พระสิวลีลป.โต๊ะเสกขุนแผนยอดขุนพล ลพ สวาทวัดโป่งจันทร์ล๊อคเก็ตและขุนแผนรุ่นแรกลพ.สม โพธิ์ทอง

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,719
    ค่าพลัง:
    +21,337
    วันนี้ จัดส่ง

    1732017473394.jpg

    ขอบคุณครับ
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,719
    ค่าพลัง:
    +21,337
    หลวงปู่ทวด วัดประสาทบุญญาวาส รุ่นศิริมงคล ปี 2538 พระดี พิธีใหญ่ พุทธคุณด้าน ป้องกันภัย แคล้วคลาด เมตตามหานิยม และโชคลาภ ปลุกเสกโดยสุดยอดเกจิแห่งยุค
    ท่านอาจารย์นอง วัดทรายขาว
    หลวงปู่ทิม วัดพระขาว
    หลวงพ่อรวย วัดตะโก
    หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
    หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม
    หลวงพ่อลำไย วัดทุ่งลาดหญ้าและครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน เพื่อหาปัจจัย สมทบทุนสร้างศาลาการเปรียญ
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    หลวงปู่ทวดเนื้อผงวัดประสาท ๒ องค์ คู่
    ให้บูชา 230 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    FB_IMG_1732110488268.jpg FB_IMG_1732110490896.jpg FB_IMG_1732110493700.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,719
    ค่าพลัง:
    +21,337
    12119388-3.jpg 1129601-346dd.jpg 1129601-4b022.jpg
    ยอดขุนพล
    พระดีพิธีใหญ่ ปลุกเสก ณ วัดหลวงปรีชากูล จ.ปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2515 จัดสร้างโดยศูนย์การศึกษาคณะสงฆ์ภาคตะวันออก วัตถุประสงค์เพื่อหารายได้ในการจัดสร้างอาคารเรียนศูนย์การศึกษาคณะสงฆ์ปราจีนบุรี และหาทุนเพื่อการศึกษาแก่พระสงฆ์ทั่วไป...
    รายการพระที่สร้าง ก็มี พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ สันติสุข, เหรียญพระแก้วมรกต, เหรียญมหาพุทธาภิเษก, เหรียญยอดขุนพล, พระพุทธรูปปางประทานเอหิภิกขุ, พระสมเด็จสันติสุข และอื่นๆ...โดยมี คุณเกษม มงคลเจริญ ช่างสร้างพระเครื่องชั้นหนึ่งของประเทศไทย เป็นผู้ออกแบบ ซึ่งออกแบบมาได้อย่างวิจิตรงดงามมากจริงๆ...
    พิธีพุทธาภิเษกจัดขึ้นเมื่อ 4 มี.ค.2515 โดยมีลำดับ ดังนี้...
    - พระสวดคาถาพุทธาภิเษก-สวดคาถาจักรพรรดิ์ตราธิราชและสวดภาวณา 12 รูป
    - พระคณาจารย์สวดคาถาดับเทียนชัยและเจริญพระพุทธมนต์ฉลอง 29 รูป
    - ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน เป็นองค์ประธานจุดเทียนชัย
    - ฯพณฯจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นประธานจุดเทียนชัยบูชาพระรัตนตรัย
    - ท่านเจ้าคุณพระธรรมรัตนากร วัดมหาธาตุ เป็นประธานดับเทียนชัย
    - พลตรีศรีศักดิ์ ธรรนรักษ์ ผู้ว่าราชการปราจีนบุรี เป็นประธานบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระนเรศวร
    - พระอาจารย์ไสว สุมโน วัดราชนัดดา เป็นเจ้าพิธีฝ่ายสงฆ์
    - พระราชครูวามเทพมุนี ประธานพราหมณาจารย์แห่งประเทศไทย เป็นเจ้าพิธีฝ่ายพราหมณ์
    มีพระคณาจารย์สวดคาถาจุดเทียนชัยและเจริญพุทธมนต์จำนวน 109 รูป อาทิเช่น...
    o หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน
    o หลวงพ่อฑูรย์ วัดโพธิ์นิมิตร
    o หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    o หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณ์
    o หลวงพ่อมิ่ง วัดกก
    o พระอาจารย์ผ่องจินดา วัดสามปลื้ม
    o หลวงพ่อชื่น วัดตำหนักเหนือ
    o หลวงพ่อละมูล วัดเสด็จ
    o หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ
    o หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช
    o หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู
    o หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    o หลวงพ่อแกร วัดส้มเสี้ยว
    o หลวงพ่อโอด วัดจันเสน
    o ครูบาวัง วัดบ้านเด่น
    o หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
    o หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง
    o พระอาจารย์ฝั้น วัดป่าอุดมสมพร
    o หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
    o หลวงพ่อสุข วัดโพธิ์ทรายทอง
    o หลวงพ่อถิร วัดป่าเรไร
    o หลวงพ่อทอง วัดก้อนแก้ว
    o หลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก
    o หลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม
    o หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก
    o พระครุบาวัง วัดบ้านเด่น
    o หลวงพ่อปี้ วัดลานหอย
    o หลวงพ่อละมูล วัดเสด็จ
    o หลวงพ่อสว่าง วัดท่าพุทรา
    o หลวงพ่อสังข์ วัดกันตม
    o เจ้าคุณพุฒ เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี
    o หลวงพ่อชื่น วัดตำหนักเหนือ
    o หลวงพ่อจุฬ วัดถ้ำคูหาสวรรค์
    o หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังวิเวก์การาม
    o หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว
    o หลวงพ่อเจริญ วัดทองนพคุณ
    o หลวงพ่อสังข์ วัดกันตม
    o หลวงพ่อเจียม วัดโสธร
    o หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี
    o หลวงพ่อผิว วัดสง่างาม
    o หลวงพ่อหุ่น วัดพระยาทำ เป็นต้น...
    จึงนับเป็นพิธีมหาพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจังหวัดปราจีนบุรี และได้มีการฉลองสมโภชอีก 5 วัน 5 คืน...
    นอกจากนี้ เมื่อเสร็จสิ้นวาระนี้แล้ว หลวงพ่อเอีย กิตติโก วัดบ้านด่าน ท่านยังได้เมตตาปลุกเสกเดี่ยวให้อีกเป็นกรณีพิเศษ ถือว่าเป็นพระชุดสันติสุข ที่มากด้วยคุณภาพและประสิทธิภาพ ทั้งด้านมวลสารและพิธีพุทธาภิเษกดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 470 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20241121_123303.jpg IMG_20241121_123339.jpg
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,719
    ค่าพลัง:
    +21,337
    1726464862608 (1).jpg
    ท่านเคยปลุกเสกช่วงสายสิญจ์ไหม้ พิธีปลุกเสกจตุคาม
    ประวัติพระครูสุนทรขันติคุณ (หลวงปู่สาย ขนฺติโก)
    อดีตเจ้าอาวาสวัดดอนกระต่ายทอง ตำบลราชสถิตย์ อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง
    หลวงปู่สายพระมหาเถราจารย์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาและขันติธรรม ผู้สืบสายพุทธาคม หลวงปู่ศุขแห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท และหลวงพ่อซวงแห่งวัดชีปะขาว พระเกจิชื่อดังแห่งเมืองสิงห์บุรี ที่ทุกคนต้องรู้จักดี
    หลวงปู่สาย ขนฺติโก ท่านเกิดวันจันทร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ตรงกับวันที่ 19 ตุลาคม 2457 ณ. บ้านไชโย อ.ไชโย จ.อ่างทอง ใกล้กับวัดสกุณารามหรือวัดนก วัดที่มีพระกรุวัดนกอันโด่งดัง
    โดยหลวงปู่ท่านเป็นบุตรของ คุณพ่อพลอย และคุณแม่สิน จีนขจร มีพี่น้อง 6 คน เป็นชาย 4 คน เป็นหญิง 2 คน คือ พระครูสุนทรขันติคุณ (หลวงปู่สาย ขนฺติโก) , นายวิสุทธิ จีนขจร , นายอุทัย จีนขจร , นายเตี้ยม จีนขจร (หลวงตาเตี้ยม พระน้องชาย) , นางลูกอิน จีนขจร
    หลวงปู่ท่านเป็นบุตรคนโต ในวัยเด็กหลวงปู่ท่านได้ช่วยเหลืองานของบิดา มารดา และดูแลน้อง ๆ ด้วยความขยันหมั่นเพียร มีจิตใจใฝ่ในทางกุศลมาตั้งแต่เด็ก ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า เวลาโยมพ่อหรือโยมแม่หาปลามาได้และจะต้องนำปลามาตากแห้งบ้าง หั่นเป็นชิ้นบ้าง หน้าที่ต้องฆ่าปลาหรือทุบหัวปลาท่านจะหลีกเลี่ยง หรือหนีไปให้ไกลไม่ยอมทำเพราะสงสาร และไม่อยากทำบาป บางครั้งแอบปล่อยหนีไปก็มี ซึ่งนับได้ว่าเป็นเด็กที่มีใจเมตตาผิดแปลกจากเด็กทั่ว ๆ ไป
    ในสมัยเด็กท่านก็วิ่งเล่นอยู่ในวัดนก และวัดชีปะขาว ท่านเคยเล่าว่าตอนเด็ก ๆ นี่เรียนอยู่ที่วัดชีปะขาวกับหลวงพ่อซวง หลวงพ่อซวงท่านเองท่านก็เห็นหลวงปู่มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ท่านเองก็เคยซุกซนตามประสาเด็กจนถูกหลงพ่อซวงตีด้วยไม้เรียวก็มี หลวงปู่สายเคยบวชเณรอยู่ที่วัดชีปะขาวอยู่ถึง 5 พรรษา ก่อนที่จะบวชพระ ท่านชอบศึกษาเล่าเรียนและชอบสนทนากับพระสงฆ์ ในปี 2476 ท่านเรียนจบ ชั้น ป.4 จากโรงเรียนวัดบ้านเบิก อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ในระหว่างที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่นั้น ท่านสนใจด้านวิชาอาคม และด้านสมุนไพรได้ท่องเที่ยวเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ ในละแวกนั้น เพื่อขอร่ำเรียนวิชาอาคมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว สิงห์บุรี พระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน และท่านก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และหลวงปู่สายท่านจึงมีความรู้ต่าง ๆ มากมายทั้งด้านวิชาอาคม และด้านว่านยาสมุนไพรมาตั้งแต่ก่อนอุปสมบท นอกจากนี้หลวงปู่สายท่านยังเคยเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 5 ต.ไชโย อ.ไชโย จ.อ่างทอง อีกด้วย
    สู่ร่มเงาแห่งกาสาวพัสตร์
    เหตุผลหนึ่งที่หลวงปู่ท่านมีความต้องการอยากจะบวช ท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนนั้นมีไม่อะไรนอกจากทำนาทำไร่ พอเช้าไก่ขันนกร้องก็ถือจอบเสียมออกไปทำนา กลับมาก็พักผ่อนหลับนอน ชีวิตอยู่กับธรรมชาติก็หมุนเวียนเปลี่ยนไป เดี๋ยวก็วันเดี๋ยวก็คืน ท่านเห็นว่าไม่มีแก่นสาระประโยชน์อันใด หลังจากช่วยโยมพ่อโยมแม่ทำนาทำไร่มาหลายปี พออายุครบบวชก็เลยตัดสินใจบวช ท่านรู้สึกเฉย ๆ กับการเป็นฆราวาสจึงไม่คิดอยากจะสึก เหตุผลประการหนึ่งที่ท่านไม่คิดอออยากจะสึกคือไม่อยากทำนาทำไร่ เพราะต้องออกหาปลาดักสัตว์ท่านไม่อยากฆ่าสัตว์ ตัดชีวิตไม่อยากเบียดเบียนชีวิตซึ่งกัน และกันรู้พอใจยินดีในการบวชมากกว่า ดูแบบอย่างจากหลวงพ่อซวง ที่ท่านเคยไปอยู่ด้วยอยู่เป็นพระสงฆ์ปฎิบัติตามพระธรรมวินัย สบายกว่ากันมาก ไม่ต้องไปใช้ชิตที่ก่อทุกข์โทษสร้างกรรมสร้างเวรให้กับตนเอง และผู้อื่น
    เมื่ออายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ หลวงปู่สายท่านได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดสกุณารามหรือวัดนก อ.ไชโย จ.อ่างทอง ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2477 โดยมีพระเจ้าอธิการบุญ วัดสามประชุม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระบัว วัดสกุณาราม เป็นพระกรรมวาจารย์ และพระชม วัดดอนกระต่ายทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับสมยานามว่า “ขนฺติโก” คือ “พระผู้มีความอดทนยิ่ง” ซึ่งท่านพระอุปัชฌาย์ท่านคจะเห็นในอุปนิสัยในความอดทน มีความขยันหมั่นเพียรของหลวงปู่ท่าน จึงได้มอบฉายานี้ให้แก่หลวงปู่สาย
    สำหรับพระอนุสาวนาจารย์ของท่านคือ หลวงพ่อชม แห่งวัดดอนกระต่ายทองนั้น ท่านเป็นพระวิปัสนาจารย์ที่มีศีลจริยวัตรเคร่งครัด และมีชื่อเสียงในสมัยนั้น หลวงพ่อชมท่านชอบออกธุดงค์เข้าป่าเป็นประจำในหน้าแล้งของทุกปี หลังจากอุปสมบทแล้วหลวงปู่สายท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนกเป็นเวลา 2 พรรษา เพื่อศึกษาเล่าเรียนอักขระขอม และด้านว่านยาสมุนไพร กับหลวงปู่เฟื่อง ท่านพระอาจารย์ปลั่ง ท่านเป็นพระที่แก่กล้าและแตกฉานในด้านวิชาไสยเวทย์และ ด้านว่านยาสมุนไพรว่านยาอาคมต่าง ๆ ท่านเป็นศิษย์ในสายพุทธาคมหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท หลวงปู่สายท่านเป็นที่ถูกอัธยาศัยของหลวงปู่เฟื่อง และพระอาจารย์ปลั่งอย่างมาก เพราะเป็นพระผู้ที่มีความขยัน และอดทนท่านพระอาจารย์ทั้งสองจึงได้ถ่ายทอดสรรพวิชาต่าง ๆ ให้กับหลวงปู่สายอย่างไม่ปิดบังอำพรางตลอดแนะนำเคล็ดวิชาต่าง ๆ จนหมดภูมิความรู้ของท่าน หลังจากได้ศึกษาเล่าเรียนจากสำนักวัดนกแล้ว หลวงปู่สายท่านมีความสนใจในการปฎิบัติพระกรรมฐาน จึงได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดดอนกระต่ายทอง เพื่อศึกษาด้านวิปัสสนากรรมฐานและปฏิบัติจิตภาวณากับหลวงพ่อชม วัดดอนกระต่ายทอง หลวงพ่อชม ท่านก็ได้อบรมในเรื่องจิตภาวนาให้กับหลวงปู่อย่างใกล้ชิด และได้ร่วมออกธุดงค์ไปกับหลวงพ่อชมในหน้าแล้งของทุกปี เพื่อฝึกฝนปฎิบัติกรรมฐานสมาธิและจิตใจให้เข้มแข็งและแก่กล้า
    ปลายปี พ.ศ. 2481 หลวงปู่สาย ท่านได้เดินทางเข้ามาเล่าเรียนศึกษาด้านปริยัติธรรม และหัดท่องพระปาติโมกข์กับหลวงปู่ถม พุทธสโร วัดโพธิ์เรียง ซึ่งตั้งอยู่ในเขตบางกอกน้อย กทม. หลวงปู่ถมท่านได้อุปสมบทที่วัดดอนกระต่ายทอง ท่านเป็นพระคณาจารย์ทีมีชื่อเสียงรุ่นเดียวกับ หลวงปูโต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ในสมัยนั้นไม่ว่าจะมีงานพิธีพุทธาภิเษกที่ใด ย่อมต้องมีหลวงปู่ถมร่วมด้วยทุกครั้งไป หลวงปู่สายท่านได้จำพรรษาศึกษาเล่าเรียน ด้วยความตั้งใจอย่างยิ่ง จนกระทั่งท่านสามารถท่องพระปาติโมกข์ได้อย่างคล่องแคล่ว นอกจากนี้ท่านยังได้วิชาอาคมไสยเวทย์ และด้านวิชาสมุนไพรซึ่งหลวงปู่ถมเองท่านมีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีกิตติศัพท์เลื่องลือไปไกล ซึ่งหลวงปู่ถมเองท่านก็ให้ความเอ็นดูเมตตาต่อท่านเป็นอย่างมาก หลวงปู่สายท่านได้จำพรรษาที่วัดโพธิ์เรียงเป็นเวลา 2 พรรษา จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2483 ท่านก็ได้เดินทางกลับมาจำพรรษา ที่วัดดอนกระต่ายทองนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจวบจนปัจจุบัน
    เมื่อกลับมาจำพรรษาที่วัดดอนกระต่ายทอง ท่านก็ได้ทบทวนความรู้ต่าง ๆ ที่ท่านได้เล่าเรียนมา และมาต่อวิชากับหลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว ซึ่งท่านเคยมาเรียนตั้งแต่สมัยยังไม่ได้บวช นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาจากสมุดข่อยโบราณที่ตกค้างตามวัดต่าง ๆ ในแถบเมืองไชโยและละแวกใกล้เคียง โดยศึกษาด้วยตัวเอง และทดลองทำตามที่ตำราได้บอกไว้ ก็สามารถทำได้ผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ตามที่ระบุไว้ในตำราทุกประการ ดังเช่นที่วัดวงศ์ภาสน์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดดอนกระต่ายทองเท่าใดนัก สมัยหนึ่ง หลวงปู่พุฒ สารสุข(ปัจจุบันมรณภาพแล้ว) ซึ่งท่านเป็นเณรที่อุปัฏฐากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่พุฒท่านเคยมาจำพรรษาอยู่ที่วัดวงศ์ภาสน์ถึง 2 พรรษา หลวงปู่สาย ท่านก็ได้ไปขอแลกเปลี่ยนวิชากับหลวงปู่พุฒ และศึกษาเพิ่มเติมจากตำราเก่าของหลวงปู่ศุขวัดมะขามเฒ่า ที่หลวงปู่พุฒท่านได้มอบไว้ให้ หลวงปู่ท่านเล่าว่า ได้ทดลองปฏิบัติทำตามตำรา ก็ได้ผลเป็นอัศจรรย์ยิ่ง หลวงปู่ท่านยังบอกอีกตำราหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่านั้น ล้ำลึกและพิสดารมาก
    เป็นพระหมอยาโบราณรักษาชาวบ้าน
    ภายหลังจากท่านมาอยู่ที่วัดดอนกระต่ายทองแล้ว อายุกาลพรรษาก็มากขึ้นตามวัย ด้วยความรู้ความสามารถประกอยกับศรัทธาที่ชาวบ้านที่มีต่อท่าน เวลาที่ชาวบ้านเดือดร้อนก็มักจะมาขอความช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานมงคล เครื่องรางของขลัง ขับไล่ภูตผี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยในสมัยนั้น การสาธารณสุขก็ยังไม่ดีเช่นทุกวันนี้ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ก็รักษาตามมีตามเกิดหลวงปู่เองก็นึกเมตตา สงสารชาวบ้านท่านจึงได้เริ่มรักษาชาวบ้านด้วย ความรู้ด้านว่านยาสมุนไพรคาถาอาคมต่าง ๆ ที่ท่านมีความชำนาญ จนเป็นที่เลื่องลือกล่าวขานกันทั่วไปในละแวกนั้น นอกจากท่านจะได้ศึกษาด้านว่านยา สมุนไพรจากหลวงปู่เฟื่องและพระอาจารย์ปลั่ง วัดนกแล้ว ท่านยังได้ศึกษาวิชาหมอแผนโบราณเพิ่มเติม กับอาจารย์สดซึ่งเป็นฆราวาสที่อยู่วัดสระเกศ อ่างทอง และที่วัดสระเกศนี้เอง ก็มีหลวงพ่อโต๊ะพระคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคม ที่ชาวอ่างทองให้ความเคารพเลื่อมใสและรู้จักกันดี หลวงปู่สายเอง ท่านก็มีความสนิทสนมแวะเวียนไปมาหาสู่ สนทนากับหลวงพ่อโต๊ะเสมอ ๆ
    เมื่อครั้งเป็นหมอยาแผนโบราณ ท่านเล่าให้ฟังว่าในสมัยนั้น การเดินทางยากลำบากมาก ท่านต้องเดินเท้าไปรักษาคนเจ็บคนป่วยทั้งใกล้ทั้งไกล บางครั้งเดินทางเป็นวัน ๆ กว่าจะถึงบ้านคนเจ็บก็บ่ายก็เย็น แต่ท่านก็ไม่เคยบ่นหรือท้อถอย ในการเดินทางท่านให้การรักษาแก่ชาวบ้านอย่างสุดความสามารถ ไม่เลือกยากดีมีจน ด้วยความเมตตาสงสาร จนมีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่รู้จัก ด้านการรักษาด้วยยาแผนโบราณของท่าน นอกจากนี้ท่านยังมีความรู้เรื่องว่านยาอย่างลึกซึ้งอีกด้วย ลูกศิษย์รุ่นเก่าๆเล่าให้ฟังว่าหลังจากฉันท์เช้าแล้ว ท่านก็จะเริ่มรักษาชาวบ้าน เลยหรือหากวันใดไม่มีคนป่วยท่านก็จะลงไปสวนป่าสมุนไพร ว่านยาที่ท่านปลูกไว้สมัยนั้น บริเวณวัดดอนกระต่ายทองเต็มไปด้วยว่านยาสมุนไพรนานาชนิด เมื่อมีใครเจ็บไข้ได้ป่วย ก็สามารถจัดหามารักษาได้อย่างทันท่วงที หลวงปู่ท่านเป็นหมอยาโบราณ ให้กับชาวบ้านด้วยความเมตตามาช้านานไม่เคยคิดค่ายารักษา จนกระทั่งการสาธารณสุขเริ่มดีขึ้น ประกอบด้วยอายุท่านมากขึ้นจึงได้เลิกราไป ด้วยความที่ท่านเป็นหมอยามาก่อน ท่านจึงมีความชำนาญแตกฉานเกี่ยวกับเรื่องของอาการ 32 และธาตุเป็นอย่างมาก ท่านรู้ในธาตุรู้ในอาการอย่างลึกซึ้ง โดยปกติหลวงปู่จะไม่ค่อยพูดไม่เล่าอะไรให้ฟัง ครั้งหนึ่งตอนที่ท่านอารมณ์ดี ๆ เผลอ เล่าให้ฟังว่า “นะโมพุทธายะ พระเจ้า 5 พระองค์นี้เปรียบเสมือนแม่ธาตุใหญ่เป็นรากเหง้าของธาตุทั้ง 4 นะมะพะทะ ธาตุทั้ง 4 เป็นธาตุหล่อเลี้ยงร่างกาย สังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมา เป็นตัวก็เป็นธาตุที่ถอดออกจากแม่ธาตุใหญ่คือนะโมพุทธายะ ถ้าหากว่าธาตุทั้ง 4 กองนี้ สมบูรณ์ไม่วิปริตผิดแผกไป ร่างกายก็มิได้มีการเจ็บไข้ และหากธาตุทั้ง 4 นี้เกิดอการวิปริตขึ้นเมื่อใดจะเป็นธาตุหนึ่งธาตุใดก็ตาม อาการเจ็บไข้ก็จะบังเกิดขึ้นทันที และก็เป็นไปตามลักษณะอาการของธาตุที่วิปริตนั้น ฉะนั้นธาตุทั้ง 4 นี้เองจึงเป็นสมมุติฐานใหญ่ในคัมภีร์แพทยศาสตร์ สำหรับใช้พิจารณาตรวจดูอาการ โรคภัยไข้เจ็บทั้งมวลเมื่อเราประกอบพิธีกรรมกระทำใด ๆ ก็ตาม พึงกระทำธาตุในตัวเราให้ตั้งมั่นสมบูรณ์เสียก่อน โดยการตั้งธาตุหนุนธาตุให้ถูกต้อง ตามลักษณะการที่จะกระทำนั้น และเมื่อกระทำการเสร็จแล้วก็ควรจะหนุนธาตุให้เกิดอิทธิฤทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นอีก เมื่อธาตุในกายเราเป็นปกติสมบูรณ์ ก็จะทำให้กำลังใจของเราเข้มแข็ง สามารถที่จะทำให้บรรลุในสิ่งที่ต้องการได้ดังปรารถณา เราต้องตั้งแม่ธาตุก่อนจึงตั้งตัวธาตืเมื่อจะตั้งธาตุทั้ง 4 กอง ก็ต้องมีธาตุพระเจ้าคือ ธาตุกรณีกำกับลงไปเพื่อเป็นพี่เลี้ยงคุมธาตุ
    เมื่อตั้งธาตุบริบูรณ์แล้วก็ให้ทำการหนุนาตุด้วยแก้ว 4 ดวงคือ แก้วมณีโชติ แก้วไพฑูรย์ แก้ววิเชียร แก้วปัทมราช ให้พิจารณาดูว่าจะกระทำการใด เช่นจะแก้โรคภัยไข้เจ็บให้ตรวจดูว่าโรคนั้นเป็นเพราะธาตุใดวิกลไป ก็ให้ตั้งธาตุนั้นและหนุนธาตุให้ดีดังเดิม แต่หากจะกระทำการปลุกเสก ก็ให้พิจารณาว่าจะปลุกเสกก็ให้พิจารณาว่าจะปลุกเสกไปในด้านไหน เข้าในหมวดธาตุใดก็ให้เอาธาตุนั้นหนุน พอได้ฟังท่านเล่ามา อย่างนี้ ทำให้รู้ว่าหลวงปู่ท่านมีความรู้เรื่องธาตุละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างดี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญเสมาปี ๒๕๓๘
    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20241122_110326.jpg IMG_20241122_110228.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,719
    ค่าพลัง:
    +21,337
    หลวงปู่ผาด.jpg
    หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด ท่านเป็นพระที่รักสันโดษ ไม่ยึดติดในลาภยศสรรเสริญ ท่านได้ปฏิเสธในการสร้างวัตถุมงคลมาโดยตลอด แต่บรรดาศิษยานุศิษย์ได้รบเร้าหลวงปู่ว่า มีผู้เลื่อมใสศรัธาในตัวหลวงปู่ประสงค์อยากจะได้พระเครื่องวัตถุมงคลของหลวงปู่ผาดไว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลเป็นขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิต ทุกลมหายใจเข้าออกท่านกำหนดจิตด้วยกรรมฐานมีสติอยู่เสมอ วัตถุมงคลที่ผ่านการอธิฐานจิตจากท่านจึงทรงความศักดิ์สิทธิ์ทั้งบุญญาฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ดุจมีแก้วสารพัดนึก ใครมีโอกาส ได้ครอบครองก็ขอให้เก็บไว้บูชาดีๆเพราะท่านเคยพูดกับศิษย์บ่อยๆว่า “อีกหน่อยพระของเราจะเป็นเพชร” จากอมตะวาจาของหลวงปู่ผาดอนาคต
    พระสมเด็จปรกโพธิ์หลวงปู่ผาดวัดบ้านกรวด ออกที่วัดสะแกชัยนาท
    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20241122_163222.jpg IMG_20241122_163251.jpg IMG_20241122_163155.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2024 at 19:32
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,719
    ค่าพลัง:
    +21,337
    วันนี้ จัดส่ง
    1732356847605.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,719
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1732494255478.jpg
    ประวัติหลวงปู่สม สุชีโว
    ชื่อ พระครูโสภณสิริธรรม ฉายา สุชีโว วัด โพธิ์ทอง เลขที่ 46 หมู่ที่ 9 ตำบล / แขวง คำหยาด อำเภอ/เขต โพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง
    ชื่อเดิม บุญสม นามสกุล พรหมทอง วัน/เดือน/ปี เกิด 10เมษายน2473
    สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย
    สถานที่บ้านเกิด หัวหาด ตำบล บางหลาง อำเภอ สรรพยา จังหวัด ชัยนาท
    นามบิดา นายหวล นามสกุล พรหมทอง
    นามมารดา นางละมาย นามสกุล พรหมทอง
    อุปสมบทเมื่อ 18กรกฎาคม2497ที่วัด สวนลำใย ได้รับฉายาว่า สุชีโว
    ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 57 หมู่ที่ ถนน ตำบล บางหลวง อำเภอ สรรพยา จังหวัด ชัยนาท
    นามพระอุปัชฌาย์ พระครูธรรมวิทยโสภณ (หลวงพ่อชม วัดตลุก)
    สังกัดวัด อินทราราม ตำบล ตลุก อำเภอ สรรพยา จังหวัด ชัยนาท
    มรณภาพ 10 มิถุนายน 2557 สิริรวมอายุ 85 ปี พรรษา 61 ปี
    หลวงพ่อสม หรือ พระครูโสภณสิริธรรม สุชีโว วัดโพธิ์ทอง ต.คำหยาด อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง อีกทั้งยังเป็นพระแพทย์แผนโบราณ เป็นพระนักการศึกษา พระนักปกครอง และพระนักพัฒนาพร้อมกันไป ชื่อเสียงของหลวงพ่อสม จึงได้ขจรขจายไปทั้งเมืองอ่างทอง เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านโดยทั่วไป
    พระครูโสภณสิริธรรม สุชีโว มีนามเดิมว่า สม พรหมทอง เกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2473 บิดา-มารดา ชื่อนายหวล และนางละมาย พรหมทอง เกิดที่บ้านบางลำพู ข้างวัดสังเวชวิศยาราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ ท่านเป็นบุตรชายคนโต ต่อมา ได้อพยพครอบครัวไปตั้งรกรากอยู่ที่ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท
    ด้วยความที่บิดามีความสนิทสนมกับสมภารวัดที่อยู่ใกล้กับบ้าน คือ หลวงพ่อทรัพย์ เจ้าอาวาสวัดอินทาราม (วัดตลุก) จึงได้นำบุตรชายไปฝากให้เป็นลูกศิษย์คอยปรนนิบัติรับใช้ในกิจการต่างๆ รวมทั้งอบรมสั่งสอนเล่าเรียนวิชาการต่างๆ จากหลวงพ่อทรัพย์ และโรงเรียนประชาบาลที่อยู่ภายในวัดอินทาราม จนจบการศึกษาอันเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียน
    นอกจากวิชาสามัญในโรงเรียนแล้ว หลวงพ่อทรัพย์ ยังได้อบรมสั่งสอนวิชาแพทย์แผนโบราณ ทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติให้ เนื่องจากหลวงพ่อทรัพย์ เป็นหมอยาไทยที่มีชื่อเสียง จะมีผู้คนมาให้ท่านรักษากันมาก จึงมีหน้าที่ปรุงยาไทยให้หลวงพ่อทรัพย์ ตามใบกำกับยาที่ท่านสั่งให้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หลวงพ่อสม ได้สั่งสมความรู้ทางแพทย์แผนโบราณอย่างดี
    จนอายุ 17 ปี ด.ช.สม พรหมทอง ได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดอินทาราม (วัดตลุก) ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลตลุก อำเภอสรรพยา และเรียนพระปริยัติธรรมอยู่ที่สำนักเรียนวัดอินทาราม พ.ศ.2490 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.2491 สอบได้นักธรรมชั้นโท
    นอกจากนี้ ยังได้เรียนวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่เดินทางมาอยู่ปริวาสที่วัดอินทาราม เช่น หลวงพ่อรุ่ง และหลวงพ่อเดิม พระเกจิชื่อดังแห่งวัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ จนอายุ 19 ปี ได้ลาสึกออกมาด้วยเหตุที่โยมบิดา-มารดามีอายุชราภาพมากขึ้น จำต้องออกมาช่วยงานหาเลี้ยงครอบครัว คือ การควบคุมเรือบรรทุกสินค้าล่องมาค้าขายที่กรุงเทพฯ
    จนเมื่ออายุ 24 ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดอินทาราม มีพระครูธรรมวิริยโสภณ (ทรัพย์) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสมุห์สนิท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เส็ง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “สุชีโว” มีความหมายว่า “ผู้มีชีวิตอันงาม”
    หลังอุปสมบทจึงหมั่นศึกษาต่อจากที่ได้เล่าเรียนเมื่อครั้งเป็นสามเณร จนสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก ครั้นหมดภาระทางการศึกษาพระปริยัติธรรม จึงหันไปศึกษาตำราแพทย์แผนโบราณต่อจากที่เคยได้ศึกษาไว้เมื่อครั้งเป็นสามเณร จากหลวงพ่อทรัพย์ เจ้าอาวาสวัดอินทาราม (วัดตลุก) ท่านได้ศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ด้วยความ มุ่งมั่นเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร ทำให้หลวงพ่อสม ได้รับนิมนต์ให้ไปบรรยายวิชาแพทย์แผนโบราณแก่หน่วยงานของทางราชการ และหน่วยงานเอกชน
    ยามว่างงานด้านการรักษาโรค ก็ศึกษาข้อกัมมัฏฐาน และหมั่นเพียรปฏิบัติสมาธิกัมมัฏฐานอย่างเอาจริงเอาจัง นอกจากนี้ หลวงพ่อทรัพย์ ได้ฝึกอบรมหลวงพ่อสม ด้วยการให้ท่านเขียนลบเลขยันต์ต่างๆ ในแผ่นกระดานชนวนอยู่อย่างนั้นนับแรมปี ด้วยสิ่งใดก็ตามเมื่อทำอย่างซ้ำๆ จะเป็นผลดีในการฝึกจิตแบบอดทนนอกจากนี้
    หลวงพ่อสม ได้ไปศึกษาวิทยาคมเพิ่มเติมกับน้าแท้ๆ ของท่าน คือ หลวงน้าเก็บ หรือหลวงพ่อเก็บ แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท กล่าวได้ว่า หลวงพ่อเก็บ เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า พระเกจิชื่อดัง
    ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อสม ได้มาอยู่กับหลวงน้าของท่านที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้ตั้งใจศึกษาวิทยาคมสายหลวงปู่ศุขอย่างจริงจัง จนมีความสำเร็จ และมีประสบการณ์ให้ได้เห็นกันในปัจจุบัน ส่งผลให้วัตถุมงคลที่ท่านได้ร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตมีความเข้มขลัง ได้รับการยอมรับจากบรรดานักสะสมนิยมพระเครื่องเป็นอย่างยิ่ง
    หลวงพ่อสม ได้ฝึกจิตด้วยความเพียร โดยเห็นว่า “จิตเป็นที่ตั้งแห่งความดีและความชั่ว ความดีและความชั่วนั้นต่างมีพลังงานในตัวของมันเอง และพลังงานของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นปฏิปักษ์กันโดยธรรมชาติ มีการต่อสู้กันอยู่เนืองนิตย์ จิตใจเป็นสนามต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย”
    “ผลแห่งการต่อสู้นั้นด้วย คือ พลอยเป็นสุขเมื่อความดีชนะ พลอยเป็นทุกข์เดือดร้อนเมื่อความชั่วชนะ จิตใจย่อมมีอิสรเสรีที่จะเข้ากับฝ่ายใดก็ได้ เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาแล้วเห็นควรเข้ากับฝ่ายใด และมีทางเอาตัวรอดจากอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายนั้นด้วย”
    พ.ศ.2525 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง ต่อมา ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามพระครูโสภณสิริธรรม
    พ.ศ.2549 เป็นเจ้าคณะอำเภอโพธิ์ทอง ในปีเดียวกัน หลวงพ่อสมได้เข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตวัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี จนจบหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต
    หลวงพ่อสม มีชื่อเสียงเกียรติคุณในด้านการจัดสร้างพระผง ได้มีการนำมวลสารผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงตรีนิสิงเห ที่ได้ผ่านการเขียนสูตร เรียกสูตร ลบสูตรทุกขั้นตอนตามแบบโบราณหลวงพ่อสม ได้บอกเล่าถึงกระบวนการทำผงมวลสารวัตถุมงคลว่า “ต้องหาที่มุมสงบเพื่อให้จิตนิ่งเป็นสมาธิแล้วเขียนสูตรพร้อมเรียกสูตรไปที ลบตัวอักขระ จนครบทุกตัวอักขระเลขยันต์บนกระดานชนวน 1 ครั้ง หรือ 1 รอบ ต้องใช้เวลาเขียนสูตร เรียกสูตร ลบสูตรเป็นเวลาถึง 3 ชั่วโมงครึ่ง รวมทั้งการหาฤกษ์เขียนสูตรผง จะต้องเป็นฤกษ์ที่สมบูรณ์ที่สุด เพื่อให้ผงนั้นมีพุทธคุณเข้มขลังมากที่สุด”
    ขอบคุณเพจ [https://mgronline.com/local/detail/...mIPjhpluCfU2Wm-ma4YH6Wifb5m66xX-pnUnVJyD8m7g)
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ล๊อคเก็ตลพ.สมและ ขุนแผนรุ่นแรกหลวงพ่อสมวัดโพธิ์ทอง๒องค์
    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20241125_071039.jpg IMG_20241125_070801.jpg IMG_20241125_070825.jpg IMG_20241125_070905.jpg IMG_20241125_070948.jpg IMG_20241125_071016.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,719
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1732461289275.jpg
    บ๊ะ…มิน่าล่ะ ยมฑูตกับยมบาลเขาถึงโกรธให้มนุษย์นัก
    มิน่าล่ะ-ยมฑูตกับยม
    เคยรู้จักเคยได้ยินยมโลกไหมเคยได้ยินกันน่ะ?
    โยม : เคยครับ/เคยเจ้าค่ะ
    หลวงปู่ : เคยได้ยินคำว่ายมราชไหม
    โยม : เคยครับ/เคยเจ้าค่ะ
    หลวงปู่ : แล้วเคยได้ยินยมบาลไหม? เคยได้ยินยมฑูตไหม?
    เคยเห็นหนังสือแผ่นกระดาษยมฑูตหรือยมบาลที่เขาถือมาเซ็นไหม?…ว่าเราทำผิดทำถูก ทำบุญทำบาปเห็นหรือยังแผ่นกระดาษเขาน่ะ เห็นล่ะติ…?
    โยม : ยังครับ/ยังเจ้าค่ะ
    หลวงปู่ : แล้วเห็นตัวยมฑูตหรือยัง แผ่นกระดาษเขาก็ยังไม่เห็นอีก ที่เขามาจารึกน่ะ…
    โยม : …………(เงียบ)
    หลวงปู่ : บ๊ะ…มิน่าล่ะ ยมฑูตกับยมบาลเขาถึงโกรธให้มนุษย์นัก รู้ไหมยมฑูต ยมบาลเขาโกรธพวกเราที่เป็นมนุษย์นิ ยังไม่เคยเห็นจริงๆหรือยมฑูตนี่
    นี้ล่ะ…เป็นมนุษย์เรานี่ ทุกคนก็ล้วนแต่เคยอ่านพุทธประวัติพระพุทธเจ้ามากันบ้างแล้วเรื่องเทวฑูต เทวฑูตก็คือ ยมฑูต4
    พระพุทธเจ้าเมือตรัสรู้แล้วจึงตรัสถามภิกษุว่า ภิกขะเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมือผมเส้นผมนี้ถ้ามีสีขาวเกิดขึ้นมาแซมขึ้นมาสักเส้นสองเส้นให้เธอเข้าใจไว้เลยน่ะว่า นั้นล่ะ…มัจจุราช คือยมฑูตมาเตือนแล้ว
    เตือนมนุษย์ เข้าใจหรือยังยมฑูตน่ะ ยมฑูตมาเตือนแล้ว ตาที่ไม่เคยฝ้ามัวก็เกิดฝ้ามัวขึ้น หูที่เคยฟังเสียงดีๆมันกลับจะหนวกจะตึงแล้วขึ้นมาแล้วเห็นไหม?
    ยมฑูตเขามาเตือนเขามาเก็บเอาแล้ว รู้ไหมนั้นน่ะ
    นี้แหละยมฑูตเขาถึงได้เห็นแล้วว่า…โอ้ย ข้าพเจ้าเกิดขึ้นมานี่ ก็มาเกิดในยมโลกน้อ ทำไมถึงไม่ไปเกิดในมนุษย์โลก คำว่ายมโลกนิแปลว่า โลกแห่งความมืด โลกแห่งความไม่เจริญเข้าใจน่ะ โลกแห่งความมืด โลกแห่งความไม่เจริญ เขาเรียกว่าโลกที่ต่ำ เรียกว่าอบายภูมิ นรกเขาก็เรียก เขาอยากมาเกิดเป็นมนุษย์ ยมฑูต ยมบาลนี่ เขาตามพวกเราอยู่ทุกเวลาเลย ทุกลมหายใจเห็นไหม? เรานี่จารึกบนแผ่นกระดาษ แผ่นกระดาษที่เขาปูเอาไว้
    แล้วแผ่นกระดาษคืออะไร?
    ก็คือแผ่นพื้นพสุธานี่!!
    แผ่นกระดาษแห่งการทำดีทำชั่ว
    เราทำดีทำบุญทำชั่วหรืออกุศล
    เราเหยียบแผ่นดินทำหรือเปล่าหรือเหยียบอากาศ
    มนุษย์หน้าไหนมันเหยียบอากาศมันไม่เหยียบดิน
    ตัวเองจารึกความดีความชั่วตัวเองบนแผ่นดิน
    จะไปสงสัยอะไรอีก?
    ยมฑูตน่ะถ้าเขาอยากจะรู้ใครสร้างคุณงามความดี ถ้าเขาใช้มือปัดเป็นทักษิณาเท่านั้น เขาเปิดในตำราน่ะ อ๋อ…มนุษย์คนนี้เขาทำทักษิณาเขาทำบุญทำกุศลน่ะ เหมือนกับวันนี้น่ะ ถ้าเขาเปิดดู เขาคงจะเห็นพวกเราที่มานั่งเอาบุญกันในวันนี้น่ะ แต่ถ้าเขาเปิดกลับเวียนซ้ายขึ้นมาล่ะ…ลากเข้าเมรุเลยว่ะ
    เฮ่อ…ตำราใบเดียวกันนั้นแหละ ยมฑูต ยมบาลเขารักษาอยู่ เขาถึงว่า…โอ้ย มนุษย์เอ๋ย ฉันทรมานเหลือเกินมาตามล่าชีวิตมนุษย์นิตั้งเท่าไหร่ ตั้งแต่ฉันมาอุบัติขึ้นบนยมโลกนิ ฉันเบือแล้ว อยากเกิดเป็นมนุษย์เหลือเกิน ฉันจะสร้างแต่คุณงามความดี มนุษย์ทำไมมันโง่นักพากันแต่สร้างสิ่งที่ไม่ดี ประมาทกันอยู่อย่างนี้ ยมฑูต ยมบาลเขาบ่นรู้หรือเปล่า สงสารเขาบ้างเถอะ เขาตามดูพวกเราน่ะ นี้ไม่มีความสงสาร ยมฑูต ยมบาลกันเลย แล้วจะให้พูดยังไงกันแน่
    หือ…อย่าบอกน่ะว่า ฉันไม่อยากเจอเลยค่ะ อย่าพูดน่ะ ยมฑูตก็นี้แหละ ยมฑูตก็คือตัวเรานิแหละยมฑูตน่ะ ก่อนผมที่เคยเป็นสีดำก็เป็นสีขาว ตาจากที่มองเห็นชัดก็ฝ้ามัว หูก็หนวกตึง สารพัดแล้ว ฟันก็ร่วง เนื้อหนังก็เหี่ยวย่น เหี่ยวยานหมด นี้ล่ะตัวยมฑูต
    รู้หรอยังยมฑูตทีนิ ไม่ใช่อยู่ที่อื่น อยู่ที่โลกอันนี่
    โลกอันนี้มันมีทั้งความมืดโลกความมืดที่อยู่ในนี้แหละ
    อยู่ในตัวตนสกลกายอันนี้ เขาเรียกว่ายมโลก แต่โลกที่แสงสว่างอีกหนึ่งน่ะ เรียกว่ามนุษย์โลก ในมนุษย์โลกนิ เป็นโลกตอนกลางๆ มีทั้งยมโลกมีทั้งเทวโลก มันอยู่ด้วยกันนิ เราจะไปทางไหนล่ะ…..?
    พระธรรมเทศนาหลวงปู่สวาท ปัญญาธโร
    ณ หอประชุม รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี (ในงานผ้าป่ามหากุศลจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ วันที่ 20 ส.ค. 59)
    Cr. FB : ศรัทธาบารมีหลวงปู่สวาท ปัญญาธโร
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ขุนแผนยอดขุนพลหลวงพ่อสวาทวัดโป่งจันทร์ ๒ องค์คู่
    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20241124_223036.jpg IMG_20241124_223058.jpg IMG_20241124_223202.jpg IMG_20241124_223219.jpg IMG_20241124_223119.jpg IMG_20241124_223139.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,719
    ค่าพลัง:
    +21,337
    get_auc1_img (12) (1).jpeg

    หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่าน มรณะภาพ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2549 สิริอายุ 86 ปี
    ประวัตท่านบางส่วนครับ
    ฝึกวิชา
    พระอาจารย์บุญยังได้พยายามถ่ายทอดวิชาต่างๆ ด้านพุทธคุณให้ ตอนแรก ๆ หลวงพ่อไม่สนใจ แต่เมื่ออยู่กับท่านนาน ๆ ไปหลวงพ่อเริ่มมีความสนใจขึ้น เห็นพระอาจารย์ท่านทำอะไร ๆ แปลกๆ ให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ เช่น ทำควายธนูด้วยตอกสาน โดยสานมือเดียวแล้ววางไว้ ควายธนูก็มีการขยับเขยื้อนได้ เสกน้ำมันจนเดือดเหมือนน้ำร้อน ฟองเดือดขึ้นมา แต่เมื่อไปสัมผัสด้วยมือกลับไม่ร้อน ทำให้ท่านอยากจะเรียน พระอาจารย์ของหลวงพ่อก็ถ่ายทอดให้ทั้งคาถาปลุกเสก และวิธีฝึก
    วิชาเกราะเพชร
    วิชาหนึ่งที่ท่านชอบและฝึกมาตั้งแต่ต้น คือ “ยันต์เกราเพชร” หรือตาข่ายเพชร โดยหลวงพ่อบุญยังได้เล่าให้ท่านฟังว่าสมัยหลวงปู่ศุข ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ลองวิชาเกราะเพชรกับพระะรูปหนึ่ง ที่แก่กล้าวิชาที่เดินทางผ่านวัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยบอกหลวงปู่สุขว่าจะขี่ม้าพยนต์เข้ามาในโบสถ์ให้ดู หลวงปู่ศุขท่านได้เอาผ้ายันต์เกราะเพชรขึงไว้หน้าประ ตู ปรากฎว่าม้าพยนต์ไม่สามารถผ่านยันต์เกราะเพชรหรือตาข ่ายเพชรไปได้ พระรูปนั้นเมื่อแพ้วิชาของหลวงปู่ศุข ก็ได้เดินทางกลับไปจากวัดปากคลองมะขามเฒ่าเมื่อหลวงพ ่อมหาโพธิ์ได้ฟังจากหลวงพ่อบุญยังเล่าท่านจึงสนใจและ เล่าเรียนวิชาเกราะเพชรลงตระกรุด และผ้ายันต์เกราะเพชรมาตลอดอายุของท่าน
    การลงยันต์เกราะเพชร ต้องท่องสูตรคาภาพระอิติปิโสรัตนมาลา ๕๖ บาท ให้ได้จนขึ้นใจทั้งเดินหน้า และถอยหลังได้รวมทั้งบทปลีกย่อยอื่น ๆ อีกมากมาย ในการลงยันต์เกราะเพชร ท่านบอกว่ายันต์เกราะเพชร เป็นยันต์ที่ค่อนข้างยากผู้เรียกจะต้องมีความขยันหมั ่นเพียร กับความอดทน และการประสิทธิ์ประสาทจากครูบาอาจารย์ น้อยคนนักที่จะลงยันต์เกราะเพชรได้ บางคนมาขอเรียนเห็นพระคาถา ๕๖ บาท ก็ท้อแล้วไม่อยากจะท่องจำ ความเพียรพยายามไม่มี การลงยันต์ก็ต้องหายใจลงตามสูตรพระคาถา ๕๖ บาท ผู้ที่ฝึกฝนใหม่ ๆ ต้องใช้เวลาเรียนเกือบทั้งวันกว่าจะลงยันต์เสร็จ อย่างตัวของหลวงพ่อเองใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่งโมง ถือว่าลงได้เร็วมากแล้วเพราะท่านฝึกมา ตั้งแต่อายุยังรุ่นอยู่
    ในสมัยก่อนยามว่าง ท่านมักลงตระกรุดเกราะเพชรและทำผงพุทธคุณเกราะเพชรทั ้งชนิดป้องกันตัว และถอนคุณถอนของคนที่ถูกผีเข้า ท่านจะเอาตะกรุดเกราะเพชรที่เป็นแผ่นแบบยังไม่ได้ม้ว นเป็นตะกรุด ตบหัวคนถูกผีเข้า ผีจะทรุดลง และออกจากตัวคนไข้ไปทันที ตะกรุดส่วนใหญ่ท่านจะใช้แผ่นทองแดงมาลงยันต์เกราะเพช ร ยกเว้นแผ่นถอนของท่านจะใช้แผ่นตะกั่ว ส่วนตะกรุดเนื้อเงินท่านจะลงให้เฉพาะกับศิษย์ใกล้ชิด เท่านั้น เกี่ยวกับประสบการณ์ในตะกรุดเกราะเพชร มี ส.ส.ท่านหนึ่งใน จ.ชันนาท ที่เคารพนับถือหลวงพ่อมากได้ขอตะกรุดท่านไปใช้พกติดต ัว ขณะหาเสียงถูกผู้ที่ปองร้ายใช้ระเบิดปาใส่ ปรากฏว่า ส.ส.ท่านนั้นไม่เป็นอะไรเลย วิชาลงตะกรุดใต้น้ำ
    หลวงพ่อบุญยังได้เรียนวิชาตะกรุดใต้น้ำจากหลวงปู่ศุข โดยสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ลงให้กับลูกศิษย์ทุกปี แม้กระทั่งพระสมุห์กลับ แสงเขียว ก็ยังขอให้ท่านช่วยลงตะกรุดใต้น้ำที่วัดดอนตาลให้ โดยก่อนที่จะประกอบพิธีจะต้องตั้งเครื่องบูชาครูริมแ ม่น้ำ และต้องตอกเสาหลักไว้ในน้ำสำหรับผู้ที่จะลงตะกรุดเกา ะไว้ ไม่อย่างนั้นจะถูกน้ำพัดลอยไปตามกระแสน้ำ ตะกรุดจะลง และปลุกเสกใต้น้ำเสร็จแล้วจะปล่อยให้ลอยขึ้นมาบนผิวน ้ำ พวกลูกศิษย์ก็จะแจวเรือคอยเก็บอยู่ข้างบน หลวงพ่อบุญยังเล่าให้หลวงพ่อบุญยังฟังว่าน้ำที่
    วัดดอนตาลน้ำเย็นเหลือเกิน หลวงพ่อมหาโพธิ์เล่าว่า ท่านเคยขอเรียนวิชาตะกรุดใต้น้ำนี้จากท่านอาจารย์บุญ ยัง ซึ่งอาจารย์ท่านก็รับปากถ่ายทอดให้แต่ต้องเรียนในวัน เพ็ญเดือน ๑๒ แต่ยังไม่ทันถึงเดือน ๑๒ หลวงพ่อบุญยังก็มรณะภาพลงเสียก่อนเมื่ออายุได้ ๕๕ เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก ที่หลวงพ่อท่านเรียนจากพระอาจารย์ไม่ทันจึงทำให้วิชา นี้สูญไป
    เกี่ยวกับวันที่หลวงพ่อบุญยังมรณภาพ ชาวบ้านแถบวัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้เห็นลูกๆไฟดวงใหญ่ลอยเดินทางไปยังวัดหนองน้อย และได้ลอยกลับมาโดยมีลูกๆไฟดวงเล็กตามมาด้วยเป็นที่ตื อันตาตื่นใจแก่ผู้คนในสมัยนั้นมากเล่าขานกันมาจนถึงปัจุบันนี้
    ชีวิตฆราวาส
    ท่านได้สมรสกับ นางสุขใจ เป็นผู้ที่ค่อนข้างจะมีฐานะดีในจังหวัดชัยนาท แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ได้มีร้านค้าขายของชำอยู่ในอำเภอวัดสิงห์ ยามว่างท่านก็จะไปศึกษาวิชาความรู้ทางไสยศาสตร์กับ พระสมุห์กลับ แสงเขียว วัดดอนตาล ซึ่งถือกันว่าเป็นศิษย์มือขวาของหลวงปู่ศุขเลยทีเดีย ว พระสมุห์กลับภายหลังท่านสึกจากพระเสียอีก
    ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงพ่อมหาโพธิ์ซึ่งตอนนั้นท่านอยู่ในเพศฆราวาส ท่านได้ลงสมัครเลือกตั้งเป็น เทศมนตรีเทศบาล อำเภอวัดสิงห์ ในวาระ ๔ ปำถึง ๒ สมัย รวมเป็น ๘ ปีถึง พ.ศ.๒๕๐๗ ท่านได้เล่าไห็ฟังว่าตอนหาเสียงท่านก็ไม่ค่อยได้ออกไ ปหาเสียงที่ไหนอยู่ในร้านค้าของท่านในอำเภอวัดสิงห์ ค้าขายของไปวัน ๆ หนึ่ง แต่อาศัยที่ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาไสยศาสตร์จากหลว งพ่อบุญยัง และพระสมุห์กลับ ด้วยอานุภาพความศักดิ์ของวิชา นะฤาชา ที่หลวงพ่อบุญยัง ถ่ายทอดไห้มาเป็นพิเศษ จึงทำให้ท่านเป็นที่รู้จักเลื่องลือไปทั้งอำเภอวัดสิ งห์ เป็นที่นิยมชมชอบของประชาชน อำเภอวัดสิงห์ ท่านลอกว่าท่านไม่ต้องไปเหนื่อยกับการหาเสียงเลย ประชาชนทั่วไปเลือกท่านเป็นเทศมนตรีเทศบาล อำเภอวัดสิงห์ ถึง ๒ สมัย จนในปี ๒๕๑๗ กระทรวงมหาดไทยมอบใบประกอบในประกาศนียบัตร ชมเชยในการทำงานของท่าน ที่พัฒนา อำเภอวัดสิงห์ ให้มีความเจริญก้างหน้าแก่ ท้องถิ่น หลังจากที่ท่านได้หมดวาระในตำแหน่งเทศมนตรีไปแล้ว ๙ ปี
    เหตุที่กลับมาบวช
    หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านได้เล่าว่า ชีวิตของท่านมีความผูกพันกับวัดเสมอห่างจากวัดไม่ได้ แม้จะครองเพศฆราวาสก็ต้องวนเวียนอยู่กับวัด ก่อนที่ท่านจะกลับมาบวชจิตใจก้รุดมร้อน ทำอะไรก็เหมือนคนเสียสติ จนต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวโดยไม่มีสาเหตุของโรค จนมีอยู่วันหนึ่งขณะนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ท่านได้ลุกขึ้นมาเขียนยันต์ต่าง ๆ ตลอดจนยันต์ครูที่ท่านเคยเรียนมา ได้ทิ้งไปนานไม่ได้ทบทวนเลย ซึ่งในเพศฆราวาสท่านก็ไม่ได้ฝึกฝนทบทวนต่อ เพราะเวลาว่างใหญ่จะไปทางโลกหมด ต้องวุ่นวายกับครอบครัวเรื่องการทำมาหากินเวลาปฏิบัต ิทางธรรมทางวิชาคุณพระก็หย่อนยานไป ขาดการไหว้ครูทุก ๆ ปี ก็เลยทำให้ท่านผิดปรกติ แต่ก็ดลจิตให้นึกขึ้นมาได้ ว่าสาเหตุจากแรงครูนี้เองโดยไม่ต้องให้แพทย์รักษา ในปี พ.ศ.๒๕๐๙ ท่านก็ได้เข้ามาสู่สมณเพศ อุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้งที่วัดพานิชนาราม อำเภอวัดสิงห์ จ.ชัยนาท โดยมีพระอุปัชฌาย์ คือ พระครูสิงหชยสิชฌน์ (เจริญ) พระกรรมวาจารย์ พระคูครูแบน เจ้าอาวาสวัดโคกสุข และพระแช่ม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๒๖ เดือน มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๙ เวลา ๑๖.จ๕ น.และได้มาตำพรรษา สังกัดวัดโคกสุข ต.หนองน้อย อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาม จนถึงปี พ.ศ. ๒ษ๕๑๓ ได้ย้ายมาตำพรรษาอยู่ ณ วัดคลองมอญ ในวันที่ ๒๖ กันยายน เพราะวัดคลองมอญในเวลานั้นเกือบจะเป็นวัดล้างอยู่แล้ วไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่เลย ชาวบ้านที่อาศัยแถววัดคลองมอญ ได้นิมนต์ท่านให้มาปกครองวัดคลองมอญอยู่หลายครั้ง จนท่านต้องมาเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดคลองมอญ ได้สร้างความเจริญให้กับวัดคลองมอญเป็นอันมาก
    กิตติคุณของหลวงพ่อ
    ซื่อเสียงของท่านล่ำลือไปไกลหลายจังหวัด ในเรื่องการรักษาโรคต่าง ๆ ที่ไม่มีสาเหตุ ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่ได้ บางคนต้องมารักษาเป็นแรมเดือน ตอนนั้นท่านอยู่ในโบสถ์ รักษาคนไข้โรคแปลกๆ มีทั้งคนถูกคูณถูกของ ทั้งเสน่ห์เล่ห์กลต่าง ๆ น้ำมันพรายฯลฯ บางคนป่วยปางตายท่านก็รักษาจนหายมีชีวิตอยู่รอดได้ ผู้มีจิตศรัทธาจำนวนมากต่างก็มานมัสการท่านขอความเมต รตาจากท่านๆก็ได้สงเคราะห์ให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหน ื่อย ไม่เลือกชั้น วรรณะ ให้ ความเสมอภาคกับทุกๆ คนเสมอมา จนถึงปี พ.ศ. ๑๔๒๖ ท่านก็ได้หยุดรักษาคนไข้ ประกอบกับอายุสังขารท่าน ก็ชราภาพมากแล้วจึงต้องได้รับการพักผ่อน บำรุงรักษาร่างกายให้มีสุขภาพดี เป็นเนื้อนาบุญให้กับลูกศิษย์ และญาติโยม จะได้พึ่งบารมีของท่านไปได้อีก นาน ๆ จนถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ.๒๕๔๔ ) หลวงพ่อมาหาโพธิ์ญาณสังวโร เป็นทายาทศิษย์สายตรงของหลวงปู่ศุข ที่ถ่ายทอดตำราคัมภีร์ด้านพุทธคุณในศิษย์รุ่นที่ ๓ ที่ได้รับมาแต่ผู้เดียว
    การรักษาโรค
    หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านได้สอนวิธีการรักษาให้กับผู้เขียนในตัวผู้ป่วยที่อยู่ในอาการต่างๆ อาการอย่างไรควรรักษาด้วยวิธีการใด บางคนเป็นแผลเน่าไปทั้งตัว เคยไปรักษาที่โรงพยาบาล หมอปัจจุบันบอกว่าเป็นมะเร็ง รักษาอยู่หลายปีไม่หาย ได้ยินชื่อเสียงของหลวงพ่อมหาโพธิ์ ญาติพี่น้องได้พามารักษาที่ วัดคลองมอญ เมื่อหลวงพ่อดูอาการแล้วบอกว่า “โดนผีคุณ” ไม่ไช่มะเร็งหลวงพ่อท่านได้ใช้ปูนกับน้ำมนต์รักษาคนไ ข้ ใช้มีดหมอสับ และไม้เท้ากดตามตัวคนไข้ ก่อนทำการรักษาต้องมีดอกไม้ ธูปเทียน และเงิน ๖ บาทสลึงเป็นค่าบูชาครู และต้องบนครูด้วยว่า เมื่อหายจากอาการป่วยแล้วจะถวายครูด้วยไก่ ๑ ตัว, เหล้าขาว ๑ ขวด ,กล้วย ๑หวี, ข้าวสาร ๑ ถ้วย , และเงิน ๖ บาทสลึง เป็นสิ่งที่แปลกผู้คนส่วนมาก ที่มารักษาจากหลวงพ่อหายจากโรคร้ายทุกคน เมื่อถึงวันไหว้ครูจะมีผู้คนมามากมายถวายขวัญข้าวครู เต็มโบสถ์ไปหมดแทบจะไม่มีทางเดินเลย
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงพิมพ์ประภามณฑลทรงครุฑหฃวงพ่อมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ ชัยนาท
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20241125_071358.jpg IMG_20241125_071425.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2024 at 18:58
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,719
    ค่าพลัง:
    +21,337
  11. ทองทวี

    ทองทวี “นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา" สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,771
    จอง
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,719
    ค่าพลัง:
    +21,337
    รับทราบครับ ขอบคุณครับ
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,719
    ค่าพลัง:
    +21,337
    1732541609687.jpg 1732541801348.jpg
    พระสิวลี วัดราษฎนิยมธรรม
    ลป.เที่ยง วัดราษฎรนิยมธรรมลป.โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลีเสกสร้างปื2521เนื้อว่าน108 ผสมผงพุทธคุณ มี 5 พิมพ์
    มีพิมพ์หลวงพ่อเที่ยง พิมพ์สมเด็จพิมพ์สิวลีพิมพ์นางกวักพิมพ์คะแนนพิธีใหญ่ เกจิดังๆหลายท่าน มีหลวงปู่โต๊ะ วัดประดูฉิมพลีผงเกสรมวลสารของหลวงปู่โต๊ะ ซึ่งหลวงปู่ให้มากดพิมพ์รอไว้ก่อนที่วัดหนองผักชีและผงเก่าจากวัดสามปลื้มซึ่งหลวงพ่อเที่ยงเจ้าอาวาสในสมัยนั้นอยู่ที่วัดสามปลื้มมาก่อนจากนั้นทางการได้ส่งให้หลวงพ่อมาสอนหนังสือที่วัดหนองผักชีและดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเมื่อหลวงพ่อเที่ยงจัดสรางพระหลวงปู่โต๊ะจึงมาช่วยเพราะมีความสนิทกันตั้งแต่ตอนอยู่ วัดสามปลื้มนับว่าเป็นของดีพุทธคุณเปี่ยมล้นพระที่ออกมามีลักษณะคลายวัดประดู่ฉิมพลี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความร่วมมือที่มาอย่างเช่นครับ

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20241125_203549.jpg IMG_20241125_203611.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...