พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 3 การกระทำของพญาช้างนาฬาคิรีต่อพระพุทธองค์กระทบสิ่งใด


    ........................นครราชคฤห์...ขณะยามเช้าศรัทธาของผู้คนจำนวนมาก......ที่มี

    ความเคารพศรัทธาต่อพระพุทธโคดมพุทธเจ้าและพระสาวก........มีศรัทธาที่จะตัก

    บาตรถวายทานแด่พระพุทธองค์และพระสาวก.....ได้ตั้งใจถวายทานโดยเตรียมภัตตาหาร

    ไว้พร้อมสรรพบนถนนเส้นทางบิณฑบาตรของ............พระพุทธองค์และพระสาวก

    ........................และขณะที่พระพุทธองค์และพระสาวก...เสด็จมาเพื่อบิณฑบาต

    ตามเส้นทางดังกล่าว...........ด้วยความมุ่งหมายที่จะรับบาตรสงเคราะห์แก่ผู้มีจิตศรัทธา

    เลื่อมใส.....และนำภัตตาหารนั้น..........ไปบริโภคเพื่อยังประโยชน์แก่ร่างกาย

    ........................(1)เมื่อกล่าวถึงตอนนี้พิจารณาเป็นลำดับจะพบว่า...พระพุทธองค์

    และพระสาวก..คือ..1.ผู้ที่ห่มคลุมร่างกายด้วยผ้ากาสาวพัสตร์...2.อยู่ในภาวะของนักบวช

    ผู้ทรงศีลอันบริสุทธิ์...3.อยู่ในกาลของการบิณฑบาตขอรับอาหารเพื่อเลี้ยงชีพ

    ........................(2)เมื่อกล่าวถึงผู้คนจำนวนมากที่เคารพศรัทธาและตั้งใจที่จะถวาย

    ทานแด่พระพุทธองค์และพระสาวก..โดยเตรียมภัตตาหารมาถวายทานบิณฑบาต...ย่อม

    หวังความสำเร็จในการตักบาตร..........ถวายภัตตาหารเป็นทานนั้น....ซึ่งผลบุญของการ

    ตักบาตรถวายทาน............ย่อมยังประโยขน์ให้เกิดบุญกุศลส่งผลให้ในชาติภพต่อ ๆ มา

    ไม่อดอยาก........เกิดมาชาติใด.....ก็มีอาหารให้บริโภคอย่างบริบูรณ์ไปตลอด......
     
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ........................ในขณะนั้นพญาช้างนาฬาคิรีกำลังตกมันเมามายบ้าคลั่งอาละวาด

    ไปทั่วไปตามเส้นทางในเมือง.......และเมื่อมาถึงเส้นทางบิณฑบาต....ได้วิ่งกระโจนเข้า

    ใส่.....ผู้คนจำนวนมากที่กำลังเตรียมภัตตาหารไว้รอ.............เพื่อจะใส่บาตรถวาย

    ทานพระพุทธองค์และพระสาวก

    .........................ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องทิ้งภัตตาหารที่เตรียมไว้ใส่บาตร....และ

    วิ่งหนีพญาช้างนาฬาคิรีเพื่อเอาตัวรอด....จนกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง

    .........................และเมื่อเข้าสู่เส้นทาง......ที่พระพุทธองค์และพระสาวกเดิน

    บิณฑบาต......ได้พบเห็นพระพุทธองค์เดินนำหน้าและพระสาวกเดินตาม.........ก็วิ่ง

    กระโจนเข้าหา..........พระพุทธองค์ในทันที

    ..........................การกระทำของพญาช้างนาฬาคิรีในขณะนี้จะเห็นว่า..ท่านทำกรรม

    กระทบต่อ........1.ผู้คนจำนวนที่มีจิตศรัทธาเพื่อถวายทานตักบาตร..อันเป็นทานที่ยิ่ง

    ใหญ่ที่พวกเขาจะกระทำต่อพระพุทธองค์และพระสาวก.....และทำให้พระพุทธองค์และพระ

    สาวกไม่ได้รับภัตตาหารหรือทานในขณะนั้นเลย.......ผลกรรมนี้ย่อมทำให้ท่านเกิดมาชาติ

    ใดย่อมต้องอดอยาก...........เป็นอยู่อย่างแร้งแค้นในวิถีชีวิต

    ....................2.การที่ท่านวิ่งไล่จะทำร้ายผู้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์....ผ้ากาสาวพัสตร์จึง

    ไม่อาจคู่ควรกับท่านได้......เมื่อท่านห่มผ้ากาสาวพัสตร์นี้จะต้องมีเหตุต้องจากผ้านั้นไป

    ....................3.การที่ท่านไล่จะทำร้ายผู้ทรงศีล.......ยามใดท่านทรงศีลอยู่ก็จะต้อง

    ได้รับผลกรรมโดยถูกคนกลั่นแกล้งและทำร้าย....ดังหลักกรรมที่ว่า "ผู้ใดทำกรรมใดไว้

    ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น"

    .....................ซึ่งที่กล่าวมายังไม่ได้เอ่ยถึงในกรรมส่วนที่กระทำต่อพระพุทธองค์โดย

    เฉพาะแต่จะนำมากล่าวในตอนต่อไปครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2011
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 4 บุคคลผู้ที่ทำร้ายพระพุทธโคดมพุทธเจ้าที่ให้ผลกรรมทันที


    ....................ก่อนที่จะพิจารณาการกระทำของพญาช้างนาฬาคิรีในแง่ที่ละเอียดขึ้น

    ไปตามลำดับ.....จะต้องยกเอาผลกรรมของผู้ที่กระทำร้ายพระพุทธองค์มา"ชี้นำทาง"..

    การพิจารณากรรมในส่วนของพญาช้างนาฬาคิรีว่า........."มีความหนักเบาเช่นไรในผล

    กรรมของท่าน"

    ....................ในตอนนี้จะยกเอาผู้ที่ทำร้ายพระพุทธองค์ที่ปรากฏ..........ในส่วนที่เป็น

    เหตุ..."ทางกาย".. และ ..."วาจา"... ซึ่งทั้งสองอย่างก็มีส่วนของ.."เจตนาทางใจ"...

    ร่วมอยู่ด้วย.....อันได้พิจารณาให้เห็นว่า.."เมื่อส่วนทางกายหรือวาจารวมกับทางใจกระทำ

    ขึ้นแล้ว..."ย่อมเป็นกรรมที่สมบูรณ์"....และ..จะมาพิจารณาในรายละเอียดของ"กรรม

    พญาช้างนาฬาคิรี"..ว่า....."สมบูรณ์ตามฐานของกรรมหรือไม่"

    .....................(1) เหตุการณ์แรกนี้เป็นกรณีของ"พระเจ้าสุปปะพุทธะ" ผู้ซึ่งเป็นบิดา

    ของ"พระเทวทัตและพระนางพิมพา".......... หรือ......... เรียกภาษาชาวบ้านก็คือ

    "พ่อตาเจ้าชายสิทธัตถะ" .......เป็นกรรมเกิดจากการเบียดเบียนพระพุทธเจ้าทางกาย

    ......................ที่ยกขึ้นมาเป็นเรื่องแรก..เพราะเห็นว่า"พระพุทธองค์ได้พยากรณ์

    ความผิดหรือกรรมท่านไว้ด้วย" ดังนี้

    .......................หลังจากที่"พระเทวทัต"ถูกธรณีสูบลงนรกอเวจีเพราะจองล้างจอง

    ผลาญพระพุทธองค์นั้น พระเจ้าสุปปะพุทธะทรงทราบ...........แทนที่จะสำนึกในบาปบุญ

    คุณโทษ...กลับมีจิตโกรธแค้นอาฆาต...ทั้งยังโกรธแค้นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธองค์

    ในกาลต่อมา.....ที่ทอดทิ้งพระนางพิมพาราชธิดาของตนออกผนวช

    .......................ท่านจึงนำอำมาตย์ข้าราชบริพารไปนั่งดื่มสุรา"ขวางทางที่พระ

    พุทธองค์จะออกโปรดเวไนยสัตว์"........ทำให้ ..."พระพุทธองค์และพระสาวกเสด็จ

    ดำเนินไปไม่ได้..เพราะมีทางออกอยู่ทางเดียว...."พระพุทธองค์ถึงกับต้องอดพระ

    กระยาหารไป 1 วัน"

    .......................เมื่อพระอานนท์ทูลถามถึง"ความผิดหรือกรรมของพระเจ้าสุปปะ

    พุทธะที่กระทำเช่นนั้น"จะได้รับ........พระพุทธองค์ซึ่งทรงทราบด้วยญาณจึงตรัสว่า

    ......."ดูก่อนอานนท์..หลังจากนี้ไปได้เจ็ดวันสุปปะพุทธะจะลงอเวจีตามเทวทัตไป"

    ซึ่งเป็นคำพยากรณ์..กรรมหรือความผิดของพระเจ้าสุปปะพุทธะ...

    .......................เมื่อพระเจ้าสุปปะพุทธะทราบถึงพุทธดำรัส......จึงขึ้นไปประทับบน

    ชั้น 7 ของปราสาท...ทั้งยังให้นายทวารคอยขัดขวางไว้ไม่ให้พระองค์..ออกจากประสาท

    ใน 7 วัน

    .......................พระเจ้าสุปปะพุทธะประทับอยู่ในปราสาทชั้น 7 จนถึงวันที่ 7 ก็ได้ยิน

    เสียงม้าแก้ว ซึ่งเป็นม้าที่ทรงโปรดร้องก้อง....ด้วยความเป็นห่วงม้า.....พระเจ้าสุปปะ

    พุทธะจึงวิ่งลงมา......เหล่านายทวารก็คิดว่าครบ 7 วันตามกำหนดแล้ว...จึงไม่มีผู้ใดขัด

    ขวางไว้

    ........................พอพระเจ้าสุปปะพุทธะก้าวพ้นปราสาทเหยียบพระบาทลงบนพื้น

    ธรณี.....ธรณีก็แยกเปิดออกสูบพระเจ้าสุปปะพุทธลงสู่ขุมนรกอเวจีทันที.......ตามพระ

    พุทธดำรัสที่ทรงรู้ด้วยญาณ

    ........................พอเห็นแนวทางกับเหตุการณ์แรกที่ยกมาครั้งนี้ไหมครับ...ว่าผู้ที่

    กระทำกรรมอันทำร้ายพระพุทธองค์..เป็นกรรมหนักและให้ผลรวดเร็วเพียงใด...ที่ยกมาก็

    เพื่อเป็นแนวทางใน......."การพิจารณากรรมของพญาช้างนาฬาคิรี"ต่อไป.............

    เพื่อ....."ค้นหาตามรอยภพภูมิของท่าน".........ว่าหลังจากที่"ท่านสิ้นชีวิตในสมัย

    พุทธองค์แล้ว...ท่านน่าจะไปอยู่ภพภูมิใด".......ซึ่งพระพุทธองค์และในพระไตรปิฏกก็มิ

    ได้แสดงไว้.....จึงต้องหาทางค้นหากันต่อไปครับ.

    ........................................(ยังมีต่อครับ)........................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24012009627.jpg
      24012009627.jpg
      ขนาดไฟล์:
      577.8 KB
      เปิดดู:
      109
    • 24012009629.jpg
      24012009629.jpg
      ขนาดไฟล์:
      739.5 KB
      เปิดดู:
      167
    • 24012009646.jpg
      24012009646.jpg
      ขนาดไฟล์:
      923.1 KB
      เปิดดู:
      169
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2011
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 4บุคคลผู้ที่ทำร้ายพระพุทธโคดมพุทธเจ้าที่ให้ผลกรรมทันที(ต่อ1)


    ....................ในเหตุการณ์ตอนนี้..จะกล่าวถึงบุคคลผู้ที่ทำร้ายพระพุทธองค์เกี่ยว

    กับ"ทางวาจา" โดยการเบียดเบียนพระพุทธองค์ด้วยคำพูดที่ให้ร้ายพระพุทธองค์ดังนี้

    ....................(2) เหตุการณ์ที่สองนี้เป็นกรณีของ"นางจิญจมาณวิกา" ซึ่งได้กระทำ

    กรรมต่อพระพุทธองค์"ด้วยการใช้วาจาใส่ร้าย" ต่อพระพุทธองค์โดยตรง

    .....................ซึ่ง กรณีของนางจิญจมาณวิกา .....ได้มีกล่าวถึงใน"พระชัยมงคล

    คาถา(พาหุง)"ไว้ด้วย เรื่องมีอยู่ว่า.....นางจิญจมาณวิกา ....ได้หลงผิดไปรับอาสาพวก

    ปริพพาชก....ผู้เชื่อถือศรัทธาในนิกายหนึ่ง..........ซึ่งเกิดความอิจฉาริษยาที่เห็นคนไป

    เคารพเชื่อถือ...ในคำสอนของพระพุทธองค์

    .....................จึงใช้ให้นางจิญจมาณวิกาให้แกล้งทำอุบาย....โดยทำทีไปหา...พระ

    พุทธองค์ให้คนทั่วไปได้เห็น....และต่อมาแกล้งทำเป็นหญิงมีครรภ์........ โดยเอาไม้

    กลึงนูนไปผูกรัดไว้ที่หน้าท้องในเสื้อผ้า.....เพื่อให้ดูเหมือน"นางกำลังมีครรภ์"

    แล้วได้เดินทางไปหาพระพุทธองค์.......ขณะที่กำลังแสดงธรรมต่อพุทธบริษัท

    ....................เมื่อไปอยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์และพุทธบริษัทนางได้ตะโกนด้วยเสียง

    อันดังว่า.."ท่านสมณะโคดม..จะมัวมาเทศน์หน้านวลอยู่ใย...ทำให้ฉันมีครรภ์เช่นนี้..มิ

    ดูแล...อย่ามัวเทศน์โปรดสัตว์อยู่เลย...จงไปตัดฟืนไว้ให้ฉันดีกว่า...เมื่อเวลาคลอดลูกจะ

    มิลำบาก"

    ...................พระพุทธองค์ทรงสดับ จึงหยุดเทศนาและตรัสแก่นางจิญจมานวิกาด้วย

    ท่าทีสงบว่า..."ดูก่อนภคินี...เรื่องที่เธอกล่าวนั้น ..คนอื่นไม่รู้ด้วยหรอก..จะมีเธอกับ

    ตถาคต....เพียงสองคนเท่านั้นที่รู้"

    ...................เหล่าพุทธบริษัททั้งหลายที่ได้ฟังต่างก็สงสัย"ด้วยพระพุทธองค์ก็มิได้

    ปฏิเสธ"

    ...................ร้อนถึงพระอินทร์ต้องแปลงร่าง.........เป็นหนูไปกัดเชือกที่หน้าท้อง

    ของนางจิญจมาณวิกา

    ...................เมื่อเชือกขาด......ไม้ที่ทำให้ท้องนูนเหมือนคนท้อง.......จึงหลุด

    ลง...........ท่ามกลางสายตาพุทธบริษัท......นางตกใจวิ่งหนีไป

    ...................แต่พอลับตาไป...ธรณีก็แยกสูบเอานางจิญจมาณวิกาลงขุมนรกอเวจี

    ทันที.....

    ....................จะเห็นว่า.."การกระทำที่กระทำต่อพระพุทธองค์ด้วยกายและวาจา"ที่

    กล่าวมาในสองเหตุการณ์...จะเห็นว่า..ผู้ที่กระทำทั้งสอง..ทั้งพระเจ้าสุปปะพุทธะ..และ

    นางจิญจมาณวิกา..ต่างก็ได้รับผลทันที...และถูกธรณีสูบลงนรกอเวจีทั้งคู่....

    ....................จึงทำให้เราพอเห็นหลักเกณฑ์เบื้องต้นว่า........เมื่อผู้ใดทำกรรมใน

    ลักษณะนี้ต่อพระพุทธองค์......ย่อมน่าจะพบจุดจบเหมือน..."พระเจ้าสุปปะพุทธะ"........

    และ..."นางจิญจมาณวิกา"...ครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24012009626.jpg
      24012009626.jpg
      ขนาดไฟล์:
      592.8 KB
      เปิดดู:
      199
  5. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    พี่ชาย ผมขอวิเคราะห์ต่อน่ะครับ

    คือว่าครูบาขาวปี หากเป็นพญาช้างนาราคิริงจริงๆ บำเพ็ญเพียรเพื่ออนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ชาติที่ท่านเสวยชาติเป็นครูบาขาวปีนี้ น่าเป็นหนึ่งชาติที่ท่านบำเพ็ญเพียร ขันติบารมี และวิริยะบารมี(อาจจะมีเนกขัมมะบารมีด้วยครับ) เป็นแน่แท้ครับ และด้วยจิตใจเด็ดเดี่ยวแบบพระโพธิสัตว์ท่านจึงแน่วแน่ในวิถีแห่งการฝึกตนและไม่คลายศรัทธา ซึ่งกรรมทั้งหมดเป็นบททดสอบความเป็นพุทธภูมิ และเป็นกรรมที่น่าจะสืบทอดมาหลายกัปป์ ไม่ใช่แค่กับพระพุทธโคดมอย่างเดียวเป็นแน่แท้ แต่กรรมที่ทำกับพระพุทธเจ้าถือเป็นกรรมหนัก และบางทีอาจจะสร้างกรรมหนักไว้ในชาติก่อนหน้าที่ก็เป็นได้ครับ

    มาช่วยวิเคราะห์ครับพี่ชาย อิอิอิ
     
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    ..........ผมก็มีความเห็นใกล้เคียงกับ"น้องชาย"ครับ....แต่ต้อง

    พิจารณา...ในส่วนที่ท่านกระทำต่อ"พระพุทธองค์"มาวิเคราะห์

    รวมด้วยครับ.......

    ..........เพราะการตามหา"ภพภูมิ"ของท่านในกรณี..สืบหา

    ตามกรรม...ว่า"หลังจากเสียชีวิตแล้ว"...ท่านน่าจะไปที่ใดครับ.
     
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 4บุคคลผู้ที่ทำร้ายพระพุทธโคดมพุทธเจ้าที่ให้ผลกรรมทันที(ต่อ2)


    .....................เนื่องจาก"กรรม" เป็นเรื่องของ"อจินไตย" ...ดังนั้น...การขบคิดหา

    เหตุผล...เข้าเชื่อมโยง..จึงค่อนข้างหนักเอาการอยู่....

    .....................ผมจึงพยายามยกหลักเกณฑ์ในอดีตของผู้ที่กระทำร้ายพระพุทธองค์

    เข้ามาเปรียบเทียบหรือเทียบเคียง...ว่า.."มีความหนักเบาเพียงไร"..."มีความช้าหรือรวด

    เร็วเพียงใด"...ซึ่งจากสองเหตุการณ์จะเห็นว่า "เป็นกรรมหนักและให้ผลค่อนข้างรวดเร็ว"

    .....................ที่นี้มาดูเหตุการณ์ที่ 3 อีกเหตุการณ์หนึ่งอันเป็นเหตุการณ์สุดท้ายที่จะ

    จบตอนที่ 4......เป็นเหตุการณ์การกระทำของ"พระเทวทัต"คู่เวรของพระพุทธองค์มา

    ตั้งแต่อดีตชาติ........สมัยชาติที่เป็นปฐมเหตุอาฆาตของพระเทวทัต.............อยู่ใน

    ชาดก..."เสรีววาณิช".....ซึ่งเหตุการณ์ของเรื่อง........มีอยู่ในกระทู้นี้ในส่วนที่ผมนำเอา

    ชาดกมานำเสนอแล้ว...

    .....................พ่อค้าใจคตเมื่อทำอะไรไม่ได้ยิ่งแค้นหนักขึ้น...มือทั้งสองกำเม็ดทราย

    ชูขึ้น..พร้อมกับกล่าวคำอาฆาตว่า ...."หากจำนวนเม็ดทรายในกำมือนี้คือ "ภพชาติที่เจ้า

    และข้าจะต้องเกิดอีก" ..ข้าก็จะขอติดตามจองล้างจองผลาญเจ้าไปจนถึงที่สุด....จนกว่า

    จะเข้านิพพานกันไปข้างหนึ่ง"

    ......................เป็นคำกล่าวของพ่อค้าใจคตหรือพระเทวทัต..กล่าวต่อพ่อค้าใจซื่อ

    หรือพระพุทธองค์......

    ......................ด้วยวาจาดังกล่าว...เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว..ตามวาจา

    ของพ่อค้าใจคตที่จะตามจองเวร....แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้านิพพานกันไปข้างหนึ่ง.........

    ......................ดังนั้นการจองเวรของท่านจึงสิ้นสุดลงในชาตินั้น....เมื่อท่านถูกธรณี

    สูบลงนรกอเวจีไป....โดยน่าจะสิ้นสุดลงในขณะที่..พระเทวทัตได้ให้ศิษย์หามท่านไปเพื่อ

    กราบขอขมาอภัยโทษต่อพระพุทธองค์...และก่อนถูกธรณีสูบได้เปล่ง"วาจาขอถวายคางที่

    ใกล้จะจมธรณีแด่พระพุทธองค์"....

    ......................เมื่อพิจารณาถึงภาวะหรืออัตภาพความเป็นอยู่ของ..พระเทวทัตที่เกิด

    มา...น่าที่ท่านจะต้องมี....บุญบารมีมากทีเดียว.....แต่ก็มีกรรมที่กระทำต่อพระพุทธองค์

    ในสมัยบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติอยู่ไม่ใช่น้อย...ท่านตกนรกบ่อยครั้ง

    ......................ในส่วนของเรื่องราวทางชาดกที่เอ่ยถึง....อดีตชาติของพระเทวทัต

    กับพระพุทธองค์...จะเห็นว่า..มีแต่พระเทวทัตทำกรรมชั่วมาตลอด....แล้วก็ตกนรก...ไม่

    เห็นมีกรรมใดที่เป็นส่วนดีเลย

    ......................แต่ก็คงมีชาติที่ พระเทวทัต กับ พระพุทธองค์ ไม่ได้เกิดร่วมชาติกัน...

    แล้วพระเทวทัต..ได้บำเพ็ญบุญบารมีในการสร้างความดีอยู่......บุญความดีจึงให้ผล

    ......................แต่เมื่อใดเกิดร่วมชาติกับพระพุทธองค์สมัยเป็นพระโพธิสัตว์.....พระ

    เทวทัต...ต้องสร้างกรรมชั่วขึ้นทันที.....คงจะเป็นแรงอาฆาต..ที่มาจาก"ชาดกปฐมเหตุ"

    ที่กล่าวมา......
     
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ......................ที่กล่าวว่าพระเทวทัต..น่าจะมีบุญบารมีมากทีเดียวก็คือ

    ......................1.ได้เกิดมาพบพระพุทธเจ้า.

    ......................2.ได้มีโอกาสบวชและเป็นพระสาวกในสำนักของพระพุทธเจ้า ..

    ......................3.ได้ปฏิบัติธรรมจนได้ฌาณ 4

    ......................4.ได้เกิดในราชวงศ์ของกษัตริย์

    ......................5.มีฐานะมีความมังคั่ง...มีความเป็นอยู่ที่ดี

    .......................ฯลฯ........

    .......................สิ่งที่กล่าวมา..ย่อมเป็นเรื่องของบุญบารมีนำส่งมาทั้งนั้น จึงสามารถ

    สรุปได้ส่วนหนึ่งว่า"พระเทวทัตไม่ได้มีกรรมชั่วที่ส่งผลอย่างเดียว...แต่ยังมีกรรมดีที่ส่งผล

    สนองตอบมาด้วย"

    .......................เมื่อสมัยที่เกิดเป็น.."ชูชก"...ได้มีบุญส่งผลให้ได้.."ภริยาที่แสนสวย

    เป็นหญิงที่มีกริยาวาจาเรียบร้อย..คือ นางอมิตตาดา".

    .......................มีเรื่องเล่าจากหลวงพ่อท่านหนึ่ง...ผมก็จำไม่ได้ว่าท่านใด...ได้

    กล่าวถึงกรณีบุพเพของ..."เฒ่าชูชก" กับ "นางอมิตตาดา"..ว่าในเรื่องรูปร่างและลักษณะ

    ท่าทางไม่คู่ควรกันเลย...เป็นผลกรรมจากอะไร

    .......................ท่านเล่าว่า"เนื่องมาจากอดีตชาติของชูชก...ครั้งหนึ่งได้เคยถวาย

    ดอกไม้ที่สวยสด..ซึ่งได้ตกแต่งจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย...ถวายแด่พระ....(ผมก็จำไม่

    ได้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าในอดีตหรือเปล่า)

    .......................ส่วน"นางอมิตตาดาในอดีตชาติก็เคยถวายดอกไม้ที่แห้งเหี่ยว..ก้าน

    คตงอ...ไม่สวยงามเอาเสียเลย...แด่พระ(ก็ไม่ยืนยันว่าเป็นพระพุทธเจ้าในอดีตหรือเปล่า)"

    .......................ด้วยผลบุญและผลกรรม...ได้นำพาทั้งคู่ให้มาคู่กัน.....ผมก็ไม่ทราบ

    ว่ามาจากชาดกหรือเรื่องราวในพระไตรปิฎกตอนไหน....ก็เลยเอาเป็นเรื่องเล่าก็แล้วกัน

    .......................ถ้าเรื่อง"ถวายดอกไม้แด่พระ" เป็นเรื่องที่ให้ผล.....ของการมีคู่ครอง

    ที่งดงาม...ก็คงต้องเลือกถวายดอกไม้ที่สวยสดงดงามแด่พระแล้วละครับ....

    .......................เกือบลืมอีกตอนหนึ่ง...ท่านบอกว่า...ดอกไม้ที่ใช้เวียนเทียนที่ใช้

    บูชาตามวัด...ที่คนแรกไหว้บูชาแล้ว....เจ้าหน้าที่ก็เก็บไปจำหน่ายต่อให้คนต่อมานำไป

    บูชาอีก......ท่านบอกว่า...อาจให้ผลที่ต้องมีภริยา...หรือสามี...ที่เขาเลิกร้างกับคู่เดิม

    แล้วจึงเป็นของเรา....อันนี้ผมไม่รับรองว่าเป็นจริงไหมนะครับ...อาจเป็นเพียงความเห็น

    ของท่าน....

    .......................เหตุที่ต้องนำเอาเรื่องของบุญบารมีของพระเทวทัตมาเอ่ยถึง...ก็เพื่อ

    ให้สมเหตุผลที่ว่า....สองเหตุการณ์แรกทำกระทำร้ายต่อพระพุทธองค์เพียงคราวเดียว...

    และได้รับผลกรรมหนักที่รวดเร็ว.....

    .......................แต่พอถึงพระเทวทัต...สารพัดวิธีทำร้ายพระพุทธองค์ต้องหลาย

    ครั้ง.....แต่ผลกรรมให้ผลช้ากว่าสองเหตุการณ์แรก.......ก็คงเป็นเพราะบุญกุศลของท่าน

    ยังคงให้ผลอยู่..ท่านจึงไม่ได้รับผลกรรมที่กระทำต่อพระพุทธองค์ในทันทีที่ทำ...
     
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .......................(3)เหตุการณ์ที่สามนี้เป็นกรณี "พระเทวทัต" ซึ่งได้กระทำกรรมต่อ

    พระพุทธองค์...โดยได้ทำร้ายพระพุทธองค์หลายครั้ง ดังนี้

    ........................พระเทวทัตมีจิตริษยาอาฆาตพระพุทธองค์มาแต่เยาว์วัย...เมื่อพระ

    พุทธองค์ทรงผนวช...พระเทวทัตก็ออกผนวชด้วย...และเมื่อพระพุทธองค์บรรลุพระ

    โพธิญาณ...พระเทวทัตก็สำเร็จโลกีย์ญาณ.......ได้อภิญญาสามารถแปลงกายเหาะเหิน

    เดินอากาศได้...แม้สำเร็จถึงขั้นนี้แล้ว...พระเทวทัตก็ยังมุ่งประกอบกรรมชั่ว..จองล้างจอง

    ผลาญพระพุทธองค์ตลอด.

    .....................ครั้งหนึ่งได้ส่งนายขมังธนูไปปลงพระชนม์.........เพื่อจะตั้งตนเป็น

    พระศาสดาเสียเอง....แต่นายขมังธนูที่ส่งไปกลับปลงอาวุธ..........และฟังธรรมสำเร็จ

    มรรคผล

    .....................เมื่อไม่สำเร็จก็ยุงยงให้พระเจ้าอชาตศัตรูที่เคยเลื่อมใสพระพุทธองค์จน

    หลงผิดถึงขั้นปลงพระชนม์พระบิดาของตัวเอง....และยุงยงให้มอมเหล้าพญาช้างนาฬาคิรี

    ให้เมามันดุร้ายไปทำร้ายพระพุทธเจ้า

    ....................ทั้งยังยุยงหมูสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ว่า ...พระองค์ยังพัวพันกับ

    .....มัวหมองในพรหมจรรย์ฉันพระกายาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์..ขณะที่พระเทวทัตหันไป

    ฉันมังสวิรัติ........และโอ้อวดว่ามีพรหมจรรย์ที่เหนือกว่า...........ทำให้สงฆ์แตกแยก

    เป็นสองฝ่าย.

    ....................และได้กลิ้งหินก้อนใหญ่เพื่อปลงพระชนม์พระพุทธองค์....จนในที่สุดก็

    ล้มป่วย....และสำนึกผิดให้ศิษย์พามาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์....แต่ก็มิได้เข้าเฝ้าเนื่องจากถูก

    ธรณีสูบลงนรกอเวจีไปในที่สุด

    ......................จะเห็นว่า"พระเทวทัตกระทำร้ายพระพุทธองค์หลายครั้งและทำกรรม

    ชั่วอย่างอื่นด้วย"......แต่กรรมนั้นก็ยังให้ผลช้า......แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็มีจุดจบโดยธรณี

    สูบลงนรกอเวจีเหมือนกับกรณี "พระเจ้าสุปปะพุทธะ" และ "นางจิญจมาณวิกา" ครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • %2B.jpg
      %2B.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.7 KB
      เปิดดู:
      89
    • return_3.jpg
      return_3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      146.2 KB
      เปิดดู:
      82
    • sue-93-budha-3.jpg
      sue-93-budha-3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.2 KB
      เปิดดู:
      86
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2011
  10. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    พี่ชาย เคยอ่านเรื่องที่พระพุทธเจ้าทำไมต้องบำเพ็ญทุกขกริยาเป็นเวลาถึงหกปีหรือป่าวครับ ที่แท้เป็นกรรมของพระองค์นี่เองครับ ฟังเทศตอนทำงานครับ น่าสนใจดีครับ
     
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    ............."น้องชาย"..พี่ชายเขียนเรื่อง "บุพกรรมอันใดของพระพุทธองค์ทำ

    ให้ใช้เวลา 6 ปีจึงตรัสรู้" อยู่ในกระทู้หน้าที่ 2 ครับ

    .............เป็นเรื่องของ"ช่างปั้นหม้อ"ที่เป็นเพื่อนกับ"โชติปาล"(อดีตชาติ

    พระพุทธองค์)....โดยช่างปั้นหม้อได้อุปัฏฐากและฟังธรรมจาก...."พระพุทธ

    กัสสปพุทธเจ้า"...จึงอยากให้โชติปาลได้พบและฟังธรรม...............จาก

    พระพุทธกัสสปพุทธเจ้าบ้าง....จึงได้ฉุดกระชาก..ดึงผมให้โชติปาลไปเข้าเฝ้า

    พระพุทธกัสสปพุทธเจ้าให้ได้.....ทำให้โชติปาลไม่พอใจและ....โชติปาลได้

    กล่าวในทำนองว่า...พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ...คือไม่เชื่อว่าเป็นจริง...

    การกล่าวทำนองนี้...ทำให้ผลกรรมตามสนองท่านให้ต้องบำเพ็ญเพียรถึง 6

    ปี..จึงได้ตรัสรู้ครับ......รายละเอียดอยู่ในกระทู้หน้าที่ 2 ครับ"น้องชาย".
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2011
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 5 พฤติการณ์การกระทำของพญาช้างฯต่อพระพุทธองค์


    ....................ในเหตุการณ์ที่ยกตัวอย่างมาในตอนที่ 4 เรื่องของ "พระเจ้าสุปปะ

    พุทธะ" กระทำร้ายพระพุทธองค์ทางกาย,........ "นางจิญจมาณวิกา" กระทำร้ายพระ

    พุทธองค์ทางวาจา ....และ ..........."พระเทวทัต" กระทำทั้งกายและวาจา(ตอนวาจาคือ

    ใส่ร้ายพระพุทธองค์ตอนแบ่งแยกพระสงฆ์)

    ....................โดยทั้งสามคน..............ต่างก็ถูกธรณีสูบลงนรกอเวจี

    ....................ซึ่งทั้ง 3 เหตุการณ์ทั้ง"พระเจ้าสุปปะพุทธะ","นางจิญจมาณวิกา"

    และ"พระเทวทัต" ........มีใจมุ่งหมายที่กระทำต่อพระพุทธองค์.......โดยรู้ว่าสิ่งที่พวก

    ท่านทั้งสามกระทำนั้น........เป็นการกระทำร้ายต่อพระพุทธองค์

    ....................แต่การกระทำของ"พญาช้างนาฬาคิรี" กลับต่างจากทั้งสามเหตุการณ์

    เมื่อดูพฤติการณ์ของการกระทำจะเห็นว่า....พญาช้างนาฬาคิรีก่อนถูกปล่อยออกไปจากโรง

    ช้างนั้น.......ได้ถูกมอมเหล้าถึง 16 หม้อในขณะที่กำลังตกมัน

    ....................เมื่อทั้งตกมันและเมามาย...จึงทำให้บ้าคลั่ง.................

    ....................เมื่อพิจารณาถึงตอนนี้........จะพบพฤติการณ์ให้เห็นอย่างมีเหตุมีผล

    ว่า.........พญาช้างนาฬาคิรีถูกปล่อยไปในขณะที่บ้าคลั่ง...ไม่รู้สึกตัว...เมื่อพบบุคคล

    หรือสิ่งของขวางหน้าก็วิ่งกระโจน.....ตรงเข้าไล่ทำร้าย........หรือทำลาย........

    ....................จึงเป็นไปไม่ได้เลย..ที่พญาช้างนาฬาคิรีจะรู้ตัวว่า...........ตนจะ

    "ทำร้ายพระพุทธองค์"............แต่พฤติการณ์น่าจะเป็นเพียงเห็น"คนขวางหน้าก็วิ่ง

    กระโจนเข้าทำร้ายบุคคล"...มากกว่าจะรู้ตัวว่า"จะทำร้ายพระพุทธองค์"
     
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ขณะพญาช้างนาฬาคิรี..วิ่งกระโจนเข้าใส่พระพุทธองค์......พระ

    พุทธองค์ทำเช่นไรบ้าง

    .....................พระพุทธองค์ได้สงบนิ่ง...แผ่เมตตาและบุญบารมีซึ่งอบรมมาเป็นเวลา

    นานหลายชาติแผ่ซ่านออกจากพระทัย....ไปกระทบเข้ากับ..ใจอันคลุ้มคลั่งด้วยความเมา

    ของพญาช้างนาฬาคิรี....พญาช้างหยุดชะงัก...ใจซึ่งรุ่มร้อนด้วยโมหะสงบลง

    .....................และพระพุทธองค์ได้กล่าวว่า "นาฬาคิรีเอย..เธอถือกำเนิดเป็น

    เดรัจฉานในชาตินี้..เพราะกรรมอันไม่ดีของเธอในชาติก่อนแต่งให้..เธอย่าประกอบกรรม

    หนักคือทำร้ายพระพุทธเจ้าเช่นเราอีกเลย...เพราะจะมีผลเป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน"

    .....................สิ้นสุดคำตรัสของพระพุทธองค์"พญาช้างนาฬาคิรี"......ที่ดูคลุ้มคลั่ง

    สงบลง.......และแสดงอาการสำนึกผิดโดยหมอบลงแทบเท้า.......ต่อหน้าพระพักตร์

    แสดงความเคารพต่อพระพุทธองค์

    ......................พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า..."พญาช้างนาฬาคิรี"..เพื่งมารู้ว่า

    ตนจะทำร้ายพระพุทธองค์.....เมื่อพระพุทธองค์ได้ส่งแผ่เมตตาบุญบารมีและส่งจิต...

    พร้อมกับตรัสบอกให้รู้....ว่า "พญาช้างนาฬาคิรี"จะทำร้ายพระพุทธองค์......โดยแต่ก่อน

    น่านั้นเชื่อว่า......."พญาช้างนาฬาคิรี"ไม่รู้ว่าจะทำร้ายพระพุทธองค์ครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2011
  14. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    แต่ที่ผมฟังจากพระที่เทศ ไม่เหมือนของพี่ชายครับ แตกต่างกันนิดหน่อย แต่คล้ายกันครับ
     
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 6 พระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสชี้ทางแก่พญาช้างนาฬาคิรี


    ......................ผมขอทำความเข้าใจเรื่องภพภูมิที่จะเกี่ยวพันถึง...พระธรรมที่

    พระองค์ตรัสชี้ทางแก่พญาช้างนาฬาคิรี...เพื่อรองรับพฤติการณ์ว่า...พระโพธิสัตว์พญา

    ช้างนาฬาคิรีน่าจะ........มีวิถีทางไปภพภูมิใด...สักเล็กน้อยสั้น ๆ

    ......................"สุคติภูมิ" มี 4 อย่าง ได้ แก่ มนุษย์ เทพ พรหม อรูปพรหม

    ......................"ทุคติภูมิ" มี 4 อย่าง ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน

    ......................"ภพภูมิของพระโพธิสัตว์" ยังมีวิถีที่เป็นไปอย่างขึ้น ๆ ลง ๆ ตามกรรม

    ที่ทำไว้ ใน"สุคติภูมิ" และ "ทุคติภูมิ"

    ......................"ภพภูมิของพระอริยเจ้า" ตั้งแต่ "พระโสดาบัน" ขึ้นไป..ไม่มีตกอบาย

    หรือตกต่ำ...หรือนำสู่"ทุคติภูมิ"...วิถีกรรมของท่านนำพาไปสู่"สุคติภูมิ"เพียงอย่างเดียว

    ......................นี่เป็นบทสรุปเนื้อความสั้น ๆ จากทัศนคติทางพุทธศาสนาและในพระ

    ไตรปิฎก

    ......................"ภพภูมิของพระโพธิสัตว์" ที่กล่าวถึง...การขึ้น ๆ ลง ๆ ..และไป

    ยัง"ทุคติภูมิ"... ได้แก่ "ภูมิของสัตว์เดรัจฉาน" มีพฤติการณ์หลักฐานรองรับ..คือ

    .......................เรื่องราวในอดีตชาติของพระโพธิสัตว์(พระพุทธโคดมพุทธเจ้า)..ที่

    กล่าวไว้ในชกดกหลาย ๆ เรื่อง ......เช่น..พระองค์เคยเกิดเป็น...พญานกยูงทอง..พญา

    เต่าเลือน(เต่าเรือน)..พญาสุนัข..พญากวางทอง..พญาช้างฉัตทันต์..พญาปลาช่อน..ลูก

    นกคุ้ม..กระต่ายป่า ...เป็นต้น

    ....................ส่วนในเรื่องของ.."นรกภูมิ".. มีเอ่ยถึงในชาดกเรื่อง "พระเตมีย์กุมาร"

    ซึ่งอยู่ใน 10 พระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์...มีเนื้อเรื่องในส่วนดังกล่าวมีว่า

    ......................วันหนึ่ง"พระเจ้ากาสิกราช"ทรงอุ้ม"พระเตมีย์กุมาร"ซึ่งมีพระชนม์ได้ 1

    เดือน มาไว้บนพระเพลา....ในขณะที่พระองค์กำลังพิพากษาโทษผู้ร้าย 4 คนนั้น....พระ

    เจ้ากาสิกราชได้ตรัสสั่งให้...เอาหวายที่มีหนามแหลมคมมาเฆี่ยนตีผู้ร้านคนที่หนึ่งให้ถึงแก่

    ความตาย......เอาผู้ร้ายคนที่สองส่งไปขังคุกผูกด้วยโซ่ตรวนให้ถึงแก่ความตาย....คนที่

    สามให้แทงด้วยฉมวกที่ศีรษะจนถึงแก่ความตาย....และคนที่สี่ให้ใช้หลาวเสียบและตรึง

    ประจานไว้ที่ทางสองแพร่งจนกว่าจะตาย

    .......................พระเตมีย์กุมารซึ่งนั่งอยู่บนพระเพลาพระบิดา...ได้ยินคำพิพากษา

    ตัดสินนั้น...ก็มี"ความตกใจหวาดกลัว"ด้วยคิดว่า...."ถ้าเราโตขึ้นได้เป็นกษัตริย์..เราคง

    ต้องตัดสินโทษผู้ร้ายบ้าง...และคงต้องบาปเช่นเดียวกันนี้...เมื่อเราตายไป...ก็จะต้องตก

    นรกอย่างแน่นอน"

    .......................เนื่องจากพระเตมีย์กุมารเป็นผู้มีบุญ...จึงทรงรำลึกชาติได้..และทรง

    ทราบว่า...ในชาติก่อนได้ทรงเคยเป็นพระราชาครองเมืองกาสี..ครองราชสมบัติอยู่

    ประมาณ 20 ปี..และ"ได้ตัดสินโทษผู้ร้ายอย่างเดียวกันนี้"..........เมื่อสิ้นพระชนม์จึง

    ต้อง"ตกนรกนาน 8,400 ปี" ................ ทรงได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอันมาก...

    พระเตมีย์กุมารทรงมีความหวาดกลัวอย่างยิ่ง..ทรงรำพึงว่า"ทำอย่างไรหนอ เราจึงจะไม่

    ต้องทำบาปและพ้นจากเรือนฆ่าโจรนี้ไปได้"

    ......................ส่วนในเรื่อง"ทุคติภูมิ"อีก 2 อย่าง คือ "เปรต" กับ "อสุรกาย"ในส่วน

    ของพระพุทธองค์...ผมค้นหาไม่พบจึงไม่รับรองว่า"มีหรือไม่"

    ......................ส่วนของ"ภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี" ในสมัยพระโคดม

    พุทธเจ้า...ท่านก็อยู่ในภูมิของสัตว์เดรัจฉานให้เห็นเป็นที่ชัดเจนแล้ว

    ......................สรุปในส่วน"ภพภูมิของพระโพธิสัตว์"นั้น...ไปสู่ทุคติภูมิ.......ตาม

    ผลกรรมชั่วที่ทำไว้....ได้อย่างแน่นอนครับ.

    .........................................(มีต่อครับ).........................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 31082009390.jpg
      31082009390.jpg
      ขนาดไฟล์:
      511.2 KB
      เปิดดู:
      111
    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.3 KB
      เปิดดู:
      109
    • IMG_0956.JPG
      IMG_0956.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.8 MB
      เปิดดู:
      113
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2011
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 6 พระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสชี้ทางแก่พญาช้างนาฬาคิรี(ต่อ 1)


    ......................พระพุทธโคดมพุทธเจ้า..ทรงตรัสถึง "พญาช้างนาฬาคิรี" ......มีอยู่

    2 เหตุการณ์เท่าที่ตรวจพบ..ดังนี้

    ......................เหตุการณ์แรก คือ เหตุการณ์ที่อยู่ในเรื่อง "ชัยมงคลคาถา(พาหุง)"

    ซึ่งจะได้กล่าวรายละเอียดต่อไปถึงพระธรรมที่พระพุทธโคดมพุทธเจ้าตรัสชี้ทางแก่พญา

    ช้างนาฬาคิรี....ซึ่งนำไปสู่"การชี้ร่องรอยภพภูมิของพญาช้างนาฬาคิรี"..ที่เป็นปัญหาอยู่

    ขณะนี้ได้เป็นอย่างดีในเบื้องต้น...โดยอาศัย.."กรรมหรือการกระทำชี้ภพภูมิ".

    ...................ส่วนในลำดับการวิเคราะห์ต่อมา..ว่า"ท่านน่าจะใช้ครูบาอภิชัยขาวปีหรือ

    ครูบาขาวปีหรือไม่"..ต้องอาศัยวิถีญาณการรู้ของ"หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ".....ที่เอ่ยถึงครู

    บาขาวปีเคยเป็นช้างนาฬาคิรี"....ก็มาเข้าประวัติบางส่วนของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร..ว่า

    วาจาท่านน่าเชื่อเพียงใด....และกล่าวต่อในส่วนของ"ครูบาขาวปีเองท่านเคยแสดงปริศนา

    ใด ๆ ว่า....ท่านรู้ว่า...ท่านคือพญาช้างนาฬาคิรี..ให้ศิษย์หรือบุคคลใดรับรู้หรือไม่"

    ......................เหตุการณ์ที่สอง คือ เหตุการณ์ที่พระพุทธโคดมเอ่ยแก่พระสาวกซึ่งน่า

    จะเป็นพระสารีบุตรที่ทูลถามถึงเรื่องของ"พระพุทธเจ้าในอนาคต" ซึ่งได้เอ่ยถึง"พญาช้าง

    นาฬาคิรี"เอาไว้อยู่ 2 ชาติ คือ....ชาติในอดีต... และ ...ชาติในอนาคต

    ......................ชาติในอดีตที่เกิดเป็น"พระธรรมเสน" ....ในสมัย"พระโกนาคม

    พุทธเจ้า"

    ......................ได้ให้ทาน"พระโอรสและพระธิดา"......ให้แก่......."ยักษ์กินเป็น

    อาหาร"

    ......................ให้ทาน"พระมเหสี" ให้แก่.."บุรุษแก่ผู้ยากไร้"

    ......................ให้ทาน"ราชสมบัติและความเป็นกษัตริย์"........ให้แก่บุรุษแก่ผู้ยากไร้

    คนที่ได้รับพระมเหสีเป็นทาน...

    ......................ถวายทานบูชา..โดยใช้เล็บจิกคอตัดพระเศียรถวายบูชา..พระโกนาคม

    พุทธเจ้า....โดยตั้งความปรารถนาจะเป็น"พระพุทธเจ้า"ในอนาคต..

    .......................ชาติในอนาคต..ที่พระพุทธโคดมกล่าวถึงว่า...พญาช้างนาฬาคิรีจะ

    ได้ตรัสรู้สำเร็จเป็น"พระติสสะพุทธเจ้า"พระพุทธเจ้าในอนาคตองค์ที่ 9

    .......................รายละเอียดของเหตุการณ์ที่สองนี้..มีอยู่ในกระทู้"พระอนาคตวงศ์

    10 พระองค์"ของคุณ Wisdom ในกระทู้แนะนำของห้องพุทธภูมิ-พระโพธิสัตว์ แล้วหาก

    ท่านผู้อ่านอยากรู้ในรายละเอียดเพิ่มเติม...ผมขอนำเสนอให้อ่านกระทู้ดังกล่าวครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24012009624.jpg
      24012009624.jpg
      ขนาดไฟล์:
      634.5 KB
      เปิดดู:
      86
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2011
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 6 พระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสชี้ทางแก่พญาช้างนาฬาคิรี (ต่อ 2)


    .....................กล่าวถึงเหตุการณ์แรกที่อยู่ใน"พระชัยมงคลคาถา(พาหุง)"

    .....................พญาช้างนาฬาคิรีอยู่ในภพภูมิของ"ทุคติภูมิ" ในอัตภาพ

    ของ"สัตว์เดรัจฉาน" ซึ่ง กล่าวโดยรวม"ผู้ที่มาบังเกิดในทุคติภูมิทั้ง 4 ทุก

    ท่าน..เป็นผู้ที่เกิดมาใช้กรรมชั่วโดยเฉพาะ....เป็นเรื่องของกรรมชั่วให้

    ผล...........หากกรรมดีให้ผลจะส่งไปที่"สุคติภูมิ"

    .....................เหตุการณ์ภายหลังจากที่พระพุทธองค์แผ่เมตตาและบุญ

    บารมีที่อบรมมาหลายชาติแผ่ซ่านออกจากพระทัยกระทบเข้ากับใจอันคลุกเคล้า

    ด้วยความเมาของพญาช้างนาฬาคิรี....ช้างใหญ่หยุดชะงัก..ใจซึ่งรุ่มร้อนด้วย

    โมหะสงบลง

    .....................พระพุทธองค์ตรัสแก่พญาช้างนาฬาคิรีว่า

    ....................."นาฬาคิรีเอย เธอถือกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉานในชาตินี้

    เพราะกรรมอันไม่ดีของเธอในชาติก่อนแต่งให้.....อย่าประกอบกรรมหนัก คือ

    ทำร้ายพระพุทธเจ้าเช่นเราอีกเลย...เพราะจะมีผลเป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาล

    นาน"

    ......................พญาช้างนาฬาคิรีที่ดูคลุ้มคลั่งเมื่อสักครู่สงบลงและแสดง

    อาการสำนึกผิดโดยหมอบแทบเท้าต่อหน้าพระพักตร์แสดงความเคารพต่อพระ

    พุทธองค์..ยกงวงจบจนกระพองศีรษะ

    ......................พระพุทธองค์ได้ทรงยกพระหัตถ์ลูบกระพองศีรษะด้วย

    ความเมตตา แล้วประทานโอวาทอันเป็นธรรมแก่พญาช้างนาฬาคิรีว่า

    ......................"ดูก่อนนาฬาคิรีเอย แต่นี้ไปเจ้าจงสกัดตัดเลยซึ่ง

    ปาณาติบาต..อย่าให้ประมาทจิตคิดอาฆาตโกรธแค้นใครๆ จงมีเมตตาจิตทั่วไป

    ในคนและสัตว์ จงมีจิตโสมนัสหนักแน่นในเมตตาและขันตี เมื่อเจ้าวางวายจาก

    ภพนี้แล้ว จะได้ไปสู่สุคติสถาน พ้นจากสัตว์เดรัจฉานอันต่ำศักดิ์ ช่างเป็นกุศล

    คุณบุญอันหนักที่เจ้ามาพบเราตถาคต จงอุส่าห์ตั้งใจกำหนดวิรัติปฏิบัติจน

    ตราบเท่าอายุขัยนั้นเถิด"

    ......................ครั้งนั้น พญาช้างนาฬาคิรีตัวประเสริฐ เกิดตื้นตันใจหลั่ง

    น้ำตาไหลรินอาบหน้า แล้วก้มเศียรเกล้าลงวันทารับพระโอวาท...ถวายบังคม

    พระบาท..แล้วเดินกลับหลังยังโรงช้าง...ด้วยท่าทางอันสงบเสงี่ยมเป็นอัน

    ดี ...ปรากฏแก่ประชาชนอยู่ทั่วหน้า...มหาชนก็พากันสักการบูชาพระพุทธองค์

    และแสดงความดีใจว่าพระพุทธองค์ทรงได้ชัยชนะอันเป็นมงคล

    ......................จากเหตุการณ์ดังกล่าวจะพบว่า..พระพุทธองค์แสดงแก่

    พญาช้างนาฬาคิรีว่า "....เธอถือกำเนิดเป็นเดรัจฉานในชาตินี้..เพราะกรรมอัน

    ไม่ดีของเธอในชาติก่อนแต่งให้.."

    ......................เป็นคำตรัสที่พระพุทธองค์แสดงแก่พญาช้างนาฬาคิรีถึง

    เหตุที่ต้องมาอยู่ในอัตภาพของเดรัจฉานอันเป็นทุคติภูมิเพราะว่าได้ทำกรรมไว้

    ในชาติก่อน.....

    ......................และจากพระโอวาทธรรมที่พระพุทธองค์แสดงแก่พญาช้าง

    นาฬาคิรีว่า "....แต่นี้ไปเจ้าจงสกัดตัดเลยซึ่งปาณาติบาต อย่าให้ประมาทจิต

    อาฆาตโกรธแค้นใคร ๆ จงมีเมตตาจิตทั่วไปในคนและสัตว์ จงมีจิตโสมนัส

    หนักแน่นในเมตตาและขันตี ..เมื่อเจ้าวางวายจากภพนี้แล้ว จะได้ไปสู่สุคติ

    สถาน"พ้นจากสัตว์เดรัจฉานอันต่ำศักดิ์" ..ช่างเป็นกุศลคุณบุญอันหนักที่เจ้ามา

    พบเราตถาคต..จงอุส่าห์ตั้งใจกำหนดวิรัติปฏิบัติจนตราบเท่าอายุขัยนั้นเถิด"

    .......................จะเห็นว่า.."พญาช้างนาฬาคิรี" กำลังได้รับกรรมในชาติ

    ก่อนโดยกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน....ซึ่งยังจะต้องรับกรรมอยู่ต่อไป..หากไม่ได้

    มาพบพระพุทธองค์.....

    .......................การที่มาพบพระพุทธองค์เป็นบุญบารมีอันยิ่งใหญ่ที่หนุน

    นำ"พญาช้างนาฬาคิรี"ให้พ้นอัตภาพของสัตว์เดรัจฉานในชาติต่อไป..

    .......................พระองค์ได้ให้ธรรมโอวาทแก่พญาช้างปฏิบัติแล้วตรัส

    ว่า....."เมื่อเจ้าวางวายจะได้ไปสู่สุคติสถาน"

    .......................เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า"สุคติสถาน" 4 อย่าง พญาช้างจะ

    ไปสู่ภพภูมิใด......พระพุทธองค์ไม่ได้บอก..ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้แจง..เรา

    จึงต้องมาพิจารณาข้อมูลจากเหตุการณ์เพื่อวิเคราะห์ต่อไปตามลำดับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • return_3.jpg
      return_3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      146.2 KB
      เปิดดู:
      83
    • q14a18.jpg
      q14a18.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.6 KB
      เปิดดู:
      739
    • post-15-1091563636.jpg
      post-15-1091563636.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46.7 KB
      เปิดดู:
      86
    • 24012009624.jpg
      24012009624.jpg
      ขนาดไฟล์:
      634.5 KB
      เปิดดู:
      104
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2011
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 6 พระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสชี้ทางแก่พญาช้างนาฬาคิรี(ต่อ 3)


    .....................ในกระทู้นี้หน้าแรก ๆ เคยกล่าวถึงเรื่องราว"ของช้างปาไลยลิ

    กะ"และ"ลิง" ที่อุปัฏฐากพระพุทธโคดมพุทธเจ้า...แล้วเมื่อสิ้นชีวิตไป...ได้ไปบังเกิด

    เป็น"เทพบุตรบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์".......จะเห็นว่า"บุญกุศลนำส่งไปสู่สุคติ

    เป็น"เทพ"ด้วยกรรมดีที่กระทำต่อพระพุทธองค์"....มีบ่งบอกอยู่ในพระไตรปิฏกครับ

    .....................แต่ในรายของ.."พญาช้างนาฬาคิรี"..ไม่บ่งบอกเอาไว้....รู้แต่ว่าเมื่อ

    ท่านได้ปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธองค์ประทานโอวาทให้........แล้วท่านสู่"สุคติภูมิ"

    พ้นภาวะ.......เป็น"สัตว์เดรัจฉาน"ในทุคติภูมิไป

    .....................อย่างที่เอ่ยมาก่อนหน้านั้นว่า "สุคติภูมิ"มี 4 อย่าง คือ มนุษย์ เทพ

    พรหม อรูปพรหม......แต่ยังไม่ได้อธิบายว่า..ประพฤติเช่นไรจึงสู่ภพภูมินั้น.....ก็จะขอเอ่ย

    ถึงและวิเคราะห์ไปพร้อมกันกับราย"พญาช้างนาฬาคิรี"

    ....................."พรหม"...ภพภูมินี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อ..เมื่อ..บุคคลได้ประพฤติธรรม

    บรรลุ"ฌาน 4" และได้สิ้นชีวิตลงก็จะได้บังเกิดเป็น"พระพรหม".......พญาช้างนาฬาคิรี

    ขณะดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมภาวนาจนได้ฌาน 4 จึงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะไปบังเกิด

    ในภพภูมิของ"พรหม"ครับ

    ....................."อรูปพรหม" ภพภูมินี้จะเกิดขึ้นก็ต่อ..เมื่อบุคคลได้ประพฤติธรรม

    บรรลุ"อรูปฌาน" และได้สิ้นชีวิตลงก็จะได้บังเกิดเป็น"อรูปพรหม"...พญาช้างนาฬาคิรี

    ขณะดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมภาวนาจนได้อรูปฌาน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะไป

    บังเกิดในภพภูมิ"อรูปพรหม"

    .....................ก็มาอยู่ที่สุคติภูมิอีก 2 อย่าง..คือ "เทพ" กับ "มุนษย์"

    .....................การเป็นเทพนอกจากมีการประพฤติข้อธรรม"หิริและโอตตัปปะ"ยังมีบุญ

    กุศลอีกส่วนหนึ่งที่นำส่งให้ไปบังเกิดเป็น"เทพ"

    .....................การเป็น"มนุษย์" มีข้อธรรมกำหนดอยู่ที่ ศีล

    .....................ก็มาพิจารณาโอวาทธรรมที่พระพุทธองค์ให้แก่"พญาช้างนาฬาคิรี" คือ

    จงสกัดตัดซึ่งปาณาติบาต..มีเมตตาจิต..ขันติ(อดทน)...คือ...การรักษาศีล

    .....................จะเห็นว่า"พระองค์ประทานโอวาทธรรมให้พญาช้างนาฬาคิรี

    รักษา.."ศีล"........เพื่อชี้นำทางไปสู่ความเป็น"มนุษย์" อันเป็นสุคติภูมิ.....ที่พระองค์

    เมตตาแก่พญาช้างนาฬาคิรี..เพื่อให้ปฏิบัติธรรมพ้นภาวะสัตว์เดรัจฉาน....ที่ท่านยังไม่พ้น

    จากการรับกรรมอยู่

    ......................ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า..หลังจากพญาช้างนาฬาคิรีสิ้นชีวิตไป

    แล้ว......จะต้องไปถือกำเนิดในภพภูมิของ"มนุษย์"อย่างแน่นอนครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 7 สรุปการเชื่อมโยงกรรมพญาช้างนาฬาคิรีกับผลกรรมครูบาขาวปี


    .....................จากการแจกแจงรายละเอียดลำดับตอนต่าง ๆมาจนกระจ่างชัด สิ่งที่

    จะนำพา...การตามหา"ภพภูมิของพญาช้างนาฬาคิรี"...น่าจะอยู่ที่องค์ประกอบ 2 อย่าง ที่

    น่าจะให้ผลชี้นำทางได้ คือ

    ......................1. กรรมไม่ดีอันเป็นผลกระทบของพญาช้างนาฬาคิรี

    ......................2. กรรมดีกับการเกิดเป็นมนุษย์ของพญาช้างนาฬาคิรี

    ......................ซึ่งทั้งสองปัจจัยมาจากข้อมูลใน

    ....................ตอนที่ 3 การกระทำของพญาช้างนาฬาคิรีต่อพระพุทธองค์กระทบสิ่งใด

    ....................ตอนที่ 2 สรุปวิเคราะห์ผลกรรมบางอย่างที่ครูบาขาวปีได้รับ.....

    ....................ตอนที่ 6 พระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสชี้ทางแก่พญาช้างนาฬาคิรี..

    ....................ในตอนที่ 3 สรุปได้ว่า

    .................... 1.ศรัทธาของผู้คนจำนวนมากที่มีเจตจำนง........ที่จะถวายทานแด่

    พระพุทธเจ้าและพระสาวก....... ได้ถูกพญาช้างวิ่งไล่จนหนีกระเจิดกระเจิง........ทิ้ง

    ภัตตาหารที่เตรียมมาได้รับความเสียหาย......ทำให้พระพุทธองค์....และพระสาวกไม่ได้

    รับภัตตาหาร......ขณะเกิดเหตุ

    .....................2.การวิ่งไล่เพื่อจะทำร้ายผู้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์

    .....................3.การวิ่งไล่ที่จะทำร้ายผู้ทรงศีล

    .....................ในตอนที่ 2 สรุปได้ว่า

    ......................1.ผลกรรมที่ครูบาขาวปีได้รับได้แก่ความอดอยากแร้งแค้น

    ......................2.มีเหตุให้ต้องสึกถึง 3 ครั้งไม่อาจห่มผ้ากาสาวพัสตร์ได้

    ......................3.ขณะทรงศีลห่มผ้าขาวถูกกลั่นแกล้งและถูกขับไล่

    .......................วิเคราะห์ดูแล้ว....เป็นสิ่งที่เจือสมระหว่าง"พญาช้างนาฬาคิรี" กับ

    "ผลกรรมที่ครูบาขาวปีได้รับ" ว่ามันน่าจะสอดคล้องต้องกัน ...........................

    โดยหลัก ....."ผู้ใดทำกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น"

    ........................ส่วนกรรมดีตอบสนองให้...............ท่านเปลี่ยนอัตภาพ

    จาก"สัตว์เดรัจฉาน"....มาเป็น"มนุษย์" ก็คือ.... "พระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสชี้ทางแก่

    พญาช้างนาฬาคิรี" .....เรื่อง..การบำเพ็ญตนรักษาศีล

    .........................เมื่อพญาช้างนาฬาคิรีสิ้นชีวิตจากภพนั้นแล้วจะ "เกิดเลยหรือไม่"

    คือ ตั้งแต่ ต้นพุทธศักราช(หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน...เป็นข้อสันนิษฐานว่า "พญา

    ช้างน่าจะสิ้นชีวิตหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน"....) จนถึง...... ปีพุทธศักราช 2443

    อันเป็นปีเกิดของ....ครูบาขาวปี

    ..........................ท่านได้มาเกิดและบำเพ็ญบารมีต่อเนื่อง........พร้อมทั้งรับผล

    กรรมอันกระทบหรือไม่...เป็นปริศนาที่ไม่อาจแสดงความคิดเห็นได้...เนื่องจากกรรมและ

    การเกิดของคนเป็นเรื่อง"อจินไตย"....ถึงแม้จะทราบว่า "ท่านจะต้องเกิดเป็นมนุษย์"

    แต่ท่านจะเกิดเป็น"ครูบาขาวปี"เลยหรือเป็น"มนุษย์คนใดก่อน"ไม่อาจยืนยันได้ครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2011
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 8 ปริศนาหลักฐานที่ปรากฏเกี่ยวกับครูบาขาวปี


    ..................ก่อนอื่นผมขอนำเสนอให้พิจารณาภาพ........

    ..................1.ภาพถ่ายรอยจารึกประทับ...ฝ่ามือ..ฝ่าเท้าของครูบาขาวปีตาม

    ภาพที่นำเสนอมา...ที่ปรากฎรูปวัวสัญญลักษณ์ปีฉลู(ปีกัดเป้า)......ปีเกิดของ

    ท่าน.....อยู่เหนือรอยฝ่าเท้าและฝ่ามือ

    ..................2.ภาพรูปเหมือนของท่านที่.....ปรากฏงาช้างขนาดใหญ่ประดับ

    อยู่ข้างรูปเหมือน

    ..................3.ภาพรูปศีรษะช้าง....ที่ฐานวางรูปเหมือนของครูบาขาวปี

    และก่อนจะได้นำเสนอเรื่องราวต่อไปครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...