พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า
    http://www.watnongjanson.com/sa wan.htm



    ผู้นิพนธ์เรื่อง...........
    เทพบุตร ๑๒ องค์

    พระมาลัย ถาม พระอินทร์

    เทพบุตรองค์ที่ ๑ มีบริวาร ๑๐๐ อานิสงส์ให้ทานข้าวปั้นหนึ่งแก่กา
    ในขณะเมื่อพระมาลัยเถรเจ้าและสมเด็จอมรินทราธิราชเจ้ากำลังปุจฉาวิสัชนากันและกันอยู่นั้น ยังมีเทพบุตรองค์หนึ่งแวดล้อมไปด้วยบริวารเทพอัปสรประมาณร้อยหนึ่ง เลื่อนลอยตามกันมาเพื่อจะนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์ เป็นที่บรรจุพระเมาลี คือมวยผม และพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระพุทธ
    พระมาลัยเถรเจ้าแลเห็นเทพบุตรองค์หนึ่งมาแล้วจึงถามพระอินทร์ว่า เทพบุตรองค์นี้หรือคือพระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรย์ ?
    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ไม่ใช่องค์นี้
    ฉะนั้นเทพบุตรองค์นี้คือองค์ไหนเล่า มหาบพิตร ?
    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เทพบุตรองค์นี้มิได้ปรากฎนามและโคตร แต่เป็นเทพบุตรวิเศษองค์หนึ่งเท่านั้น
    มหาราช ขอถวายพระพร เทพบุตรองค์นี้ แต่ก่อนเมื่ออยู่ในมนุษย์โลกนั้นได้กระทำกุศลอย่างไร ?
    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เทพบุตรนั้น เมื่อเกิดเป็นมนุษย์เป็นคนยากไร้เข็ญใจ เที่ยวเกี่ยวหญ้าขายเลี้ยงชีวิต ครั้นถึงเวลาจะกินข้าวกลางวันจึงแก้ห่อข้าวออก ไม่ทันจะกินข้าวได้เห็นกาตัวหนึ่งบินมาจับอยู่ที่ใกล้ตนจะกินข้าว จึงคิดว่ากาตัวนี้แสบท้องอยากอาหารเหมือนกับเรา จึงปั้นข้าวก้อนหนึ่งวางไว้ในที่ควรแก่กานั้นกระทำทานประมาณเท่านี้ วันใกล้จะตายระลึกถึงทานที่ตนได้ให้ข้าวปั้นหนึ่งแก่กานั้นเป็นอารมณ์ ครั้นสิ้นชีวิตแล้วก็ได้มาบังเกิดเป็นเทพบุตร ด้วยผลบุญประมาณเท่านั้น กุศลเจตนานั้นมีสหชาติธรรมบังเกิดเป็นฝ่ายบุญกิริยา คือ ศรัทธา เมตตา ปัญญา เข้าช่วยบำรุงจิตกุศลกรรมมีอโลภะอุปถัมภ์ จึงให้ข้าวปั้นแก่กาเมื่อกุศลจิตเป็นกามาพจร มีห้องเจตสิกราศีทั้งหลายล้วนเป็นบุญมากอาการที่ยกข้าวปั้นหนึ่งแก่กาจึงบังเกิดเป็นสหธรรมพร้อมกัน
    ส่วนผลานิสงส์บุญ ๕ อย่าง คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ จะบังเกิดมีแก่นรชาติชายหญิงนั้นได้ร้อยชาย คือ อายุร้อยชาติ วรรณะร้อยชาติ สุขะร้อยชาติ ปฏิภาณร้อยชาติ กับทั้งบริวารยศร้อยหนึ่ง เป็นอานิสงส์ห้าร้อยด้วยกันในร้อยชาติ

    เทพบุตรองค์ที่ ๒ มีบริวาร ๑,๐๐๐ อานิสงส์แจกข้าวห่อแก่เพื่อน

    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เทพบุตรองค์นี้ เมื่อเป็นมนุษย์นั้นได้เป็นเด็กเลี้ยงวัวตามท้องนา ครั้นวันหนึ่งเมื่อจะบริโภคอาหารในเวลากลางวัน มีจิตยินดีได้แบ่งข้าวห่อของตนออกแจกจ่ายให้แก่พวกของตนบริโภคบ้างตามประสาเด็กเลี้ยงวัว ครั้นกระทำกาลกิริยาตายได้บังเกิดเป็นเทพบุตร มีนางเทพอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร
    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เมื่อเด็กเลี้ยงวัวรักใคร่ให้ปันของกินกันอย่างนี้ จะไม่ชื่อว่าทานเจตนาเกิดด้วยเมตตาจิตหรืออย่างไร ? ทานเจตนาที่มีเมตตาเป็นสหชาติเกิดพร้อมด้วยขณะนั้น

    เทพบุตรองค์ที่ ๓ มีบริวาร ๑๐,๐๐๐ อานิสงส์ถวายบิณฑบาตแก่สามเณร

    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ซึ่งพระพุทธฎีกาโปรดเทศนาไว้ในทักขิณาวิภัคสูตรว่า ถวายทานแก่สามเณร มีอานิสงส์เป็น อสงไขย นั้นพระองค์ตรัสด้วอาศัยสามเณรที่มีศีลวัตต์ปฏิบัติ ควรแก่พระโสดามรรคญาณตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ไม่หวั่นไหว รักษาศีลสิบประการแสวงหาโมกขธรรม ผู้ถวายทานแก่สามเณรดังกล่าวมานี้จึงได้อานิสงส์เป็น อสงไขย คือ นับประมาณไม่ได้
    มหาราช ทานบริสุทธิ์ด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ
    ๑ ทายะกะโต มะหัปผะลัง โหติ ทานมีผลมากโดยทายก คือมิได้มีผลมากโดยปฏิคาหก
    เหมือนพระเวสสันดรให้ทานสัตตชาดกมหาทาน
    ๒ ปฏิคาหะกะโต สะหัปผะลัง โหติ ทานมีผลมากโดยปฏิคาหก คือไม่มีผลมากโดยทายก เหมือนนายพรานเบ็ดถวายทานแก่ สามเณรและภิกษุ
    ๓ เนวะ ทายะกะโต จะ นะ ปะฏิคาหะกะโต จะ ทานมิได้มีผลมากโดยทายกและปฏิคาหก เหมือนนายพรานให้ทานแก่นายพราน
    ๔ ทายะกะโต จะ ปะฏิคาหะกะโต จะ ทานมีศีลมากโดยทายกและปฏิคาหก เหมือนพระนางมัลลิกาถวายอสทิสทานแก่ พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ที่จริงเทพบุตรองค์นี้แต่ก่อนพาลจะเป็นคนโลเล ได้ถวายอาหารบิณฑบาตแก่สามเณรผู้ปฏิคาหก ด้วยอำนาจปฏิคาหกจึงได้บริวาร ๑๐,๐๐๐ อาตมาภาพเห็นเหตุฉะนี้จึงถามด้วยจะใคร่แจ้งกิริยาที่กระทำทาน ว่ามีผลมากแลน้อย

    เทพบุตรองค์ที่ ๔ มีบริวาร ๒๐,๐๐๐ อานิสงส์ถวายบิณฑบาตแก่ภิกษุ

    เทพบุตรองค์ที่ ๕ มีบริวาร ๓๐,๐๐๐ อานิสงส์เผาผีไม่มีญาติและกระทำกุศลต่าง ๆ
    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เทพบุตรองค์นี้เมื่ออยู่ในมนุษย์โลกนั้น มีอาชีพเป็นช่างหูกช่างชุน อยู่ในแคว้นอนุราธบุรี ได้กระทำกองการกุศลไว้ต่าง ๆ มีให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตา ภาวนา และเผาผีไม่มีญาติ ด้วยอำนาจผลนั้นครั้นสิ้นชีพแล้วจึงได้มาบังเกิดในสวรรค์ มีบริวารยศ ๓๐๐๐๐
    บุญใดจะมีกำลังมากกว่า คือ บุญที่ปลงปัญญาพิจารณาสังขารธรรมนั่นแหละมีกำลังมาก

    เทพบุตรองค์ที่ ๖ มีบริวาร ๔๐,๐๐๐อานิสงส์ถวายปัจจัยสี่และรักษาศีล ๕ ศีล ๘

    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เทพบุตรองค์นี้เมื่อยู่ในมนุษย์โลกนั้นได้เป็นมหาเศรษฐีมีนามว่า หริดาล อยู่ในบ้านชื่อว่า หริดาลคาม เป็นผู้ประกอบไปด้วยจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นผู้ถวาย ปัจจัยสี่ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัช และ น้ำผึ้ง น้ำตาล น้ำมัน น้ำนม และ รักษาศีล ๕ ศีล ๘ เป็นนิตยกาลตั้งอยู่ในสัมมาอาชีพ ซื่อตรงในพระพุทธศาสนาครั้นกระทำกาลกิริยาตาย จึงได้มาบังเกิดในวิมานเมืองสวรรค์ ด้วยเดชะผลบุญกุศลนั้น

    เทพบุตรองค์ที่ ๗ มีบริวาร ๕๐,๐๐๐ อานิสงส์บำรุงพระพุทธศาสนา

    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เทพบุตรองค์นี้คือ บรมกษัตริย์สัทธาดิสส์ อันเป็นพระอนุชาของพระเจ้าอภัยทุฏฐคามินี ผู้เป็นพระโอรสของพระเจ้ากากวัณณดิสส์ ครั้นเมื่อพระเจ้าสัทธาดิสส์ได้เสวยราชสมบัติในกรุงอนุราธบุรี ทรงพระ-ราชศรัทธากระทำการกุศลต่าง ๆ ได้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา มีความเคารพยำเกรงพระรัตนตรัย พระองค์ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ ทรงศีล ๕ เป็นนิตย์ ทรงอุโบสถศีลตามปักษ์ ทรงบริจาคทานทั่วถึงแก่ยาจกวณิพกทั้งหลาย ถวายทานแก่ ภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก พระเจ้าสัทธาดิสส์กระทำพระราชกุศลครั้งนั้นรู้ทั่วถึงสวรรค์และมนุษย์ ด้วยบุญกรรมนั้นครั้นสิ้นพระชนม์แล้วจึงได้มาบังเกิดในดาวดึงส์สวรรค์ เสวยสมบัติเห็นปานนี้
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า
    http://www.watnongjanson.com/sa wan.htm



    เทพบุตรองค์ที่ ๘ มีบริวาร ๖๐,๐๐๐ อานิสงส์สร้างพระเจดีย์วิหารเป็นต้น

    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เทพบุตรองค์นี้เมื่ออยู่ในมนุษย์โลกนั้น เป็น
    พระเจ้าอภัยทุฏฐคามินี บรมกษัตริย์ในเมืองอนุราธบุรีผู้เป็นโอรสของพระเจ้ากากวัณณดิสส์ พระองค์เป็นคหบดีในพระพุทธศาสนา ทรงสมาทานมั่นอยู่ในคุณพระรัตนตรัย จะเสวยสิ่งใดมิได้ถวายพระรัตนตรัยแล้วมิได้เสวยสิ่งนั้น เมื่อเสด็จไปทำสงครามกับพวกทมิฬมีพระยาเอฬารราชเป็นต้น วันหนึ่งเสด็จยืนอยู่บนเนินทรายเสวยผลพริกไทย ไม่ได้ทรงนึกถวายพระรัตนตรัยเสียก่อนเมื่อเสวยเสร็จแล้ว จึงชักหอกซึ่งบรรจุพระบรมธาตุที่ทรงปักไว้ที่หาดทราย พระแสงหอกนั้นก็หาขึ้นไม่ จึงทรงถามอำมาตย์ได้ความว่า พระองค์เสวยผลพริกไทยไม่ได้ถวายพระรัตนตรัยเสียก่อน จึงบังเกิดเป็นบุพพนิมิตเหตุที่จะให้พระองค์กระทำสงคราม เสร็จจากการศึกสงครามแล้วควรจะทรงสร้างพระวิหารตรงที่ทรงปักพระแสงหอกนั้น ครั้นทรงฟังจึงถวายปฏิญญาเหมือนดังนั้น แล้วก็ถอนพระแสงหอกขึ้น พระองค์มีพระสันดานซื่อสัตย์สุจริตต่อพระพุทธาทิคุณมาก แล้วพระองค์ก็ได้กระทำการก่อสร้างพระสถูปใหญ่น้อยทั้งปวง และได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ เป็นต้นว่า ได้พระบรมธาตุมาจากนาคพิภพ แล้วบรรจุไว้ในเหมมาลิกเจดีย์ พระองค์ได้อุปฐากพระชนกพระชนนี และพระภิกษุทั้งปวงเป็นอันมาก ครั้นสวรรคตแล้วจึงได้มาบังเกิดในเทวโลกด้วยประการดังนี้ ครั้นเทพบุตรองค์นั้นมาถึงลานพระจุฬามณีเจดีย์แล้ว ก็ถวายมนัสการกระทำสักการบูชา แล้วจึงถอยออกไปสถิตอยู่ตามลำดับกัน


    เทพบุตรองค์ที่ ๙ มีบริวาร ๗๐,๐๐๐ อานิสงส์บวชเป็นสามเณร

    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เทพบุตรองค์นี้เมื่ออยู่ในมนุษย์โลกนั้นได้บวชเป็นสามเณร ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ รักษาศีลสิบประการสำรวมเป็นอันดี ประกอบทั้งปฏิบัติพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยสุจริตมิได้ประมาทดูหมิ่นคุณพระรัตนตรัย กระทำวัตตปฏิบัติเป็นอย่างดียิ่ง ครั้นกระทำกาลกิริยาตายด้วยอำนาจผลวิบากอันนั้นส่งให้ จึงได้มาบังเกิดในดาวดึงส์สวรค์เทวโลกมีบริวารถึงเจ็ดหมื่นด้วยประการดังนี้


    เทพบุตรองค์ที่ ๑๐ มีบริวาร ๘๐,๐๐๐ อานิสงส์เป็นไวยาวัจจกร

    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เทพบุตรองค์นี้เมื่ออยู่ในมนุษย์โลกนั้น อยู่ในเมืองอนุราธบุรีได้กระทำไวยาวัจจกรแก่ภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา คือเมื่อภิกษุเที่ยวโคจรบิณฑบาตไปตามลำดับตรอกถ้าเจ้าของเรือนไม่ทราบว่าภิกษุมายืนอยู่ ก็ร้องบอกแก่เขาว่า ข้าแต่พ่อและแม่ทั้งหลายภิกษุมายืนอยู่นานแล้ว อย่าทำช้านักเลย มีความขวนขวายในกิจการบอกป่าวแก่เจ้าบ้านเมื่อเวลาภิกษุเที่ยวบิณฑบาต ดังนี้เป็นนิตยกาล ด้วยจิตอันประกอบด้วยศรัทธาและเลื่อมใส ส่วนตนจะบริจาคทานเองหรือก็เป็นคนยากจนขัดสน จึงได้แต่กระทำไวยาวัจจกรร้องป่าวชาวบ้านเป็นนิจ ถ้าแม้วันไหนตนได้ไทย
    ธรรมสิ่งที่ควรจะเป็นสังฆบูชาควรจะกระทำสักการบูชาแก่ภิกษุ ก็ถวายตามกำลังของตนที่หาได้โดยชอบนั้น ครั้นกระทำกาลกิริยาตายแล้ว จึงได้มาบังเกิดในดาวดึงส์เพียบพร้อมด้วยยศบริวารเห็นปานนึ้


    เทพบุตรองค์ที่ ๑๑ มีบริวาร ๙๐,๐๐๐อานิสงส์บูชาพระเจดีย์ด้วยดอกกรรณิการ์

    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เทพบุตรองค์นี้เมื่ออยู่ในมนุษย์โลกนั้นได้เป็นมาณพน้อยผู้หนึ่ง อาศัยอยู่ในเมืองอนุราธบุรีมีจิตเลื่อมใสในการกุศล หมั่นบำเพ็ญซึ่งอัตตปรัตถประโชน์ตนแลประโยชน์ท่านผู้อื่นยู่เสมอมิได้ขาด วันหนึ่งได้ดอกกรรณิการ์ประมาณกำมือหนึ่ง ตั้งจิตมั่นมาตรปรารถนาแต่จะกระทำสักการบูชาพระมหาเจดีย์ แล้วจึงถวายดอกกรรณิการ์แก่พระมหาเจดีย์ ด้วยจิตอันประกอบด้วยศรัทธาปสาทะความเลื่อมใส มีดวงหทัยอันเต็มไปด้วยปีติปราโมทย์บังเกิดความปฏิพัทธ์ผูกพันอยู่ในองค์พระมหาเจดีย์นั้นแล้ว มาณพน้อยนั้น ก็ถอยออกไปกระทำการนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์ คิดถึงพระ-พุทธคุณ เป็นอารมณ์ ครั้นทำกาลกิริยาแล้วจึงได้มาบังเกิดเป็นเทพบุตร มีเทพกัญญาเก้าหมื่นเป็นบริวร

    เทพบุตรองค์ที่ ๑๒ มีบริวาร ๑๐๐,๐๐๐ อานิสงส์ก่อพระเจดีย์ทราย

    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เทพบุตรองค์นี้เมื่ออยู่ในมนุษย์โลกนั้น เป็นบุรุษทลิททกเข็ญใจยากไร้อนาถาเที่ยวเกี่ยวหญ้ามาขายเลี้ยงชีวิต แต่จิตประกอบไปด้วยปสาทะศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใสมีปัญญาเป็นสัมมาทิฏฐิ เห็นชอบในคุณพระไตรสรณคมน์ มีความเคารพในพระพุทธศาสนา วันหนึ่งได้ไปสู่หาดทรายเห็นทรายมีสีขาวสะอาด ด้วยจิตเลื่อมใสจึงกวาดทรายนั้นรวมเข้ากระทำเป็นเจดีย์ ประดับประดาด้วยดอกไม้สีต่าง ๆ แล้วรำพึงถึงพระพุทธคุณมีคำว่า อิติปิ โส ภควา เป็นต้น กระทำจักษุทั้งสองของตนแทนประทีปเล็งแลดูพระเจดีย์ทรายนั้นมิได้กระพริบกระทำดวงหฤทัยของตนนั้นแทนน้ำหอม ยกหัตถ์ทั้งสองขึ้นประคองอัญชุลีประณมตั้งไว้เหนือเศียรแล้วพิจารณาพระพุทธคุณเป็นอารมณ์นั่งบังคมเป็นอันดี จนถึงบริกรรมวิถีสมาธิจิตเจริญภาวนาในขณะนั้น แล้วก็นิวัตตนาการกลับยังเหคะสถานด้วยทั้งจิตอันชื่นบานหรรษา ครั้นจำเนียรกาลนานมาก็กระทำกาลกิริยาตาย ด้วยเดชะกุศลผลบุญนั้นจึงได้มาบังเกิดในเทวโลกสวรรค์เสวยทิพยสมบัติเห็นปานฉะนี้
    ครั้นเทพบุตรองค์นั้นมาถึงลานพระจุฬามณีเจดีย์แล้ว ก็ถวายมนัสการกระทำสักการบูชา แล้วจึงถอยออกไปสถิตอยู่ตามลำดับกัน
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า
    http://www.watnongjanson.com/sa wan.htm


    พระอินทร์มีหน้าที่จดบัญชี


    ขอถวายพระพร อาตมาภาพยังรู้สึกสงสัยอยู่อีกอย่างคือว่า เทพบุตรทั้งสิบสององค์มีเทพบุตรที่ให้ทานข้าวแก่กาเป็นต้นจนถึงเทพบุตรที่ก่อพระเจดีย์ทรายเป็นที่สุด ที่ได้ก่อสร้างบุญกุศลต่าง ๆ กันจนได้มาบังเกิดเป็นเทพบุตรนั้น มหาบพิตรทรงทราบทรงเห็นมาเองหรือ ๆ ว่ามีใครบอกเล่าให้มหาบพิตรฟัง มหาบพิตรจึงทราบได้
    ภันเต ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ การบุญการกุศลทั้งปวงซึ่งมนุษย์ทั้งหลายกระทำนั้น บางทีโยมรู้เอง บางที ปัญจสิขรเทพบุตร ได้จดหมายลงไว้ในแผ่นทอง ถึงวันอุโลสถแล้วก็นำมาชี้แจงบอกกล่าวแก่โยม ๆ จึงรู้ได้
    มหาราช ขอถวายพระพร พนักงานบัญชีจดหมายรายกุศลของมนุษย์ทั้งปวงนั้น มหาบพิตรให้ไปเที่ยวจดเองหรือ ๆ มีผู้ถือบัญชีจดหมายมาให้อีกครั้งหนึ่ง
    ภันเต ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ มีท้าวจตุโลกบาลที่ ๔ คือ ท้าวกุเวร
    เป็นพนักงานจัดแต่งให้เสมียนทนายไปเที่ยวจดในนานาประเทศ จดหมายเอารายการบาปปุญของมนุษย์กระทำนั้น ๆ มาแจ้งและเทวดาทั้งหลายที่เป็น ภูมิเทวดา มีพระภูมิเจ้าท้าวปรเมศวรเป็นต้นก็มีบัญชีอีกฉบับหนึ่งเมื่อจดแล้วก็ได้มาให้แก่ท้าวโลกยมบาล ๆ จึงส่งให้แก่ ปัญจสิขรเทพบุตร ครั้นถึงอุโบสถเทพเจ้าทั้งปวงนั้น เข้าประชุมพร้อมกันในโรงธรรมศาลาก็ชี้แจงการกุศลแห่งมนุษย์ทั้งหลายมีประการต่าง ๆ โยมจึงแจ้ง
    มหาราช ขอถวายพระพร มหาบพิตรมีกิจธุระมากมายเหลือเกิน ทั้งเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยความกังวลขวนขวายเอ็นดูกรุณาแก่หมู่มนุษย์ จึงทรงทราบถึงกองการกุศลผลบุญของมนุษย์มีประการต่าง ๆ ได้ ถึงวันเข้าพรรษาเทพดาทังปวงประชุมกันทั่วโลกธาตุ กระทำการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาเอาพระ-ทัยใส่อย่างนี้พระพุทธศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรุ่งเรืองไปถ้วน ๕๐๐ พรรษา อายุ วรรณะ สุขะ พละ ความเจริญสิริชัยมงคลก็จะเกิดมีแก่โลกมาก


    อายุของเทวดา แตกต่างจากมนุษย์ ดังที่ทรงแสดงไว้ว่า

    ๑. อายุของมนุษย์ ๕๐ ปีเท่ากับอายุของเทวดาชั้นจาตุมหาราช ๑ วัน
    อายุเทวดาชั้นนี้เฉลี่ย ๘,๐๐๐ ปีทิพย์
    ๒. อายุของมนุษย์ ๑๐๐ ปี เท่ากับวัน ๑ คืน ๑ ของเทวดาชั้นดาวดึงส์
    ๓. อายุของมนุษย์ ๒๐๐ ปี เท่ากับวัน ๑ คืน ๑ ของเทวดาชั้นยามา
    ๔. อายุของมนุษย์ ๔๐๐ ปี เท่ากับ วัน ๑ คืน ๑ ของเทวดาชั้นดุสิต
    ๕. อายุของมนุษย์ ๘๐๐ ปี เท่ากับวัน ๑ คืน ๑ ของเทวดาชั้นนิมมานรดี
    ๖. อายุของมนุษย์ ๑,๖๐๐ ปี เท่ากับวัน ๑ คืน ๑ ของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
    เพราะฉะนั้น ทั้งอายุ วรรณะ สุขะ พละ อธิปไตย เป็นต้น จึงเหนือกว่ากัน และสิ่งที่ทำให้เหนือกว่ากันก็คือ บุญกุศลที่บุคคลเหล่านั้นสร้างไว้ในอดีตชาตินั้น ๆ แตกต่างกัน พื้นฐานทางจิตจึงต่างกัน เมื่อพื้นฐานทางจิตต่างกัน ก็จำแนกภพให้แตกต่างกัน เหมือนกับคนที่มีความรู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาแตกต่างกัน เวลาไปทำงาน ก็ต้องจำแนกหน้าที่การงานให้แตกต่างกันนั้นเอง
    ในกรณีของอายุเทวดาที่ว่ายืนยาวมากนั้น พระอรรถกถาจารย์ได้เล่าถึงเทพธิดาตนหนึ่ง จุติจากอุทยานสวรรค์ ระลึกชาติของตนได้ว่าชาติก่อนเคยเป็นเทพธิดา เจริญวัยขึ้นมา แต่งงานมีสามีมีบุตรธิดา เป็นอุบาสิกาที่เคร่งครัดใน พระพุทธศาสนา ทำบุญทุกคราวต้องตั้งความปรารถนาไปเกิดในที่เดิม ท่านตายเมื่อายุ ๖๐ ปี เกิดในสำนักเทพบุตรเดิม ปรากฎว่าเทพบุตรตนนั้น ยังไม่กลับจากชมสวนเลย ยังถามเทพธิดาว่าเมื่อสักครู่นี้เธอหาย
    ไปไหนทั้ง ๆ ที่เวลาในโลกมนุษย์ผ่านไปตั้ง ๖๐ ปีเทวดากลับมองเห็นเป็นครู่เดียวเท่านั้นเอ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=523

    อานิสงส์การสร้างพระเจดีย์

    ครั้นสมเด็จพระพุทธกัสสปได้ปรินิพพานไป คนทั้งหลายได้พากันสร้างพระเจดีย์สูง ๑ โยชน์ ด้วยอิฐทองคำ ในขณะที่กำลังสร้างอยู่นั้น ธิดาเศรษฐีจึงคิดว่า เราถูกสามีส่งกลับถึง ๗ ครั้งแล้ว เราจะต้องการอะไรด้วยชีวิต จึงให้คนทำลายเครื่องประดับของตน แล้วให้ปั้นเป็นอิฐทองคำนำไปสู่ที่เขาสร้างพระเจดีย์
    [​IMG]ในขณะนั้น อิฐขาดอยู่ก้อนหนึ่งพอดี นางจึงก่ออิฐของตนให้ติดกันเป็นอันเดียว แล้ววางดอกบัว ๘ กำไว้ในเบื้องบน กราบไหว้พระเจดีย์แล้วตั้งความปรารถนาว่า
    "ไม่ว่าข้าพเจ้าจะเกิดในที่ใด ๆ ขอให้กลิ่นกายของข้าพเจ้าหอมดังกลิ่นจันทน์ และขอให้กลิ่นปากของข้าพเจ้าหอมดังกลิ่นดอกบัว"
    ต่อมาบุตรเศรษฐีก็ได้ให้คนใช้ไปตามนางกลับมา ปรากฏว่ามีกลิ่นจันทน์และกลิ่นดอกบัวหอมฟุ้งไปทั้งบ้าน ครั้นสอบถามว่าเธอได้ทำสิ่งใดไว้ ธิดาเศรษฐีก็เล่าสิ่งที่ตนกระทำไว้ บุตรเศรษฐีก็มีความเลื่อมใส จึงได้นำผ้ากัมพลไปบูชา พระสุวรรณเจดีย์ อันสูงได้ ๑ โยชน์นั้น แล้วก็ประดับพระเจดีย์ด้วยดอกปทุมทองอันใหญ่เท่ากงเกวียน
    ครั้นธิดาเศรษฐีตายจากชาตินั้นแล้ว ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ จุติจากสวรรค์ก็ได้ลงมาเกิดเป็นราชธิดาในเมืองพาราณสี ส่วนบุตรเศรษฐีก็ได้จุติจากเทวโลกลงมาเกิดในตระกูลอำมาตย์ ต่อมาก็ได้เป็นพระราชาทรงพระนามว่า "พระเจ้านันทราช" แล้วได้อภิเษกกับราชธิดานั้น
    บุคคลทั้งสองจึงได้ทรงปรึกษากันว่า การที่ได้เสวยราชสมบัติอันยิ่งใหญ่นั้น เป็นเพราะผลบุญแต่ชาติปางก่อน ที่มีความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต บัดนี้ เรายังไม่ได้ทำกุศลไว้เป็นปัจจัยแห่งอนาคตเลย จึงได้ทรงถวายทานพร้อมทั้งสร้างบรรณศาลา ๕๐๐ หลัง ในพระราชอุทยาน ให้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ อันมีพระมหาปทุมปัจเจกพุทธเจ้า เป็นประธาน
    เมื่อได้ทรงอุปถัมภ์บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าดีแล้ว พระราชาก็ได้เสด็จไปชายแดน ในขณะที่ยังไม่เสด็จกลับมา อายุสังขารของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็สิ้นไป ท่านได้เข้าฌานอยู่ตลอดราตรี พอเวลารุ่งขึ้นก็ยืนพิงพนักปรินิพพานไป
    ในเวลาตอนเช้า พระราชเทวีได้จัดที่นั่งของพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้ แล้วก็ประทับนั่งรอการมาของท่าน เมื่อไม่เห็นก็ใช้ให้บุรุษหนึ่งไปตาม จึงทรงทราบว่าท่านยืนพิงพนักปรินิพพานไปหมดแล้ว พระนางก็ทรงกันแสงคร่ำครวญ จึงพร้อมกับประชาชนทั้งหลาย เสด็จออกไปสักการบูชาจัดการถวายพระเพลิง แล้วเก็บพระบรมธาติไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์
    ครั้นพระราชาเสด็จกลับมาจากชายแดนแล้ว จึงได้ทรงทราบเรื่องราวจากพระราชเทวี ผู้เสด็จออกไปต้อนรับ จึงทรงดำริว่า บัณฑิตเห็นปานนั้นก็ยังตาย เราจักพ้นความตายได้อย่างไร จึงไม่เสด็จเข้าพระนคร ได้เสด็จเข้าไปสู่พระราชอุทยาน ตรัสสั่งให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ไปเฝ้าแล้วทรงมอบราชสมบัติให้ พร้อมทั้งทรงสั่งสอนพอสมควร แล้วก็ทรงบรรพชา
    ฝ่ายพระราชเทวีก็ทรงดำริว่า เมื่อพระราชาบรรพชาแล้ว เราจักทำอะไร แล้วก็ทรงบรรพชาอยู่ในพระราชอุทยานแห่งเดียวกัน ทั้งสองพระองค์นั้นก็ได้ทำฌานสมาบัติให้เกิดขึ้น เวลาจุติจากชาตินั้นแล้วก็ได้ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก ดังนี้
    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=28

    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


    <TABLE height=50 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=650 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>นานาปัญหา <TR><TD align=right>โดย คณะสหายธรรม

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE height=50 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=650 align=center border=0><TBODY><TR><TD><CENTER>๒๘. อานิสงส์ของการสร้างคัมภีร์ ในพระพุทธศาสนา</CENTER><CENTER> </CENTER>ถาม การสร้างคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา มีอานิสงส์อะไรบ้าง

    ตอบ เรื่องอานิสงส์ในการสร้างคัมภีร์ในพระพุทธศาสนานั้น
    ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์จูฬคันธวงศ์ปริจเฉทที่ ๕ ว่า
    ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นบัณฑิตมีปรีชาญาณสร้างเองก็ดี ให้คนอื่นสร้างก็ดี ซึ่งคัมภีร์อรรถ<WBR>กถา<WBR>ฎีกา<WBR>ย่อม<WBR>เป็นกองบุญอันหาที่สุดมิได้ มีอานิสงส์บุญไม่มีที่สุดเช่นเดียวกับการสร้างเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ และเช่นเดียวกับการสร้างพระพุทธรูป ๘๔,๐๐๐ องค์ เช่นเดียวกับการปลูกต้นโพธิ์ ๘๔,๐๐๐ ต้น และเช่นเดียวกับการสร้างพระวิหาร ๘๔,๐๐๐ หลัง
    อนึ่ง ผู้ใดสร้างหีบใส่พระพุทธพจน์หรือแนะนำให้คนอื่นกระทำก็ดี
    อนึ่ง ผู้ใดให้เองก็ดี ให้ผู้อื่นให้ก็ดี ซึ่งในใบลานก็ดี มูลค่าใบลานก็ดี
    อนึ่ง ผู้ใดให้เองก็ดี ให้ผู้อื่นให้ก็ดี ซึ่งน้ำมันก็ดี จุณก็ดี ข้าวเปลือกก็ดี ผ้าใหม่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี เพื่อประโยชน์แก่การเช็ดใบลาน
    ซึ่งด้ายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่การเป็นหมุดร้อยในรอยเจาะใบลานก็ดี
    ซึ่งแผ่นกระดานคู่ก็ดี ซึ่งผ้าอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่การห่อใบลาน
    ซึ่งเชือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่การผูกใบลาน
    ซึ่งถุงอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่การห่อกำใบลาน
    อนึ่ง ผู้ใดกระทำการเองก็ดี ใช้ผู้อื่นให้กระทำก็ดี ซึ่งการประดับใบลานก็ดี ซึ่งการ<WBR>ประ<WBR>ดับ<WBR>แผ่น<WBR>ไม้กระดานไม้ก็ดี ด้วยหรดาลหรือด้วยมโนศิลา หรือด้วยทองและเงิน ผู้นั้นย่อมมีกองบุญ อานิสงส์บุญหาที่สุดมิได้ เช่นเดียวกับการสร้างพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ เช่นเดียวกับการสร้างพระวิหาร ๘๔,๐๐๐ หลัง ผู้นั้นเป็นผู้ประกอบด้วยศีลคุณ เมื่อบังเกิดอยู่ในภพ ย่อมเป็นผู้มีเดชมากอยู่ทุกเมื่อ บันลือสีหนาทแกล้วกล้า ประกอบด้วยอายุ วรรณะ และพละ เป็นผู้ใคร่ธรรมอยู่ทุกเมื่อ เป็นผู้มีศักดิ์ใหญ่ในหมู่เทวดาและมนุษย์ ปราศจากโรคาพาธ
    ผู้นั้นเมื่อบังเกิดอยู่ในภพ เป็นผู้มีปัญญา มีจิตตั้งมั่นด้วยดี มีความเป็นใหญ่ประกอบด้วยบริวาร ย่อมบรรลุสุขทั้งปวง เป็นผู้มีศรัทธา มีหิริ รู้ถ้อยคำของผู้ขอ ด้วยวิบากผลของตน ย่อมเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่ มีทรวดทรงงาม เป็นที่รักใคร่ของสัตว์ทั้งปวง ได้รับการบูชาในที่ทุกสถาน เมื่อยังท่องเที่ยวไปในหมู่เทวดาและมนุษย์ ก็มีมิตรสหายคุ้มครอง ย่อมเสวยเทวสมบัติอยู่เนืองๆ จักบรรลุอรหัตตผล ถึงซึ่งพระนิพพาน จักบรรลุปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ วิโมกข์ ๘ อันประเสริฐในอนาคตกาล
    เพราะฉันนั้นนั่นแหละ บุรุษผู้เป็นบัณฑิตเล็งเห็นประโยชน์ของตน ควรสร้างเองและให้แม้ผู้อื่นสร้างซึ่งคัมภีร์ และจารเอง ให้ผู้อื่นจารคัมภีร์บาลี อรรถกถาเป็นต้น ลงในใบลานและหีบใส่คัมภีร์พระธรรม พึงเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสให้เอง และชักชวนมิตรสหายพวกพ้องให้สร้าง ย่อมจะได้อานิสงส์ดังกล่าวนี้
    นี่คืออานิสงส์ของการสร้างคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-

    ความหมายของพระไตรปิฎก
    http://84000.org/tipitaka/read/?ความหมายของพระไตรปิฎก


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔

    อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

    สัทธรรมสัมโมสสูตรที่ ๑
    http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=22&A=4129&Z=4142


    สัทธรรมสัมโมสสูตรที่ ๒
    http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=22&A=4143&Z=4175


    สัทธรรมสัมโมสสูตรที่ ๓
    http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=22&A=4176&Z=4224



    พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

    พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

    คำว่า นวังคสัตถุสาสน์ [คำสอนของพระศาสดามีองค์ 9]
    http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=นวังคสัตถุสาสน์

    ดาวน์โหลดนานาปัญหาทั้ง ๕๑ ข้อ

    นานาปัญหา
    โดย คณะสหายธรรม
    บันทึก ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
    หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ DhammaPerfect@yahoo.com



    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.oknation.net/blog/eveningmoon/2007/06/03/entry-1/comment
    บุญบริสุทธิ
    Posted by พระจันทร์ตอนเย็น , ผู้อ่าน : 172 , 10:09:39 น.
    วันอาทิตย์ ที่ 3 มิถุนายน 2550

    คำว่า "ทำบุญ" จำนวนคนไม่น้อยที่คิดว่า
    ทำบุญจะต้องได้บุญตอบสนองกับมาให้เห็น
    เพราะทุกครั้งที่ทำบุญ มักจะขอ....
    บางครั้งขอจนพระท่านคงฟังจนเหนื่อย
    เพราะนานหลายสิบนาทีก็มี....
    ทั้งๆ ที่ทำบุญเพียง ยี่สิบบาท
    ที่จริงจำนวนเงินไม่ใช่สาระสำคัญ
    สำคัญอยู่ที่ใจของผู้ทำบุญ.....
    จริงๆ วิธีการทำบุญคงไม่ได้มีวิธีเดียว
    คือทำบุญกับพระเท่านั้น
    เพราะวันก่อนได้มีโอกาสคุยกับ "ท่านอาจารย์เกรียงไกร บุญทกานนท์"
    ท่านพูดถึง "บุญบริสุทธิ์" ....... จึงเกิดคำถามว่า
    ทำบุญทุกครั้งก็น่าจะเป็นบุญบริสุทธิ์ อยู่แล้วไม่ใช่หรือ
    ท่านบอกว่า "บุญบริสุทธิ์" คือ การทำบุญโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
    ก็เลยเกิดคำถามใหม่ว่า "ก็มันเคยตัว.... ทุกครั้งที่ทำบุญจะต้องขออยู่แล้ว
    ต่อไปก็ไม่ต้องขอใช่ไหม"
    ท่านบอกว่า.....ไม่ใช่.........โดยยกตัวอย่างเช่น
    กรณีที่เห็นท่อนไม้ตกอยู่กลางถนน ท่านก็จะจอด
    แล้วลงไปเก็บไปไว้ข้างทาง เพื่อไม่ให้รถคันอื่น
    ต้องได้รับความเดือดร้อนจากท่อนไม้ที่ขวางถนนนั้น...
    ก็เลยนึกถึงสิ่งที่เคยทำอยู่เป็นประจำ ก็คือ
    ทุกครั้งที่มีแก้วแตก หรือเศษตะปู ที่เป็นของมีคม ที่จะต้องทิ้ง
    ก็มักจะหาหนังสือพิมพ์หลายๆชั้น หรือกระดาษหนาๆ
    มาห่อไว้ หรือหากระป๋องที่มีฝาปิด มาใส่
    แล้วนำไปวางข้างถังขยะ เพื่อให้คนเก็บขยะ
    ได้รู้ว่าข้างในเป็นอะไร เขาจะได้ระวังด้วย........เป็นห่วง
    เพราะพวกเขาต้องเสียสละมาช่วยเก็บขยะให้เรา
    รายได้ก็ไม่ได้มากมายอะไร ครอบครัวก็มีให้ต้องรับผิดชอบ
    ถ้าบังเอิญถูกของมีคมหรือเศษกระจกที่เราทิ้ง
    ทำให้เขาต้องบาดเจ็บ เขาจะเอาเงินที่ไหนไปรักษา
    แล้วถ้าเขาเป็นอะไรมากไปกว่านี้......ครอบครัวเขาจะอยู่อย่างไร
    เรา...คือผู้ที่......จะช่วยให้เขาปลอดภัยจากความระมัดระวังของเรา
    เขารับรู้ถึงความเป็นห่วงของเราได้.......จากวิธีคัดแยกขยะ...นั่นเอง
    แค่เขารู้สึกดีๆ กับเรา..........กุศลก็ส่งมาถึงเราแล้วล่ะ
    ถึงตรง.........ต่อไปเพื่อนๆ คงจะไม่ทิ้งสิ่งของมีคม
    หรือสารเคมีอันตราย ที่จะเป็นอันตรายกับพวกเขา
    รวมในถังขยะ ........พวกเขาไม่รู้หรอกว่า
    ผลของมันจะน่ากลัวขนาดไหน...........
    "ช่วยกัน......ทำบุญบริสุทธิ์.......เยอะๆ นะคะ"
    แล้วกุศลก็จะส่งให้คนในครอบครัวเรา คนใกล้ชิดเรา
    มีความสุข........ พบแต่สิ่งดีงาม........จากรัศมีบุญ..........
    ที่เราได้ทำไว้......... โดยไม่ได้มุ่งหวังสิ่งตอบแทน
    หากแต่.........เขาจะมาเอง.........โดยที่เราไม่ต้องขอสักนิด........
    เพราะ สิ่งที่เราทำคือ........"บุญบริสุทธิ์"
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    "บุญเราไม่เคยสร้าง...ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า"..!

    "ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด
    เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือบารมีของตนลงทุนไปก่อน
    เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่ว ย
    มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สิน ในบุญบารมี
    ที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว... เมื่อทำบุญทำกุศลได้
    บารมี ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว..
    แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้..แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง"...!

    "จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่ วยเจ้าไม่ได้....
    ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่..
    จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เล ยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า..."

    นี่คือคำเทศนา ของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรมรังษี
    ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิมิตหลังจากที่ท่านล่วงลับไป แล้วเมื่อ 100 กว่าปี
    อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • to.jpg
      to.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.7 KB
      เปิดดู:
      59,321
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dhammathai.org/store/giving/giving23.php

    หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๓ : สารพันปัญหาว่าด้วยเรื่องทาน ( ๑๑ )
    โ ด ย : ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน

    ผู้ถาม "หลวงพ่อครับ กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ ?"

    หลวงพ่อ
    "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ......การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง ให้ธรรมทานซีคุณ หนังสือเรียนของเด็ก หนังสือเรียนของผู้ใหญ่หนังสือเรียนของพระหนังสือธรรมะต่างๆ ดูตัวอย่างพระสารีบุตร ให้ปัญญากับประชาชนทั้งหลาย เพราะอานิสงส์ได้เคยสร้างพระธรรม ซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์ถวายพระพุทธเจ้า เกิดมาชาติหลังสุด จึงทำให้เป็นพระที่มีปัญญามาก อย่างเงินที่เขาถวายฉันไว้นี่ พอกลับไปถึงวัดก็เรียบร้อย เลี้ยงอาหารพระบ้าง ค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ค่าก่อสร้างบ้าง รวมความว่า ที่ท่านตั้งใจนี่มีผล ๔ อย่าง
    ๑. สร้างพระพุทธรูป
    ๒. วิหารทาน
    ๓. สังฆทาน
    ๔. ธรรมทาน
    ทั้งหมดนี้ ใช้ทุนไม่ต้องมากก็ได้ เอาสัก ๕๐ สตางค์ เป็นอันว่า การทำบุญเอาแค่พอสมควร แต่ให้มันเป็นบุญใหญ่ เขามุ่งแบบนั้นนะ คือเราเอาไปผสมกับเขาก็แล้วกันไม่ต้องสร้างทั้งหลัง"

    ผู้ถาม "กระผมสงสัยเรื่องการทำบุญ บางคนก็ทำช้า บางคนก็ทำไว อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า การทำบุญช้าบ้าง เร็วบ้าง ยืดยาดบ้าง อานิสงส์ จะต่างกันหรือไม่ขอรับ ?"

    หลวงพ่อ
    "ต่างกัน คือได้ช้า ได้เร็ว ต่างกันก็เหมือนท่าน จูเฬกสาฎก ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ตั้งใจถวายทานตั้งแต่ยามต้น และยามที่ ๒ จิตเป็นห่วงยายที่บ้าน ไม่มีโอกาสจะฟังเทศน์ เพราะไม่มีผ้าห่ม พอยามที่ ๓ ใกล้สว่าง จึงตัดสินใจถวาย แล้วประกาศว่า
    "ชิตัง เม ชิตัง เม" พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยิน ก็ทราบว่า ชนะความตระหนี่ จึงนำผ้าสาฎก และทรัพย์สินต่างๆมาให้ มีฐานะเป็นคหบดีคนหนึ่งต่อมาพระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้าพราหมณ์นี้ถวายในยามต้น จะได้เป็นมหาเศรษฐีถ้าถวายยามที่ ๒ จะได้เป็นอนุเศรษฐี ยามที่ ๓ จะได้เป็นคหบดีใหญ่ที่ได้น้อย เพราะถวายช้าเกินไป พระองค์จึงตรัสว่า การบำเพ็ญกุศลผล ความดีในศาสนาของเรานี้ จงอย่าให้เนิ่นช้า ต้อง ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง คือเร็วๆ ไวๆ"



    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?t=51250

    <TABLE class=tborder id=post326581 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">25-09-2006, 03:59 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>rinnn<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_326581", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: 01-03-2008 07:14 PM
    วันที่สมัคร: Nov 2005
    ข้อความ: 8,533 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 0 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 22,421 ครั้ง ใน 5,195 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 3088 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_326581 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->อานิสงส์การสร้างถวายพระพุทธรูป
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->อานิสงส์การสร้างถวายพระพุทธรูป
    โบราณจารย์กล่าวไว้ว่า บุคคลผู้ใดได้สร้างถวายพระพุทธปฏิมากรไว้ในบวรพระพุทธศาสนาเบื้องหน้าตายไปแล้วจะได้ไปเสวยทิพยสมบัติในโลกสวรรค์ เมือมาเกิดเป็นมนุษย์จะเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก ขยายความไว้ดังนี้
    - ผู้ใดสร้างพระพุทธปฏิมากรด้วยดีบุก ครั้นสิ้นชีพไปจะได้เป็นเทวดาที่มีฤทธานุภาพ
    - ผู้ใดสร้างพระพุทธปฏิมากรด้วยเงินครั้นสิ้นชีพไปจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชในภพเบื้องหน้า
    - ผู้ใดสร้างพระพุทธปฏิมากรด้วยทองเหลืองหรือทองสัมฤทธิ์ครั้นสิ้นชีพไปจะได้เป็นบรมกษัตริย์ในภพเบื้องหน้า
    - ผู้ใดสร้างพระพุทธปฏิมากรด้วยศิลาหรือดอกไม้ป่นเจือกันขึ้นเป็นองค์ ครั้นสิ้นชีพไปจะได้เป็นท้าวสักกะเทวราช ( พระอินทร์ ) เป็นใหญ่ในชั้นดาวดึงส์สวรรค์
    - ผู้ใดสร้างพระพุทธปฏิมากรด้วยแก่นจันทร์ครั้นสิ้นชีพไปจะได้เป็นใหญ่ในประเทศราช ประกอบไปด้วยจตุรงคเสนาในภพเบื้องหน้า
    - ผู้ใดสร้างพระพุทธปฏมากรใส่แผ่นผ้าหรือโลหะต่างๆ ครั้นสิ้นชีพไปจะได้เป็นท้าวมหาพรหม
    - ผู้ใดสร้างพระพุทธปฏิมากรด้วยทองคำ จะปรารถนา พุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ หรือสาวกภูมิ อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะสำเร็จตามความปรารถนาในภพเบื้องหน้า

    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>
    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.praruttanatri.com/member/htm/crns.html

    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 1

    ผู้ถาม
    ทำกรรมอะไรถึงลง อเวจี คะ........?


    หลวงพ่อ
    อเวจีนี่ทำกรรมหนักมากมันจึงจะลง ก็มีอนันตริยกรรม อาจิณกรรม ขโมยของสงฆ์ ของสงฆ์ นี่แตะนิดเดียว ลงอเวจีเลยนะ แม้แต่เศษเล็ก ๆ
    (เรื่อง อนันตริยกรรม เช่น ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ยุให้สงฆ์แตกกัน เป็นต้น พระยายมมาบอกหลวงพ่อว่า "ทุกคนอย่าได้ทำเด็ดขาด ท่านช่วยไม่ได้เลย" ส่วน อาจิณกรรม เช่น แม่ครัวทุบหัวปลา แกงเป็นประจำ เป็นต้น สำหรับ ขโมยของสงฆ์ หลวงพ่อได้ยกตัวอย่างให้ฟังดังนี้)
    หลวงพ่อ มีญาติพระเจ้าพิมพิสาร เป็นทายกในตอนต้นก็ดี ซื่อตรงต่อการบุญการกุศล แต่มาตอนกลาง ๆ มือถึงท้ายมือไม่ค่อยดี เริ่มหยิบแล้วทีแรกก็เป็น ทายก ต่อมาก็เลย
    เป็น ทายัก ของอะไรดี ๆ ก็ยังเอาไปเสียบ้าง เอาไว้ให้ลูกให้เมียเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตนเสียบ้าง ของที่เขาจะถวายสงฆ์ เขาตั้งใจจะทำอาหารถวายสงฆ์ เนื้อ ดี ๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง แกงดี ๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง บางทีไม่ยกของสด ไอ้ของที่สำเร็จรุปที่เขาไม่ทันจะถวายพระ ก็ยักเอาไว้เสียบ้าง
    ญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นทายักแบบนี้ ตายแล้วลงนรกสิ้นระยะเวลา ๑ กัป พ้นจากนั้นแล้ว ก็มาตก ยมโลกียนรก คือผ่าน นรกบริวาร ๔ ขุม แล้วก็มาตกยมโลกีนรกตามลำดับมาเป็น เปรต ๑๑ จำพวก สุดท้ายก็เป็น เปรตพวกที่ ๑๒ สมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้ จำไว้ด้วยนะ ของสมบัตินิดหนึ่งน่ะ แม้จะเป็นก้อนดินก้อนหนึ่ง กระเบื้องหัก ๆ ก้อนหนึ่งก็ตาม ถ้าเราถือเอาเข้าบ้านด้วย อาการของขโมย เสร็จ สะเด็ดไม่เหลือ ลูกหมากรากไม้ที่มีอยู่ในวัด เราจะไปขอเด็กขอพระไม่มีประโยชน์ ของสงฆ์สงฆ์ต้องประชุมกัน เมื่อประชุมกันแล้วตกลงกันว่ายังไง ต้องปฏิบัติตามนั้นขายหรือให้ใครต้องปฏิบัติตามนั้นนะแม้แต่ ดอกไม้บูชาพระ ก็เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ปลูกยังมีชีวิตขอเฉพาะท่านได้ ถ้าท่านผู้ปลูกตายไปแล้วหรือสึกไปแล้ว อันนี้เป็นของสงฆ์ ต้องเป็นเรื่องของสงฆ์วินิจฉัย ไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้ให้ หรือไปขอเก็บเด็กวัดอันนี้ไม่ถูกต้อง ลงอเวจี

    และอีกเรื่องหนึ่ง กากะเปรต สมัยที่เกิดเป็น กา แย่งข้าวในขันที่เขานำไปจะถวายพระ ข้าวสุกนั้นเขานำไปยังไม่ถึงพระ ยังไม่ใช่ของสงฆ์ จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้วกรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ตายไปแล้วไปลง อเวจี แล้วแถมมาเกิดเป็น เปรต


    ผู้ถาม
    หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาติแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ....?


    หลวงพ่อ
    ถ้าอาหารที่พระให้ต้องเป็นของญาติโยมที่ถวายเฉพาะองค์นั้น ไม่มีโทษแน่ แต่ที่เป็นอย่างนี้ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือเป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้นพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้ นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์
    ตัวอย่างของสงฆ์เช่น อาหารวันพระ ที่มีข้าวใส่บาตรเหลือมากๆ แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปกินบ้าน โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น อย่างนี้ แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ต่มลำพัง

    บางทีกินอาหารที่พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาติแล้วไม่มีโทษ(สำหรับโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร) แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉยๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอแล้วยกไปเลย พระยังไม่ทันอนุญาติ ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยกคนที่กินกับท่านลงอเวจีแบบสะดวก เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม ถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน เพราะท่านอาจมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้ ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระมีโทษ 100 เปอร์เซ็นต์

    และอาหารถวายพระพุทธรูป ก็เหมือนกัน อาหารประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจีสะดวกสบายมาก อาหารที่เขานำมาวัด เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์ การนำไปถวายพระพุทธรูปนั้นเป็นความดี เพราะเป็นพุทธานุสสติด้วย เป็นพุทธบูชาด้วย แต่อาหารประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก เพราะพระพุทธรูปไม่ได้ฉัน ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็ตาม อาตมาคิดว่าทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน หลายวัดหรือส่วนใหญ่ ทายกมักจะเอาอาหารดีๆ และมากๆ ไปทุ่มเทถวายพระพุทธรูป

    เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว ต่างก็ยกเอามากิน ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก ทายกทายิกาจะกินได้เฉพาะอาหารที่เหลือเป็นแดนจากพระฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเองเป็น ลูกศิษย์พระพุทธรูป แต่ประการใด

    รวมความว่า ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือของในวัดทุกประการที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว แม้แต่ดอกไม้ ผลไม้ในวัดเศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่นเล็กๆน้อยๆบ้าง จงอย่าคิดว่าไม่มีบาป แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาติ อย่างนี้เอามาได้ไม่บาป ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้ รับมาได้ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์

    และอีกประการหนึ่ง วัดร้างที่ไม่มีพระอยู่ แต่มีสภาพเป็นวัด กับที่ของสงฆ์ที่เป็นไร่นาไปแล้ว ไม่มีสภาพเป็นวัด ถ้าเราไปนำมานิดเดียวแม้แต่หญ้าต้นเดียว เขาถือว่า เป็นหนี้สงฆ์ อันนี้อันตรายมาก สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็แนะนำให้คน ชำระหนี้สงฆ์ บาทสองบาทสลึงสองสลึง บางคนไม่มีเงืนเอามาทำงานแทน ทำอะไรก็ได้ไม่บังคับ คือ ดายหญ้าก็ตามไม่เอาค่าแรง


    ผู้ถาม
    หลวงพ่อครับ พระเครื่อง ที่เขาไปขโมยมาแล้วเราเอามาห้อยคอ อย่างนี้จะบาปไหมครับ.....?


    หลวงพ่อ
    เดี๋ยวก่อน พูดเรื่อง พระเครื่อง ก่อนพระที่คุณห้อยน่ะ ไม่มีเครื่อง หรอก พระเครื่องต้องอย่าง ฉันนี่เดินได้ วิ่งได้ ใช่ไหม.......อย่างนั้นเขาไม่เรียกพระเครื่อง เขาเรียก พระห้อย
    เขาขโมยมาจากใครล่ะ.......?


    ผู้ถาม
    ก็ไม่ทราบแน่ครับ อาจจะขโมยเจาะกรุมาก็ได้ครับ


    หลวงพ่อ
    เสร็จ ไอ้นี่พังแน่


    ผู้ถาม
    อย่างนี้จะบาปไหมครับ......?


    หลวงพ่อ
    รับของโจรมันก็บาปซิ


    ผู้ถาม
    แต่ถ้าเราไม่ทราบนี่คงไม่เป็นไรนะครับ


    หลวงพ่อ
    เราไม่ทราบก็บาป เราทราบก็บาป ไอ้บาปนี้เขา แปลว่าชั่ว คนไปขโมยมาจากกรุ กรุมันเป็นของสงฆ์ ลักษณะของอาการมันเป็นของชั่ว ถ้าเราเอาของชั่วมาอยู่กับเราก็ชั่วด้วย อย่างใน มงคลสูตร ข้อหนึ่ง ท่านบอกว่า "อเสวนา จ พาลานัง" อย่าคบคนพาล ถึงแม้นตัวราจะไม่พาล ถ้าเราเดินกับคนพาลเขาก็คิดว่าพาลไปด้วย" และท่านก็มีข้อเปรียบเทียบ ท่านบอกว่า
    "ใบตองนี่ ไอ้ความเน่าของเนื้อสัตว์มันจะไม่ซึมลง แต่ว่าถ้าเราเอาใบตองห่อของเน่า แล้วเอา ของเน่าทิ้งไปแต่กลิ่นเน่าเหม็น มันยังติดใบตองอยู่" "ทีนี้การรับของโจร ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ ก็ต้องถือว่าเราร่วมมือด้วยโดยไม่เจตนา ก็ต้องเอาเหมือนกัน"


    ผู้ถาม
    ของหนูก็มีพระที่ขโมยมาเหมือนกันค่ะ เป็นพระบูชาแต่ว่าอยากเอาไว้ที่บ้านเอาไว้บูชา ถ้าเราชำระหนี้สงฆ์จะได้ไหมคะ.......?


    หลวงพ่อ
    ทีนี้วิธีชำระหนี้สงฆ์ เขาให้มีค่าเสมอของเดิมนะ เสมอของเดิมหมายความว่า ไม่ใช่พระรุ่น แบบนี้ เหมือนกับอย่างเขาเล่นกันนะ เขาไม่ใช้นะ ไปดุว่าที่ร้านเจ๊กหน้าตักขนาดนี้เขาขายเท่าไร แล้วเอาเงินไป ชำระหนี้สงฆ์ตามราคานั้น ถ้ามากกว่านั้นไม่เป็นไรนะ เท่านั้นก็ใช้ได้ เอาไปวัดใดวัดหนึ่งขอชำระหนี้สงฆ์ ขอ มอบ เงินจำนวนนี้และขอเอาพระไปบูชา ก็เท่านี้แหละ เป็นอันว่าไม่มีอะไรผิด
    (ใครก็ตามได้รู้อย่างนี้ก็ใจเสียแล้ว เวลาไปเอามาไม่รู้เท่าไหร่ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ก็มีคนหัวดี กล้าถามหลวงพ่อว่า ถ้าจะชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมด ตั้งแต่ที่เคยทำมาตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันนี้ จะทำอย่างไร เราจึงได้รู้เรื่องการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ขึ้นมา)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2008
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นำมาลงให้ระวังกันเรื่องของรหัสบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเครดิต ซึ่งผมเคยเตือนแล้วในกระทู้นี้ครับ

    http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9510000038694

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ผวา “อีหยิบ” ฉกกระเป๋าสาวห้างสัตหีบ เดารหัส ATM จาก พ.ศ.เกิดกดเงินเกลี้ยง </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 เมษายน 2551 10:49 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ศูนย์ข่าวศรีราชา - ตั้งรหัส เอ.ที.เอ็ม. จาก พ.ศ.เกิดอันตราย สาวห้างสัตหีบ เจอสาวใหญ่ “อีหยิบ” ฉกกระเป๋า โคตรฉลาดสุ่มเดาตรงเผง รหัส 4 ตัวบัตรเอทีเอ็มตรงกับ พ.ศ.เกิดตามบัตรประชาชน ตระเวนกดเงินเกลี้ยง กล้องวงจรปิดจับภาพพิรุธสาวอีหยิบไว้ได้

    วันนี้ (1 เม.ย.) ร.ต.ท.เรวัฒ พิศโสระ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรสัตหีบ ชลบุรี ได้เชิญตัว นางสาวสิรินทิพย์ เครือวัลย์ อายุ 38 ปี พนักงานขายแผนกเสื้อแอร์โร่ ห้างโลตัส สัตหีบ อยู่บ้านเลขที่ 164 หมู่ที่ 4 ถนนประชาชากนอก ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี มาสอบปากคำเพิ่มเติมกรณีที่ได้ถูกคนร้ายขโมยกระเป๋าถือใส่เงินสด โทรศัพท์ มือถือ และเอกสารสำคัญซึ่งวางไว้บนแท่นรีดผ้าหายไป

    โดยในช่วงเวลาได้ขอตรวจสอบภาพวงจรปิดของห้างมีผู้หญิงที่มีพิรุธ น่าสงสัย รูปร่างอวบ สูง ผมยาว ใส่เสื้อยืดลายทางดำ-ขาว และได้ขอตรวจสอบกับกล้องวงจรปิดกับร้านใกล้เคียง พบว่าผู้หญิงคนดังกล่าวได้เข้ามาในบริเวณดังกล่าวด้วย และหลังจากที่ได้ขโมยไปแล้วนำบัตรเอ.ที.เอ็ม. ของธนาคารไทยพาณิชย์ไปกดเงินตามตู้ต่างๆ โชคดีที่เงินเดือนยังไม่เข้าบัญชี มีแต่เงินค้างบัญชีอยู่เพียงไม่กี่พันบาท

    นางสาวสิรินทิพย์ เปิดเผยว่า ได้เอากระเป๋าถือวางไว้บนแท่นรีดผ้า มัวแต่หันหลังไปเก็บสิ่งของ พอหันมาอีกทีกระเป๋าหายไป ซึ่งในช่วงดังกล่าวไม่มีคนพลุกพล่านมากนักจึงได้ขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดของห้างพบว่ามีสาวผมยาว รูปร่างอวบ ขาวสูง ในเสื้อลายดอก ถือกระเป๋าของตัวเองโดยถุงบังไว้รีบเดินออกจากห้างไปอย่างรวดเร็ว และขอตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดร้านติดกัน พบว่าผู้หญิงคนดังกล่าวได้เคยเข้ามาเลือกซื้อเสื้อผ้า เห็นหน้าชัดเจนซึ่งเป็นคนเดียวกับที่มีพิรุธเข้ามาหยิบกระเป๋าไป ซึ่งคาดว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพหากินในห้าง เพราะขณะนี้พนักงานห้างกระเป๋าถือหายไปแล้วประมาณ 4 ราย

    นางสิรินทิพย์ เปิดเผยอีกว่า หลังจากกระเป๋าหายได้ไปขออายัดบัตรเอทีเอ็มของธนาคารไทยพาณิชย์ แต่ปรากฏว่าคนร้ายได้ไปตระเวนกดเงินตามตู้ต่างๆ ที่ไม่ได้ติดกล้องวงจรปิดไว้ที่ละ 1,000 บาท 800 บาท ทยอยกดทีละไม่มากนัก

    ส่วนรหัสกดเงินใช้หมายเลข 4 ตัว ของปีพุทธศักราชที่เกิด คาดว่าผู้หญิงรายนี้ทราบถึงกลไกหรือคาดเดาได้ถูกต้องว่าคนเราส่วนมากจะใช้เลขรหัสใกล้ตัวเพื่อกันลืม เป็นรหัสลับบัตรเอทีเอ็ม เช่น พ.ศ.เกิด เลขท้าย 4 ตัว หมายเลขโทรศัพท์ โทรศัพท์บ้าน ซึ่งส่วนมากจะใช้ พ.ศ.เกิดกันเป็นจำนวนมาก ถ้าโจรขโมยบัตรเอทีเอ็มไปได้พร้อมกับบัตรประชาชน หรือเอกสารที่มีวันเดือนปีเกิดระบุ รับรองได้ว่าสามารถกดเงินไปได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์แน่นอน

    ส่วนทางด้าน พ.ต.อ.สุภธีร์ บุญครอง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรสัตหีบ กล่าวว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้ว ผู้หญิงที่เข้าไปขโมยกระเป๋าของสาวห้างโลตัสน่าจะเป็นคนเดียวกับที่อยู่ในกล้อง และดูจากภาพเก่าเห็นว่าเคยเข้าไปเดินในห้าง ถ้าเป็นพวกมิจฉาชีพก็คือพวกอีหยิบ ที่คอยเดินดูสิ่งของแต่ก็ดูทรัพย์สินใครวางอยู่ก็จะหยิบไป


    โดยเฉพาะกระเป๋าถือของลูกค้า พนักงานห้าง ซึ่งฟังจากการบอกเล่าของผู้เสียที่ถูกนำบัตร เอ.ที.เอ็มไปกดเงิน มีความเป็นไปได้สูงมากที่ส่วนมากคนเรามักจะเอาหมายเลขใกล้ตัวที่จำได้แม่นเป็นรหัสลับกดเงินบัตรเอทีเอ็ม และที่จำได้แม่นยำที่สุด ก็คือ พ.ศ.เกิดของตัวเอง ซึ่งเป็นรหัสหมายเลข 4 ตัว ผิดกับหมายเลขอื่นจะต้องมาตัดออกจะเอาหัวหรือท้ายอาจจำสับสนได้จะนำภาพวงจรปิดมาทำภาพนิ่งแล้วตรวจสอบว่าคนร้ายรายนี้เป็นใคร และน่าจะทำมาแล้วหลายครั้งบนห้างโลตัสแห่งนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เฉ่ามู่เจียปิง (草木皆兵 ) : ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเป็นกองทหารทั้งสิ้น
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9510000038432
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 เมษายน 2551 12:57 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อ่านว่า เฉ่า แปลว่า หญ้า
    อ่านว่า มู่ แปลว่า ไม้
    อ่านว่า เจีย แปลว่า ทั้งหมด
    อ่านว่า ปิง แปลว่า ทหาร

    คริสศตวรรษที่ 383 รัฐเฉียนฉิน (ฉินยุคก่อน) ภายใต้การปกครองของอ๋องฝูเจียนซึ่งควบรวมดินแดนทางตอนเหนือเกือบทั้งหมด ได้นำกองทัพทหารและม้าราว 9 แสนลงใต้เพื่อโจมตีรัฐตงจิ้น(จิ้นตะวันออก) อ๋องแห่งตงจิ้น แต่งตั้งเซี่ยสือและเซี่ยเสวียน 2 พี่น้องเป็นแม่ทัพ นำกำลังพลราว 8 หมื่นเข้าต้าน

    อ๋องฝูเจียน เชื่อมั่นว่าทัพของตนต้องได้ชัยชนะอน่นอน เนื่องจากกองทัพจิ้นขณะนั้นทั้งอ่อนแอ และมีจำนวนทหารน้อยกว่ารัฐฉินมากนัก อ๋องฝูเจียนตั้งทัพอยู่ที่เมืองโซ่วหยัง (ปัจจุบันคือเมืองโซ่วในมณฑลอันฮุย) และได้ส่งคนผู้หนึ่ง นามว่าจูซี่ว์เดินทางไปยังรัฐจิ้นเพื่อส่งข่าวข่มขวัญแม่ทัพเซี่ยสือ

    จูซี่ว์นั้นเดิมเป็นชาวตงจิ้น อดีตมีตำแหน่งถึงเจ้าเมืองนายทัพรักษาการเมืองโซ่วหยังซึ่งเป็นอดีตเชลยศึกของเฉียนฉิน ปัจจุบันถูกชุบเลี้ยงเป็นขุนนางในพระราชสำนักในตำแหน่งอาลักษณ์ แต่ด้วยความภักดีต่อรัฐตงจิ้น ดังนั้นเมื่อเขาพบกับแม่ทัพเซี่ย และรายงานความตามที่อ๋องรัฐฉินสั่งมาเรียบร้อยแล้ว จึงแนะนำให้กองทัพจิ้น ถือโอกาสตอนที่กำลังหนุนของทัพฉินยังไม่มา เข้าจู่โจมเมืองลั่วเจี้ยนก่อน แม่ทัพเซี่ยเห็นด้วยจึงนำกองกำลังจู่โจม ผลคือได้ชัยชนะกลับมาทำให้กองทหารจิ้นคึกคักอักโข ดังนั้นจึงเดินทัพมาตั้งค่าย ณ อีกฝั่งของริมน้ำเฝยสุ่ย (ปัจจุบันคือแม่น้ำเฝย สาขาแม่น้ำหวยเหอทางภาคกลางของมณฑลอันฮุยในปัจจุบัน)

    เมื่อฝูเจียนได้รับข่าวว่าทหารจิ้นชนะและมาตั้งค่าย ณ อีกฝั่งของริมน้ำเฝยสุ่ย ก็ตกใจมากและรีบขึ้นไปมองดูจากบนกำแพงเมือง เมื่อมองไปไกลๆ เห็นกองทหารจิ้น ตั้งค่ายอย่างเป็นระบบระเบียบ มั่มคงยิ่งนัก จนอ๋องฝูเจียนลอบชมเชยเบาๆ

    ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออ๋องรัฐฉินมองขึ้นไปยังยอดเขาปากงซาน คลับคล้ายว่าคลาคล่ำไปด้วยกองทหารจิ้นที่กำลังโบกสะบัดธงแห่งชัยชนะ ซึ่งหากเพ่งดูอย่างละเอียดนั่นเป็นเพียงต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังไหวเอนไปมาไม่มีทหารจิ้นแม้สักผู้เดียว แต่อ๋องฝูเจียนตาฝาด พลันเห็นเป็นกองทัพที่แสนจะเข้มแข็งและทรงพลานุภาพ จึงเกิดความตระหนกอย่างยิ่ง จนต้องกล่าวออกมาว่า
    “นี่คือกองทัพอันยิ่งใหญ่ เหตุใดจึงกล่าวว่ากองทัพจิ้นอ่อนแอ?”

    หลังจากนั้นไม่นาน อ๋องฝูเจียนก็สั่งกองทหารทำทีเป็นถอยทัพเพื่อให้กองทัพจิ้นข้ามมารบกันที่ฝั่งน้ำด้านนี้ โดยวางแผนว่าเมื่อทหารจิ้นข้ามมาถึงกลางน้ำ ฝ่ายกองทัพฉินก็จะลงมือโจมตีทันที

    แต่เนื่องจากทหารเฉียนฉินบางส่วนได้รับฟังคำกล่าวปากต่อปากว่าทหารจิ้นเข้มแข็งยิ่งนักจึงเกิดความกลัว พอมีคำสั่งถอยทัพ ก็หันหลังวิ่งหนีไปจริงๆ ประกอบกับเมื่อทัพจิ้นยกข้ามมา จูซี่ว์ ได้ตะโกนว่า “ทัพฉินแพ้แล้วๆ” ทำให้กองทหารฉินที่อยู่เบื้องหลังเห็นเพียงแต่ทหารกองหน้าวิ่งหนีกลับเข้ามาและได้ยินคำกล่าวนั้นต่างปักใจเชื่อว่าเป็นจริงจึงวิ่งหนีเอาตัวรอดด้วย

    ผลของการสู้รบรัฐเฉียนฉินจึงพ่ายแพ้ให้กับตงจิ้นอย่างราบคาบ

    การศึกครั้งนี้ เป็นการศึกครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์จีน โดยเรียกว่า “เฝยสุ่ยจือจั้น” หรือ “การศึกที่แม่น้ำเฝย” เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการศึกที่ใช้คนน้อยชนะคนมาก คนอ่อนแอชนะคนเข้มแข็ง

    ภายหลัง “เฉ่ามู่เจียปิง” หรือ เหมาว่าต้นไม้ใบหญ้าต่างเป็นทหารศัตรู ถูกนำมาเป็นสุภาษิต ใช้เปรียบเทียบกับอาการกลัวเกินกว่าเหตุ กลัวจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    ท่านปา-ทาน ได้รับ sms ผมอะยังครับ โอกาสหน้ายังมีครับ(evil)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ชีวิตยังไม่สิ้น ก็ต้องดิ้นรนสู้กันต่อไป (||) หุหุหุ
     
  15. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    โธ่วันนี้นะหุ้นมีให้เลือก3ตัว ดันไปเลือกตัวที่ไม่ขึ้นอีก2ตัวกระชูดเลยครับ 555ความไม่แน่นอนก็เป็นเช่นนั้นแลครับ..........;)
     
  16. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    นำความรู้มาฝากดีกว่าครับพระพิมพ์ที่นำมาลงเรียกว่า กำแพงขาวสนิมแดงครับ
    พระพิมพ์แสดงถึงความก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองครับ เช่นกันครับชื่อว่ากำแพงน่าจะขึ้นกรุที่กำแพงเพชรแต่บังเอิญขึ้นที่ขอบเมืองสุโขทัยครับ องค์นี้จะมีขนาดใหญ่กว่าปกติครับ ....(^)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2008
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    ท่านปา-ทาน ได้รับ sms ผมอะยังครับ โอกาสหน้ายังมีครับ(evil)


    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ชีวิตยังไม่สิ้น ก็ต้องดิ้นรนสู้กันต่อไป (||) หุหุหุ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.glo.or.th/index2.php
    (evil) (evil) (evil) (evil) (evil) (evil)
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมจะอัญเชิญพระปางลีลา ไปสรงน้ำกันด้วยนะครับ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของคณะเรากันครับ

    .
     
  19. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ดีครับ อีกทางหนึ่งจะได้ขอให้มีโชคลาภกันทุกคนครับ(||)
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ผมจะอัญเชิญพระปางลีลา ไปสรงน้ำกันด้วยนะครับ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของคณะเรากันครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรายังสรงน้ำพระธาตุ พระสิวลีเถระเจ้า ด้วยนะครับ

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...