พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.feelthailand.com/sanguo/name.html

    สามก๊ก

    <TABLE class=linksig style="MARGIN-LEFT: auto; WIDTH: 99%; MARGIN-RIGHT: auto; TEXT-ALIGN: left" cellSpacing=1 cellPadding=8 border=1><TBODY><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top">[​IMG]</TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(255,204,51)">
    <BIG><BIG><BIG>บอร์ดสามก๊ก Asia-Search.com</BIG></BIG></BIG>​
    </TD></TR><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top">[​IMG]</TD><TD style="VERTICAL-ALIGN: top"></TD></TR><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top">[​IMG]</TD><TD style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: center">เกร็ดสามก๊ก
    รายชื่อสามก๊ก(ใหม่) รายชื่อสามก๊ก แผนที่สามก๊ก แผนผังตระกูลซุน ยศทหารและขุนนางในสามก๊ก
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD width="4%" height=50>[​IMG]</TD><TD width="87%" height=50></TD></TR><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top">[​IMG]</TD><TD style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: right"></TD></TR></TBODY></TABLE>


    ขอขอบคุณ คุณราตรีกาลครับ

    สามารถเข้าไปอ่านกันได้นะครับ โมทนาสาธุครับ
    .
     
  2. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ไอ้กระผมก็ ไม่ไหวนาครับ

    บูชาท่านยินดีครับ ถ้าคล้องไม่ไหวครับ

    พี่ปาทาน ... พิเศษแบบนี้ จาไปหาที่ไหน

    เห็นท่านก็ดีแล้วครับ

    เรื่องฌาณ ญาณ ตอบไม่ได้ครับ ไม่รู้ครับ

    สาธุครับ
     
  3. jack5487

    jack5487 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2006
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +186
    โมทนาครับ อย่างไรก็ตามฝากเพื่อนๆในกระทู้เรื่องการกล่าวเหน็บแหนมคนอื่นนะครับ เพราะว่าผมชอบโจโฉมากๆมั้ง 555+ อย่างไรเสียก็ฝากไว้ครับ
     
  4. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    หากไม่รู้ คุณเขา ช่างคนอื่น

    ขอตัวเรา ต้องรู้คุณคน ที่อุ้มชู สนับสนุน

    ยามยาก ท่านเยียวยาเรา ท่านยาก ก็เยียวยาท่าน

    ก็ตามกำลัง และให้กำลังใจกันต่อไป

    มาได้ป่านนี้ มีท่านๆ ช่วยเราหลายคนครับ

    ว่าไปน้ำตามันจะไหลนะครับ

    เฮ้า คนนะคน

    สาธุครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. jack5487

    jack5487 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2006
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +186
    ยศทหารและขุนนางในสามก๊ก

    General Supreme แม่ทัพสูงสุด (Wushang Jiangjun) ฮ่องเต้เลนเต้ตั้งตำแหน่งนี้ให้ตัวเองเพื่อให้มีฐานะในกองทัพเหนือโฮจิ๋น
    Colonel of the First Army (shangjun xiaowei) ขันที Jian Shi ได้รับตำแหน่งนี้สมัยฮ่องเต้เลนเต้ ซึ่งตำแหน่งนี้สูงกว่ายศแม่ทัพใหญ่
    General-in-Chief แม่ทัพใหญ่ (Da Jiangjun ???)

    General of Agile Cavalry (Jiangjun) Piaoji Jiangjun ???? - Cavalry General
    General of Chariots and Cavalry (Juji Jiangjun) Cheji Jiangjun ???? - Chariot General
    สองตำแหน่งนี้ส่วนใหญ่จะมอบให้แก่เชื้อพระวงศ์หรือขันทีคนสนิท แต่ในภายหลังกบฏผ้าเหลือง ก็มีขุนนางหลายคนที่ได้ยศนี้

    General of the Guards (Wei Jiangjun)
    General of the Van (Qian Jiangjun)
    General of the Rear (Hou Jiangjun)
    General of the Left (Zuo Jiangjun)
    General of the Right (You Jiangjun)
    ตำแหน่งห้าทหารเสือ
    General who Crosses the Liao (Du-Liao Jiangjun)
    General**
    General of the Gentlemen of the Household ตำแหน่งรองจาก แม่ทัพ บางทีก็ใช้ Lieutenant-Generals (pian jiangjun) และ Major-Generals (pi jiangjun) แต่สองตำแหน่งหลังไม่มีบันทึกอย่างเป็นทางการในระบบ
    Chief Commandant of Cavalry (Ji Duwei) ตำแหน่งเทียบเท่า General of the Gentlemen of the Household

    Captain of the Centre of the Northern Army (beijun zhonghou) นายทหารควบคุมขุนพลทั้งห้าหน่วย ได้แก่ the Archers Who Shoot at a Sound (shesheng), the Footsoldiers (bubing), the Elite Cavalry (yueji), the Garrison Cavalry (tunji) and the Chang River Regiment (Changshui) แต่ไม่มีอำนาจสั่งการ อำนาจสั่งการเป็นของ Da Jiangjun

    Colonel ขุนพล (Xiaowei)
    Colonel Director of Retainers ขุนพลที่มีอำนาจทหารสูงสุดในเมืองหลวง (Sili Xiaowei ????) มีอำนาจปกครองเจ็ดหัวเมือง ได้รับเงินเดือนสองพัน Shi และยังมีหน้าที่ดูแลเสบียงอาหารในคลังหลวงและการซื้อขายในเมืองหลวง
    Colonel of the City Gate ขุนพลผู้รักษาประตูเมืองทั้งสิบสองของเมืองลกเอี๋ยง (Chengmen Xiaowei)
    The Bearer of the Gilded Mace (zhi jinwu) ตำแหน่งเทียบเท่า Chengmen Xiaowei มีหน้าที่ดูแลคลังอาวุธ
    the Commandant of the Guards (weiwei) หนึ่งในเก้าเสนาบดี มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในเมืองหลวง โดยเฉพาะกำแพงและประตูเมือง มีทหารในสังกัดสองพันนาย
    the Superintendent of the Imperial Household (guanglu xun) หนึ่งในเก้าเสนาบดี มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยขององค์ฮ่องเต้


    senior Majors with a Separate Command (biebu sima)
    Major (Sima)


    ต่อด้วยยศขุนนางชั้นสูงแบบคร่าว ๆ

    The Emperor [huangdi] ฮ่องเต้
    Three Excellencies [san gong: Three Dukes] ซานก๋ง
    the Grand Commandant [taiwei] ไท่เว่ย
    the Excellency over the Masses [situ: Minister over the Masses] ซือถู
    the Excellency of Works [sikong: Minister of Works] ซือคง
    รองจากซานก๋งก็เป็นเสนาบดีทั้งเก้า Nine Ministers [jiu qing]
    the Minister of Ceremonies [tai chang: Grand Master of Ceremonies], รับผิดชอบเรื่องพิธีการต่าง ๆ
    the Minister of the Imperial Household [guangluxun: Superintendent of the Imperial Household], รับผิดชอบความปลอดภัยของฮ่องเต้
    the Minister of the Guard [wei wei: Commandant of the Guard] รับผิดชอบความปลอดภัยในวังหลวง
    the Minister Coachman [tai pu: Grand Coachman], รับผิดชอบม้าศึกและรถศึกของฮ่องเต้และกองทัพ
    the Minister of Justice [ting wei??: Commandant of Justice] รับผิดชอบเรื่องคดีความต่าง ๆ ในศาล
    the Minister Herald [da honglu: Grand Herald] รับผิดชอบเรื่องความสัมพันธ์กับชนเผ่าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คนจีน ประมาณรมต. ต่างประเทศ
    the Minister of the Imperial Clan [zong zheng: Director of the Imperial Clan] รับผิดชอบเรื่องทะเบียนของเชื้อพระวงศ์และธรรมเนียมปฏิบัติ
    the Minister of Agriculture [da sinong: Grand Minister of Agriculture] รับผิดชอบการจ่ายเบี้ยหวัดแก่แม่ทัพนายพลและคลังเสบียงอาหาร
    the Minister of the Privy Treasury [shao fu: Privy Treasurer] รับผิดชอบกิจการภายในของฮ่องเต้ รวมถึงการประกาศรับสั่ง วังนางสนม กรมราชอาลักษณ์ กรมประชาสัมพันธ์???

    Grand Tutor [tai fu: Senior Tutor], ราชครู ตำแหน่งนี้ถือเป็นรางวัลที่ทรงเกียรติมอบให้กับขุนนางอาวุโส มีหน้าที่คอยให้คำแนะนำ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องเคารพ
    ***************************************
    Citizen (Shumin ?? )
    Magistrate (Xianling ??)
    Prefects (Taishou ??)
    Provincial Governor (Cishi/Dudu ??/??)
    Commandant (Shi Chijie ???)
    Chief Commandant (Jie Dushi ???)
    Minister of the Guard (Hujun Zhongwei/Jinjun Tongshuai ????/????)
    Imperial Inspector (Jian Yushi ???)
    Grand Mentor (Taishi ??)
    Grand Guardian (Taibao ??)
    Grand Tutor (Taifu ??)
    Undersecretary (Shangshu Lang ???)
    Chief State Secretary (Shangshu Ling ???)
    Supreme Censor (Da Sikong/Yushi Dafu ???/????)
    Grand Marshal (Da Sima/Taiwei ???/??)
    Prime Minister (Situ/Chengxiang ??/??)
    Emperor (Huangdi ??)


    อีกแหล่งหนึ่ง เขาใช้ ไท่เว่ยเป็น Grand Marshal ไม่ใช่ Grand Commandant

    (1) ChengXiang (??) สมัยฮ่องเต้ Ai ตำแหน่งนี้เปลี่ยนชื่อเป็นDaSiTu (???)
    (2) Y?ShiDaFu (????) สมัยฮ่องเต้ Cheng ตำแหน่งนี้เปลี่ยนชื่อเป็นDaSiKong (???)
    (3) TaiWei (??) สมัยฮ่องเต้ Wu ตำแหน่งนี้เปลี่ยนชื่อเป็น DaSiMa (???)
    Sanguo in Thai Language

    All informations about Sanguo in this website was translated from other sanguo websites. Main informations are from asianstudies.anu.edu.au by Adjunct Professor Rafe de Crespigny, wikipedia.org and kongming.net. It takes almost a year for me to completed all informations, I hope Sanguo fan in Thailand will like it.

    เนื้อหาเกี่ยวกับสามก๊กในเวบนี้ ผมแปลจากเวบที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสามก๊กภาษาอังกฤษ เนื้อหาส่วนหลักนั้นนำมาจาก ผลงานของ ศาสตราจารย์ Rafe De Crespigny โดยได้รับการอนุญาตจากตัวศาสตราจารย์ และทางมหาวิทยาลัย Australian National University โดยทางมหาวิทยาลัยขอให้ลงข้อความนี้

    1. the original English version was published by the Faculty of Asian Studies – Australian National University in 1996.
    1. บทความต้นฉบับภาษาอังกฤษนี้ ได้ถูกตีพิมพ์โดยคณะเอเชียนศึกษา มหาวิทยาลัย Australian National ในปี 1996

    2. This writer have the author’s permission to publish his work in translation.
    2. ผู้เขียนได้รับการอนุญาตจากผู้เขียนต้นฉบับนี้แล้วให้สามารถทำการเผยแพร่ผลงานแปลได้

    ตามความประสงค์ของทางมหาวิทยาลัย บทความบางส่วนแปลมาจากเวบ wikipedia.org และ kongming.net
     
  7. jack5487

    jack5487 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2006
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +186
    ศึกเจียเกี้ยว

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ศึก จีเกี้ยว (Battle of Jieqiao) หรือ ศึกแห่งสะพานจี (Battle of Jie Bridge) หรือสะพานศิลา เป็นการศึกระหว่างอ้วนเสี้ยว และกองซุนจ้านในปี 192 AD ในตอนต้นของสมัยที่เกิดสงครามระหว่างเจ้าเมืองด้วยกันหรือก่อนช่วงสามก๊ก ซึ่งสงครามระหว่างเจ้าเมืองด้วยกันนี้นำไปสู่จุดจบของราชสำนักฮั่น

    ศึกครั้งนี้เป็นศึกครั้งใหญ่ครั้งแรกที่เจ้าเมืองที่มีอำนาจสองคนต่อสู้กัน เพื่อแย่งชิงดินแดนภาคเหนือ ในแถบมณฑลกิจิ๋วและเฉงจิ๋ว สมรภูมิของการรบครั้งนี้อยู่ที่ทางตะวันออกของตำบล Guangzong เมือง Julu (ปัจจุบันคือ Weixian เมือง Hebei)

    ปี 191 โจรผ้าเหลืองแห่งมณฑล เฉงจิ๋ว ออกปล้นเมือง Bohai ด้วยจำนวนกว่า สามแสนคน พวกเขาวางแผนเข้าร่วมกับโจรภูเขาดำ กองซุนจ้านนำทัพกว่าสองหมื่นเข้าต่อสู้เหล่าโจร ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันที่ตอนใต้ของ Dongguang กองซุนจ้านเอาชนะกองโจร สามารถตัดหัวพวกโจรได้กว่าสามหมื่นคน เหล่ากบฏพากันหลบหนีไปทางแม่น้ำแยงซี กองซุนจ้านนำทัพตามพวกเขาไปทันที่ระหว่างทาง พวกกบฏพ่ายแพ้ มีคนตายหลายหมื่นคน เลือดจากการรบเปลี่ยนแม่น้ำเป็นสีแดง กองซุนจ้านจับเชลยศึกได้กว่าเจ็ดหมื่นคน ชุดเกราะ เกวียนและสมบัตินับไม่ถ้วน ชื่อเสียงของกองซุนจ้านเป็นที่รู้จักไปทั่ว อาศัยความได้เปรียบจากชัยชนะนี้ กองซุนจ้านอ้างการตายของกองซุนอวด ลูกพี่ลูกน้องของเขาประกาศสงครามกับอ้วนเสี้ยว

    เขานำทัพมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้มาระหว่างมณฑลเฉงจิ๋วและแม่น้ำเหลือง เคลื่อนพลเข้าสู่มณฑลกิจิ๋ว แล้วไปตั้งค่ายที่ริมแม่น้ำพวนโห้ เขาส่งบันทึกความผิดและความประพฤติมิชอบของอ้วนเสี้ยวไปที่ศาล และนำกองทัพเข้าโจมตีอ้วนเสี้ยว

    หลายหัวเมืองของมณฑล กิจิ๋ว ก่อกบฏต่อต้านอ้วนเสี้ยวเพื่อสนับสนุนกองซุนจ้าน อ้วนเสี้ยวกลัวมาก เขามีตราตั้งเจ้าเมือง Bohai เขาจึงส่งตราประจำตำแหน่งนั้นให้แก่ Gongsun Fan ลูกพี่ลูกน้องอีกคนของกองซุนจ้าน ส่งเขาไปประจำการที่นั้น แต่ Gongsun Fan ได้ต่อต้านอ้วนเสี้ยว นำทหารเมือง Bohai เข้าช่วยเหลือกองซุนจ้าน

    ในที่สุด อ้วนเสี้ยวก็นำทัพด้วยตัวเองมาเผชิญหน้ากับทัพกองซุนจ้านทางตอนใต้ของสะพานจีห่างไปยี่สิบลี้ ทัพของกองซุนจ้านนั้นน่าจะมีกำลังพลสี่หมื่นคน แบ่งเป็นพลเดินเท้า สามหมื่นคนและทหารม้าหนึ่งหมื่นคน กองซุนจ้านจัดทัพพลเดินเท้าของเขาเป็นรูปสี่เหลี่ยม แล้วแบ่งทหารม้าออกเป็นสองกองเป็นปีกซ้ายและขวาของกองทัพ ส่วนตรงกึ่งกลางทัพนั้น เขาจัดกองกำลังม้าขาว ซึ่งเป็นกองกำลังส่วนตัวของเขา ซึ่งเป็นทหารม้าที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี และมีชุดเกราะและธงศึกที่น่าเกรงขาม แม้ว่ากองทัพของอ้วนเสี้ยวจะมีขนาดพอ ๆ กัน แต่ทัพของอ้วนเสี้ยวเกือบทั้งหมดเป็นพลเดินเท้า อ้วนเสี้ยวให้ แม่ทัพจ๊กยี่นำทหารแปดพันคน และพลธนูหนึ่งพันคนเป็นทัพหน้า และหลังทัพหน้านั้นเป็นกองทหารจำนวนหลายหมื่น ซึ่งอ้วนเสี้ยวบัญชาการด้วยตัวเอง

    เมื่อกองซุนจ้านสังเกตว่า ทัพหน้าของอ้วนเสี้ยวนั้นกระจายกำลังออกไป มีจำนวนไม่มาก เขาจึงสั่งทหารม้าให้พุ่งเข้าโจมตี มีจุดประสงค์เพื่อทำลายแนวทัพของข้าศึก เพื่อให้ทัพจ๊กยี่แตกพ่ายไป จ๊กยี่จัดทหารให้ตั้งแนวป้องกัน เตรียมพร้อมรอคอยการโจมตี ทหารของจ๊กยี่หลบอยู่หลังโล่พวกเขาไม่เคลื่อนที่ จนทหารกองซุนจ้านเข้าใกล้มาในระยะราวสิบก้าว จ๊กยี่สั่งพลธนูให้ระดมยิง ทหารให้กระโดดขึ้นแล้วตระโกนเสียงดังกึกก้องแล้วหยิบหอกขึ้นมาต่อสู้ ทำให้ทัพม้าของกองซุนจ้านตกใจ และจ๊กยี่สามารถเอาชนะทัพกองซุนจ้านได้ในที่สุด

    จ๊กยี่ตัดหัว ยำก๋ง ที่กองซุนจ้านแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการมณฑลกิจิ๋ว และฆ่าทหารกองซุนจ้านกว่าพันคน กองซุนจ้านรวบรวมทัพที่พ่ายแพ้แตกกระจายไปเข้าสู้อีกครั้ง นำหน้าโดยทหารม้าและตามด้วยพลเดินเท้า เขาพยายามที่จะรวบรวมพลและตรึงกำลังที่แนวของแม่น้ำเฉง แต่ทัพหลังของเขา ถูกทหารของจ๊กยี่โจมตีที่สะพานศิลา และพ่ายแพ้จนต้องหนีไป ทัพจ๊กยี่บุกมาถึงค่ายของกองซุนจ้าน ยึดธงประจำตัวของกองซุนจ้าน จนทัพที่เหลือของกองซุนจ้านต้องหลบหนีไป

    เมื่อเห็นทัพกองซุนจ้านพ่ายแพ้หลบหนีไป อ้วนเสี้ยวจึงมุ่งหน้าไปดูสถานการณ์พร้อมกับพลธนูองครักษ์เพียงสิบคน และทหารอีกหนึ่งร้อยคน เขาไปพบกับทหารม้าสองพันคนของกองซุนจ้านโดยบังเอิญ เตียนห้องนายทหารคนสนิทของอ้วนเสี้ยว ได้แนะนำให้อ้วนเสี้ยวอาศัยกำแพงเล็ก ๆ เพื่อหลบภัย แต่อ้วนเสี้ยวกลับโยนหมวกศึกของเขาทิ้งลงกับพื้นแล้วพูดว่า ลูกผู้ชายที่แท้จริงนั้นควรที่จะยอมตายในสนามรบ การหลบไปอยู่หลังกำแพงหาใช่วิธีของลูกผู้ชายไม่ แต่ทหารม้าของกองซุนจ้านนั้นจำอ้วนเสี้ยวไม่ได้ และพวกเขาก็ถอยทัพในทันทีที่จ๊กยี่นำทัพมาถึงที่นั่น
    Sanguo in Thai Language

    All informations about Sanguo in this website was translated from other sanguo websites. Main informations are from asianstudies.anu.edu.au by Adjunct Professor Rafe de Crespigny, wikipedia.org and kongming.net. It takes almost a year for me to completed all informations, I hope Sanguo fan in Thailand will like it.

    เนื้อหาเกี่ยวกับสามก๊กในเวบนี้ ผมแปลจากเวบที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสามก๊กภาษาอังกฤษ เนื้อหาส่วนหลักนั้นนำมาจาก ผลงานของ ศาสตราจารย์ Rafe De Crespigny โดยได้รับการอนุญาตจากตัวศาสตราจารย์ และทางมหาวิทยาลัย Australian National University โดยทางมหาวิทยาลัยขอให้ลงข้อความนี้

    1. the original English version was published by the Faculty of Asian Studies – Australian National University in 1996.
    1. บทความต้นฉบับภาษาอังกฤษนี้ ได้ถูกตีพิมพ์โดยคณะเอเชียนศึกษา มหาวิทยาลัย Australian National ในปี 1996

    2. This writer have the author’s permission to publish his work in translation.
    2. ผู้เขียนได้รับการอนุญาตจากผู้เขียนต้นฉบับนี้แล้วให้สามารถทำการเผยแพร่ผลงานแปลได้

    ตามความประสงค์ของทางมหาวิทยาลัย บทความบางส่วนแปลมาจากเวบ wikipedia.org และ kongming.net
     
  8. jack5487

    jack5487 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2006
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +186
    ศึกหับป๋า

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ศึกหับป๋า (The battle of Hefei ปี ค.ศ. 215) เป็นสงครามที่มีชื่อและมีความสำคัญมากอีกสงครามหนึ่งในสมัยสามก๊ก เป็นการรบกันระหว่างฝ่ายง่อที่มีจำนวนทหารมากกว่าฝ่ายวุยที่รักษาการณ์ที่หับป๋าหลายเท่า แต่กลับเป็นฝ่ายง่อที่พ่ายแพ้และถูกกดดันให้ถอยทัพกลับ ซึ่งถือว่าเป็นศึกที่สำคัญมากต่อฝ่ายวุย เพราะถ้าวุยพลาดเสียหับป๋าให้กับฝ่ายง่อ ก็เท่ากับว่าซุนกวนและกองทัพง่อสามารถเดินทัพอย่างสะดวกเข้าสู่ใจกลางของก๊กวุยและเมืองหลวงได้

    ก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 214 โจโฉได้แต่งตั้งจูกวงให้เป็นเจ้าเมืองโลกั๋ง ตั้งค่ายอยู่ที่ฮวน และเริ่มสำรวจพื้นที่เพาะปลูก ลิบองพูดกับซุนกวนว่า แผ่นดินของฮวน นั้นอุดมสมบูรณ์ ทันทีที่พวกเขาเริ่มการเพาะปลูก ศัตรูของเราจะยิ่งทวีความแข็งแกร่งขึ้น พวกเราต้องโจมตีพวกเขาโดยเร็ว

    ซุนกวนนำทัพเข้าโจมตีเมืองฮวน ขุนนางของเขาต้องการสร้างเนินดินให้สูง และเครื่องยิงเพื่อโจมตีเมือง แต่ลิบองพูดว่า ถ้าเราสร้างเครื่องยิงและเนินดิน ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าที่จะเสร็จ ตอนนั้นในเมืองก็เตรียมการป้องกันแล้ว กองทัพช่วยเหลือก็จะมาถึง เราก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ ยิ่งกว่านั้น ฝนและน้ำหลากนั้นช่วยให้เรานำทัพมาได้ แต่ถ้าเราทำศึกยืดเยื้อเกินไป น้ำก็จะลดลง แล้วการเดินทางกลับก็จะยากลำบากยิ่งนัก ในความเห็นอันต่ำต้อยของผู้น้อยคิดว่าสถานการณ์เราก็จะอันตรายยิ่งนัก

    ขอให้นายท่านจงพิจารณาเมืองให้ดี เมืองนี้ไม่มั่นคงแข็งแรงเท่าไหร่นัก ถ้าเราโจมตีอย่างหนักทุกด้าน เราจะยึดเมืองได้โดยง่าย แล้วเราก็สามารถยกทัพกลับในขณะที่น้ำยังท่วมสูงอยู่ได้ นี่คือแผนที่จะได้ชัยชนะ

    ซุนกวนอนุญาตตามแผนของเขา ลิบองเสนอกำเหลงให้นำทหารเข้าโจมตี กำเหลงใช้ตะขอเหล็กดึงตัวเองไต่ขึ้นกำแพงเมืองและเป็นคนแรกที่สามารถเข้าเมืองได้สำเร็จ ลิบองตีกลองศึกด้วยตัวเองและตามโจมตีด้วยทหารที่ฝึกมาเป็นอย่างดี ทหารทั้งหมดกระโจนเข้าสู่การสู้รบ พวกเขาเริ่มโจมตีตั้งแต่รุ่งสาง ก่อนจะถึงมื้อเข้าพวกเขาก็ยึดเมืองได้ พวกเขาจับตัวจูกวงและเชลยศึกชายหญิงหลายพันคน เมื่อเตียวเลี้ยวมาถึงเจียชิ เขารู้ว่าเมืองถูกยึดไป เขาจึงยกทัพกลับ ในขณะที่ซุนกวนแต่งตั้งลิบองให้เป็นเจ้าเมืองโลกั๋งคอยรักษาการณ์

    จุดเริ่มของศึกหับป๋านั้น เกิดขึ้นหลังจากที่เล่าปี่สามารถยึดจ๊กได้ในปีค.ศ. 214 โจโฉเองก็ได้เคลื่อนทัพเข้าโจมตีฮันต๋ง หวังที่จะยึดฮันต๋งจากเตียวฬ่อ ฮันต๋งนั้นเป็นเมืองทางทิศเหนือของจ๊ก เปรียบเสมือนเมืองหน้าด่านของเอ๊กจิ๋ว เล่าปี่กลัวว่าเขาจะเสียมณฑลเอ๊กจิ๋วไปถ้าโจโฉสามารถยึดเมืองฮันต๋งได้ ดังนั้นด้วยคำแนะนำของขงเบ้ง เล่าปี่จึงส่งอีเจี้ยนำสารไปขอสงบศึกกับซุนกวน โดยฝ่ายเล่าปี่เสนอการคืนเมืองกังแฮ เตียงสาและฮุยเอี๋ยง ที่เล่าปี่เคยขอยืมเป็นฐานที่มั่นส่งคืนกลับให้ฝ่ายง่อ เพื่อจูงใจให้ฝ่ายง่อบุกโจมตีหับป๋า โดยเล่าปี่หวังว่าจากการโจมตีของฝ่ายง่อ โจโฉจะถอยทัพกลับจากฮันต๋งไปป้องกันดินแดนของตัวเอง ซุนกวนตกลงและส่งจูกัดกิ๋นเป็นคนนำสารตอบ ทั้งสองสร้างความสัมพันธ์ขึ้นใหม่ มณฑลเกงจิ๋วถูกแบ่งออกโดยใช้แม่น้ำเซียงเป็นเขตแดน เมืองเตียงสา กังแฮ และฮุยเอี๋ยงที่อยู่ทางตะวันออกเป็นของซุนกวน ในขณะที่ เมืองลำกุ๋น เลงเหลงและบุเหลงที่อยู่ทางตะวันตกเป็นของเล่าปี่

    ในเดือนที่แปด ปี ค.ศ. 215 ซุนกวนนำทัพจำนวนมากเคลื่อนที่ไปทางเหนือมุ่งหน้าไปหับป๋า จำนวนทัพของฝ่ายง่อนั้นน่าจะประมาณ 80,000 ถึง 100,000 คน ล้อมหับป๋า เตียวเลี้ยว ลิเตียวและงักจิ้นมีกำลังทหารเพียงเจ็ดพันนายรักษาการณ์อยู่ในเมือง

    เมื่อโจโฉไปโจมตีเตียวฬ่อ เขาได้ส่งจดหมายแนะนำให้ซือตี้ผู้บัญชาการกองทัพของหับป๋าไว้ และเขียนไว้ด้านนอกว่า ถ้าศัตรูมาถึงให้เปิดออก ทันทีที่ซุนกวนยกทัพมาใกล้ พวกเขาเปิดจดหมายออกอ่าน ในจดหมายเขียนว่า ถ้าซุนกวนมา ให้แม่ทัพเตียวเลี้ยวและลิเตียนออกมาสู้ภายนอก แม่ทัพงักจิ้นให้รักษาเมือง ส่วนผู้บัญชาการกองทัพไม่ต้องสั่งการสู้รบ

    เหล่าแม่ทัพต่างพากันคิดว่าทหารของพวกเขาน้อยเกินกว่าจะไปต่อสู้กับศัตรู และพวกเขาก็ยังสงสัยในแผนนี้ เตียวเลี้ยวพูดว่า นายท่านนั้นยกทัพไปต่อสู้ยังแดนไกล กว่าที่กองทัพช่วยเหลือจะมาถึง พวกเราก็คงพ่ายแพ้ไปแล้ว จดหมายฉบับนี้เตือนเราว่า ถ้าเราโจมตีศัตรูก่อนที่พวกเขาจะล้อมเมืองเราได้ เราก็จะทำลายความเข้มแข็งของศัตรูแต่เนิ่น ๆ และปลุกขวัญกำลังใจของกองทัพเรา แล้วเราก็อยู่ป้องกันแต่ในเมือง งักจิ้นและคนอื่นนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

    เตียวเลี้ยวโกรธมากพูดว่า แพ้หรือชนะขึ้นอยู่กับการศึกครั้งนี้ ถ้าพวกท่านยังรีรอ ข้าก็จะยกทัพไปสู้เพียงคนเดียว

    ลิเตียนซึ่งเคยบาดหมางกับเตียวเลี้ยวมาก่อน ได้สนับสนุนเขาว่า นี่เป็นเรื่องใหญ่ของแผ่นดิน เมื่อข้าเห็นท่านวางแผนการเช่นนี้ แล้วข้าจะยังมีอคติส่วนตัวกับท่านแล้วเพิกเฉยเรื่องส่วนรวมได้อย่างไร ข้าขอเข้าร่วมกับท่านในการโจมตีนี้

    เตียวเลี้ยวขออาสาสมัครจากทหาร มีทหารสมัครใจเข้าร่วมแปดร้อยคน เตียวเลี้ยวสั่งให้ฆ่าวัวมาเพื่อจัดงานเลี้ยงให้กับทหารกล้าทั้งแปดร้อยนายในคืนนั้น

    วันต่อมา เตียวเลี้ยวใส่ชุดเกราะและถือทวนปลายแหลมสองข้างและนำหน้าเหล่าทหาร เป็นคนแรกที่เข้าโจมตีกองทัพง่อ เขาฆ่าทหารง่อไปหลายสิบคน ตัดหัวนายทหารของง่อได้สองคน เตียวเลี้ยวทำการสู้รบพร้อมร้องตะโกนบอกชื่อของเขาให้กองทัพง่อก๊กได้รับรู้ เขาทำทัพข้ามรั้วป้องกันค่ายกองทัพง่อก๊กและตรงเข้าไปหาซุนกวน ซุนกวนตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูกได้แต่หนีขึ้นไปยังเนินดินและป้องกันตัวเองจากทวนยาวนั้น

    เตียวเลี้ยวเรียกซุนกวนให้ลงมาต่อสู้ แต่ซุนกวนไม่กล้าลงมา แล้วเมื่อซุนกวนสังเกต เขาเห็นว่าเตียวเลี้ยวมีทหารจำนวนน้อยนิด เขาสั่งทหารล้อมวงหลายชั้นล้อมเตียวเลี้ยว เตียวเลี้ยวโจมตีวงล้อมอย่างรุนแรง ทำลายวงล้อมนั้นและหนีออกมาได้พร้อมทหารไม่กี่สิบคน ส่วนทหารที่เหลือของเขาที่ยังอยู่ในวงล้อมร้องไห้คร่ำครวญว่า ท่านแม่ทัพทิ้งพวกเราไปแล้วหรือ เตียวเลี้ยวจึงวกกลับไปต่อสู้อีกครั้ง โจมตีวงล้อมและนำทหารที่เหลือออกมา

    ทหารของซุนกวนทั้งหมดไม่มีใครกล้าสู้กับเตียวเลี้ยวได้แต่หนีไป พวกเขาสู้ตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงเที่ยงวัน ทหารจากง่อล้วนแต่สูญเสียกำลังใจสู้รบไป พวกเขาถอยทัพและเตรียมการป้องกันใหม่ ในขณะที่ฝ่ายวุยมีกำลังใจมากขึ้น

    ซุนกวนอยู่ที่หับป๋าอีกมากกว่าสิบวัน แต่ฝั่งวุยก็ป้องกันการโจมตีจนไม่สามารถยึดได้ ในที่สุดซุนกวนก็เตรียมการถอยทัพ (มีบันทึกว่าเกิดโรคระบาดในทัพซุนกวน ทำให้ทหารซุนกวนไม่สามารถต่อสู้ได้ไม่เต็มที่และต้องถอยทัพ)

    ทันทีที่กองทัพกำลังถอยทัพ ซุนกวนและแม่ทัพของเขาได้หยุดอยู่ที่ทางเหนือของสะพานเซียวเหยา เตียวเลี้ยวเฝ้าซุ่มสังเกตการณ์อยู่ และเมื่อเขาเห็นทหารง่อ เตียวเลี้ยวก็นำทัพเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว กำเหลง ลิบองและคนอื่น ๆ ต่างต่อสู้ตรึงข้าศึกไว้ ซุนกวนส่งคนไปตามทัพหน้ากลับมาช่วย แต่ทัพหน้าไปไกลเกินมาที่จะกลับมาช่วยได้ทันเวลา เล่งทองนำทหารของเขาสามร้อยคนเข้าช่วยซุนกวนจากวงล้อมและต่อสู้ยันทัพเตียวเลี้ยวไว้ เปิดโอกาสให้ซุนกวนหลบหนีจากวงล้อม เล่งทองเมื่อนำซุนกวนมาถึงฝั่งสะพานก็กลับไปต่อสู้จนทหารสามร้อยนายของเขาถูกฆ่าตายหมด ตัวเขาเองก็โดนอาวุธได้รับบาดแผลไปทั้งตัว

    ซุนกวนขี่ม้าอย่างรวดเร็วมาถึงสะพาน แต่สะพานฝั่งใต้ได้ถูกทำลายไป เหลือเพียงไม้กระดานไม่กี่แผ่นสองฝั่งแม่น้ำ และมีช่องว่างห่างกันถึงสิบฟุต ผู้ตรวจการทหารองครักษ์ กู่ลี่ ซึ่งตามซุนกวนมา ได้บอกซุนกวนให้ยึดอานม้ากับบังเหียนให้แน่น แล้วเขาก็เอาแส้หวดที่หลังม้า แล้วพวกเขาก็ข้ามสะพานมาได้ โฮกี๋นำทหารสามพันคนจากฝั่งตอนใต้มารับซุนกวน

    เขาเห็นว่าซุนกวนข้ามฝั่งได้ปลอดภัยแล้ว แต่สะพานพังไปแล้ว และถนนก็ถูกทัพวุยขวางทางอยู่ เล่งทองจึงถอดเกราะออกแล้วก็ว่ายน้ำหนีข้ามฝั่งมา ซุนกวนซึ่งตอนนั้นขึ้นเรือของฝั่งง่อแล้ว ดีใจมากที่เห็นเล่งทองว่ายน้ำมาขึ้นเรือได้

    แต่เล่งทองนั้นเสียใจมากที่ทหารสามร้อยนายของเขาเสียชีวิตไป ทหารทุกคนล้วนเป็นทหารส่วนตัวของเขาที่ติดตามเขามานาน ทุกคนตายหมดในการช่วยซุนกวนฝ่าวงล้อม เล่งทองร้องไห้คร่ำครวญเสียใจอย่างยิ่ง ซุนกวนเห็นเข้าก็ตบหน้าเขา บอกว่า ปล่อยให้คนที่ตายไปแล้วไปสู่สุขคติ ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าไม่ต้องกลัวเรื่องการไม่มีทหารในบังคับบัญชา แล้วซุนกวนก็ให้ตำแหน่งแม่ทัพที่ใหญ่ขึ้นแก่เขา มีทหารในสังกัดเพิ่มขึ้นจากเดิมสองเท่า

    ซุนกวนจัดงานเลี้ยงปลอบขวัญให้กับเหล่าแม่ทัพของเขา โฮกี๋ลุกจากที่นั่งของเขาร้องไห้แล้วพูดว่า เกียรติของนายท่านคือการเป็นผู้ปกครองผู้คน ท่านควรจะได้รับการป้องกันอย่างแข็งขันอยู่เสมอ การศึกในวันนี้ เมื่อท่านประสบโชคร้าย เหล่าข้ารับใช้ของท่านล้วนแต่หวาดกลัวว่าฟ้าดินจะถล่มทลาย พวกเราวิงวอนนายท่านให้เอาเหตุการณ์วันนี้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจไปตลอดชีวิต ซุนกวนลุกมาหาเขา เช็ดน้ำตาให้แล้วพูดว่า ข้ารู้สึกขอบคุณและละอายใจ ต่อไปนี้ การทำศึกอย่างระมัดระวังจะหาใช่สิ่งที่เขียนโชว์บนเข็ดขัดข้า หากแต่ว่าสลักอยู่ในก้นบึ้งหัวใจข้าแล้ว (ซุนกวนพูดเปรียบเทียบถึงซิจางที่เขียนคำสอนของขงจื้อลงบนเข็ดขัดของเขา)

    ผลจากสงครามครั้งนี้นั้นทำให้ ฝ่ายวุยมั่นคงปลอดภัยที่สามารถรักษาหับป๋าซึ่งเป็นเสมือนประตูสู่ดินแดนวุยได้ ถ้าฝ่ายง่อได้ชัยชนะในครั้งนี้ การที่ซุนกวนจะยกทัพเข้าบุกถึงเมืองหลวงก็มีความเป็นไปได้ เพราะว่าโจโฉได้นำทัพส่วนใหญ่ไปบุกยึดฮันต๋ง เหลือทหารไว้เฝ้าเมืองหลวงไม่มาก อย่างไรก็ดี เรื่องความสามารถของซุนกวนนั้น ในประวัติของเตียวเลี้ยวบอกไว้ว่าซุนกวนเกรงกลัวไม่กล้ามาสู้กับเขา แต่หลาย ๆ บันทึกว่าไว้ว่าซุนกวนนั้นมีความสามารถเรื่องขี่ม้า ยิงธนู กล้าหาญและมีความเป็นนักรบ เสียแต่ว่าซุนกวนไม่มีประวัติความสำเร็จในการนำทัพโจมตีเลย มีเพียงความสามารถในการป้องกันทัพโจโฉจำนวนมากที่บุกมาโจมตีทางปากแม่น้ำยี่สูก่อนหน้าศึกนี้ ซุนกวนนำทัพป้องกันได้เป็นอย่างดี จนโจโฉยังชมเชยว่า ถ้ามีบุตรต้องมีให้ได้อย่างซุนกวน
    Sanguo in Thai Language

    All informations about Sanguo in this website was translated from other sanguo websites. Main informations are from asianstudies.anu.edu.au by Adjunct Professor Rafe de Crespigny, wikipedia.org and kongming.net. It takes almost a year for me to completed all informations, I hope Sanguo fan in Thailand will like it.

    เนื้อหาเกี่ยวกับสามก๊กในเวบนี้ ผมแปลจากเวบที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสามก๊กภาษาอังกฤษ เนื้อหาส่วนหลักนั้นนำมาจาก ผลงานของ ศาสตราจารย์ Rafe De Crespigny โดยได้รับการอนุญาตจากตัวศาสตราจารย์ และทางมหาวิทยาลัย Australian National University โดยทางมหาวิทยาลัยขอให้ลงข้อความนี้

    1. the original English version was published by the Faculty of Asian Studies – Australian National University in 1996.
    1. บทความต้นฉบับภาษาอังกฤษนี้ ได้ถูกตีพิมพ์โดยคณะเอเชียนศึกษา มหาวิทยาลัย Australian National ในปี 1996

    2. This writer have the author’s permission to publish his work in translation.
    2. ผู้เขียนได้รับการอนุญาตจากผู้เขียนต้นฉบับนี้แล้วให้สามารถทำการเผยแพร่ผลงานแปลได้

    ตามความประสงค์ของทางมหาวิทยาลัย บทความบางส่วนแปลมาจากเวบ wikipedia.org และ kongming.net
     
  9. jack5487

    jack5487 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2006
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +186
    ปีเจี้ยนอันที่ 9 204 AD (18 กุมภาพันธ์ 204 – 6 กุมภาพันธ์ 205)

    ในฤดูใบไม้ผลิ เดือนแรก โจโฉข้ามแม่น้ำเหลือง เขากั้นแม่น้ำกีชุยเพื่อทดน้ำเขาสู่คลอง Bo เพื่อสร้างเส้นทางลำเลียงเสบียง

    ในเดือนที่สอง อ้วนซงโจมตีอ้วนถำอีกครั้งที่ เพงหงวนก้วน โดยให้สิมโพยและ โซฮิว รักษาเมือง Ye โจโฉนำทัพของเขาไปตามแม่น้ำ Yuan โซฮิว พยายามที่จะทรยศ แต่แผนเขามีคนล่วงรู้ เขาจึงหนีไปหาโจโฉ โจโฉมุ่งหน้าไปเมือง Ye เพื่อสร้างเนินเขาและอุโมงค์เพื่อโจมตีเมือง

    อินไก๋ ลูกน้องของอ้วนซง รักษาค่ายที่ มอเสีย ควบคุมเส้นทางขนเสบียงจาก Shangdang ในฤดูร้อน เดือนที่สี่ โจโฉให้โจหองคุมกองทัพสู้กับเมือง Ye ส่วนตัวเขานำทัพไปโจมตี อินไก๋ พ่ายแพ้ไป แล้วก็นำทัพกลับ เขายังโจมตี จองกี๋ ลูกน้องอีกคนของอ้วนซงที่ Handan และยึดเมืองได้

    Han Fan นายอำเภอ Yiyang และ Liang Qi นายอำเภอ She ยอมแพ้ยกเมืองให้แก่โจโฉ

    ซิหลงพูดกับโจโฉว่า ตระกูลอ้วนยังไม่พ่ายแพ้เสียทีเดียว หลายหัวเมืองก็คิดถึงการยอมแพ้ก็กำลังเฝ้าดูว่าท่านจะจัดการกับเมืองทั้งสองที่ยอมแพ้ท่านอย่างไร ท่านควรที่จะให้รางวัลมากมายแก่เจ้าเมืองทั้งสอง เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เมืองอื่นอ่อนน้อมต่อท่าน โจโฉทำตามคำแนะนำของเขา Han Fan และ Liang Qi ทั้งคู่ได้รับการแต่งตั้งเป็น Marquis ภายในดินแดนอาณาจักร

    เตียวเอี๋ยนผู้นำโจรภูเขาดำ ส่งฑูตไปหาโจโฉเพื่อขอความสนับสนุน โจโฉแต่งตั้งให้เขาเป็นแม่ทัพผู้รักษาความสงบทิศเหนือ

    ในเดือนที่ห้า โจโฉทำลายเนินเขาและอุโมงค์ของเขา สั่งให้ขุดคูยาวสี่สิบลี้รอบล้อมเมือง Ye ตอนนี้เขาสั่งให้ขุดคูตื้น ๆ ดูเหมือนว่าจะข้ามได้ง่าย ๆ เมื่อสิมโพยเห็น เขาหัวเราะแล้วก็ไม่เคลื่อนไหว แต่ในคืนเดียว โจโฉก็ขุดคูนั้นต่อ ความกว้างคูยี่สิบฟุตและความลึกยี่สิบฟุต แล้วก็ทดน้ำจากแม่น้ำ Zhang เข้ามา ชาวบ้านมากกว่าครึ่งเมืองตายเพราะอดอาหาร

    ในฤดูใบไม้ร่วง เดือนที่เจ็ด อ้วนซงกลับมาพร้อมทหารมากกว่าหมื่นคนเพื่อช่วยเมือง Ye

    ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง เขาต้องการให้สิมโพยรู้เหตุการณ์ก่อน เขาส่ง ลีหู มุ่งหน้าเข้ามาในเมือง

    ลีหู หักคฑาของเขาและผูกติดกับหลังม้า เขาคาดผ้าโพกศรีษะ นำทหารม้าสามคนติดตามเขา เขาเดินทางในตอนกลางคืนมุ่งหน้าสู่เมือง Ye เรียกตัวเองเป็นผู้ตรวจการกองทัพ (ยศนายทหารระดับต่ำมีหน้าที่ดูแลระเบียบวินัยทหาร) เขาผ่านไปทางค่ายโจโฉทางเหนือที่ล้อมเมือง มุ่งหน้าไปทางตะวันออก ทุก ๆ ครั้งที่เขาพบความผิดของทหารในหอสังเกตุการณ์ เขาจะลงโทษพวกทหารที่ทำผิด ด้วยวิธีนี้ทำให้เขาสามารถผ่านค่ายโจโฉมาทึงตอนใต้ของกองทัพโจโฉที่ล้อมเมืองทาง ประตู Zhang ของเมือง Ye เขาพบทหารรักษาการณ์ของโจโฉที่ทำผิด จึงมัดพวกเขาเข้าด้วยกัน เขาจึงสามารถเปิดแนวทหารที่ล้อมเมืองได้ เขาควบม้าไปยังประตูและเรียกทหารที่อยู่ภายใน เหล่าทหารยามใช้เชือกดึงตัวเขาขึ้นไป เขาจึงสามารถเข้าเมืองได้

    เมื่อสิมโพยและคนอื่น ๆ เห็น ลีหู พวกเขาร้องไห้ด้วยความยินดี กลองศึกถูกตี แล้วพวกเขาก็ตระโกนว่า ทรงพระเจริญหมื่น ๆ ปี ข่าวเรื่องความสำเร็จของเขารู้ไปถึงทัพโจโฉ แต่โจโฉแค่หัวเราะแล้วพูดว่า เขาแค่หาทางเข้าเมืองได้ ยังไม่ได้ออกจากเมือง

    ลีหู เชื่อว่าการล้อมเมืองจะยิ่งแน่นหนากว่าเดิม เขาคงไม่สามารถใช้ลูกไม้เดิมได้อีก เขาขอให้สิมโพยส่งคนแก่และคนอ่อนแอออกจากเมืองเพื่อประหยัดเสบียงอาหาร ในคืนนั้น พวกเขาเลือกคนหลายพันคน แต่ละคนต่างถือธงขาว และส่งพวกเขาออกจากเมืองทางสามประตูเมืองเพื่อยอมแพ้ อีกครั้ง ลีหู นำทหารม้าสามคนของเขาแต่งกายคล้ายกับชาวบ้านที่ยอมแพ้ พวกเขาปะปนไปกับคนที่ยอมแพ้ในความมืด ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถฝ่าวงล้อมและหนีออกนอกเมืองได้

    เมื่ออ้วนซงมาถึง ขุนนางโจโฉพูดว่า กองทัพกลับมาถึงเมือง พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อตัวเอง ทางที่ดีควรจะหลีกเลี่ยงพวกเขา ถ้าอ้วนซงมาทางถนนใหญ่ โจโฉพูด เราควรจะถอยทัพ แต่ถ้าเขามาทางเนินเขาตะวันตก เราจะจัดการเขาได้

    อ้วนซงนำทัพผ่านมาทางเนินเขาตะวันตกอย่างที่โจโฉคาด เขานำทัพไปทางตะวันออกยังหมู่บ้าน Yangping ซึ่งห่างไปสิบเจ็ดลี้ทาง Ye และตั้งค่ายริมแม่น้ำ เปกตก อ้วนซงจุดไฟในตอนกลางคืนเป็นสัญญาณให้ลูกน้องในเมืองได้รู้ แล้วลูกน้องในเมืองเขาก็จุดไฟสัญญาณเพื่อรับรู้การมาของเขา

    สิมโพยพยายามที่จะฝ่าวงล้อมออกไปร่วมทัพกับอ้วนซง สิมโพยนำทัพโจมตีทัพโจโฉที่ล้อมเมืองอยู่ทางทิศเหนือ โจโฉนำทัพไปสู้กับเขา สิมโพยพ่ายแพ้จนต้องหนีกลับเข้าเมือง อ้วนซงก็พ่ายแพ้เช่นกัน เขาหนีไปที่ Quzhang และตั้งมั่นอยู่ที่นั่น โจโฉนำทัพไปล้อมเข้าไป แต่ก่อนที่ทัพโจโฉจะโอบล้อมเมือง อ้วนซงก็หวาดกลัวและส่งฑูตมาขอยอมแพ้ โจโฉปฏิเสธและล้อมเขาอย่างแน่นหนามากขึ้น

    อ้วนซงลอบหนีไปในยามค่ำ เขาไปอยู่ที่เนินเขา Qi โจโฉมุ่งหน้าไปล้อมเขาอีกครั้ง ทันทีที่ทัพทั้งสองเผชิญหน้ากัน ลูกน้องอ้วนซง ม้าเอี๋ยน เตียวเอ๊ก และแม่ทัพคนอื่นก็ออกมายอมแพ้ ทัพของอ้วนซงกระจัดกระจายไป อ้วนซงหนีไป Zhongshan โจโฉยึดสัมภาระของอ้วนซงได้ ตราประทับ พู่ประดับและตราตั้งตำแหน่ง ทั้งหมดอยู่ในห่อเสื้อผ้าของเขา พวกเขานำสิ่งเขาเหล่านั้นไปแสดงให้คนในเมือง Ye ได้เห็น แล้วทหารในเมืองก็เสียขวัญกำลังใจ

    แต่สิมโพยก็ยังสั่งการต่อทหารของเขาว่า ป้องกันอย่างแน่นหนา ต่อสู้ให้ถึงวาระสุดท้าย ทัพของโจโฉกำลังมีปัญหา แล้วอ้วนฮีก็กำลังนำทัพมาที่นี่ ไม่มีเหตุผลที่ต้องวิตกว่าเราเสียผู้นำไป เมื่อโจโฉมาตรวจแนวทหารที่ล้อมเมือง สิมโพยสั่งให้พลเกาทัณฑ์ที่ซุ่มอยู่ยิงใส่โจโฉ ลูกธนูที่ยิงไปห่างจากตัวโจโฉเพียงนิดเดียว

    สิมเอ๋ง หลานของสิมโพย เป็นขุนพลประจำประตูด้านตะวันออก ในเดือนที่แปด วันที่ 13 กันยายน สิมเอ๋ง เปิดประตูเมืองในตอนกลางคืนให้ทัพโจโฉเข้าเมือง สิมโพยต่อสู้กับทัพโจโฉตามถนนในเมือง แต่ทหารโจโฉก็สามารถจับเขาได้ในที่สุด

    ครอบครัวของซินเป๋งถูกจำคุกเป็นนักโทษที่เมือง Ye ซินผี ขี่ม้าไปที่นั่นทันทีเพื่อปล่อยตัวพวกเขา แต่สิมโพยได้สังหารพวกเขาหมดแล้ว ทหารโจโฉได้มัดตัวสิมโพยนำไปที่เต๊นท์ของพวกเขา พวกเขาได้พบกับ ซินผี ซินผี เอาแส้ฟาดหน้าของเขาแล้วสาบแช่งเขาว่า เจ้าทาสชั่ว ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว

    สิมโพยมองเขาแล้วพูดว่า สุนัขต่ำช้า นี่ก็เพราะมีคนชั่วอย่างเจ้า มณฑล กิจิ๋ว ของข้าจึงล่มสลาย ข้าเสียใจที่ข้าไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ แต่เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะตัดสินให้ข้าอยู่หรือตาย

    ไม่นานโจโฉก็สั่งให้นำตัวสิมโพยไปหาเขาแล้วพูดว่า เมื่อข้าขี่ม้าเฉียดใกล้เมือง เจ้ายิงธนูหลายดอกเข้าใส่ข้า

    ข้าเสียใจยิ่งนักที่ยิงใส่น้อยเกินไป สิมโพยตอบ

    เจ้าเคยเป็นผู้ภักดีต่อตระกูลอ้วน โจโฉว่า เจ้าจะเปลี่ยนใจมารับใช้ข้าหรือไม่ โจโฉต้องการให้เขามีชีวิตอยู่ แต่สิมโพยหยิ่งในศักดิ์ศรีและยืนกรานเช่นเดิม เขาไม่ยอมก้มหัวหรือขอร้องให้ยกเว้นโทษจากโจโฉ ในขณะที่ ซินผี และคนอื่น ๆ ต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญขอร้องให้โจโฉประหารสิมโพย ดังนั้นสิมโพยจึงถูกประหาร

    Zhang Ziqian ขุนนางในมณฑล กิจิ๋ว ผู้ยอมแพ้ก่อนหน้านี้ เคยเป็นศัตรูกับสิมโพยมานาน เขาหัวเราะและพูดกับสิมโพยว่า ข้าอยู่เหนือกว่าเจ้า สิมโพย

    สิมโพยตะโกนตอบไปว่า เจ้าเป็นคนทรยศ ข้าเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ แม้ว่าข้าต้องตาย ข้าก็ไม่ขอแลกฐานะกับเจ้า เมื่อเขามาถึงลานประหาร เขาขอร้องต่อเพชรฆาตขอหันหน้าไปทางทิศเหนือโดยบอกว่า นายของข้าอยู่ที่ทิศนั้น

    โจโฉมาทำพิธีกราบไหว้หลุมศพของอ้วนเสี้ยว ร้องไห้รำลึกถึงเขา โจโฉอุปการะภรรยาของอ้วนเสี้ยวและมอบทรัพย์สินของตระกูลอ้วนคืนให้แก่พวกเขา และยังมอบผ้าไหมและเสื้อผ้าแก่พวกเขา พวกเขายังได้รับเสบียงอาหารของทางการ

    ก่อนหน้านั้น เมื่ออ้วนเสี้ยวและโจโฉก่อตั้งกองทัพต่อสู้กับตั๋งโต๊ะในปี 190 อ้วนเสี้ยวถามโจโฉว่า ถ้าภารกิจครั้งนี้ไม่สำเร็จ ท่านจะไปยึดดินแดนไหนอาศัย

    แล้วความเห็นท่านเป็นอย่างไร โจโฉถาม

    ทางตอนใต้ อ้วนเสี้ยวตอบ ข้าจะครองดินแดนแม่น้ำเหลือง และในทางเหนือดินแดนข้าจะครอบคลุมไปถึง Yan และ Dai หลังจากนั้นข้าจะรวบรวมพวกชนเผ่าคนเถื่อนต่าง ๆ ทางตอนเหลือแล้วมุ่งหน้าลงใต้ต่อสู้เพื่อแผ่นดิน ข้าจะทำเช่นนั้น

    ตัวข้า โจโฉพูด จะใช้คนดีมีความสามารถของแผ่นดิน ข้าจะปกครองพวกเขาอย่างภักดีและซื่อสัตย์ วิธีนี้ข้าจะจัดการได้ทุกสิ่ง

    ในเดือนที่แปด มีราชโองการแต่งตั้งให้โจโฉเป็นผู้ปกครองมณฑล กิจิ๋ว แต่โจโฉไม่รับตำแหน่งนั้น เขายังคงใช้ตำแหน่งผู้ปกครองมณฑล กุนจิ๋ว ตามเดิม

    ก่อนหน้านั้น อ้วนซงส่ง Qian Zhao ไปยัง Shangdang เพื่อจัดเตรียมเสบียงอาหารสำหรับกองทัพ ก่อนที่เขาจะกลับมาอ้วนซงได้พ่ายแพ้ต้องหนีไปที่ Zhongshan

    Qian Zhao แนะนำ โกกัน ว่าเขาควรจะนำกองทัพของมณฑล เป๊งจิ๋ว ไปช่วยอ้วนซง แล้วรวมทัพเฝ้าดูสถานการณ์ โกกัน ปฏิเสธ ดังนั้น Qian Zhao จึงมุ่งหน้าไปตะวันออกหาโจโฉ แล้วโจโฉก็แต่งตั้งเขาเป็นขุนนางของมณฑล กิจิ๋ว เหมือนเดิม

    โจโฉยังแต่งตั้ง ซุนต่ำ เป็นนายทหารคนสนิทแห่งมณฑล กิจิ๋ว

    โจโฉพูดกับ ซุนต่ำ ว่า ข้าได้ดูทะเบียนราษฎร์ ในบันทึกระบุไว้ว่ามีถึงสามแสนครอบครัว ที่นี่ถือว่าเป็นมณฑลใหญ่

    แผ่นดินได้ล่มสลายลง ซุนต่ำ ตอบ แล้วสองพี่น้องตระกูลอ้วนก็ได้นำกองทัพต่อสู้กันเอง ผู้คนในมณฑล กิจิ๋ว ต่างล้มตายจำนวนมาก ข้าไม่เคยได้ยินท่านไต่ถามถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านหรือจะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ของพวกเขาอย่างไร หนำซ้ำท่านยังคิดถึงแต่จำนวนคนที่จะเกณฑ์ทหาร ท่านคิดจริง ๆ หรือว่านี่คือคำถามที่สำคัญที่สุด นี่คือสิ่งที่ประชาชนชาว กิจิ๋ว ได้คาดหวังจากท่านหรือ โจโฉละอายใจแล้วก็ขอบคุณเขา

    เพราะว่าความสำเร็จของเขา เขาฮิวจึงหยิ่งยโสโอหัง ครั้งหนึ่งในที่ประชุมขุนนางของโจโฉ เขาฮิวเรียกชื่อสมัยเด็กของโจโฉ (ชื่อสมัยเด็กของโจโฉคือ Aman) แล้วพูดว่า สำหรับข้าแล้ว ตัวท่านยังไม่เคยได้ครอบครองมณฑล กิจิ๋ว โจโฉหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านพูดได้ถูกต้อง แต่เมื่อเขาฮิวทำตัวน่ารำคาญขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดโจโฉก็ฆ่าเขาเสีย

    ในฤดูหนาวเดือนที่สิบ มีดาวหางปรากฏในกลุ่มดาวบ่อน้ำตะวันออก

    โกกัน ยอมแพ้มอบมณฑล เป๊งจิ๋ว แก่โจโฉ โจโฉแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ตรวจการมณฑล

    ในขณะที่โจโฉล้อมเมือง Ye อ้วนถำถือโอกาสยึดเมือง Ganling Anping Bohai และ Hejian เขายังโจมตีอ้วนซงที่ Zhongshan อ้วนซงพ่ายแพ้หนีไปอยู่กับอ้วนฮีที่ Gu’an อ้วนถำรวบรวมกองทัพของอ้วนซงแล้วกลับมาตั้งค่ายที่ Longcou

    โจโฉเขียนจดหมายไปหาอ้วนถำ ขอโทษที่ต้องยุติข้อตกลง โจโฉยกเลิกการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เขาส่งตัวลูกสาวอ้วนถำกลับ แล้วยกทัพไปโจมตีเขา

    ในเดือนที่สิบสอง กองทัพโจโฉอยู่ที่ Qimen อ้วนถำยึด เพงหงวนก้วน ได้ แต่ยกทัพกลับไปตั้งมั่นที่ลำพี ตั้งค่ายริมแม่น้ำ Qing

    โจโฉมาถึง เพงหงวนก้วน แล้วจัดตั้งแม่ทัพควบคุมหัวเมืองต่าง ๆ

    โจโฉแนะนำให้แต่งตั้ง กองซุนตู้ เป็นแม่ทัพผู้หนักแน่นและสง่างามพร้อมด้วยยศ Marquis แห่งอำเภอ Yongning ข้าปกครอง เลียวตั๋ง เหมือนอย่างเช่นท่านอ๋อง กองซุนตู้ ตอบ แล้ว Yongning เป็นสถานที่เช่นไร เขาจึงเก็บตราและพู่ประจำตำแหน่งในคลังอาวุธของเขา

    ในปีนั้นเอง กองซุนตู้ เสียชีวิต กองซุนของ ลูกชายของเขาได้ครองอำนาจแทน เขาแต่งตั้ง กองซุนก๋ง น้องชายเขาเป็น Marquis แห่ง Yongning

    เพราะว่า Qian Zhao มีอำนาจควบคุมพวกชนเผ่าภายใต้ตระกูลอ้วน โจโฉจึงส่งเขาไป Liucheng เพื่อควบคุมคนเถื่อนเหล่านั้น ในเวลานั้น อ๋อง Qiao (Supuyan) เตรียมทหารม้าห้าพันนายพร้อมที่จะส่งมาช่วยอ้วนถำ และ กองซุนของ ก็ส่ง ฮันต๋ง มามอบตราแต่งตั้งเขาเป็น Shanyu อ๋อง Qiao จัดการประชุมกับลูกน้องเขาโดยมี ฮันต๋ง เข้าร่วมด้วย

    อ๋อง Qiao ถาม Qiao Zhaoว่า ครั้งหนึ่งท่านอ้วนเสี้ยวเคยพูดว่าเขาได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้แต่งตั้งข้าเป็น Shanyu เวลานี้ท่านโจโฉก็พูดว่าจะบอกฮ่องเต้ให้แต่งตั้งข้าเป็น Shanyu และนอกจากนั้นยังมีขบวนแต่งตั้งมาจาก เลียวตั๋ง แล้วข้าควรจะเลือกใคร

    โดยทางการแล้ว Qian Zhaoตอบ ท่านอ้วนเสี้ยวมีที่ว่าการและอำนาจที่จะแต่งตั้ง ต่อมา เขาได้ขัดคำสั่งทางการ เวลานี้ท่านโจโฉจึงได้แทนที่เขา เขาเต็มใจที่จะจัดการให้ท่านได้รับตำแหน่ง Shanyu อย่างถูกต้อง ดินแดนป่าเถื่อนอย่าง เลียวตั๋ง มีดีอะไรมาแต่งตั้งตำแหน่งให้ท่านได้

    ฮันต๋ง พูดว่า เลียวตั๋ง ของข้าอยู่ทิศตะวันออกของทะเลที่กว้างใหญ่ มีทหารจำนวนเป็นล้านนาย และยังมีชนเผ่า Fuyu, Hui และ Mo ที่พร้อมจะช่วยเราออกรบ ทุกวันนี้ผู้แข็งแกร่งเป็นเจ้า แล้วโจโฉพิเศษอันใดกัน

    Qian Zhao ตะโกนใส่ ฮันต๋ง ว่า ท่านโจโฉนั้นซื่อสัตย์และเป็นที่น่าเคารพ ฉลาดและเข้าใจสถานการณ์ได้ดี ท่านโจโฉสนับสนุนฮ่องเต้ ปราบปรามโจรกบฏ แต่จิตใจดีต่อผู้ที่อ่อนน้อม เขามอบสันติสุขให้แก่ทั่วแผ่นดิน ตัวเจ้าทั้งนายและบ่าว ช่างโง่เง่าและขัดคำสั่งทางการ เจ้าซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดที่ห่างไกลของราชสำนัก และไม่เชื่อฟังคำสั่งราชสำนัก เจ้าต้องการแอบอ้างอำนาจในการแต่งตั้ง ก้าวก่ายในพระราชกิจของฮ่องเต้ เจ้าสมควรถูกประหารในทันที ใยเจ้ายังกล้าทำตัวหยาบช้าและกล่าวถ้อยคำดูถูกวีรบุรุษ เขาจับคอของ ฮันต๋ง ผลักเขาล้มลงแล้วชักดาบมาเตรียมตัดหัวเขา

    อ๋อง Qiao ตื่นตระหนกและหวาดกลัว ถึงกับวิ่งเท้าเปล่าไปยึดตัว Qian Zhao ขอความเมตตาให้ ฮันต๋ง ขุนนางทั้งหลายของเขาสีหน้าซีดเผือด

    Qian Zhao เดินกลับไปยังที่นั่งเขา และบอก อ๋อง Qiao และขุนนางของเขาว่าใครที่จะชนะและใครจะพ่ายแพ้ แล้วควรที่จะคล้อยตามผู้ใด ขุนนางทั้งหมดในที่นั้นลุกจากที่นั่ง คุกเข่าลงกับพื้นอย่างว่าง่ายแล้วก็รับฟังคำพูดของเขาด้วยความเคารพ แล้วท่านอ๋องจึงขอโทษต่อฑูตจาก เลียวตั๋ง แล้วก็เลิกทัพทหารม้าที่เขาจัดเตรียมไปช่วยเหลืออ้วนถำ

    อิหลำ แม่ทัพของเมืองตันเอี๋ยงและ ไต้อ้วน ผู้ช่วยได้ฆ่าซุนเซียงเจ้าเมืองตันเอี๋ยงตาย แม่ทัพซุนโห ตั้งค่ายอยู่ที่เมือง Jing จึงรีบเร่งมาที่ Wanling แต่ อิหลำ และ ไต้อ้วน ได้ฆ่าเขาเช่นกัน พวกเขาส่งพลนำสารไปหา เล่าฮก ผู้ตรวจการมณฑลยังจิ๋ว ที่แต่งตั้งโดยโจโฉ ว่าเขาควรจะมาที่ ลิหยง เพื่อที่เมืองตันเอี๋ยงจะได้เข้าร่วมกับเขา

    อิหลำ มายึดที่ทำว่าการของเมือง แล้วก็บีบบังคับภรรยาม่ายของซุนเซียง เคาฮูหยินให้แต่งงานกับเขา เคาฮูหยินทัดทานเขาบอกว่า ข้าขอร้องให้ท่านรอจนถึงสิ้นเดือน เมื่อข้าได้ทำพิธีกราบไหว้เสร็จและเลิกใส่ชุดไว้ทุกข์แล้ว แล้วข้าจะเชื่อฟังคำสั่งท่าน อิหลำ จึงยอมตกลง

    เคาฮูหยินได้ลอบส่งคนไปหา ซุนโก๋ เปาเอ๋ง และคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นขุนนางเก่าที่ซื่อสัตย์ของซุนเซียงว่าพวกเขาควรจะร่วมมือกันกำจัด อิหลำ ซุนโก๋ และ เปาเอ๋ง ร่ำไห้และให้คำมั่นสัญญา พวกเขาเรียกตัวคนยี่สิบคนที่เคยรับใช้ซุนเซียงและได้รับความกรุณาจากซุนเซียงมาก่อน พวกเขาทำสัตย์สาบานและวางแผนเตรียมลงมือ

    เมื่อวันสิ้นเดือนมาถึง พิธีกราบไหว้ถูกจัดขึ้น เคาฮูหยินได้ร้องไห้คร่ำครวญ แต่นางก็หยุดร้องไห้แล้วก็ถอดชุดไว้ทุกข์ออกอาบน้ำชำระร่างกายด้วยเครื่องหอม นางพูดคุยและหัวเราะทำทีว่ามีความสุข ขุนนางน้อยใหญ่ของเมืองต่างเศร้าโศกเสียใจ จึงประหลาดใจที่นางทำตัวเช่นนั้น อิหลำ ได้ลอบสอดแนมนางจึงเชื่อว่านางไว้ใจได้

    เคาฮูหยินได้เรียก ซุนโก๋ และ เปาเอ๋ง มารอในห้องของนางทันทีที่นางส่งคนไปเชิญ อิหลำ นางเดินไปต้อนรับเขา โค้งคำนับ แล้วเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ท่านทั้งหลาย ปรากฏกายได้ ซุนโก๋ และ เปาเอ๋ง ออกมาด้วยกันและฆ่า อิหลำ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ไปฆ่า ไต้อ้วน

    เคาฮูหยินเปลี่ยนเครื่องแต่งกายนางกลับเป็นชุดไว้ทุกข์เหมือนเดิมและนำหัว อิหลำ และ ไต้อ้วน มาเซ่นไหว้หน้าหลุมศพของซุนเซียง ทั้งกองทัพต่างตัวสั่นและหวาดกลัว

    เมื่อซุนกวนรู้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้น เขาจึงมุ่งหน้ากลับมาจาก Jiaoqiu ซุนกวนมาถึงตันเอี๋ยงและจัดการกับพรรคพวกของ อิหลำ และ ไต้อ้วน ซุนโก๋ และ เปาเอ๋ง ได้รับแต่งตั้งเป็นนายทหาร และผู้ติดตามของพวกเขาต่างได้รับรางวัลด้วย

    ซุนเสียว บุตรของซุนโห อายุสิบเจ็ดปี เขารวบรวมกำลังของซุนโหมาตั้งค่ายที่เมือง Jing ทันทีที่ซุนกวนนำทัพมาที่ง่อ เขามาที่ค่ายในตอนค่ำและแกล้งทำท่ายกพลโจมตี ทหารทั้งหมดของซุนกวนต่างมาป้องกันกำแพงเมือง พวกเขาเรียกกำลังหนุน เตรียมพร้อมและเฝ้าระวัง พวกเขาตะโกนเรียกพวกตัวเองและยิงธนูหลายนัดใส่คนที่อยู่นอกเมือง มีคนอธิบายให้ซุนกวนฟังว่าซุนเสียวเป็นใคร พวกเขาจึงหยุดการสู้รบ วันต่อมา ซุนกวนได้พบซุนเสียวและได้แต่งตั้งเขาเป็นขุนพลผู้ดำรงความกล้าหาญพร้อมด้วยอำนาจสั่งการกองทัพของบิดาเขา
    Sanguo in Thai Language

    All informations about Sanguo in this website was translated from other sanguo websites. Main informations are from asianstudies.anu.edu.au by Adjunct Professor Rafe de Crespigny, wikipedia.org and kongming.net. It takes almost a year for me to completed all informations, I hope Sanguo fan in Thailand will like it.

    เนื้อหาเกี่ยวกับสามก๊กในเวบนี้ ผมแปลจากเวบที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสามก๊กภาษาอังกฤษ เนื้อหาส่วนหลักนั้นนำมาจาก ผลงานของ ศาสตราจารย์ Rafe De Crespigny โดยได้รับการอนุญาตจากตัวศาสตราจารย์ และทางมหาวิทยาลัย Australian National University โดยทางมหาวิทยาลัยขอให้ลงข้อความนี้

    1. the original English version was published by the Faculty of Asian Studies – Australian National University in 1996.
    1. บทความต้นฉบับภาษาอังกฤษนี้ ได้ถูกตีพิมพ์โดยคณะเอเชียนศึกษา มหาวิทยาลัย Australian National ในปี 1996

    2. This writer have the author’s permission to publish his work in translation.
    2. ผู้เขียนได้รับการอนุญาตจากผู้เขียนต้นฉบับนี้แล้วให้สามารถทำการเผยแพร่ผลงานแปลได้

    ตามความประสงค์ของทางมหาวิทยาลัย บทความบางส่วนแปลมาจากเวบ wikipedia.org และ kongming.net
     
  10. jack5487

    jack5487 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2006
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +186
    ศึกห้วนเสีย

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ศึกห้วนเสีย (The Battle of Fancheng ปี ค.ศ. 219) เป็นศึกที่มีชื่อเสียงมากอีกศึกหนึ่งในสามก๊ก เป็นสงครามระหว่างจ๊กและวุย ตามด้วยสงครามระหว่างจ๊กและง่อ

    ศึกนี้เริ่มต้นขึ้นจาก กวนอูที่อยู่ที่เกงจิ๋วได้เกณฑ์ทหารซ่องสุมผู้คนมากขึ้น ในขณะเดียวกันในเมืองหลวง ขุนนางชื่อกิมหันเชื่อว่าฮ่องเต้นั่นอาจถูกบังคับให้สละราชสมบัติได้ทุกเมื่อ จึงวางแผนกับ เกงจี อุยหลง หมอเกียดเป๋งและบุตรชายเกียดเมา เกียดบก พวกเขาวางแผนฆ่าอองปิดขุนนางที่โจโฉแต่งตั้งให้บริหารเมืองฮูโต่ หลังจากนั้นก็จะใช้ฮ่องเต้เป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้านโจโฉ แล้วส่งสารไปให้กวนอูนำทัพโจมตีขึ้นมาจากทางใต้

    พวกกิมหันก่อการไม่สำเร็จ ถูกอองปิดตอบโต้จนพ่ายแพ้ อองปิดสังหารพวกเขา แต่กวนอูก็ได้เตรียมการที่โจมตีเมืองหลวง

    ซุนกวนนำทัพโจมตีหับป๋า ทำให้ทหารหลายมณฑลของวุยล้วนต้องมารักษาการณ์ตามชายแดนในฮวยหนาน

    บุนฮุยผู้ตรวจการมณฑลยังจิ๋วพูดกับเป่ยเขียนผู้ตรวจการมณฑลกุนจิ๋ว ว่า แม้ว่าข้าศึกจะมาโจมตีเรา แต่เราไม่มีสิ่งใดต้องกังวล แต่อีกทางหนึ่งเมื่อเกิดน้ำหลากจากแม่น้ำท่วมเข้ามา โจหยินซึ่งปล่อยทหารไม่เตรียมการอะไร และไม่มีแผนการล่วงหน้าระยะยาวสำหรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ กวนอูนั้นกล้าหาญและเฉลียวฉลาด ถ้าเขายกทัพมาโจมตี ข้ากลัวว่าแม่ทัพปราบทิศใต้ (โจหยิน)จะพบกับความยากลำบาก

    หลังจากที่เล่าปี่ยึดฮันต๋งได้ และแต่งตั้งตัวเองเป็นฮันต๋งอ๋อง เขาได้เลื่อนตำแหน่งให้กับขุนนางของเขาทุกคน โดยเล่าปี่แต่งตั้งให้กวนอูเป็นแม่ทัพหน้า หลังจากนั้นนั้นกวนอูได้ตั้งบิฮองเจ้าเมืองลำกุ๋น ให้ป้องกันกังเหลงและแม่ทัพเปาสูหยิน ให้ป้องกันกองอั๋น ในขณะที่เขานำทัพโจมตีโจหยินที่อ้วนเซีย โจหยินรักษาการณ์อยู่ ในขณะที่แม่ทัพซ้ายอิกิ๋มและแม่ทัพผู้สนับสนุนความชอบธรรมบังเต็ก และคนอื่นตั้งค่ายอยู่ทางเหนือของ อ้วนเซีย

    ในเดือนที่แปดเกิดฝนตกหนัก ระดับน้ำขึ้นสูงจนพังตลิ่งของแม่น้ำฮันซุย แผ่นดินแถบนั้นถูกน้ำท่วมสูงหลายเมตร กองทัพทั้งเจ็ดของอิกิ๋มและพวกถูกน้ำท่วมเล่นงาน อิกิ๋มและทหารของเขาไต่ขึ้นที่สูงเพื่อหลบน้ำ ทหารของกวนอูล่องเรือใหญ่ไปโจมตีพวกเขา ด้วยความเหนื่อยล้าแสนสาหัส อิกิ๋มและพวกต่างยอมจำนน

    บังเต็กอยู่ที่เขื่อนดิน เขาสวมสุดเกราะและถือคันธนู เขายิงธนูเข้าทหารกวนอูอย่างไม่พลาดเป้า ต่อสู้ต้านทานตั้งแต่เช้าจนเลยเที่ยงวัน กวนอูโหมโจมตีอย่างรุนแรง และลูกธนูของบังเต็กก็หมดลง แต่เขายังพยายามสู้ต่อโดยใช้มือเปล่า

    แม้ว่าน้ำหลากจะท่วมสูงขึ้น แต่บังเต็กก็ยังสู้โดยปราศจากความกลัว แต่ทหารของเขาทั้งหมดยอมจำนน แล้วบังเต็กก็ลงเรือเล็กเพื่อกลับไปยังค่ายของโจหยิน แต่น้ำก็ยังท่วมสูงขึ้น แล้วเรือของเขาก็พลิกล่มลง ทำให้อาวุธเขาสูญหายหมด เขาเกาะเรือที่พลิกคว่ำท่ามกลางคลื่นที่ขึ้นสูงไปมา แล้วก็ถูกกวนอูจับตัวได้ในที่สุด

    บังเต็กเดินมาที่หน้ากวนอูไม่ยอมโค้งคำนับ กวนอูพูดกับเขาว่า ท่านมีลูกพี่ลูกน้องอยู่ที่ฮันต๋ง และข้าเองก็ยินที่จะได้ท่านมาเป็นลูกน้อง เหตุใดท่านจึงไม่ยอมจำนนเร็วกว่านี้

    บังเต็กสบถออกว่ามาเจ้าไพร่สถุล เหตุใดจึงพูดถึงเรื่องการยอมจำนน ท่านวุยอ๋องมีกำลังทหารกว่าหนึ่งล้าน และอำนาจของเขาสั่นสะเทือนทั่วแผ่นดิน เล่าปี่ของเจ้านั้นไม่มีสิ่งใดพิเศษเลย เขาจะเทียบกับนายท่านของข้าได้อย่างไร ข้าขอยอมตายดีกว่าที่จะเป็นผู้นำของโจรกบฏ กวนอูจึงฆ่าเขาเสีย

    เมื่อโจโฉรู้ข่าวเขาพูดว่าข้ารู้จักอิกิ๋มมาสามสิบปี ข้าไม่เชื่อเลยว่าเมื่ออันตรายมาถึง เขาจะแสดงความต่ำต้อยกว่าบังเต๊ก โจโฉแต่งตั้งบุตรชายสองคนของบังเต็กเป็นพระยา เป็นรางวัลสำหรับความภักดีของบังเต็ก

    กวนอูโจมตีเมืองอ้วนเซียอย่างหนัก ป้อมปราการล้วนแต่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ป้อมซึ่งทำจากดินเริ่มอ่อนตัวและละลายไปกับน้ำ กองทัพจึงวิตกและหวาดกลัว บางคนพูดกับโจหยินว่า สถานการณ์ยากเกินจะรับมือได้แล้ว ในขณะที่กวนอูยังไม่ได้ปิดล้อมเมือง ให้ท่านฉวยโอกาสนี้ ลงเรือเล็กแล้วหนีไปในยามค่ำเถิด

    หมันทอง เจ้าเมืองยีหลำ พูดว่า น้ำหลากจากภูเขานั้นมาอย่างรวดเร็ว และเราสามารถหวังได้ว่าระดับน้ำจะลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ข้าได้ยินมาว่า กวนอูได้ส่งทหารหน่วยย่อยไปที่เจีย พื้นที่ด้านใต้ของเมืองฮูโต๋ล้วนแต่ถูกรุกราน เหตุผลที่กวนอูยังไม่เดินทัพต่อไป เพราะว่าเขากลัวว่ากองทัพของเราจะตลบตีเขาจากด้านหลัง ทันทีที่เราหนีไป เราจะเสียทุกสิ่งทางใต้ของแม่น้ำใหญ่ ท่านต้องอยู่ที่นี่

    ดีมาก โจหยินเห็นด้วย เขานำม้าขาวมาถ่วงน้ำบูชาแล้วทำสัญญาพร้อมทหารทั้งกองทัพว่าพวกเขาจะร่วมใจกันต่อสู้อย่างมั่นคง มีทหารและม้าในเมืองนั้นหลายพัน แต่ป้อมปราการต่าง ๆ สูงกว่าเมืองเพียงไม่กี่ฟุต กวนอูล่องเรือของเราไปที่กำแพงเมือง สร้างวงล้อมขึ้นหลายชั้น แล้วเมืองก็ถูกตัดขาดจากภายนอก

    กวนอูยังส่งทหารอีกกองหนึ่งไปล้อมแม่ทัพลิเสียงที่ซงหยง ฮูซิ่วผู้ตรวจการมณฑลเกงจิ๋วและฝุฟางเจ้าเมืองหนานเซียงต่างยอมจำนนทั้งคู่

    ซุนลอง ชาวเมืองหลูฮุนได้ก่อกบฏฆ่าขุนนางอาลักษณ์ของตำบลและลงใต้เข้าร่วมกับกวนอู กวนอูมอบตราตำแหน่งให้แก่เขารวมทั้งทหาร แล้วให้เขากลับไปเป็นโจรภูเขา ในดินแดนทางใต้มีผู้คนอื่นอีกที่เป็นพันธมิตรกับกวนอูหลังชายแดน

    อำนาจของกวนอูนั้นแข็งแกร่งขึ้นจนทำให้แผ่นดินจีนภาคกลางเริ่มหวั่นไหวกับอำนาจของเขา โจโฉเองยังเคยคิดว่าจะย้ายเมืองหลวงออกจากฮูโต๋เพื่อป้องกันการโจมตีของกวนอู

    สุมาอี้นายพันของกองทัพเฉิงเซี่ยงและขุนนางผู้น้อยในสังกัดตะวันตกและ เจียวเจ้ได้แนะนำโจโฉว่า อิกิ๋มและพวกนั้นพ่ายแพ้เพราะว่าน้ำท่วม ไม่ใช่การพ่ายแพ้ในการสู้รบ และนี่ก็ไม่ใช่อันตรายร้ายแรงต่อแผนใหญ่ของรัฐเรา เล่าปี่และซุนกวนนั้น แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิด แต่พวกเขาก็มีเรื่องบาดหมางส่วนตัว กวนอูนั้นเป็นคนทะเยอทะยาน แต่ซุนกวนย่อมไม่ปล่อยให้กวนอูทำการสำเร็จแน่

    ให้ท่านส่งคนไปหาซุนกวน สนับสนุนให้เขาโจมตีกวนอูทางด้านหลัง โดยสัญญาจะมอบศักดินาดินแดนทางตอนใต้ของแยงซีทั้งหมดให้แก่แล้ว แล้วทัพกวนอูที่ล้อมเมือง อ้วนเซีย ก็จะสลายไปเอง โจโฉยอมรับแผนการนี้

    ก่อนหน้านั้น โลซกได้แนะนำซุนกวนว่า ตราบใดที่โจโฉยังมีชีวิตอยู่ ให้รักษาสัมพันธ์กับกวนอูไว้ พวกเขาจึงไม่เคยตัดสัมพันธ์กับกวนอู แต่เมื่อลิบองขึ้นแทนตำแหน่งของโลซกและตั้งค่ายอยู่ที่ลกเค้า ลิบองรู้ว่ากวนอูนั้นเป็นแม่ทัพที่มักใหญ่ใฝ่สูงหวังจะครอบครองดินแดนทั้งหมดของเกงจิ๋ว กวนอูได้ครอบครองดินแดนเกงจิ๋วตอนบนทั้งหมดแล้ว จึงเป็นการยากที่จะป้องกันกวนอูได้

    ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างลับ ๆ กับซุนกวนว่า สั่งให้แม่ทัพผู้ปราบโจรคนชั่วซุนเกียวไปรักษาเมืองลำกุ๋น ให้พัวเจี้ยงยกทัพไปโปตี้ และส่งเจียวขิมนำทหารหมื่นคนคอยจู่โจมดินแยงซีตอนบนเพื่อรบกวนข้าศึก แล้วข้าจะนำทัพไปยึดซงหยงให้กับรัฐของเรา หลังจากนั้นเราจะต้องเกรงกลัวอะไรกับโจโฉ แล้วทำไมเราต้องพึ่งกวนอูด้วย

    ยิ่งกว่านั้น แม้ว่ากวนอูกับเล่าปี่จะคุยโวโอ้อวดความมีคุณธรรมของตนเอง แต่พวกเขานั้นเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ เราไม่สามารถไว้ใจพวกเขาได้ ที่กวนอูยังไม่หันมาเป็นศัตรูกับเราตอนนี้ก็เพราะว่าความดีและความเฉลียวฉลาดของท่าน และเพราะข้าและแม่ทัพคนอื่น ๆ ยังเฝ้าระวังเขาอยู่ ถ้าท่านไม่ลงมือในขณะที่เรามีโอกาส แล้ววันหนึ่งเมื่อเราอ่อนแอลง ถ้าท่านต้องการรวบรวมกำลังโจมตี ท่านก็ไม่มีทางทำได้แล้ว

    ซุนกวนถามขึ้นว่า ข้าตั้งใจที่จะยึดมณฑลชีจิ๋วก่อนแล้วค่อยจัดการกับกวนอู ท่านมีความเห็นอย่างไร

    ลิบองตอบว่า ในเวลาโจโฉนั้นอยู่ไกลไปทางเหนือของแม่น้ำเหลือง เขารวบรวมกำลังของมณฑลกุนจิ๋วและกิจิ๋ว และยังไม่มีเวลามาดูแลดินแดนตะวันออก ข้ารู้ข่าวมาว่ากองทัพที่ป้องกันมณฑลชีจิ๋วนั้นน้อยเกินกว่าที่จะต่อกรกับเราได้ ถ้าท่านยกทัพไปที่นั่น ท่านต้องสามารถยึดดินแดนนั้นได้แน่ แต่มณฑลชีจิ๋วนั้นเป็นที่ราบ ม้าศึกชั้นดีสามารถบุกมาได้

    ถ้าท่านยึดมณฑลชีจิ๋วในตอนนี้ มั่นใจได้เลยว่าไม่กี่วันโจโฉต้องยกทัพมาสู้กับเราแน่ แม้ว่าท่านจะทิ้งทหารไว้คอยรักษาเจ็ดแปดหมื่นคนก็ยังน่าวิตกอยู่ดี

    ทางที่ดีที่สุดคือการจัดการกวนอูและยึดดินแดนแม่น้ำแยงซี ท่านจะสามารถขยายดินแดนได้ดีกว่าการยึดมณฑลชีจิ๋วแน่ และดินแดนแถบแม่น้ำแยงซีนั้นสามารถป้องกันได้ง่ายกว่า ซุนกวนคิดว่าแผนของลิบองนั้นยอดเยี่ยมมาก

    ซุนกวนเคยเสนอการแต่งงานระหว่างบุตรชายเขากับลูกสาวของกวนอู แต่กวนอูดูถูกฑูตของเขาและปฏิเสธการแต่งงานนี้ ซุนกวนจึงโกรธมาก

    เมื่อกวนอูโจมตีอ้วนเซีย ลิบองได้ส่งสารมาหาซุนกวนว่ากวนอูยกทัพขึ้นเหนือไป แต่เขายังทิ้งทหารรักษาการณ์อย่างแน่นหนาไว้เบื้องหลัง เขาเป็นกังวลว่าข้าจะโจมตีเขาจากด้านหลัง

    ข้ามักจะล้มป่วยอยู่เสมอ ข้าจะขออนุญาตนำทหารบางส่วนกลับไปรักษาตัวที่เกี๋ยนเงียบ แล้วเราค่อยปล่อยข่าวไปว่าสุขภาพข้าไม่ดี เมื่อกวนอูรู้ข่าวเขาจะต้องถอนกำลังไปยังซงหยง ถ้าเรานำทัพใหญ่แล่นเรือทั้งกลางวันและกลางคืน และโจมตีในจุดที่เขาคาดไม่ถึง เราต้องยึดเมือง ลำกุ๋น และจับตัวกวนอูได้แน่

    แล้วลิบองจึงปล่อยข่าวว่าเขาล้มป่วยหนัก ซุนกวนส่งคำสั่งให้เขากลับมารักษาตัวที่เกี๋ยนเงียบ แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองได้ลอบวางแผนกันอย่างลับ ๆ

    ทันทีที่ลิบองมาถึงงอฮู ขุนพลผู้ส่งเสริมความภักดี ลกซุนได้พูดกับเขาว่า ท่านนั้นรักษาชายแดนต่อการคุกคามของกวนอู เหตุใดท่านจึงมายังที่นี่ แล้วนี่จะไม่เป็นเกิดก่อปัญหาในเราในเร็ววันนี้หรอกหรือ

    ท่านพูดได้ถูกต้องแล้ว ลิบองตอบแต่ว่าข้านั้นเจ็บป่วยหนักจริง ๆ

    กวนอูนั้นโอ้อวดในความกล้าหาญของเขา ลกซุนพูด และเขาก็ยังดูถูกผู้อื่น ความสำเร็จใหญ่ที่เขาพึ่งได้รับ ทำให้เขาภูมิใจในความฉลาดของตนและทำให้ยิ่งทะเยอทะยาน เขานำทัพใหญ่ขึ้นโจมตีทางเหนือ แต่ยังระแวงสงสัยในรัฐเราอยู่บ้าง เมื่อเขารู้ว่าท่านล้มป่วย เขาย่อมต้องเหลือทหารป้องกันเพียงน้อยนิด ถ้าเราโจมตีเขาในตอนนี้ เขาย่อมคาดไม่ถึง แล้วเราก็สามารถจัดการเขา เมื่อท่านลงใต้ไปหานายท่าน ท่านควรจะวางแผนการให้ดี

    กวนอูนั้นกล้าหาญและแข็งแกร่ง ลิบองตอบ ดังนั้นเป็นการยากที่จะจัดการเขา เขาได้ยึดครองมณฑลเกงจิ๋วและปกครองมณฑลอย่างดี เวลานี้ความพยายามของเขาเริ่มสัมฤทธิ์ผลแล้ว ขวัญกำลังใจและความแข็งแกร่งก็ทวีมากขึ้น มันไม่ง่ายที่จะจัดการกับเขา

    เมื่อลิบองมาถึงเมืองเกี๋ยนเงียบ ซุนกวนถามเขาว่า ใครที่ท่านคิดว่าเหมาะสมควรไปทำหน้าที่แทนท่าน

    ลิบองตอบว่า ลกซุนนั้นคิดการณ์ไกลและลึกซึ้ง เขาสามารถรับผิดชอบงานที่ใหญ่โตได้ ข้าเคยเห็นเขาวางแผนการต่าง ๆ เขามีความสามารถที่จะได้รับตำแหน่งใหญ่ได้ และเขายังไม่เป็นที่รู้จักนัก ดังนั้นกวนอูย่อมไม่สงสัยในตัวเขามากนัก เขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ถ้าท่านเลือกใช้เขา บอกเขาอย่าทำการใดให้น่าสงสัย แต่ให้แอบลาดตระเวนอย่างลับ ๆ แล้วเราจะชนะในที่สุด แล้วซุนกวนก็เรียกตัวลกซุนมาและแต่งตั้งเขาเป็นแม่ทัพรองและผู้ควบคุมกองทัพฝ่ายขวา แทนที่ลิบอง

    ลกซุนมาถึงยังลกเค้า เขาเขียนจดหมายไปหากวนอู ยกย่องสรรเสริญในความสำเร็จของกวนอู โดยลกซุนถ่อมตัวว่าไร้ความสามารถและทำให้ตัวเขาดูน่าเชื่อถือและซื่อสัตย์ต่อกวนอู กวนอูจึงรู้สึกสบายใจกับการมาของลกซุน และไม่ระแวงสงสัยอีกต่อไป เขานำทหารจำนวนมากขึ้น ๆ ไปยังเมือง อ้วนเซีย ลกซุนติดตามสถานการณ์ในทุกรายละเอียด และเขาเตรียมวางแผนที่จะจัดการกวนอู

    เมื่อกวนอูจับตัวอิกิ๋มและแม่ทัพคนอื่นได้ กวนอูได้เชลยศึกหลายหมื่นและม้าศึกจำนวนมาก เสบียงอาหารจึงร่อยหรออย่างรวดเร็ว กวนอูจึงยึดคลังเสบียงของซุนกวนที่เซียงกวน โดยไม่ขออนุญาตจากซุนกวน เมื่อซุนกวนรู้ข่าว เขาจึงนำทหารไปโจมตีกวนอู

    ซุนกวนตั้งใจจะแต่งตั้งแม่ทัพปราบคนชั่วซุนเกียวและลิบองเป็นแม่ทัพซ้ายขวาบัญชาการกองทัพ แต่ลิบองพูดว่า ถ้าท่านมั่นใจในตัวแม่ทัพปราบคนชั่ว โปรดให้อำนาจสิทธิ์ขาดในการคุมกองทัพแก่เขา แต่ถ้าท่านคิดว่าข้าเหมาะสมก็ขอให้แต่งตั้งข้า

    ครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อจิวยี่และเทียเภาเป็นผู้บัญชาการกองทัพซ้ายขวา พวกเขานำทหารเขาโจมตี กังเหลง จิวยี่นั้นมีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาด แต่เทียเภานั้นได้ร่วมตัดสินใจเช่นกัน เพราะยศที่สูงกว่า พวกเขามักจะไม่ลงรอยกัน และพวกเขาก็ได้ทำให้การใหญ่ของรัฐเราต้องเสียไปหลายครั้ง นี่เป็นเหมือนการเตือนใจเราได้ดี

    ซุนกวนเข้าใจได้ในทันที เขาขอบคุณลิบองแล้วพูดว่า ข้ามอบอำนาจสิทธิ์ขาดให้แก่ท่าน และข้าจะให้ซุนเกียวนั้นคอยสนับสนุนท่านอยู่ด้านหลัง

    เมื่อโจโฉกลับมาจากฮันต๋ง เขาได้ส่งแม่ทัพปราบอาชญากรซิหลงไปตั้งค่ายอยู่ที่เมืองอ้วนเซีย เพื่อสนับสนุนโจหยิน เมื่ออิกิ๋มและคนอื่นพ่ายแพ้ ซิหลงได้นำทัพมุ่งหน้ามาที่เนินหยางหลิง

    กวนอูส่งทหารไปตั้งค่ายอยู่ที่หยานเจิ้ง แต่ทันทีที่ซิหลงมาถึง เขาได้สร้างเนินดินและขุดคูค่ายเพื่อแสดงว่าเขาวางแผนที่จะตลบหลังทัพกวนอู ทหารกวนอูจึงเผาค่ายของเขาและหลบหนีไป แล้วซิหลงก็ได้ยึดหยานเจิ้ง และตั้งค่ายเป็นหน้ากระดานพร้อมเคลื่อนทัพไปอย่างช้า ๆ

    โจโฉส่ง เอียวงันไปช่วยซิหลงโดยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากองทัพของโจหยิน แม้ว่าทัพอื่น ๆ ของวุยจะยังไม่มาถึงและทหารของซิหลงก็จำนวนน้อยเกินกว่าที่จะทำลายวงล้อมของทัพกวนอู แต่ลูกน้องของเขาต่างแนะนำให้เขาเร่งไปช่วยโจหยิน

    เอียวงัน พูดกับพวกเขาว่า ข้าศึกนั้นได้ยึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญและน้ำท่วมก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ เราไม่มีทหารมากนัก ในขณะที่โจหยินเองก็ถูกตัดขาดและไม่สามารถร่วมกับทัพเราได้ การโจมตีในตอนนี้เป็นเรื่องลำบากทั้งทัพเราและทัพโจหยิน

    ก่อนที่จะเริ่มการต่อสู้ แผนที่ดีที่สุดคือการนำทัพเคลื่อนไปใกล้เพื่อกดดันวงล้อม และส่งสายลับลอบเข้าไปหาโจหยินเพื่อที่เขาจะวางใจได้ว่ากำลังช่วยเหลือมาถึงแล้วให้เขามีกำลังใจกระตุ้นทหารของเขา ข้าคำนวณแล้วว่าอีกไม่เกินสิบวัน ทัพใหญ่ที่จะมาช่วยเหลือจากทางเหนือจะมาถึง และโจหยินสามารถยืนหยัดสู้ถึงตอนนั้นได้แน่ แล้วเราค่อยโจมตีพร้อมกัน ข้าศึกจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน ถ้ามีใครต้องถูกลงโทษเพราะช่วยเหลือช้าเกินไป ข้าขอรับโทษนั้นไว้เพียงคนเดียว

    เหล่านายทหารจึงรู้สึกยินดี และซิหลงก็ได้ตั้งค่ายของเขาห่างจากการปิดล้อมของกวนอูสามสิบฟุต เขาสั่งให้ขุดอุโมงเข้าเมืองและยิงธนูส่งจดหมายเข้าไป ดังนั้นซิหลงและโจหยินจึงมีการติดต่อกันหลายครั้ง

    ซุนกวนเขียนจดหมายถึงโจโฉ ขออนุญาตให้เขานำทัพเข้าโจมตีกวนอู แต่ขอร้องให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับเพื่อกวนอูจะได้ไม่มีโอกาสเตรียมตัวป้องกันการโจมตีจากเขา

    โจโฉปรึกษาเรื่องนี้กับเสนาบดีของเขา และทุกคนเห็นด้วยว่าเขาควรเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ตังเจี๋ยวพูดว่า เรื่องการศึกเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม และเราต้องเลือกแผนที่ดีสุดตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ให้ท่านตกลงสัญญากับซุนกวนว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ให้ทำเป็นแผนการรั่วไหล เมื่อกวนอูรู้ข่าวว่าซุนกวนยกทัพมา เขาจะต้องกลับไปป้องกันตัวเอง แล้วการปิดล้อมก็จะทลายลงอย่างรวดเร็ว แล้วเราก็จะเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ ชักใยศัตรูสองคนให้โจมตีกันเอง ปล่อยให้เรานั่งดูและรอคอยจนกว่าพวกเขาจะอ่อนแรง

    ถ้าเราเก็บแผนการซุนกวนเป็นความลับ ซุนกวนก็จะได้สิ่งที่เขาต้องการ นี่ไม่ใช่แผนที่ดีเลย

    ยิ่งกว่านั้น ทหารในวงล้อมนั้นยังไม่รู้ว่าทัพช่วยเหลือกำลังเดินทางไป และข้าคาดการณ์ว่าเสบียงอาหารของพวกเขาย่อมเหลือน้อยและพวกเขาย่อมเป็นกังวล จะเป็นหายนะสำหรับเราถ้าพวกเขาตัดสินใจยอมจำนน

    แผนดีที่สุดคือการปล่อยข่าวให้รั่วไหลออกไป กวนอูนั้นเป็นคนหัวดื้อ เขาย่อมคิดว่าตัวเองสามารถรับมือศึกจากสองทางในเวลาเดียวกันได้ เขาจะไม่ถอยทัพอย่างรวดเร็วแน่

    เยี่ยมมาก โจโฉพูดขึ้น แล้วเขาจึงสั่งให้ซิหลงนำจดหมายของกวนอูไปให้ทัพของโจหยินและค่ายของกวนอู เมื่อทหารในวงล้อมรู้ข่าว พวกเขาจึงมีกำลังใจเพิ่มขึ้นเป็นร้อย ๆ เท่าทีเดียว ในขณะที่กวนอูนั้นสงสัยว่านี่จะเป็นแผนลวงของโจโฉ ดังนั้นเขาจึงไม่ถอยทัพ

    โจโฉวางแผนที่จะนำทัพลงใต้จากลกเอี๋ยงเพื่อช่วยโจหยิน ขุนนางของเขาทั้งหมดแนะนำว่า ขอให้ท่านวุยอ๋องไปช่วยเหลือโดยเร็ว มิฉะนั้นพวกเขาต้องพ่ายแพ้แน่ มีเพียงขุนนางท้องพระโรง หองไก่ ที่ถามว่า ท่านอ๋องเชื่อว่าโจหยินและแม่ทัพคนอื่นสามารถรับมือสถานการณ์นี้ได้หรือไม่

    โจโฉตอบว่า พวกเขาสามารถรับมือได้ แล้วท่านอ๋องกลัวว่าแม่ทัพทั้งสอง (โจหยินและซิหลง) จะไม่ใช้ความสามารถของพวกเขาอย่างเต็มที่อย่างนั้นหรือ โจโฉตอบอีกว่า ข้าไม่คิดเช่นนั้น หองไก่จึงถามว่าถ้าเช่นนั้น เหตุใดท่านอ๋องจึงต้องยกทัพไปช่วยเหลือด้วยตนเอง ข้ากลัวว่าข้าศึกจะมีจำนวนมากเกินไปโจโฉพูด และกองทัพซิหลงจะอยู่ในอันตราย

    หองไก่จึงพูดต่อว่าเวลานี้โจหยินและพวกตกอยู่ในการปิดล้อมอย่างแน่นหนา แต่พวกเขาก็ยังมีชีวิตรอดและไม่ยอมทรยศ นี่ก็เพราะว่าท่านอ๋องได้แสดงความแข็งแกร่งจากที่นี่โดยเชื่อใจไม่ไปช่วยเหลือ พวกเขายืนหยัดสู้ด้วยโอกาสเพียงหนึ่งในพัน และมีขวัญกำลังใจยอมสู้ตาย

    ถ้าทหารที่โดนปิดล้อมยอมที่จะสู้จนตาย และภายนอกก็มีทัพใหญ่มาช่วยเหลือ แล้วท่านอ๋องก็ยังอยู่ณที่เมืองหลวงเพื่อแสดงให้รู้ว่าท่านยังมีกองทัพเหลืออยู่เป็นจำนวนมากที่พร้อมจะส่งไปช่วย ทำไมท่านต้องไปด้วยตัวเอง และแสดงให้คนอื่นรู้ว่าท่านกลัวว่ามีโอกาสที่จะพ่ายแพ้ด้วย

    โจโฉพิจารณาว่าข้อเสนอนี้ยอดเยี่ยม ดังนั้นเขาจึงหยุดทัพของเขาไว้ที่เนินมอ และส่งหยินชูและจูไก่พร้อมทหารสิบหน่วยไปช่วยเหลือซิหลง

    กวนอูตั้งศูนย์บัญชาการของเขาที่จุดสำคัญในการปิดล้อม และค่ายอื่น ๆ บนเนินเขาสี่แห่ง ซิหลงปล่อยข่าวลือว่า เขาพยายามที่จะโจมตีค่ายหลักของกวนอู แต่กลับไปโจมตีค่ายบนเนินเขาสี่แห่ง เมื่อกวนอูเห็นค่ายพวกนั้นอยู่ในอันตราย เขาจึงนำทหารห้าพันคนไปช่วยเหลือ ซิหลงโจมตีพวกเขาจนกวนอูต้องหลบหนีไป

    คูค่ายของค่ายหลักกวนอูนั้นมีขวากกั้นถึงสิบชั้น แต่ซิหลงได้ตามไล่โจมตีกวนอูไปจนถึงแนวป้องกันของเขา และโจมตีทัพกวนอูพ่ายแพ้ไป ฝุฟางและหูซิ่วตายในการรบทั้งคู่

    แล้วกวนอูก็ฝ่าวงล้อมหลบหนีไป แต่ทหารของเขาก็ยังอยู่ที่แม่น้ำเมี่ยนซุยและซงหยง ซึ่งถูกตัดขาดจากภายนอก

    เมื่อลิบองมาถึงซุนหยางเขาซ่อนทหารของเขาในท้องเรือและให้คนอื่นแต่งกายคล้ายกับพ่อค้า ล่องเรือทั้งกลางวันและกลางคืน พวกเขายึดหอสังเกตการณ์ของกวนอูที่คอยรักษาการตามแม่น้ำ ทีละหอ ๆ ดังนั้นกวนอูจึงไม่รู้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้

    บิฮองและเปาสูหยินนั้นไม่พอใจในการปฏิบัติที่กวนอูทำต่อพวกเขา เมื่อกวนอูยกทัพไป เขาทิ้งให้สองคนนี้คอยคุมการขนส่งเสบียง แต่การขนส่งเสบียงก็ล่าช้ากว่ากำหนด กวนอูจึงพูดว่า เมื่อข้ากลับไป ข้าจะไปลงโทษพวกเขา บิฮองและเปาสูหยินจึงหวาดกลัวมาก

    ลิบองสั่งให้ยีหวนอดีตผู้บัญชาการทหารม้าเขียนจดหมายไปหา เปาสูหยินที่กองอั๋น อธิบายสถานการณ์ เปาสูหยินยอมจำนนทันที ยีหวนพูดกับลิบองว่า การศึกครั้งนี้ต้องอาศัยการลงมืออย่างรอบคอบ เราควรจะทิ้งทหารไว้รักษาเมืองและนำตัวเปาสูหยินไปกับเราดังนั้น พวกเขาจึงนำตัวเปาสูหยินไปเมืองลำกุ๋นด้วย

    บิฮองรักษาเมืองกังเหลงเมืองหลวงของลำกุ๋น แต่เมื่อลิบองนำตัวเปาสูหยินให้เขาเห็น บิฮองก็เปิดประตูยอมแพ้ทันที

    ดังนั้นลิบองจึงยกทัพเข้าเมืองกังเหลง ปล่อยตัวอิกิ๋มและจับตัวคนในครอบครัวและผู้อาศัยของกวนอูและลูกน้องของเขา ลิบองปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี และสั่งการทหารห้ามปล้นสะดมและทำร้ายชาวเมืองอย่างเด็ดขาด

    ทหารคนหนึ่งของลิบองซึ่งเป็นคนจากเมืองเดียวกับเขา ได้ยึดเอาหมวกฟางกันฝนมาป้องกันชุดเกราะของกองทัพ แม้ว่าชุดเกราะนั้นจะเป็นสมบัติของกองทัพ ลิบองก็ยังตัดสินว่าทหารคนนั้นไม่เชื่อฟังคำสั่ง เขาไม่ยอมยกโทษให้แม้ว่าทหารคนนั้นจะเป็นคนเมืองเดียวกับเขา ลิบองร่ำไห้และสังหารเขา ในกองทัพจึงเกิดความกลัวและหวั่นวิตก ไม่มีทหารคนใดกล้าหยิบแม้แต่สิ่งของที่ตกอยู่ตามท้องถนน

    ลิบองส่งคนไปถามสิ่งของต่าง ๆ ที่ชาวเมืองขาดแคลนจากผู้เฒ่าของเมือง เขามอบยาให้กับคนเจ็บป่วย เสื้อผ้าและอาหารให้กับคนที่หิวโหยและหนาวเหน็บ ทรัพย์สมบัติของครอบครัวกวนอูนั้นถูกปิดตายไว้รอการมาถึงของซุนกวน

    ทันทีที่กวนอูรู้ข่าวว่าเมืองลำกุ๋นเสียให้กับลิบอง เขาเร่งนำทัพกลับลงใต้ โจหยินรวบรวมลูกน้องของเขาเพื่อประชุม และทุกคนพูดว่า กวนอูนั้นหวาดหวั่นและเสียขวัญ เราสามารถไล่ตามโจมตีและจัดการเขาได้

    แต่เอียวงันแย้งว่า ซุนกวนนั้นฉวยโอกาสที่ทหารที่ป้องกันเมืองของกวนอูเบาบาง ใช้โอกาสนั้นโจมตีกวนอูทางด้านหลังโดยที่กวนอูยังไม่ทันตั้งตัว

    เมื่อเขาเห็นว่ากวนอูยกทัพกลับมาช่วยเหลือเมือง เขาย่อมต้องกลัวว่าเราจะฉวยโอกาสนี้โจมตีทั้งเขาและกวนอู เขาจะต้องปฏิบัติต่อเราอย่างดีและร้องขอการสนับสนุนจากเรา แล้วเขาก็จะปล่อยให้เราโจมตีกวนอูแทน โดยที่ตัวเขานั่งดูสถานการณ์

    เวลานี้กวนอูถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวและกำลังหลบหนีไป เราควรจะใช้เขาให้กดดันซุนกวน ถ้าเรากดดันกวนอูมากไป ซุนกวนจะเปลี่ยนแผนหันมาเล่นงานเราทันที ท่านอ๋องนั้นต้องกังวลถึงจุดนี้แน่ ดังนั้นโจหยินจึงยกเลิกคำสั่งไล่ตามกวนอู

    เมื่อโจโฉรู้ข่าวว่ากวนอูหลบหนีไป เขากลัวว่าลูกน้องของเขาจะไล่โจมตีกวนอู เขาจึงส่งคำสั่งด่วนไปหาโจหยิน ซึ่งก็เป็นอย่างที่เอียวงันคาดการไว้

    กวนอูส่งคนนำสารหลายครั้งไปหาลิบองเพื่อสอบถามสถานการณ์ และลิบองได้รับรองคนเหล่านั้นอย่างนี้ ลิบองนำพวกเขาไปรอบเมืองและชาวเมืองต่างก็ฝากจดหมายคนนำสารให้ช่วยนำไปยังญาติพวกเขาที่อยู่ในทัพของกวนอู บางคนเขียนด้วยลายมือตัวเองเพื่อแสดงความน่าเชื่อถือ เมื่อคนของกวนอูกลับมา พวกเขาบอกเพื่อนของเขาถึงสิ่งที่เขาได้เห็น ดังนั้นทุกคนจึงรู้ว่าครอบครัวของเขานั้นไม่ตกอยู่ในอันตรายและพวกเขาได้รับการปฏิบัติดียิ่งกว่าในเวลาสงบสุขเสียอีก ทหารของกวนอูจึงไม่มีใจอยากที่จะต่อสู้

    ซุนกวนแต่งตั้งลิบองเป็นเจ้าเมืองลำกุ๋น แต่งตั้งให้เขาเป็นพระยาแห่งฉานหลิงและตบรางวัลเขาด้วยเงินล้านแท่ง และทองคำห้าร้อยชั่ง ลกซุนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองอิตู้

    ในเดือนที่สิบเอ็ดฟานยื่อเจ้าเมืองอิตู้ ที่เล่าปี่แต่งตั้ง ได้หลบหนีออกจากเมือง ขุนนางของเมืองและผู้นำเผ่าต่าง ๆ ได้ยอมแพ้ต่อลกซุน

    ลกซุนร้องขอตราตำแหน่งทองคำ เงินและทองแดง เพื่อมอบตำแหน่งชั่วคราวให้กับคนที่มาหาเขา แล้วลกซุนก็โจมตีฉานหยาน และขุนนางคนอื่นของจ๊ก รวมทั้งก๊กของจีกุ๋ย ทั้งหมดพ่ายแพ้และยอมจำนน ตั้งแต่เริ่มจนจบ มีคนถูกฆ่า ถูกจับเป็นเชลยศึก และยอมจำนนหลายหมื่นคน

    ซุนกวนแต่งตั้งลกซุนเป็นผู้บัญชาการกองทัพฝ่ายขวาและแม่ทัพผู้รักษาความสงบตะวันตก และแต่งตั้งศักดินา พระยาแห่งลกเสีย ลกซุนตั้งค่ายที่อิเหลงเพื่อป้องกันบริเวณปากแม่น้ำ

    กวนอูรู้แล้วว่าเขาถูกตัดขาด เขาจึงมุ่งหน้าไปตะวันตกรักษาเมือง เป๊กเสีย ซุนกวนส่งฑูตไปหาเขาให้ยอมจำนน กวนอูแสร้งทำเป็นว่าเขายอมตกลง แต่เขากลับตั้งธงศึกบนกำแพงเมืองให้ดูเหมือนมีทหารมากมายแล้วหลบหนีไป ทหารของเขาต่างกระจัดกระจายกันไปจนเขามีทหารม้าติดตามไม่ถึงสิบสองคน

    ซุนกวนส่งจูเหียนและพัวเจี้ยงให้ไล่ติดตามถนนทุกสาย ในเดือนที่สิบสอง ม้าตง นายทหารของพัวเจี้ยง ได้จับตัวกวนอูและกวนเป๋งบุตรชายเขาได้ที่เขาเจาสัน และสังหารพวกเขา ดังนั้นซุนกวนจึงยึดมณฑลเกงจิ๋วได้

    ก่อนหน้าที่ลิบองจะได้รับแต่งตั้งเป็นพระยา อาการเจ็บป่วยของเขาได้รุนแรงขึ้น ซุนกวนได้นำตัวเขามาพักอยู่ใกล้กับที่พักของเขา และพยายามหาทางรักษาตัวเขาทุกวิธี เมื่อหมอได้ทำการรักษาโดยการฝังเข็ม ซุนกวนก็พลอยรู้สึกเจ็บปวด และเศร้าเสียใจไปกับเขาด้วย

    ซุนกวนต้องการไปเยี่ยมลิบองบ่อย ๆ แต่เขากลัวว่าจะเป็นการรบกวนการรักษา ดังนั้นซุนกวนจึงแอบมองลิบองผ่านรูในกำแพง ถ้าเขาเห็นลิบองสามารถกินอะไรได้ เขาก็จะยิ้มให้กับคนรอบตัว หัวเราะและชวนคนอื่นคุยด้วย เมื่อลิบองไม่ยอมกินอาหาร ซุนกวนก็จะถอนใจกังวลจนไม่สามารถนอนได้ในตอนกลางคืน

    แล้วลิบองก็อาการดีขึ้น จึงมีการนิรโทษกรรมให้กับนักโทษเพื่อฉลองอาการดีขึ้นของลิบอง เสนาบดีทั้งหมดของซุนกวนต่างร่วมแสดงความยินดี แต่ในที่สุดลิบองก็ตายด้วยวัยสี่สิบสองปี ซุนกวนเศร้าโศกเสียใจและเจ็บปวดมาก เขาสั่งให้มีคนสามร้อยครัวเรือนคอยรักษาหลุมศพของลิบอง

    ซุนกวนขี่ม้าไปกับอิกิ๋ม ยีหวนตวาดใส่อิกิ๋มว่า เจ้าเป็นนักโทษที่ยอมจำนน เจ้ากล้าดียังไงถึงปล่อยให้หัวม้าของเจ้าอยู่ในระดับเดียวกับนายท่านของเรา แล้วเขาก็ยกแส้ของเขามาหวดอิกิ๋ม แต่ซุนกวนตะโกนห้ามเขาไว้

    ทันทีที่ซุนกวนกลับมาแสดงความภักดี โจโฉก็เรียกตัวเตียวเลี้ยวและคนอื่นกลับจากหับป๋ามาช่วยเหลืออ้วนเซีย แต่ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง การปิดล้อมก็ถูกทำลาย

    ซิหลงนำทัพของเขากลับไปที่เนินมอและโจโฉได้เดินทางออกมาล่วงหน้าเจ็ดลี้เพื่อต้อนรับเขา โจโฉจัดงานเลี้ยงใหญ่ ในระหว่างงานเลี้ยง โจโฉได้ยกจอกเหล้าหันไปแสดงความยินดีกับซิหลงพูดว่า นี่เป็นเพราะความสำเร็จของท่าน เราจึงสามารถป้องกันเมืองอ้วนเซียและซงหยงได้
    Sanguo in Thai Language

    All informations about Sanguo in this website was translated from other sanguo websites. Main informations are from asianstudies.anu.edu.au by Adjunct Professor Rafe de Crespigny, wikipedia.org and kongming.net. It takes almost a year for me to completed all informations, I hope Sanguo fan in Thailand will like it.

    เนื้อหาเกี่ยวกับสามก๊กในเวบนี้ ผมแปลจากเวบที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสามก๊กภาษาอังกฤษ เนื้อหาส่วนหลักนั้นนำมาจาก ผลงานของ ศาสตราจารย์ Rafe De Crespigny โดยได้รับการอนุญาตจากตัวศาสตราจารย์ และทางมหาวิทยาลัย Australian National University โดยทางมหาวิทยาลัยขอให้ลงข้อความนี้

    1. the original English version was published by the Faculty of Asian Studies – Australian National University in 1996.
    1. บทความต้นฉบับภาษาอังกฤษนี้ ได้ถูกตีพิมพ์โดยคณะเอเชียนศึกษา มหาวิทยาลัย Australian National ในปี 1996

    2. This writer have the author’s permission to publish his work in translation.
    2. ผู้เขียนได้รับการอนุญาตจากผู้เขียนต้นฉบับนี้แล้วให้สามารถทำการเผยแพร่ผลงานแปลได้

    ตามความประสงค์ของทางมหาวิทยาลัย บทความบางส่วนแปลมาจากเวบ wikipedia.org และ kongming.net
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 9 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, อาวุโสพรรคมาร, ลุงจิ๋ว </TD></TR></TBODY></TABLE>

    บุคคลทั่วไปเริ่มเยอะแล้วนะครับ เมื่อวานนี้เยอะจริงๆ

    ขอให้ได้สิ่งที่ดีๆกลับไปนะครับ

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระมหาโมคคัลลานเถระ
    http://www.dhammathai.org/monk/monk59.php

    ท่านมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์ผู้เป็นนายบ้านชื่อว่า โกลิตะ มารดาชื่อนางโมคคัลลี แต่เดิมชื่อว่า โกลิตะ ตามโคตรแห่งบิดา และถูกเรียกชื่อเพราะ เป็นบุตรนางโมคคัลลีว่า โมคคัลลานะ พอเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว พวกภิกษุเรียกกันว่า พระโมคคัลลานะ ทั้งนั้นท่านเกิดใน โกลิตคามไม่ห่างจากเมืองราชคฤห์ สมัยเป็นเด็กได้เป็นสหายที่รักใคร่กันกับอุปติสสมาณพ ผู้มีอายุคราวเดียวกัน และตระกูลของทั้งสองนั้นมั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์และบริวารเท่า ๆ กัน มีความคุ้นเคยสนิทสนมกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เมื่อโกลิตมาณพเจริญวัยขึ้นก็ได้ำปศึกษาเล่าเรียนศิลปะด้วยกันกับอุปติสสมาณพ แม้จะไปเที่ยวหรือไปทำธุระอะไรก็มักจะไปด้วยกันอยู่เสมอ จนกระทั่งเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาก็บวชพร้อมกัน ต่างกันแต่ว่าได้ดวงตาเห็นธรรมครั้งแรกนั้นไม่พร้อมกัน เรื่องราวต่าง ๆ ก่อนอุปสมบทคล้าย ๆ กับพระสารีบุตรตามที่ได้บรรยายมาก่อนหน้านี้
    หลังจากอุปสมบทแล้ว ๗ วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ เกิดความอ่อนใจนั่งโงกง่วงอยู่ พระบรมศาสดาเสด็จไปที่นั่น ทรงสั่งสอน และแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วง ๘ ประการ คือ
    ๑. โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างไร ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ เธอควรทำในใจถึงสัญญานั้นให้มาก จะละความง่วงนั้นได้
    ๒. หากยังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ตนได้ฟังและได้เรียนมาแล้วด้วยใจของเธอเอง จะละความง่วงได้
    ๓. หากยังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมตามที่ตนได้ฟังและได้เรียนมาโดยพิสดาร จะละความง่วงได้
    ๔. หากยังละไม่ได้ เธอควรยอนหูทั้งสองข้างและลูบด้วยฝ่ามือ จะละความง่วงได้
    ๕. หากยังละไม่ได้ เธอควรลุกข้นยืน ลูบนัยน์ตาด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์ จะละความง่วงได้
    ๖. หากยังละไม่ได้ เธอควรทำในใจถึงอาโลกสัญญา คือความสำคัญในแสงสว่าง ตั้งความสำคัญว่ากลางวันไว้ในใจ ให้เหมือนกันทั้งกลางวันและกลางคืน มีจิตใจแจ่มใสไม่มีอะไรห่อหุ้ม ทำจิตอันมรแสงสว่างให้เกิด จะละความง่วงได้
    ๗. หากยังละไม่ได้ เธอควรอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายว่าจะเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ มีจิตไม่คิดไปภายนอก จะละความง่วงได้
    ๘. หากยังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ คือนอนตะแคงเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ ตั้งใจว่าจะลุกขึ้น พอเธอตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้น ด้วยการตั้งใจว่าจะไม่ประกอบสุขในการนอน จะไม่ประกอบสุขในการเอนหลัง จะไม่ประกอบสุขในการเคลิ้มหลับ

    ครั้นตรัสสอนอุบาย สำหรับระงับความง่วงอย่างนี้แล้ว ทรงสั่งสอนให้สำเหนียกอย่างนี้ว่า "เราจักไม่ชูงวง (คือการถือตัว) เข้าไปสู้ตระกูล จักไม่พูดคำที่เป็นเหตุให้คนเถียงกัน เข้าใจผิดต่อกัน และตรัสสอนให้ยินดีด้วยที่นั่งที่นอนอันเงียบสงัด และควรเป็นอยู่ตามลำพังสมณวิสัยไ เมื่อตรัสสอนอย่างนี้แล้ว พระโมคคัลลานะกราบทูลถามว่า "โดยย่อข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วนเกษมจากโยคะธรรม เป็นพรหมจารีบุคคลยิ่งกว่าผู้อื่น มีที่สุดกว่าผู้อื่น ประเสริฐสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายไ พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า "โมคคัลลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไดเสดับแล้วว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เธอทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันวิเศษ ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงได้ เธอได้ประสบเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี เธอพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นด้วปัญญาเป็นเครื่องหน่าย เป็นเครื่องดับ เป็นเครื่องสละ คืนในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ย่อมไม่ยึดมั่น ถือมั่น สิ่งอะไร ๆ ในโลกไม่มีความสะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้ด้วยตนเอง และทราบชัดว่า ชาตินี้สิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้องทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะทำอย่างนี้อีกมิได้มี ว่าโดยย่อข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แหละ ภิกษุได้ชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา" ท่านพระโมคคัลลานะได้ปฏิบัติตามโอวาท ที่พระบรมศาสดาตรัสสั่งสอน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น
    ครั้นได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พระโมคคัลลานะได้เป็นกำลังสำคัญของพระบรมศาสดาในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ตามที่พระองค์ทรงดำริให้สำเร็จเพราะท่านเป็นผู้มีฤทธิ์มาก จึงได้รับการยกย่องจากสมเด็จพระบรมศาสดาว่า "เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางเป็นผู้มีฤทธิ์" และทรงยกย่องว่าเป็นคู่พระอัครสาวก คู่กันกับพระสารีบุตรในการอุปการะภิกษุผู้เข้ามาบวชในพระธรรมวินัย ดังกล่าวในประวัติพระสารีบุตรว่า สารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ยังบุตรให้เกิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว สารีบุตรย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล โมคคัลลานะแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องบน ที่สูงกว่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีคำยกย่องว่าพระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวา พระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกฝ่ายซ้าย พระธรรมเทศนา ของพระโมคคัลลานะไม่ค่อยจะมีที่เป็นโอวาทให้แก่ภิกษุสงฆ์มีเพียงแต่อนุมานสูตร ซึ่งว่าด้วยธรรมินทำให้คนเป็นผู้ว่ายากหรือง่าย ในมัฌิมนิกายกล่าวว่า ท่านพระโมคคัลลานะเข้าใจในนวกรรมคือการก่อสร้าง เพราะฉนั้นเมื่อนางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างบุพพาราม ในเมืองสาวัตถี พระบรมศาสดารับสั่งให้ท่านเป็นนวกัมมาธิฏฐายี คือผู้ควบคุมการก่อสร้าง
    ท่านพระโมคคัลลานะ ปรินิพพานก่อนพระบรมศาสดา มีเรื่องเล่าว่า ครั้งเมื่อท่านพำนักอยู่ ณ ตำบลกาฬศิลา แคว้นมคธ พวกเดียรถีย์ปรึกษากันว่า บรรดาลาภสักการะ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นแก่พระบรมศาสดาในครั้งนั้น ก็เพราะอาศัยพระโมคคัลลานะ เพราะสามารถนำข่าวในสวรรค์และนรกมาแจ้งแก่มนุษย์ ชักนำให้ประชาชนเกิดความเลื่อมใส ถ้าพวกเรากำจัดพระโมคคัลลานะเสียได้แล้ว ลัทธิของพวกเราก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น ลาภสักการะต่าง ๆ ก็จะมาหาพวกเราหมด เมื่อปรึกษากันดังนั้นแล้วจึงจ้างโจรผู้ร้ายให้ลอบฆ่าพระโมคคัลลานะ เมื่อโจรมาท่านพระโมคคัลลานะทราบเหตุนั้นจึงหนีไปเสียสองครั้ง ครั้งที่สามท่านพิจารณาเห็นว่ากรรมตามทันจึงไม่หนี พวกโจรผู้ร้ายจึงได้ทุบตีจนร่างกายแหลกเหลว ก็สำคัญว่าตายแล้ว จึงนำร่างท่าน ไปซ่อนไว้ในพุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วพากันหนีไป ท่านพระโมคคัลลานะยังไม่มรณะ เยียวยาอัตภาพให้หายด้วยกำลังฌานแล้วเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา แล้วทูลลากลับปรินิพพาน ณ ที่เกิดเหตุ ในวันเดือนดับ เดือน ๑๒ หลังพระสารีบุตร ๑๕ วัน สมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จไปทำฌาปนกิจแล้วรับสั่งให้นำอัฐิธาตุ มาก่อเจดีย์บรรจุไว้ ณ ที่ใกล้ประตูวัดเวฬุวัน

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติแห่งอนุพุทธ ๘๐ พระองค์
    คณะตรีมิตร และ คณาจาริโย
    Ab15

    พระโมคคัลลานเถระ

    http://www.geocities.com/piyainta/ab15.htm
    ชาติภูมิ <O:p</O:p

    ท่านพระโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์ผู้เป็นนายบ้าน ชื่อว่า โกลิตะ มารดาชื่อว่านางโมคคัลลี เดิมท่านชื่อว่า โกลิตะ ตามโคตรแห่งบิดา อีกอย่างหนึ่งเขาเรียกตามความที่เป็นบุตรนางโมคคัลลีว่า โมคคัลลานะ ท่านเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว พวกสพรหมจารีกเรียกท่านว่า โมคคัลลานะทั้งนั้น ท่านเกิดในตำบลบ้านไม่ห่างไกลจากกรุงราชคฤห์ ได้เป็นสหายที่รักใคร่กันกับอุปติสสมาณพ มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะตระกูลทั้งสองนั้นเป็นสหายติดต่อกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ และเป็นตระกูลที่มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์และบริวารเสมอกัน ครั้นเจริญวัยขึ้นแล้วได้เล่าเรียนศิลปะด้วยกัน แม้จะไปไหนหรือทำอะไรก็ไปและทำด้วยกัน จนกระทั่งเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ก็บวชพร้อมกัน ต่างกันแต่ว่า ได้ดวงตาเห็นธรรมครั้งแรกคนละคราว พึงทราบเรื่องราวตามที่กล่าวแล้วในประวัติของพระสารีบุตรเถระนั้น ในที่นี้จะกล่าวตั้งแต่อุปสมบทแล้วไปฯ
    <O:p</O:p
    เรียนอุบายระงับความง่วง<O:p</O:p
    จำเดิมแต่ท่านได้อุปสมบทในพระธรรมวินัยได้ ๗ วัน ไปทำความเพียรอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ อ่อนใจนั่งโงกง่วงอยู่ พระบรมศาสดาเสด็จไปที่นั้น ทรงสั่งสอนและแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วง มีประการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
    ๑. โมคคัลลานะ เมื่อท่านมีสัญญาอย่างไร ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ ท่านควรทำในใจถึงสัญญานั้นให้มากฯ
    ๒. ท่านควรตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ได้ฟังแล้ว และได้เรียนแล้ว ด้วยใจของท่านเอง
    ๓. ท่านควรสาธยายธรรมตามที่ตัวได้ฟังแล้ว และได้เรียนแล้วโดยพิสดารฯ
    ๔. ท่านควรยอนหูทั้งสองข้าง และลูบด้วยฝ่ามือฯ
    ๕. ท่านควรลุกขึ้นยืน ลูบนัยน์ตาด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักขัตรฤกษ์ฯ
    ๖. ท่านควรทำในใจถึงอาโลกสัญญา คือ ความสำคัญในแสงสว่าง ตั้งความสำคัญว่ากลางวันไว้ในใจ ให้เหมือนกันทั้งกลางวันและกลางคืน มีใจเปิดเผยฉะนี้ ไม่มีอะไรหุ้มห่อ ทำจิตอันมีแสงสว่างให้เกิดฯ
    ๗. ท่านควรอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายว่า จักเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ มีจิตไม่คิดไปภายนอกฯ
    ๘. ท่านควรสำเร็จสีหไสยาสน์ คือ นอนตะแคงข้างเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ ทำความหมายในอันที่จะลุกขึ้นไว้ในใจ พอท่านตื่นแล้ว ควรรีบลุกขึ้น
    <O:p</O:p
    ครั้นตรัสสอนอุบายสำหรับระงับความง่วงอย่างนี้แล้ว ทรงสั่งสอนให้สำเหนียกในใจอีกต่อไปว่า เราจักไม่ชูงวง (คือถือตัว) เข้าไปสู่ตระกูล เราจักไม่พูดคำซึ่งเป็นเหตุให้เถียงกัน เข้าใจผิดต่อกัน และตรัสสอนให้ยินดีด้วยที่นอนที่นั่งอันเงียบสงัด และควรเป็นที่อยู่ตามสำพังสมณวิสัย เมื่อตรัสสอนอย่างนี้แล้ว พระโมคคัลลานะกราบทูลถามว่า โดยย่อข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วนเกษมจากโยคธรรม เป็นพรหมจารีบุคคลยิ่งกว่าผู้อื่นที่มีสุดดีกว่าผู้อื่น ประเสริฐสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า โมคคัลลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับแล้วว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น เธอทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันวิเศษ ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงได้ เธอได้ประสบเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี เธอพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นด้วยปัญญา เป็นเครื่องหน่าย เป็นเครื่องดับ เป็นเครื่องสละคืนในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ย่อมไม่ถือมั่นสิ่งอะไร ๆ ในโลก ไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้ด้วยตนเอง และทราบชัดว่า ชาตินี้สิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่จำจะต้องทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะทำอย่างนี้อีกมิได้มีว่าโดยย่อ ข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้ว ในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา ท่านพระโมคคัลลานะ ปฏิบัติตามโอวาทที่พระบรมศาสดาตรัสสั่งสอน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นฯ
    <O:p</O:p
    เอตทัคคะ<O:p</O:p
    ครั้นพระโมคคัลลานะ ได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว ท่านได้เป็นกำลังสำคัญของพระบรมศาสดา ในอันยังกิจที่พระบรมศาสดาทรงดำริไว้ให้สำเต็จ เพราะท่านเป็นผู้มีฤทธานุภาพมาก จึงได้รับยกย่องจากสมเด็จพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางเป็นผู้มีฤทธิ์ และทรงยกย่องว่าเป็นคู่กันกับพระสารีบุตร ในอันอุปการะภิกษุผู้เข้ามาบวชในพระธรรมวินัยดังกล่าวแล้วในประวัติท่านพระสารีบุตรว่า สารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ยังบุตรให้เกิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว สารีบุตรย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล โมคคัลลานะแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องบนที่สูงกว่านั้น ด้วยเหตุนี้ จึงมีคำยกย่องพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกฝ่ายขวา พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย พระธรรมเทศนาของพระโมคคัลลานะไม่ค่อยจะมี ที่เป็นโอวาทให้แก่ภิกษุสงฆ์ก็มีเพียงแต่ อนุมานสูตร ซึ่งว่าด้วยธรรมอันทำให้คนเป็นผู้ว่ายากหรือว่าง่าย ส่วนที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ร้อยกรองไว้ในมัชฌิมนิกายกล่าวว่า ท่านพระโมคคัลลานะนั้นเข้าใจในการนวกรรมด้วย (นวกรรม
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระโมคคัลลานะ
    http://www.heritage.thaigov.net/religion/priest/priest6.html

    [​IMG]

    [SIZE=-1]พระโมคคัลลานะนั้น เป็นบุตรพราหมณ์นายบ้านผู้หนึ่ง ผู้โมคคัลลานโคตรและนางโมคคัลลี เกิดในตำบลบ้านไม่ห่างแต่กรุงราชคฤห์ มีระยะทางพอไปมาถึงกันกับบ้านสกุลแห่งพระสารีบุตร ท่านชื่อ โกลิตะ มาก่อน อีกอย่างหนึ่ง เขาเรียกตามโคตรว่า โมคคัลลานะ เมื่อท่านมาอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้แล้ว เขาเรียกท่านว่า โมคคัลลานะ ชื่อเดียว จำเดิมแต่ยังเยาว์จนเจริญวัยได้เป็นมิตรผู้ชอบกันกับพระสารีบุตร มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มีสกุลดเสมอกัน ได้ศึกษาศิลปศาสตร์ด้วยกันมา ได้ออกบวชเป็นปริพาชกด้วยกัน ได้เข้าอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้ด้วยกัน[/SIZE]
    [SIZE=-1]จำเดิมแต่ท่านได้อุปสมบทแล้วในพระธรรมวินัยนี้ได้เจ็ดวัน ไปทำความเพียรอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตคาม แขวงมคธ อ่อนใจนั่งโงกง่วงอยู่ พระศาสดาเสด็จไปที่นั้น ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความโงกง่วงสั่งสอนท่านว่า โมคคัลลานะ เมื่อท่านมีสัญญาอย่างไร ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ ท่านควรทำในใจถึงสัญญานั้นให้มาก ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นควรตรึกตรองพิจารณาถึงธรรม อันตนได้ฟังแล้วและได้เรียนแล้วอย่างไร ด้วยน้ำใจของตน ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ ท่านควรสาธยายธรรมอันตนได้ฟังและได้เรียนแล้วอย่างไร โดยพิสดาร ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรยอนช่องหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ามือ ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรลุกขึ้นยืน แล้วลูบนัยน์ตาด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหวนดูดาวนักษัตรฤกษ์ ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรทำในใจถึงอาโลกสัญญา คือความสำคัญในแสงสว่าง ตั้งความสำคัญว่ากลางวันไว้ในจิต ให้เหมือนกันทั้งกลางวันกลางคืน มีใจเปิดเผยฉะนี้ ไม่มีอะไรหุ้มห่อ ทำจิตอันมีแสงสว่างให้เกิด ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านลำความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ มีจิตไม่คิดไปภายนอก ข้อนี้จักเป็นเหตุให้ท่านละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรสำเร็จสีหไสยา คือ นอนตะแคงข้างเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ ทำความหมายในอันจะลุกขึ้นไว้ในใจ พอท่านตื่นแล้วรีบลุกขึ้น ด้วยความตั้งใจว่า เราจักไม่ประกอบสุขในการนอน เราจักไม่ประกอบสุขในการเอนข้าง (เอนหลัง) เราจักไม่ประกอบสุขในการเคลิ้มหลับ อนึ่ง ท่านควรสำเหนียกใจอย่างนี้ว่า เราจักไม่ชูงวง (คือถือตัว) เข้าไปสู่สกุล ดังนี้ เพราะว่า ถ้าภิกษุชูงวงเข้าไปสุ่สกุล ถ้ากิจการในสกุลนั้นมีอยู่ อันเป็นเหตุที่มนุษย์เขาจักไม่นึกถึงภิกษุผู้มาแล้ว ภิกษุก็คงคิดว่า เดี๋ยวนี้ใครหนอยุยงให้เราแตกร้าวจากสกุลนี้ เดี๋ยวนี้ดูมนุษย์พวกนี้มีอาการอิดหนาระอาใจในเรา เพราะไม่ได้อะไร เธอก็จักมีความเก้อ ครั้นเก้อ ก็จักเกิดความคิดฟุ้งซ่าน ครั้นคิดฟุ้งซ่านแล้ว ก็จักเกิดความไม่สำรวม ครั้นไม่สำรวมแล้ว จิตก็จักห่างจากสมาธิ อนึ่ง ท่านสำเหนียกใจอย่างนี้ว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกัน ถือผิดต่อกันดังนี้ เพราะว่า เมื่อคำอันเป็นเหตุเถียงกัน ถือผิดต่อกันมีขึ้น ก็จำจักต้องหวังความพูดมาก เมื่อความพูดมากมีขึ้น ก็จักเกิดความคิดฟุ้งซ่าน ครั้นคิดฟุ้งซ่านแล้ว ก็จักเกิดความไม่สำรวม ครั้นไม่สำรวมแล้ว จิตก็จักห่างจากสมาธิ อนึ่ง โมคคัลลานะ เราสรรเสริญความคลุกคลีด้วยประการทั้งปวงหามิได้ แต่มิใช่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยประการทั้งปวงเลย คือ เราไม่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยหมู่ชน ทั้งคฤหัสถ์ ทั้งบรรพชิต ก็แต่ว่า เสนาสนะที่นอนที่นั่งอันใดเงียบเสียงอื้ออึง ปราศจากลมแต่คนเดินเข้าออก ควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการที่สงัด ควรเป็นที่หลีกออกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย เราสรรเสริญความคลุกคลีเสนาสนะเห็นปานนั้น เมื่อพระศาสดาตรัสสอนอย่างนี้แล้ว พระโมคคัลลานะกราบทูลถามว่า โดยย่อด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน เกษมจากโยคธรรมล่วงส่วน เป็นพรหมจารีบุคคลล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วนประเสริฐสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระศาสดาตรัสตอบว่า โมคคัลลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่า บรรดาธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ครั้นได้สดับดังนี้แล้ว เธอทราบธรรมทั้งปวงชัดด้วยปัญญาอันยิ่ง ครั้นทราบธรรมทั้งปวงชัดด้วยปัญญาอันยิ่งดังนั้นแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงดังนั้นแล้ว เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี เธอพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นด้วยปัญญาเป็นเครื่องหน่าย พิจารณาเห็นด้วยปัญญาเป็นเครื่องประดับ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาเป็นเครื่องสละคืน ในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งอะไร ๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมกับกิเลสให้สงบจำเพาะตน และทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่จำต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำอย่างนี้อีกมิได้มี โดยย่อด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่า น้อมไปแล้วในธรรมที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน เกษมจากโยคธรรมล่วงส่วน เป็นพรหมจารีบุคคลล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วนประเสริฐสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระโมคคัลลานะปฏิบัติตามพระพุทธโอวาทที่พระศาสดาทรงสั่งสอน ก็ได้สำเร็จพระอรหัตในวันนั้น [/SIZE]
    [SIZE=-1][SIZE=-1]พระศาสดา ทรงยกย่องพระโมคคัลลานะเป็นคู่กับพระสารีบุตร ในอันอุปการะผู้เข้ามาอุปสมบทใหม่ในพระธรรมวินัย ดังกล่าวแล้วในหนหลัง อีกประการหนึ่ง ทรงยกย่องพระโมคคัลลานะว่าเป็นเยี่ยมแห่งภิกษุสาวกผู้มีฤทธิ์นี้ ฤทธิ์นี้หมายเอาคุณสมบัติเป็นเครื่องสำเร็จแห่งความปรารถนา สำเร็จด้วยความอธิษฐาน คือตั้งมั่นแห่งจิต ผลที่สำเร็จด้วยอำนาจฤทธิ์นั้น ท่านแสดงล้วนแต่พ้นวิสัยของมนุษย์ ดังมีแจ้งอยู่ในอิทธิวิธี อันนับเป็นอภิญญาอย่างหนึ่ง จัดว่าเป็นอสาธารณคุณ ไม่มีแก่พระสาวกทั่วไปก็ได้ การที่พระศาสดาทรงยกย่องพระโมคคัลลานะว่า เป็นเอตทัคคะในฝ่ายสาวกผู้มีฤทธิ์นั้น ประมวลเข้ากับการที่ทรงยกย่องพระสารีบุตรว่า เป็นเอตทัคคะในฝ่ายภิกษุผู้มีปัญญาจะพึงให้ได้สันนิษฐานว่า พระโมคคัลลานะ เป็นกำลังใหญ่ของพระศาสดาในอันยังการที่ทรงพระพุทธดำริไว้ให้สำเร็จ พระศาสดาได้สาวกผู้มีปัญญา เป็นผู้ช่วยดำริการ และได้สาวกผู้สามารถยังภารธุระที่ดำริแล้วนั้นให้สำเร็จ จักสมพระมนัสสักปานไร แม้โดยนัยนี้ พระโมคคัลลานะ จึงได้รับยกย่องว่าเป็นพระอัครสาวกคู่กับพระสารีบุตรเป็นฝ่ายซ้าย โดยหมายความว่า เป็นคณาจารย์สอนพระศาสนาในฝ่ายอุดรทิศดังกล่าวแล้ว หรือโดยหมายความว่าเป็นที่ ๒ รองแต่พระสารีบุตรลงมา[/SIZE]
    [SIZE=-1]พระธรรมเทศนาของพระโมคคัลลานะอยู่ข้างหายาก ที่เป็นโอวาทให้แก่ภิกษุสงฆ์ มีแต่อนุมานสูตร ว่าด้วยธรรมอันทำตนให้เป็นผู้ว่ายากหรือว่าง่าย พระธรรมสังคาหกาจารย์ สังคีติไว้ในมัชฌิมนิกาย[/SIZE]
    [SIZE=-1]พระโมคคัลลานะนั้น เห็นจะเข้าใจในการนวกรรมด้วย พระศาสดาจึงได้โปรดให้เป็นนวกัมมาธิฏฐายี คือ ผู้ดูนวกรรมแห่งบุรพาราม ที่กรุงสาวัตถี อันนางวิสาขาสร้าง[/SIZE]
    [SIZE=-1]แม้พระโมคคัลลานะ ก็ปรินิพพานก่อนพระศาสดา มีเรื่องเล่าว่าถูกผู้ร้ายฆ่า ดังต่อไปนี้ ในคราวที่พระเถรเจ้าอยู่ ณ ตำบลกาฬสิลาแขวงมคธ พวกเดียรถีย์ปรึกษากันว่า พระโมคคัลลานะเป็นกำลังใหญ่ของพระศาสดา สามารถนำข่าวในสวรรค์และนรกมาแจ้งแก่มนุษย์ชักนำให้เลื่อมใส ถ้ากำจัดพระโมคคัลลานะเสียได้แล้ว ลัทธิฝ่ายตนจักรุ่งเรื่องขึ้น จึงจ้างผู้ร้ายให้ลอบฆ่าพระโมคคัลลานะเสีย ท่านยังไม่ถึงมรณะ เยียวยาอัตภาพด้วยกำลังฌานไปเฝ้าพระศาสดาทูลลาแล้ว จึงกลับมาปรินิพพาน ณ ที่เดิม พระโมคคัลลานะอยู่มาจนถึงพรรษาที่ ๔๕ แต่ตรัสรู้ล่วงแล้ว ปรินิพพานในวันดับแห่งกัตติกมาส ภายหลังพระสารีบุตรปักษ์หนึ่ง พระศาสดาได้เสด็จไปทำฌาปนกิจแล้ว รับสั่งให้เก็บอัฐิธาตุมาก่อพระเจดีย์บรรจุไว้ ณ ที่ใกล้ซุ้มประตูแห่งเวฬุวนาราม ระยะทางเสด็จพุทธจาริกแต่บ้านเวฬุวคาม[/SIZE]
    [SIZE=-1]ครั้งหนึ่งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เวฬุวันวิหาร อาศัยเมืองราชคฤห์เป็นที่ภิขาจาร พระองค์ได้ปรารภพระมหาโมคคัลลานเถระให้เป็นเหตุ จึงได้ตรัสเรื่องราวนี้มีความว่า พระมหาโมคคัลลานเถระเป็นทุติยสาวกปรากฏด้วยอิทธิศักดายิ่งกว่าผู้ใดในไตรภพเว้นไว้แต่พระตถาคตองค์เดียว พระตถาคตให้เป็นเอตทัคคะว่า ประเสริฐเลิศด้วยอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าสาวกในพระศาสนา ท่านได้เที่ยวไปสู่เทวจาริกในสวรรค์ นำเอาการกุศลที่เทพบุตรเทพธิดา กระทำอย่างนั้น ๆ เอามาบอกแก่มหาชนชาวมนุษย์ แล้วท่านลงไปสู่นรก นำเอาข่าวมาบอกแก่คนทั้งหลายว่า บุคคลกระทำบาปมีชื่อนี้ ๆ ไปทนทุกขเวทนาในนรกขุมนั้น ๆ ท่านได้โปรดสัตว์ที่ไปทนทุกข์ให้เป็นสุขสบาย ท่านขวนขวายในกิจของท่านมาช้านาน[/SIZE]
    [SIZE=-1]ครั้นอยู่มาสมัยหนึ่ง พระมหาเถระจำพระวัสสาอยู่ ณ กาฬศิลาประเทศ พวกเดียรถีย์นิครนถ์ทั้งหลาย ก็ปราศจากลาภสักการบูชา มหาชนเลื่อมใสในพระศาสนาเป็นอันมาก เดียรถีย์นิครนถ์ผู้ใหญ่จึงปรึกษาว่า ลาภสักการะ จะเกิดแก่พระสมณโคดม ก็อาศัยพระโมคคัลลานเถระผู้เดียว เพราะพระโมคคัลลานมีฤทธิ์ เที่ยวขึ้นไปบนสวรรค์ และลงนรก ได้เห็นความเป็นไปในที่นั้น ๆ แล้ว นำมาบอกแก่มหาชนชาวมนุษย์ ถึงผลของกุศลกรรมของผู้ที่อยู่บนสวรรค์ และอกุศลกรรมของผู้ที่อยู่ในนรก ดังนั้นถ้าคิดพิฆาตฆ่าและโมคคัลลานให้ตายแล้ว พระสมณโคดมก็จะเสื่อมจากลาภสักการบูชา พวกเดียรถีย์ทั้งหลายก็เห็นจริงพร้อมกัน เดียรถีย์ผู้ใหญ่จึงคิดเรี่ยไรทรัพย์จากพวกอุปฐากของตน ได้ทรัพย์พันตำลึง แล้วไปจ้างโจรให้ไปฆ่าพระโมคคัลลาน พวกโจรได้ไปล้อมกุฎีของท่าน คอยฆ่าท่านเมื่อเพลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง ฝ่ายพระโมคคัลลานเถระ เมื่อรู้เหตุว่าโจรมาล้อมกุฎี ก็หนีออกมาโดยช่องดาล โจรหาตัวท่านไม่พบก็กลับไป อยู่มาวันหนึ่งจึงพากันไปล้อมอีก ท่านก็หนีออกไปทางช่องช่อฟ้า พวกโจรพากันมาล้อมจะจับตัวท่านฆ่าให้ตาย แต่หาท่านไม่พบต้องพากันกลับไปโดยนัยดังนี้ถึง 2 เดือน[/SIZE]
    [/SIZE]
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระโมคคัลลานะ
    http://www.heritage.thaigov.net/reli...t/priest6.html

    ครั้นถึงเดือน เป็นที่สุดจะออกพระวัสสา โจรทั้งหลายก็มาล้อมกุฎีอีก พระมหาเถระพิจารณาดู ก็รู้ประจักษ์ใจว่า กรรมของท่านได้กระทำไว้แต่ปางหลัง ตามมาทันแล้วในครั้งนี้ แม้ท่านจะหนีไปอยู่ในที่ใด ๆ ที่จะพ้นภัยนั้นอย่าสงกา เมื่อท่านพิจาณาเห็นดังนั้นแล้ว ก็นั่งอยู่ในกุฎี ไม่ได้หนีไปดังหนหลัง โจรทั้งหลายเห็นท่าน จึงเข้าไปทุบตีด้วยศาสตราวุธต่าง ๆ จนกระดูกท่านแหลก ปานประหนึ่งว่าเม็ดข้าวสาร แหลกละเอียดไปทั้งกาย แล้วพวกโจรก็นำร่างของท่านไปทิ้ง ฝ่ายพระมหาเถระได้เสวยทุกขเวทนา พ้นที่จะอุปมา แต่ยังทรงชีวิตอยู่ จึงคิดอยู่ในใจว่า ตัวท่านนี้จะดับสูญเข้าสู่นิพพานแล้ว จำจะไปถวายนมัสการลาพระผู้มีพระภาค แล้วจึงกลับมาเข้าสู่พระนิพพานในที่นี้ คิดดังนั้นแล้วจึงเข้าฌานสมาบัติ อธิษฐานผูกรัดร่าง กระดูกที่แหลกละเอียด ก็คุมกันเข้าเป็นแท่งเดียวดังเก่าด้วยกำลังฌาน แล้วจึงเหาะไปสู่เวฬุวันมหาวิหาร เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลลาเข้าสู่พระนิพพาน พระผู้มีพระภาคจึงมีพุทธฎีกาตรัสถามว่า จะนิพพานที่ใด ท่านกราบทูลว่า จะนิพพานที่กาฬศิลาประเทศ อันเป็นที่อยู่ของท่าน พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ตถาคตได้เห็นท่านก็เป็นที่สุดแล้ว ท่านจงเทศนาให้ตถาคตฟังก่อน พระสงฆ์ทั้งหลายจะได้เห็นท่านได้ฟังเทศนาของท่านก็เป็นที่สุดในครั้งนี้
    ฝ่ายพระมหาเถระได้ฟังพุทธฎีกาดังนั้น จึงได้สำแดงปาฏิหาริย์เป็นเอนกอนันต์
    ครั้นสำแดงแล้ว ก็สำแดงธรรมเทศนาแก่บริษัทเป็นปัจฉิมที่สุด เหมือนธรรมเสนาบดีสารีบุตร กระทำปาฏิหาริย์ถวายพระผู้มีพระภาค เมื่อท่านไปกราบทูลลาจะเข้าสู่พระนิพพาน เมื่อพระมหาเถระกระทำปาฏิหาริย์ เห็นปานดังพระสารีบุตร เสร็จแล้วจึงทูลลาว่า กระหม่อมฉันอุตส่าห์สร้างบารมีมาก็ช้านาน ประมาณได้อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปป์โดยคณนา หวังจะพบพระพุทธองค์ และพระศาสนาของพระพุทธองค์ บัดนี้ก็สำเร็จสมปรารถนาแล้ว จะได้ถวายนมัสการบรมบาทพระชินสีห์ก็เป็นที่สุดแล้ว จึงถวายบังคมลา พระสัพพัญญูบรมครูแล้วกลับไปกาฬศิลาประเทศ เข้าไปสู่กุฎีที่อยู่จำพระวัสสา จึงเข้าสมาบัติตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป แล้วกลับถอยหลังลงมาเป็นอนุโลมปฏิโลมหลายครั้ง ครั้นออกจากสมาบัติแล้ว พระมหาเถระก็เข้าสู่พระนิพพาน
    กิตติศัพท์ที่พวกโจรเข้าทุบตีพระโมคคัลลานะนั้น ได้เลื่องลือไปในนิคมชนบทนานาประเทศ บรรดาอำมาตย์ได้นำความเข้ากราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อพระองค์ทรงทราบก็เกิดสังเวชสลดพระทัย ทรงเห็นว่าการกระทำของพวกโจรไม่บังควร จำจะเสาะเอาตัวมาลงโทษให้จงได้ แล้วได้ทรงสั่งให้พวกอำมาตย์ ไปดำเนินการจนได้ตัวพวกโจร แล้วนำเข้าไปถวายพระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อซักไซ้ไต่สวนได้ความว่า พวกสมณชีเปลือยใช้โจรให้ไปกระทำการดังกล่าว พระองค์จึงสั่งให้ไปจับพวกเดียรถีย์ชีเปลือยมาได้เป็นจำนวนมาก เมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความจริงแล้ว จึงสั่งให้ราชบุรุษ เอาพวกเดียรถีย์ชีเปลือย และพวกโจรที่จับมาได้ ฝังดินลึกเพียงสะดือ แล้วให้เอาใบไม้แห้งและฟางเกลี่ยไป จากนั้นจึงจุดไฟคลอก ครั้นเพลิงไหม้ทั่วกันแล้ว จึงให้เอาไถเหล็กมาไถ ให้ร่างกายขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ตายด้วยกันทั้งหมด
    อยู่มาวันหนึ่ง บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย สันนิบาตประชุมกันในโรงธรรมสภาศาลา สนทนากันว่าน่าอัศจรรย์ใจ ด้วยพระโมคคัลลาน ประกอบด้วยฤทธานุภาพเป็นอันมาก ควรหรือมาตายด้วยมือโจร ฝ่ายองค์พระบรมโลกนาถ ได้ทรงได้ยินการสนทนาดังกล่าว จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี มาสู่โรงธรรมศาลา แล้วตรัสถามว่า ได้สนทนาเรื่องอันใดอยู่ เมื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้มีพุทธฎีกาว่า สำแดงโมคคัลลานโอรสพระตถาคต ถูกโจรทุบตีให้ตาย จะได้มีแต่ปัจจุบันชาตินี้หามิได้ แต่ชาติก่อน ๆ ก็ตายด้วยโจรตีเช่นกัน ก็อาศัยอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แต่ชาติหลังยังติดตามมา จึงถึงแก่ความมรณาไม่สมควรแก่ตน พระทศพลตรัสดังนี้แล้วก็ดุษณีนิ่งไป พระสงฆ์ทั้งหลายจึงทูลถาม ถึงกรรมที่พระโมคคัลลานกระทำไว้ พระพุทธองค์จึงนำอดีตมาประทานเทศนาว่า ในอดีตกาลแต่ปางหลัง มีกุลบุตรผู้หนึ่งปฏิบัติรักษามารดา บิดาตามืด ทั้ง 2 คน โดยไม่เกียจคร้าน ต่อมา มารดาบิดาจึงคิดอ่านจะหาภรรยาให้ลูกชาย เมื่อปรึกษาเรื่องนี้กับลูกชาย ก็ได้รับคำปฏิเสธว่าตนไม่ปรารถนา จะขอเลี้ยงมารดาบิดาไปจนตลอดชีวิต มารดาบิดาก็เฝ้าวอนว่าอยู่แล้ว ๆ เล่า ๆ ฝ่ายลูกชายขัดไม่ได้จึงยินยอมตามใจของมารดาบิดา มารดาบิดาจึงได้ไปขอกุมารี มาให้แก่ลูกชายของตน หญิงนั้นครั้นมาอยู่กับสามีแล้วปฏิบัติแม่ผัวพ่อผัวอยู่ไม่นาน ก็มีความเกียจคร้านเบื่อหน่าย คิดจะไปเสียให้พ้นจึงว่าแก่สามีของตนว่าตนไม่สบายใจ มารดาบิดาขี้บ่น ตนจะอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว สามีจึงตอบว่าก็ตามอัชฌาศัยของท่านเถิด ที่เราจะทิ้งมารดาบิดาของเราเสียนั้นมิได้ นางได้ฟังดังนั้นก็จนใจ จึงคิดกลอุบายจะให้ลูกชายทิ้งมารดาบิดาเสีย จะได้พากันไปอยู่ที่อื่นตามสบายใจ ครั้นสามีออกไปนอกบ้าน หญิงนั้นก็เที่ยวทิ้งของไว้เกลื่อนกลาด ครั้นสามีกลับมาพบเห็นก็บอกว่า มารดาบิดาของท่านทำเอาไว้ หญิงนั้นทำเช่นนี้อยู่เนือง ๆ ฝ่ายบุรุษผู้นั้นเป็นสัตว์มีวาสนา ได้บำเพ็ญบารมีมาช้านาน ได้ฟังคำหญิงพาลมาวอนเจรจาใส่โทษมารดาบิดา ก็ให้เร่าร้อนในหัวใจ ความรักใคร่ในมารดาแต่หนหลังนั้น ก็แตกออกเป็นสองภาค ด้วยความรักใคร่ในหญิงพาลส่งจิตไปตามภรรยา จึงตอบวาจาว่า มารดาบิดาของเรากระทำชั่วฉะนี้ ตกพนักงานพี่จะกระทำเอง ชายนั้นจึงให้มารดาบิดาบริโภคอาหารแล้วจึงมีวาจาว่า บัดนี้ญาติวงศาของท่านอยู่ในบ้านโน้น สั่งมาให้ตนพามารดาบิดาไป แล้วจึงให้มารดาบิดาขึ้นนั่งบนเกวียน แล้วจึงรีบไปตามมรรคา ครั้นถึงราวป่าแห่งหนึ่ง บุรุษนั้นคิดจะฆ่ามารดาบิดาให้ตาย จึงคิดอุบายบอกแก่มารดาบิดาว่า ราวป่านี้โจรส้องสุมอยู่เป็นอันมาก ถ้ารู้ว่าตนมามันก็จะฆ่าเสียให้ตาย บิดาจงเอาเชือกสายชักโคนี้เถิด แล้วเขาก็ลงจากเกวียนไป ชายนั้นเดินไปให้ไกลสักหน่อยหนึ่ง แล้วก็แกล้งแปลงเป็นเสียงโจรว่าคนสองคนนั้นจะไปไหน แล้วฉวยได้ไม้เข้าทุบตีมารดาบิดาแห่งตน ฝ่ายมารดาบิดาทั้งสองคนคิดว่าเป็นโจรจริง จึงร้องบอกลูกชายให้หนีไปให้พ้นมือโจร ส่วนตนทั้งสองแก่ชราแล้ว จะตายด้วยโจรก็ตามทีเถิด ฝ่ายลูกชายเมื่อทุบตีมารดาบิดาตายเสียแล้ว จึงเอาซากศพนั้นทิ้งเสียในราวป่า แล้วกลับมาสู่บ้านตนพร้อมภรรยา ตราบจนสิ้นชมม์วัสสาอายุแล้ว จุติไปเกิดโดยควรแก่อกุศลกรรม ที่ตนได้ทำไว้ในปัจจุบันชาติ
    เมื่อพระบรมศาสดา สำแดงบุพพกรรมแห่งพระโมคคัลลานด้วยประการฉะนี้แล้ว จึงมีพุทธฎีกาตรัสว่า สำแดงโมคคัลลานกระทำกรรมอันหยาบช้า ฆ่ามารดาบิดา ครั้นตนทำกาลกิริยาตาย ได้ไปทนทุกขเวทนาในนรกช้านาน มากกว่าหมื่นปีแสนปี ด้วยกรรมที่ตีมารดาบิดา ครั้นพ้นจากนรกแล้ว เศษบาปนั้นยังติดตามมา แต่โจรทั้งหลายฆ่าให้ตายดังนั้นถึง 500 ชาติ เป็นกำหนด สำแดงโมคคัลลานได้ทำอกุศลกรรมไว้ จึงได้เสวยวิบากผลสมควรแก่กรรมที่ตนได้กระทำมาแต่หนหลัง ยังพวกโจรและเดียรถีย์ที่ทุบตี สำแดงโมคคัลลานเล่า ก็ถึงซึ่งความวินาศฉิบหายน่าอเน็จอนาถ ฉะนี้
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเทศนาด้วยพระคาถาต่อไปว่า บุคคลใดเป็นคนเมามาก ประกอบด้วยโทโส มาประทุษร้ายแก่พระขีณาสพเจ้าอันหาโทษทัณฑ์มิได้ บุคคลนั้นจะต้องทุกข์ทั้ง 10 ประการ ทุกข์ใดจะถึงแก่ตน เห็นประจักษ์ตาในอัตภาพชั่วนี้ คือต้องทุกขเวทนาอันทารุณโทษ โรคนั้นแต่ล้วนสาหัส จะบังเกิดมีแก่อัตภาพในชาตินี้ ประการหนึ่ง ทรัพย์สินเงินทองที่ตนหามาได้ด้วยกสิกรรม วาณิชกรรม ก็จะเสี่อมสูญไปไม่เหลือ ถ้ามิดังนั้นก็จะทนทุกขเวทนา มีเขาตัดตีนตัดมีอ ตัดหู ตัดจมูกของตน เป็นจมูกของตน เป็นต้น จะบังเกิดโรคาพยาธิอันหนัก จะเป็นเปลี้ยง่อยตัวตายไปตำหระหนึ่งโรคที่หนักๆ จักบังเกิดมี คือเป็นโรคเรื้อนกุฏฐัง ที่เหลือกำลังจะรักษาเยียวยาได้ ถ้ามิดังนั้นจะเป็นบ้าใบ้พิกลจริต เสียจิตเสียใจไม่เป็นสมประดีดังคนทั้งหลาย จะบังเกิดความฉิบหายแก่ราชทัณฑ์อาชญา ท้าวพระยามหากษัตริย์จะริบเอาโภคทรัพย์สมบัติพัสถานของตน ถ้ามิดังนั้นตัวอยู่ดี ๆ มีคนมาโพนทนาว่า เป็นโจรกระทำผิดในราชศาสตร์ มีแต่เขาใส่โทษให้ต้องราชทัณฑ์อาญา มีแต่คนอิจฉาคือฉ้อส่อเสียด ให้เสียสมบัติพัสดุต่าง ๆ อนึ่ง จะมีทรัพย์พัสดุสิ่งใดอยู่ในเรือนตนจะมีโจรเข้าวิ่งชิงเอาไป อนึ่งญาติวงศา บุตร ภรรยา อันที่รักใคร่ จะบังเกิดมรณภัยล้มตายหายจาก พลัดพรากฉิบหายประลัยไป สุดแท้แต่จะวิบัติไปด้วย เหตุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อนึ่ง ทรัพย์วัสดุเงินทองของรัก จะกลับกลายเป็นกระดูก เป็นกระเบี้อง เป็นถ่านเพลิงไป โดยต่ำตั้งแต่ข้าวเปลือกอยู่ในยุ้งฉาง ก็วิบัตเปื่อยเน่าผุไปเอง อนึ่ง จะเกิดไฟไหม้ไต้ลน ปีละสองสามหนให้จงได้ มิไหม้ด้วยไฟบ้านก็ไหม้ด้วยไฟป่า ไหม้ด้วยไฟฟ้า ถ้ามิฉะนั้น อยู่ดี ๆ จะมีไฟเกิดขึ้นด้วยธรรมดาเอง สุดแท้แต่จะเกิดไฟไหม้ให้ได้ อันบุคคลประทุษร้ายต่อผู้หาโทษมิได้ จะต้องทุกขฐานทั้ง 10 ประการ มิทุกข์สิ่งใดก็สิ่งหนึ่ง คงจะมาถึงตนในอัตภาพชั่วนี้ ครั้นสูญสิ้นชีวิตจากเมืองคน จะไปทนทุกขเวทนาในนรกสิ้นกาลช้านาน เพราะตนกระทำการทุจริตมิดี เห็นปานดังโจร และเดียรถีย์ทั้งหลายทำร้ายพระโมคคัลลานฉะนี้
    ครั้นพระพุทธองค์ตรัสเทศนาจบลง บริษัททั้งหลายก็สำเร็จมรรคผลธรรมวิเศษ ตามวาสนาบารมีที่ตนได้ก่อสร้างมา แต่ชาติหลังโน้น จึงเป็นอุปนิสัยให้สำเร็จความปรารถนา
     
  17. ลุงจิ๋ว

    ลุงจิ๋ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    897
    ค่าพลัง:
    +990
    ก่อนอื่นขอสวัสดี เพื่อนๆ พี่ๆ ในบอร์ดนี้ทุกคน ผมเพิ่งเข้ามาในบอร์ดนี้ ยังอ่านไม่ครบทุกหน้า แต่มีจิตศรัทธาในองค์หลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นอย่างสูง... ขอถามคุณ sithiphong หน่อย หนังสือที่คุณเขียนเกี่ยวกับหลวงปู่ฯ จะวางตลาดเมื่อไหร่ครับ จะได้หาซื้อมาอ่าน...แล้วผมจะแวะเข้ามาดูบ่อยๆ นะครับ..ขอบคุณ
     
  18. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    เรื่อง ขันตินั้น

    เป็นธรรมขั้นหนึ่ง ที่สุดๆ เหมือนกันครับ

    มาพร้อมๆ กับสังขารจิตคิดปรุงแต่งเลยครับ

    เอากะมันซิ คนหนอ คน

    สาธุครับ
     
  19. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    เรื่องไรละครับ จาน ...หากเรื่องเนื้อคู่ ท่านว่า ถ้าหวังยังพอได้อยู่นา(ping)

    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ chaipat [​IMG]
    [​IMG]
     
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อ้อ! เกมนี้ คำถามเขาไม่ตรงกับคำตอบที่เรามี ถึงเรามีคำตอบ
    เขาก็มีคำตอบที่คิดว่า ดีกว่า เรา นี่เอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...