พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    หลังจากนั้น ตั้งใจไปกราบพระประธานที่วัดใหญ่อินทาราม ปรากฎว่า พระอุโบสถปิด พระอุโบสถเปิดเฉพาะวัดพระเท่านั้น

    นำรูปบริเวณรอบๆพระอุโบสถมาให้ชม หากมีโอกาสจะไปอีกครั้งครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    เสมาหน้าโบสถ์




    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    พระอุโบสถและบริเวณโดยรอบครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    เครื่องสังคโลก ประดับ(บางส่วน)รอบพระอุโบสถ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    พระบรมราชานุสาวรีย์องค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

    <table id="ncode_imageresizer_warning_1" class="ncode_imageresizer_warning" width="599"><tbody><tr><td class="td1" width="20">[​IMG]</td><td class="td2">This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 691x1037.</td></tr></tbody></table>[​IMG]

    [​IMG]

    ประตูทางเข้าพระอุโบสถ(น่าจะเป็นด้านหลัง)ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    รูปปั้นพ่อหมอสุกเทวดา (อยู่ในศาลาเล็กๆ)ครับ

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สถานที่สุดท้าย หอพระ

    ที่ประดิษฐานองค์พระพุทธสิหิงค์(จำลอง)ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    <table id="ncode_imageresizer_warning_2" class="ncode_imageresizer_warning" width="599"><tbody><tr><td class="td1" width="20">[​IMG]</td><td class="td2">This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 691x1037.</td></tr></tbody></table>[​IMG]

    [​IMG]

    ด้านหน้าครับ

    [​IMG]

    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)

    [​IMG]

    [​IMG]

    พระพุทธสิหิงค์

    [​IMG]

    หนังสือที่อยู่ด้านหน้า ผมถ่ายรูปมาให้ชมกัน

    [​IMG]

    หอพระ ด้านข้าง

    [​IMG]

    [​IMG]

    ต้นพระศรีมหาโพธิ์

    เมื่อกราบพระเรียบร้อย ก็ได้เดินทางไปกราบท่านอาจารย์ประถม อาจสาครที่บ้านของท่าน ระหว่างทางหิวกาแฟ ก็แวะซื้อกันครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    สำหรับทริปไหว้พระในวันนี้ จบบริบูรณ์แล้วครับ ไว้คราวหน้าไปไหว้พระที่ไหน จะนำรูปมาฝากอีกครับ

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ประวัติ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
    -http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/sd-wat-thep/sd-wat-thep-hist-01.htm-
    วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร

    เรียบเรียงจากที่โพสท์ใน เว็บไซต์ saktaling.com

    สมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร) นามเดิมว่า เจริญ ในสกุล สุขบท เป็นบุตรอุบาสกทองสุข อุบาสิกาย่าง ตั้งบ้านเรือนอยู่สะพานแม่ย่าง ตำบลตลาดกลาง อำเภอบางปลาสร้อย จังหวัดชลบุรี เกิดในรัชกาลที่ 5 วันที่ 9 กรกฎาคม พุทธศาสนกาล 2415 ตรงกับวันอังคารขึ้น 4 ค่ำ เดือน 8 อุตรษาฒ ปีวอก จุลศักราช 1234

    ในปีที่จะเกิดนั้นอุบาสกทองสุข ฝันว่า มีผู้นำช้างเผือกมาให้ ถึงเรื่องนี้จะเป็นเพียงความฝัน แต่โบราณก็ถือกันมาว่าเป็นมงคลนิมิตสำคัญอย่างหนึ่ง

    เมื่ออายุได้ 8 ขวบ ไปเป็นศิษย์ท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุนี (ปุณฺณโก พุฒ) แต่ยังเป็นพระอธิการวัดเขาบางทราย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี

    ท่าน เจ้าคุณชลโธปมคุณมุนีนั้น เป็นสัทธิวิหาริก ข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงผนวช เมื่อท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุนีบวชครั้งแรก เป็นที่สมุห์ฐานานุกรมของพระศรีวิสุทธิวงศ์ (สมณศักดิ์ของพระยาศรีสุนทรโวหาร ฟัก เมื่อครั้งบวชเป็นพระ ) ขณะที่บวชเป็นพระได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษพอประมาณ ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลาผนวชและขึ้นครองราชย์ จึได้ลาสิกขาเข้ารับราชการ ได้เป็นขุนสาครวิสัย ในกรมมหาดเล็ก ครั้นออกจากราชการตอนปัจฉิมวัยจึงบวชอีกครั้งหนึ่ง สถิตย์อยู่วัดบุบผาราม ธนบุรี ครั้นจุลศักราช 123 รัตนโกสินทร์ศก 89 ตรงกับ พ.ศ. 2412 (สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ครองราชย์เป็นปีที่สอง) เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) ได้อาราธนาพระอาจารย์พุฒ ปุณณกเถระ จากวัดบุบผาราม มาเป็นเจ้าอธิการ วัดเขาบางทราย ต่อมาเมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสจังหวัดชลบุรี ทรงทราบประวัติเดิมของท่านอธิการพุฒ ทรงพระราชดำริว่า ท่านอุตส่าห์สั่งสอนศิษย์มากและเป็นข้าหลวงเดิม จึงทรงตั้งเป็นพระครูชลโธปมคุณมุนี เจ้าคณะจังหวัดชลบุรี ต่อมาโปรดให้เลื่อนเป็นพระชลโธปมคุณมุนี ที่พระราชาคณะ
    พระชลโธปมคุณมุนี
    (พุฒ ปุณฺณโก)

    เจ้า พระคุณสมเด็จ ฯ เล่าเรียนอักษรสมัยในสำนักท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุนี จนอายุย่างเข้าปีที่ 12 ไปบรรพชาเป็นสามเณรที่ศาลาในสวนของย่า ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ย่านิมนต์ท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุนีไปให้บรรพชาต่อเนื่องกับการอุปสมบทบุตรคน เล็กของย่า ครั้นบรรพชาเป้นสามเณรแล้วก็กลับมาเล่าเรียนที่วัดเขาบางทรายสืบต่ออีก จนกระทั่งอายุได้ 14 ปี เห็นว่าตนอาจเรียนวิชาชั้นสูงเพิ่มขึ้นได้ จึงเข้ามาศึกษาพระปริยัติธรรม อยู่ในสำนักท่านพระครูวินัยธร (ฉาย) ฐานานุกรมของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร วัดราชบพิธ ในพระนคร

    คืนวันรุ่งขึ้นที่จะมาฝากตัวอยู่กับท่านพระครูวินัยธร (ฉาย) ท่านพระครูวินัยธร (ฉาย) ก็ฝันทำนองเดียวกับอุบาสกทองสุขเคยฝันมานั้น คือฝันว่า มีผู้นำช้างเผือกมาให้

    ในระหว่างที่ศึกษาพระปริยัติธรรม อยู่ในสำนักท่านพระครูวินัยธร (ฉาย) ผู้เป็นอาจารย์ โรคเหน็บชาเกิดขึ้น เป็นดวงกลมเท่าปลายนิ้วชี้ ที่ริมน่องเท้าซ้าย ซึ่งที่จริงมีมาตั้งแต่ในขณะอายุราว 9 ขวบ แต่ไม่ได้รักษาเพราะเห็นว่าไม่ได้พิการอะไร เป็นอย่างคนธรรมดา แม้เมื่ออายุราว 15 ปี ก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าเท้าพิการ จนกระทั่งท่านพระครูวินัยธร (ฉาย) ผู้เป็นอาจารย์ เห็นท่านเวลาเดิน จึงบอกบอกว่า เท้าพิการ ท่านจึงได้รู้สึกตัว คือโรคดังกล่าวทำให้เส้นส้นหน้าแข้งแฟบ เดินปลายเท้าตก

    ต่อมาไปเล่า เรียนในสำนักท่านพระยาธรรมปรีชา (บุญ) จนอายุครบ 20 จึงได้กลับออกไปอุปสมบทที่วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี ในวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2435 มีนิยมนามตามภาษามคธว่า ญาณวโร โดยมี ท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุนีเป็นพระอุปัชฌายะ ท่านพระครูวินัยธร (ฉาย) เป็นพระอุปสัมปทาจารย์

    หม่อมเจ้าพระศรีสุคตคัตยานุวัตร

    เมื่อ อุปสมบทแล้ว ก็ได้กลับเข้ามาจังหวัดพระนคร มาอยู่วัดกันมาตฺยาราม เพื่อความสะดวกในการศึกษา เพราะใกล้ที่อยู่ของท่านพระยาธรรมปรีชา (บุญ) ผู้เป็นอาจารย์สอนพระปริยัติธรรม เรียนอยู่ 4 ปีเศษ ต่อมาไปเรียนในสำนักท่านเจ้าคุณศาสนโศภณ (อหึสโก อ่อน) แต่ครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระเทพกวี อยู่วัดพิชัยญาติการาม เรียนอยู่ 3 เดือนเศษ ถึงปีมะแม พ.ศ. 2438 เข้าสอบพระปริยัติธรรมในมหามกุฎราชวิทยาลัย ได้โดยลำดับจนถึงชั้นเปรียญตรี เทียบ 4 ประโยค

    ปีวอก พ.ศ. 2439 จึงมาอยู่วัดเทพศิรินทราวาส เพื่อเล่าเรียนพระวินัยปิฎก ในสำนักสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่น เป็นพระอาจารย์ ในปีนั้นเข้าสอบพระปริยัติธรรมในมหามกุฎราชวิทยาลัยได้โดยลำดับ จนถึงชั้นเปรียญเอก เทียบ 7 ประโยค ได้รับรางวัลที่ 1 ทุก ๆ ประโยคตั้งแต่ชั้นต้นจนถึงชั้นที่สุด และได้รับตำแหน่งเป็นครูเอกโรงเรียนภาษาบาลีวัดเทพศิรินทราวาสสืบมา

    ถึง ปีจอ พ.ศ. 2441 มีพรรษา 7 อายุเข้า 27 ทรงตั้งเป็นพระราชาคณะที่ พระอมราภิรักขิต โปรดฯให้เป็นผู้อำนวยการศึกษา ในมณฑลปราจีนบุรี และในปีเดียวกันนั้น วันที่ 22 มกราคม สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงตั้งให้เป็นผู้กำกับวัดสัมพันธวงศ์อีกตำแหน่งหนึ่ง ถึงวันพุธที่ 25 มกราคม ศกนั้น หลังจากที่ หม่อมเจ้าพระศรีสุคตคัตยานุวัตร เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสในขณะนั้น ทูลลาออกจากหน้าที่เจ้าอาวาสเพื่อจะลาผนวชในปลายปี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งท่านเป็นเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส


    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/sd-wat-thep/sd-wat-thep-hist-01.htm

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ประวัติ หลวงปู่ม่น ธัมมจิณโณ วัดเนินตามาก

    -http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%93-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81.html-

    พระ ครูสุจิณธรรมวิมล หรือ หลวงปู่ม่น ธัมมจิณโณ อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อ ดังวัดเนินตามาก ต.โคกเพลาะ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี นามเดิม นายม่น นามสกุล วิญญาณ เกิดเมื่อวันเสาร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีจอ ตรงกับวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2453 โยมบิดาชื่อ มา โยมมารดาชื่อ แดง มีพี่น้องรวมกัน 3 คน คือ 1.นางเทียม เอมเปีย 2.หลวงปู่ม่น 3.นางย้อย โบราณ

    ในวัยเยาว์ โยมบิดามารดา นำไปฝากเรียนกับพระที่วัดใกล้บ้าน ศึกษาอักขระสมัย เนื่องจากท่านเป็นผู้มีจิตใจอ่อน โยน โอบอ้อมอารี สนใจใฝ่เรียน มีความพยายามและอดทนเป็นเยี่ยม ทำให้พระอาจารย์ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้อย่างเต็มกำลัง จนมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านอักษร การแพทย์แผนโบราณ และการช่าง

    เนื่องจากท่านเป็นบุตรชายคนเดียว จึงถือเป็นหลักของครอบครัว ขยันขันแข็ง ประกอบสัมมาอาชีพช่วยเหลือโยมบิดามารดาทำให้ครอบครัวมีฐานะมั่นคงในเวลาต่อ มา มีที่นาทำกินเป็นของตนเองจำนวนพอสมควร

    จนกระทั่งอายุได้ 29 ปี ท่านจึงได้ขอบรรพชาอุปสมบท ในวันเสาร์ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 5 ตรงกับวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2481 ณ พัทธสีมาวัดโคกเพลาะ ต.โคกเพลาะ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี

    มี พระครูสังวรศีลาจารย์ วัดหลวงพรหมาวาส ต.วัดหลวง อ.พนัสนิคม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพิพัฒน์ธรรมคุณ วัดโบสถ์ ต.วัดโบสถ์ อ.พนัสนิคม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระครูอาจารสุนทร วัดโคกเพลาะ ต.โคกเพลาะ อ.พนัส นิคม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า "ธัมมจิณโณ"

    เมื่อ ได้อุปสมบทแล้ว ได้พำนักที่วัดโคกเพลาะระยะหนึ่ง จึงได้ย้ายไปจำพรรษา ที่วัดเนินตามาก เริ่มศึกษาเล่าเรียนคันธุระและวิปัสสนาธุระอย่างจริงจัง เคร่งครัด ประกอบคุณงามความดีตามความเหมาะสมของเพศสมณะ ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในธรรมวินัยตั้งแต่เริ่มอุปสมบท ศึกษาปริยัติธรรม เข้าสอบนักธรรมชั้นตรี ชั้นโท ตามลำดับ มีความสามารถในการจำและสวดพระปาฏิโมกข์ได้ จนมาทำการค้นคว้าด้วยตนเอง ฝึกการปฏิบัติจิตและกัมมัฏฐาน

    เพื่อหลุดพ้นอย่างจริงจังเมื่ออุปสมบท ได้ 5 พรรษา จึงได้ออกธุดงค์เพื่อหาประสบการณ์ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น พระพุทธบาท สระบุรี วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นต้น

    ท่านเล่าว่า ไปศึกษาวิชาธรรมกายกับ หลวงพ่อสด วัดปาก น้ำ (สมัยที่หลวงพ่อสดยังมีชีวิตอยู่) แต่เมื่อปฏิบัติได้ 7 วัน ท่านบอกว่าไม่ถูกกับจริต เลยขอลาไปที่อื่นต่อมาภายหลังท่านได้ฝากตนเป็นศิษย์ พระสมุห์บุญยิ่ง วิริโย ที่วัดเขาบางพระ อ.ศรีราชา รับคำแนะนำสั่งสอนในการปฏิบัติอันเป็นไปด้วยธาตุและจริตเป็นหนึ่งเดียวกัน

    นอก จากนี้ ยังได้ศึกษาด้านเวชกรรมจากพระสมุห์บุญยิ่งเพิ่มเติมจนมีความเชี่ยวชาญ ต่อมา พระสมุห์บุญยิ่ง ได้ชักชวนหลวงปู่ม่น ออกธุดงค์หาสถานที่ปฏิบัติวิเวก เป็นสัปปายะ จนได้พบถ้ำจักรพงศ์ บนเกาะสีชัง ทั้งอาจารย์และศิษย์จึงได้พำนักอยู่ ณ ที่นี้ จนหลวงปู่ม่นเกิดความก้าวหน้าทางจิตเป็นอย่างมาก

    ปี 2490 พระอธิการกี่ เจ้าอาวาสวัดเนินตามาก ได้ลาสิกขา ทางคณะสงฆ์ และอุบาสก อุบาสิกาได้มาอาราธนานิมนต์หลวงปู่ม่น กลับไปเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด สั่งสอนภิกษุ สามเณร และ อุบาสก อุบาสิกาสืบต่อไป เมื่อหลวงปู่ม่นเป็นเจ้าอาวาส ได้ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ทำนุบำรุงวัดเนินตามากให้เจริญรุ่งเรือง สร้างถาวรวัตถุ เช่น อุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิ วิหาร ฯลฯ

    นอกจากนี้ ยังช่วยพัฒนาท้องถิ่น ทำถนน ไฟฟ้า สร้างโรงเรียน ตั้งกองทุนมูลนิธิต่างๆ ให้การศึกษาแก่พระภิกษุ สามเณร สอนนักธรรม พระนวกะ ส่งเข้าสอบนักธรรมสนามหลวงทุกปี หลวงปู่ม่นเป็นที่เคารพศรัทธาของบรรดาศิษย์ เสียสละ สร้างคุณงามความดี ให้แก่พระพุทธศาสนาและท้องถิ่น เป็นที่ยอมรับของสาธุชนทั่วไป ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดหลวงปู่ม่นมากที่สุด คือ พลเอกเชษฐา ฐานะจาโร ส่วนเหรียญที่มีประสบการณ์มากที่สุด คือ "รุ่นเจริญพร" ซึ่งเป็นรุ่นที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่บูชาติดตัวมากที่สุด

    ปี 2529 คณะสงฆ์ได้พิจารณาขอพระครูชั้นโทที่ พระครูสุจิณธรรมวิมล ปี 2523 หลวงปู่ม่นได้อาพาธด้วยโรคอัมพฤกษ์ เข้า รับการรักษาที่โรงพยาบาลพนัสนิคม เกือบหายเป็นปกติ จึงกลับมาพักฟื้นที่วัด จนกระทั่งปี 2537 ท่านอาพาธหนักอีกครั้ง เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวช กรุงเทพฯ เป็นเวลาถึง 8 เดือน จึงสามารถกลับมาอยู่วัด

    หลังจากนั้น ท่านก็อาพาธเป็นๆ หายๆ เข้าออกโรงพยาบาลสมิติเวช กระทั่งมรณภาพด้วยอาการสงบ ณ โรงพยาบาลสมิติเวช เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ต.ค.2541 เวลา 18.00 น. สิริอายุได้ 88 ปี 5 เดือน 24 วัน พรรษา 60

    ประวัติ หลวงปู่ม่น ธัมมจิณโณ วัดเนินตามาก
    ประวัติ หลวงปู่ม่น ธัมมจิณโณ วัดเนินตามาก
    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ประวัติ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
    -http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/sd-wat-thep/sd-wat-thep-hist-01.htm-
    วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร

    เรียบเรียงจากที่โพสท์ใน เว็บไซต์ saktaling.com

    ในตำนานวัดเทพศิรินทร์ (www.watdebsirin.com) ยุคที่ 5 ได้กล่าวถึงท่านเมื่อครั้งได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสไว้ดังนี้

    “ใน ปีแรกเป็นเจ้าอาวาส ท่านมีอายุ ๒๗ ปี พรรษา ๗ อยู่ที่กุฏีหม่อมแย้มในคณะใต้ซึ่งอยู่มาแต่เดิมประมาณ ๓ ปี ภายหลังพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์นั้น มีกระแสรับสั่งให้ย้ายมาอยู่ที่กุฏีเจ้าพระยานรรัตน ฯ ในคณะกลาง เพื่อสะดวกในทางปกครอง เมื่อก่อนเป็นเจ้าอาวาสก็ได้โปรดให้เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลปราจีนบุรีอยู่ ตำแหน่งหนึ่งแล้ว ทั้งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส โปรดให้เป็นผู้กำกับวัดสัมพันธวงศ์อีกส่วนหนึ่ง ท่านปฎิบัติการเป็นที่ต้องพระราชประสงค์โดยมาก ดังจะเห็นได้จากความในพระราชหัตถเลขาฉบับหนึ่งซึ่งสำเนาดังนี้

    ที่ ๒๔ /๖๔๒


    พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

    วันที่ ๑๑ กันยายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๘

    กราบทูล กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส

    หม่อม ฉันได้รับหนังสือฉบับหมายเลขที่ ๑๐๘ ลงวันที่ ๙ เดือนนี้ ส่งรายงานพระอมราภิรักขิตตรวจจัดการศึกษามณฑลปราจีนบุรีนั้น ได้ตรวจดูตลอด แล้วเห็นว่า พระอมราภิรักขิตมีความสังเกตและความจดจำละเอียดนัก ทั้งได้เอาใจใส่ตริตรองในการที่จะทำมาก ควรจะสรรเสริญ และดูเป็นผู้เข้าใจปรุโปร่งในเขตแขวงเหล่านั้นมาก เพราะเป็นชาติภูมิ สมควรแก่ที่จะจัดการศึกษา และการในแถบนั้นให้เจริญได้ แต่จะเว้นเสีย ไม่แสดงความพอใจ อันเกิดขึ้นในใจแล้วอีกอย่างหนึ่งไม่ได้ คือ ดีใจว่า วัดเทพศิรินทร์ได้สมภารอันพึงหวังใจได้ดังนี้

    ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

    ( พระบรมนามาภิไธย ) สยามินทร์

    เมื่อ เริ่มรับหน้าที่เจ้าอาวาสนั้น มีภิกษุที่อยู่ประจำวัด 46 รูป สามเณร 30 รูป ในการรับอุปสมบทกุลบุตรนั้น โดยที่ท่านมีพรรษา 7 เหตุนี้ในการอุปสมบทกรรม จึงเป็นแต่พระอุปสัมปทาจารย์ เพราะมีพรรษายุกาลยังไม่ถึงองค์กำหนดที่ควรจะเป็นพระอุปัชฌายะได้ ในระยะนี้จึงได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จมาเป็นพระอุปัชฌายะประจำ

    ครั้นถึงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2442 มีพระบรมราชโองการทรงตั้งเป็นกรรมการในมหามกุฎราชวิทยาลัย มีสำเนาทรงตั้งดั่งนี้

    สม เด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม ผู้ปกครองอุปถัมภ์มหามกุฎราชวิทยาลัย โดยพระราชศรัทธาเลื่อมใสในพระบรมพุทธศาสนา และความหวังพระราชหฤทัยต่อการเชิดชูเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมชนกนาถ พระบาท​สม​เด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    ตั้ง​พระอม ราภิรักขิต เป็นกรรมการในมหามกุฎราชวิทยาลัย ขอพระคุณจงมีอัธยาศัยประ​กอบ​​ไปด้วยความกรุณา มีวิริยะอันแรงกล้าในการที่จะบำรุงวิทยาลัยให้เจริญ จำแนกพระปริยัติ​ธรรมสรรพวิทยาศาสโนวาทให้แพร่หลายไพบูลย์ยิ่งขึ้น ด้วยความกตัญญูพระคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระเดชพระคุณในพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ขอให้พระคุณมีความ​ผาสุกสิริสวัสดิ์ เจริญในพระบรมพุทธศาสนาสืบไปสิ้นกาลนาน ฯ เทอญ

    พระราชทานแต่ ณ วันที่ ๒๐ กันยายน รัตนโกสินทร์สก ๑๑๘ เป็นปีที่ ๓๒ หรือวันที่ ๑๑๒๗๑ ในรัชกาลปัตยุบันนี้

    ต่อมาปีขาล พ.ศ. 2445 ทรงเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่พระราชมุนี มีสำเนาดั่งนี้

    ให้ เลื่อนพระอมราภิรักขิต เป็นพระราชมุนีตรีปิฎกาลังการ สถิต ณ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร พระอารามหลวง มีนิตยภัตต์ราคาเดือนละ 4 ตำลึง 1 บาท มีฐานานุศักดิ์ ควรตั้งฐานานุกรมได้ 3 รูปคือ พระครูปลัด 1 พระครูสมุห์ 1 พระครูใบฎีกา 1 รวม 3 รูป

    ครั้นถึงวันที่ 19 กรกฎาคมในปีนั้น โปรดให้เป็นเจ้าคณะมณฑลมีสำเนาทรงตั้ง ดั่งนี้

    สม เด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม ผู้เป็นพระบรมพุทธศาสนูปถัมภก มีพระราชประสงค์จะทรงทำนุบำรุงสังฆมณฑลให้เจริญยิ่งขึ้นเป็นการสืบพระพุทธ ศาสนาให้รุ่งเรืองถาวรสืบไป

    มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้สถาปนาพระ ราชมุนี ตรีปิฎกาลังการ สถิต ณ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร เป็นเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรี ขอพระคุณจงมีอัธยาศัยประกอบไปด้วยวิริยะอันแรงกล้า ในการที่จะจัดการคณะสงฆ์ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ และให้พระปริยัติธรรมสรรพวิทยาศาสโนวาทแพร่หลายไพบูลย์ยิ่งขึ้น ขอให้พระคุณมีความผาสุกสิริสวัสดิ์เจริญในพระบรมพุทธศาสนาสืบไปสิ้นกาลนาน เทอญ

    พระราชทานตำแหน่งนี้ แต่วันที่ ๑๙ กรกฎาคม รัตนโกสินทร์สก ๑๒๑ เป็นปีที่ ๓๕ หรือวันที่ ๑๒๓๐๓ ในรัชกาลปัตยุบันนี้

    ท่าน ที่มาพักอยู่เรียนในยุคนี้มีหลายรูป เมื่อปีขาล พ.ศ. 2445 พระญาณรักขิต (จันทร์ สิริจนโท) พระมหาทา กิตติวณโณ เปรียญเอก พระมหาอ้วน ติสโส เปรียญโท และพระครูโอภาสธรรมภาณ (สา คมภีโร) รวม 4 รูป มาจากจังหวัดอุบลราชธานี พักอยู่ที่วัดนี้พรรษาหนึ่ง แล้วกลับไปยังจังหวัดนั้นอีก แต่พระมหาทาอาพาธ ถึงมรณภาพวันที่ 12 ธันวาคม ศกนั้น

    พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
    (จันทร์ สิริจันโท)

    พระญาณ รักขิต (จันทร์ สิริจนโท) แต่ก่อนเคยมาอยู่เรียนพระปริยัติธรรมที่วัดนี้ 2 ครั้ง คือครั้งแรกใน พ.ศ. 2423 สมัยนั้นท่านพระอริยมุนี (เอม) เป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ มาอยู่เมื่ออายุได้ 24 ปี เรียนอยู่ 3 ปี ไม่ทันเข้าสอบ พอสิ้นท่านพระอริยมุนี (เอม) ก็ย้ายไปอยู่วัดบุปผาราม จังหวัดธนบุรี

    ครั้งที่ 2 เป็นพระครูวิจิตรธรรมภาณี มาจากนครจำปาศักดิ์ พักอยู่ในปลายยุคพระธรรมไตรโลกาจารย์ (เดช ฐานจาโร) เป็นเจ้าอาวาส ท่านมาช่วยสอนภาษาบาลีในสำนักนี้ด้วย สมณศักดิ์สุดท้าย คือ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ

    พระ มหาอ้วนนั้น พ.ศ. 2439 เคยมาเรียนคราวหนึ่ง ในสมัยนั้นหม่อมเจ้าพระศรีสุคตคัตยานุวัตร เป็นเจ้าอาวาส เมื่อสอบได้ชั้นเปรียญตรีแล้ว จึงย้ายไปอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร สมณศักดิ์สุดท้าย คือ สมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุ กรุงเทพฯ.
    พระเทพสิทธาจารย์
    (จันทร์ เขมิโย)

    เมื่อ ปีระกา พ.ศ. 2452 พระจันทร เขมิโย (เป็นศิษย์ พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล) ก็มาอยู่เล่าเรียนอีกรูปหนึ่ง อยู่ 4 ปี เล่าเรียนพระปริยัติธรรมจนสามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี ได้รับพัดตราธรรมจักรไว้เป็นประกาศนียบัตร ส่วนบาลี สอบไล่ได้ประโยค ป.ธ. 2 แล้วออกไปอยู่ที่วัดศรีเทพประดิษฐ์ ในจังหวัดนครพนม สมณศักดิ์สุดท้าย ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพสิทธาจารย์

    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
    กรมพระยาวชิรญาณวโรรส)

    พระ จูม พนธุโล มาเล่าเรียนอีกรูปหนึ่ง พร้อมกับพระจันทร์ เขมิโย ผู้เป็นพระอาจารย์ ได้เป็นเปรียญตรี ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูฐานานุกรม ที่ “พระครูสังฆวุฒิกร” ซึ่งเป็นฐานานุกรมของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ อยู่จำพรรษาที่วัดเทพศิรินทราวาส เป็นเวลานานถึง 15 ปี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ จึงได้ส่งท่านไปเป็นเจ้าวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี และเป็นอุปัชฌายะคณะธรรมยุตในมณฑลนั้น ออกจากบัญชีวัดนี้แต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2468 ต่อมาเป็นพระญาณดิลก แล้วเลื่อนขึ้นเป็นพระราชเวที เจ้าคณะมณฑลอุดร สมณศักดิ์สุดท้าย คือได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมเจดีย์ ในปี พ.ศ.2488

    เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ปฏิบัติการสนองพระเดชพระคุณได้ 3 ปี ประจวบกับโรคเบียดเบียนทำให้ทุพพลภาพไม่สามารถจะดำรงตำแหน่งนั้นต่อไป จึงทูลลาออก เพื่อพักผ่อนรักษาร่างกายตามควร

    ปีมะเมีย พ.ศ. 2449 โปรดเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระเทพกวี มีสำเนาดั่งนี้

    ให้ เลื่อนพระราชมุนี เป็นพระเทพกวี ศรีวิสุทธินายก ตรีปิฎกปรีชา มหาคณฤศร บวรสังฆารามคามวาสี สถิต ณ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร พระอารามหลวง มีนิตยภัตต์ราคาเดือนละ 6 ตำลึงกึ่ง มีฐานานุศักดิ์ควรตั้งฐานานุกรมได้ 4 รูป พระครูปลัด 1 พระครูสังฆวิชัย 1 พระครูสมุห์ 1 พระครูใบฎีกา 1 รวม 4 รูป

    ต่อมาปีมะแม พ.ศ. 2450 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงตั้งท่านซึ่งมีพรรษา 15 ให้เป็นพระอุปัชฌายะ ในวัดเทพศิรินทราวาส กับทั้งวัดขึ้นของวัดนี้ และวัดธรรมยุตในมณฑลปราจีนบุรี วัดเสน่หา ในอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม วัดสัมปทวน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดเดียวกันนั้นด้วยแต่บางคราวท่านก็ยังได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระมหาสม ณเจ้าฯ เสด็จมาเป็นพระอุปัชฌายะในวัดนี้บ้าง เช่นในคราวอุปสมบทสามเณรที่เป็นเปรียญเป็นต้น

    ในรัชกาลที่ 6 เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2453 โปรดให้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระธรรมไตรโลกาจารย์ มีสำเนาประกาศดั่งนี้

    อนึ่งทรงพระราชดำริว่า พระราชาคณะที่ดำรงคุณธรรมปรีชาสามารถสมควรจะเลื่อนอิสริยยศและพระ สงฆ์ ที่สมควรจะเป็นพระราชาคณะมีอีกหลายรูป

    จึ่ง ทรงพระกรุณาโปรด เกล้าโปรดกระหม่อมให้พระเทพกวี เป็นพระธรรมไตรโลกาจารย์ ปรีชาญาณดิลก ตรีปิฎกคุณาลงกรณ์ ยติคณิศร บวรสังฆารามคามวาสี สถิต ณ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร พระอารามหลวง มีนิตยภัตต์ราคาเดือนละ ๒๘ บาท มีฐานานุศักดิ์ควรตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป พระครูปลัด ๑ มีนิตยภัตต์เดือนละ ๔ บาท ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูวินัยธรรม ๑ พระครูสังฆพินิจ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ รวม ๖ รูป

    ถึงปีมะเส็ง พ.ศ. 2460 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงตั้งให้เป็นแม่กองสอบวิชานักธรรมตรีในมณฑลปราจีนบุรี เป็นกรรมการในสนามหลวง สอบความรู้พระปริยัติธรรม เป็นกรรมการในมหาเถรสมาคมโดยลำดับ

    ในปีวอก พ.ศ. 2463 เป็นแม่กองสนามสาขาแห่งสนามหลวง และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงตั้งให้เป็นแม่กองสอบนักธรรมสนามมณฑลจันทบุรีด้วยในปีนั้น

    ต่อมา เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2464 โปรดให้สถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นเป็นที่พระสาสนโสภณ เจ้าคณะ รองคณะธรรมยุติกนิกาย จารึกนามในหิรัญบัฎ มีสำเนาประกาศดั่งนี้

    อนึ่ง ทรงพระราชดำริว่า พระธรรมไตรโลกาจารย์เป็นผู้มีความรู้แตกฉานในพระ​ไตรปิฎก​สุตาคมได้สอบไล่ ได้ ถึงชั้นบาเรียนเอกในมหามกุฎราชวิทยาลัย ชั้นบาเรียนเอก 7 ประโยค มีความอุตสาหะวิริยภาพ รับภาระเป็นอาจารย์สอนพระปริยัติธรรมแก่ภิกษุ สามเณรในวัดเทพศิรินทราวาสมาแต่ในรัชกาลที่ 5 ภายหลังโปรดให้เป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส เป็นผู้มั่นคงในสมณปฏิบัติ มีศีลาจารวัตร์เป็นที่น่าเลื่อมใส มีความรอบรู้ในอรรถธรรม ชำนาญเชิงเทศนาโวหาร อรรถาธิบาย เป็นที่นิยมนับถือแห่งศาสนิกบริษัท ทั้งคฤหัสถ์บรรพชิตเป็นอันมาก และเป็นผู้ที่ได้กระทำคุณประโยชน์ ในทางทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และการศึกษาให้เจริญมาเป็นอันมาก มีอาทิ คือได้เป็นกรรมการแห่งมหามกุฎราชวิทยาลัย เป็นเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรี และเป็นพระอุปัชฌายะให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตร ในวัดเทพศิรินทราวาส และในมณฑลปราจีนบุรี ฝ่ายธรรมยุตติกาทั่วไป ทั้งได้เป็นแม่กองสอบวิชานักธรรมชั้นตรี ในสนามมณฑลปราจีนบุรี และเป็นกรรมการในมหาเถรสมาคม เป็นกรรมการ​สอบความรู้พระปริยัติธรรมในสนามหลวง และเป็นแม่กองสนามสาขาแห่งสนาม​หลวง เป็นต้น พระธรรมไตรโลกาจารย์ มีความอุตสาหะปฏิบัติการในตำแหน่งต่าง ๆ โดยเรียบร้อยสม่ำเสมอ

    อีก ประการหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธทรงผนวช ได้​ทรงวิสาสะคุ้นเคยกับพระธรรมไตรโลกาจารย์ ก็ได้ตามเสด็จพระราชดำเนินในกระบวนด้วยตลอดทาง ได้ทรงมีโอกาสทรงทราบ คุณสมบัติของพระธรรมไตรโลกาจารย์ โดยตระ​หนักแน่ สมควรจะเพิ่มสมณศักดิ์ให้ดำรงตำแหน่งอันสูงได้

    จึ่งมีพระบรมราช โองการดำรัสสั่งให้สถาปนา เลื่อนพระธรรมไตรโลกาจารย์เป็น พระ​ราชาคณะ มีราชทินนามตามจารึกในหิรัญบัฎว่า พระสาสนโสภณ วิมลญาณอดุลย์ตรีปิฎก คุณประสาทนวิภูสิต ธรรยุติคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสี สังฆนายก สถิต ณ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร พระอารามหลวง เจ้าคณะรองธรรมยุตติกนิกาย มีฐานานุศักดิ์ ควรตั้งฐานานุกรมได้ ๘ รูป คือพระครูปลัดอรรถจริยานุกิจพิพิธธรรมโกศลวิมลสุตาคม อุดมคณานุนายก ตรีปิฎกญาณวิจิตร์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูพิสิษสรเวท ๑ พระครูพิเศษสรวุฒิ ๑ พระครูสังฆวุฒิกร ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ รวม ๘ รูป

    ถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2467 ทรงตั้งให้เป็นเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรี และมณฑลจันทบุรี

    ต่อ มาเมื่อ พ.ศ. 2469 ทรงตั้งให้เป็นกรรมการในราชบัณฑิตยสภา พ.ศ. 2471 ทรงตั้งให้เป็นกรรมการที่ปรึกษาในการทำนุบำรุงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ถึงเดือนพฤศจิกายนในศกนั้นเอง โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ดำรงฐานันดรมหาสังฆนายก เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ จารึกนามในสุพรรณบัฎ มีข้อความประกาศสถาปนาตามใบกำกับสุพรรณบัฎดั่งนี้

    ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนายุกาลเป็นอดีตภาคล่วงแล้ว ๒๔๗๑ พรรษา ปัจจุบันนสมัยสูรยคตินิยมนาคสมพัตสร พฤศจิกายนมาส ษัษฐสุรทิน มงคลวารโดยกาลบริจเฉท

    พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก มหันตเดชนดิลกรามาธิบดี เทพยปรียมหาราชรวิวงศ อสัมภินพงศพีระกษัตร บุรุษรัตนราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสำศุทธเคราหณี จักรีบรมนาถ จุฬาลงกรณราชวรางกูร มหามกุฎวงศวีรสูรชิษฐ ราชธรรมทศพิธอุต์กฤษฏนิบุณ อดุลยกฤษฎาภินีร์หาร บูรพาธิการสุสาธิต ธันยลักษณวิจิตรเสาภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคมานท สนธิมตสมันตษมาคม บรมราชสมภาร ทิพยเทพาวดาร ไพศาลเกียรติคุณ อดุลยศักดิเดช สรรพเทเวศปริยานุรักษ มงคลลัคนเนมาหวัย สุโขทัยธรรมราชา อภิเนาวศิลปศึกษาเดชนาวุธ วิชัยยุทธศาสตรโกศล วิมลนรรยพินิต สุจริตสมจารภัทรภิชญานประติภานสุนทร ประวรศาสโนปสดมภก มูลมุขมาตยวรนายกมหาเสนานี สราชนาวีพยูหโยธโพยมจร บรมเชษฐโสทรสมมตเอกราชชยยศสธิคมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร ศรีรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิษิกต์ สรรพทศทิควิชิตเดโชไชย สกลมไหศวรยมหาสวามินทร มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชันยาศรัย พุทธาทิไตรรัตนศรณารักษ์ วิศษฎศักดิอัครนเรศวราธิบดี เมตตากรุณาศีตลหฤทัย อโนปไมยบันยการ สกลไพศาลมหารัษฎราธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

    ทรง พระราชดำริว่า พระสาสนโสภณ ดำรงในรัตตัญญูมหัตตาธิคุณ มีปรีชาญาณแตกฉานในมคธปริวรรตน์และอรรถธรรมวินัยด้วยดี ตั้งอยู่ในสพรหมจารีวิหารโดยสมณากัปปมรรยาท มั่งคงดำรงจาตุปาริศุทธศีลสมบัติไม่ท้อถอย เป็นที่บังเกิดประสาทการแก่พุทธมามกชนทุกชั้น มีอาตมาหิตและปาหิตกรณคุณตามความประกาศสถาปนาเป็นเจ้าคณะรองฝ่ายธรรมยุตติก นิกาย เมื่อพระพุทธศาสนายุกาล ๒๔๖๔ พรรษานั้นแล้ว ต่อมาพระสาสนโสภณยิ่งเจริญด้วยอุตสาหวีรยภาพไม่ย่อหย่อนในการประกอบศาสนา กิจให้รุ่งเรืองสมกับเป็นธรรมทายาท อนึ่ง พระธรรมเทศนามงคลวิเศษกถา เป็นเทศนาพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งพระมหาเถรเจ้าผู้ถวายย่อมทรงคุณวุฑฒิอันมโหฬาร เป็นอุตตมคุรุสถานียบุทคลของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้พระสาสนโสภณถวายสืบจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระสาสนโสภณได้สนองพระเดชพระคุณมาจนรัชกาลปัจจุบันด้วยความเอาใจใส่ สอดส่องทั้งพระบรมพุทโธวาทและรัฎฐภิปาล นโยบายเป็นอย่างดี และเป็นผู้กระทำคุณประโยชน์ในทางบำรุงพระพุทธศาสนา และการศึกษาพระธรรมวินัยให้เจริญมาเป็นอันมาก มีอาทิคือ เป็นผู้อำนวยการสอบความรู้พระปริยัตติธรรมทุกประโยคในสยามรัฎฐ เป็นเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรี และมณฑลจันทบุรี เป็นผู้ชำระพิมพ์พระบาลีไตรปิฎก อันควรแก้ไขพิมพ์ขึ้นใหม่ และเป็นธุระในการพิมพ์พระคัมภีร์อรรถกถา ชำระต้นฉบับให้ถูกต้องเป็นเบื้องต้น จนถึงตรวจใบพิมพ์เป็นที่สุด และยังพยายามสั่งสอนบรรพชิตคฤหัสถ์สัทธิวิหาริกอันเตวาสิก ตลอดประชาพุทธมามกชนทุกหมู่เหล่า ให้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติเป็นสาธุชนสัตบุรุษ ต้องตามพระบรมพุทโธวาท เพราะความเป็นผู้ช่างขวนขวาย สำเหนียกความรู้ให้เทียมทันสมควรสมัย แสวงหาวิธีที่จะปลูกศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ให้เจริญงอกงามไพบูลย์ภีโยภาพแก่ชนนิกร อุตส่าห์แสดงธรรมสั่งสอนเป็นเนืองนิตย์ มีวิจารณในฉันทจริตอาศยานุศัยแห่งสรรพเวไนย จัดการให้ธรรมสวนมัยประโยชน์สำเร็จด้วยดีโดยนิยมแห่งกาละเทศะ ด้วยปรีชาฉลาดในเทศนาลีลาวิธี ดั่งที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้ เป็นที่ทรงนับถือเป็นอันมาก อนึ่งนอกจากกิจพระพุทธศาสนาโดยตรง พระสาสนโสภณยังเอาใจใส่ในการศึกษาสยามอักษรศาสตร์แห่งกุลบุตรเป็นอย่างดี ได้รับตำแหน่งเป็นกรรมการในราชบัณฑิตยสภา และสำหรับการบริหารพระอาราม ได้ทรงตั้งให้เป็นกรรมการที่ปรึกษาในการทำนุบำรุงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม บัดนี้พระสาสนโสภณ ก็เจริญด้วยพรรษายุกาลสถาวีรธรรม อันให้อุปสัมปาเทตัพพาทิกิจทวียิ่งขึ้นตามทางพระวินยานุญาตเป็นหลักอยู่รูป หนึ่งในธรรมยุตติกสงฆมณฑล มีพุทธสมัยวิมลญาณปรีชาและศีลาจารวัตรมั่นคงในธรรมปฏิบัติ เป็นที่นิยมนับถือแห่งพุทธุปาสิตบริษัททั่วพุทธเกษตรสากล มีนิสสิตานุยนต์แพร่หลายทั้งในสกรัฎฐ์ และวิเทศรัฎฐพุทธศาสนิกบัณฑิต สมควรจะเป็นอุตดรมหาคณิสสราจารย์ที่สมเด็จพระราชา คณะผู้ใหญ่สังฆนายก มีอิสริยยศยิ่งกว่าสมณนิกรคามวาสีอรัณยวาสีฝ่ายเหนือทั้งปวง เพื่อเป็นศรีแห่งพระบวรพุทธศาสนาสืบไป

    จึ่งมีพระบรมราชโองการมาณพระ บัณฑูรสูรสิงหนาท ดำรัสสั่งให้สถาปนา พระสาสนโสภณ เป็นสมเด็จพระราชาคณะ มีราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัฎว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลสุนทรนายก ตรีปิฎกวิทยาคุณ วิบุลคัมภีร์ญาณสุนทร มหาอุตดรคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัณยวาสี สถิต ณ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร พระอารามหลวง เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ มีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ ๑๐ รูป คือพระครูปลัดสัมพิพัฑฒนศีลาจารย์ ญาณวิมล สกลคณิสสรอุตดรสังฆนายก ปิฎกธรรมรักขิต ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูเมธังกร พระครูคู่สวด ๑ พระครูวรวงศ์ พระครูคู่สวด ๑ พระครูธรรมราต ๑ พระครูธรรมรูจี ๑ พระครูสังฆวิจารณ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑.

    ขอ พระคุณผู้รับราชทินนามเพิ่มอิสริยยศในครั้งนี้ จงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอนช่วยระงับอธิกรณ์และอนุเคราะห์พระภิกษุสงฆ์ สามเณรในคณะและในพระอารามตามสมควรแก่กำลัง และอิสริยยศที่พระราชทานนี้ และขอจงจิรสถิติกาลเจริญอายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ คุณสารสิริสวัสดิวิรุฬหิไพบูลย์ในพระพุทธศาสนาเทอญ.

    ปีชวด พ.ศ. 2467 สามเณรเจ้าฟ้าฉายเมือง และสามเณรเจ้าฟ้าขุนศึก โอรสเจ้าฟ้าผู้ครองนครเชียงตุง มีประสงค์จะศึกษาพระปริยัติธรรมตามหลักสูตรที่นิยมในกรุงเทพ ฯ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า โปรดให้รับมาอยู่เล่าเรียนในวัดนี้ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม ศกนั้น และภิกษุอีก 2 รูป คือพระญี่หลวง พระญี่น้อย ซึ่งมากับสามเณรเจ้าฟ้าทั้งสอง ก็พักอยู่ด้วย พระธรรมธราจารย์ สังฆนายกแห่งสงฆ์ในแคว้นนั้น เป็นผู้กำกับและนำสามเณรเจ้าฟ้าทั้งสองมา เมื่อการเรียบร้อยแล้วจึงกลับออกไป ท่านผู้นี้ยังหนุ่มท่วงทีเป็นผู้สงบและแช่มชื่น

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    วัดใหญ่อินทาราม
    -http://guidetourthailand.com/wordpress/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1.html-

    วัด ใหญ่อินทาราม จังหวัดชลบุรี เดิมชื่อ วัดหลวง ตั้งอยู่บนถนนเจตน์จํานงค์ ในตัวเมืองชลบุรี เป็นวัดที่สําคัญเก่าแก่คู่เมืองชลบุรี สันนิษฐานว่า สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย มีภาพเขียนเก่าเรื่องทศชาติชาดก พระเวสสันดรชาดกรูปเทพชุมนุมองค์โตเหมือนในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ที่ กรุงเทพฯ ในพระอุโบสถวัดนี้เอง ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จประทับเมื่อครั้งออกจากพระนครศรีอยุธยา ตอนใกล้จะเสียกรุงแก่พม่าในปี พ.ศ. 2310 สิ่งที่น่าชมอีกแห่งหนึ่งในวัดใหญ่อินทาราม ก็คือ พลับพลาตรีมุข อันสร้างด้วยไม้เก่าแก่ มีพระพุทธรูปหล่อสําริดทรงเครื่องกษัตริย์งดงามมาก ชาวเมืองชลบุรีเรียกกันว่า หลวงพ่อเฉย ซึ่งนับว่าศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะเศษผ้าจีวรที่คลุมองค์ หลวงพ่อนําไปผูกข้อมือเด็กที่เจ็บออดแอดเลี้ยงยากจะกลายเป็นเด็กเลี้ยง ง่ายอย่างน่าอัศจรรย์ วัดใหญ่อินทาราม มักเรียกผิดเป็น วัดใหญ่อินทราราม

    [​IMG]

    ที่ อยู่ วัดใหญ่อินทาราม: อยู่กลางเมืองชลบุรี จากถนนสุขุมวิท เลี้ยวเข้าตัวเมืองชลบุรี ที่สี่แยกเฉลิมไทย เข้าสู่ถนนโพธิ์ทอง แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเจตน์จำนงค์ วัดอยู่ทางด้านซ้ายมือ ก่อนถึงสี่แยกตัดกับถนนอัครนิวาส (สี่แยกท่าเกวียน) หน้าวัดมีลานจอดรถกว้างขวาง การเดินทาง : ถ้าไม่มีรถยนต์ส่วนตัว สามารถขึ้นรถสองแถวสายรอบเมืองชลบุรีได้ เวลาทำการ : เที่ยวชมได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 08.00-17.00 น. ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม ติดต่อ : โทร. 0-3827-5844

    วัดใหญ่อินทาราม จังหวัดชลบุรี แผนที่ ประวัติ ข้อมูล | เว็บท่องเที่ยวไทย Guide Tour Thailand แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ไกด์ท่องเที่ยว ข้อมูลท่องเที่ยว ทัวร์
    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ประวัติ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)
    -http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/sd-wat-thep/sd-wat-thep-hist-01.htm-
    วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร

    เรียบเรียงจากที่โพสท์ใน เว็บไซต์ saktaling.com

    ครั้น ถึงวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2476 พระมหาเถระบรรดาที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมได้ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ ยกย่องท่านขึ้นเป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคม บัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า สิ้นพระชนม์ จึงเป็นผู้บัญชาการคณะสงฆ์โดยตรงสืบมา เมื่อทรงพระกรุณาตั้งสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์เทพวรารามขึ้นในปี พ.ศ. 2481 เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ จึงพ้นจากตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคม รวมเวลาที่ท่านเป็นผู้บัญชาการคณะสงฆ์ 4 ปี 9 เดือน กับ 27 วัน

    ถึง สมัยประกาศใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484 เปลี่ยนระบอบการปกครองคณะสงฆ์ให้สอดคล้องต้องกันกับทางบ้านเมือง ท่านก็ได้เป็นสมาชิกสังฆสภาโดยตำแหน่ง และได้เป็นคณะวินัยธรชั้นฎีกา อันเป็นคณะวินัยธรชั้นสุดยอด ต่อมาได้เป็นหัวหน้าคณะวินัยธรคณะนี้และเป็นประธานคณะวินัยธรโดยตำแหน่ง ด้วย วันที่ 28 กรกฎาคม เป็นประธานสังฆสภา วันที่ 1 มิถุนายน 2489 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสังฆนายก ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2493 ครบ 4 ปี ถึงกำหนดพ้นจากตำแหน่งตามวาระ แต่โดยที่ท่านได้รับภาระบริหารการคณะสงฆ์มาด้วยความเรียบร้อย เป็นผลดีแก่พระศาสนา และเป็นพระมหาเถระที่เพียบพร้อมด้วยศีลาจารวัตรพรหมจริยคุณ เป็นที่เคารพสักการะของพุทธบริษัททั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ จึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสังฆนายก บริหารการคณะสงฆ์สืบต่อมาอีก และได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งนี้จนถึงวันที่มรณภาพ

    เป็นอันว่า เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญหลายตำแหน่ง อาทิเป็นผู้อำนวยการสอบพระปริยัติธรรมสนามหลวงทั่วพระราชอาณาจักร 15 ปี เป็นเจ้าคณะมณฑล 2 คราว รวม 14 ปี เป็นผู้ถวายพระธรรมเทศนา พระมงคลวิเสสกถา 25 ปี เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์ 5 ปี เป็นประธานสังฆสภา เป็นประธานคณะวินัยธร และที่สุดเป็นสังฆนายก 5 ปีเศษ เป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส 50 ปีเศษ

    ในเวลาที่ท่านเป็นผู้อำนวย การสอบพระปริยัติธรรมเป็นแม่กองสนามหลวง เป็นแม่กองสนามมณฑล และเป็นเจ้าคณะมณฑลนั้น ท่านบริหารงานเหล่านี้ด้วยความเรียบร้อยไม่บกพร่องเสียหาย เป็นที่เคารพยำเกรงของผู้น้อยทั่วไป เป็นที่นิยมนับถือของพระเถรานุเถระผู้ร่วมงานทุกท่าน เป็นที่ไว้วางใจและได้รับความยกย่องชมเชยจากท่านผู้ใหญ่ให้เกิดผลดีแก่พระ ศาสนาอย่างยิ่ง เนื่องด้วยกิจการบางอย่างในตำแหน่งดังกล่าวแล้ว จำเป็นต้องมีรายจ่ายมาก เป็นต้นว่า ค่าเครื่องเขียน สิ่งพิมพ์ ค่าพาหนะ เจ้าหน้าที่ และผู้นำข้อสอบไปเปิดสอบตามจังหวัดต่างๆ ที่มีการสอบทั่วประเทศ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ในปีหนึ่ง ๆ จำนวนไม่น้อย แม้มีทางจะเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณที่ได้ ท่านก็มิได้เบิกตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด

    นับว่าได้ประหยัดเงินของ คณะสงฆ์ในการนี้เป็นจำนวนหลายหมื่นบาท ช่วยกิจพระศาสนาอันผู้ที่ยอมอุทิศกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังสติ ปัญญา ช่วยการพระศาสนาเช่นนี้ย่อมเป็นผู้หาได้ไม่ง่ายนัก.

    ในสมัยที่ท่าน ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์ และดำรงตำแหน่งสังฆนายก อันเป็นตำแหน่งที่บริหารการคณะที่สำคัญยิ่ง ท่านก็ได้ปฏิบัติงานด้วยความซื่อตรงเที่ยงธรรมรักษาวินัยระเบียบแบบแผน ประเพณี โดยเคร่งครัดระมัดระวังรอบคอบ ประกอบด้วยรู้จักผ่อนผันในสิ่งที่ไม่ผิดธรรม ไม่ผิดวินัย ระวังความแตกร้าวไม่ให้เกิดมี สมานสามัคคีให้เกิดแก่พุทธบริษัททุกหมู่เหล่า นำกิจการหมู่คณะให้ดำเนินไปด้วยดี ไม่ให้ความระส่ำระสายเกิดมีขึ้นในสังฆมณฑล ยังความเรียบร้อยในสังฆมณฑลให้เป็นไปด้วยดี ด้วยปรีชาสามารถ ตลอดสมัยของท่าน

    ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส 50 ปีเศษ เอาใจใส่ดูแลรักษาวัดเป็นอย่างดี ซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ของเก่า เช่นพระอุโบสถและกุฎิ เป็นต้น แก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นกว่าเดิม และปลูกสร้างถาวรวัตถุเพิ่มเติม เป็นต้นว่า ที่อยู่ที่อาศัย สถานการศึกษา รวมค่าซ่อมแซมแลค่าก่อสร้างประมาณ 3,600,000.00 บาท ทำวัดให้สะอาดสะอ้านเรียบร้อย น่าดู น่าอยู่ น่าอาศัย เป็นทางนำมาซึ่งศรัทธาปสาทะแก่พุทธบริษัทเป็นอันมาก สังหาริมทรัพย์ แลอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน ที่นา ที่สวน และเงินทุนของวัด เกิดเพิ่มพูนเป็นผลประโยชน์สำหรับบำรุงพระอาราม บำรุงภิกษุสามเณร บำรุงการศึกษา เป็นต้น ประมาณราคา 6,800,000.00 บาท ซึ่งเดิมเมื่อครองวัดมีเพียง 800 บาทเศษเท่านั้น ทั้งนี้กล่าวแต่เฉพาะรายใหญ่ ๆ เท่าที่นึกได้ พุทธบริษัทก็เพิ่มขึ้นโดยลำดับกาล ในวันธัมมัสสวนะ มีอุบาสก อุบาสิกามารักษาศีลและฟังธรรมอย่างมากถึงวันละ 800 คน ท่านเป็นพระอุปัชฌายะบวชภิกษุ 4,847 รูป เป็นอุปสัมปทาจารย์ 364 รูป เป็นพระอุปัชฌายะบวชสามเณร 1,455 รูป รวมทั้งสิ้น 6,666 รูป

    ท่าน เป็นผู้ฉลาดสามารถในการปกครองในการแนะนำสั่งสอน มีความเพียรไม่เบื่อหน่ายในการที่จะอบรมศิษยานุศิษย์ และแสดงธรรมสั่งสอนพุทธบริษัท ท่านถือเป็นกิจวัตรที่สำคัญ ไม่จำเป็น ไม่ขาดเลย เป็นผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติของผู้ปกครองครบครัน คือมีอัธยาศัยเยือกเย็น หนักแน่น มีเมตตา กรุณา มุทิตา โอบอ้อมอารี มีใจเป็นห่วงในความเป็นอยู่แลความประพฤติของศิษย์ หวังเจริญสวัสดีแก่ศิษย์ หมั่นอบรมสั่งสอนเป็นนิตย์ แม้สึกหาลาเพศไปแล้ว ก็ยังหวังดีอุตส่าห์ตักเตือนพร่ำสอนเมื่อมีโอกาส มีของกินของใช้ก็แบ่งเฉลี่ยให้ตามกาล เมื่ออาพาธป่วยไข้ก็หมั่นเยี่ยมเยียนถามอาการ หาหมอมาพยาบาลรักษา ช่วยค่ายาค่ารักษา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่เคารพนับถือสักการบูชาของบรรดาศิษยานุศิษย์สาธุชน ผู้ได้รับอุปการคุณนั้น ๆ ทั่วกันไม่คืนคลาย

    ท่านเป็นผู้ไม่สะสม พอใจในการสละสิ่งของที่ได้มา บริจาคเป็นบุญเป็นกุศลแทบทั้งสิ้น แจกภิกษุสามเณรในวัดบ้าง ศิษย์วัดบ้าง ตามควรแก่บรรดามีบ้าง ให้หาเพิ่มเติมบ้าง จัดเป็นเครื่องบูชา มีแจกัน พาน กระถางธูป เชิงเทียนเป็นต้นชุดละ 50 ชิ้นเป็นอย่างน้อย ส่งไปถวายวัดที่ขาดแคลนในต่างจังหวัด วัดละชุดบ้าง 2 ชุดบ้าง บางวัดก็ถึง 3 ชุด ประมาณ 270 วัด พิมพ์หนังสือแจกเป็นธรรมทานด้วยทุนของท่านบ้างผู้อื่นช่วยบ้าง ประมาณ 100 เรื่อง คิดเป็นเล่มหนังสือประมาณ 400,000 เล่ม พิมพ์ไหว้ 5 ครั้ง แจกกรม กอง หน่วยราชการ ทหาร พลเรือน นักเรียน ประชาชน ตลอดถึงผู้ต้องขังทั่วราชอาณาจักรประมาณ 1,500,000 แผ่น นอกจากนี้ยังได้กระทำประโยชน์อันเป็นสาธารณะอีกมาก กล่าวเฉพาะส่วนใหญ่คือ

    ขุด สระขังน้ำฝนที่วัดเขาบางทราย และชาวตำบลอื่นที่ใกล้เคียงได้อาศัยบริโภคใช้สอยตลอดหน้าแล้งและหน้าฝน เพราะตำบลเหล่านั้นใกล้ทะเล มีแต่น้ำเค็ม กันดารน้ำจืด

    สร้าง โรงเรียนเป็นตึกคอนกรีต 2 ชั้น 2 หลัง อยู่ในเขตวัดเขาบางทราย ชลบุรี มอบให้ทางการ เปิดสอนนักเรียน ตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่ 1 ถึงปีที่ 6

    พระอุโบสถวัดเขาบางทราย ชลบุรี

    ซ่อม พระอุโบสถวัดเขาบางทราย ชลบุรี เปลี่ยนแปลงจากเดิมขยายให้กว้างขวางงดงามยิ่งขึ้น ประตูหน้าต่างเขียนลายรดน้ำลงรักปิดทองประดับกระจก เขียนลายผนัง ติดดาวเพดาน หลังคามุงกระเบื้องเคลือบประกอบช่อฟ้าใบระกา

    สร้างตึก ผ่าตัดให้แก่โรงพยาบาลจังหวัดชลบุรี 1 หลัง เป็นคอนกรีตทั้งหลัง มีเครื่องใช้เครื่องมือและเครื่องอุปโภคในการผ่าตัดทันสมัยอย่างครบถ้วน นอกจากนี้ยังช่วยปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมกุฎี วิหาร ศาลา ถนนหนทาง และโรงเรียนเป็นต้น ทั้งที่วัดเขาบางทรายและวัดอื่น ๆ ในจังหวัดชลบุรีอีกหลายแห่ง ทั้งหมดนี้ด้วยทุนทรัพย์ส่วนขององค์ท่านตามกำลังเป็นส่วนมาก มิได้เคยออกปาก เรี่ยไรผู้อื่น เมื่อผู้อื่นทราบมีศรัทธาเลื่อมใสก็บริจาคร่วมสมทบด้วย แม้กุฎีที่อยู่อาศัย จะปฏิสังขรณ์หรือเพิ่มเติม เช่นติดกระเบื้องฝา ทาสี เป็นต้น หรืออื่นใด ท่านก็ทำไปด้วยทุนทรัพย์ส่วนองค์เอง มิได้ออกปากใคร ต่อเมื่อมีผู้เห็นเข้า ศรัทธาก็ถวายช่วยด้วย เรื่องจะเอาเปรียบบุคคล เอาเปรียบวัด เอาเปรียบศาสนา แม้โดยปริยายไร ๆ ท่านไม่นิยม ดังนั้นเวลาถึงมรณภาพลง จตุปัจจัยส่วนองค์เองจึงไม่มีเหลืออยู่เลย

    ท่าน เป็นผู้ที่เจ้านาย ข้าราชการ คฤหบดี เลื่อมใสเป็นส่วนมาก แลเป็น กุศลปก คือเป็นพระประจำพระตระกูลของเจ้านายลางพระองค์ ถึงอย่างนั้นไม่มีธุระเป็นก็ไม่ไปเฝ้าหรือไปมาหาสู่ จะไปก็ไปเป็นกิจจะลักษณะ ท่านปลูกแลทำนุบำรุงศรัทธาเลื่อมใสของท่านนั้น ๆ ด้วยคุณธรรมแท้ ๆ จึงเป็นแท่นบูชาแห่งคุณธรรมความดีโดยส่วนเดียวของสาธุชน โวหารลางอย่างที่โลกนิยมใช้กัน เช่น มีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง คำว่า เป็นอย่างยิ่ง ท่านก็ไม่ใช้ โดยอ้างถึงเจตนาว่า ไม่รู้สึกอย่างยิ่งเช่นนั้น ท่านเป็นผู้นิยมความกตัญญูกตเวทีนัก แลถือเป็นข้อหนึ่งสำหรับอบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์ ท่านเคยอ้างว่า องค์ท่านเองได้เจริญรุ่งเรืองมาเช่นนี้ ก็เพราะดีต่อโยม ใครเคยมีคุณมามักประกาศคุณนั้น ๆ ให้ปรากฏไม่ลืมเลือน แลหาทางสนองคุณสมนาคุณในโอกาส.

    เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้ถือเคร่งครัดในพระวินัย ไม่ยอมประพฤติล่วงพระบัญญัติ แม้ในสิ่งที่ผู้อื่นโดยมากเห็นว่าเล็กน้อย เป็นผู้มีศีลาจารวัตรอันงาม ไม่บกพร่องด่างพร้อยแต่ประการไร กิจวัตรนอกจากสวดมนต์ไหว้พระทำกัมมัฏฐานภาวนาที่กุฏีที่อยู่ แล้วสวดมนต์ไหว้พระประจำวันทุกเช้าเย็น ไม่จำเป็นท่านไม่ยอมขาด ทำตนเป็นผู้นำที่ดียิ่งและยังได้แนะนำชักชวนภิกษุสามเณรในวัดให้ปฏิบัติโดย เคร่งครัด ตลอดถึงได้ชักชวน เพื่อนสหพรหมจารีต่างวัดให้ช่วยกันทำนุบำรุงกิจวัตรแผนกนี้ ซึ่งถึงจะเป็นกิจวัตรพื้น ๆ แต่ก็นับว่าสำคัญประการหนึ่ง อยู่เสมอในเมื่อมีโอกาส

    การฟังพระปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน ตั้งแต่อุปสมบทจนถึงวันมรณภาพ ขาดเพียง 2 ครั้ง ในเวลาอาพาธหนักไม่สามารถจะลุกนั่ง แลพลิกองค์เองได้แล้ว ท่านก็ยังแสดงความประสงค์จะลงฟังพระปาฏิโมกข์เมื่อวันอุโบสถมาถึงเข้า แต่ไม่มีผู้ใดจะปฏิบัติตามความประสงค์ของท่านได้ เพราะเห็นว่าท่านอาพาธหนักมาก ถ้านำท่านลงไปอาจถึงเป็นอันตรายได้

    การ งานทุกอย่างที่ท่านทำ มีระเบียบเรียบร้อยสม่ำเสมอ เป็นเวลาไม่มากก็น้อย สิ่งไรที่ท่านทำเองได้ ท่านไม่รบกวนผู้อื่น แม้แต่ศิษย์ ด้วยความเกรงใจ แม้ศิษย์จะสมัครใจยินดีทำถวายลางอย่าง เช่นช่วยถือบริขารเครื่องใช้สอย เป็นต้นว่าย่ามติดตาม เมื่อไม่จำเป็น ท่านก็ไม่ยอม โดยอ้างว่า ใคร ๆ เขาจะเห็นว่าเป็นเจ้ายศเจ้าอย่างไป กิจการลางประการ ซึ่งต้องใช้พระเดช อันท่านเอง ก็สมควรแล้วที่จะใช้ได้ทุกประการ ท่านก็มักผ่อนลงมาเป็นใช้พระคุณโดยมาก โดยปรารภว่า วาสนาบารมีน้อย ไม่ควรแก่พระเดชนัก อันผู้สูงศักดิ์มีวาสนาบารมี เมื่อจะทำกิจการไร ๆ ยังหวนระลึกถึง อตฺตญฺญฺตา มตฺตญฺญฺตา รู้ตน รู้ประมาณอันเป็นสัปปุริสธรรม ทั้งต่อหน้าแลลับหลังเช่นนี้ น่าเคารพบูชาของสาธุชนทั้งหลายนัก

    ท่าน เป็นผู้ไม่มัวเมาในยศศักดิ์ตำแหน่งหน้าที่การงาน ไม่เห็นแก่อามิสลาภยศชื่อเสียง ไม่ขวนขวายที่จะได้ตำแหน่งหน้าที่การงานนั้น ๆ แต่ด้วยเห็นแก่พระศาสนาจึงยอมรับตำแหน่งหน้าที่อันมาถึงตามกาลตามสมัย เมื่อรับทำสิ่งไรแล้วก็ตั้งใจจะทำจริงไม่ทอดทิ้ง ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยความแช่มชื่น ไม่ฝืนใจทำ มีความเพียรอดทนไม่ท้อถอย ทำตามกำลังสามารถ ลางอย่าง ลางโอกาส ถึงออกปากว่า ถ้าไม่ไหวก็ขอคืน ไม่ฝืนไว้ด้วยอาลัย

    ท่าน ไม่ถือความเห็นของตนเป็นใหญ่ สิ่งไรทำพลาด เป็นผู้รู้จัก ผิดเป็น ยอมทำใหม่แก้ไขให้ถูก ยอมเปลี่ยนแปลงแก้ไข ในเมื่อมีผู้ทักท้วง มีเหตุผลเป็นธรรมเป็นวินัย ไม่ปล่อยให้สิ่งผิดแล้วเลยตามเลย หรือขืนทำไปทั้ง ๆ ที่เห็นว่าผิด

    ท่านจึงเป็นผู้รู้อย่างที่กล่าว ยกย่องว่า ไม่เมาในความรู้ ไม่มีชนิดที่เรียกว่า เอาสีข้างเข้าดัน อันเป็นมลทินของผู้รู้ แต่ว่าเป็นผู้ถ่ายถอนถือเอาแต่ยุติที่ชอบด้วยเหตุผล เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นประมาณ มีธรรมวินัยเป็นใหญ่ มีธรรมวินัยเป็นธงชัย ไม่ยอมให้มานะทิฐิหรือเล่ห์กลใด ๆ เข้ามาปะปนแฝงอยู่ จึงเป็นหลักในความรู้และความเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจได้สนิท เป็นผู้ตรงไปตรงมาไม่มีแง่งอนมายาเป็นปฏิปทาของสาวกสงฆ์ข้อ อุชุปฏิปนฺโน คือเป็นผู้ปฏิบัติตรง

    ท่านเป็นผู้มีความอดกลั้นเป็นอย่างดี มีความสงบเสงี่ยม ไม่เคยแสดงอาการผลุนผลันให้ปรากฏ ไม่เคยพูดคำหยาบ กล่าวแต่คำอ่อนหวาน ไม่พูดให้เจ็บใจคนอื่น ไม่พูดเสียดสีกระทบกระทั่งนินทาว่าร้ายผู้อื่น องค์ท่านเคยปรารภเป็นเชิงสอนว่า คนเรานั้นมีอาวุธพิเศษสำหรับป้องกันตัวอย่างหนึ่งคือนิ่ง ไม่ต่อปากต่อคำ ต่อความยาวสาวความยืด อันเป็นเหตุให้เรื่องนั้น ๆ ไม่สุดสิ้น ปฏิปทานี้ท่านถือเป็นแนวปฏิบัติประการหนึ่ง จึงนิยมในการรู้แล้ว เลิกแล้วกันไป ไม่ถือสาหาความอีก ไม่มีเวรไม่มีภัยกับใคร ๆ แม้ผู้ที่ถือโกรธท่าน ๆ ก็ไม่โกรธตอบ กลับหาทางสมัครสมานคืนดี เรื่องไม่ดีของผู้อื่นเป็นไม่พูด ถึงมีผู้พูดก็ห้ามเสีย เรื่องการบ้านการเมือง รบราฆ่าฟัน อันไม่ใช่กิจสมณะไม่พูดเกี่ยวถึงเลย มีผู้พูด ถ้าเป็นผู้น้อยก็ห้ามเสีย ถ้าเป็นผู้ใหญ่ ท่านก็ยิ้ม ๆ รับฟังโดยมารยาท ท่านมีอาการสงบสม่ำเสมอ ไม่โลเลสับปลับ ไม่พูดถ้อยคำไร้สาระ พูดแต่สิ่งที่เป็นงานเป็นการ ประกอบด้วยอรรถด้วยธรรม มีประโยชน์ ไม่พูดเล่นตลกคะนองแต่ไหนแต่ไรมา.

    ท่านทำองค์ของท่านเป็น เนติแบบอย่าง สมกับเป็นผู้นำหมู่คณะ เป็นผู้ปกครองศิษยานุศิษย์ บริษัท บริวาร ตลอดถึงคณะสงฆ์ เป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ของคนทุกชั้น สิ่งไรที่ท่านสอนให้คนอื่นละเว้นไม่ให้ทำไม่ให้ประพฤติ องค์ท่านเองย่อมละเว้น ไม่ทำไม่ประพฤติด้วย ไม่เป็นแต่เพียงสอนหรือห้ามผู้อื่นฝ่ายเดียวเท่านั้น ท่านเป็นผู้เคารพนับถือผู้ใหญ่เหนือตน ปฏิบัติตามบังคับบัญชาในสิ่งที่ถูก ที่เป็นธรรม อย่างครบถ้วน แต่ถ้าสิ่งไรเป็นผิด เป็นเสียแล้ว ก็ไม่ยอมร่วมด้วย ระเบียบแบบแผนประเพณีอันใดที่ทางคณะสงฆ์บัญญัติไว้เป็นธรรมเป็นวินัย ท่านถือว่าปฏิบัติตามโดยไม่บกพร่อง นี้เป็นเนติอีกประการหนึ่งคือ ดีทั้งปกครองเขา แล เขาปกครองก็ดีด้วย

    ทราบว่าเมื่อครั้งท่าน สอบไล่ภาษาบาลีในมหามกุฎราชวิทยาลัยได้ที่ 1 ทุกชั้นเป็นลำดับมา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งว่า ตาบุญ ( คือพระยาธรรมปรีชา ผู้เป็นอาจารย์ภาษาบาลีของเจ้าพระคุณ ) มอบช้างเผือกส่งเข้ามา จึงได้เป็นผู้ที่ทรงโปรดปราน เป็นผู้ที่ทรงปรึกษาทางด้านวิทยาการ แลด้านการปกครองคณะสงฆ์องค์หนึ่ง จนกาลที่สุด คือเมื่อจวนจะสิ้นพระชนม์ ก็ยังโปรดให้เจ้าพระคุณ ซึ่งในเวลานั้นดำรงตำแหน่งฐานันดรสมณศักดิ์ที่พระธรรมไตรโลกาจารย์ เข้าเฝ้าถวายธรรมลางประการเป็นครั้งสุดท้าย

    เจ้าพระคุณสมเด็จฯ นอกจากมีความเชี่ยวชาญภาษาบาลีและพระไตรปิฎกแล้ว ยังมีความรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี นับเป็นพระมหาเถระที่ก้าวหน้าทันสมัยในยุคนั้น ดังที่ท่านพุทธทาสได้กล่าวถึงท่านไว้ในหนังสือเรื่องเล่าไว้เมื่อวัยสนธยา ว่า “สมเด็จวัดเทพศิรินทร์ ดูจะเป็นคนก้าวหน้าที่สุด ถ้ามีเรื่องเกี่ยวกับฝรั่งมังค่าอะไรต้องไปทางนั้น ตอนนั้น ยังไม่ได้เป็นสมเด็จเป็นพระสาสนโสภณ” เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้แสดงความรู้ทางภาษาอังกฤษให้เป็นที่ปรากฏโดยท่านได้แปลพุทธประวัติภาษา อังกฤษเป็นภาษาไทยไว้เล่มหนึ่ง ชื่อ “พุทธประวัติวิเทศ” ครั้งหนึ่งมีโปรเฟสเซอร์ ชาวเดนมาร์ค เข้ามาเมืองไทยและใคร่จะรู้เรื่องพระพุทธศาสนา สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงโปรดให้มาสนทนากับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระสาสนโสภณ โปรเฟสเซอร์ท่านนั้นได้มาสนทนากับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ อยู่ 8 ครั้ง ครั้นกลับไปประเทศของตนแล้ว ได้ส่งหนังสือมาถวายเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เล่มหนึ่งพร้อมเขียนคำสรรเสริญเป็นภาษาบาลีอักษรโรมันว่า

    " อจฺฉริยํ ภนฺเต สาสนโสภณ, อพฺภุตํ ภนฺเต สาสนโสภณ, อติจิตฺรานิ ปญฺหปฏิภานานิ วิสชฺชิตานิ, ยทิ พุทฺโธ ติฏฺเฐยฺย, สาธุการํ ทเทยฺย, สาธุ สาธุ สาสนโสภณ, อติจิตฺรานิ ปญฺหปฏิภานานิ วิสชฺชิตานิ "

    แปลความว่า ท่านพระสาสนโสภณ น่าอัศจรรย์, ท่านพระสาสนโสภณ น่าประหลาด, ปฏิภาณแก้ปัญหาวิจิตรนัก อันท่านวิสัชนาแล้ว. หากว่าพระพุทธเจ้าจะพึงดำรงอยู่ไซร้, ก็จะพึงประทานสาธุการว่า พระสาสนโสภณ ดีแล้ว ดีแล้ว, ปฏิภาณแก้ปัญหาวิจิตรนัก อันเธอวิสัชนาแล้ว".

    ใน เรื่องนี้แสดงว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ กับโปรเฟสเซอร์ดังกล่าวคงสนทนากันด้วยภาษาบาลีหรือภาษาอังกฤษ จึงทำให้โปรเฟสเซอร์เกิดความประทับใจมากดังแสดงออกด้วยข้อความดังกล่าวนี้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีอัธยาศัยชอบการอ่านการเขียน ได้นิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมากเท่าที่รวบรวมได้มีถึง 75 เรื่อง เช่น คู่มือนาค คู่มืออุบาสก คำถามคำตอบศีลสมาธิปัญญา บันทึกธรรม พุทธประวัติวิเทศ แว่นธรรมวินัย ไหว้พระ 5 ครั้ง พระมงคลวิเสสกถา เป็นต้น ในการชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกในรัชกาลที่ 7 เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รับหน้าที่ชำระพระไตรปิฎกท่านหนึ่งโดยได้ชำระพระวินัยปิฎกทั้งหมด รวม 8 เล่ม และพระสุตตันตปิฏก ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ รวม 3 เล่ม รวมทั้งสิ้น 11 เล่ม


    เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์อาพาธเป็นโรคเนื้องอกที่ ตับ มีอาการเบื่ออาหารและอ่อนเพลียมาโดยลำดับ นายแพทย์ได้ตรวจพบเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2494 พักรักษาตัวอยู่ ณ วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรีประมาณเดือนเศษ อาการไม่ดีขึ้น ถึงวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 ทางคณะสงฆ์กรมการศาสนาและกรมการแพทย์ ส่งนายแพทย์ไปรับท่านมารักษาพยาบาล ณ วัดเทพศิรินทราวาส นายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิเชี่ยวชาญเป็นต้นว่า หลวงนิตยเวชวิศิษฐ์ พระอัพภันตราพาธพิศาล นายแพทย์ใช้ ยูนิพันธ์ ได้ถวายการรักษาพยาบาลจนสุดความสามารถ แต่โรคชนิดนี้ยังไม่พบวิธีที่จะรักษาให้หายได้ เป็นโรคที่ทรมาน เท่าที่ปรากฏ ผู้ที่เป็นโรคชนิดนี้มักได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่องค์ท่านแม้ได้รับทุกขเวทนาเห็นปานนั้น ก็สงบระงับไม่ยอมให้ทุกขเวทนานั้นครอบงำ มีสติสัมปชัญญะ ส่อให้เห็นคุณธรรมลางประการ อันท่านได้อบรมมาเป็นเวลานาน ไม่ครั่นคร้ามต่อ มรณภัยอันคุกคามอยู่ สู้อุตส่าห์แนะนำพร่ำสอนโดยย่อ ๆ ถึงคุณพระรัตนตรัย แลความจริงของสังขาร กับทั้งความน่าเบื่อหน่ายในชาติภพ แลให้ศีลให้พรแก่ผู้ที่มาเยี่ยมเยียนแลรักษาพยาบาล จนที่สุดถึงมรณภาพด้วย อาการอันสงบ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เวลา 10.30 น. คำนวณอายุได้ 80 ปี โดยปีพรรษา 59

    ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานน้ำสรงศพ และพระราชทานโกศไม้สิบสอง ประดับพุ่มและพู่เฟื่อง ฉัตรเครื่องสูง มีแตร จ่าปี่ จ่ากลองและกลองชนะ ประโคมเป็นเกียรติยศ ประดิษฐานโกศ ณ กุฎีที่อยู่วัดเทพศิรินทราวาส มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมเป็นของหลวง 3 วัน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ประกอบการพระราชกุศลทักษิณานุสรณ์ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในสัตมวารแรก ต่อจากนั้นมีเจ้านาย คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ คณะสงฆ์ ภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ศิษยานุศิษย์และผู้เคารพนับถือ ได้ทรงบำเพ็ญ และบำเพ็ญกุศลถวาย ติดต่อกันมา เป็นลำดับ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จัดการพระราชทานเพลิงศพ ณ สุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2495 และเสด็จพระราชดำเนินทั้งสองพระองค์

    ประวัติและคุณสมบัติทั้ง ส่วนอัตตสมบัติแลปริหิตปฏิบัติของเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถระ เท่าที่ได้รำพันมานี้ชี้ให้เห็นว่า เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ได้อาศัยความเป็นผู้มีบุญอันได้ทำไว้แล้วในกาลก่อน เป็น ปุพฺเพกตปุญญตา อันท่านผู้รู้เรียกว่า วาสนาแรกเริ่มนำให้มาอยู่ในถิ่นอันสมควร เป็น ปฏิรูปเทสวาส คบหาศึกษาวิทยาการกับผู้ทรงคุณวุฒินั้น ๆ เป็น สปฺปุริสูปสฺสย คือคบสัตบุรุษกับทั้งตั้งองค์ท่านเองไว้ในที่ชอบ ประกอบด้วยสุจริตธรรมสัมมาปฏิบัติ เป็น อตฺตสมฺมาปริธิ ศิริรวมเป็นจักรธรรมครบ 4 ประการ เป็นจักรสมบัติ พัดผันนำองค์ท่านไปสู่วัฒนะ เจริญรุ่งเรืองสุดวาสนาบารมี กับทั้งยังประกอบด้วยญาณปรีชาอันประเสริฐ เป็นเหตุสำคัญนำองค์ท่านให้ผ่านพ้น อุปสรรคภยันตรายฝ่ายหายนะ รอดตลอดจนสุดชนม์ชีพด้วยประการฉะนี้
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    .


    เย็นนี้มาอ่านกันเยอะเหมือนกัน

    [​IMG]

    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 57 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 55 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 22-10-2555.JPG
      22-10-2555.JPG
      ขนาดไฟล์:
      157.1 KB
      เปิดดู:
      55
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    .
    ประวัติ หลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม วัดสะพานสูง
    -http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A1-%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87.html-


    ประวัติ หลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม วัดสะพานสูง

    [​IMG]

    หลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม ( อ่านว่า ปะถะมะนามะ หรือ ปถมนาม ) เกิดในรัชกาลที่ ๒ เมื่อปีฉลู พ.ศ. 2359 เป็นบุตรนายนาค นางจันทร์ โดยมีพี่น้องท้องเดียวกัน รวมด้วยกัน 4 คน คือ
    1. หลวงปู่เอี่ยม
    2. นายฟัก
    3. นายขำ
    4. นางอิ่ม

    บ้านเกิดของหลวงปู่เอี่ยมอยู่ที่ตำบลบานแหลมใหญ่ ฝั่งใต้ ข้างวัดท้องคุ้ง อำเภอ ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๑ อายุท่านได้ ๒๒ ปี ได้อุปสมบท ที่วัดบ่อ ตำบลปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด (วัดบ่อนี้อยู่คิดกับตลาดในท่าน้ำปากเกร็ด) ท่านอุปสมบท ได้ประมาณหนึ่งเดือน ท่านก็ได้ย้ายไปประจำพรรษาอยู่ที่วัดกัลยาณมิตร ธนบุรีซึ่งในขณะนั้นพระพิมลธรรมพร เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งย้ายมาจากวัดราชบูรณะ พระนคร หลวงปู่เอี่ยมท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรม และแปลพระธรรมบทอยู่ที่วัดนี้อยู่ได้ถึง ๗ พรรษาท่านจึงได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๘ อยู่วัดประยูรวงศาวาสได้ ๓ พรรษา ถึงปี พ.ศ. ๒๓๘๙๑ นายแขก สมุห์บัญชีได้นิมนต์หลวงปู่เอี่ยม ไปจำพรรษาเจริญพระกัมมัฏฐานเป็นเริ่มแรก และได้ศึกษาอยู่ ๕ พรรษา ถึงปี ๒๓๙๖ ญาติโยมพร้อมด้วยชาวบ้านภูมิลำเนาเดิมในคลองแหลมใหญ่ (ซึ่งปัจจุบันนี้ คือคลองพระอุดม) อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ได้เดินทางมา อาราธนานิมนต์หลวงปู่เอี่ยม กลับไปปกครองวัดสว่างอารมณ์ หรือวัดสะพานสูง ในปัจจุบันนี้

    สาเหตุที่เปลี่ยนชื่อวัดสว่างอารมณ์เดิมมาเป็นชื่อวัดสะพานสูงนั้น มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ในสมัยนั้นสมเด็จกรมพระยาวชิญาณวโรรส ท่านได้เสร็จไปตรวจการคณะสงฆ์ได้เสด็จขึ้นที่วัดสว่างอารมณ์นี้ ได้ทอดพระเนตรเห็นสะพานสูงข้ามคลองวัด (คลองพระอุดมปัจจุบันนี้)

    ซึ่งชาวบ้านมักจะเรียกวัดสว่างอารมณ์นี้ว่า วัดสะพานสูง จึงทำให้วัดนี้มีชื่อเรียกกัน ๒ ชื่อ ฉะนั้น สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงเห็นว่า สะพานสูงนี้ก็เป็นนิมิตดีประจำวัดประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งชาวบ้านก็นิยมเรียกกันติดปากว่าวัดสะพานสูง จึงได้ประทานเปลี่ยนชื่อวัดสว่างอารมณ์ มาเป็น "วัดสะพานสูง" จนตราบเท่าทุกวันนี้
    หลวงปู่เอี่ยม มาวัดสะพานสูงใหม่ๆ ที่วัดนี้มีพระประจำวันพรรษาอยู่เพียง ๒ รูปเท่านั้น
    ขณะที่ท่านหลวงปู่เอี่ยม ได้ย้ายมาอยู่วัดสะพานสูงได้ ๘ เดือน ก่อนวันเข้าพรรษาหลวงพิบูลย์สมบัติ บ้านท่านอยู่ปากคลองบางลำภู พระนคร ได้เดินทางมานมัสการหลวงปู่เอี่ยม หลวงปู่เอี่ยมได้ปรารภถึงความลำบาก ด้วยเรื่องการทำอุโบสถและสังฆกรรม
    เนื่องจากสถานที่เดิมได้ชำรุดทรุดโทรมมาก จึงอยากจะสร้างให้เป็นถาวรสถานแก่วัดให้เจริญรุ่งเรือง หลวงพิบูลยสมบัติ ท่านจึงได้บอกบุญเรี่ยไรหาเงินมา เพื่อก่อสร้างโบสถ์ และถาวรสถานขึ้น จึงเป็นที่เข้าใจกันว่าหลวงปู่เอี่ยม ได้เริ่มสร้างพระปิดตาและตะกรุดเป็นครั้งแรก

    เพื่อเป็นของชำร่วยแก่ผู้บริจาคทรัพย์และสิ่งของที่ใช้ในการก่อสร้างพระอุโบสถและถาวรสถาน ต่อมาถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ ได้สร้างศาลาการเปรียญ หลังจากนั้นอีกหลวงปู่เอี่ยมได้สร้างพระเจดีย์ฐาน ๓ ชั้นขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ ขณะที่ท่านหลวงปู่เอี่ยม ท่านได้มาอยู่วัดสะพานสูง ท่านได้ไปธุดงค์ไปทางแถบประเทศเขมร

    โดยมีลูกวัดติดตามไปด้วยเสมอ แต่ท่านจะให้ลูกวัดออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ๖-๗ ชั่วโมง แล้วจะนัดกันไปพบที่แห่งใดแห่งหนึ่ง แล้วท่านหลวงปู่เอี่ยม ได้ไปพบชีปะขาวชาวเขมรท่านหนึ่งชื่อว่าจันทร์หลวงปู่เอี่ยม จึงได้เรียนวิชาอิทธิเวทย์ จากท่านอาจารย์ผู้นี้อยู่หลายปี จนกระทั่งชาวบ้านแหลมใหญ่นึกว่าท่านออกธุดงค์ไปได้ถึงแก่มรณภาพไปแล้ว เนื่องจากหลวงปู่เอี่ยม ท่านไม่ได้กลับมาที่วัดหลายปี

    จึงได้ทำสังฆทานแผ่ส่วนกุศลไปให้ท่าน ทำให้ท่านหลวงปู่เอี่ยม ทราบในญาณของท่านเอง และท่านหลวงปู่เอี่ยม จึงได้เดินทางกลับมายังวัดสะพานสูง การไปธุดงค์ครั้งนี้ หลวงปู่เอี่ยม ได้ไปเป็นเวลานาน และอยู่ในป่าจึงปรากฏว่าท่านหลวงปู่เอี่ยม ท่านไม่ได้ปลงผม ผมจึงยาวถึงบั้นเอว จีวรก็ขาดรุ่งริ่ง หมวดท่านยาวเฟิ้มพร้อมมีสัตว์ป่าติดตามท่านหลวงปู่เอี่ยม มาด้วย อาทิเช่น หมี, เสือ, และงูจงอาง ฯลฯ

    จากการเจริญกรรมฐานนี้ จึงทำให้หลวงปู่เอี่ยมสำเร็จ "โสรฬ" มีเรื่องเล่ากันว่ามีต้นตะเคียนต้นหนึ่งมีน้ำมันตกและดุมากเป็นที่เกรงกลัวแก่ชาวบ้านแถบนั้น หลวงปู่จึงช่วยยืนเพ่งอยู่ 3 วันเท่านั้น ต้นตะเคียนก็เฉาและยืนต้นตาย หลวงปู่เป็นผู้มีอาคมฉมัง วาจาสิทธิ์ มักน้อยและสันโดษ ท่านเป็นต้นแบบในการพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองจนถึงปัจจุบันนี้ ท่านได้สร้างถาวรวัตถุที่ได้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้คือพระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ พระเจดีย์ จึงเป็นที่มาของการสร้างพระปิดตา และตะกรุดโทนมหาโสฬสมงคลอันลือลั่นนั่นเอง
    ท่านหลวงปู่เอี่ยม เป็นพระผู้มีอาคมขลัง มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ มักน้อย ถือสันโดษ ด้วยเหตุนี้เองทำให้หลวงปู่เอี่ยม ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทั้งชาวบ้านและเจ้านายผู้ใหญ่ในพระนครนับถือท่านมากจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่หลวงปู่เอี่ยมจะมรณภาพด้วยโรคชรา นายหรุ่น แจ้งมา ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดคอยอยู่ปรนนิบัติท่านหลวงปู่เอี่ยมได้ขอร้องท่านว่า “ท่านอาจารย์มีอาการเต็มที่แล้ว ถ้าท่านมีอะไรก็กรุณาได้สั่ง และให้ศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย” ซึ่งท่านหลวงปู่เอี่ยมก็ตอบว่า “ถ้ามีเหตุทุกข์เกิดขึ้นให้ระลึกถึงท่านและเอ่ยชื่อท่านก็แล้วกัน”หลวงปู่เอี่ยมท่านได้มรณภาพ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๙ รวมอายุได้ ๘๐ ปี บวชได้ ๕๙ พรรษา

    ก่อนที่ท่านจะมรณภาพได้มีศิษย์ผู้ใกล้ชิดเป็นตัวแทนของชาวบ้าน และผู้เคารพนับถือศรัทธา ที่มีและไม่มีของมงคลท่านไว้บูชา กราบเรียนถามหากว่าเมื่อหลวงปู่เอี่ยม ได้มรณภาพแล้วจักทำประการใด ท่านจึงได้มีปัจฉิมวาจาว่า " มีเหตุสุข ทุกข์ เกิดนั้น ให้ระลึกถึงชื่อของเรา"

    จึงเป็นที่ทราบและรู้กันว่า หากผู้ใดต้องการมอบตัวเป็นศิษย์หรือต้องการให้ท่านช่วยแล้วด้วยความศรัทธายิ่ง ก็ให้เอ่ยระลึกถึงชื่อของท่าน ท่านจะมาโปรดและคุ้มครองและหากเป็นเรื่องหนักหนาก็บนตัวบวชให้ท่าน รูปหล่อเท่าองค์จริงของหลวงปู่เอี่ยม ท่านประดิษฐานอยู่หน้าพระอุโบสถ สร้าง(หล่อ) ขึ้นเมื่อพ.ศ. 2480 ในสมัยหลวงปู่กลิ่น ผู้ปกครองวัดต่อจากท่าน เพื่อการสักการะบูชา ต่อมาจนทุกๆวันจะมีผู้ศรัทธาจากทุกสารทิศมากราบไหว้และบนบานฯ ตลอดเวลาตราบแสงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า ท่านชอบกระทงใส่ดอกไม้เจ็ดสี จะมีผู้นำมาถวายและแก้บนแทบทุกวันโดยเฉพาะในวันพระแม้แต่ผงขี้ธูปและน้ำในคลองหน้าวัดก็ยังมีความ"ขลัง" อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

    และหลังจากที่ท่านมรณภาพล่วงไปเนิ่นนานแล้วก็ตามที ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ผลปรากฏว่าฐานที่ท่าน เคยถ่ายทุกข์เอาไว้และปิดตาย คราวที่เกิดไฟไหม้ป่าช้า ฐานของหลวงปู่เอี่ยม เพียงหลังเดียวเท่านั้นที่ไม่ไหม้ไฟ

    เมื่อความอัศจรรย์ปรากฏขึ้นเช่นนั้น ผู้คนจึงค่อยมาตัดเอาแผ่นสังกะสีไปม้วนเป็นตะกรุดจนหมดสิ้น นอกจากนั้นแล้ว ยังมารื้อเอาตัวไม้ไปบูชาจนไม่เหลือหรอ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ไม่ได้อะไรเลยก็มาขุดเอาอุจจาระของท่านไปบูชา

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • eam.jpe
      eam.jpe
      ขนาดไฟล์:
      44 KB
      เปิดดู:
      1,260
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ผมเองเคยมีประสบการณ์ กรอบพระสแตนเลสระเบิดออกมา พระที่กรอบสแตนเลสระเบิดเป็นหลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก ชลบุรีครับ ถ้าเป็นทางวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถอธิบายได้ว่า ระเบิดออกมาได้อย่างไร ก่อนวันสงกรานต์ ผมได้ไปทำความสะอาดพระ ที่กุฏิที่ผมเคยไปบวช วันนั้นผมห้อยพระไป 5 องค์ โดยองค์กลางเป็นพระธาตุพระสิวลี องค์อยู่ข้างบนต่อมาด้านซ้ายเป็นหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ องค์ด้านขวา เป็นหลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก ผมทำความสะอาดพระซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ผมไปเห็นโกฏิที่ใส่กระดูกคนตาย ที่อยู่หลังพระพุทธรูปองค์ใหญ่ พี่เขยผมไม่เข้าไปยุ่ง ไม่ได้นำออกมาทำความสะอาด แต่ผมนำออกมาวางบนตู้พระไตรปิฎก ซึ่งผมลืมคิดไปว่าไม่สมควร ผมนำผ้าชุบน้ำแล้วทำความสะอาด พอทำความสะอาดเสร็จแล้ว ผมกำลังนำผ้าไปซัก เดินพ้นจากตู้พระไตรปิฎกมา 2 ก้าว ปรากฏว่าเหรียญหลวงปู่ม่นซึ่งผมเลี่ยมใส่กรอบพลาสติกและผมได้เจาะรูไว้ 3 รูนั้น ได้เกิดระเบิดขึ้น ผมเองก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผมกลับไปมองที่โกฏินั้น ผมเห็นว่าไม่สมควรที่จะนำไปวางไว้บนตู้พระไตรปิฎก ผมจึงรีบนำโกฏิไปไว้ที่เดิม ต่อมาผมได้สอบถามเพื่อนผม เพื่อนบอกว่าหลวงปู่ม่นท่านดังในเรื่องของการไล่ผีมาก (ในตอนแรกๆ ผมไม่ค่อยศรัทธาหลวงปู่ม่นเท่าไร ท่านคงมาช่วยผมไว้และแสดงให้เห็นว่าหลวงปู่ม่น ท่านก็ไม่ธรรมดา) การที่กรอบแสตนเลสระเบิดนั้น มันเกิดจากสาเหตุอะไร ลองคิดดูกันเองนะครับ


    ประสบการณ์ครั้งที่ 2 ที่เกี่ยวกับหลวงปู่ม่น วัดเนินตามากครับ

    ผมได้เหรียญหลวงปู่ม่น จากท่านอาจารย์ประถม มา 1 เหรียญ เหรียญนี้สวยมาก

    หลังจากที่ผมได้มาไม่ถึงเดือน ผมหยิบมาดู ปรากฎว่า ที่บริเวณใต้ตา(ในเหรียญ) มีพระธาตุเสด็จมาเกาะครับ

    .

    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,8008.new.html#new-

    http://www.tairomdham.net/index.php/topic,8008.new.html#new
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2012
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949

    ผมมีสร้อยที่ห้อยเหรียญโดยเฉพาะ โดยห้อยเป็นเส้นที่สอง

    มีเหรียญหลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก 2 เหรียญ
    มีเหรียญหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ 1 เหรียญ
    มีเหรียญหลวงปู่หมุน ฐิตสีโล 1 เหรียญ
    และเหรียญเบญจพิทักษ์ ของหลวงพ่ออภิชิโต 1 เหรียญ

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    .
    หลวงปู่เหมือน วัดกำแพง ชลบุรี

    [​IMG]

    -http://www.trueamulet.com/profile/329_%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%87-

    ข้อมูลประวัติ หลวงปู่เหมือน วัดกำแพง ชลบุรี


    นามเดิม เหมือน ถาวรวัฒนะ บิดาชื่อตึ๋ง มารดาชื่อปุ่น มารดาเป็นน้องสาวพระครูชลโธปมคุณมุนี (หลวงพ่อเจียม) อดีตเจ้าอาวาสวัดกำแพง


    เกิด วันอังคารที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๓๖ ปีมะเส็ง สมัยรัชกาลที่ ๕
    บรรพชา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๖ พระอธการจั่น วัดเสม็ด องเมือง จ.ชลบุรี เป็นพระอุปัชชายะ

    มรณภาพ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗


    สิริอายุรวม ๙๒ ปี พรรษา ๗๑

    พระครูอุดมวิชชากร (เหมือน อินทโชโต) เป็นชาวชลบุรีโดยกำเนิดนามเดิมชื่อ เหมือน ถาวรวัฒนะ บิดาชื่อตึ๋ง มารดาชื่อปุ่น มารดาเป็นน้องสาวพระครูชลโธปมคุณมุนี (หลวงพ่อเจียม) อดีตเจ้าอาวาสวัดกำแพง

    เกิดวันอังคารที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๓๖ ปีมะเส็ง สมัยรัชกาลที่ ๕ อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๖ พระอธการจั่น วัดเสม็ด องเมือง จ.ชลบุรี เป็นพระอุปัชชายะ เมื่ออุปสมบทได้ ๖ พรรษา ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดกำแพงต่อจากพระอธิการหมอน เพิ่งได้ลาสิกขาไปปี

    พ.ศ. ๒๔๖๒ ได้รับพระราชฐานสมณศักดิ์เป็นพระครูอุดมวิชชากร พ.ศ.๒๔๙๕ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลบางปลาสร้อย เขต ๒ พ.ศ.๒๕๐๒ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพระอุปัชชาย์ และเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูเจ้าคณะตำบลชั้นเอก พ.ศ. ๒๕๒๒ หลวงพ่อเหมือนศึกษาไสยเวทย์ วิทยาคม จากหลวงพ่อเจียมผู้เป็นลุงแห่งสำนักวัดกำแพงแห่งนี้

    ท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้มากมาย เป็นที่เสาะแสวงหาของชาวเมืองชลและชาวภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระปิดตาปี พ.ศ. ๒๕๐๐ แะเหรียญรุ่นแรกซึ่งเสาะแสวงหาบูชาได้ยากยิ่ง หลวงพ่อเหมือนเป็นพระที่มีอายุยืนยาวพูดน้อย ประพฤติดี ปฏิบัติดี สงบเสงี่ยม เรียบร้อย สุขุม เยือกเย็น มีเมตตาสูง ลูกศิษย์ลูกหามากมาย วิทยาคมสูงล้ำทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด โชคลาภค้าขาย

    ท่านเป็นผู้มีคุณูประการต่อการศึกษาของลูกหลานชาวชลบุรีเป็นอย่างมากเป็นผูก่อตั้งโรงเรียนวัดกำแพง ก่อตั้งมูลนิธิพระครูอุดมวิชชากร เพื่อนำดอกผลอันมาจากที่ดินรวมถึงทรัพยสินของวัดให้การสนับสนุนการศึกษาแก่ กุลบุตร กุลธิดาของเหล่าญาติโยม เป็นองค์อุปถัมย์ยุวพุทธิกสมาคมชลบุรีมาแต่ยุคเริ่มก่อตั้ง เป็นพระเกจิอาจารย์ในยุคปีพ.ศ. ๒๕๐๐ ที่รับหน้าที่ปลุกเสกประพรมน้ำพระพุทธทนต์ตอนปีใหม่รวมถึงวัตถุมงคลแก่ชาวชลบุรีทุกปี มาเป็นเวลาอันยาวนาน

    จนถึงมรณภาพ หลวงพ่อเหมือนมรณภาพ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ สิริอายุรวม ๙๒ ปี พรรษา ๗๑ ที่มา


    ** อนุญาติให้ข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์ ทรูอมูเล็ต ดอทคอม สามารถ อ่าน คัดลอก ตัดแปลง ได้ตามที่ใจท่านต้องการ เพื่อความรู้และการศึกษา โดยไม่ต้องขออนุญาติ ข้อมูลทั้งหมดได้มาจากสื่อสาธารณะที่มีประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ ไม่ได้เสียเงินสักบาท และไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ให้คนเข้าเว็บเยอะ ๆ จะได้ขายของได้เยอะ ๆ มีโฆษณามาลงเยอะ ๆ และอีกอย่างหนึ่งเพราะว่าตายไปผมก็เอาไม่ได้ ถ้าหวงนักผมขอแนะนำว่าอย่านำมาลง ให้ปิดเว็บทิ้งไปเลยจะดีกว่าอย่าทำเลย
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • meun.JPG
      meun.JPG
      ขนาดไฟล์:
      29.2 KB
      เปิดดู:
      56
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    .


    ข้อมูลประวัติ หลวงปู่เจียม วัดกำแพง ชลบุรี


    เกิด ปีเถาะ ร.ศ.74 ตรงกับปีพ.ศ.2398


    อุปสมบท เมื่ออายุ 22 ปี ตรงกับปีพ.ศ.2420


    รณภาพ ปี พ.ศ.2454


    รวมสิริอายุ 56 ปี 34 พรรษา


    วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม


    สำหรับวัตถุมงคลของท่านที่ขึ้นชื่อ คือ พระปิดตา สามารถจำแนกลักษณะเนื้อพระไว้ 2 ชนิด คือ เนื้อผงคลุกรัก ทารัก และเนื้อผงทารัก สำหรับพิมพ์สามารถจำแนกได้ดังนี้ พระปิดตาโยงกัน พิมพ์ใหญ่ หลังยันต์ อุใหญ่-อุเล็ก พระปิดตาโยงกัน พิมพ์กลาง หลังยันต์อุใหญ่-อุเล็ก พระปิดตาโยงกัน พิมพ์เล็ก หลังยันต์อุใหญ่ (บางองค์มีกริ่ง ถือว่าเป็นพิมพ์หายาก) พิมพ์สองมือ และพิมพ์สองหน้า


    พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา


    วัตถุมงคลท่านเด่นทางด้าน เมตตามหานิยม


    ** อนุญาติให้ข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์ ทรูอมูเล็ต ดอทคอม สามารถ อ่าน คัดลอก ตัดแปลง ได้ตามที่ใจท่านต้องการ เพื่อความรู้และการศึกษา โดยไม่ต้องขออนุญาติ ข้อมูลทั้งหมดได้มาจากสื่อสาธารณะที่มีประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ ไม่ได้เสียเงินสักบาท และไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ให้คนเข้าเว็บเยอะ ๆ จะได้ขายของได้เยอะ ๆ มีโฆษณามาลงเยอะ ๆ และอีกอย่างหนึ่งเพราะว่าตายไปผมก็เอาไม่ได้ ถ้าหวงนักผมขอแนะนำว่าอย่านำมาลง ให้ปิดเว็บทิ้งไปเลยจะดีกว่าอย่าทำเลย

    -http://www.trueamulet.com/profile/166_%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%87-

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    .

    เกร็ดประวัติหลวงปู่เจียม วัดกำแพง ชลบุรี หนึ่งในห้าเสือปิดตาปิด

    -http://www.web-pra.com/Article/Show/1251-

    [​IMG]

    ประวัติโดยย่อ
    หลวงพ่อเจียม วัดกำแพง ท่านเป็นชาวเมืองชลโดยกำเนิด เกิดเมื่อปีเถาะ ร.ศ.๗๔ (พ.ศ.๒๓๙๘) ในสมัยรัชกาลที่ ๔ อุปสมบท ณ วัดกพแพง ชลบุรี เมื่อพ.ศ.๒๔๑๙ ได้รับตำแหน่งเจ้าคณะแขวง หรือเจ้าคณะอำเภอเมืองชลบุรี พ.ศ.๒๔๔๒ และพระครูเจียม ในปีเดียวกันดำรงตำแหน่งเจ้าคณะรองเมือง หรือรองเจ้าคณะจังหวัดชลบุรี ที่พระครูชลธารมุนี พ.ศ.๒๔๔๖ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดชลบุรี ที่พระครูชลโธปมคุณมุนี เจ้าคณะใหญ่เมืองชลบุรี เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธิ์ พ.ศ.๒๔๔๙ ท่านสร้างวัตถุมงคลที่นับว่าเป็น หนึ่งในห้าแห่งพระปิดตาเบญจภาคีของประเทศไทย ไว้เป็นมรดกแก่สาธุชนรุ่นหลัง ด้วยรูปแบบศิลปะพิมพ์ทรงสวยงามไม่เหมือนใคร (พระปิดตาพิมพ์โยงก้น) เนื้อผงคลุมรักจุ่มรัก เนื้อพระละเอียดแน่นสีน้ำตาลอมเหลือง พิมพ์มหาอุตม์ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก หลังยันต์อุใหญ่ หลังยันต์อุเล็ก และพิมพ์ ที่หายากที่สุดคือพิมพ์มีกริ่ง ด้วยอิทธิบารมีคุณวิเศษที่ร่ำลือกว่าหลวงพ่อเจียมเป็นพระสงฆ์ผู้แก่กล้าวิชาคาถาอาคมและ พุทธคม พระปิดตาหลวงพ่อเจียม วัดกำแพง จึงเป็นวัตถุมงคลระดับแนวหน้า เป็นที่ใฝ่ฝันของคนรุ่นหลัง เสาะแสวงหาได้เป็นเจ้าของ หลวงพ่อเจียมมรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๔๕๔ ในสมัยราชการที่ ๖ สิริอายุ ๕๖ ปี

    [​IMG]

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เรียนคุณเฉลิมพล

    ผมต้องกราบขอโทษด้วย ผมลืมไปว่า คุณเฉลิมพลฝากเงินกับผมไว้ จำนวน 1,800 บาท เพื่อร่วมทำบุญกับผม

    ในการไปไหว้หลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก ผมลืมนำเงินของคุณเฉลิมพลไปร่วมทำบุญซื้อผลไม้และของหวานไปถวายหลวงปู่ม่น ในครั้งหน้าผมไม่ลืมแน่นอนครับ

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949

แชร์หน้านี้

Loading...