บนพื้นดินข้างล่างจะแตกต่างกันอย่างไร..

    .....................และขณะนี้เขามาถึงจุดที่ห่างจากยอดเขาสูงราว 10 เมตร ..ซึ่งเป็นที่

    สูงชันมาก..ม้าสีนิลเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง..เพราะความเหนื่อย

    ............................."เป็นไรไปเจ้าเพื่อนยาก จวนจะถึงแล้ว หากข้าปีนป่ายมาคน

    เดียวตามลำพังข้าก็ทำได้...แต่เพราะข้าต้องการให้เจ้ามาอยู่ที่สูงกับข้า ข้าจึงต้องพาเจ้า

    มาด้วย...เราจะได้วัดความแข็งแกร่งด้วยกันไง พยายามเข้าสีนิล" เมืองพูดรำพึงรำพัน

    ปลอบใจม้าของเขา

    ....................ม้าสีนิลเหมือนเข้าใจที่เมืองพูด...สีนิลรวบรวมกำลังขาทั้งสี่โดยเกร็ง

    เท้าและถีบพื้นดิน..เพื่อดันตัวให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ.....จนในที่สุดทั้งม้าและคนก็ได้มาถึงที่สูง

    สุดบนยอดเขา...ในขณะที่ดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันขึ้นมาตรงหัวพอดี

    ....................แสงแรงกล้าของดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันได้ส่องความร้อนแรงแผดเผา

    มายัง..ร่างคนและม้า....."หากคนบนพื้นดินข้างล่างได้มองขึ้นไปบนยอดเขาสูงนั้น..ก็จะ

    เห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้า...อย่างองอาจสง่างาม...โดยมีดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ส่อง

    แสงสว่างประกายอยู่เหนือหัว....เหมือนกับการส่องแสงให้พลังแก่คนและม้า"...ช่างเป็น

    ภาพที่งดงามยิ่งนัก

    ............................"ถึงที่หมายจนได้" เมืองเอ่ยขึ้นกับตัวเอง และทั้งคนและม้าก็

    หอบ...พร้อมกับหายใจสูบอากาศเข้าปอดอย่างถี่ยิบ

    .....................ร่างของเมืองเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมออกมา...อันเป็นสภาวะของ

    ร่างกายที่ต้องการขับน้ำออกมา..เพื่อต้านทานความร้อนของดวงอาทิตย์...เพื่อปรับ

    อุณหภูมิของร่างกายให้สมดุล.....เขาถอดเสื้อออกจากตัวและแอ่นอกรับแสงอาทิตย์เพื่อ

    ให้ร่างกายของเขาถูกแสงอันร้อนแรงของดวงอาทิตย์อย่างเต็ม ๆ....พร้อมกันนั้นได้หลับ

    ตาและแหงนหน้าขึ้นรับดวงอาทิตย์ที่อยู่ตรงหัวของเขา"และเริ่มมีความคิดที่จะมองดูดวง

    อาทิตย์ยามนี้..ที่ส่องแสงแผดเผาร้อนแรงกล้าเพื่อต่อสู้กับมัน"...ซึ่งคงไม่มีใครกล้าบ้าบิ่น

    ทำเยี่ยงนี้..เพราะแสงอันร้อนแรงกล้านั้นเป็นอันตรายต่อดวงตา..ซึ่งดวงตาอาจบอดได้

    ....................แต่แล้ว...เมืองค่อย ๆ เผยอเปลือกตาทั้งสองข้างขึ้นอย่างช้า ๆ เพื่อให้

    ดวงตาบางส่วนค่อย ๆปรับแสงการมอง...และในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นทั้งสองข้าง"จ้อง

    มองดวงอาทิตย์"..อย่างกับว่าเขาจะท้าดวลกับดวงอาทิตย์ว่า..."เขาสามารถมองท่านได้

    โดยไม่เกรงกลัว"

    .....................แสงอาทิตย์อันร้อนแรงสว่างจ้า..ได้ส่องเข้ามาที่ดวงตาของเขา...เขา

    จ้องมองโดยไม่กระพริบตา...จนเขาสังเกตเห็นว่า "ดวงอาทิตย์ที่รูปทรงกลม..และมีเปลว

    แสงสีขาวจ้ากระจายอยู่รอบ ๆทรงกลมนั้น...แต่ที่เขาเห็นยิ่งกว่าคนทั่วไปพึงเห็นขณะนี้ นั่น

    คือ"จุดดับสีดำเล็ก ๆ อยู่สองจุดในดวงอาทิตย์นั้น" เขาจึงรำพึงรำพันออกมา

    ............................"ดวงอาทิตย์ที่เป็นเจ้าแห่งแสงยังมีวันดับหรือนี่...คงอีกพัน ๆ

    ล้านปีจุดดับคงกระจายไปทั่วทั้งดวง....เมื่อถึงวันนั้น..ข้าคงตายก่อนท่านไปนานแล้ว...

    แต่อย่างไรเสียท่านก็คงชนะข้าได้เรื่อง...มีอายุยืนและมีแสงสว่างอันร้อนแรง...แต่ท่านแพ้

    ข้าอย่างแน่นอนตรงที่ ..."ท่านไม่มีความเย็นเหมือนตัวข้า"

    .....................เมืองพูดจบเขาก็หลับตา..และก้มหน้าลงอย่างสุขใจ..พร้อมกับหยิบ

    ขวดแก้วทรงมะม่วงที่ได้ใส่เหล้าส่วนหนึ่ง...และน้ำส่วนหนึ่งไว้แต่ละซีก...ออกมาจากถุง

    สะพายที่ถักด้วยเชือกมะนิลาทึ่เขาสะพายไว้ที่หัวไหล่

    ....................."น้ำจัณฑ์"หรือเหล้าจากพม่าที่สายฝนแม่ของเมืองใส่ไว้นั้น...เขาได้

    ดื่มกินมันจนหมดสิ้นตั้งแต่เขามีอายุ 15 ปี....อาจจะเป็นด้วยเหตุที่เขาได้ลิ้มรสเหล้าดัง

    กล่าว....ทำให้เขาสรรหาเหล้าแต่ละชนิดที่ชาวบ้านแต่ละหมู่บ้านฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ

    น่านต้มทำขึ้น..มาใส่บรรจุไว้จนเต็มทุกครั้งที่มันพร่องไป..จากการดื่มกินของเขา

    .....................และในส่วนของน้ำจากแม่น้ำสาละวินนั้น...เขาได้นำน้ำจากแม่น้ำน่าน

    มาผสมดื่มกินจนหมดไปหลายครั้ง...แล้วก็นำน้ำจากแม่น้ำน่านมาเติมใส่จนเต็มขวดแก้ว

    ส่วนที่บรรจุน้ำ

    .....................เมืองยกขวดแก้วที่บรรจุน้ำขึ้นดื่มกินอย่างกระหาย..แล้วก็ยกมันเทลาด

    ลงไปทั่วใบหน้าเพื่อดับร้อน..และลาดไปที่หัวม้าสีนิล......แล้วจึงปิดขวดส่วนนั้น..พร้อม

    กับเปิดขวดแก้วส่วนที่ใส่เหล้าออกดื่มกิน

    .....................เมืองดื่มเหล้าไปจนครึ่งขวด สักพักสมองของเขาเริ่มมึนตือ "ความ

    ฟุ้งซ่านต่าง ๆเริ่มสงบ...เขามองไปข้างหน้าและรอบ ๆ ตัวในจุดที่ไกลที่สุด...ได้เห็นแม่น้ำ

    น่าน ตัวเมืองน่านซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน..และเลยออกไปเป็นป่าและเทือกเขา...

    พร้อมกับมองไปโดยรอบทั้งสี่ทิศจากใกล้สุดไปไกลสุด.....และไล่จากไกลสุดมาหาใกล้

    สุด...จนถึงจุดที่เขานั่งอยู่บนหลังม้าและขวดแก้วในมือที่เขาถือมันอยู่..แล้วยกมันขึ้นดื่ม

    อีกครั้งพร้อมกับรำพึงรำพันขึ้น

    ........................"การครอบครองยึดถืออะไรด้วยมือ..มันช่างได้น้อยสิ่ง

    นักเหมือนกับที่ข้าถือได้เพียงขวดแก้วใบนี้....แต่การครอบครองยึดถืออะไรด้วย

    สายตา...ข้าสามารถครอบครองมันได้เท่าที่สายตาของข้าจะมองไปได้ไกลแสน

    ไกล..โดยไม่ต้องแย่งชิงกับผู้ใด"

    .....................นี่คือ "ความคิดในแนวปรัชญาของเขาอีกอันหนึ่ง"..ที่ปรากฎขึ้นจาก

    การช่างคิด ช่างสังเกตและเปรียบเทียบ....ต่อมาปรัชญา"การครอบครอง"ของเขานี้..ได้มี

    แนวคิดเรื่อง"การครอบครอง"ของสตรีผู้หนึ่งที่ได้มาอยู่บนยอดเขาสูงสุดในตำแหน่งเดียว

    กับเขา....เหมือนกับเขา....และนั่งอยู่บนหลังม้าสีนิลของเขา.....ได้ให้คำปรัชญาแห่งการ

    ครอบครอง..."ที่ต่างไปจาก เมือง มีสุข"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00419.JPG
      DSC00419.JPG
      ขนาดไฟล์:
      58.1 KB
      เปิดดู:
      40
    • DSC00421.JPG
      DSC00421.JPG
      ขนาดไฟล์:
      59.3 KB
      เปิดดู:
      37
    • DSC00417.JPG
      DSC00417.JPG
      ขนาดไฟล์:
      58.8 KB
      เปิดดู:
      34
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ในขณะที่เมืองนั่งอยู่บนหลังม้าสีนิล...บนยอดภูเขาสูงอย่างงามสง่าอยู่

    นั้น....ณ เบื้องล่างจากยอดเขาสูงมาราวประมาณ 500 เมตร ...ขุนทัพและพรรคพวกได้ขี่

    ม้าเดินตรวจตราท้องที่ไปเรื่อย....และได้หยุดดื่มน้ำที่ชายทุ่ง"บุญแทน"หนึ่งในพรรคพวกที่

    มากับขุนทัพ...เขาเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับ"เมือง"...และได้มาทำงานเป็นผู้ช่วยของขุน

    ทัพและปลัดเมือง...ร่วมกับ"มุก" และ "สาย"

    ...................."บุญแทน" "มุก" และ "สาย" เป็นลูกของเพื่อนทหารของขุนทัพที่เคย

    ไปประจำการอยู่ชายแดนแม่สายด้วยกัน.....

    ...................."บุญแทน"เห็นบุรุษที่นั่งอยู่บนหลังม้าบนยอดเขาสูง....เขาเดาได้ทันที

    ว่า "บุรุษผู้นั้น คือ ปลัดเมือง"...ด้วยเห็นอุปนิสัยโลดโผนโจนทะยาน กล้าหาญบ้าบิ่นของ

    เมืองมาตั้งแต่เด็ก.......แต่เขาคิดไม่ถึงว่าปลัดเมืองจะกล้าขี่ม้าขึ้นไปถึงยอดเขาสูงนั้น...

    เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง...จนตะโกนออกมาอย่างดัง

    ............................."ลุงขุน...ดูอะไรบนยอดเขานั่น" บุญแทนพูดพร้อมกับชี้มือไป

    บนยอดเขา

    ....................ทุกคนที่มากับขุนทัพต่างส่งสายตาไปตามที่บุญแทนชี้...และพวกเขาก็

    ได้เห็น......."บุรุษผู้นั่งอยู่บนหลังม้ายืนเด่นสง่างามอยู่บนยอดเขาสูง..โดยมีดวงอาทิตย์

    ส่องแสงเปล่งประกายอยู่เหนือหัว"

    ....................ขุนทัพและทุกคน ณ ที่นั้น เดาได้ทันทีว่า "บุรุษผู้นั้น คือ เมือง มีสุข"

    ขุนทัพเห็นภาพอันงดงามเช่นนั้น...รู้สึกปลื้มปิติอย่างแรงกล้า......จึงอุทานชื่นชมอย่าง

    แผ่วเบา

    ............................"ช่างเป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน"

    .....................ขุนทัพเห็นลูกชายขึ้นไปบนยอดเขาสูงนั้น...เขารู้สึกว่า "เมือง มีสุข"

    ต้องมีเหตุผลบางอย่าง...เขารู้สึกตลอดเวลาว่า "ลูกของเขาเป็นนักคิด นักสังเกต เป็นคน

    กล้าหาญบ้าบิ่นและไม่กลัวตาย...เหมือนกับสายฝนแม่ของเมือง...อีกทั้งรูปร่างหน้าตา

    ของเมือง..ก็เหมือนกับสายฝนผู้เป็นแม่อย่างมาก....ซึ่งบ่อยครั้งยามที่เขาคิดถึงสายฝน

    เมียรัก.."เขาจะจ้องมอง เมือง มีสุข เป็นเวลานาน ๆ อยู่เสมอ"

    ....................ขุนทัพและปลัดเมืองจะพักอยู่ที่บ้านทั้งสองหลัง..คือ..ที่ใกล้แม่น้ำน่าน

    และที่บ้านหลังเขาที่ยกให้แก่ "นางมี มีสุข"...โดยบ้านทั้งสองหลังจะอยู่ห่างกันราว 15

    กิโลเมตร...และทั้งสองหลังจะมีคนรับใช้ภายในบ้าน...พร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่ช่วยขุนทัพและ

    ปลัดเมือง...ในการดูแลพื้นที่ฝั่งตะวันออกพักอาศัยอยู่ด้วย....เมื่อติดภาระกิจและไม่ได้

    กลับบ้าน.....เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A921.jpg
      A921.jpg
      ขนาดไฟล์:
      99.3 KB
      เปิดดู:
      46
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ......................ตอนที่ 19 เหตุสงสัย........................


    ....................ภายในจวนของเจ้าเมืองน่าน ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน...อัน

    เป็นที่ตั้งของเมืองน่าน...จวนเจ้าเมืองน่านแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน....โดยส่วนหนึ่งจะ

    เป็นที่ทำการของเจ้าเมืองน่านในการออกว่าราชการ..และเป็นสถานที่ที่เจ้าหน้าที่หลายฝ่าย

    ประจำการอยู่.....และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าเมืองและครอบครัว....ซึ่งส่วน

    นี้จะอยู่ด้านหลังของส่วนที่ออกว่าราชการ....จวนดังกล่าวจะอยู่ภายในเขตรั้ว..ซึ่งสร้าง

    ด้วยกำแพงอิฐฉาบปูนทั้งสี่ด้าน...มีประตูรั้วเข้าออกสองด้าน..คือ ..ด้านหน้าและด้านหลัง

    .....................บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เจ้าเมืองน่านกำลังประชุมปริกษาหารือปัญหาของ

    เมืองน่าน...อยู่กับ "ขุนแสง" "ปลัดปักษ์" และ "ร.ต.ต.เวียง"

    .....................หลังจากที่มีการประชุมปรึกษาหารือไปได้สักพักใหญ่...ปลัดปักษ์ได้

    เอ่ยให้ความเห็นต่อที่ประชุม

    ............................"ข้าน้อย..ว่ารายได้จากภาษีที่เราจักเก็บอยู่ มันน้อยเกินกว่าที่

    เราจะคิดการก่อสร้างใด ๆ"

    ..................... เจ้าเมืองน่านรับฟังความเห็นของปลัดปักษ์แล้ว จึงได้ย้อนถามเขา

    ............................"แล้วเจ้าคิดว่ามันเกิดจากเหตุใด"

    ............................"ข้าน้อยเอง..ก็ไม่แน่ใจในส่วนของฝั่งตะวันออก..ที่ส่งรายได้

    มาค่อนข้างน้อย..แต่ในส่วนที่ข้าน้อยรับผิดชอบอยู่...ข้าน้อยเก็บได้ครบ" ปลัดปักษ์

    อธิบาย...เจ้าเมืองน่านพยักหน้ารับรู้แล้วจึงถามความเห็นของผู้ร่วมประชุม

    ............................."แล้วรายได้ส่วนนี้ เราจะไปทำอะไรกันดี"

    ............................."ข้าน้อยเห็นว่า..เมืองของเราถูกแยกออกเป็นสองฝั่งโดยแม่น้ำ

    น่าน...การเดินทางไปมาทั้งสองฝั่งต้องใช้เรือหรือแพข้ามฝาก....ทำให้ไม่สะดวก..ข้า

    น้อยเห็นควรว่าเราควรจะสร้างสะพาน.......เพื่อให้การเดินทางไปมาทั้งสองฝั่งสะดวกรวด

    เร็วขึ้น" ขุนแสงเสนอแนะความเห็นของตน

    .....................ร.ต.ต.เวียงซึ่งนั่งฟังอยู่ เห็นข้อเสนอแนะของขุนแสงถูกใจตน จึงเอ่ย

    สนับสนุนขึ้น

    ............................"ข้าน้อยเองก็เห็นด้วยกับขุนแสง...เพราะฝั่งตะวันออกเองก็ไม่มี

    กองตำรวจประจำอยู่เลย...การสร้างสะพานสามารถทำให้กำลังตำรวจได้ออกตรวจตราไป

    ฝั่งตะวันออกได้บ้าง"

    .....................เจ้าเมืองน่านนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิด..หลังจากรับฟังข้อเสนอแนะดัง

    กล่าวแล้วจึงเอ่ยปัญหาหนักใจให้แก่ที่ประชุม

    ............................"มันคงต้องใช้จ่ายเงินค่อนข้างมาก..แต่เงินที่เรามีอยู่คงไม่พอ"

    ............................"ถ้ามันไม่พอ..เราก็ขอรับบริจาคจากชาวเมือง..และขอเงินสนับ

    สนุนจากทางการก็ได้นะขอรับใต้เท้า" ปลัดปักษ์เสนอความคิดเห็นของตนต่อเจ้าเมือง

    น่าน...ทำให้เห็นว่า ..เขาเองก็สนับสนุนความคิดเห็นของขุนแสงพ่อของเขา

    ............................."ข้าไม่อยากรบกวนชาวบ้านชาวเมือง..เท่าที่เขาเสียภาษีให้แก่

    เมืองน่าน..เขาก็เดือดร้อนพอแล้ว"

    ............................."ใต้เท้าขอรับ เราขอรับบริจาคเฉพาะผู้มีจิตศรัทธาช่วยเหลือ..

    เราไม่ได้ขอรับบริจาคจากชาวบ้านชาวเมืองทั้งหมด" ปลัดปักษ์ยังคงยืนยันเรื่องการขอ

    รับบริจาคต่อเจ้าเมืองน่าน

    ....................เจ้าเมืองน่านนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิดอีกครั้ง...และพิจารณาไปถึงว่า

    "แม่น้ำน่านมีความกว้างประมาณ 150 กว่าเมตร การสร้างสะพานจะต้องสร้างเชื่อมต่อ

    พื้นดินทั้งสองฝั่ง..ซึ่งจะต้องก่อสร้างสะพานยาวถึงประมาณ 200 กว่าเมตร...และสะพาน

    ที่จะสร้างควรเป็นสะพานไม้หรือสะพานปูน...ซึ่งค่าใช้จ่ายระหว่าง สะพานไม้ กับ สะพาน

    ปูน คงมีราคาสูงต่ำต่างกันมาก"

    ....................ในขณะที่เจ้าเมืองน่านกำลังขบคิดพิจารณาอยู่นี้...ขุนแสงจึงได้เอ่ยถึง

    ความ"สงสัย"บางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ภายในใจมานานแก่ที่ประชุม

    ............................"เรื่องเงินภาษีฝั่งตะวันออกที่อยู่ในความรับผิดชอบของขุนทัพที่

    เก็บมาได้น้อย.....ข้ามีเรื่องสงสัยมานานว่า ทำไมน้อยนัก...แล้วทำไมขุนทัพจึงมีฐานะร่ำ

    รวยอย่างผิดสังเกต ทั้งที่แต่ก่อนก็มิใช่ผู้ร่ำรวย...ข้าเกรงว่าขุนทัพจะยักยอกเงินภาษีเอา

    ไว้บางส่วน..และนำส่งส่วนที่เหลือให้แก่เมืองน่าน..ทำให้เงินเก็บได้น้อย"

    ....................เจ้าเมืองน่านได้ยินเช่นนั้นก็ได้หยุดขบคิดเรื่องสะพานทันที..แล้วหันมา

    ฟังขุนแสงอย่างพิจารณาพร้อมกับผู้เข้าร่วมประชุม...และได้พูดแย้งขึ้น

    ............................"ข้าเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แต่เพราะความประพฤติของขุน

    ทัพมิใช่คนเยี่ยงนั้น...ข้าเชื่อว่า เขาไม่โกงบ้านเมือง แต่ข้าก็ไม่รู้เหตุแห่งความมั่งมีของ

    ขุนทัพเหมือนกัน"

    ....................จากประเด็นความสงสัยที่ขุนแสงเอ่ยขึ้นนี้เอง ทำให้เรื่องการหาเงินก่อ

    สร้างสะพานข้ามแม่น้ำน่านต้องระงับไว้ก่อน...มาเป็นเรื่องปรึกษาหารือ"การตรวจสอบเงิน

    ภาษีจากฝั่งตะวันออก"........ ที่ผู้ร่วมประชุมเริ่มมีความหวาดระแวงสงสัยในพฤติการณ์

    ของขุนทัพ

    .....................ซึ่งความเป็นจริงแล้ว...ทรัพย์สินเงินทองและฐานะมั่งมีของขุนทัพที่มี

    อยู่ไม่ใช่สิ่งที่ขุนทัพหามา.....เขาไม่ใช่คนโลภ....ซึ่งในอดีตตอนสายฝนเข้ามาในแผ่นดิน

    สยาม...นายทหารจากพม่าได้ให้แหวนทองคำจำนวนมากแก่เขา...แต่เขากลับให้คืนแก่

    สายฝนจนหมด......เหตุแห่งความมั่งมีของเขาเกิดขึ้นเพราะสายฝนเมียรักของเขา...ที่ได้

    นำแหวนทองคำที่มาจากเมืองพม่า..มาใช้จ่ายในการสร้างบ้านเรือน..ซื้อที่ดินและ

    ทรัพย์สินอื่น..และยังคงมีแหวนทองคำเหลืออยู่อีกจำนวนมาก...ที่อยู่กับขุนทัพและปลัด

    เมือง....แต่ขุนทัพเองก็ "เปิดเผยเรื่องนี้ไม่ได้เพราะมันอาจ..สาวไปถึงความผิดของเขาที่

    นำคนพม่าเข้าแผ่นดินสยาม"......จึงมีข้อสงสัยที่สมเหตุผลว่า "ขุนทัพไม่ใช่ผู้มั่งมีมาแต่

    เดิม..แต่ทำไมจึงมั่งมีขึ้นมาได้...และทำไมจึงเก็บภาษีได้น้อย"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...