พระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง จากหลายเกจิอาจารย์ทั่วไทย !!

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย find truth, 8 กันยายน 2010.

  1. tana0844

    tana0844 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +351
    - ขอทำบุญรายการนี้ครับ ขอจองเลยนะคับ -0844134443-

    ขอจองครับ
     
  2. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    รับทราบการจองค่ะ รายการที่ 1 และรายการที่ 6 ขอบคุณค่า:cool::cool:
     
  3. tana0844

    tana0844 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +351
    มีพระเด็ด ๆ อีกไม๊ครับ อยากชมจัง.... ขอมาเยอะ ๆ หน่อยน๊า
     
  4. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    รายการที่ 13 หลวงปู่เครื่อง วัดเทพสิงหาร จ.อุดรธานี
    ราคา 150 บาท จ้า:cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF3528.JPG
      DSCF3528.JPG
      ขนาดไฟล์:
      334.1 KB
      เปิดดู:
      175
    • DSCF3529.JPG
      DSCF3529.JPG
      ขนาดไฟล์:
      346.1 KB
      เปิดดู:
      117
    • acc no.jpg
      acc no.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.2 KB
      เปิดดู:
      87
  5. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    รายการที่ 14 หลวงพ่อเลียบ วัดเลา ปี2536

    หลวงพ่อเลียบ วัดเลา บางขุนเทียน กรุงเทพฯ ท่านเป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง เป็นหนึ่งในอาจารย์เสด็จพ่อ ร.5 และ 1 ในเกจิ 21 องค์ ที่ร่วมพิธีพุทธาพิเศกวัดราชบพิตรเมื่อปี 2481 ท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือในทางรดน้ำมนต์ต่างจากพระคณาจารย์อื่น ถ้าผู้มาขอรดมีเรื่องขนาดคอขาดบาดตาย ท่านจะให้เอาใบตองกล้วยตานีมา 3 ทาง เอาแผ่นอิฐ 3 แผ่น วางทับบนใบตอง แล้วให้ผู้ต้องการรดน้ำมนต์นั่งเอาเท้าเหยียบแผ่นอิฐไว้ เมื่อท่านบริกรรมเสร็จก็จะเอาน้ำมนต์มารดให้ พอน้ำมนต์ตกถูกอิฐและใบตอง ก็จะมีควันพุ่งขึ้นเหมือนไฟไหม้ เสียงเหมือนทอดของในกระทะที่น้ำมันกำลังเดือด ขณะเดียวกัน แผ่นอิฐก็จะแตกกระจายเป็นชิ้นๆ ผู้ที่ได้รับการรดน้ำมนต์จะสิ้นเคราะห์

    ราคา 500 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF3540.JPG
      DSCF3540.JPG
      ขนาดไฟล์:
      343 KB
      เปิดดู:
      127
    • DSCF3541.JPG
      DSCF3541.JPG
      ขนาดไฟล์:
      336.3 KB
      เปิดดู:
      83
    • acc no.jpg
      acc no.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.2 KB
      เปิดดู:
      90
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2010
  6. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    รายการที่ 15 หลวงพ่อพระครูเดช วัดท้ายเหมือง จ.นนทบุรี ปี 2534

    ราคา 200 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF3538.JPG
      DSCF3538.JPG
      ขนาดไฟล์:
      437.2 KB
      เปิดดู:
      77
    • DSCF3539.JPG
      DSCF3539.JPG
      ขนาดไฟล์:
      424.3 KB
      เปิดดู:
      70
    • acc no.jpg
      acc no.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.2 KB
      เปิดดู:
      73
  7. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี
    <TABLE class=MainFont border=0 cellSpacing=3 cellPadding=3 width="98%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #cccccc 1px dashed; BORDER-LEFT: #cccccc 1px dashed; BORDER-TOP: #cccccc 1px dashed; BORDER-RIGHT: #cccccc 1px dashed">หลวงปู่คำมี เกิดเมื่อเดือนมิถุนายน พ.. ๒๔๑๖ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง เวลาเที่ยงตรง ในสหราชอาณาจักรลาว เดิมชื่อคำมี พระวิเศษ มารดาชื่อนางน้อย พระวิเศษ มีพี่น้องร่วมสายโลหิต ๙ คน หลวงปู่คำมีเป็นบุตรชายคนที่ ๕<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = U1 /><U1:p></U1:p><U1:p> </U1:p>
    ลักษณะพิเศษของหลวงปู่คำมีที่แปลกไปจากบุคคลธรรมดาโดยทั่วไปก็คือ ฝ่ามือทั้งสองข้างลวดลายของเส้นมือมีลักษณะปรากฏเป็นยอดปราสาททั้งสองข้าง ฝ่าเท้าทั้งสองข้างกลางฝ่าเท้ามีลักษณะปรากฏเป็นยอดปราสาททั้งสองข้าง ฝ่าเท้าทั้งสองข้างกลางฝ่าเท้ามีลักษณะลวดลายคล้ายดอกพิกุลที่กลางฝ่าเท้าทั้งสองข้าง<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    <U1:p> </U1:p>
    เมื่อสมัยที่ท่านยังเยาว์วัยมีอุปนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรม เพื่อให้ได้ศึกษาและเจริญก้าวหน้าในทางธรรมยิ่งๆขึ้น หลวงปู่จึงได้ขออนุญาตบรรพชาเป็นสามเณรจากโยมบิดาและโยมมารดาของท่าน ยังความปิติยินดีแก่โยมทั้งสองท่านเป็นอันมาก โยมบิดาท่านจึงพาหลวงปู่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์บรรพชาเป็นสามเณรกับพระครูพล ที่วัดชุมพรพิสัย แขวงสุวรรณเขต เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยมีพระครูพลเป็นพระอุปัชฌาย์ ขณะนั้นท่านมีอายุได้ ๑๔ ปี <O:p></O:p>
    <U1:p></U1:p><U1:p> </U1:p>
    ในระหว่างที่หลวงปู่คำมีศึกษาปฏิบัติธรรมและวิชาต่างๆกับพระครูพลอยู่ที่วัดชุมพรพิสัยนั้น สิ่งที่ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษคืออักขระ คาถา ยันต์ต่างๆ และมีความเจริญก้าวหน้าในการร่ำเรียนอย่างรวดเร็ว เมื่อท่านศึกษาปฏิบัติจนแก่กล้าแล้ว ท่านจึงขออนุญาตพระครูพลออกธุดงค์เพื่อแสวงหาสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การเจริญธรรม เป็นเวลา ๒ ปีที่ท่านได้ศึกษาวิชาต่างๆอยู่กับพระครูพล และในเวลาเดียวกันนั้นเองท่านก็ได้ยินกิติศัพท์คำร่ำลือเกี่ยวกับถึงคุณวิเศษและบารมีอันมหัศจรรย์ของสมเด็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ ทำให้หลวงปู่มีความปรารถนาอยากไปร่ำเรียนวิชาต่างๆจากสมเด็จลุนเป็นกำลัง<O:p></O:p>
    <U1:p></U1:p><U1:p> </U1:p>
    เมื่อท่านได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับพระครูพลจนเป็นที่พอใจแล้ว ท่านจึงขออนุญาตกับโยมทั้งสองของท่านและพระครูพล ท่านทั้งหลายเห็นความปรารถนาตั้งใจดีของหลวงปู่แล้วถึงแม้จะประหลาดใจกับสามเณรน้อยแต่ก็ไม่ได้ขัดศรัทธา หลวงปู่คำมีจึงกราบลาโยมทั้งสองและพระครูพลเพื่อธุดงค์แสวงหาครูบาอาจารย์ที่จะศึกษาต่อไป จุดมุ่งหมายคือ นครจำปาศักดิ์ ที่พำนักของสมเด็จลุน

    พบสมเด็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    <U1:p> </U1:p><O:p></O:p>
    เมื่อท่านจากถิ่นฐานบ้านเกิดมาแล้ว การธุดงค์ในป่าประเทศลาวเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเพียงลำพังคนเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งกระแสข่าวการพำนักของสมเด็จลุนนั้นก็ไม่ได้มีความแน่นอน วันนั้นได้ทราบว่าท่านจะไปโปรดญาติโยมที่เมืองอื่นในประเทศลาว วันนี้ได้รับทราบว่าท่านจะไปฝั่งไทย ยังความสับสนต่อท่านเป็นอันมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ท่านอดทนบุกป่าฝ่าดงต่อไปก็คือ ท่านต้องไปเรียนวิชากับสมเด็จลุนให้ได้<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    <U1:p> </U1:p><O:p></O:p>
    หลวงปู่เล่าให้ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดฟังว่าการติดตามหาสมเด็จลุนในสมัยนั้นยากมาก ข่าวคราวของสมเด็จฯนั้นมากมายไปด้วยบารมีอิทธิปาฏิหาริย์ บางข่าวลือว่ากันว่าท่านเดินข้ามลำน้ำโขงมาได้อย่างสบาย บางข่าวว่าท่านถูกทหารฝรั่งเศสจับกุมโทษฐานระดมผู้คนเพื่อทำการต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ทำอะไรท่านไม่ได้ เนื่องจากศรัทธาของญาติโยมที่หลั่งไหล มากราบไหว้ชื่นชมบารมีของสมเด็จนั้นมากมายเหลือเกิน อันเกิดจากบารมีธรรมของท่านล้วนๆ หาได้มีการปลุกระดม โฆษณาแต่อย่างใดไม่ สุดท้ายแม้แต่เหล่าบรรดาทหารฝรั่งเศสเองก็ให้ความเคารพนับถือสยบต่อท่าน<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    สุดท้ายหลวงปู่ทราบข่าวว่าสมเด็จลุนท่านเสด็จมาโปรดญาติโยมที่นครจำปาศักดิ์ คราวนี้ท่านตั้งใจว่าจะเป็นตายอย่างไรท่านต้องไปกราบสมเด็จลุนให้จงได้ <U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    <U1:p> </U1:p><O:p></O:p>
    หลวงปู่คำมีท่านเล่าว่าท่านยังแปลกใจตัวเองว่าท่านดั้นด้นมาถึงสมเด็จลุนได้อย่างไร ส่วนสมเด็จลุนนั้นมองสามเณรน้อยที่บุกป่าฝ่าดงมาหมอบกราบอยู่ต่อหน้าท่านด้วยความชื่นชม <U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    คำถามแรกที่ท่านถามสามเณรน้อย สามเณรน้อย มาหาข้าด้วยเรื่องอันใดและมาจากไหน” <U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    หลวงปู่ก็เล่าให้ฟังว่า ท่านมาจากแขวงสุวรรณเขต ทราบว่าท่านเก่ง อยากจะมาเรียนวิชาจากท่าน”<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    สมเด็จลุนท่านยิ่งหัวเราะชอบใจ ในความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวของหลวงปู่ที่สามารถมาหาท่านจากแขวงสุวรรณเขตโดยลำพัง รู้ได้อย่างไร ว่าข้าเก่งและข้าดีอย่างไร”<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    สามเณรน้อยตอบไปว่า ข้าน้อยไม่ทราบว่าสมเด็จเก่งอย่างไร แต่ข้าน้อยมีความตั้งใจอยากมากราบสมเด็จให้ได้และขอเป็นศิษย์ของสมเด็จ”<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    คำตอบของสามเณรน้อยเป็นที่ชอบใจของสมเด็จลุนเป็นอย่างยิ่งจึงรับตัวไว้เป็นศิษย์ สามเณรคำมีอยู่รับใช้และศึกษาวิชาต่างๆจากสมเด็จลุนอย่างเคร่งครัด เมื่อท่านเห็นว่าสามเณรคำมีได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆจากท่านจนหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงให้สามเณรคำมีกลับไปเผยแพร่ธรรมและโปรดโยมบิดามารดาของท่านที่สุวรรณเขต โดยท่านฝากสามเณรคำมีไปกับกองคาราวานชาวไทยใหญ่ หลวงปู่จึงได้กราบลาสมเด็จลุนมาด้วยความอาลัย<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    <U1:p> </U1:p><O:p></O:p>
    ศึกษาวิชากับหลวงปู่ศรีทัต<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    <U1:p> </U1:p><O:p></O:p>
    เมื่อหลวงปู่กลับมากราบพระครูพล อาจารย์องค์แรกของท่านและโปรดญาติโยมที่วัดชุมพรพิสัยได้ระยะหนึ่ง ท่านได้เกิดความตั้งใจที่จะเดินทางไปไหว้พระธาตุพนมที่ฝั่งไทย จึงลาพระครูพลเพื่อเดินทางมาทางฝั่งไทย พอข้ามฝั่งโขงเหยียบถึงแผ่นดินไทย เกิดได้ทราบข่าวบารมีความเก่งกล้าของพระครูศรีทัต แห่งอำเภอท่าอุเทน เมื่อนมัสการพระธาตุพนมเสร็จท่านจึงยังไม่กลับไปสุวรรณเขต แต่มุ่งหน้าสู่อำเภอท่าอุเทนเพื่อไปกราบนมัสการพระครูศรีทัตและขอฝากตัวเป็นศิษย์ เมื่อพระครูศรีทัตทราบความเป็นมาของหลวงปู่คำมีจึงรับสามเณรคำมีไว้เป็นศิษย์ หลวงปู่คำมีเล่าว่าได้อยู่รับใช้และศึกษาธรรมจากหลวงปู่ศรีทัต ที่เมืองไทยถึงสามพรรษา หลวงปู่ศรีทัตนั้นมีความเข้มงวดมากตั้งแต่เรื่องพระธรรมวินัย จนไปถึงการศึกษาวิชาต่างๆท่านมีความเคร่งครัดมาก จนเมื่อหลวงปู่คำมีอายุครบบวชท่านจึงลาหลวงพ่อศรีทัตกลับไปยังฝั่งลาวเพื่อทำการอุปสมบท<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    <U1:p> </U1:p><O:p></O:p>
    พบพระอาจารย์ใหญ่แห่งกองทัพธรรม<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    <U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    ท่านได้กลับมายังแขวงสุวรรณเขตและได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีพระครูพลเป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดชุมพรพิสัย ท่านได้จำพรรษาโปรดโยมบิดามารดาที่วัดชุมพรพิสัยอยู่ ๒ พรรษา ด้วยความต้องการแสวงหาวิมุตติธรรมของท่านเป็นที่ตั้ง ท่านจึงลาโยมบิดามารดาของท่านอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ท่านไม่มีโอกาสได้กลับมาพบโยมของท่านอีกเลย ท่านกราบลาพระครูพลและโยมบิดามารดาของท่านแล้วออกธุดงค์มายังฝั่งไทยอีกครั้ง ธุดงค์ไปหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสานของไทยหลายพรรษา จนกระทั่งเข้าสู่เมืองโคราช ท่านก็ได้ยินชื่อเสียงความเป็นนักปฏิบัติที่เคร่งครัดของ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโร วัดป่าสาลวัน พระอาจารย์ใหญ่แห่งสายกองทัพธรรม ท่านจึงเดินทางไปกราบขอฝากตัวเป็นศิษย์ รับแนวทางปฏิบัติจากท่านหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่คำมีเล่าว่าหลวงปู่เสาร์มีความเชี่ยวชาญแก่กล้าทางด้านกสิณเป็นอันมาก โดยเน้นให้ความสำคัญทางด้านกสิณ ๔ อันเป็นปฐมของธาตุทั้งมวลในโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งหลวงปู่คำมีได้ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติในการตั้งธาตุปลุกเสกวัตถุมงคลในกาลต่อมา<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    <U1:p> </U1:p><O:p></O:p>
    เมื่อท่านได้ศึกษาปฏิธรรมกับหลวงปู่เสาร์จนเป็นที่พอใจแล้วจึงได้กราบลาหลวงปู่เสาร์เพื่อธุดงค์ต่อไป ท่านได้เดินธุดงค์มาถึงอำเภอพระพุทธบาท สระบุรีไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท และได้เดินธุดงค์มายังบ้านโปร่งสว่าง ปัจจุบันขึ้นกับอำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่บ้านโปร่งสว่างและได้สร้างวัดและพระอุโบสถจนสำเร็จ จากนั้นท่านได้มาจำพรรษาที่บ้านประดู่ ได้มาสร้างวัดและพระอุโบสถ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดประดู่ ๑๖ พรรษา ในระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดประดู่ ท่านยังได้ทำการสร้างวัดและพัฒนาวัดต่างๆจนเจริญเป็นอย่างมาก เป็นที่ศรัทธาของญาติโยมในละแวกนั้น อันได้แก่ วัดหนองแก, วัดหนองจิกและวัดตาลเสี้ยน<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    <U1:p> </U1:p><O:p></O:p>
    หลวงปู่คำมีท่านได้เล่าให้ฟังว่า เรื่องทั้งหลายมันชักจะวุ่นวายไม่มีเวลาแสวงหาความสงบและปฏิบัติธรรม ท่านจึงจากญาติโยมทั้งหลายออกธุดงค์ต่อไปโดยมิได้ร่ำลา มุ่งมาทางจังหวัดลพบุรี ท่านได้เดินธุดงค์มาพบถ้ำเอาราวัณ ท่านเห็นว่าเป็นสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การหลบหลีกจากความวุ่นวายทั้งหลาย ท่านจึงอาศัยเป็นที่พำนักในการเจริญธรรม<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    <U1:p> </U1:p><O:p></O:p>
    แต่เพียงไม่นาน ญาติโยมก็ทราบข่าวจึงออกติดตามมาให้ท่านไปกลับไปที่วัดเพื่อเจริญศรัทธาให้แก่พวกเขาต่อไป พร้อมทั้งจะไปขอตำแหน่งพระครูให้ท่าน ท่านจึงแสดงให้ญาติโยมทั้งหลายทราบว่า การที่ท่านหนีออกมาก็เพราะลาภ ยศ และสักการะทั้งหลาย ท่านว่าเป็นความมัวเมา ความวุ่นวาย ท่านขอจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำเอราวัณต่อไป ญาติโยมทั้งหลายจึงต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    <U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    ต่อมาชาวบ้านดงจำปาได้มานิมนต์หลวงปู่ให้ไปโปรดญาติโยมและช่วยสร้างวัดที่นั่น หลวงปู่ได้ไปช่วยสร้างวัดและพระอุโบสถจนเป็นที่สำเร็จ หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดดงจำปาระยะหนึ่ง (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดใหม่จำปาทอง) ท่านจึงกลับไปพำนักที่ถ้ำเอราวัณอีกครั้ง ท่านอยู่จำพรรษาที่ถ้ำเอราวัณ ๓ พรรษา ในช่วงนั้นได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นบุกขึ้นประเทศไทย ท่านย้ายจากถ้ำเอราวัณมาจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำคูหาสวรรค์ ต่อมาไม่นานสงครามก่อตัวขึ้นเป็นสงครามอินโดจีน ท่านได้ทำเครื่องรางแจกทหารหาญที่ไปรบ ทหารทุกคนที่ได้รับเครื่องรางของขลังจากท่านไปและนำติดตัวไปสงครามคราวนั้น ปรากฏว่าปลอดภัยกันทั่วหน้า ไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆเลย<U1:p></U1:p><O:p></O:p>
    <U1:p> </U1:p><O:p></O:p>
    อีกทั้งในสงครามในสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม ก็ปรากฏเฉกเช่นเดียวกัน ทหารทุกคนที่ไปสงครามคราวนั้นและมีวัตถุมงคลของหลวงปู่ติดตัวไปด้วยสามารถกลับมาโดยปลอดภัยทุกคน จ่าบัติผู้บันทึกเรื่องราวยืนยันโดยหนักแน่น ปัจจุบันจ่าบัติอายุ ๖๐ กว่าปี แขวนวัตถุมงคลของหลวงปู่ติดตัวตลอดและให้ความเชื่อมั่นมากกล่าวถึงหลวงปู่คำมีด้วยเคารพศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง<U1:p></U1:p><U1:p></U1:p>

    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="90%" bgColor=#ccccff><TBODY><TR><TD bgColor=#ccccff></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    รายการที่ 16 หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี ปี 2521


    คุณ KRITA บูชาแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF3534.JPG
      DSCF3534.JPG
      ขนาดไฟล์:
      367.8 KB
      เปิดดู:
      82
    • DSCF3535.jpg
      DSCF3535.jpg
      ขนาดไฟล์:
      379.2 KB
      เปิดดู:
      91
    • acc no.jpg
      acc no.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.2 KB
      เปิดดู:
      74
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2010
  9. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    ประวัติหลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน (พระครูปิยนนทคุณ)
    หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน เป็นชาวจังหวัดสมุทรสาคร โดยกำเนิดเกิดที่ ตำบลเจ็ดริ้ว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พุทธศักราช 2459 ในครอบครัวชาวนา
    นามเดิมว่า แย้ม ปราณี มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันทั้งหมด 4 คน ท่านเป็นบุตรชายคนที่ 2 ของครอบครัว โยมบิดาชื่อเพิ่ม โยมมารดาชื่อเจิม (ปัจจุบัน โยมบิดา โยมมารดา พี่ น้อง ต่างก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว โดยเฉาะโยมมารดาเสียชีวิตตั้งแต่หลวงปู่อายุได้ 10 ขวบ)
    หลวงปู่แย้มเมื่อตอนเป็นเด็กชายแย้ม ก็เหมือนกับเด็กทั่วไปคือต้องเข้าเรียนหนังสือ เด็กชายแย้มได้เข้าศึกษาหาความรู้ ที่โรงเรียนประชาบาลวัดหลักสองของ อำเภอบ้านแพ้ว แต่เรียนได้แค่ชั้นประถม 1 เท่านั้นเอง เพราะต้องอยู่บ้านเพื่อช่วยบิดาทำนาหาเลี้ยงชีพ ครั้นอายุได้ 14 ปี ก็ต้องลาออกจากโรงเรียนอย่างเด็ดขาด เพราะว่าโตเกินกว่าที่จะไปโรงเรียนแล้ว จึงได้ออกมาช่วยบิดาทำนาเรื่อยมา

    จวบจนกระทั่งอายุได้ 20 ปี บริบูรณ์ โยมพ่อต้องการให้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาตามประเพณีนิยมของคน ไทยตั้งแต่ครั้งโบราณกาล และเพื่อเป็นการสร้างบุญสร้างกุศล เฉกเช่นชายไทยทั่วไป
    “ฉันก็เต็มใจนะ เพราะจะได้แผ่กุศลไปให้กับโยมแม่ที่เสียไปตั้งแต่อายุฉันได้ สิบขวบด้วย ได้กำหนดวันกันเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ โยมพ่อก็เปลี่ยนใจ บอกว่าเอาไว้ปีหน้าเถอะปีนี้ทำนาก่อน และ มาเลื่อนกันง่ายๆ ฉันก็ไม่ว่ากระไร เอาไงก็เอากัน ฉันเป็นคนตามใจพ่ออยู่แล้ว” หลวงปู่เล่าความหลังให้ฟัง
    หลังจากนั้นก็ทำนาเรื่อยมา จวบจนมาเสร็จสิ้นเอาใกล้ๆ จะเข้าพรรษา โยมพ่อก็เอ่ยปากบอกว่า “บวชเสียเถอะนะ ไปอาศัยบวชกันนาคอื่นเขาก็ยังดี”
    “ฉันก็ตามใจอีก โยมพ่อจะให้ทำยังไงก็เอากัน แล้วโยมพ่อก็นำเงินจำนวน 20 บาทไปถวายพระอาจารย์ที่วัดหลักสองราษฎร์บำรุง โดยบอกความประสงค์กับท่านว่า ให้ช่วยจัดการบวชให้ฉันทีเถอะ ก็เป็นการช่วยจัดหาเครื่องบวชให้นะ ในสมัยนั้นราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่หรอก ไม่ถึง 10 บาทเสียด้วยซ้ำ จากนั้นอาจารย์ก็จัดของที่ท่านมีอยู่แล้วให้ ส่วนเงิน 20 บาทนั้น ท่านได้นำเอาไปจ้างช่างต่อเรือขนาด สามมือลิงใหญ่ๆ ซึ่งหมดเงินไป 18 บาท เพื่อเอาไว้ใช้ในกิจของสงฆ์”

    นายแย้มจึงได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาที่วัดหลักสองบำรุงราษฎร์ ตามที่โยมพ่อและตัวของท่านเองได้ตั้งศรัทธาเอาไว้
    มีพระครูคณาสุนทรรนุรักษ์เจ้าคณะอำเภอบ้านแพ้ว เป็นพระอุปัชณาย์ เจ้าอธิการเหลือ เจ้าคณะตำบลเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ชื่นเป็ฯพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า “ปิยวณฺโณ”
    หลังจากเสร็จสิ้นการบวชแล้ว ด้วยพระภิกษุแย้ม เป็นพระหนุ่มที่มีหน้าตาดี จึงมีการกล่าวหยอกล้อกันว่า พระภิกษุแย้ม ไม่น่าจะบวชได้นานเกิน 2 พรรษาหรอก จึงเป็นเรื่องให้มีการท้าพนันกันว่า ถ้าพระภิกษุแย้มบวชแล้วอยู่ได้นานเกิน 2 พรรษา แล้วเมื่อถึงเวลาลาสิกขา จะออกเครื่องสึกทั้งหมดให้
    “ฉันก็ไม่ได้รับคำท้านั้นหรอกนะเพราะว่ามันเป็นการพนันและอีกอย่างก็ถือว่า เป็นการพูดล้อกันเล่นมากกว่า ส่วนในใจของฉันนั้นนะมีความศรัทธาอยู่ว่าจะบวชสักสองพรรษาก็คงพอ” หลวงปู่อธิบาย

    ระหว่างครองเพศบรรพชิตอยู่ พระภิกษุแย้มก็เคร่งครัดในวัตรปฏิบัติเป็นอันมาก รวมทั้งยังตั้งใจศึกษาธรรมะอย่างเอาจริงเอาจัง จนทำให้สามารถสอบได้นักธรรมตรีในพรรษาแรกเท่านั้น
    พอย่างพรรษาที่สองพระภิกษุแย้มก็เกิดป่วย “เรียกว่าป่วยหนักเลยนะ ในชิวิตฉันไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย ฉันป่วยจนแทบจะตายแนะ มันเป็นใข้นะ ต้องนอนซมอยู่กับที่เวลาลุกขึ้นทีไรเป็นหน้ามืดทุกที ต้องดมพิมเสนทุกที ช่วงนั้นไม่มีใครเขามาดูแลฉันหรอก ฉันต้องต้มยาฉันเอง จนโยมพ่อทราบเรื่อง จึงมารับฉันกลับไปรักษาตัวที่บ้าน โดยเอาฉันใส่เรือให้นอนไป บ้านฉันกับวัดก็ไกลอยู่เหมือนกันราวๆ 4 กิโลเมตรได้นะ หมอนุ่มเป็นคนต้มยาสมุนไพรไทยของเรานี่แหละให้ฉัน ทำการรักษาฉัน หมอนุ่มนี่เขาเก่งมากนะ จัดหายามาต้มให้ฉันเพียง 2 หม้อเท่านั้นเองฉันก็หายเลย แต่ก็ต้องพักรักษาตัวอยู่เกือบเดือน จึงค่อยกลับไปจำพรรษาที่วัดได้ตามเดิม”
    ที่วัดหลักสองบำรุงราษฎร์ พระภิกษุสมัยนั้นจะเก่งในเรื่องช่าง ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ช่างปูน ช่างทาสี พระภิกษุเหล่านี้จะเป็นที่โปรดปรานของเจ้าอาวาสมาก พระภิกษุแย้มเองก็มีงานช่างทำเหมือนกันคือเป็นช่างพิมพ์กระเบื้องในโรงงาน ของวัด วันหนึ่งต้องพิมพ์ให้ได้ถึง 530 แผ่นทีเดียวเพื่อให้ทันเวลาที่จะนำไปสร้างกุฏีสงฆ์หลังใหม่ที่ทางวัดได้ สร้างขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่ากระเบื้องทุกแผ่นที่วัดหลักสองใช้สร้างอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หรือกุฎีสงฆ์ เป็นฝีมือของพระภิกษุแย้มทั้งสิ้น

    นอกจากงานด้านช่างแล้วพระภิกษุแย้ม ยังได้แอบศึกษาวิชาหมอยา เพื่อสงเคราะห์ชาวบ้านแถบนั้นด้วย เป็นเพราะท่านมีเมตตาไม่อยากให้ชาวบ้านเดือดร้อนมากนัก กล่าวถึงการเป็นหมอยาของหลวงปู่แย้ม สมัยก่อนเมื่อประมาณ 70 ที่แล้วนั้น พวกเราลองคิดดูว่าการไปมาหรือการเดินทางนั้นจะลำบากสักขนาดไหน ครั้นเมื่อมีเวลาญาติพี่น้องเจ็บใข้ได้ป่วยก็ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อที่จะช่วยเหลือเขา วิธีที่ดีและรวดเร็วที่สุดก็คือ หมอยากลางบ้านนั้นแหละ และก็ตัวยาสมุนไพรทั้งนั้น พระภิกษุแย้มของญาติโยมก็เลยมองเห็นความสำคัญในข้อนี้ จึงลงมือศึกษาค้นคว้าในเรื่องของตัวยาสมุนไพรและคาถาอาคมที่จะใช้เสกกำกับลง ไปในตัวยาเพื่อใช้สำหรับการรักษา จนท่านมีความมั่นใจในตัวยาสมุนไพรที่ท่านได้ศึกษาจากตำราและค้นคว้าด้วยตัว เอง ท่านก็เริ่มลงมือช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือนร้อนได้ทันที ในพรรษาที่ 2 ของการเป็นพระภิกษุนั้นเอง

    หลังจากนั้นมา ชาวบ้านที่ได้รับการช่วยเหลือ ก็เกิดศรัทธา สาเหตุเพราะว่าท่านสามารถรักษาชาวบ้านให้หายได้ จากคนเดียว เป็นสองคน จนถึงหลายๆคนในเวลาต่อๆมา ยังไม่พอเพียงเท่านั้นชาวบ้านที่รักษาหายแล้วต่างพากันเรียกร้องให้ท่านช่วย รดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ขับใล่สิ่งเลวร้ายที่อยู่ในตัวของตนให้หมดไป จนพากันเข้าใจว่า พระภิกษุแย้ม เป็นพระเกจิอาจารย์ไปเลยทีเดียว หลังจากนั้นมาท่านก็ไม่สามารถขัดญาติโยมได้อีก ทำให้ท่านต้องดั้นด้นเรียนรู้ หาวิธีศึกษาในทุกๆทางจากทุกๆที่ เพื่อจะได้ทำให้มีวิชาเข้มขลังยิ่งขึ้น จนกระทั่งท่านได้พบกับหลวงพ่อสายวัดทุ่งสองห้อง ท่านได้เมตตาช่วยสอน พร้อมทั้งแนะนำให้ความรู้ทั้งเรื่องยันต์และเรื่อง เวทมนต์พระคาถาอาคม ทุกอย่าง

    คำกล่าวที่ว่าความพยายามอยู่ที่ใหนความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น พระภิกษุแย้ม ก็ได้พบเจอกับความจริงข้อนี้ หลังจากเพียรพยายามศึกษา อยู่นานทำให้ท่านสำเร็จ และได้วิชาทุกตัวจากหลวงพ่อสายโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่สักตัวเดียว
    จากนั้นชื่อเสียงของท่านก็บรรเจิดขึ้นตลอดเวลา จนกระทั่งบวชได้ 10 พรรษา โยมลุงได้
    นิมนต์ให้มาอยู่จำพรรษาที่วัดตะเคียน

    “โยมลุงของฉันชื่อว่า เคลิ้ม เป็นพี่ชายของโยมแม่เขามามีเหย้ามีเรือนอยู่แถววัดตะเคียนนี้ ทีนี้เขาจะบวชลูกชายก็ไปนิมนต์ฉันมาเป็นพระคู่สวดให้ ฉันก็มาตามนิมนต์ แต่พอพระบวชแล้วโยมลุงก็นิมนต์ให้ฉันอยู่จำพรรษาที่วัดตะเคียนนี่สักพรรษา หนึ่งก่อน เพื่อจะได้อยู่เป็นเพื่อนพระลูกชายของแก ฉันมองดูแล้วก็น่าเห็นใจอยู่ เนื่องจากที่วัดตะเคียนนี้มีพระจำพรรษาอยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นคือหลวง พ่อแดง เจ้าอาวาสนั้นเอง ฉันก็เลยตอบตกลง แต่ผ่านไปเพียง เจ็ดวันหลวงพ่อแดงเจ้าอาวาสก็เกิดมามรณภาพไป หลังจากงานศพหลวงพ่อแดงแล้วฉันก็เลยเดินทางมาจำพรรษาที่วัดตะเคียน และไม่นานนักเจ้าคณะอำเภอก็ให้ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาส และต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่นั้นมา” หลวงปู่เล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่วัดตะเคียน
    จวบจนปัจจุบัน หลวงปู่แย้ม เป็นเจ้าอาวาสวัดตะเคียนมาร่วม 60 ปี จากวัดร้าง ที่ไม่น่าอยู่ไม่น่าพิสมัย ได้พัฒนาให้กลับกลายเป็นวัดที่สวยงาม ด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านได้พัฒนาวัดมิได้หยุดหย่อน แม้จะเป็นวัดที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ทว่าในปัจจุบันการเดินทางมาทีวัดตะเคียนสามารถทำได้โดยง่ายดาย เนื่องจากทางการได้ทำการตัดถนนสายใหม่ ผ่านทางเข้าวัด คือถนนพระรามที่ 5 (นครอินทร์) ช่วยให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น
    ประวัติหลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน เจ้าของตำนาน ตะกรุดคอหมา อันโด่งดัง ได้สร้างชื่อประดับวงการพระเกจิเมืองไทย ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทั่วแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะเป็นคนยากจน หรือมหาเศรษฐี ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักการเมือง ผู้ที่ทราบถึงความศักดิ์สิทธิของท่าน ต่างก็เดินทางมาหาท่านเพื่อขอพรขอบารมีจากท่านกันมิได้ขาดสายอยู่ทุกวี่ทุกวัน
    วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียนที่ท่านได้จัดสร้างขึ้นมา รุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่างถูกสั่งจองและเช่าซื้อหากัน จนทำให้ราคาพุ่งขึ้นๆ ทุกวัน เหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะสืบเนื่องมาจากครั้งเมื่อท่านได้ทำตะกรุดคอหมา คล้องคอให้ให้กับหมาในวัดของท่านทุกตัว เพื่อป้องกันภัยให้หมาของท่าน แต่แล้วคนก็มาแย่งหมาไปบูชากันเองจนหมดสิ้น
    อันว่าตะกรุดที่ท่านได้ดำริริเริ่มสร้างผูกคอหมา ก็เนื่องมาจากว่า หลวงปู่แย้มท่านเป็นคนที่มีเมตตาต่อสรรพสัตว์สูง ท่านได้เลี้ยงหมาไว้หลายตัว บางครั้งหมาที่ท่านเลี้ยงไว้อาจไปทำความเดือนร้อนให้ชาวบ้านไกล้ๆ วัดบ้างทำให้หมาของท่านถูกทำร้ายด้วยการปาก้อนหิน หรือรุนแรงจนถึงขั้นให้ปืน ใช้มีดดาบทำร้าย ทำให้หมาบางตัวได้รับความทุกข์ทรมาณเป็นอย่างมาก ครั้นหลวงปู่จะไปห้ามโยมไม่ให้ตีหมา ทำร้ายหมาก็คงไม่เป็นผลอะไร คิดดังนั้นแล้ว จึงจัดเตรียมอุปกรณ์ สำหรับทำตะกรุด ด้วยพิธีกรรมที่ไม่เหมือนใครคือท่านจารตะกรุดในน้ำด้วยสมาธิจิตอันแน่วแน่ ของท่าน เมื่อทำเสร็จแล้วจึงนำไปผูกคอหมาที่ท่านเลี้ยงไว้จนครบทุกตัว
    หลังจากนั้นหมาของท่านก็ไม่เคยได้รับความรุนแรงใดๆ อีกเลย ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นเกิดความสงสัย ก็สอบถามกันไปสอบถามกันมาได้ความว่าหลวงปู่แย้ม ได้ผูกตะกรุดวิเศษไว้ที่คอหมาทุกตัว ก็เลยทำให้บรรดานักเลงแถวนั้นเกิดความอยากลองของ ว่าจะแน่สักแค่ใหนก็นำปืนมาลองยิงหมาดู ปรากฏว่าปืนแตก !
    เป็นเหตุให้เกิตความฮือฮาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คนที่ต้องการตะกรุดแบบเร็วๆ ก็แย่งเอาที่คอหมา คนที่มีศีลธรรมดีหน่อยก็ไปบอกกล่าวขอกับหลวงปู่แย้ม วัดตะเคียนเอง กิติศัพท์ของหลวงปู่ก็กระฉ่อนแต่นั้นมา จนชาวบ้านเรียกขาน ว่า “ปู่แย้ม ตะกรุดคอหมา”

    ปัจจุบันหลวงปู่แย้ม ยังเป็นที่เคารพศรัทธาของบรรดาลูกศิษย์ ทั้งศิษย์เก่าศิษย์ใหม่ ต่างไม่เคยลืมแวะเวียนมาหาท่านกันเป็นประจำ ใครมีอะไรใหม่ มีอะไรที่ทำให้ไม่สบายอกไม่สบายใจก็มาหาท่านซึ่งท่านก็เมตตากับทุกคนที่แวะ เวียนมา บางคนออกรถใหม่ก็นำมาให้ท่านเจิมให้ ด้วยบารมีอันแก่กล้าของท่าน รับประกันได้ว่ารถคันนั้นจะไม่มีวันเจออุบัติเหตุใหญ่ๆ แน่นอน บางคนทำการค้า การขาย บางช่วงบางโอกาสเศรษฐกิจบ้านเมืองไม่ดี ก็มาหาท่านขอเช่าบูชาธูปเสก นำไปจุดไหว้ ปรากฏว่า การค้าการขายดีขึ้นเป็นพิเศษ
    เรื่องธูปเสกของท่านนี้ลูกศิษย์ลูกหา นิยมบูชากันมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปีมาแล้ว เพราะว่าทุกคนไม่เคยผิดหวัง แถมหลวงปู่ยังย้ำพร้อมรับประกันให้ว่าถ้าไม่ดีจริงให้มาต่อว่าได้เลยพร้อม ทั้งยังอธิบายวิธีบูชาให้อีกด้วย ...

    เมื่อได้พูดถึงตะกรุดคอหมาแล้ว ว่าคงกระพัน หรือแคล้วคลาดอย่างไร ก็ทำให้ต้องพูดถึงวัตถุมงคลอีกอย่างที่เข้มขลังไม่แพ้กัน นั่นคือ “เสือปืนแตก”
    เล่ากันว่า มีนายตำรวจ ในเขตอำเภอบางกรวย ได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่แย้ม สร้างเสือเนื้อตะกั่วขึ้นมาเพื่อหาปัจจัยสร้างวัด และมีคนเล่าให้ฟังถึงความขลังของวัตถุมงคลของหลวงปู่ จึงอยากลองของ ใด้มาขอยืมจากลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้วัด เพื่อนำไปลอง ปรากฏว่ายิงนัดแรกไม่ออก นัดที่สองไม่ออก ยิงอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม ปืนแตกใส่มือได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลเป็นมาจนทุกวันนี้

    ตั้งแต่อดีต หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียนได้พยายามรวบรวมปัจจัย เพื่อนำมาสร้างเสนาสนะ และบูรณะวัดอยู่อย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด จวบจนปัจจุบันหลวงปู่ก็ชราภาพลงมากแล้ว แต่ยังมีภาระซ่อมสร้างเสนาสนะที่ชำรุดทรุดโทรมอีกหลายอย่าง ทั้งยังขาดจตุปัจจัยอีกเป็นจำนวนมาก ในการซ่อมสร้างเพื่อให้สำเร็จลุล่วงไป จึงได้ดำริปรึกษาหารือกับทางคณะกรรมการวัด ว่าด้วยเรื่องการสร้างวัตถุมงคลขึ้นในคราวฉลองทำบุญครบรอบวันเกิดขึ้นเมื่อ เดือนพฤษภาคม ปี 2550 ซึ่งถือเป็นโอกาสดีพิเศษยิ่ง จึงได้จัดสร้างวัตถุมงคล องค์พ่อจตุคามรามเทพ โดยได้นำผงมวลสารจากจตุคามรามเทพ รุ่นเก่ายอดนิยม มาผสมด้วย

    การสร้างวัตถุมงคลในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งสำคัญของวัดตะเคียนซึ่งถือเป็นรุ่นแรก พระที่สร้างในพิธีนี้ทั้งหมดถือเป็นยอดวัตถุมงคลของท่าน มวลสารทั้งหมดได้จัดเตรียมมานานนับเดือน ก็เป็นเพราะความตั้งใจของหลวงปู่เอง รวมทั้งได้นำมวลสารพระเครื่องยุคแรกที่ท่านสร้างและบรรจุในกรุนานกว่า 60 ปี
    มวลสารหลักของพระรุ่นนี้ มีผลอิทธิเจ ผงมหาราชเก่า ผงวิเศษ 108 ที่ท่านจารและเขียนขึ้นเองตามฤกษ์ยามที่ท่านกำหนดและปลุกเสกมานาน ผงไม้ตะเคียนอินทราณี ผงกะลาตาเดียวลงยันต์ จัน-สูรย์ ไม้มงคลแดง ไม้มงคลดำ ผงใบลาน ผงทองคำ ผงตะไบชนวน แผ่นจารยันต์พระเกจิอาจารย์ 108 องค์ ผงตะไบชนวนโลหะที่ท่านเก็บไว้ ผงยาจินดาวาสนา รวมทั้งผงกระเบื้องหลังคาโบสถ์ ผงเสาโบสถ์มหาอุด ผงทองพระประธาน เป็นต้น
     
  10. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    รายการที่ 17 เสือ เจ้าสัวพิทักษ์ทรัพย์ (เสือรุ่น 3) หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน สุดยอดแห่งความร่ำรวย
    หลวงปู่แย้ม ท่านปลุกเสกเสือรุ่น เจ้าสัว พิทักษ์ทรัพย์นี้ หลายครั้ง เมือท่านว่างท่านจะปลุกเสกของท่านไปเรื่อยๆ

    ปลุกเสกใหญ่ 9 วัน ในวันที่ 20-29 มิถุนายน 2551 พร้อมแช่น้ำมนต์ 9 วัน 9 คืน โดย 9 เกจิดังแห่งยุค คือ

    1.หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน นนทบุรี
    2.หลวงปู่ทิม วัดพระขาว อยุธยา
    3.หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว นครปฐม
    4.หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน ลพบุรี
    5.หลวงปู่เก๋ วัดปากน้ำ นนทบุรี
    6.หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน อยุธยา
    7.หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว อยุธยา
    8.หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม อยุธยา
    9.หลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอม นครปฐม

    หมายเหตุ หลวงปู่ทิม วัดพระขาว (ดับเทียนชัย) โดยท่านเป็นประธานจุดเทียนชัย รวมเวลาถึง 10 วัน

    ปลุกเสกในพระอุโบสถมหาอุดวัดตะเคียน ผนึกพลังพระเวทย์วิทยาคมทางมหาเสน่ห์ เมตตามหานิยม และโชคลาภ จากยอดเกจิอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางการสร้างพระขุนแผนโด่งดังมาแล้วทุกท่าน

    เสือรุ่น เจ้าสัว พิทักษ์ทรัพย์ หลวงปู่แย้มนี้ น่าบูชามากค่ะ เพราะวัตถุประสงค์บริสุทธิ์ มวลสารดี เกจิดี ค่ะ
    เสือรุ่น เจ้าสัว พิทักษ์ทรัพย์ หรือ เสือ รุ่น 3 หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน ตัวนี้สุดยอดในด้านเมตตามหานิยมและแคล้วคลาด แถมยังคงกระพันชาตรีอีกด้วยเรียกว่าครบเครื่องกว่า 2 รุ่นที่แล้วเสียอีก สำหรับเสือรุ่น เจ้าสัว พิทักษ์ทรัพย์ตัวนี้เป็นเนื้อชินตะกั่วตันหล่อโบราณ ด้านข้างเสือบริเวณชายโครง มียันต์ทั้งสองข้าง ขนาดความยาว ประมาณ 5.9 ซม. สูงประมาณ 1.6 ซม. ใครที่ชอบแบบครบเครื่องแบบนี้ไม่ควรพลาดนะค่ะ พร้อมมีใบคาถามาให้ด้วยค่ะ

    บูชาในราคา 3200 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    รายการที่ 18 สมเด็จเกศไชโย+ตะกรุดใต้ฐาน 1 ดอก
    หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก รุ่นสุดท้าย ปี 2538

    บูชาในราคา 400 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. tana0844

    tana0844 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +351
    ขอยกเลิก รายการนี้คับ

    พอดี งบไม่พอครับ ขอแจ้ง งดรายการนี้ก่อนนะคับ เผื่อว่า สิ้นเดือนแล้ว หากยังอยู่ ค่อยจะมารับไปอีกทีครับ
     
  13. tana0844

    tana0844 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +351
    ได้โอนเงิน จำนวน 450 เป็นค่าเหรียญหลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอนคับ
    จัดส่งได้ที่ --นายผวน--บารมี--133หมู่ึ7--บ้านวังทองดี--ตำบลโรงช้าง--อำเภอเมืองจังหวัดพิจิตร66000ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    รับทราบค่ะ พรุ่งจัดส่งให้นะค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  15. *~*Sea Anemone*~*

    *~*Sea Anemone*~* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    791
    ค่าพลัง:
    +9,121
    แหม ต้องช่วยดันๆๆๆๆ ให้ซะหน่อย เงียบวังเวงไปนิดนะ
     
  16. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    ขอบคุณง๊าบบ ____/\____ อิอิ เด๋วลูกค้าคงจะมาเยอะ เพราะมีแมวกวักมาช่วยแล้ว.....:cool:
     
  17. tana0844

    tana0844 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +351
    อยากให้มีอะไรใหม่ๆ มาทุกวันน่ะคับ มีอีกไหมครับ
     
  18. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    รายการที่ 19 เหรียญเทวบดี (๙ เศียร) วัดจุฬามณี ปี 2542 จ.สมุทรสาคร

    เหรียญเทวบดี (9 เศียร) พระครูโสภิตวิริยากรณ์ (หลวงพ่ออิฏฐ์) วัดจุฬามณี อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ปี 42 สร้างโดยกองกษาปณ์ เนื้อนิเกิ้ล (อัลปาก้า)

    พระครูโสภิตวิริยากรณ์ หรือที่รู้จัก และเรียกขานกันทั่วไปในนาม หลวงพ่ออิฎฐ์ วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม ท่านเป็นศิษย์เอกผู้สืบทอดสรรพวิชาการจากหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี พระเกจิอาจารย์นามกระเดื่องในอดีตแห่งลุ่มน้ำแม่กลองนอกจากนี้หลวงพ่ออิฏฐ์ ก็ยังได้เคยศึกษาร่ำเรียนเพิ่มเติมจากพระเกจิชื่อดังผู้แก่กล้าพระเวทย์ วิทยาคมอีกหลายองค์อาทิ หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ และหลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกระเชอ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลวงพ่ออิฎฐ์มีความรอบรู้เชี่ยวชาญทั้งในด้านพุทธเวท ไสยเวทวิทยาคมเป็นที่ยอมรับนับถือของสาธุชนทั่วไป ดังนั้นไม่ว่าจะมีพิธีพุทธาภิเษกครั้งสำคัญ ณ ที่ใดก็มักจะปรากฏนามหลวงพ่ออิฏฐ์ได้ร่วมในพิธีนั่งปรกปลุกเสกด้วยเสมอ และจากการที่หลวงพ่ออิฏฐ์รอบรู้เชี่ยวชาญในด้านคาถาอาคมอักขระเลขยันต์อย่าง เจนจบ ท่านจึงได้รับเกียรติประวัติให้เป็นผู้ลงจารยันต์ตระกรุดมหาจักรพรรตราธิราช ในแผ่นทองคำ ในพิธีจักรพรรดิมหาพุทธาภิเษก ณ อุโบสถวัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 2- 3 พ.ค.2542 เพื่อถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ในปี พ.ศ.2542 หลวงพ่ออิฏฐ์ ได้จัดสร้างพระกริ่ง เวฬุวัน , เหรียญมหาเทวบรมครู และเหรียญหล่อแม่นางกวัก ขึ้น ซึ่งก็ปรากฏว่าเป็นวัตถุมงคลที่มีความนิยมเป็นที่เสาะแสวงหากันอย่างกว้าง ขวาง สำหรับในปี 2543 หลวงพ่ออิฎฐ์ได้ดำเนินการออกแบบจัดสร้าง เหรียญเทวบดี ขึ้นโดยมอบหมายให้กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์เป็นผู้ผลิต นับเป็นเหรียญที่ผ่านการออกแบบอย่างชาญฉลาดมีความสวยงามความหมายลึกซึ้ง และเป็นมหามงคลอย่างยิ่ง คือ
    ด้านหน้าเหรียญเทวบดี ได้นำพระยันต์พระลักษณ์หน้าทองประทับไว้กึ่งกลางเหรียญ และล้อมรอบด้วย เศียรของมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ 9 พระองค์ ซึ่งแต่ละพระองค์มีรายละเอียดและความสำคัญดังนี้.-
    - พระอิศวร เทพเจ้าผู้สร้างโลก กายสีขาว มงกุฎน้ำเต้า ทรงตรีศูลเป็นเจ้าฟ้า พระอุมาภควดี เป็นพระมเหสี
    - พระพรหมธาตา เทพเจ้าแห่งพรหมวิหาร กายสีขาว 4 พักตร์ 8 กร มงกุฎน้ำเต้า 5 ยอด ทรงซ้อน ลูกประคำ คนโท คัมภีร์พระเวทย์ มีธนู
    - พระนารายณ์ เทพเจ้าผู้รักษาความดี กายสีดอกตะแบก มงกุฎเดินบน มงกุฎชัยห้ายอด ทรงตรี คฑาทอง จักร และสังข์
    - พระวิษณุ เทพเจ้าแห่งครูช่างทุกชนิด กายสีเขียว มงกุฎน้ำเต้าทรงลูกดิ่ง และฉาก
    - พระคเณศ เทพเจ้าแห่งศิลปะ และวรรณคดี กายสีสัมฤทธิ์ พระเศียรเป็นช้าง สี่กร มงกุฎน้ำเต้ามะเฟือง ทรงวชิระ มีงา ข้างเดียว กะโหลกใส่น้ำมนต์ มีเชือกบ่วงบาศก์
    - พระปัญจสีขร เทพเจ้าแห่งวิชาการดนตรี กายสีขาว หนึ่งหน้า สี่มือ มงกุฎน้ำเต้าสี่ยอด
    - พระประโคนธรรพ เทพคนธรรพ์ กายสีหงเสน หรือสีแดงเสน 1 หน้า 2 มือ มงกุฎน้ำเต้า มีวงทักษิณาวรรต ทั้งตัว
    - พระพิราพ อสูรเทพบุตร หัวโล้น (พิราพป่า) มีกายเป็นวงทักษิณาวรรต หรือกายม่วงแก่ หนึ่งพักตร์ สองกร สวมกระบังหน้าปากแสยะ ตาจระเข้ อาวุธหอกอยู่เชิงเขาอัคกรรณ มีสวนสำหรับเที่ยวเล่น ปลูกพวาทอง
    - พระฤาษี (พระพรตมุณี) พฤฒาจารย์แห่งสรรพวิทยา

    ด้านหลังเหรียญเทวบดี ประทับไว้ด้วยพระยันต์มหาจักพรรตราธิราชซึ่งนับเป็นพระยันต์ศักดิ์สิทธิ์ และมีพุทธานุภาพสุดประมาณมีความเป็นมาและรายละเอียดดังนี้
    พระยันต์มหาจักพรรตราธิราชนี้ต้นตำหรับเดิมประดิษฐานอยู่ ณ วัดประดู่โรงธรรม กรุงเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตามตำรากล่าวไว้ว่า พระพรหมมุนี อยู่วัดปากน้ำประสบได้ลงเป็นตะกรุดคำถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้ามาแล้ว จนกระทั่งพระองค์ได้ครองเมืองลพบุรี สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นพระราชโอรสสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เมื่อทรงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ได้พระตำรานี้มาจากมหาเถรเทียรราชวัดงู มาจากพระพิชัยวัดท่างูเห่ากับได้มาจากพระอาจารย์คงโหร และได้มาจากท่านอาจารย์ผู้วิเศษสืบๆ มาหาที่อุปมามิได้ต่อมาภายหลังในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้เคยได้มีการประกอบ พิธีลงยันต์ตะกรุดนี้ถวายสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ซึ่งทรงให้มีกาลประกอบพิธีสร้างตะกรุดมหาจักรพรรตราธิราช
    อนึ่ง ในวันที่ 2 - 3 พ.ค. 2542 หลวงพ่ออิฏฐ์ ได้ลงยันต์ตะกรุดมหาจักรพรรตราธิราชในแผ่นทองคำ ในพิธีจักรพรรดิมหาพุทธาภิเษก ณ อุโบสถ วัดศรีมหาธาตุวรวิหาร เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจากนั้นก็ได้เลิกลงแผ่นยันต์มหาจักรพร รตราธิราช และจัดสร้างเหรียญนี้ขึ้นโดยมีพระยันต์มหาจักรพรรตาธิราชอยู่ด้านหลังเหรียญ “ เทวบดีแทน ”
    พิธีประจุพุทธาคม เดี่ยวจากหลวงพ่ออิฎฐ์ ตลอดไตรมาส และยังนำเหรียญเทวบดีทั้งหมดเข้าร่วมในพิธีมหาพุทธาภิเษก พระพุทธชินราชจำลอง รุ่น ญส.ส. ณ พระวิหารหลวง วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร จ.พิษณุโลก ในวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2543 อีกครั้งหนึ่ง นับเป็นเหรียญที่ควรค่าแก่การบูชาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างที่สุด เพราะนอกจากจะมีความสวยงามในด้านการพิมพ์ ซึ่งในตัวเหรียญล้วนแล้วแต่เป็นมหาเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์ ส่วนในด้านการประจุพุทธาคมก็กระทำกันอย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์
    จำนวนสร้าง
    - เหรียญเทวบดี เนื้อทองคำ จำนวนสร้าง 30 องค์
    - เหรียญเทวบดี เนื้อเงิน จำนวนสร้าง 1,000 องค์
    - เหรียญเทวบดี เนื้อนิเกิ้ล (อัลปาก้า) จำนวนสร้าง 40,000 องค์

    วัตถุประสงค์ :
    - เพื่อสร้างหอพระให้กับวิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม
    - เป็นทุนการศึกษาแก่นักเรียน นักศึกษา ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา และอาชีวศึกษา
    - บูรณะปฏิสังขรณ์เสนาสนะภายในวัดจุฬามณี

    ให้บูชาในราคา 1,800 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2010
  19. KRITA

    KRITA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    2,060
    ค่าพลัง:
    +7,264
    พระสวยๆ หลายองค์เลยครับ นอกเรื่องนิดครับใช้กล้องรุ่นอะไรถ่ายครับ
    ชัดดีจริง
     
  20. find truth

    find truth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +1,363
    แหะ ๆ กล้องธรรมดาเลยค่ะ fuji z10 อ่ะค่ะ ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...