พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สธ.แถลง "ไวรัสซิกา" ระบาดในไทย จับตาอาการ "ไข้-มีผื่น-ตาแดง-เมื่อย" เข้าข่าย!
    -http://health.sanook.com/2581/-



    กรมควบคุมโรคแถลงร่วม รพ.ภูมิพลฯ หลังข่าวคนหวั่นไวรัสซิการะบาดในไทย เหตุพบผู้ป่วยเพิ่มอีกราย ย้ำไม่ใช่โรคใหม่พบตั้งแต่ปี 2555 วอนอย่าแตกตื่น พร้อมออกประกาศเพิ่มเติม 2 ฉบับ จัด 4 กลุ่มเสี่ยงระวังพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญย้ำสังเกตอาการ “ไข้ – มีผื่น-ตาแดง-ปวดเมื่อย” อาจเข้าข่าย



    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากข่าวพบคนไทยเดินทางไปไต้หวันติดเชื้อไวรัสซิกา และขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่ไต้หวันนั้น ล่าสุดเกิดกระแสข่าวตื่นตระหนกว่า พบคนไทยติดเชื้อไวรัสดังกล่าวอีกเป็นรายที่ 2 ของประเทศไทย โดยรักษาตัวอยู่ที่รพ.ภูมิพลอดุลยเดช โดยที่กังวลคือ จะเกิดการระบาดในประเทศไทยหรือไม่ ขณะเดียวกันองค์การอนามัยโลกยังประกาศให้โรคนี้เข้าข่ายสถานการณ์ฉุกเฉิน

    ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่กรมควบคุมโรค(คร.) ได้จัดแถลงข่าวด่วนภายหลังทราบข่าวประชาชนแตกตื่นเรื่องดังกล่าว โดยมี นพ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดี คร. นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาและที่ปรึกษากรมควบคุมโรค และ พล.อ.ต.สันติ ศรีเสริมโภค เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช เข้าร่วมแถลงข่าวครั้งนี้

    พล.อ.ต.สันติ ศรีเสริมโภค เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กล่าวว่า กรณีนี้ ไม่ใช่ผู้ป่วยรายแรกของประเทศไทย แต่เป็นผู้ป่วยรายแรกของโรงพยาบาลภูมิพล เป็นชายไทยอายุประมาณ 20 กว่าปี เข้ารับการรักษาเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมาด้วยอาการไข้ มีผื่น ตาแดง เมื่อยตามเนื้อตัว จากการตรวจสอบยืนยันว่า เป็นไข้ซิกา ซึ่งให้การรักษาจนผู้ป่วยอาการดีขึ้น และออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 26 มกราคม อย่างไรก็ตาม ไม่ถือว่าผู้ป่วยรายนี้เป็นพาหะ เพราะการแพร่โรคจะเป็นไข้ แต่รายนี้ไม่มี ที่สำคัญรายนี้ไม่มีประวัติเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด อย่างไรก็ตาม ที่กังวลคือ ปัญหาทารกในครรภ์มารดาที่ติดเชื้อ โดยที่ต้องระวังคือช่วงตั้งครรภ์แรกๆ ประมาณ 12 สัปดาห์ จึงทำให้เกิดข้อกังวล แต่จริงๆ หญิงตั้งครรภ์ต้องดูแลสุขภาพตัวเองอยู่แล้ว

    นพ.อำนวย กล่าวว่า ประเทศไทยพบร่องรอยโรคนี้ตั้งแต่ปี 2506 แต่พบผู้ป่วยรายแรกในปี 2555 ซึ่งตั้งแต่ปี 2555-2558 เฉลี่ย 2-5 ราย และทุกครั้งที่พบผู้ป่วยแต่ละรายก็จะหายได้เอง ไม่มีการแพร่ระบาดวงกว้าง ทั้งนี้ ไม่ต้องกังวลว่าโรคนี้จะมาในลักษณะข้ามประเทศ หรือ Case Import เพราะในประเทศก็พบเจอได้ เพียงแต่ควบคุมได้ โดย คร.มีมาตรการต่างๆ ทั้งกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย การกำจัดยุงลาย ซึ่งใน 1-2 สัปดาห์จะมีกิจกรรมรณรงค์ครั้งใหญ่ร่วมกับทุกหน่วยงานเกี่ยวกับการควบคุมและกำจัดลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะโรค 3 โรค ได้แก่ ไข้เลือดออก ชิคุนกุนยา (โรคไข้ปวดข้อยุงลาย) และซิกา นอกจากนี้ ก็มีคำแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด เป็นต้น

    ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีข้อกังวลเรื่องหญิงตั้งครรภ์ที่หากรับเชื้อจะส่งผลต่อทารกให้ศีรษะลีบแบน นพ.อำนวย กล่าวว่า จริงๆ หญิงตั้งครรภ์จะต้องดูแลตัวเองในทุกด้านมากกว่าคนทั่วไป แต่ในเรื่องนี้ก็มีมาตรการเฝ้าระวัง โดยจัดกลุ่มเสี่ยง 4 กลุ่ม มี 1.หญิงตั้งครรภ์ 2.ผู้ป่วยไข้ออกผื่น ที่มาสถานพยาบาลไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดต้องคัดกรองเป็นพิเศษ เพราะอาจเข้าข่ายอาการของซิกา 3. ทารกศีรษะเล็ก และ4. ผู้ป่วยปลายประสาทอักเสบ โดยกลุ่มอาการเหล่านี้จะบ่งบอกว่าเข้าข่ายโรคซิกาได้ และในกรณีหญิงตั้งครรภ์หากมีอาการไข้ ผื่นขึ้น ตาแดง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ ต้องรีบพบแพทย์ เพื่อทำการเจาะเลือดตรวจหาเชื้อ

    ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อกังวลว่า ยุงลายในประเทศไทยถือว่าเป็นพาหะนำโรคมากน้อยแค่ไหน นพ.อำนวยกล่าวว่า ได้มีการประสานภาควิชากีฏวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ในการติดตามเรื่องยุงว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ นอกจากนี้ คร.ยังได้ออกประกาศเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับ จากฉบับแรกที่เกี่ยวกับประกาศเรื่องโรคไข้ซิกา ในเรื่องอาการ การดูแล เฝ้าระวังต่างๆ โดยประกาศใหม่ คือ 1. ประกาศสธ.เรื่องเพิ่มเติมชื่อโรคติดต่อและอาการสำคัญ โดยระบุว่าอาการสำคัญ ได้แก่ มีอาการไข้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ตาแดง บางรายอาจมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย โดยทั่วไปจะมีอาการป่วยประมาณ 1 สัปดาห์ และ 2.ประกาศสธ.เรื่องเพิ่มเติมชื่อโรคติดต่อต้องแจ้งความ ระบุว่า โรคติดเชื้อไวรัสซิกาเป็นโรคที่ต้องแจ้งความ อย่างไรก็ตาม เพื่อความมั่นใจได้กำชับสถานพยาบาลในสังกัดให้คัดกรองกลุ่มเสี่ยงทั้ง 4 กลุ่มอย่างถี่ถ้วน ขณะเดียวกันได้มีการประชุมทางไกลผ่านระบบคอนเฟอเรนซ์กับนักระบาดวิทยาภาคสนามในระดับอาเซียนบวกสามด้วย

    นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า ผู้ป่วยไวรัสซิกา อาการไม่ได้รุนแรงมาก เพราะปกติจะหายเองได้ภายใน 7 วัน ส่วนที่เกิดการระบาดจนองค์การอนามัยโลกออกมาประกาศว่าเป็นภาวะฉุกเฉิน เพราะเด็กที่คลอดออกมามีความพิการทางสมอง จึงต้องออกประกาศดังกล่าว โดยกำชับให้มีการดูแลหญิงตั้งครรภ์เป็นพิเศษ

    ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า ได้มีการประสานไปยังราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ให้เฝ้าระวังทารกแรกเกิดที่มีศีรษะเล็กว่า สัมพันธ์กับเชื้อซิกาหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาไม่ทราบข้อมูลเหล่านี้ และยังประสานไปยังราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ในการเฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีอาการปลายประสาทอักเสบว่า มาด้วยสาเหตุอะไรด้วย เพื่อให้ข้อมูลรอบด้าน ทั้งนี้ อาการของโรคนี้คล้ายไข้เลือดออก กับชิคุนกุนยา มีไข้ ผื่น ปวดข้อ แต่ที่ต้องระวังในหญิงตั้งครรภ์ เพราะมีรายงานในบราซิล เนื่องจากพบว่าทารกแรกเกิดมีศีรษะเล็กประมาณ 3,000 คน ซึ่งพบสูงขึ้นมากจากปกติอัตรา 0.5 คนต่อประชากรทารกหมื่นคน พุ่งสูงขึ้นเป็นอัตรา 20 คนต่อประชากรทารกหมื่นคน เมื่อศึกษาจึงพบว่าเกี่ยวพันกับเชื้อซิกา จึงมีการเฝ้าระวังกันมาก

    ผู้สื่อข่าวถามว่า หญิงตั้งครรภ์หากไปเจาะเลือดตรวจจะทราบว่าเด็กมีภาวะป่วยด้วยหรือไม่ ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า ไม่สามารถตรวจหาเชื้อในทารกได้ เนื่องจากแอนติบอดีจะเหมือนกับไข้เด็งกี่ และไข้สมองอักเสบ จะต้องเจาะน้ำคร่ำจึงจะตรวจได้

    อ่านเรื่องเกี่ยวกับไวรัสซิกาเพิ่มเติมได้ ที่นี่

    ภาพประกอบจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, istockphoto

    เนื้อหาโดย : นสพ.มติชน

    -----------------------------------


    พบในไทย! ไวรัส Zika ติดต่อทางยุง อาการคล้ายไข้เลือดออก
    -http://health.sanook.com/2353/-

    เฟซบุ๊คเพจ “ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว” โพสอธิบายถึงเชื้อไวรัส Zika ที่พบการติดเชื้อในประเทศเปอร์โตริโก้ว่า สามารถติดต่อได้ผ่านยุงลาย คล้ายไข้เลือดออก และไข้ปวดข้อยุงลาย (ชิกุนกุนยา) ผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการ เช่น มีไข้ มีผื่นขึ้นตามตัว ตาแดง ปวดข้อ

    ความรุนแรงของโรคนี้ ไม่ถึงขั้นทำให้เสียชีวิต แต่หลังพบการระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ในบราซิล พบว่าเด็กที่เกิดขึ้นมาภายหลังศีรษะมีขนาดเล็กลงจำนวนมาก จึงสงสัยกันว่าเชื้อไวรัสตัวนี้อาจมีผลต่อเด็กในครรภ์ หากมารดาเป็นผู้ติดเชื้อ

    นอกจากนี้ เมื่อปี 2557 พบนักท่องเที่ยวที่มาติดเชื้อนี้จากไทยไปคนหนึ่ง ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่าเชื้อไวรัสนี้สามารถพบในไทยได้ จังหวัดที่เคยพบผู้ติดเชื้อ Zika คือ ลำพูน เพชรบูรณ์ ศรีษะเกศ ราชบุรี สมุทรสาคร กระบี่ ภูเก็ต และกรุงเทพฯ

    แต่ถึงกระนั้น สามารถป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อได้ง่ายๆ เพียงระวังไม่ให้โดนยุงกัดค่ะ

    ขอบคุณข้อมูลจาก เฟศบุ๊ต ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว
    ภาพประกอบจาก -medicalservices.nph.org-
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ๐๔.พระวินัย-อาบัติปาราชิก, อาบัติสังฆาทิเสส
    https://www.youtube.com/watch?v=kzSd7Y2FYB0
    -https://www.youtube.com/watch?v=kzSd7Y2FYB0-




    หลวงปู่จันทา ถาวโร ๑ ปาราชิก ๔
    https://www.youtube.com/watch?v=yEnjYKM5Np8
    -https://www.youtube.com/watch?v=yEnjYKM5Np8-




    หลวงปู่จันทา ถาวโร ๒ สังฆาทิเสส ๑๐
    https://www.youtube.com/watch?v=Fi-X07TV6Lg
    -https://www.youtube.com/watch?v=Fi-X07TV6Lg-




    22785.วินัยสงฆ์-อาบัติ-ปาราชิก-สังฆาทิเสส
    -http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=22785-
    โพสต์โดย สาวิกาน้อย

    วินัยสงฆ์

    วินัยสงฆ์ หรือพระวินัย เป็นกฎหมายของพระภิกษุ เป็นเครื่องควบคุมความประพฤติการปฏิบัติตนของภิกษุให้เป็นนักบวชที่น่าเคารพเลื่อมใส ทำให้ผู้พบเห็นเกิดความศรัทธาชื่นชม และมีใจโน้มเข้าหาเพื่อฟังธรรมต่อไป

    พระวินัยนั้นพระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติตามเหตุที่บังเกิดขึ้น เมื่อมีภิกษุทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมหรือทำความเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็ทรงประชุมสงฆ์ ตรัสถามเรื่องราวจากภิกษุผู้กระทำผิดให้ได้ความกระจ่าง แล้วทรงชี้ให้เห็นโทษของความประพฤติผิดนั้นๆ พร้อมกับทรงชี้ทางที่ควรประพฤติให้สงฆ์ได้ทราบ

    ข้อห้ามนั้นจึงบัญญัติขึ้นเป็นพระวินัย ห้ามมิให้ภิกษุทำอีกต่อไป การทำผิดพระวินัยเรียกว่า อาบัติ พระภิกษุที่อาบัติต้องรับโทษหนักเบาตามความรุนแรงของอาบัติที่กระทำ

    พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติชั้นความผิดที่รุนแรงมากน้อยตามลำดับ ดังนี้ คือ ความผิดขั้นสูงสุด เรียกว่า ปาราชิก ชั้นรองลงมาตามลำดับคือ สังฆาทิเสส อนิยต นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ แต่ละขั้นมีจำนวนและรายละเอียดต่างกันไป แต่รวมแล้วเป็นข้อห้ามทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ การไม่ทำสิ่งที่ทรงห้ามทั้ง ๒๒๗ ข้อ ก็คือการรักษาศีล ๒๒๗ ข้อ ที่พระภิกษุทุกรูปต้องถือปฏิบัติให้เคร่งครัดนั่นเอง

    :b42: อาบัติ

    คำว่า อาบัติ มาจากภาษาบาลีว่า อาปตติ หมายถึง “การทำผิดทางวินัยของพระสงฆ์” พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติวินัยแก่พระภิกษุสงฆ์ไว้เป็นสิกขาบท ๑๕๐ ข้อ ให้พระภิกษุปฏิบัติเพื่อควบคุมความประพฤติของภิกษุทั้งทางกาย วาจา และใจ เพื่อการปฏิบัติธรรม ขจัดอาสวะกิเลสตามที่พระพุทธเจ้าเทศนาไว้ หากภิกษุละเมิดวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ก็เรียกว่า อาบัติ หรือต้องอาบัติ เมื่อวินัยมีจำนวนมากดังนี้ ในบางครั้งพระภิกษุจึงอาจเผอเรอ กระทำผิดไปโดยเจตนาบ้าง ไม่เจตนาบ้าง จึงได้ทรงบัญญัติวิธีแก้ความผิดนั้น คนทำผิดต้องรับโทษตามความผิดเพื่อจะได้รู้สำนึกและไม่กระทำผิดอีกต่อไป เมื่อความผิดมีความหนักเบาต่างกัน โทษก็ต้องหนักเบาต่างกันไปด้วย การทำผิดทางวินัยหรืออาบัติของพระภิกษุสงฆ์ จำแนกตามหมวดหมู่ได้ดังนี้

    อาบัติขั้นสูงสุด เรียกว่า ปาราชิก เป็นความผิดที่ละเมิดข้อห้ามใดข้อห้ามหนึ่งในจำนวน ๔ ข้อ คือ เสพเมถุน ถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้หรือลักขโมยนั่นเอง ฆ่ามนุษย์ให้ตาย หรืออวดอุตริมนุสสธรรม ภิกษุผู้กระทำผิด เรียกว่า ต้องอาบัติปาราชิก โทษที่ได้รับเป็นโทษหนัก คือ การขาดจากความเป็นภิกษุ

    อาบัติขั้นรองลงมา คือ สังฆาทิเสส หมายถึง ความผิดในการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งในจำนวน ๑๓ ข้อ เช่น มีความกำหนัดอยู่แล้วจับต้องกายหญิง มีความกำหนดอยู่แล้วพูดเกี้ยวหญิง เป็นสื่อชักให้ชายหญิงเป็นสามีภรรยากัน ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน เป็นต้น ภิกษุผู้กระทำผิดเรียกว่า ต้องสังฆาทิเสส เป็นโทษระดับกลาง ต้องรับโทษ “อยู่กรรมทรมานตน” จึงจะพ้นอาบัติ การอยู่กรรมทรมานตน คือ การอยู่ในที่สงบในช่วงเวลาหนึ่ง สำรวมกายใจ ใคร่ครวญพิจารณาโทษของตนแล้วตั้งใจไม่กระทำความผิดเช่นนั้นอีก

    อาบัติขั้นรองลงไป คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มีจำนวน ๓๐ ข้อ ปาจิตตีย์ มีจำนวน ๙๒ ข้อ เป็นโทษเบา เรียกชื่อเช่นเดียวกับความผิดนั้นเช่นเดียวกัน คือ ผิดขั้นนิสัคคิยปาจิตตีย์ ก็เรียกว่าต้องอาบัตินิสัคคิยปาจิตตีย์ อาบัติขั้นต่ำลงไปเป็นโทษเบา คือ ปาฏิเทสนียะ มีจำนวน ๔ ข้อ การปฏิบัติผิดเสขิยวัตรข้อใดข้อหนึ่งใน ๗๕ ข้อ จัดเป็นโทษเบา ผู้ที่ทำผิดโทษเบาจะต้องแสดงความผิดของตนต่อคณะสงฆ์

    อนิยต มีจำนวน ๒ ข้อ เป็นความผิดที่ไม่กระจ่างชัด ว่าควรจัดเป็นโทษระดับใด จึงต้องมีการไต่สวนและพิจารณากำหนดขั้นโทษตามพยานหลักฐาน

    อธิกรณสมถะ มีจำนวน ๗ ข้อ เป็นวิธีการพิจารณาว่าจะตัดสินความผิดนั้นหรือไม่อย่างไร เช่น ตัดสินตามเสียงข้างมาก การประนอมยอมความ เป็นต้น

    ความผิดที่มีโทษขั้นเบา เรียกเป็นคำศัพท์ว่า อาบัติถุลลัจจัยบ้าง อาบัติทุกกฎบ้าง และอาบัติทุพภาษิตบ้าง เป็นสิกขาบทที่ไม่ได้มีอยู่ในพระปาติโมกข์

    เมื่อภิกษุรูปใดรูปหนึ่งอาบัติ ก็ถือกันว่าภิกษุรูปนั้นไม่บริสุทธิ์ จะไม่สามารถลงโบสถ์ร่วมทำสังฆกรรมกับภิกษุอื่นๆ ได้ จะต้องแก้อาบัติให้ตนกลับมีความบริสุทธิ์เสียก่อน การไม่กระทำความผิดข้อใดๆ ก็คือการรักษาศีลให้บริสุทธิ์อย่างเคร่งครัดนั่นเอง

    การปฏิบัติตนเพื่อแก้อาบัตินั้นมีต่างๆ กันไป สุดแท้แต่ความหนักเบาของศีลที่อาบัติ มีตั้งแต่การประกาศความผิดของตนต่อภิกษุอื่น การอยู่ในบริเวณจำกัด เฉพาะเพื่อสำนึกผิด ยกจนถึงการขาดจากความเป็นภิกษุ เช่น ภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิกจะต้องสึกออกไปใช้ชีวิตเป็นฆราวาส ไม่สามารถดำรงเพศเป็นภิกษุต่อไปอีกได้

    ปาราชิก

    คำว่า ปาราชิก สันนิษฐานว่าแปลว่า “ผู้แพ้” อาจหมายถึง “ผู้แพ้แก่วิถีชีวิตการเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา” ปาราชิกเป็นอาบัติขั้นที่ร้ายแรงที่สุด ภิกษุไม่ว่ารูปใด ถ้าหากอาบัติถึงขั้นปาราชิกแล้วจะสิ้นสภาพการเป็นภิกษุทันที แม้ว่าจะยังครองผ้าเหลืองหรือปฏิบัติตนอย่างภิกษุอื่นๆ อยู่ก็ตาม ภิกษุที่รู้ตนเองว่าอาบัติปาราชิกแล้วสามารถลาสิกขาไปใช้ชีวิตอยู่อย่างฆราวาสทั่วไปได้ แต่หากยังคงดื้อครองผ้าเหลืองหลอกให้ผู้คนกราบไหว้อยู่อีก ก็จะยิ่งเป็นบาปหนาที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ

    อาบัติปาราชิกมี ๔ ประการ ได้แก่ การเสพเมถุน การลักทรัพย์ การฆ่ามนุษย์ และการอวดอัตริมนุสธรรม

    ๑. การเสพเมถุน คือ การร่วมประกอบกิจกรรมทางเพศ ไม่ว่าจะกระทำกับผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือกระทำกับสัตว์ก็ตาม ปาราชิกข้อการเสพเมถุน บางทีก็เรียกกันว่า ปฐมปาราชิก แปลว่า “ปาราชิกข้อแรก”

    ๒. การลักทรัพย์ คือ การนำทรัพย์ของผู้อื่นไปเป็นของตนโดยเจตนา ในเมืองไทยกำหนดว่า การลักทรัพย์มีมูลค่าตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไป เป็นการผิดหรือเป็นอาบัติขั้นปาราชิก การเจตนาแอบอ้างความคิดหรือผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน หรือการเบียดบังเอาเงินในกองทุนที่มีผู้ศรัทธาถวายเป็นทานเพื่อใช้ในกิจของสงฆ์ หรือกิจของศาสนามาใช้ส่วนตัว ก็ถือว่าเป็นอาบัติปาราชิกเช่นกัน

    ๓. การฆ่ามนุษย์ คือ การเจตนาทำให้มนุษย์ถึงแก่ความตาย ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ ไม่ว่าจะลงมือฆ่าเองหรือใช้ให้คนอื่นฆ่าให้ก็ตาม ถือเป็นความผิดปาราชิกข้อที่ ๓ ทั้งสิ้น

    ๔. การอวดอุตริมนุสธรรม คือ การพูดอวดผู้อื่นว่าตนได้บรรลุธรรมะระดับสูง เช่น บรรลุโสดาบัน บรรลุอรหันต์ เป็นต้น ไม่ว่าตนจะได้บรรลุธรรมตามที่ตนได้อวดอ้างไปจริงหรือไม่ก็ตาม

    อาบัติปาราชิก หากผิดแม้แต่เพียงข้อเดียวก็ถือว่าภิกษุผู้อาบัติสิ้นสภาพการเป็นภิกษุแล้ว แม้จะไม่มีใครล่วงรู้หรือจับได้ก็ตาม การกราบไหว้บูชาภิกษุที่อาบัติปาราชิก นอกจากจะไม่เป็นบุญเป็นกุศลแล้ว ยังผิดมงคลที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้ที่ว่า บูชาบุคคลที่ควรบูชาอีกด้วย

    สังฆาทิเสส ๑๓

    ๑. ภิกษุแกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน ต้องสังฆาทิเสส.

    ๒. ภิกษุมีความกำหนดอยู่ จับต้องกายหญิง ต้องสังฆาทิเสส.

    ๓. ภิกษุมีความกำหนดอยู่ พูดเกี้ยวหญิง ต้องสังฆาทิเสส.

    ๔. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดล่อให้หญิงบำเรอตนด้วยกาม ต้องสังฆาทิเสส.

    ๕. ภิกษุชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องสังฆาทิเสส.

    ๖. ภิกษุสร้างกุฎีที่ต้องก่อและโบกด้วยปูนหรือดิน ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ จำเพาะเป็นที่อยู่ของตน ต้องทำให้ได้ประมาณ โดยยาวเพียง ๑๒ คืบพระสุคต โดยกว้างเพียง ๗ คืบ วัดในร่วมใน และต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก็ดี ทำให้เกินประมาณก็ดี ต้องสังฆาทิเสส.

    ๗. ถ้าที่อยู่ซึ่งจะสร้างขึ้นนั้น มีทายกเป็นเจ้าของ ทำให้เกินประมาณนั้นได้ แต่ต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ต้องสังฆาทิเสส.

    ๘. ภิกษุโกรธเคือง แกล้งโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ต้องสังฆาทิเสส.

    ๙. ภิกษุโกรธเคือง แกล้งหาเลสโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิก ต้องสังฆาทิเสส.

    ๑๐. ภิกษุพากเพียรเพื่อจะทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส

    ๑๑. ภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์นั้น ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส.

    ๑๒. ภิกษุว่ายากสอนยาก ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส.

    ๑๓. ภิกษุประทุษร้ายตระกูล คือประจบคฤหัสถ์ สงฆ์ไล่เสียจากวัด กลับว่าติเตียนสงฆ์ ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส.

    ***************************************************

    :b8: ข้อสังเกตุเกี่ยวกับ...การต้องอาบัติ “สังฆาทิเสส”
    ขอให้ทุกท่านศึกษาแนวทางจากกระทู้ข้างล่างนี้นะคะ
    เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ชัดเจน แจ่มแจ้ง ในเรื่อง สังฆาทิเสส

    :b44: ผิดหรือไม่ผิด ในสังฆาทิเสส ข้อแรก ??
    แสดงกระทู้ - ผิดหรือไม่ผิด ในสังฆาทิเสส ข้อแรก ?? • ลานธรรมจักร

    กล่าวโดยสรุปได้ว่า...การต้องอาบัติ “สังฆาทิเสส” ถ้าลาสิกขา (สึก) ไปเป็นคฤหัสถ์แล้วก็ไม่ต้องกังวลใจ เพราะอาบัติมีได้เฉพาะพระสงฆ์เท่านั้น ลาสิกขาไปเป็นคฤหัสถ์แล้วหามีอาบัติติดตัวไม่ อีกทั้งไม่มีผลปิดกั้นสวรรค์หรือมรรคผลนิพพานแต่อย่างใด สามารถสร้างบุญกุศลตามฐานะของตนก็บรรลุคุณธรรมชั้นสูงได้ แต่หากกลับมาบวชใหม่ หวนคืนสู่เพศบรรพชิตอีกครั้ง ก็จำเป็นที่จะต้องกระทำคืนหรือแก้ไขให้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ กล่าวคือ ต้องแก้ด้วยการขอมานัตอยู่ประพฤติวัตร หรือการอยู่กรรม (อยู่ปริวาสกรรม) อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ กรณี (ตามพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๖ จุลวรรค ภาค ๑ มานัตหนึ่งร้อย สึกอุปสมบทใหม่ ข้อ ๕๐๘-๕๑๑) เท่านั้น จึงจะพ้นจากอาบัติสังฆาทิเสสได้

    ***************************************************


    :b8: :b8: :b8: แหล่งข้อมูล :: ๑. หนังสือ...นวโกวาท (ฉบับประชาชน)
    -http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=19459-
    ๒. -http://www.sakulthai.com/DSakulcolumnde ... uthorid=19-

    :b47: การอยู่ปริวาสกรรม
    -http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=43529-

    :b47: ความเข้าใจพระวินัย : มมร.
    -http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=36150-
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โผล่อีกเคส ! ดร.หนีทุน ผู้ค้ำเล่าเศร้า เพื่อนสนิทวอนเซ็นค้ำ สุดท้ายต้องมาใช้หนี้แทน
    -http://education.kapook.com/view140919.html-

    โผล่อีกเคส ! ดร.หนีทุน ผู้ค้ำเล่าเศร้า ถูกเพื่อนครูคนสนิทวอนเซ็นค้ำ สุดท้ายต้องมาใช้หนี้แทน เผยมีเหยื่อ 3 ราย ใช้หนี้ 4 ล้านกว่า ต้องผ่อนจ่าย หากขาด 2 งวดโดนสั่งล้มละลาย

    เป็นข่าวครึกโครมที่สังคมให้ความสนใจ กรณี ดลฤดี จำลองราษฎร์ ทัตนแพทย์สาวหนีทุน จนทำให้ผู้ค้ำประกันต้องใช้หนี้แทน [อ่านข่าว หมอฟันหนีทุน คลิก] ทั้งนี้เรื่องดังกล่าว ไม่ใช่เป็นกรณีเดียวที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาผู้ค้ำต้องใช้หนี้แทนผู้หนีทุนมากมาย

    เฉกเช่นเรื่องราวของ อ.จันทิรา วิเศษณัฐ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ได้ออกมาเปิดเผยต่อรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 ว่า เธอเองก็เป็นผู้ค้ำประกันที่ถูกเบี้ยวทุนเช่นกัน และที่น่าเจ็บใจคือ.. คนที่เธอเซ็นค้ำประกันให้คือเพื่อนสนิทของเธอ

    โดยเรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2539 อ.จันทิรา เล่าว่า มีอาจารย์สาวท่านหนึ่งที่สอนอยู่ที่เดียวกันได้มาขอร้องให้เซ็นค้ำประกัน ทุนของ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอกที่รัฐมินิโซต้า สหรัฐอเมริกา โดนสาเหตุที่เซ็นค้ำคืออาจารย์สาวเป็นเพื่อนและเห็นว่าเป็นสิ่งที่นำมาพัฒนาประเทศ ซึ่งการเซ็นค้ำในครั้งนี้เพื่อความสบายใจก็ไม่ได้บอกครอบครัว โดยตนเซ็นร่วมกับ อาจารย์ผู้ชายอีกมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และนายทหารสามีของเพื่อนอีกท่านหนึ่ง

    อ.จันทิรา กล่าวต่อว่า อาจารย์คนดังกล่าวใช้เวลาเรียนตั้งแต่ปี 2539 จนถึง 2546 โดยในช่วงดังกล่าวมีการขยายเวลาเรียนถึง 3 ครั้ง ตอนนั้นยอดหนี้ประมาณ 5 ล้านบาท และเมื่อเรียนจบอาจารย์คนดังกล่าวก็แต่งงานกับสามีชาวสหรัฐฯ ดูมีฐานะ เลยคิดว่าไม่น่าเป็นปัญหาในการใช้หนี้

    แต่เมื่อปี 2548 ก็มีหมายศาลจากศาลปกครองกลาง ฟ้องร้อง อ.จันทริา และผู้ค้ำทั้งหมด โดยให้ชดใช้เงิน 14 ล้าน ทั้งค่าปรับและดอกเบี้ย ทั้งนี้ อ.จันทิรา เผยว่า อาจารย์สาวคนดังกล่าวได้ลาออกจากราชการตั้งแต่ปี 2546 แต่ไม่ได้แจ้งให้ผู้ค้ำรับทราบ ซึ่งตนก็ได้ติดต่อไปยังอาจารย์สาว และได้คำตอบว่า เดี๋ยวจะใช้หนี้ให้ โดยให้เบอร์ทนายและบอกให้ตนไม่ต้องไปศาล จุดนั้นตนก็เบาใจว่าอาจารย์สาวจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้

    จนกระทั่งเมื่อปี 2558 ศาลได้นัด อ.จันทิรา และผู้ค้ำทังหมดให้มารับสภาพหนี้เฉพาะเงินต้น 4 ล้านกว่าบาท หารกัน 3 คน เป็นเงิน 1.4 ล้านบาท โดยศาลให้ผ่อนจ่ายเดือนละ 1.4 หมื่นบาท หากขาดผ่อน 2 งวด ก็จะถูกสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย

    อย่างไรก็ดี อ.จันทิรา ทราบมาว่า อาจารย์สาวคนดังกล่าวได้ใช้หนี้ตั้งแต่ปี 2550-2553 ไปเพียง 6 ล้านบาท จาก 14 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ใช้หนี้เป็นเงินดอกเบี้ยและค่าปรับ ยังไม่ใช่เงินต้น และทราบมาว่า อาจารย์สาวได้ไปหย่ากับสามีที่สหรัฐฯ ขายบ้านที่กรุงเทพฯ ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครทราบว่าเธอไปอยู่ไหนและประกอบอาชีพอะไร รู้เพียงว่าบ้านมีฐานะและมีลูกสาวเป็นหมอ แต่เบอร์ที่เคยให้ติดต่อไว้ไม่สามารถติดต่อได้แล้ว

    นอกจากนี้ อ.จันทิรา ยังกล่าวว่า เธอก็ไม่ได้มีเงินมากมาย เพราะเป็นอาจารย์รับราชการ ตอนนี้มีความทุกข์มาก ๆ ตอนที่เพื่อนได้ทุนก็ดีใจที่เพื่อนจะกลับมาพัฒนาประเทศชาติ ไม่คิดว่าจะต้องมาใช้หนี้แทนเพื่อน เงินเป็นล้านมันเยอะ (น้ำตาคลอ)


    ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้
    -https://www.youtube.com/watch?v=DLrPtGtDVTA-
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไหว้เทพเจ้าโชคลาภ 2559 ไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย รับตรุษจีน
    -http://hilight.kapook.com/view/97134-

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    ไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภ วันตรุษจีน 2559 มาดูฤกษ์ไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย วิธีการไหว้พร้อมของไหว้ไฉ่ซิงเอี้ยกันเลย

    วันตรุษจีน ถือเป็นวันมหามงคลที่ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนต่างก็พากันประกอบพิธีกราบไหว้บูชาฟ้าดิน บูชาเทพเจ้า กราบไหว้บรรพบุรุษ โดยมีความเชื่อว่าการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ จะนำมาซึ่งความสุขความเจริญในชีวิต หน้าที่การงาน ธุรกิจการค้ามีความเจริญรุ่งเรือง มีโชคลาภ ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ทั้งแก่ตนเอง คนในครอบครัว และบริวาร โดยในวันตรุษจีน เทพเจ้าที่ชาวจีนจะไหว้เป็นเทพองค์แรกของปี ก็คือ ไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเอง

    สำหรับ ไฉ่ซิงเอี้ย (财神 หรือ Cai Shen, God of wealth, God of fortune) เทพเจ้าแห่งโชคลาภ นับเป็นเทพเจ้าที่ลูกหลานชาวจีนให้ความสำคัญมากที่สุด ในการเริ่มเข้าสู่ปีนักษัตรใหม่ ในช่วงตรุษจีน และจะได้รับการกราบไหว้เป็นเทพองค์แรก โดยเชื่อว่า ไฉ่ซิงเอี้ย จะช่วยดลบันดาลความมั่งมีศรีสุข ร่ำรวยโชคลาภเงินทองไหลมาเทมา เปี่ยมล้นด้วยความสุขสถาพรแก่ตนและคนในครอบครัวไปตลอดทั้งปี ชาวจีนเชื่อว่า องค์ไฉ่ซิงเอี้ย จะเสด็จมายังโลกมนุษย์เพียงปีละครั้ง คือ ในวันตรุษจีน ดังนั้นตั้งแต่โบราณ เมื่อเข้าสู่วันตรุษจีนชาวจีนจะทำการตั้งโต๊ะบูชาไฉ่ซิงเอี้ย โดยการหันหน้าไปทิศต่าง ๆ ที่เชื่อว่าไฉ่ซิงเอี้ยจะเสด็จลงมา ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละปี

    สำหรับ วันตรุษจีน 2559 ซึ่งตรงกับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2559 เทพไฉ่ซิงเอี้ย จะเสด็จลงมาทางทิศตะวันตก เทพเจ้าสิริมงคลเสด็จมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เทพเจ้าอุปถัมภ์เสด็จมาทางทิศตะวันตก และมีฤกษ์ ไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย 2559 ในวันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 01.00-03.00 น. (หลังเที่ยงคืนของวันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2559) ซึ่งเป็นช่วงที่ฟ้าเปิด เป็นฤกษ์ที่ดีที่สุด และให้ตั้งโต๊ะไหว้หน้าบ้านไปทางทิศตะวันตก เพื่ออัญเชิญเทพเจ้าโชคลาภ เทพเจ้าสิริมงคล เทพเจ้าอุปถัมภ์ มาประทานพร

    ของไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย

    1. รูปภาพหรือรูปปั้น เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ย
    2. แจกันดอกไม้สด 1 คู่
    3. เทียนแดง 1 คู่
    4. กระถางธูป 1 ใบ
    5. ธูป 3 ดอก ต่อหนึ่งคน
    6. ผลไม้ 5 อย่าง (เช่น องุ่น แอปเปิล กล้วย สาลี่ และส้ม)
    7. สาคูแดงต้มสุก 5 ถ้วย
    8. น้ำชา 5 ถ้วย
    9. ข้าวสวย 5 ถ้วย
    10. ขนมจันอับ 1 จาน
    11. เจฉ่าย 5 อย่าง (เช่น เห็ดหอม เห็ดหูหนู ดอกไม้จีน วุ้นเส้น และฟองเต้าหู้)
    12. หงิ่งเตี๋ย 12 ชุด
    13. กิมหงิ่งเต้า 1 คู่
    14. เทียงเถ้าจี๊ 1 ชุด
    15. กระดาษสีเขียว 1 แผ่น (เทียบเชิญสีเขียว)
    16. เทียบเชิญแดง 1 แผ่น

    โดยปกติ ชุดไหว้องค์ไฉ่ซิงเอี้ย จะมีขายตามศาลเจ้าจีนทั่วไป หรือร้านขายพวกของมงคลของจีน ซึ่งอาจจะต้องตรวจสอบก่อนว่ามีของครบหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในบรรดาชุดไหว้ทั้งหมด ก็คือเทียบเชิญสีแดง และสีเขียว เพื่อใช้เขียนชื่อที่อยู่ของผู้ไหว้ และเขียนเชิญไฉ่ซิงเอี้ยนั่นเอง

    การประกอบพิธีไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย

    1. ตั้งโต๊ะบูชาพร้อมจัดเครื่องเซ่นไหว้ก่อนเวลาที่เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยจะเสด็จลงมาเล็กน้อย โดยหันไปทางทิศตะวันตก และผู้ไหว้หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเช่นกัน

    2. เมื่อได้เวลา ผู้นำพิธีจุดธูปไหว้ 3 ดอก กล่าวอัญเชิญ ขอพรและโชคลาภจากไฉ่ซิงเอี้ย โดยกล่าวว่า "วันนี้ข้าพเจ้า..(ชื่อผู้ขอพร).. ขอเรียนเชิญองค์ไฉ่ซิงเอี้ย มารับเครื่องสักการะบูชา ซึ่งมี (กล่าวถึงสิ่งที่ท่านได้จัดเตรียมและนำมาถวาย) และหลังจากองค์ท่านได้รับเครื่องสักการะเหล่านี้แล้ว จงประทานพรให้ครอบครัวของข้าพเจ้าทุกคน จงประสบแต่โชคลาภความสุข และความสำเร็จ สมดังที่มุ่งหวังทุกประการ

    3. ผู้ร่วมพิธีและคนที่ชงในปีนี้จุดธูปและไหว้ขอพร

    4. ผู้นำพิธีนำของไหว้ที่เป็นกระดาษทั้งหมด เผารวมกับเทียบเชิญแดงและสีเขียว

    5. ผู้นำพิธีอัญเชิญไฉ่ซิงเอี้ย กระถางธูป เทียนแดง เข้าไปในบ้าน และปิดประตูบ้าน เพื่อเชิญเทพเข้าบ้าน

    สำหรับของไหว้ที่เป็นอาหาร ผลไม้ และขนม สามารถรับประทานได้ทันทีหรือเก็บไว้ก็ได้ แต่ไม่ควรทิ้งไปเพราะถือเป็นของมงคล ทั้งนี้ หากไม่สะดวก หรือไม่มีเวลาจัดเตรียมของไหว้ สามารถใช้เพียงธูปเทียน จุดธูปกล่าวอัญเชิญท่าน ตามฤกษ์และทิศทางที่ท่านจะเสด็จมา และกล่าวคำสักการะขอพรจากเทพเจ้าแห่งโชคลาภ จากนั้นปักธูปลงในกระถาง แล้วกล่าวอัญเชิญท่าน เข้ามาทางประตูบ้าน
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คลิปนี้มีสาระ วิธีเอาตัวรอดเมื่อยางรถระเบิดขณะขับขี่
    -http://world.kapook.com/pin/56a5e6e34d265a711c8b457a?keypages=relates_hilight-

    https://www.youtube.com/watch?v=Jw5kLIFVFCM
    -https://www.youtube.com/watch?v=Jw5kLIFVFCM-
    คลิปนี้มีสาระ วิธีเอาตัวรอดเมื่อยางรถระเบิดขณะขับขี่

    โพสต์โดย arkhamcity00 เมื่อ 25 ม.ค. 59 16:12:03

    คลิปนี้มีสาระ วิธีเอาตัวรอดเมื่อยางรถระเบิดขณะขับขี่
    กรณีเมื่อรถยางระเบิดในขณะขับรถ มีข้อแนะนำให้ปฏิบัติ ดังนี้

    1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่­นคง
    2. ถอนคันเร่งออก
    3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจมองกระจกหลังเพื่อใ­ห้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง
    4. แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุน
    5. ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะถ้าเหยียบ­คลัตช์รถจะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัวและจะทำให้­บังคับรถได้ยากยิ่งขึ้น อาจเสียหลัก เพราะการเหยียบคลัตช์เป็นการตัดแรงบิดของเ­ครื่องยน

    เครดิตจาก : -https://www.facebook.com/video.php?v=10153785212167829-
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค)
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2373 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นบุตรสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) กับหม่อมพึ่ง ธิดาเจ้าพระยาพลเทพ (บุญนาก บ้านแม่ลา) เข้ารับราชการในรัชกาลที่ 4 เป็นนายไชยขรรค์ หุ้มแพรมหาดเล็ก แล้วเป็นจมื่นทิพรักษา และจมื่นราชามาตย์ ปลัดกรมพระตำรวจในซ้าย ตามลำดับ จนในปี พ.ศ. 2400 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรี ณ ประเทศอังกฤษ ซึ่งครั้งนั้นมีพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) เป็นราชทูตนั้น จมื่นราชามาตย์ (ท้วม บุนนาค) ได้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับเครื่องราชบรรณาการ ที่จะนำไปถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เมื่อกลับมา โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นพระเพชรพิไสยศรีสวัสดิ์ ปลัดเมืองเพชรบุรี ท่านเป็นแม่กองคุมการก่อสร้างพระนครคีรี ที่เขาวัง จังหวัดเพชรบุรี สร้างสะพานช้างข้ามแม่น้ำเพชรบุรี สร้างถนนจากเขาวังไปเขาหลวง และถนนราชวิถี เป็นต้น

    เมื่อพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) ที่สมุหพระกลาโหมฝ่ายเหนือถึงอนิจกรรมลง รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์พระเพชรพิไสยฯ เป็นพระยาเทพประชุน ตำแหน่งปลัดทูลฉลองกรมกลาโหม แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ออกไปราชการเรื่องสายโทรเลข ที่เมืองสิงคโปร์และเมืองภูเก็ต เมื่อกลับเข้ามาพระนคร ในปี พ.ศ. 2411 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นแม่กองการทำพลับพลาค่ายหลวงที่ว่าการแขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเสด็จประทับทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ ท่านทำหน้าที่กราบทูลพระกรุณามอบถวายสรรพสิ่งซึ่งเป็นเครื่องประดับพระบรมราชอิสริยยศ และราชสมบัติทั้งปวงตามพระราชประเพณีแทน เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ต่อมา พ.ศ. 2412 ได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี ตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง และกรมท่า ทั้งว่าการต่างประเทศด้วย และในปี พ.ศ. 2416 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้า ชุดนี้ขึ้นและได้รับพระราชทานให้แก่เสนาบดีชั้นเจ้าพระยาเป็นครั้งแรก

    เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี เป็นเสนาบดีคนแรกของกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2418 หลังจากมีประกาศพระราชบัญญัติตั้งกระทรวงพระคลังมหาสมบัติขึ้น แยกราชการฝ่ายการคลังออกจากกระทรวงการต่างประเทศ ต่อมากราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีว่า การต่างประเทศ เนื่องจากมีโรคภัยเบียดเบียน ท่านถึงอสัญกรรม เมื่อ พ.ศ. 2456 อายุ 83 ปี

    บุตร ธิดา

    เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดีมีบุตรธิดารวม 25 คน เป็นชาย 17 คน หญิง 8 คน โดย สมรสกับคุณหญิงสุ่น มีบุตร 2 คน ได้แก่ พระยาราชานุประพันธ์ (สุดใจ) และพระยาราชานุประพันธ์ (ทุ้ย) และมีบุตรธิดากับภรรยาอื่น ที่สำคัญ ได้แก่ พระยาราชานุประพันธ์ (เปีย) ,พระยาไกรสีห์ (เทียม) , พระยาจำนงดิฐการ (เทพ) ,พระยาธรรมสารเนติ (ถึก) ,หลวงเทพประกาศ (ทิว) , พระศรีธรรมสาส์น (แทน)
    เครื่องราชอิสริยาภรณ์

    Order of Chula Chom Klao - 1st Class (Thailand) ribbon.png เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า
    King Rama IV Royal Cypher Medal (Thailand) ribbon.png เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 4 ชั้นที่ 3 (ม.ป.ร.3)[1]

    อ้างอิง

    ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๔, เล่ม ๒๑, ตอน ๓๒, ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๗, หน้า ๕๖๔

    เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี bunnag.in.th

    --------------------------------------------------


    เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค)
    -http://www.bunnag.in.th/prarajpannuang006.html-

    (8) ๓:ด เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี มีนามว่า ท้วม เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๓ เป็นบุตรสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) กับหม่อมพึ่ง ธิดาเจ้าพระยาพลเทพ (บุญนาก บ้านแม่ลา) เข้ารับราชการในรัชกาลที่ ๔ เป็นนายไชยขรรค์ หุ้มแพรมหาดเล็ก แล้วเป็นจมื่นทิพรักษา และจมื่นราชามาตย์ ปลัดกรมพระตำรวจในซ้าย ตามลำดับ

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรี ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ ซึ่งมีพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) เป็นราชทูตนั้น จมื่นราชามาตย์ (ท้วม บุนนาค) ได้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับเครื่องราชบรรณาการ ที่จะนำไปถวายสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย เมื่อกลับมาแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นพระเพชรพิไสยศรีสวัสดิ์ ปลัดเมืองเพชรบุรี ได้เป็นแม่กองคุมการก่อสร้างพระนครคีรี ที่เขาวัง จังหวัดเพชรบุรี ได้สร้างสะพานช้างข้ามแม่น้ำเพชรบุรี สร้างถนนจากเขาวังไปเขาหลวง และถนนราชวิถี เป็นต้น

    การสร้างพระราชวังพระนครคีรีนั้น ได้จำลองแบบ อย่างมาจากพระบรมมหาราชวัง และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์มีนามว่า พระสุทธเสลเจดีย์ กับให้บูรณะพระเจดีย์องค์เก่าให้สวยงาม ได้พระราชทานนามว่า พระธาตุ จอมเพชร พระเจดีย์องค์นี้มีรูปปั้นของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานอยู่ด้วย

    ต่อมาพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) ที่สมุหพระกลาโหมฝ่ายเหนือถึงอนิจกรรมลง รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์พระเพชรพิไสยฯ เป็นพระยาเทพประชุน ตำแหน่งปลัดทูลฉลองกรมกลาโหม แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ออกไปราชการเรื่องสายโทรเลข ที่เมืองสิงคโปร์และเมืองภูเก็ต เมื่อกลับเข้ามาพระนคร โปรดเกล้าฯ ให้เป็นแม่กองการทำพลับพลาค่ายหลวงที่ว่าการแขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเสด็จประทับทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ในปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ ครั้งนั้นได้ตามเสด็จฯ ได้ป่วยเป็นไข้ป่า (มาเลเรีย) อาการหนัก และหายจากไข้ได้ในเวลาต่อมา

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ พระยาเทพประชุน (ท้วม บุนนาค) ปลัดทูลฉลองกรมกลาโหม ทำหน้าที่กราบทูลพระกรุณามอบถวายสรรพสิ่งซึ่งเป็นเครื่องประดับพระบรมราชอิสริยยศ และราชสมบัติทั้งปวงตามพระราชประเพณีแทน เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕

    พ.ศ. ๒๔๑๒ ได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี ตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง และกรมท่า ทั้งว่าการต่างประเทศด้วย พ.ศ. ๒๔๑๖ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้า ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างชุดนี้ขึ้นและพระราชทานเป็นครั้งแรกให้แก่เสนาบดีชั้นเจ้าพระยา

    ในปี พ.ศ. ๒๔๑๘ ได้มีประกาศพระราชบัญญัติตั้งกระทรวงพระคลังมหาสมบัติขึ้น แยกราชการฝ่ายการคลังออกจากกระทรวงการต่างประเทศ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี เป็นเสนาบดีคนแรกของกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๑๘ และทางกระทรวงการต่างประเทศถือว่าวันที่ ๑๔ เมษายน เป็นวันสถาปนากระทรวงการต่างประเทศ

    ภายหลัง เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ มีโรคภัยเบียดเบียน จึงกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีว่า การต่างประเทศ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๘ ท่านถึงอสัญกรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ อายุ ๘๓ ปี

    เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) สมรสกับคุณหญิงสุ่น มีบุตร ๒ คน ได้แก่ พระยาราชานุประพันธ์ (สุดใจ) และพระยาราชานุประพันธ์ (ทุ้ย) ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีบุตรธิดากับภรรยาอื่น ที่สำคัญ ได้แก่

    พระยาราชานุประพันธ์ (เปีย) ในรัชกาลที่ ๖
    พระยาไกรสีห์ (เทียม) ในรัชกาลที่ ๕
    พระยาจำนงดิฐการ (เทพ) ในรัชกาลที่ ๖
    พระยาธรรมสารเนติ (ถึก) ในรัชกาลที่ ๖
    หลวงเทพประกาศ (ทิว) ในรัชกาลที่ ๖
    พระศรีธรรมสาส์น (แทน) ในรัชกาลที่ ๖

    เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดีมีบุตรธิดารวม ๒๕ คน เป็นชาย ๑๗ คน หญิง ๘ คน นับเป็นลำดับชั้นที่ ๔

    เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค)
    -http://www.bunnag.in.th/prarajpannuang006.html-
    รูปที่ 1
    เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี ถ่ายเมื่อเป็น
    พระเพชรพิไสยศรีสวัสดิ์ ปลัดเมืองเพชรบุรี



    เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค)
    -http://www.bunnag.in.th/prarajpannuang006.html-
    รูปที่ 2
    เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เสนาบดีกรมท่าหรือเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ



    -https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B5_%28%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A1_%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%29-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 076.jpg
      076.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.2 KB
      เปิดดู:
      33
    • 077.jpg
      077.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.5 KB
      เปิดดู:
      37
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เวนคืนทั่วกรุงขยายคลอง-ขยายซอย-ตัดถนนใหม่ รวม15โครงการปีหน้า
    | เดลินิวส์
    -http://www.dailynews.co.th/bangkok/377632-

    „เวนคืนทั่วกรุงขยายคลอง-ขยายซอย-ตัดถนนใหม่ รวม15โครงการปีหน้า

    กทม.เตรียมเวนคืนทั่วกรุงขยายคลอง-ขยายซอย-ตัดถนนใหม่ รวม 15โครงการเสนอออกพ.ร.ฎ.คาดมีผลบังคับใช้ปีหน้า วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 9:57 น. นายศักดิ์ชัย บุญมา ผู้อำนวยการกองจัดกรรมสิทธิ์ สำนักการโยธา(สนย.) เปิดเผยว่า หลังจาก สนย. จัดดำเนินโครงการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนเชิงรุกและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นในการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ระยะที่ 2 เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลความจำเป็น สาระสำคัญของโครงการก่อสร้างถนนของ กทม.จำนวน 15 โครงการ ตลอดจนขั้นตอนการจัดกระบวนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน เมื่อวันที่ 16 ม.ค.-31 ม.ค. 2559 ประกอบด้วย

    การก่อสร้างและขยายคลอง 2 โครงการ คือ ขยายคลองและก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. คลองพระยาราชมนตรี ช่วงคลองหนองใหญ่ ถึงคลองภาษีเจริญ และ
    ขยายคลองและก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. คลองลุงหน่าง
    ช่วงทางรถไฟสายแม่กลอง-มหาชัยถึงคลองบางบอน
    โครงการสร้างทางกลับรถยนต์ใต้สะพานข้ามคลองแสนแสบ (สะพานยกระดับถนนสุวินทวงศ์)1 แห่ง

    และก่อสร้างพร้อมขยายถนนอีก 12 โครงการ คือ
    1.ก่อสร้างถนนซอยเพชรเกษม 16 บรรจบซอยจรัญสนิทวงศ์ 1
    2.ก่อสร้างถนนเชื่อมระหว่างนิมิตใหม่ กับถนนคลองเก้า
    3.สร้างถนนเชื่อมระหว่างถนนนนทรีช่วงปลาย กับถนนยานนาวา
    4.โครงการก่อสร้างและปรับปรุง ซอย 101
    5.ก่อสร้างทางเชื่อมระหว่างถนนพหลโยธินกับถนนรัตนโกสินทร์สมโภช (เพิ่มเติม 4 จุด)
    6.สร้างและปรับปรุงถนนจตุโชติ-ถนนเพิ่มสิน
    7.ตัดซอยเชื่อมระหว่างถนนสายไหมกับถนนเพิ่มสิน
    8.สร้างทางเชื่อมระหว่างถนนสุวินทวงศ์กับถนนเลียบวารี
    9.ก่อสร้างและปรับปรุงถนนพระราม 2 ซอย 82
    10.ขยายถนนพุทธมณฑลสายอักษะ (ถนนอุทยาน)
    11.โครงการสร้างทางสายเชื่อมระหว่างถนนศรีนครินทร์กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3119 และ
    โครงการขยายถนนคุ้มเกล้า

    ซึ่งในภาพรวมนั้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จากนี้จะเป็นการประชุมกลุ่มย่อยของทั้ง 15 โครงการ จำนวนประมาณ 50 ครั้ง ตามจุดที่มีปัญหาของแต่ละเส้นทาง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ4 เดือน คาดว่าจะประชุมแล้วเสร็จประมาณสิ้นเดือน พ.ค. นี้ นายศักดิ์ชัย กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะทยอยเสนอกระทรวงมหาดไทย เพื่อนำเข้าสู่ขั้นตอนออกพ.ร.ฎ.เวนคืน ซึ่งจะใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ 1 ปี คาดว่าพ.ร.ฎ.เวนคืนจะออกมามีผลบังคับใช้ในปี 2560 โดยจะดำเนินการในส่วนของโครงการที่มีปัญหาน้อย ประชาชนเห็นด้วยก่อน ส่วนในจุดที่จะต้องมีผู้ได้รับผลกระทบมากจะต้องเร่งไปทำความเข้าใจ อย่างไรก็ตามเมื่อมีการออกพ.ร.ฎ.เวนคืนแล้ว จะมีการเสนอของบประมาณเพื่อดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากผู้บริหารในการจัดลำดับความสำคัญของแต่ละโครงการเพื่อนำมาจัดสรรงบว่าโครงการใดสมควรก่อสร้างก่อนหลัง.“

    อ่านต่อที่ : เวนคืนทั่วกรุงขยายคลอง-ขยายซอย-ตัดถนนใหม่ รวม15โครงการปีหน้า | เดลินิวส์
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    " หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เห็นพระตกนรก "

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือ พระราชพรหมยาน แห่งวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นเลิศในฤทธิ์ทางใจ หรือ มีวิชามโนมยิทธิ ท่านได้กล่าวเล่าถึงประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ท่านได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งตกนรกจากหนังสือ ตายแล้วไม่สูญ…แล้วไปไหน ว่า

    ครั้งหนึ่งมีพระผู้ทรงสมณศักดิ์รูปหนึ่งเป็นถึงระดับท่านเจ้าคุณอยู่ที่วัดฝั่งพระนคร โดยที่พระรูปนี้ท่านกล่าวเอาไว้ว่า “บวชพระมาสามสิบปีเศษแล้วไม่เคยเห็นนรกสักนิด” ซึ่งนับเป็นความเห็นที่ผิดมาก ยิ่งได้อยู่ในสถานะที่เป็นพระภิกษุด้วยแล้วจึงยิ่งให้ผลกรรมหนักมากขึ้นเพราะตลอดชีวิตของพระสมณะรูปนี้ได้กระทำผิดพระวินัยมากมาย ทำให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำไม่เคยชอบใจเลยที่จะต้องไปพบกับพระรูปนี้

    เมื่อพระสมณะรูปนี้ได้มรณภาพลง ครั้งหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำขึ้นได้นั่งสมาธิภาวนาเพื่อที่จะลงไปดูนรก โดยที่เมื่อไปถึงก็ได้พบกับพระยายมราช โดยที่ท่านจะเรียกพระยายมราชว่า “ท่านลุง” โดยพระยายมราชได้กล่าวเล่าถึงผลการตัดสินโทษของพระสมณะที่เพิ่งตายลงมารูปนั้นว่า

    “ยมบาลเขาตัดสินแล้วขณะนี้ พระรูปนั้นอยู่ในอเวจีมหานรก” ซึ่งทำให้ท่านเกิดความสงสัยจึงถามว่า “พระตกนรกด้วยหรือ” พระยายมราชก็ตอบว่า “พระภิกษุนั้นตกนรกเป็นประจำ เพราะพระเหล่านั้นบวชแล้วไม่ทำตัวเป็นพระ ก็ต้องตกนรกเป็นธรรมดา”

    หลวงพ่อเกิดความสงสัยจึงถามท่านต่อว่า “พระที่เทศน์สอนชาวบ้านเรื่องนรกสวรรค์ได้ ทำไมต้องตกนรก” ท่านจึงตอบว่า “ก็พระดีแต่สอนชาวบ้านแต่ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติตนตามที่สอนเขา บอกให้คนอื่นทำดีแต่ตัวไม่ทำด้วย พระอย่างนี้ลงนรกหมดและก็มีโทษหนักมาก”

    หลวงพ่อท่านจึงปรารภว่า “ผมอยากเห็นท่านเจ้าคุณ” ซึ่งท่านหมายถึงพระรูปที่ตกนรกนั่นเอง

    พระยายมราชจึงได้ยกมือขึ้น ก็ปรากฏว่ามีภาพอเวจีมหานรกมาปรากฏใกล้ตัวท่านและภาพท่านเจ้าคุณผู้นั้นก็ปรากฏเป็นลักษณะดังนี้

    ท่านต้องยืนกางแขน มีหอกปักจากเพดานเหล็กด้านบนปักติดอยู่ที่มือทั้งสองข้าง ปลายด้ามหอกติดเพดานหัวหอกติดพื้นเหล็กด้านล่างที่เป็นพื้น มีหอกปักด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้าง ตรงหัวสลับกัน ส่วนหอกด้านปลายและด้ามตรึงติดกำแพงเหล็ก กล่าวคือสภาพร่างกายทั่วตัวมีหอกปักตรึงจนขยับเขยื้อนไม่ไหว และมีเปลวไฟละเอียดร้อนมากกว่านรกทุกขุมพุ่งมาเผาอยู่ตลอดเวลา

    เหตุที่ทำให้พระเจ้าคุณรูปนี้ต้องรับโทษเช่นนี้ก็เพราะว่า พระรูปนี้ได้ทำผิดสร้างกรรมเอาไว้มากมายเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์โดย

    1. เมื่อบวชแล้วท่านไม่สนใจในการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ไม่สนใจในการปฏิบัติสมถะภาวนา ไม่เคยวิปัสสนากรรมฐานใดๆ ซึ่งผิดวิสัยความเป็นพระ เมื่อทำตนไม่สมควรในความเป็นพระ จึงจัดเป็นความผิด คือเป็นคนลวงโลก หลอกชาวบ้านว่าเป็นพระคอยเอาเปรียบผู้อื่น

    2. เมื่อได้ศึกษาพระปริยัติธรรมแล้ว ไม่ยอมประพฤติตามธรรมนั้น โดยมุ่งเอาความรู้ไปสอนชาวบ้าน โดยเป็นไปในทางหวังเพื่อให้เกิดทรัพย์สินแก่ตน ไม่เคยนำทรัพย์สินนั้นๆ ไปสงเคราะห์ส่วนสาธารณประโยชน์หรือบำรุงพระศาสนา โดยเอาไปซื้อที่ดิน ซื้อทอง ออกเงินให้กู้ ซึ่งเป็นวิสัยของฆราวาส พระภิกษุรูปอื่นท่านห้ามไม่ให้ทำแต่ก็ยังฝืนทำ

    3. เมื่อมีทรัพย์ก็มีความทะเยอทะยานอยากได้ยศ เมื่อมียศแล้วก็เมายศ คิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ แม้แต่เห็นผู้ที่ทรงฌานแล้วก็ยังกล้าคัดค้านเหยียดหยามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง

    4. ในฐานะที่ท่านเป็นพระทรงสมณะศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ เมื่อเป็นพระมีศักดิ์ใหญ่ อำนาจก็ต้องมาก และมีลูกน้องใต้บังคับบัญชาก็มาก ใครอยากได้ยศได้ตำแหน่งอะไรก็ต้องเสียเงินให้ตามอัตรา เวลามาขอยศขอตำแหน่ง ก็ต้องหาพานมาประเคนโดยมีเงินเป็นที่ตั้ง

    เวลานิมนต์เทศน์ต้องติดเงินก้อนใหญ่ๆให้ ทำให้ท่านกลายเป็นพระมหาเศรษฐีใหญ่ มีลูกหนี้มาก คือมีเงินให้กู้มากๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผิดวิสัยสงฆ์ชัดเจน ซึ่งหลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านก็ได้ถามกับ ท่านเจ้าคุณผู้ตกนรกเกี่ยวกับทรัพย์สินที่มีอยู่ ก็สามารถบอกได้ทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง

    5. ในฐานะที่พระรูปนี้เป็นพระปลอม คือบวชแต่ตัวและมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ และกามสุข มีพระที่มีศีลบริสุทธิ์บ้าง มีสมาธิตั้งมั่นบ้าง มีวิปัสสนาดี เป็นถึงพระอริยเจ้ามากราบไหว้ท่าน ท่านก็เลยหลงในอำนาจทำวางอำนาจบาตรใหญ่ในฐานะเป็นเจ้าคุณ กรรมข้อนี้อีกข้อหนึ่งที่ทำให้ท่านลงอเวจีมหานรก

    เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ได้พังเรื่องราวนี้จบแล้ว ท่านก็ดีใจกราบลาท่านลุงกลับบ้านแล้วนำเรื่องราวที่ท่านได้ไปท่องนรกมาบอกกล่าวแก่ญาติโยมโดยเฉพาะคุณยายที่เคยสนิทสนมกับอดีตท่านเจ้าคุณรูปนี้ให้ฟังถึงผลกรรมที่ท่านเจ้าคุณเคยกระทำไว้เมื่อยังมีชีวิตว่า ผลกรรมที่ทำเพราะความโลภ และความหลงในตนนั้นมีผลร้ายแรงกว่าทำในขณะที่เป็นฆราวาสมากมายนัก

    ที่มา -https://www.facebook.com/bunditpin/posts/1040549902691254-
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พิสูจน์ความเชื่อ : พิธีกรรมร่ำรวย เศรษฐีเรือทอง
    https://www.youtube.com/watch?v=zrDn9QB7waU
    -https://www.youtube.com/watch?v=zrDn9QB7waU-



    วัดพุน้อย เศรษฐีเรือทอง พิธีรับเรือแม่ตะเคียน
    https://www.youtube.com/watch?v=SlbqLOWO44c
    -https://www.youtube.com/watch?v=SlbqLOWO44c-



    ที่นี่เศรษฐีเรือทอง ตอน เปิดตำนานเรือแม่ตะเคียนทอง หลวงปู่แบน วัดพุน้อย
    https://www.youtube.com/watch?v=NA3YfU-Ibmk
    -https://www.youtube.com/watch?v=NA3YfU-Ibmk-



    ที่นี่เศรษฐีเรือทอง ตอน รู้และเข้าใจในทานบารมี
    https://www.youtube.com/watch?v=mhlvFKmOcsk
    -https://www.youtube.com/watch?v=mhlvFKmOcsk-



    ประสบการณ์จริงก่อนบูชาเรือ
    https://www.youtube.com/watch?v=BPYdcRcyA80
    -https://www.youtube.com/watch?v=BPYdcRcyA80-



    เศรษฐีเรือทอง เรื่องเด็ด 7 ย่านน้ำ 27 พฤษภาคม 2558
    https://www.youtube.com/watch?v=qKyaP6iIrsI
    -https://www.youtube.com/watch?v=qKyaP6iIrsI-



    พิสูจน์เรื่องจริง ตอน ที่มาสติ๊กเกอร์ "เศรษฐีเรือทอง" - Springnews
    https://www.youtube.com/watch?v=eagyGLhqsTc
    -https://www.youtube.com/watch?v=eagyGLhqsTc-



    ไขปมข่าว 06/8/57 : เปิดตำนาน "เศรษฐีเรือทอง"
    https://www.youtube.com/watch?v=Myk-bNbxwAw
    -https://www.youtube.com/watch?v=Myk-bNbxwAw-

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รถตู้สายซิ่งรีบจัดขับรถปาดหน้า เสร็จลงมาหาเรื่องพร้อมวลีเด็ด รู้มั้ยกูเด็กไหน!!!
    -http://world.kapook.com/pin/56cfefbc4d265a1a768b4592-


    รถตู้ห้าวรีบจัดขับรถปาดหน้า เสร็จลงมาหาเรื่องพร้อมวลีเด็ด รู้มั้ยกูเด็กไหน!!!
    https://www.youtube.com/watch?v=yazVwuWj-U8
    -https://www.youtube.com/watch?v=yazVwuWj-U8-

    ---------------------------------------------------

    แท็กซี่ผวา ส่งคลิปแจ้งจับโชเฟอร์รถตู้ ชักปืนลงมาขู่กลางถนน
    -http://news.sanook.com/1955858/-


    โชเฟอร์แท็กซี่หวั่นไม่ปลอดภัย หอบคลิปแจ้งความ หลังโดนโชเฟอร์รถตู้ชักปืนออกมาขู่กลางถนน ระหว่างไปส่งผู้โดยสาร ยอมรับเปลี่ยนเลนกะทันหัน ทำให้คู่กรณีไม่พอใจ แต่ทำเกินกว่าเหตุ

    เมื่อวานนี้ (26 ก.พ.) ร.ต.อ.กนก วังใจฟู ร้อยเวรสอบสวน สภ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ได้รับแจ้งเหตุร้องทุกข์จากโชเฟอร์แท็กซี่คันหนึ่ง ระบุว่าถูกโชเฟอร์รถตู้ใช้อาวุธปืนข่มขู่ บริเวณหน้าโรงซ่อมรถไฟฟ้าสายสีม่วง ถ.กาญจนาภิเษก ฝั่งขาเข้า อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยนำภาพหลักฐานจากกล้องติดหน้ารถมามอบไว้เป็นหลักฐาน

    นายสมโภช อายุ 59 ปี โชเฟอร์แท็กซี่ ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่า หลังจากรับผู้โดยสารจากห้างสรรพสินค้าโรบินสันปากเกร็ด มาส่งปลายทางที่บางใหญ่ซิตี้ เมื่อถึงที่เกิดเหตุ นายสมโภช ได้เปลี่ยนช่องทางกะทันหัน ทำให้รถตู้ที่ขับมาอีกเลนบีบแตรเสียงดัง พร้อมกับขับแซงทางด้านซ้ายของรถแท็กซี่

    จากนั้นคนขับรถตู้คันดังกล่าวได้เปิดประตูรถลงมา พร้อมกับชักอาวุธปืนออกมา ทำท่าเหน็บปืนเอาไว้เอวด้านหลัง ตนได้ตะโกนบอก ขอโทษ พร้อมกับยกมือไหว้ แต่คนขับรถตู้กลับเดินตรงเข้ามาหาตน ใช้มือขวาชักอาวุธปืนแบบแม็กกาซีนออกมา พร้อมพูดจาข่มขู่

    จากนั้นก็เดินกลับไปที่รถตู้คันเดิม พร้อมกับขับออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดกล้องวงจรปิดที่หน้ารถแท็กซี่ของตนได้บันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ได้ทั้งหมด จากนั้นตนจึงเดินทางเข้ามาแจ้งความที่ สภ.บางบัวทอง เพราะเกรงว่าตนเองจะไม่ปลอดภัย

    นายสมโภช ยังกล่าวต่อว่า ตนขับรถแท็กซี่มา 7 ปี ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน และระหว่างนั้นก็มีผู้โดยสารผู้หญิงนั่งอยู่ด้วย คนขับรถตู้ยังแสดงพฤติกรรมแบบนี้ แสดงว่าผู้ก่อเหตุไม่ได้เกรงกลัวต่อกฎหมายแต่อย่างใด พร้อมฝากเตือนเพื่อนร่วมอาชีพว่า ถ้าเจอกรณีแบบเดียวกับตนให้ใจเย็นๆ อย่าใช้อารมณ์ เพราะอาจจะทำให้เกิดความสูญเสียที่คาดไม่ถึงได้

    เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่คนขับรถแท็กซี่นำมาเป็นหลักฐาน พบว่าเป็นรถยนต์ตู้ส่วนบุคคล โตโยต้า คอมมูเตอร์ สีขาว ทราบชื่อคนขับแล้ว คือ นายสุชาติ อายุ 44 ปี โดยทางพนักงานสอบสวนจะทำการออกหมายเรียกคนขับรถยนต์ตู้ เพื่อมาสอบปากคำพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถ้าแต่งบัญชี คนที่ดูเป็น ดูยังไงก็รู้

    แต่ถ้าเป็นการเดินบัญชีจากข้อเท็จจริง นั่นเป็นสิ่งที่ดี


    ------------------------------------

    เทคนิคการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement) ให้ดูดี
    -http://money.sanook.com/363379/-


    -https://moneyhub.in.th/-
    สนับสนุนเนื้อหา

    รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารดูจะเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นขึ้นมาทันที เมื่อเจ้าของบัญชีต้องการทำธุรกรรมทางการเงินบางอย่าง ที่เด่นชัดก็คือการขอสินเชื่อกู้ยืมเงินจากธนาคาร การสมัครเปิดบัญชีกับบริษัทโบรกเกอร์เพื่อซื้อ-ขายหุ้น ที่จำเป็นต้องมีการพิจารณาการเดินบัญชีเพราะว่าผู้ให้บริการต้องการความมั่นใจว่า ผู้จะกู้นั้นมีความสามารถหรือมีความน่าจะสามารถในการชำระหนี้ได้ ผู้ที่ต้องการวางแผนไปยังอนาคตจึงควรรู้ถึงความสำคัญของการเดินบัญชีธนาคารซึ่งคงไม่สามารถปรับแต่งกันได้ในระยะสั้น ถ้าขาดความเข้าใจหรือแก่นแท้ของการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement)

    รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร มีความสำคัญอย่างไร

    การเดินบัญชีธนาคารเป็นเหมือนบันทึกการเดินทางของกระแสเงินสดของเจ้าของบัญชีธนาคารนั้น มีการบันทึกวันเดือนปีของธุรกรรมทางการเงิน รายการจำนวนเงินฝาก ถอนและโอน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วและไม่สามารถตกแต่งเปลี่ยนแปลงได้ ผู้ที่จะให้กู้เงิน เช่น ธนาคาร มีสิทธิ์ขอเอกสารการเดินบัญชีธนาคารจากผู้ที่ต้องการกู้เงิน เอกสารการเดินบัญชีธนาคารจึงมีความสำคัญในแง่ของหลักฐานที่ช่วยยืนยันสถานะทางการเงินของบุคคล


    ทำไมธนาคารจึงต้องการพิจารณารายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร

    ธนาคารหรือผู้ให้กู้เงินมีภาระความเสี่ยงหลังจากอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งสองทางคือเป็นหนี้ที่ดีและหนี้เสีย หนี้เสียคือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้กับธนาคารและอาจจะไม่สามารถติดตามเงินต้นคืนมาได้ในระยะเวลาอันสั้น ธนาคารจึงต้องมีความรอบคอบและต้องการความมั่นใจก่อนการอนุมัติสินเชื่อให้กับธุรกิจหรือบุคคลธรรมดา ซึ่งรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารเป็นสิ่งเดียวที่แสดงหลักฐานการหมุนเวียนเงินเข้าออกบัญชีของเจ้าของบัญชี โดยธนาคารเองก็มีหลักการวิเคราะห์รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร ทั้งจำนวนเงินที่ฝากเข้าและถอนออก ความสม่ำเสมอ พฤติกรรมการถอนเงิน ยอดเงินคงเหลือ และรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ

    ทำไมบริษัทโบรกเกอร์ต้องการรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร

    การเปิดบัญชีกับบริษัทโบรกเกอร์เพื่อจะทำการซื้อขายหลักทรัพย์ก็จำเป็นต้องใช้รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารเช่นกัน ซึ่งก็มีหลักเกณฑ์พิจารณาที่เข้มงวดแตกต่างกัน ถ้าเป็นบัญชีแบบ Cash Balance หรือใช้ตามจำนวนเงินจริงที่มีการฝากไว้กับโบรกเกอร์ก็เข้มงวดน้อยกว่าบัญชีแบบ Credit Balance ที่มีการกู้ยืมเงินส่วนหนึ่งหรือยืมหุ้นจากโบรกเกอร์ โบรกเกอร์จะพิจารณา Bank Statement เพื่อดูศักยภาพของผู้ขอเปิดบัญชี ถ้ามีความเหมาะสมจึงจะอนุมัติการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ได้


    รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารที่ดีควรเป็นอย่างไร

    การเดินบัญชีธนาคารนั้นไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยมากธนาคารหรือบริษัท จะขอแบบย้อนหลัง 6 เดือน เพราะเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด และพิจารณาหลายเดือนติดต่อกัน เพื่อดูความสม่ำเสมอและรูปแบบหรือแพทเทิร์นในลักษณะซ้ำ ๆ กันเพื่อเปรียบเทียบ รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารที่ดีควรมีเงินฝากเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ เช่น บัญชีที่ใช้รับเงินเดือน เงินโอนจากค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ

    นอกจากเงินฝากแล้ว การโอนเงินและถอนเงินก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีการพิจารณา อย่างน้อยต้องถอนให้น้อยกว่าเงินที่เข้ามาในแต่ละเดือน จำนวนเงินและจำนวนครั้งที่ถอน จะถูกนำไปพิจารณาถึงพฤติกรรมการใช้เงิน ที่สำคัญควรมีเงินคงเหลือแต่ละเดือนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เช่น ปลายเดือนมกราคมเหลือเงินสะสม 25,000 บาท ต่อมาปลายเดือนกุมภาพันธ์เหลือเงินสะสม 27,000 บาท เดือนมีนาคมเหลือเงินสะสม 30,000 บาท ก็เข้าลักษณะว่าเป็นการใช้เงินที่น้อยกว่ารายจ่าย

    บุคคลสามารถตกแต่งรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารได้หรือไม่

    เนื่องจากรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารเป็นสิ่งที่บันทึกธุรกรรมทางการเงินที่ผ่านไปแล้ว บุคคลจึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ ถ้ามีการปลอมแปลงเอกสารการเดินบัญชีธนาคารก็เป็นเรื่องที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่บุคคลสามารถสร้างการเดินบัญชีธนาคารในอนาคตได้ โดยการตั้งเป้าหมาย เช่น คาดว่าจะขอกู้เงินจากธนาคารเดือนมกราคมปีหน้า ก็ต้องเริ่มฝากเงิน-ถอนเงินอย่างเป็นระบบตั้งแต่เดือนพฤษภาคมในปีนี้ โดยระมัดระวังการถอนเงินแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือโอนเงินเล่นข้ามบัญชีตัวเองเพื่อเติมเต็มหน่วยจุดทศนิยม เช่น 0.23 บาท ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้เป็นเรื่องผิดสังเกตที่ธนาคารจะดูอย่างละเอียด


    ความจริงแท้ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร

    จริงอยู่ที่บุคคลสามารถสร้างรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารของตนเองได้ในรอบระยะเวลา 6 เดือนล่วงหน้าก่อนยื่นเรื่องขอกู้เงินธนาคาร เช่น การยืมเงินสดจากคนใกล้ชิดมาเข้าบัญชีและถอนออก ฝากเข้าหมุนเวียนกันไป แต่จะไม่มีประโยชน์เลยในระยะยาวเพราะว่ากำลังหลอกตัวเอง รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารควรจะมีความเป็นธรรมชาติมากที่สุดและเป็นไปตามพฤติกรรมของตนเองอย่างแท้จริง

    การพยายามสร้างรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารที่สวยหรูเป็นเพียงเปลือกนอกและไม่เกิดประโยชน์ภายใน ควรจะปรับปรุงพฤติกรรมการใช้เงินที่แท้จริงของตนเองมากกว่า เช่น ทำงานที่มีรายได้สม่ำเสมอและวางแผนการใช้เงิน คุณควรจะรู้ว่าจะเหลือเงินเท่าใด ใช้จ่ายเงินเท่าใด เช่น รู้ว่าต้องใช้จ่ายเดือนละ 30,000 เมื่อเดือนนั้นมีเงินรายรับ 50,000 คุณก็อาจจะวางแผนการถอนเงิน 2-3 ครั้งต่อเดือน เช่น ครั้งละ 10,000 หรือ 15,000 บาท เป็นต้น

    และลดการถอนเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สื่อให้เห็นว่าคุณขาดการวางแผนใช้จ่ายเงิน แต่ต้องไม่เป็นการออกแบบมากเกินไปจนดูขาดความเป็นธรรมชาติ

    การใช้เงินอย่างมีแบบแผนทั้งการจัดการรายรับและวิธีการใช้จ่ายเงินของคุณตามไลฟ์สไตล์ของคุณเอง จะทำให้รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า โดยมีกรอบกว้าง ๆ กำหนดไว้ก็เพียงพอ เพราะสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การออกแบบ Bank Statement แต่เป็นการออกแบบวิธีการใช้จ่ายเงินของคุณเองต่างหาก ซึ่งถ้าทำได้ดีก็จะเป็นรากฐานของความสำเร็จทางการเงินในระยะยาวต่อไป

    Advertorial

    สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อุทาหรณ์! โอนที่ให้แฟนลูกกู้ใช้หนี้ สุดท้ายโดนหลอก 7 ชีวิตไร้ที่อยู่ (ชมคลิป)
    โดย MGR Online
    27 กุมภาพันธ์ 2559 09:38 น. (แก้ไขล่าสุด 27 กุมภาพันธ์ 2559 14:07 น.)
    -http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000020934-


    https://www.youtube.com/watch?v=sTFEEFLF_SA
    -https://www.youtube.com/watch?v=sTFEEFLF_SA-
    อุทาหรณ์!โอนที่ให้แฟนลูกกู้ใช้หนี้/สุดท้ายโดนหลอก 7 ชีวิตไร้ที่อยู่


    ลำปาง - ครอบครัวหญิงชาวลำปาง วัย 67 ปี รวม 7 ชีวิต โดนฟ้องไล่พ้นบ้านที่สร้างมากับมือ อยู่มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก หลังโอนสิทธิให้ “อดีตว่าที่ลูกเขย” นำไปค้ำกู้เงินใช้หนี้ สุดท้ายโดนฟ้องไล่ให้ออกภายใน 3 มีนาฯ นี้ แถมโดนจับเข้าคุก ผญบ. และจนท.ต้องลงขันช่วยประกัน บอกลงทุนก้มกราบเท้าหนุ่มแสบกลางศาลแล้วยังไม่ยอม

    วันนี้ (27 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดคดีความที่สะเทือนใจผู้คนในสังคมเมืองลำปาง และน่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้แก่คนทั่วไปขึ้นอีกครั้ง เมื่อแม่ชาวลำปางโอนกรรมสิทธิ์บ้าน และที่ดินให้แก่แฟนหนุ่มของลูกสาวที่คบหาอยู่นำไปเป็นหลักทรัพย์กู้เงินมาใช้หนี้ สุดท้ายโดนหลอกถูกฟ้อง จนทำให้ 7 ชีวิตในครอบครัวต้องไร้ที่อยู่ในต้นเดือนหน้านี้

    ล่าสุด นายสมภพ สุวรรณปัญญา เจ้าหน้าที่ชุด ททท. (ทำทันที) ของจังหวัดลำปาง พร้อมด้วยนายวัชระ ปาโกวงศ์ กำนันตำบลบ่อแฮ้ว นางเพียรใจ บุญเพ็ง ผู้ใหญ่บ้าน ม.15 ต.บ่อแฮ้ว อ.เมือง จ.ลำปาง ได้เข้าตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 554 ม.15 ต.บ่อแฮ้ว หลังได้รับการร้องเรียน และขอความช่วยเหลือจาก นางจุลี รุจิฉาย อายุ 67 ปี เนื่องจากถูกศาลมีคำสั่งขับไล่ออกจากบ้านของตนเอง

    จากการเข้าตรวจสอบพบว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นของ นางจุลี รุจิฉาย โดยมีสมาชิกในบ้านรวม 7 คน กำลังพากันวิตกกังวล และเป็นทุกข์อย่างมาก เนื่องจากจะต้องออกจากบ้านหลังนี้ภายในวันที่ 3 มีนาคม 59 ที่จะถึงนี้

    สอบถาม น.ส.สุจิตรา รุจิฉาย อายุ 43 ปี บุตรสาว กล่าวว่า เมื่อปี 2549 ตนเองได้ไปทำงานที่จังหวัดนครสวรรค์ และได้รู้จักคบหากันกับนาย ภ.(ขอปิดชื่อ-นามสกุล) ประมาณ 4-5 ปี ระหว่างนั้นได้ช่วย นาย ภ. ปล่อยเงินกู้ และขายหวย แต่มีลูกค้าเบี้ยวเงินจนสูญเงินไปร่วม 3 แสนบาท

    หลังจากนั้น นาย ภ.ได้บอกแก่ตนเองว่า ต้องหาเงินมาใช้คืนคนที่ปล่อยเงินกู้ โดยอ้างว่า เป็นเสธ.ทหาร หากไม่มีจ่ายจะถูกฆ่า ตนจึงพานาย ภ. มาบ้านที่จังหวัดลำปาง โดยได้บอกกับแม่คือ นางจุลี ว่า “หากไม่มีเงินคืนเขาจะมาฆ่าลูก ขอให้แม่โอนที่ดินซึ่งเป็นบ้านหลังที่อยู่กันนี้ให้เขาเพื่อนำไปกู้เงินจากธนาคารมาใช้คืน โดยขอกู้เงิน 500,000 บาท แล้วนำไปจ่ายหนี้ 3 แสนบาท เหลือ 2 แสนจะนำมาคืนแม่”

    แต่พอกู้เงินได้วันถัดมานาย ภ. ก็หายไป ไม่ได้นำเงินมาให้แม่แต่อย่างใด ซึ่งตอนนั้นตนก็ยังเชื่อใจแฟนหนุ่ม จึงได้ช่วยส่งเงินกู้ต่อทางธนาคารเดือนละ 4 พันกว่าบาท ซึ่งบางเดือนก็ส่งช้า เนื่องจากขณะนั้นตนเองทำงานได้เงินเพียงวันละ 174 บาท นาย ภ.ก็จะโทร.มาต่อว่า ระหว่างนั้นก็ได้ติดต่อให้มาทำสัญญาว่า หากตนส่งเงินครบให้โอนที่ดินคืนให้ แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด

    น.ส.สุจิตรา กล่าวอีกว่า หลังจาก 1 ปีผ่านไปก็รู้ว่าคงโดนหลอกแล้วตนจึงหยุดส่งเงิน จนกระทั่งมีหมายศาลฟ้องขับไล่มาที่บ้าน แม่เปิดดูก็ตกใจ แต่ไม่รู้ไปปรึกษาใคร ทนายก็ไม่มี ไปศาลก็มีคนบอกว่า ไม่ต้องนำทนายไปเพราะแค่ไปตกลงกันเท่านั้น แต่เมื่อไปถึงกลับพบเขาเตรียมทนายมา และเขียนเนื้อหามาหมดแล้วพร้อมกับขู่ว่า หากเล่าเรื่องทั้งหมดจะไล่ออกจากบ้านทันที ตนเองจึงยอมเซ็นชื่อกับแม่ในสัญญาประนีประนอม

    “หลังการเซ็นสัญญาทำให้เราที่เป็นเจ้าของบ้านกลายเป็นคนเช่า และค้างค่าเช่าเขาเกือบ 3 แสนบาท และหากต้องการซื้อบ้านคืนเขาเรียก 1.3 ล้านบาท ซึ่งตนเองและครอบครัวไม่มีปัญญาซื้อ”

    น.ส.สุจิตรา ระบุด้วยว่า 2 วันก่อนมีตำรวจมาจับตัวทุกคนที่บ้านไปที่สถานีตำรวจ และให้ไปลงบันทึกการจับกุม จากนั้นนำตัวไปศาลทนายก็ไม่มี เมื่อไปถึงที่ห้องรับส่งหนังสือก็มีคนมาบอกว่า ทำไมไม่ออกจากพื้นที่ เขาให้ออกทำไมไม่ออก แม่บอกว่าออกแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน เขาก็บอกว่าไม่มีที่อยู่ก็จะหาที่อยู่ให้คือ ไปอยู่ในคุกสัก 6 เดือน เมื่อแม่ได้ยินแบบนั้นถึงกับร้องไห้ และนั่งลงไปกราบเท้านาย ภ. แต่นาย ภ.ได้เดินหนีออกจากศาลไปทันที

    หลังจากนั้น เราพ่อแม่ลูกถูกคุมขัง ได้แจ้งขอความช่วยเหลือไปยังผู้ใหญ่บ้าน ต่อมา ผู้ใหญ่บ้านได้เดินทางไปพร้อมเจ้าหน้าที่ ททท. (ทำทันที) และได้เฉลี่ยเงินกันคนละ 5 พันบาทเพื่อขอประกันตัว รวม 4 คนได้ 2 หมื่น จึงได้ออกมาที่บ้าน

    “จากนี้ก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะบ้านนี้ก็เป็นบ้านดั้งเดิมที่ครอบครัวมีอยู่แค่ที่เดียว เมื่อศาลสั่งให้ออกภายในวันที่ 3 มีนาคมนี้ ตนเองก็คงต้องออก และคงไปขออาศัยกับคนที่รู้จักก่อนเพราะหมดแล้วทุกอย่าง”

    นางจุลี กล่าวด้วยน้ำตาว่า ที่ดินผืนนี้ซื้อมาเมื่อ 50-60 ปีก่อนด้วยเงิน 5 ร้อยบาท พื้นที่ 1 ไร่ 66 ตร.ว.ขณะนั้นเป็นป่า ตนต้องมาแผ้วถางหญ้าออก และมาปลูกบ้านช่วยกันทำมา แต่ด้วยความรักลูกกลัวเขาจะมาทำร้ายจึงยอมเซ็นเอกสารให้เขาไป และเชื่อใจชายคนนั้นว่า คงจะทำตมที่พูด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ทำตามที่พูด

    “สุดปัญญาแล้ว หากเขาอยากได้ก็ให้เขาเอาไป แม่ตายก็เอาไปไม่ได้ เขาตายก็เอาไปไม่ได้เหมือนกัน เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้วก็ต้องยอมทำใจแม่ไปกราบตีนมันๆ ยังไม่ยอม”
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ต่อไปขอนำโอวาทของพระพุทธองค์ และหลวงพ่อหลายท่านมาลงไว้ให้อ่านเป็นเครื่องเร้าจิตใจให้ร่าเริงเบิกบานในธรรม

    -http://www.dhammajak.net/ruendham/book2/p53.php-

    โอวาทคำสอนของพระพุทธองค์

    “ไม่มีใครสามารถทำร้ายทำลายตัวเราได้ นอกจากตัวของเราเอง ไม่มีใครหยิบทุกข์จากหัวใจใครทิ้งได้ ทั้งหมดต้องวางจากจิตตน”

    “เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้สัมมาทิฐิที่ยังไม่เกิดขึ้นได้เกิดขึ้น หรือให้สัมมาทิฐิที่เกิดขึ้นแล้ว เจริญขึ้นเหมือน โยนิโสมนสิการเลย เมื่อมีโยนิโสมนสิการ (การพิจารณาโดยแยบคาย , คิดเป็น) สัมมาทิฐิที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้นและสัมมาทิฐิที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเจริญขึ้น”

    “ภิกษุทั้งหลาย ! บัดนี้เราขอเตือนพวกท่านให้รู้ว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดมาในโลก มีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำหน้าที่ อันเป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่นให้สำเร็จบริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

    “เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฎฐิคือความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตนเสียด้วยประการฉะนี้ เธอจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวล ไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวาง และการสำรวมตนอยู่ในธรรม”
    “ผู้จะถือเอาความสุขในนิพพาน ต้องวางความสุขในโลกีย์ให้หมด”

    “ตราบใดที่ยังไม่สลัดความพอใจในสังขารออก ความทุกข์ย่อมติดตามไปเสมอ เมื่อรากยังมั่นคง แม้ต้นไม้จะถูกตัดแล้วมันก็สามารถขึ้นได้อีก ฉันเดียวกัน เมื่อบุคคลยังไม่ถอนตัณหานุสัยออกจากดวงจิต ความทุกข์ก็เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ “

    “ความสิ้นอาสวะ เป็นอานิสงส์สูงสุดแห่งการบำเพ็ญคุณงามความดีทั้งหลาย เพราะความทุกข์ความเดือดร้อนของหมู่สัตว์เกิดขึ้นได้ก็ด้วยอาสวะกิเลส”

    “การวางใจปลงใจนั้นคือ วางสุข วางทุกข์ วางบาปบุญ คุณโทษ วางโลภ โกรธ หลง วางลาภ ยศ นินทา สรรเสริญหมดสิ้นเหมือนกับไม่มีหัวใจ จึงชื่อว่าทำให้เหมือนแผ่นดิน ถ้ายังทำไม่ได้อย่าหวังว่าจักได้โลกุตรนิพพานเลย ถ้าทำตัวให้เหมือนแผ่นดินได้ ในกาลใด ถึงหวังซึ่งโลกุตรนิพพาน คงได้คงถึงในกาลนั้นโดยไม่ต้องสงสัย”

    “ผู้ฉลาดด้วยปัญญา ท่านบำเพ็ญอสุภานุสติกรรมฐานปรารถนาเอาพระนิพพานเป็นที่ตั้งนั้น ท่านย่อมถือเอาอสุภะในตัวเป็นอารมณ์ของกรรมฐาน ถ้ายังเอาอสุภะภายนอกเป็นอารมณ์อยู่แล้ว ยังไม่เต็มทางปัญญาเพราะยังอาศัยสัญญาอยู่ ถ้าเอาอสุภะในตัวเป็นอารมณ์ของกรรมฐานได้ จึงเป็นที่สุดแห่งทางปัญญาเป็นตัววิปัสสนาญาณได้ บุคคลผู้ใดปรารถนาพระนิพพาน จงยังอสุภะกรรมฐานในตนให้แจ้งชัดเถิด”

    “ปัญญาซึ่งมีความหนักแน่นมั่นคงเหมือนแผ่นดิน ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ใคร่ครวญเสมอ ฉะนั้นจงพยายามทำปัญญาให้มั่นคงเหมือนแผ่นดิน และสามารถจะแทงทะลุอะไร ๆ ได้ให้เกิดขึ้นด้วยการพิจารณาอยู่เสมอ ไม่มีอะไรจะแหลมคมยิ่งกว่าปัญญา ปัญญานี้แลเป็นเครื่องตัดกิเลสทั้งมวล ไม่มีอะไรจะเหนือปัญญาไปได้”

    “ภิกษุทั้งหลาย น้ำในมหาสมุทรย่อมมีรสเดียวคือรสเค็มฉันใด ธรรมวินัยก็ฉันนั้น มีรสเดียว คือ “วิมุตติรส” หมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญแห่งพรหมจรรย์ที่เราประกาศแล้ว”

    “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ยินดีในธรรม ตรึกตรองธรรม ระลึกถึงธรรมอยู่เสมอ ย่อมไม่เสื่อมจากพระสัทธรรม ไม่เสื่อมจากพระนิพพาน”

    “ในบรรดารอยเท้าทั้งหมดถือว่ารอยเท้าช้างใหญ่ที่สุดในบรรดาการฝึกสติทั้งหมด มรณานุสตินับว่ายิ่งใหญ่ที่สุด”

    “ดูก่อนอานนท์ ในวันหนึ่ง ๆ เธอระลึกถึงความตายวันละกี่หน เราตถาคตระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ทุกลมหายใจเข้าออก”

    โอวาท หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    อดีต คือสิ่งที่ล่วงไปแล้วไม่ควรไปทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง แม้จะทำความผูกพันและมั่นใจให้สิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้ ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้น เป็นทุกข์แต่ผู้เดียวโดยความไม่สมหวังตลอดไป

    อนาคต คือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน อดีตควรปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตก็ควรปล่อยไว้ตามกาลของมัน

    ปัจจุบัน เท่านั้นสำเร็จประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ทำได้ไม่สุดวิสัย

    “เพราะเหตุว่าการทำจิตใจให้สงบนั้นเป็นนามธรรม เมื่อเกิดความอัศจรรย์หรือความสบายก็ไปเข้าใจเสียว่าดีแล้ว จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถจะรู้ให้ยิ่งขึ้นได้ จึงไม่ควรตำหนิผู้ที่ทำสมาธิแล้วหลงใหลไปตามโลกียญาณเพราะเขาเหล่านั้นก็ได้ความดี ความเย็นใจซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก แต่ที่ควรตำหนิก็เพราะว่าเขาไม่พยายามหาโลกุตรธรรมนั้น อันการติดในธรรมปฏิบัติอันเป็นภายในนี้ มันไม่ไปนรกดอก แต่มันทำให้ล่าช้าต่อการยิ่งเห็นจริงต่าง ๆ เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั่นเอง ที่ทำให้เขาต้องเสียประโยชน์ยิ่งคือ ฉิบหายเสียจากคุณอันใหญ่”

    “ท่านทั้งหลายจงอย่าทำตัวเป็นตัวบุ้งตัวหนอนคอยกัดแทะกระดาษแห่งคัมภีร์ใบลานอยู่เปล่า ๆ โดยไม่สนใจพิจารณาสัจธรรมอันประเสริฐที่มีอยู่กับตัว แต่มัวไปยึดธรรมที่ศึกษามาถ่ายเดียว ซึ่งเป็นสมบัติของพระพุทธเจ้ามาเป็นสมบัติของตนด้วยความเข้าใจผิดว่า ตนเรียนรู้และฉลาดพอตัวแล้ว ทั้งที่กิเลสยังกองเต็มหัวใจยิ่งกว่าภูเขาไฟ มิได้ลดน้อยลงบ้างเลย จงพากันมีสติคอยระวังตัว อย่าให้เป็นคนประเภทใบลานเปล่า ๆ เรียนเปล่าและตายทั้งเปล่า ไม่มีธรรมอันเป็นสมบัติของตัวอย่างแท้จริงติดตัวบ้างเลย “

    “การตายด้วยความเพียงพอทุกอย่าง เป็นการตายที่หมดกังวลพ้นทุกข์ แม้จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีอะไรบกพร่อง ผู้เพียงพอทุกอย่างแล้วไม่จำเป็นต้องคาดต้องหวังสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น อยู่กับความเพียงพอนี้เอง”

    โอวาทคำสอนของหลวงพ่อชา สุภัทโท (วัดหนองป่าพง)

    “คนจะบรรลุธรรม จะได้เห็นธรรมะ ต้องรู้จักว่าธรรมะอยู่ตรงไหนเสียก่อน ธรรมะที่แท้จริงอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ อยู่ที่กาย อยู่ที่ใจ ให้เอาใจนี้พิจารณากาย นี้เป็นหลักการพิจารณา”

    “ปัญญา(ที่แท้) จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น ดังนั้นจงเพียรแต่ “ละความอยาก “ เสีย จงเฝ้าดูจิตและกายอย่างมีสติ แต่อย่ามุ่งหวังที่จะบรรลุอะไร อย่ายึดมั่นถือมั่นในเรื่องการปฏิบัติหรือในการรู้แจ้ง”

    “ถ้าท่านยึดติดอยู่กับภาวะจิตที่สงบ ท่านจะเป็นทุกข์เมื่อจิตไม่สงบ ฉะนั้นจงปล่อยวางหมดทุกสิ่งแม้แต่ความสงบ”

    “ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจแล้วยังเอาไว้ในใจของเรา ให้เรียนใหม่ เพราะยังผิดอยู่ ยังไม่ยิ่ง ถ้ามันยิ่งแล้ว มันวาง ให้ดูอย่างนี้ดูจิตของเราจริง ๆ “

    “การทำจิตให้สงบคือการวางให้พอดี ตั้งใจเกินมากไปมันก็เลยไป ปล่อยมากเกินไปมากมันก็ไม่ถึง เพราะขาดความพอดี”

    “ข้อสำคัญที่สุดคือแนวทางปฏิบัติที่ดีและถูกต้องจะต้องนำไปสู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ลงท้ายแล้วก็ต้องปล่อยวาง แนวทางการภาวนาทุกรูปแบบจะต้องเป็นไปเพื่อการปล่อยวาง ผู้ปฏิบัติต้องไม่ยึดมั่นแม้ตัวอาจารย์ แนวทางใดที่นำไปสู่การปล่อยวาง สู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็เป็นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง”

    โอวาทคำสอนหลวงพ่อพุทธทาส

    “ตายให้เป็นคือตายชนิดที่ไม่ตาย แต่กลับเป็นอยู่ตลอดกาล และต้องเป็นการกระทำชนิดที่เรียกว่าตายเสียก่อนตาย คือตายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนแต่ร่างกายแตกดับ “

    “การกุศลที่แท้จริงและสูงสุดนั้นคือ การทำให้มนุษย์ได้รู้ถึงสิ่งที่มนุษย์ควรรู้หรือจำเป็นต้องรู้ และให้ได้ถึงสิ่งที่ควรเข้าถึงหรือจำเป็นต้องเข้าถึง กล่าวคือ ธรรมะที่ทำให้จิตใจสูง ได้แก่การที่มีใจมีความสะอาดปราศจากกิเลส ใจสว่าง ปราศจากความเป็นผิดและใจสงบจากความทุกข์ร้อนภายในทุกประการ จะรู้หนังสือหรือไม่รู้หนังสือก็ตาม จะมีโบสถ์สำหรับสวดมนต์ทำพิธีหรือไม่ก็ตามก็ไม่สำคัญเท่าความสะอาด สว่าง สงบของจิตใจ ซึ่งจำเป็นเร่งด่วนหรือต้องการก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมดทั้งสิ้น”

    “อย่ามุ่งหมายความสุขอันประเสริฐอะไร ๆ ให้มากไปกว่าความปกติของจิตที่ไม่ยินดียินร้าย ไม่ขึ้นไม่ลงไปตามอารมณ์ที่กระทบ เพราะไม่มีสุขอะไรประเสริฐยิ่งไปกว่าความปกติของจิตนั้น”

    โอวาท หลวงปู่ดุลย์ อตุโล

    “ที่ใจเป็นทุกข์เพราะเกิดความยึดมั่น แล้วมีการปรุงแต่งในความคิดขึ้นและอุบายที่จะละความทุกข์ก็คือหยุดการปรุงแต่งแล้วปล่อยวางให้เป็น”

    “เมื่อสังขารดับแล้วความเป็นตัวเป็นตนก็จะไม่มี เพราะไม่ได้เข้าไปเพื่อปรุงแต่ง ครั้นเมื่อความปรุงแต่งขาดหายไป ความทุกข์จะเกิดได้อย่างไร”

    “เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหาเสียเท่านั้น พุทธะก็ปรากฏตรงหน้า เพราะว่าจิตคือพุทธะนั่นเอง”

    โอวาท สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

    ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่ มีเพียงแต่ต้นทุนบุญกุศล
    ทรัพย์สมบัติทิ้งไว้ให้ปวงชน แม้ร่างตนเขายังเราไปเผาไฟ
    เมื่อเจ้ามามีอะไรมาด้วยเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
    เจ้ามามือเปล่าเจ้าจะเอาอะไรไป เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา

    บุญเราไม่เคยสร้างใครที่ไหนจะมาช่วยเรา

    “ลูกเอ๋ย..........ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือ บารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว เมื่อทำบุญกุศลได้บารมีมาก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้ (สร้างความดี) แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดคิดช่วยก็ไม่ได้ แต่ครั้นถึงเวลาทั่วฟ้าจรดดินอะไรก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า”

    “ความจริง พอกิน พอใช้ พออยู่ รู้พอ ย่อมสงบ มนุษย์หยุดนิ่งไซร้ความจริงย่อมเกิด ถ้าท่านยังไม่หยุด ท่านยังไม่มีโอกาสพบความจริง”

    “หัวใจการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้นต้องละจนถึงที่สุดมิใช่ไปยึด”
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โปรแกรมคำนวณภาษี ปี 2559 เพื่อคำนวณภาษีประจำปี 2558
    -http://money.sanook.com/363929/-
    โปรแกรมคำนวณภาษี ปี 2559 เพื่อคำนวณภาษีประจำปี 2558

    โปรแกรม สามารถเข้าไปโหลดตามลิงค์ด้านบนได้

    โค้งสุดท้ายเหลือเวลา อีกเพียง 1 เดือนเท่านั้น สำหรับผู้มีเงินได้ หรือ มนุษย์เงินเดือนที่ต้องทำหน้าที่ ผู้เสียภาษีทีดี ไปยืนแบบเพื่อคำนวณภาษีประจำปี 2558 ที่ผ่านมา โดยปรกติ ทางกรมสรรพากรจะเปิดให้ยื่นแบบ ทั้งที่ยื่นด้วยตัวเองที่สำนักงานเขตภาษี และ สามารถยื่นแบบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกว่ายืนภาษีผ่านอินเตอร์เน็ตนั้นเอง โดยตามกำหนด ระยะเวลาสิ้นสุดการยื่นภาษีคือ วันที่ 31 มี.ค. 59

    ดังนั้น ใครที่ยังไม่ได้ยื่นแบบเพื่อคำนวณภาษี วันนี้ sanook! money นำเอาค่าลดหย่อนภาษีของปีล่าสุดมาฝากกัน รับรองหากใช้สิทธิครบรับรองมีโอกาสได้คืนภาษีแน่หากชำระไว้เกิน



    นอกจากนี้ ยังนำ โปรแกรมคำนวณภาษี มาฝากเพื่อให้เราทดลองคำนวณภาษีก่อนยื่นแบบจริงอีกด้วย

    ผู้ที่ต้องการทดลองคำนวณภาษีประจำปี 2558 ได้ทีนี้



    สำหรับค่าลดหย่อนภาษีของปีนี้มีรายละเอียดดังนี้

    1. ค่าลดหย่อนส่วนบุคคล 30,000 บาท

    2. ค่าลดหย่อนคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้หรือมีเงินได้แต่เลือกนำมารวมคำนวณภาษี 30,000 บาท

    3. ลดหย่อนค่าเลี้ยงดูบุตร และการศึกษาบุตรค่าลดหย่อนจากการเลี้ยงดูบุตร ( ซึ่งเป็นได้ทั้งบุตรบุญธรรมและบุตรตามกฎหมาย )โดยหักลดหย่อนได้คนละ 15,000 บาท แต่ไม่เกิน 3 คน โดยบุตรจะต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี หรือถ้าเกิน 20 ปี แต่ไม่เกิน25 ปี จะต้องศึกษาอยู่ในระดับ ปวส. ขึ้นไปเท่านั้น

    และหากบุตรศึกษาในประเทศ (ตั้งแต่อนุบาลถึงปริญญาเอก) ลดหย่อนค่าการศึกษาเพิ่มได้อีกคนละ 2,000 บาททั้งนี้บุตรที่จะนำมาใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีนั้น จะต้องไม่มีรายได้ในภาษีเกิน 15,000 บาทขึ้นไป หรือรายได้ที่มีนั้นได้รับการยกเว้นภาษีตามกฎหมาย เช่น บุตรที่อายุไม่เกิน 20 ปีและได้รับเงินจากการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล 20,000 บาท แต่เงินได้จากการถูกสลากกินแบ่งนั้นได้รับการยกเว้นภาษีตามกฎหมาย จึงยังคงใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสำหรับบุตรนั้นได้ เป็นต้น

    4. ค่าลดหย่อนจากดอกเบี้ยเงินกู้ยืมสำหรับที่อยู่อาศัย ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยเป็นดอกเบี้ยจากเงินกู้การเช่าซื้อบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัย โดยมีเงื่อนไขคือต้องเป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงินภายในประเทศ เช่น ธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐต่าง ๆ

    หากมีการกู้สำหรับที่อยู่อาศัยมากกว่า 1 แห่ง สามารถใช้ลดหย่อนรวมกันได้ทุกแห่ง แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาทกรณีกู้ร่วมกันหลายคน ก็ให้แบ่งดอกเบี้ยคนละเท่า ๆ กัน แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนเช่นกัน

    5. ค่าลดหย่อนจากค่าเลี้ยงดูบิดามารดาลดหย่อนจากบิดามารดา (ตัวเอง) และบิดามารดาของคู่สมรส ได้คนละ 30,000 บาท โดยมีเงื่อนไขคือ บิดามารดาต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท ทั้งนี้ต้องให้บิดามารดาออกหนังสือรับรองการเลี้ยงดู ให้กับบุตรที่จะขอลดหย่อนภาษีด้วย และลูกสามารถใช้สิทธิ์ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น

    6. ลดหย่อนจากประกันชีวิต

    6.1 ประกันชีวิตแบบทั่วไป

    ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องเป็นประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และมีผลตอบแทนคืนไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสม ส่วนที่เหลือนำไปยกเว้นจากรายได้ ได้อีกไม่เกิน 90,000 บาท

    ลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตของคู่สมรสซึ่งไม่มีรายได้ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท

    ส่วนเบี้ยประกันเพิ่มเติม เช่น ประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ จะไม่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้

    6.2 ประกันชีวิตแบบบำนาญลดหย่อนได้ 15% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องเป็นประกันที่มีระยะเวลาเอาประกัน 10 ปีขึ้นไป และจ่ายผลตอบแทนให้ผู้เอาประกันตั้งแต่อายุ 55 ปีต่อเนื่องไปจนถึง 85 ปี และ เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท(เพราะเป็นเงินลดหย่อนที่สนับสนุนการออมในลักษณะเดียวกัน)

    7. ลดหย่อนจาก กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ Long term equity fund หรือ LTF ลดหย่อนได้สูงสุด 15% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และกำไรที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain) ก็ไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย

    ทั้งนี้ จะต้องถือกองทุน LTF ที่ซื้อไว้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี (นับตามปี พ.ศ. เช่น ซื้อ LTF เมื่อ 31 ธันวาคม 2558 จะต้องถือไว้จนถึงวันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นอย่างต่ำ) และไม่สามารถโอนหรือจำนำไปเพื่อเป็นหลักประกันได้

    8. ลดหย่อนจากกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ Retirement Mutual Fund หรือ RMF โดยผู้ลงทุนจะได้รับการลดหย่อนภาษีสูงสุด 15% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น แต่ไม่เกิน 500,000 บาท แต่เมื่อรวมกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน หรือประกันชีวิตแบบบำนาญแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท

    9. ลดหย่อนจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สมาชิกที่จ่ายเงินสบทบเข้า กบข. นี้จะได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท

    10. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สมาชิกที่จ่ายเงินสบทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินปีละ 10,000 บาท สำหรับส่วนที่เกิน 10,000 บาท และไม่เกิน 490,000 บาท จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมกับเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ทั้งนี้เมื่อรวมกับ RMF, กบข., กองทุนครูโรงเรียนเอกชน, ประกันชีวิตแบบบำนาญ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท

    11. ลดหย่อนจากกองทุนการออมแห่งชาติ ถือเป็นปีแรกที่ผู้ที่เป็นสมาชิกและจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. จะสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ โดยสามารถหักลดหย่อนภาษีจากเงินสะสมเข้า กอช. ตามเกณฑ์เดียวกับเงินที่จ่ายสบทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

    12. ลดหย่อนจากการจ่ายประกันสังคม เงินสมทบกองทุนประกันสังคม มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงให้แก่บุคคลที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 9,000 บาท

    13. ลดหย่อนจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป โดยผู้ที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในราคาไม่เกิน 3,000,000 บาท สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ปีละ 20% เป็นเวลา 5 ปี

    14. ลดหย่อนจากค่าเลี้ยงดูคนพิการ หรือคนทุพพลภาพ ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท โดยถ้าเป็นญาติใกล้ชิด(บิดา มารดา สามี ภรรยา บุตร บุตรบุญธรรม)สามารถหักได้หมด และหากเป็นผู้ที่ดูแลคนพิการอื่นตามกฎหมาย ว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการสามารถหักได้อีกหนึ่งคน โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องเป็นคนพิการซึ่งมีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือเป็นคนทุพพลภาพที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี

    15. ลดหย่อนจากเงินบริจาค การบริจาคให้กับการกุศลต่าง ๆ สามารถลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินที่เหลือหลังหักลดหย่อนและยกเว้นกรณีอื่น ๆ ทั้งหมดแล้ว โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องบริจาคเป็นเงินเท่านั้น

    16. ลดหย่อนจากการท่องเที่ยวภายในประเทศลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาท จาก

    16.1 ค่าบริการนำเที่ยว และมัคคุเทศก์ (ค่าแพ็กเกจทัวร์) อันเกิดจากการใช้บริการบริษัททัวร์ หรือบริษัทนำเที่ยว ที่จดทะเบียนกับสำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

    16.2 ค่าบริการที่พัก จะต้องเป็นค่าที่พักที่จ่ายให้กับโรงแรมที่ได้จดทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทย ตามพระราชบัญญัติโรงแรมแล้วเท่านั้น ดังนั้น ค่าที่พักบางแห่ง เช่น โฮมสเตย์ หรือ บ้านพักของอุทยานแห่งชาติต่างๆ ฯลฯ จะไม่สามารถนำมาหัก เป็นค่าลดหย่อนได้ เพราะไม่ได้จดทะเบียนเป็นโรงแรมตามกฎหมายทั้งนี้ ค่าลดหย่อนจากการท่องเที่ยวนี้ สามารถใช้ได้ใน 2 ปีภาษีคือ ปี 2557 และปี 2558

    17.ค่าลดหย่อนสำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในระหว่างวันที่ 25 -31 ธ.ค.58 จากผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยให้ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานการซื้อสินค้าหรือรับบริการเป็นใบกำกับภาษี เต็มรูปแบบตาม ม.86/4 แห่ง ป.รัษฎากร แต่ไม่รวมถึงการซื้อสุรา เบียร์ ไวน์ ยาสูบ น้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ



    ทั้งหมดคือ ค่าลดหย่อนภาษี ที่ผู้มีสิทธิไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พ่อค้าเปอร์เซียแล่นสำเภาเข้ามาเป็นสมุหนายกไทย ผูกขาดหลายชั่วคน สืบเชื้อสายเป็นราชินีกุล “บุนนาค”!!!
    -http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9590000021710-

    ในปลายแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในราวปี พ.ศ.๒๑๔๓ ได้มีนายวานิชสองพี่น้อง คนพี่ชื่อ “เฉกอะหมัด” คนน้องชื่อ “มหะหมัดสะอิด” ชาวเมืองกุ่ม ประเทศเปอร์เซีย (ขณะนี้อยู่ในประเทศอิหร่าน) นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์อิสนาอะชะรี (คนไทยเรียกกันว่า “แขกเจ้าเซ็น”) ได้แล่นสำเภานำสินค้าเข้ามาขายยังกรุงศรีอยุธยา และซื้อสินค้าไทยบรรทุกสำเภากลับไปขายต่างประเทศ ซึ่งพาณิชกิจนี้ได้สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้พี่น้องคู่นี้อย่างมหาศาล

    สำหรับท่านมหะหมัดสะอิด ผู้น้อง อยู่เมืองไทยได้ไม่นานก็บรรทุกสินค้ากลับไป และไม่ได้กลับเข้ามาอีก ส่วนท่านเฉกอะหมัด ผู้พี่ เกิดพิสมัยเมืองไทย จึงชักชวนบริวารตั้งรกรากอยู่ในกรุงศรีอยุธยา และได้แต่งงานกับสาวไทย ชื่อ “เชย” มีบุตรธิดาด้วยกัน ๓ คน คนโตชื่อ “ชื่น” คนที่สองเป็นชายชื่อ “ชม” เสียชีวิตเมื่อวัยหนุ่ม คนที่สามเป็นหญิงชื่อ “ชี”

    ครั้นล่วงเข้าแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม การค้าขายทางสำเภาในกรุงศรีอยุธยาซึ่งรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีสำเภาเข้ามาค้าขายมาก การท่าจึงยุ่งเหยิง เจ้าพระยาพระคลังซึ่งว่าการกรมท่า จึงขอให้ท่านเฉกอะหมัดเข้าช่วย ท่านเฉกอะหมัดผ่านการค้ามาหลายประเทศแล้ว จึงเข้าวางระบบการท่าของไทยเสียใหม่ ทั้งปรับปรุงระบบศุลกากรให้รัดกุมยิ่งขึ้น ทำให้มีรายได้เข้าท้องพระคลังเพิ่มขึ้นมาก ความทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงโปรดเกล้าฯให้ท่านเฉกอะหมัดเข้ารับราชการ เป็น พระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐี ตำแหน่งเจ้ากรมท่าขวา พร้อมด้วยตำแหน่งจุฬาราชมนตรีด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งนับว่าท่านเฉกอะหมัดเป็นปฐมจุฬาราชมนตรีของชาวมุสลิมในประเทศไทย

    ต่อมาได้มีเหตุการณ์สำคัญซึ่งเกือบจะพลิกประวัติศาสตร์ไทย เมื่อพ่อค้าชาวญี่ปุ่นจำนวน ๕๐๐ คนที่เข้ามาตั้งร้านค้าในกรุงศรีอยุธยา ได้ชักซามูไรประกาศตัวเป็นนักรบเข้าล้อมวังหลวง จะจับตัวพระเจ้าทรงธรรมหวังยึดอำนาจการปกครอง ฝ่ายไทยไม่ได้คาดคิดจึงถูกเหล่าซามูไรควบคุมไว้ทั้งหมด แต่พระยามหาอำมาตย์ (โอรสลับของสมเด็จพระเอกาทศรถกับสาวบางปะอิน) คนเดียวที่ไม่ยอมแพ้ญี่ปุ่น แต่ก็ไม่มีกำลังพอที่จะเข้าขัดขวางได้ จึงไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนรัก คือพระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐีซึ่งมีบริวารชาวเปอร์เซียอยู่จำนวนไม่น้อย จากนั้นกองกำลังผสมไทยพุทธกับมุสลิมเปอร์เซีย จึงร่วมกันตะลุยญี่ปุ่นจนแตกกระเจิง วิ่งลงสำเภาชักใบหนีออกปากอ่าวไป

    ความดีความชอบครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก พระเจ้าทรงธรรมซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์หนึ่งของสมเด็จพระเอกาทศรถ จึงทรงปูนบำเหน็จให้สองขุนศึกอย่างงาม พระยามหาอำมาตย์ได้เลื่อนขึ้นเป็น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ตำแหน่งสมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายใต้ ส่วนพระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐี ได้เลื่อนขึ้นเป็น เจ้าพระยาเฉกอะหมัดรัตนาธิบดี ตำแหน่งสมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ ซึ่งในขณะนั้นเมืองไทยใช้ระบบการปกครองแบบมีสมุหนายก ๒ คน แบ่งอาณาเขตดูแลต่างพระเนตรพระกรรณคนละครึ่งประเทศ

    เจ้าพระยาเฉกอะหมัดรัตนาธิบดี อยู่ในตำแหน่งสมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ จนสิ้นแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรมผ่านแผ่นดินยุวกษัตริย์อีก ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระเชษฐาธิราช และสมเด็จพระอาทิตย์วงศ์ จนถึงแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งก็คือพระยามหาอำมาตย์ที่เคยตะลุยซามูไรญี่ปุ่นมาด้วยกันนั่นเอง

    ท่านเฉกอะหมัดอยู่ในตำแหน่งจนอายุ ๘๗ ปี แก่ชราลงมาก พระเจ้าปราสาททองจะให้พ้นตำแหน่งไปพักผ่อนก็เกรงจะกระเทือนใจ จึงโปรดเกล้าฯเลื่อนขึ้นเป็น เจ้าพระยาบวรราชนายก ที่ปรึกษาด้านมหาดไทย แล้วเลื่อน พระยาวรเชษฐ์ (ชื่น) บุตรชายคนโตของท่านซึ่งมีอายุเพียง ๓๐ ปี ขึ้นเป็น เจ้าพระยาอภัยราชา สืบตำแหน่งสมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ แทนบิดา

    ท่านเฉกอะหมัดพ้นจากตำแหน่งสมุหนายกได้ราว ๑ ปีก็ป่วยหนัก สมเด็จพระเจ้าปราสาททองเสด็จไปเยี่ยมไข้ ท่านเฉกอะหมัดได้กราบทูลเป็นครั้งสุดท้าย ฝากธิดาที่ชื่อชีไว้ด้วย ซึ่งพระเจ้าปราสาททองก็ทรงรับไว้เป็นพระสนม

    เจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) ดำรงตำแหน่งสมุหนายกฯถึง ๔๐ ปี จนอสัญกรรมในตำแหน่งเมื่ออายุได้ ๗๐ ปี ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากนั้นเจ้าพระยาชำนาญภักดี (สมบุญ) บุตรของเจ้าพระยาอภัยราชา ก็ขึ้นสืบตำแหน่งแทนบิดาอีก เป็นลำดับที่ ๓ และเจ้าพระยาเพ็ชรพิไชย (ใจ) บุตรของเจ้าพระยาชำนาญภักดี (สมบุญ) ก็ขึ้นเป็นสมุหนายกฯฝ่ายเหนือเช่นเดียวกันในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

    ลูกหลานเจ้าพระยาบวรราชนายก “วงค์เฉกอะหมัด” ได้รับราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก็รุ่งเรืองยิ่งขึ้น นับเนื่องเป็นราชินิกุล คือสกุลฝ่ายพระราชินี โดย นายบุนนาค บุตรของเจ้าพระยามหาเสนา (เสน) ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าพระยาเพ็ชรพิชัย (ใจ) ได้สมรสกับ คุณนวล น้องสาวของคุณหญิงนาค ภริยาของท่านเจ้าพระยาจักรี ซึ่งต่อมาก็คือ สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๑

    ตอนกรุงแตกนั้น นายบุนนาคได้เป็น นายฉลองนัยนารถ มหาดเล็กวังหน้าของกรมพระราชวังบวรกรมขุนพรพินิต แต่ตลอดรัชกาลพระเจ้าตากสินนายบุนนาคไม่ได้เข้ารับราชการ นัยว่ามีเรื่องบาดหมางกับเพื่อนรักตั้งแต่ยังเป็น “นายสิน” แต่นายบุนนาคก็ใกล้ชิดเป็นทนายคนสนิทของเจ้าพระยาจักรีตลอดมา ไปสงครามด้วยทุกครั้ง และเข้ารับราชการในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า เป็น พระยาอุไทยธรรม พระราชทานบ้านให้อยู่ท้ายวัง เลื่อนเป็นพระยายมราช เป็นเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา ตำแหน่งสมุหกลาโหม จนอสัญกรรมในตำแหน่งนี้เมื่ออายุได้ ๖๘ ปี

    ก่อนจะเข้ารับราชการในรัชกาลที่ ๑ นั้น ภรรยาของนายบุนนาคได้เสียชีวิตเพราะถูกโจรปล้นเรือขณะกลับจากไปขุดค้นสมบัติที่ฝังซ่อนไว้ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก คุณหญิงนาค ภรรยาของเจ้าพระยาจักรี เห็นว่านายบุนนาคคนสนิทของเจ้าคุณสามี ควรจะมีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝาอีกที จึง จึงยกคุณนวลน้องสาวให้ และในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก คุณนวลได้รับการสถาปนาเป็น เจ้าคุณพระราชพันธ์ มีบุตรกับเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) ๑๐ คน เป็นราชินีกุล ส่วนบุตรธิดาอีก ๒๒ คนที่เกิดจาก ๗ หม่อม ไม่ถือเป็นราชินีกุล

    ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เริ่มใช้พระราชบัญญัตินามสกุล เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร) บุตรของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) ได้ขอพระราชทานนามสกุล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานนามสกุลของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร) ตามชื่อของเจ้าพระยาอรรคมหาเสนาว่า “บุนนาค” เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๖ ซึ่งนับได้ว่าเชื้อสายของท่านเฉกอะหมัด ซึ่งเข้ามาเมืองไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับพระราชทานนามสกุลอย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ว่า “บุนนาค”

    นอกจากนี้ ยังมีบางสายได้แยกไปใช้นามสกุลต่างๆกันออกไปอีกหลายนามสกุล เช่น อหะหมัดจุฬา, บุรานนท์, จาติกรัตน์, ศุภมิตร, ศรีเพ็ญ, วิชยาภัย บุนนาค, ภาณุวงศ์ ฯลฯ

    ท่านเฉกอะหมัดเป็นปฐมจุฬาราชมนตรีของชาวมุสลิมในประเทศไทย แต่คนในตระกูลบุนนาคและอีกหลายนามสกุลที่แยกตัวไป ล้วนแต่นับถือศาสนาพุทธ จุดเปลี่ยนสายพุทธ-อิสลามนี้เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าบรมโกศ พระราชพงษาวดารกรุงศรีอยุธยาบันทึกไว้ว่า ณ เดือนแปด แรม ๑๐ ค่ำ พระเจ้าอยู่หัวทรงชวรหนัก ครั้นหายประชวรเมื่อขึ้นเดือนสิบสอง จึงจัดขบวนไปนมัสการพระพุทธบาท การเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนี้มีการเตรียมไปรื่นเริงอย่างเต็มที่ ข้าทูลละอองธุลีพระบาททุกคนล้วนยินดีที่พระเจ้าอยู่หัวทรงหายประชวร ต่างก็อยากตามเสด็จไปด้วย แต่ปรากฏว่าไม่มีชื่อพระยาเพ็ชรพิไชย (ใจ) อยู่ในขบวนตามเสด็จด้วย พระยาเพ็ชรพิไชยจึงกราบทูลขอตามเสด็จ พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า พระยาเพ็ชรพิไชยเป็นแขก ไม่ควรไปนมัสการพระพุทธบาท แต่ถ้าทิ้งเพศแขกมาเข้ารีตไทย ก็จะให้ตามเสด็จ พระยาเพ็ชรพิไชยก็กราบทูลว่า เต็มใจที่จะเป็นไทยตามพระราชประสงค์ จึงทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชานุญาตให้ตามเสด็จได้ ครั้นถึงพระพุทธบาท พระยาเพ็ชรพิไชยก็เข้ารับศีลปฏิญาณตนเป็นพุทธศาสนิกชนต่อสมเด็จพระสังฆราชหน้าพระที่นั่ง เป็นเหตุให้เชื้อสายเฉกอะหมัดสายหนึ่งละศาสนาเดิมมาถือพุทธตั้งแต่บัดนั้น

    เสร็จจากการสมโภชพระพุทธบาทกลับถึงพระนคร พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้โปรดเกล้าฯเลื่อนพระยาเพ็ชรพิไชยเป็น เจ้าพระยาเพ็ชรพิไชย ว่าราชการตำแหน่งสมุหนายกฯ เป็นลำดับที่ ๔ ต่อจากท่านเฉกอะหมัด

    ฝ่ายท่านมหะหมัดสะอิด นายวานิชผู้น้องของท่านเฉกอะหมัด ซึ่งเดินทางกลับไปบ้านเกิดและไม่ได้กลับมาอีก มีบุตรคนหนึ่งเป็นชาย ชื่อ “อากามหะหมัด” และเมื่อท่านมหะหมัดสะอิดใกล้ถึงแก่กรรม ได้เล่าให้บุตรชายฟังว่า มีลุงและญาติอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ครั้นบิดาถึงแก่กรรม อากามหะหมัดได้พาข้าทาสบริวารพร้อมมรดกมหาศาลที่ได้รับมาจากบิดา มายังกรุงศรีอยุธยา พึ่งพาบารมีของเจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) ลูกของลุง สร้างบ้านเป็นตึกใหญ่หลายหลังมีกำแพงแก้วล้อมที่อยู่ของตน นอกกำแพงก็สร้างเรือนให้บริวารแวดล้อมไว้ทุกด้าน หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้วัดอำแม ซึ่งชาวกรุงศรีอยุธยาเรียกกันว่า “บ้านแจกกะฎีใหญ่”

    มีเอกสารยืนยันว่า สมเด็จพระนารายณ์เมื่อทรงพระเยาว์มักจะไปสมาคมกินอยู่กับครอบครัวชาวเปอร์เซีย และทรงนิยมฉลองพระองค์ตามแบบเปอร์เซีย จนพวกฝรั่งเกรงว่าพระองค์จะทรงหันไปนับถือศาสนาอิสลามด้วย และตอนที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงยึดอำนาจจากสมเด็จพระศรีสุธรรมราชา พระเจ้าอานั้น ท่านอากามหะหมัดได้นำกำลังบริวารไปช่วยล้อมวังและยิงปืนใหญ่ถล่มด้วย เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ขึ้นครองราชย์ ท่านอากามหะหมัดจึงมีบทบาทสำคัญทั้งด้านการเมืองและการปกครอง

    ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์นี้ เจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) ได้กราบทูลขอพระราชทานท่านชี ผู้เป็นน้องสาว ซึ่งเจ้าพระยาบวรราชนายกได้ถวายเป็นพระสนมพระเจ้าปราสาททองและไม่มีพระองค์เจ้า สมเด็จพระนารายณ์ก็พระราชทานให้ เมื่อรับท่านชีมาอยู่บ้านแล้ว เจ้าพระยาอภัยราชาก็ยกท่านชีให้เป็นภรรยาของท่านอากามหะหมัด

    เจ้าพระนาอภัยราชายังได้พาท่านอากามหะหมัดถวายตัวเข้ารับราชการกับสมเด็จพระนารายณ์ จนได้รับยศเป็น พระยาศรีนวรัตน์ ว่าราชการตำแหน่งพระคลัง
    ท่านชีมีบุตรชายกับพระยาศรีนวรัตน์ ๒ คน คนที่หนึ่งชื่อ ยี คนที่สองชื่อ แก้ว และเมื่อคนโตอายุได้ ๒๒ ปี คนที่สองอายุได้ ๒๐ ปี บิดาได้นำไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้เป็น พระยาอนุรักษ์ราชา กับ หลวงศรียศ ตามลำดับ ทั้งสองเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์อย่างมาก ราษฎรพากันเกรงบารมี เรียกกันว่า “เจ้าคุณใหญ่” และ “เจ้าคุณน้อย” ทั้งๆที่ท่านทั้งสองยังไม่ได้เป็นเจ้าคุณ

    ในการสืบตำแหน่งจุฬาราชมนตรีนั้น เมื่อท่านเฉกอะหมัดได้รับโปรดเกล้าฯจากพระเจ้าทรงธรรมให้เป็น เจ้าพระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐี พร้อมกับตำแหน่งจุฬาราชมนตรีนั้น ท่านเฉกอะหมัดได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานที่ดินตำบลท้ายคู เป็นที่อาศัยของตนและบริวาร เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทาน จึงได้สร้างกุฎีทอง (กุฎีเจ้าเซ็น) ขึ้นเป็นแห่งแรกในกรุงศรีอยุธยา พร้อมกับทำป่าช้าฝังศพ (ป่าช้าแขกเจ้าเซ็นบ้านท้ายคู) และสร้างบ้านเรือนให้บริวารอยู่อาศัยในที่ดินนั้นด้วย นับว่าศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์อิสนาอะชะรี ได้ฝังรากลงบนแผ่นดินไทยตั้งแต่บัดนั้น

    ลูกหลาน “วงค์เฉกอะหมัด” ได้สืบต่อตำแหน่งจุฬาราชมนตรีมาตลอด แม้เจ้าพระยาเพ็ชรพิไชย (ใจ) ได้หันไปนับถือศาสนาพุทธแล้ว แต่พระยาวิชิตณรงค์ (เชน) บุตรของเจ้าพระยาเพ็ชรพิไชย ก็ไม่ได้เปลี่ยนศาสนาตามบิดาไปด้วย ยังคงนับถือศาสนาอิสลาม และได้เป็นพระยาจุฬาราชมนตรี ซึ่งนับเป็นจุฬาราชมนตรีอันดับ ๔ ของกรุงศรีอยุธยา ทั้งโปรดเกล้าฯให้ว่าทั้งกรมท่ากลางและกรมอาสาจาม พระราชทานเกียรติยศเสมอเจ้าพระยาพระคลัง แต่ไม่ได้เป็นเจ้าพระยา
    ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาจุฬาราชมนตรี (สัน) ได้ขอพระราชทานนามสกุลแยกออกจาก “บุนนาค” ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุลของพระยาจุฬาราชมนตรี (สัน) ว่า “อหะหมัดจุฬา” เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ๒๔๕๖

    “อหะหมัดจุฬา” ก็คือลูกหลานในวงศ์เฉกอะหมัด สายอิสลาม ขณะที่ “บุนนาค” เป็นลูกหลานสายพุทธ

    พระยาจุฬาราชมนตรี (สอน อหะหมัดจุฬา) บุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (สัน อหะหมัดจุฬา) นับเป็นจุฬาราชมนตรีลำดับที่ ๑๓ คือ ๔ อันดับสมัยกรุงศรีอยุธยา และ ๙ อันดับในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ล้วนแต่อยู่ในวงศ์เฉกอะหมัดทั้งสิ้น จนหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.๒๔๗๕ แล้ว ตำแหน่งจุฬาราชมนตรีก็ว่างอยู่ระยะหนึ่ง จนเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติ ทางราชการได้ตั้ง ฮัจยีแช่ม พรหมยงค์ เป็นจุฬาราชมนตรี และหลังจากการรัฐประหาร พ.ศ.๒๔๙๐ ตำแหน่งจุฬาราชมนตรีจึงใช้วิธีเลือกตั้ง

    ใน พ.ศ. ๒๕๑๔ นายสิริ ตั้งตรงจิตร นักโบราณคดีผู้หนึ่ง ได้ค้นพบว่า ใต้แท่นสี่เหลี่ยมก่ออิฐถือปูนผุๆ บนเนินภายในบริเวณวิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “เจ้าประคุณกลางเมือง” นั้น ก็คือหลุมฝังศพท่านเฉกอะหมัด ซึ่งอยู่ในป่าช้าแขกเจ้าเซ็น บ้านท้ายคูเดิม จึงได้ติดต่อผู้อำนวยการวิทยาลัยครูและกรมศิลปากรขออนุรักษ์ไว้

    ต่อมาในพ.ศ.๒๕๒๑ พี่น้องในวงศ์เฉกอะหมัดทั้งพุทธและอิสลามได้ร่วมกันบูรณะแท่นสี่เหลี่ยมเหนือหลุมฝังศพนั้นเป็นแท่นหินอ่อนสีชมพู ภายใต้โดมทองอันสง่างาม รวมทั้งได้สร้างศาลาอนุสรณ์เจ้าพระยาบวรราชนายก มอบให้ทางวิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา ซึ่งปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ไว้ใช้ประโยชน์ในด้านการศึกษา

    ส่วนทางมูลนิธิเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) ได้จัดให้มีการชุมนุมเยี่ยมหลุมฝังศพและทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่เจ้าพระยาบวรราชนายก เป็นประจำทุกปี ซึ่งผู้มาชุมนุมในแต่ละปีที่มีทั้งชาวพุทธและอิสลามนั้น จะมีนามสกุลหลากหลาย ซึ่งล้วนแล้วต่างแยกสายไปจากท่านเฉกอะหมัดและผู้ติดตามมาจากเปอร์เซียในสมัยกรุงศรีอยุธยาทั้งสิ้น

    [​IMG]
    หลุมฝังศพเฉกอะหมัด ในสถาบันราชภัฏพระนครศรีอยุธยา


    [​IMG]
    ป้ายบริเวณหลุมฝังศพ


    [​IMG]
    ภาพเขียนท่านเฉกอะหมัดจากจินตนาการ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ให้ระมัดระวังกัน เรื่องของเงินๆทองๆ
    ไม่มีเรื่องไหนที่ลงทุนน้อย ความเสี่ยงน้อย จะได้ผลตอบแทนสูง

    ถ้ามีในลักษณะนี้ ให้รู้ไว้เลยว่า โดนหลอกแล้ว

    สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะทำงานอาชีพไหน ต้องเรียนรู้เรื่องของเงินๆทองๆไว้
    จะได้เป็นภูมิคุ้มกันตัวเอง ไม่ให้ถูกหลอกได้ ครับ


    -------------------------------------------




    ปปง. อายัด 300 ล้าน แก๊งโกงหวยสหกรณ์ออมทรัพย์ครู
    -http://hilight.kapook.com/view/133974-

    ปปง. อายัดทรัพย์แก๊งโกงสลากกินแบ่งครู กว่า 300 ล้านบาท พร้อมอายัดทรัพย์เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนหลอกออมเงิน 1 พัน กู้ได้ 1 ล้าน

    วันที่ 11 มีนาคม 2559 ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เวลา 10.00 น. พันตำรวจเอก สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 4 โดยมีมติให้ยึดอายัดทรัพย์สินหลายรายการของ นายศรีสุข รุ่งวิสัย กับพวก ซึ่งเป็นของบริษัท เทวาสิทธิ พิฆเนศ จำกัด ไว้ชั่วคราว กว่า 100 รายการ ได้แก่ ที่ดินที่จังหวัดนครสวรรค์ สมุทรปราการ อาคารชุดย่านรัชดา มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท

    ทั้งนี้ เนื่องจากนายศรีสุข กับพวกได้ร่วมกันหลอกทำสัญญาซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครู กรมสามัญศึกษาจังหวัดเลย เป็นจำนวน 3 สัญญา 25,000 เล่ม ในราคาถูก แต่กลับนำเงินไปหมุนเวียนในระบบที่ไม่ตรงตามสัญญา และทางสหกรณ์กลับไม่ได้สลากจริง จึงเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน

    ส่วนอีกคดีคืออายัดทรัพย์ของวิสาหกิจชุมชนส่งเสริมเกษตรกรไทยกับพวกไว้ชั่วคราว จำนวน 146 รายการ รวมมูลค่าประมาณ 6 แสนบาท หลังมีการโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนเข้ามาเป็นสมาชิกพร้อมกับมีการตั้งเครือข่ายประจำจังหวัดเพื่อหาเครือข่ายเพิ่มเติม โดยเสนอแผนงานและผลประโยชน์สูง เช่น การออมเงิน 1 พันบาท สามารถกู้เงินได้ 1 ล้านบาท โดยไม่เสียดอกเบี้ย แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าทางเครือข่ายสามารถดำเนินการได้จริงตามที่เชิญชวน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน เป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

    ด้านนายสันติ เจริญสุข ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ได้กล่าวขอบคุณพร้อมบอกว่า ขบวนการดังกล่าวได้มีการแอบอ้างใช้รูปของผู้บริหารระดับสูงเพื่อหลอกให้ประชาชนหลงเชื่อ และยังได้ฝากเตือนประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อถึงผลกำไรที่เกินจริง
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สุภาษิต คำพังเพย สำนวนไทย
    -http://www.คําพังเพย.com/2012/07/blog-post_17.html-

    กงกํากงเกวียน
    ใช้เป็นคําอุปมาหมายความว่า เวรสนองเวร, กรรมสนองกรรม, เช่น ทําแกเขาอย่างไร ตนหรือลูกหลานก็อาจจะถูกทําในทํานองเดียวกันอย่างนั้นบ้างเป็นกํากงเกวียน

    กรวดน้ำคว่ำกะลา, กรวดน้ำคว่ำขัน
    ตัดขาดไม่ขอเกี่ยวข้องด้วย

    กระดังงาลนไฟ
    หญิงที่เคยแต่งงานหรือผ่านผู้ชายมาแล้ว ย่อมรู้จักชั้นเชิงทางปรนนิบติและเอาอกเอาใจผู้ชายได้ดีกว่าหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน


    กระดี่ได้นา
    ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการดีอกดีใจจนตัวสั่น เช่น เขาดีใจเหมือนกระดี่ได้น้ำ

    กระต่ายขาเดียว, กระต่ายสามขา
    ยืนกรานไม่ยอมรับ

    กระต่ายตื่นตูม
    ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการตื่นตกใจง่ายโดยไม่ทันสํารวจให้ถ่องแท้ก่อน

    กระต่ายหมายจันทร์
    ผู้ชายหมายปองผู้หญิงที่มีฐานะดีกว่า

    กําขี้ดีกว่ากําตด
    ได้บ้างดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

    กินน้ำใต้ศอก
    จําต้องยอมเป็นรองเขา, ไม่เทียมหน้าเทียมตาเท่า, (มักหมายถึงเมียน้อยที่ต้องยอมให้แก่เมียหลวง)

    กาคาบพริก
    ลักษณะคนผิวดําแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแดง

    กินบนเรือน ขี้บนหลังคา
    คนเนรคุณ

    กินปูนร้อนท้อง
    ทําอาการมีพิรุธเอง, แสดงอาการเดือดร้อนขึ้นเอง

    เกลือเป็นหนอน, ไส้เป็นหนอน
    ญาติมิตร สามีภรรยา บุตรธิดา เพื่อนร่วมงาน หรือคนในบ้านคิดคดทรยศ

    ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
    ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน

    ขนทรายเข้าวัด
    หาประโยชน์ให้ส่วนรวม

    ขมิ้นกับปูน
    ชอบวิวาทกันอยู่เสมอเมื่ออยู่ใกล้กัน, ไม่ถูกกัน

    ข่มเขาโคขืน
    บังคับขืนใจผู้อื่นให้ทำตามที่ตนต้องการ เช่น จะจัดแจงแต่งตามอารมณ์ให้กินหญ้าเราเหมือนข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า

    ขว้างงูไม่พ้นคอ
    ทําอะไรแล้วผลร้ายกลับมาสู่ตัว ขวานผ่าซาก โผงผางไม่เกรงใจใคร (ใช้แก้กริยาพูด)

    ขิงก็รา ข่าก็แรง
    ต่างก็จัดจ้านพอ ๆ กัน, ต่างก็มีอารมณ์ร้อนพอ ๆ กัน, ต่างไม่ยอมลดละกัน

    ขี้แพ้ชวนตี
    แพ้ตามกติกาแล้วยังไม่ยอมรับว่าแพ้จะเอาชนะด้วยกําลัง, แพ้แล้วพาล

    ขุนไม่ขึ้น, ขุนไม่เชื่อง
    เลี้ยงไม่เชื่องมีแต่เนรคุณ

    เขียนเสือให้วัวกลัว
    ทําอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียขวัญหรือเกรงขาม

    ไข่ในหิน
    ของที่ต้องระมัดระวังทะนุถนอมอย่างยิ่ง

    คงเส้นคงวา
    เสมอต้นเสมอปลาย

    คดในข้องอ ในกระดูก
    มีสันดานคดโกง

    คว่ำบาตร
    ไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วย, เดิมหมายถึงสังฆกรรมที่พระสงฆ์ประกาศลงโทษคฤหัสถ์ผู้ประทุษร้ายต่อศาสนาด้วยการไม่คบ ไม่รับบิณฑบาต เป็นต้น

    คางคกขึ้นวอ
    คนที่มีฐานะต่ำต้อย พอได้ดิบได้ดีก็มักแสดงกิริยาอวดดีลืมตัว

    จระเข้ขวางคลอง
    ผู้ที่ชอบกันท่าหรือขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นทําการอย่างใดอย่างหนึ่งได้สะดวก เหมือนจระเข้ที่ขึ้นมาขวางคลองทําให้เรือผ่านไปผ่านมาไม่สะดวก

    จับปลาสองมือ
    หมายจะเอาให้ได้ทั้ง 2 อย่าง, เสี่ยงทําการพร้อม ๆ กัน ซึ่งอาจไม่สําเร็จทั้ง 2 อย่าง

    จับปูใส่กระด้ง
    ยากที่จะทําให้อยู่นิ่ง ๆ ได้

    จับแพะชนแกะ
    ทําอย่างขอไปที ไม่ได้อย่างนี้ก็เอาอย่างนั้นเข้าแทนเพื่อให้ลุล่วงก็ไป

    ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน
    นําศัตรูเข้าบ้าน

    ชักใบให้เรือเสีย
    พูดหรือทําขวาง ๆ ให้การสนทนาหรือการงานเขวออกนอกเรื่องไป

    เด็กอมมือ
    ผู้ไม่รู้ประสีประสา

    ดินพอกหางหมู
    งานที่คั่งค้างพูนขึ้นเรื่อย ๆ

    เด็กเมื่อวานซืน
    คํากล่าวเชิงดูหมิ่นหรือเชิงสั่งสอนว่า มีความรู้หรือประสบการณ์น้อย

    เด็ดบัวไม่ไว้ใย
    ตัดขาด, ตัดญาติขาดมิตรกันเด็ดขาด, มักใช้คู่กับ เด็ดดอกไม้ไว้ขั้ว เด็ดบัวไม่ไว้ใย

    ตบตา
    หลอกหรือลวงให้เข้าใจผิด

    ตบมือข้างเดียวไม่ดัง
    ทําอะไรฝ่ายเดียวไม่เกิดผล

    ตบหัวลูบหลัง
    ทําหรือพูดให่กระทบกระเทือนใจในตอนแรกแล้วกลับทํา หรือพูดเป็นการปลอบใจในตอนหลัง

    ตัดหางปล่อยวัด
    ตัดขาดไม่เกี่ยวข้อง ไม่เอาเป็นธุระอีกต่อไป

    ตาลีตาเหลือก
    อาการรีบร้อนลนลาน, ตื่นกลัว

    ถวายหัว
    ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อชาติ, เอาชีวิตเป็นประกัน, ทําจนสุดความสามารถ, ยอมสู้ตาย

    ถ่านไฟเก่า
    ชายหญิงที่เคยรักใคร่หรือเคยได้เสียกันมาก่อน แม้เลิกร้างกันไปเมื่อมาพบกันใหม่ย่อมรักใคร่หรือปลงใจกันได้ง่ายขึ้น

    ถอนหงอก
    ไม่นับถือเป็นผู้ใหญ่, พูดว่าให้เสียผู้ใหญ่

    ถอดเขี้ยวถอดเล็บ
    ละพยศ, ละความดุหรือร้ายกาจ, เลิกแสดงฤทธิ์แสดงอํานาจอีกต่อไป

    ถอยหลังเข้าคลอง
    หวนกลับไปหาแบบเดิม

    ทองแผ่นเดียวกัน
    เกี่ยวดองกันโดยการแต่งงาน

    ทองไม่รู้ร้อน
    เฉยเมย, ไม่กระตือรือร้น, ไม่สะดุ้งสะเทือน

    ท่าดีทีเหลว
    มีท่าทางดี แต่ทําอะไรไม่ได้เรื่อง

    ทํานาบนหลังคน
    หาผลประโยชน์ใส่ตนโดยขูดรีดผู้อื่น

    ทําบุญเอาหน้า
    ทําบุญอวดผู้อื่น ไม่ใช่ทําด้วยใจ

    นกต่อ
    คนที่ทําหน้าที่ติดต่อหรือชักจูงหลอกล่อคนอื่นให้หลงเชื่อ (ใช้ในทางไม่ดี)

    นายว่าขี้ข้าพลอย
    พูดผสมโรงติเตียนผู้อื่นตามนายไปด้วย

    น้ำขึ้นให้รีบตัก
    มีโอกาสดีควรรีบทํา

    น้ำบ่อน้อย
    น้ำลาย

    น้ำลดตอผุด
    เมื่อหมดอํานาจความชั่วที่ทําไว้ก็ปรากฏ

    บนบานศาลกล่าว
    ขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ

    บอกเล่าเก้าสิบ
    บอกกล่าวให้รู้

    บ่างช่างยุ
    คนที่ชอบส่อเสียดยุยงให้เขาแตกกัน

    บุกป่าฝ่าดง
    พยายามต่อสู้อุปสรรคต่าง ๆ

    ปลาข้องเดียวกัน
    คนที่อยู่ร่วมกันหรือเป็นพวกเดียวกัน

    ปลาหมอแถกเหงือก
    กระเสือกกระสนดิ้นรน

    ปากปลาร้า
    ชอบพูดคําหยาบ

    ปิดทองพระ
    ทําความดีแต่ไม่ได้รับการยกย่องเพราะไม่มีใครเห็นคุณค่า

    ปิดประตูตีแมว
    รังแกคนไม่มีทางสู้ ไม่มีทางหนีรอดไปได้

    ผ่อนหนักเป็นเบา
    ลดความรุนแรง, ลดหย่อนลง

    ผักชีโรยหน้า
    การทําความดีเพียงผิวเผิน

    ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
    คนมั่งมีแต่แต่งตัวซอมซ่อ

    ฝนตกไม่ทั่วฟ้า
    ให้หรือแจกจ่ายอะไรไม่ทั่วถึงกัน

    ฝนทั่งให้เป็นเข็ม
    เพียรพยายามสุดความสามารถจนกว่าจะสําเร็จผล

    ฝากผีฝากไข้
    ขอยึดเป็นที่พึ่งจนวันตาย

    พูดเป็นนัย
    พูดอ้อม ๆ โดยไม่บอกเรื่องราวตรง ๆ

    พุ่งหอกเข้ารก
    ทําพอให้เสร็จไปโดยไม่มีเป้าหมายหรือโดยไม่คํานึงว่าใครจะเดือดร้อน

    ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด
    ฟังไม่ได้ความแจ่มชัด แล้วเอาไปพูดต่อหรือทําผิด ๆ พลาด ๆ

    ม้าดีดกระโหลก
    มีกิริยากระโดกกระเดกลุกลนหรือไม่เรียบร้อย (มักใช้แก่ผู้หญิง)

    มีหน้ามีตา
    มีคนนับถือ, มีเกียรติ, ได้รับความยกย่อง

    แม่สื่อแม่ชัก ไม่ได้เจ้าตัว เอาวัวพันหลัก
    หญิงที่ไปติดต่อระหว่างชายหญิงแต่ไม่สําเร็จในที่สุดก็ตกเป็นภรรยาของชายนั้นแทน

    ไม่ใช่ขี้ไก่
    ไม่เลว, มีอะไรดีเหมือนกัน ดูหมิ่นไม่ได้

    ไม่มีเงาหัว
    เป็นลางว่าจะตายร้าย

    ไม้ใกล้ฝั่ง
    แก่ใกล้จะตาย

    ไม้เบื่อไม้เมา
    ไม่ลงรอยกัน, ขัดแย้งเป็นประจํา

    ยกตนข่มท่าน
    ยกย่องตัวเองและข่มผู้อื่น, พูดทับถมผู้อื่นแสดงให้เห็นว่าตัวเหนือกว่า

    ยกเมฆ
    เดาเอา, นึกคาดเอาเอง, กุเรื่องขึ้น

    ยกหางตัวเอง
    ยกตนเองว่าดีว่าเก่ง

    รวบหัวรวบหาง
    รวบรัดให้สน, ทําให้เสร็จโดยเร็วฉวยโอกาสเมื่อมีช่องทาง

    รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา
    ใฝ่ดีจะมีความสุขความเจริญ ใฝ่ชั่วจะได้รับความลําบาก

    ลมเพลมพัด
    อาการที่เจ็บป่วยโดยไม่รู้สาเหตุมักเข้าใจว่าถูกกระทํา

    ลิงหลอกเจ้า
    ล่อหลอกผู้ใหญ่เวลาผู้ใหญ่เผลอ

    วันพระไม่ได้มีหนเดียว
    วันหน้ายังมีโอกาสอีก (มักใช้พูดเป็นเชิงอาฆาต)

    วัวลืมตีน
    คนที่ได้ดีแล้วลืมฐานะเดิมของตน

    ศิษย์คิดล้างครู
    ศิษย์เนรคุณที่มุ่งคิดทําลายล้างครูบาอาจารย์

    ศิษย์มีครู
    คนเก่งที่มีครู

    สองจิตสองใจ
    ลังเล, ตัดสินใจไม่ได้, เช่น จะไปเชียงใหม่ดีหรือไม่ไปดี ยังสองจิตสองใจอยู่

    สิ้นประตู
    ไม่มีทาง

    หนอนหนังสือ
    คนที่ชอบหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือ

    หมากัดไม่เห่า
    คนที่ต่อสู้หรือตอบโต้โดยไม่เตือนล่วงหน้า

    หมูในอวย
    สิ่งที่อยู่ในกํามือ

    หวานนอกขมใน
    พูด ทํา หรือแสดงให้เห็นว่าดีแต่ภายนอก แต่ในใจกลับตรงข้าม

    หอกข้างแคร่
    คนที่ใกล้ชิดที่อาจคิดร้ายขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ มักใช้แก่ลูกเลี้ยงที่ติดมากับพ่อหรือแม่, ศัตรูที่อยู่ข้างตัว

    อมพระมาพูด
    ใช้ในการพูดโดยอ้างพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประกอบเป็นพยาน มักใช้ในความปฏิเสธ
    เช่น ต่อให้อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ


    เพิ่มเติม

    นกน้อยทํารังแต่พอตัว
    หมายถึง เป็นผู้น้อยทําอะไรต้องดูให้พอสมควรกับฐานะของตน เช่น มีเงินไม่มากนัก ก็
    สร้างบ้านพอประมาณมิใช่สร้างใหญ่โตเพิ่มภาระหนี้สินให้ครอบครัว

    ตีงูให้กากิน
    หมายถึง ลงทุนลงแรงทําสิ่งที่ไม่เป็นคุณแก่ตน มีแต่จะเป็นโทษแล้วยังกลับไปเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอีก เช่น ตีงูให้ตายแต่ไม่ได้นํางูมาเป็นอาหารกลับโยนงูให้กากิน

    ขมิ้นกับปูน
    หมายถึง คนสองคนที่ไม่ถูกกัน อยู่ใกล้กันเมื่อไรก็ต้องทะเลาะวิวาทกันเมื่อนั้น

    ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
    หมายถึง คนที่มีอํานาจราชศักดิ์ หรือเป็นใหญ่เป็นโตก็ย่อมข่มคนที่เป็นผู้น้อยเหมือนกับคนที่มีกําลังมากย่อมมีภาษีเหนือกว่าคนอ่อนแอ

    ฆ่าช้างเอางา
    หมายถึง การทําลายสิ่งที่ใหญ่โตลงทุนลงแรงไปมาก เพื่อให้ได้ของสําคัญเพียง
    เล็กน้อย โดยไม่คํานึงว่าการกระทํานั้นจะสมควรหรือไม่ขอให้ได้สิ่งที่ต้องการ

    วัดรอยเท้า
    หมายถึง มุ่งจะโต้ตอบ มุ่งแก้แค้น มุ่งอาฆาต เป็นสํานวนที่ใช้กับลูกที่คิดจะสู้พ่อ หรือใช้กับผู้น้อย คิดจะหักล้างผู้ใหญ่ที่เคยบังคับบัญชาตนมาก็ได้

    ม้าดีดกระโหลก
    หมายถึง กริยาท่าทางผลุบผลับกระโดกกระเดกลุกลน มักใช้ว่าผู้หญิงที่ไม่เรียบร้อย จะลุก
    จะนั่งจะเดินเตะนั่นโดนนี่ กระทบโน่นไปรอบข้าง

    จับปูใส่กระด้ง
    หมายถึง การเปรียบเทียบกับเด็กๆที่ซุกซน ไม่ยอมอยู่นิ่งผู้ใหญ่ต้องคอยควบคุมดูแลตลอดเวลา เพื่อให้เด็กอยู่ในระเบียบ

    เป่าปี่ให้ควายฟัง
    หมายถึง การพูดจาแนะนําสั่งสอนให้คนโง่เง่าฟัง เพื่อหวังให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเขาเอง แต่กลับไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะคนโง่ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกับคนเป่าปี่ให้ควายฟังควายฟังไม่รู้เรื่อง

    ขนทรายเข้าวัด
    หมายถึง การทําประโยชน์ให้ส่วนรวม โดยการกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งแม้ไปกระทบกระเทือนให้ผู้อื่นเสียประโยชน์ ก็ถือว่ายกให้กับส่วนรวมไม่ต้องมีอะไรมาชดเชยก็ได้

    ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด
    หมายถึง คนที่ทําความผิดอย่างร้ายแรง ย่อมไม่สามารถปกปิดความผิดของตนได้ หรือ
    พยายามหาหลักฐานมากลบเกลื่อน แต่ไม่สามารถปกปิดความผิดนั้นได้

    ตักบาตรถามพระ
    หมายถึง จะให้อะไรสักอย่างหนึ่งแก่ผู้อื่น ในเมื่อผู้นั้นเต็มใจรับอยู่แล้ว ไม่ต้องถามว่าจะเอาหรือไม่เอา เมื่อจะให้ก็ให้ทีเดียว เหมือนกับถวายอาหารพระ พระท่านจะรับของทุกอย่างไม่มีการปฏิเสธ

    ยืนกระต่ายขาเดียว
    หมายถึง การพูดยืนยันคําเดียวไม่แปรผันหรือเปลี่ยนแปลงไป เช่น เขาไม่ได้ลักเงินไปจริงๆถามเขาตั้งร้อยครั้งเขาก็ยืนยันว่าไม่ได้เอาไปจริง

    วัวแก่อยากกินหญ้าอ่อน
    หมายถึง ชายแก่ที่มีเมียสาวคราวลูกหลาน มักใช้เป็นคําเปรียบเปรย เมื่อเห็นคนที่มีอายุมากไปจีบเด็กรุ่นลูกหลานหวังจะได้มาเป็นเมีย

    สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ
    หมายถึง สอนคนที่มีสันดานไม่ดีอยู่แล้ว ให้มีความเฉลียวฉลาดมากยิ่งขึ้น แล้วก็ก่อให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นมาภายหลัง

    วัวหายล้อมคอก
    หมายถึง เกิดเรื่องเสียหายขึ้นแล้ว จึงคิดหาหนทางป้องกัน เหมือนมีสมบัติไม่เก็บรักษาให้ดี พอสมบัติหายไปแล้วจึงหาทางสร้างที่เก็บสมบัติ

    ตาบอดได้แว่น
    หมายถึง ได้รับสิ่งของที่มีคนเขาให้มา แต่ตัวเองไม่มีปัญญาจะใช้ เช่น มีคนให้พัดลมมาแต่ที่บ้านไม่มีไฟฟ้า เป็นต้น

    ปลากระดี่ได้น้ำ
    หมายถึง การแสดงอาการดีใจจนออกหน้าดูแล้วเกินงาม ส่วนใหญ่แล้วจะว่าผู้หญิงที่แสดงอาการดีใจ และท่าทางไม่เรียบร้อย

    ขี่ช้างจับตั๊กแตน
    หมายถึง การจัดทําสิ่งใดที่เป็นการโกลาหลโดยใช่เหตุ หรือธุระที่ทำนั้นเป็นสิ่งเล็กน้อยไม่น่าจะต้องลงทุนหรือเตรียมการใหญ่โตเกินต้องการ เหมือนคนลงทุนมากได้ผลตอบแทนน้อย

    มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ
    หมายถึง ไม่ช่วยทํางานแล้วเกะกะขัดขวาง ทําให้งานเดินไปไม่สะดวก เหมือนกับคนที่นั่งไปในเรือไม่ช่วยทํางาน แต่ยังไปเอาเท้าไปราน้ําให้เรือแล่นช้า

    วัดรอยเท้า
    หมายถึง มุ่งจะโต้ตอบ มุ่งแก้แค้น มุ่งอาฆาต เป็นสํานวนที่ใช้กับลูกที่คิดจะสู้ลูก หรือใช้กับผู้น้อย คิดจะหักล้างผู้ใหญ่ที่เคยบังคับบัญชาตนมาก็ได้

    หนีเสือปะจระเข้
    หมายถึง คนที่มีความทุกข์กําลังจะได้รับอันตราย ไปขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นแต่กลับไปพบความทุกข์อันตรายอีก จากบุคคลที่ไปขอพึ่งพิง

    กระต่ายตื่นตูม
    หมายถึง การตกใจเกินกว่าเหตุ เมื่อมีเหตุอะไรเกิดขึ้น ยังไม่ทันพิจารณาให้ถี่ถ้วนก็ตกใจไปก่อนแล้ว เหมือนกับนิทานเรื่องกระต่ายตื่นตูม

    จับปลาสองมือ
    หมายถึง ต้องการตําหนิชายหรือหญิงที่ใจไม่แน่นอน เช่น รักคนสองคนในเวลาเดียวกัน ดีไม่ดีคนรักอาจหลุดมือไปทั้งสองคนเลยก็ได้

    ไข่ในหิน
    หมายถึง สิ่งต่างๆ หรือสิ่งใด ที่มีลักษณะเปราะมอมบางอ่อนแอ ต้องทะนุถนอมเป็นพิเศษ ไม่ให้ได้รับอันตรายหรือเกิดการเสียหายได้

    ดินพอกหางหมู
    หมายถึง การปล่อยงานคั่งค้างอยู่เรื่อยๆ เพราะมัวแต่ผัดวันประกันพรุ่ง ในไม่ช้างานที่คั่งค้างนั้นจะพอกพูนมากขึ้นทุกที จนเป็นภาระที่น่าเบื่อหน่ายภายหลัง

    คางคกขึ้นวอ
    หมายถึง การประชดประชันหรือเสียดสีเมื่อปรากฏว่าบุคคลใด บุคคลหนึ่งซึ่งขาดลักษณะเหมาะสมได้รับการยกย่อง จนเกินฐานะและพื้นเพเดิม

    เอาเป็ดไปขันประชันไก่
    หมายถึง การเอาของที่ไม่ดี ไม่มีค่ามาแทนของดีของมีค่า เช่น นําทองแดงหัวพลอยไปแทน แหวนทองคํา ฝังเพชร เป็นต้น


    ------------------------------------------------------------------------



    คำสุภาษิต 180 คำ พร้อมความหมาย

    -http://www.tewfree.com/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%95/-



    แหล่งรวมสำนวน สุภาษิต คำพังเพย

    -http://proverbthai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A2-
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2016
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    งบการเงินส่วนตัว วางแผนชีวิตของคุณวันนี้
    -http://money.sanook.com/368057/-

    การทำงบการใช้จ่ายอาจจะดูเป็นเรื่องปวดหัวสำหรับเราทุกคนนะคะ จะให้มานั่งแยกประเภทว่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ก็เยอะเกิน ไหนจะค่าเช่า ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ เงินลงทุน ค่าการศึกษา ค่าเอ็นเตอร์เทน ค่าอาหาร ค่าโน่นนี่นั่นอีกเยอะไปหมด ไหนจะต้องมาแบ่งเป็นประเภทย่อยลงไปอีก สรุป คนทำงงเอง จริงมั้ยคะ

    นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายแต่ละประเภท ก็ใช่ว่าจะเท่ากันทุกเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ยังไงก็ไม่เท่ากันทุกเดือน ค่าซื้อของเข้าบ้าน ค่าอาหาร ค่าของใช้ในบ้าน บางเดือนน้อย บางเดือนเยอะไม่เท่ากัน แล้วจะทำงบยังไง ว่าเดือนนึงเราต้องใช้เท่าไหร่ ต้องกันเงินไว้เท่าไหร่ถึงจะพอ แล้วแต่ละเดือนก็มีเรื่องให้คิดเยอะอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมานั่งทำงบประมาณรายเดือนอีกด้วย เรามาดูกันค่ะ ว่าการจัดทำงบประมาณนั้นมี่ความสำคัญอย่างไร

    การจัดทำงบประมาณ หรือ budget คือ งบประมาณส่วนบุคคล คือ การวางแผนการประมาณรายได้ รายจ่ายล่วงหน้า เพื่อทำการจัดสรรเงินที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยมีการกำหนดแหล่งที่มาของรายได้ วิธีการจัดหมวดหมู่ของรายจ่าย และมีการตรวจสอบควบคุมรายจ่ายโดยจัดสรรเป็นงบประมาณตามเหมาะสมได้

    การทำงบประมาณการเงินส่วนบุคคล เพื่อวางแผนจัดสรรเงินที่เรามีอยู่อย่างจำกัดให้เป็นไปอย่างประสบความสำเร็จ ทำให้เราสามารถมีเงินใช้จ่าย มีเงินเก็บออม มีเงินลงทุนเพื่อความมั่นคงด้านการเงินในอนาคตของเรา และครอบครัวต่อไป

    ทำงบการเงินส่วนบุคคล ใครว่าต้องเป็นเรื่องยุ่งยาก

    วันนี้เรามาดูวิธีการจัดการงบการเงินส่วนตัว แบบที่ หนี้ก็จ่ายครบ เงินก็มีใช้ กันดีกว่าค่ะ วิธีคิดง่ายๆ คือการวางงบแบบ 50/30/10/10 เป็นวิธีการแบ่งเงินเดือนออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนก็จะมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป เพื่อให้เราสามารถนำเงินมาใช้จ่ายได้อย่างไม่ขาดมือนั่นเองค่ะ

    วิธีการจัดการด้านการเงินแบบนี้ทั้งยืดหยุ่น และสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย แต่ช่วยทำให้คุณมีเป้าหมายด้านการเงินชัดเจน และไม่หลุดออกนอกวงโคจรค่ะ มาดูวิธีการกันเลยค่ะ

    1. 50% เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน
    เราทุกคนต่างก็รอวันนั้นของเดือนจริงมั้ยคะ วันเงินเดือนออก การแบ่งเงินก้อนแรกง่ายๆ คือการนำยอดเงินเดือน หลังหักภาษี หลังหักเงินส่งกองทุนเลี้ยงชีพ (เพราะบางบริษัทมีบริการนี้ให้พนักงาน) มาหารสองค่ะ

    ตัวอย่าง
    เงินเดือน 20,000 หลังหักประกันสังคม 4% (20000*4/100=800) เหลือ 20000-800 = 19,200 บาท
    ยกยอด 19,200 บาท แบ่งครึ่ง ได้แก่ 19200/2 = 9,600 บาท

    พอได้อย่างนี้แล้ว ก็ให้นำเงินจำนวนนี้ที่เราแบ่งไว้สำหรับจ่ายค่าเช่า ค่าเดินทาง ค่าอาหารที่ใช้จ่ายรายเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ ที่เป็นรายจ่ายรายเดือนของเราทั้งหมดค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะ สูตรการทำงบประมาณแบบนี้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามจำเป็นนะคะ เรามาดูส่วนต่อไปกันก่อนค่ะ

    2. 30% เพื่อการปลดหนี้
    สิ่งต่อมาที่จะต้องคิดหลังจากได้เงินเดือนอีกอย่างก็คือ ฉันจะต้องจ่ายหนี้ใครบ้าง ถูกมั้ยคะ เงินส่วนนี้เป็นเงินที่คุณจะนำมาจ่ายหนี้นั่นเองค่ะ

    ตัวอย่าง
    30% ของ 19,200 บาท เท่ากับ 19200*30/100 = 5,760 บาท

    เงินจำนวนนี้เป็นส่วนที่เราจะต้องนำไปใช้จ่ายค่าหนี้บัตรเครดิต ค่าหวยป้าปากซอย ฯลฯ

    3. 10% เพื่อการออม
    จะลืมการเตรียมการเพื่ออนาคตของเราไม่ได้ค่ะ การวางแผนเผื่ออนาคตเป็นสิ่งสำคัญนะคะ ดังนั้นเราก็จำเป็นจะต้องมีเงินส่วนหนึ่งที่เรากันไว้เพื่อเป็นการออมเงินเพื่ออนาคตของเราด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเพื่อทริปต่างประเทศที่เราฝันไว้ เก็บเงินซื้อรถ เก็บเงินเพื่อออมหรือลงทุนกินดอกเบี้ยก็รวมอยู่ในส่วนนี้ค่ะ

    โดยเราสามารถแบ่งย่อยเงินส่วนนี้ออกเป็นหลายๆ กระปุกได้ อาจจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งฝากบัญชีเพื่อการออม อีกส่วนอาจจะนำไปลงทุนแบบ DCA อีกส่วนอาจจะเก็บเพื่อทริปในฝันของเรา เป็นต้นค่ะ

    ตัวอย่าง
    10% ของ 19,200 บาท เท่ากับ 19200*10/100 = 1,920 บาท
    แบ่งเป็น 3 ส่วนเพื่อแยกเก็บตามจุดประสงค์ 1,920/3 = 640 บาท

    4. 10% เพื่อให้รางวัลตัวเอง
    เงินก้อนนี้ตามชื่อเลยค่ะ เอาไว้ให้รางวัลตัวเอง งบไปกินจิ้มจุ่ม เก็บเงินซื้ออุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่ต้องการ ซื้อเสื้อผ้า ซื้อกระเป๋า ซื้อของให้ตัวเอง หรือค่ากินค่าเที่ยวก็อยู่ในจำนวนนี้ค่ะ ทำงานหนักมาทั้งเดือน จะไม่ให้รางวัลตัวเองหน่อย ก็เดี๋ยวจะหมดกำลังใจกันซะก่อนนะคะ

    ตัวอย่าง
    10% ของ 19,200 บาท เท่ากับ 19200*10/100 = 1,920 บาท

    สิ่งสำคัญคือ ระบบการจัดสรรปันส่วนรายได้แบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องตายตัวค่ะ คุณสามารถจัดแบ่งปรับเปลี่ยนได้ตามที่คุณเห็นว่าเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ

    หากคุณมีหนี้เยอะ แทนที่จะแบ่ง 30% เพื่อใช้หนี้ก็อาจจะแบ่งเยอะหน่อยเพื่อนำไปปลดหนี้ก็ได้เหมือนกัน เราอาจจะเปลี่ยนสูตรเป็น 50/40/5/5 แทนเพราะว่าเราต้องการจะใช้หนี้ให้หมดเร็วๆ ก็ได้เหมือนกันค่ะ

    ตัวอย่าง
    สูตร 50/40/5/5

    แบ่งเงิน 50% เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน
    แบ่ง 40% สำหรับการใช้หนี้ เงิน
    เก็บออมลงทุนอาจจะลดเหลือ 5%
    แล้วส่วนให้รางวัลตัวเองลดเหลือ 5%

    เห็นมั้ยคะว่าการใช้สูตรนี้ยืดหยุ่นแค่ไหน การทำงบการเงินเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรทำนะคะ แต่ว่ามันไม่ได้จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องยุ่งยากเสมอไปค่ะ ลองนำสูตรดังกล่าวไปปรับใช้งานดูกับชีวิตประจำวันได้เลยค่ะ


    MASii
    สนับสนุนข้อมูล
     

แชร์หน้านี้

Loading...