พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>เสมาจปร.-เสมาเสด็จกลับ ของพระราชทานที่ไม่(ค่อย)มีใครรู้


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>รายงานโดย :วันพรรษา อภิรัฐนานนท์:

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

    http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=24409

    เท่าที่กาลเวลาได้ทำหน้าที่ของมันบนโลกใบนี้ ของฝากไม่ว่าในยุคใดสมัยใดต่างก็ทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง


    นั่นคือการสร้างประสบการณ์ทางอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความหมายแห่งคุณค่าและมิตรภาพ ประสบการณ์ทางอารมณ์เช่นนี้ เมื่อมองจากทรรศนะของผู้ได้รับๆ ย่อมพิสูจน์ได้จากพลังของความระทึกใจและจากความทรงจำอันแจ่มกระจ่าง
    [​IMG]แต่บางคราวบางทีก็มีเหมือนกันที่ของฝากชิ้นน้อยจะไม่อาจทำหน้าที่ ซึ่งก็อาจจะเนื่องมาจาก...ผู้ให้ได้บังเอิญโกรธเคืองกับผู้รับเสียก่อน หรืออาจเป็นเพราะเหตุขัดข้องในการส่ง ของฝากที่ปรารถนาให้ถึงผู้รับอย่างที่สุด จึงกลายเป็นแค่พัสดุตีตราว่าส่งไม่ถึงมือผู้รับ หรือไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นเพราะของฝากนั้นเป็นของฝากพระราชทาน ที่มีเหตุผลกลในที่ไม่ต้องการให้แจ้ง
    เมื่อเบอร์ม่าเทียบท่า
    ในวันที่ 7 พ.ย. 2450 หรือเมื่อกว่า 100 ปีก่อน เบอร์ม่าอันเป็นเรือหลวงเมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จกลับจากประพาสยุโรปครั้งหลัง (ร.ศ.126) ก็เทียบท่าถึงอ่าวไทย สิ่งที่บรรทุกมาในเรือพร้อมกัน คือของจากยุโรปมากมายที่เตรียมไว้พระราชทานแก่ญาติมิตรข้าราชบริพาร ถือเป็นของฝากพระราชทาน 100 ปี เมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรปที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก
    “ฝรั่งเวลาเขาไปเที่ยวต่างประเทศ เขาจะไม่มีของฝากมากมาย อาจจะซื้อของฝากสำหรับครอบครัวเท่านั้นแล้วจบ แต่คนไทยจะมีอะไรที่แปลก ฝากคนนี้ ไม่ฝากคนนี้ก็จะแปลกๆ เพราะเหมือนไม่ให้เกียรติ ไม่นับถือกัน แม้กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสครั้งแรก ก็ทรงซื้อของฝากพระราชทานพระราชินี ครั้งแรกทรงซื้อสายสร้อยพระราชทาน เช่นเดียวกับเจ้าจอมทั้งหมด หากซื้อให้คนเดียว แต่คนที่เหลือไม่ให้ก็ไม่ได้ ทรงซื้อให้เป็นกำไลบ้าง หรือเครื่องประดับอื่นๆ บ้าง ส่วนขุนนาง-ถ้าไม่เตรียมของให้ก็มีปัญหาอีก” ไกรฤกษ์ นานา นักประวัติศาสตร์อิสระ กล่าว
    <TABLE class=content_caption cellSpacing=0 cellPadding=2 width=130 align=right border=0><TBODY><TR><TD class="">[​IMG]</TD></TR><TR><TD class="">ที่แจกเสมาพระราชทานแห่งหนึ่งเมื่อเสด็จกลับ </TD></TR></TBODY></TABLE>มองจากเหลี่ยมมุมในบางมิติ ของฝากบางชิ้นไม่สามารถเปิดเผยได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจกัน อย่างไรก็ตาม ของฝากที่กล่าวขวัญด้วยได้รับพระราชทานแจกกันถ้วนหน้า คือเหรียญจปร.เสด็จกลับ กับพระบรมรูปปั้นฐานเหลี่ยม ซึ่งในครั้งนั้นเป็นพอดีกับที่พระองค์เสด็จประพาสฝรั่งเศส ได้ทรงส่งปั้นที่โรงหล่อ ซูสแฟร์ ประเทศฝรั่งเศส โรงหล่อเดียวกันกับที่ทรงส่งปั้นพระบรมรูปทรงม้านั่นเอง สำหรับพระบรมรูปปั้นจำลองฐานเหลี่ยม สูงกว่า 1 ฟุต ที่ฐานสลัก “ซูสแฟร์ ฟอง เดอ ปารีส” เหมือนกับที่เขียนสลักไว้ที่ฐานของพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งชาวไทยเพิ่งฉลองครบ 100 ปีกันไป แต่ในมุมของของพระราชทาน โรงหล่อแห่งเดียวกันนี้ยังได้รับคำสั่งหล่อพระบรมรูปปั้น จากใบเสร็จได้สั่งทำจำนวน 199 องค์ ซึ่งต่อมาพระราชทานแก่เสนาบดีผู้ใหญ่ 100 ปีให้หลัง กรรมสิทธิ์ตกอยู่กับบรรดาทายาทขุนนางต่างๆ เหล่านี้ ราคาซื้อขายกันในปัจจุบันไม่ต่ำกว่าองค์ละ 2 ล้านบาท

    พระราชทานเลี้ยงสโมสรอันเตปุริกธุริณ
    “วันที่ 21 พฤศจิกายน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระบรมวงศานุวงศ์แลข้าราชการ บรรดาที่ได้รับเวรเลี้ยงสโมสร ‘อันเต’ เมื่อเสด็จไม่อยู่...เข้าไปรับพระราชทานอาหารเย็น ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน แลเสด็จประทับเสวยด้วยอย่างเป็นสมาชิก เพื่อจะทรงตอบแทนความชอบ ครั้นเสร็จการเลี้ยงแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานของแจกชำร่วย อย่างเช่นเคยแจกกันในสโมสรอันเต สมาชิกคน ๑ ได้พระราชทานพระบรมรูปถ่ายในเวลาเสด็จไปยุโรปคราวนี้องค์ ๑ กับเสมาทองขาวลายพระบรมรูปอย่างเช่นแจกเด็กชาวพระนครอัน ๑ ทั่วกัน”
    <TABLE class=content_caption cellSpacing=0 cellPadding=2 width=130 align=right border=0><TBODY><TR><TD class="">[​IMG]</TD></TR><TR><TD class="">เสด็จบ้านช่างเขียน มิสเตอร์มาร์กอตตีถ่าย </TD></TR></TBODY></TABLE>
    -- ตอนหนึ่งจากหนังสือพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 2466
    การที่พระราชทานเสมาแก่สมาชิกอันเตคราวนี้ มีเรื่องสืบอนุสนธิต่อไปยืดยาว สมควรกล่าวให้ปรากฏคือ เสมาซึ่งรัชกาลที่ 5 พระราชทานเด็กชาวพระนครนั้น มีเป็น 2 ชนิด คือกะไหล่เงินกับกะไหล่ทอง หากเป็นกะไหล่ทองแจกให้ลูกของข้าราชบริพาร หากเป็นกะไหล่เงินแจกแก่ลูกเด็กเล็กแดงของราษฎรโดยทั่วไป โดยปรากฏตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขา คราวเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือในรัชกาลที่ 5 ว่าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแจกเสมาแก่เด็กชาวเมืองทุกระยะไป
    ไกรฤกษ์ เล่าว่า ผู้ปกครองเด็กต่างถือเป็นสิริมงคล ลูกหลานใครได้พระราชทานไป ผู้ปกครองก็ให้ผูกติดตัว ใครไม่ได้ก็ขอหยิบยืมซื้อหาไปผูกลูกหลานเวลาเจ็บไข้ ส่วนใหญ่ต้มเหรียญเอาน้ำดื่มกินต่างยาสมุนไพร และโดยมากใช้กับเด็กที่เป็นไข้และเหน็บชา ทรงล่วงรู้ภายหลังยังตรัสทำนองว่า จุดมุ่งหมายให้เป็นของที่ระลึก ไม่นึกว่าจะมีคนศรัทธาถึงขนาดตรัสว่า “ไม่นึกเลยนะว่าเหรียญฉันจะป๊อบปูลาขนาดนี้” และ “รู้อย่างนี้จะให้กะไหล่ทองเสียแต่แรก”
    เสมาจปร.-เสมาเสด็จกลับ
    ไกรฤกษ์ เล่าว่า รัชกาลที่ 5 ยังทรงเมตตารำลึกถึงของที่จะพระราชทานแก่ประชาชนและขุนนางชั้นผู้น้อย ท่านเกิดความคิดขึ้นมาว่า อยากทำเป็นเสมาสลักพระปรมาภิไธย โดยเรื่องเสมานี้ท่านเคยแจกแก่ลูกหลานชาวต่างจังหวัดมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2444 คือตอนที่ท่านเสด็จประพาสต้น มณฑลฝ่ายเหนือ ซึ่งระบุว่าท่านจึงได้ความคิดขึ้นมาว่า ไปยุโรปครั้งนี้ ต้องทำอะไรที่คล้ายๆ กับเสมาจปร. แจกเด็ก ซึ่งต่อมาคือ เสมาเสด็จกลับ
    <TABLE class=content_caption cellSpacing=0 cellPadding=2 width=130 align=left border=0><TBODY><TR><TD class="">[​IMG]</TD></TR><TR><TD class="">ทรงแจกเสมาราษฎร </TD></TR></TBODY></TABLE>เหรียญเขียนด้านหน้าว่า จุฬาลงกรณ์ บรมราชาธิราช ด้านหลังเขียน เสด็จกลับจากยุโรป 40 ร.ศ.126 สำหรับตัวเลข 40 หมายถึง ครองราชย์ครบ 40 ปี ในปี ร.ศ.126 (พ.ศ. 2450) จำนวนผลิตไม่ระบุแน่นอน พลิกดูรายละเอียดเหรียญพบชื่อ อ๊อกซ์ ปาเต้ (Auguste Pate) สลักไว้ ซึ่งก็คือช่างแกะสลักเหรียญนั่นเอง โดยเรื่องเหรียญนี้รัชกาลที่ 5 ทรงรับเป็นธุระและสั่งจัดการทำอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ทรงว่าจ้างศิลปินมีชื่อ เพื่อแกะรูปให้เหมือนและสำแดงฝีมืออย่างงดงาม
    “สมัยก่อนแจกฟรี แต่เดี๋ยวนี้ราคาเป็นหลักแสน” ไกรฤกษ์ เล่าว่า ผู้ได้รับพระราชทานเหรียญ ไม่ว่าจะเป็นเสมาจปร. หรือเสมาเสด็จกลับ ล้วนพกเหรียญไว้ติดตัว ยึดถือเป็นสวัสดิมงคลเสมือนเครื่องรางอย่างหนึ่ง และนอกเหนือจากข้าราชบริพารขุนนางต่างๆ ยังทรงมี “เพื่อนต้น” หรือสหายในคราวเสด็จประพาสต้นอีกนับหลายสิบคน เพื่อนต้นเหล่านี้ได้รับพระราชทานของฝากเป็นไปป์สูบยา ปืนยิงนก และไม้เท้า เป็นต้น
    ทั้งหมดนี้คือเกร็ดของฝากพระราชทาน 100 ปี เสด็จประพาสยุโรป ซึ่งน่าเรียนรู้อย่างมาก เช่น เหรียญเสด็จกลับนั้น หากศึกษาก็จะพบว่ากษัตริย์องค์ก่อนๆ ของไทยไม่เคยเสด็จต่างประเทศไกลๆ มาก่อน เหรียญเสด็จกลับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงถือเป็นเหรียญแรกและเหรียญเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นของที่ได้รับพระราชทานจากเจ้าแผ่นดินโดยตรง ซึ่งน้อยกว่าน้อยคนนักที่จะมีโอกาส **ขอขอบคุณ ไกรฤกษ์ นานา เอื้อเฟื้อเอกสารและภาพประกอบ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>กฎหมายน่ารู้</TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=26088

    รายงานโดย :พิณทิพย์ รุจทิฆัมพร
    วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552

    ช่วงปีใหม่อย่างนี้ หลายท่านที่มีวันหยุดติดต่อกันยาวๆ คงมีความสุขกันบ้างไม่มากก็น้อย ส่วนท่านใดที่มีวันหยุดติดต่อกันยาวนานเกินไป


    จนข้างบ้านชักสงสัยว่าน่าจะไม่ต้องกลับไปทำงานอีก ก็คงจะมีความสุขน้อยจนถึงน้อยมาก ก็ต้องขออวยพรให้ท่านได้งานเร็วๆ ได้เงินเดือนดีๆ และขอให้มีสุขภาพดีกันถ้วนหน้า
    เป็นธรรมเนียมเมื่อมีวันหยุดยาว หลายคนก็อยากไปเที่ยว ยิ่งป็นช่วงปีใหม่ด้วยแล้ว มีสารพัดทัวร์เขาจัดให้ โดยเน้นไทยเที่ยวไทย เหตุเพราะเศรษฐกิจแบบนี้ คนบ้อจี๊ ไม่มีเงินไปเที่ยวนอก อีกทั้งก็ยังไม่ค่อยจะมีทัวร์นอกไหนกล้ามาเที่ยวไทย จะว่าไป ก็สบายๆ เราเที่ยวกันเองก็ได้ จะได้ไม่เมื่อยมือ
    ว่ากันเรื่องเที่ยวแบบทัวร์จัดให้ มักมีผู้สงสัยว่า หากมีเหตุการณ์ที่ทำให้บริษัททัวร์ไปไม่ได้ หรือบริษัททัวร์ไปได้ แต่ลูกทัวร์ไม่ไป หรือทั้งบริษัททัวร์และลูกทัวร์ไปได้ แต่พากันไปที่อื่นนอกข้อตกลง อย่างนี้บริษัททัวร์กับลูกทัวร์จะต้องมีภาระหน้าที่รับผิดชอบต่อกันอย่างไร โดยเรื่องนี้ได้มีกำหนดอยู่แล้วในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 ดังนี้
    ในกรณีที่มีการยกเลิกการนำเที่ยว เพราะความผิดของบริษัททัวร์เองไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม รวมถึงกรณีเพราะเหตุที่จำนวนลูกทัวร์ไม่ถึงเป้าหมายขั้นต่ำที่วางไว้ กฎหมายกำหนดให้บริษัททัวร์ต้องคืนเงินที่ได้รับจากลูกทัวร์มาแล้วทั้งหมดคืนแก่ลูกทัวร์ ส่วนกรณีที่มีการยกเลิกทัวร์ เพราะเหตุสุดวิสัย เช่นการปิดสนามบินอย่างที่ผ่านมานั้น ก็ต้องเป็นไปตามสัญญาที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ โดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นการท่องเที่ยวแบบธรรมดา ที่กำหนดเวลาไม่เป็นสาระสำคัญ ก็จะมีการเลื่อนการเดินทางไปจนกว่าเหตุสุดวิสัยนั้นจบลง แต่หากไม่มีสัญญาหรือกำหนดเวลาในการเดินทางเป็นสาระสำคัญ อย่างนี้ต้องวิเคราะห์ ตีความกันตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆ ไปว่า การชำระหนี้จะถือเป็นพ้นวิสัยหรือไม่ ถ้าใช่ บริษัททัวร์ก็ต้องคืนเงิน
    ส่วนกรณีที่ลูกทัวร์จ่ายเงินแล้ว แต่เดินทางไปไม่ได้ด้วยเหตุผลส่วนตัวโดยที่บริษัททัวร์ไม่ผิดนั้น กฎหมายกำหนดให้บริษัททัวร์ต้องจ่ายเงินคืนแก่ลูกทัวร์ไม่น้อยกว่าอัตราตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กำหนด แต่จนบัดนี้คณะกรรมการก็ยังไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ตัวนี้ออกมา แต่ไม่เป็นไร เอาเป็นหลักไว้ก่อนว่า ถ้าเราไปไม่ได้ บริษัทต้องคืนเงินเรา ส่วนจะคืนเท่าไรนั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมก็มักจะขึ้นอยู่กับวันเวลาที่เราแจ้งให้บริษัททัวร์ทราบล่วงหน้า ถ้าแจ้งแต่เนิ่นๆ ก็อาจได้รับเงินคืนมากหน่อย แต่ถ้าแจ้งช้า เช่นเดินทางพรุ่งนี้ แจ้งไม่ไปเอาซะวันนี้ อย่างนี้ก็ต้องยอมรับว่าอาจได้เงินคืนน้อยหน่อย เพราะบริษัททัวร์เขาต้องออกตั๋วจองที่พักไว้แล้ว และการยกเลิกกะทันหัน ก็ทำให้เขาถูกปรับเช่นกัน สำหรับอัตราคืนเท่าใดถึงจะเป็นธรรมนั้น ก็ต้องอดใจรอประกาศฯ คณะกรรมการ ออกมาเมื่อไรจะเอามาบอกกล่าวกันอีกครั้ง
    สำหรับการเปลี่ยนแปลงรายการนำเที่ยว หากเป็นในระหว่างเดินทางจะทำไม่ได้ เว้นแต่เพราะเหตุสุดวิสัย เช่นมีการปิดพรมแดน หรือได้รับความยินยอมจากลูกทัวร์แล้ว โดยหากบริษัททัวร์ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนโปรแกรมทัวร์ ต้องคืนเงินให้แก่ลูกทัวร์ตามสัดส่วนที่ตนได้รับ เว้นแต่บริษัททัวร์จะพิสูจน์ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น ทำให้ตนมีค่าใช้จ่ายเท่าเดิม หรือสูงกว่าเดิม เรื่องพาทัวร์นี้ คงต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ลูกทัวร์ที่จ่ายเงินไปแล้วก็ย่อมอยากให้พาไปส่งให้ถึงที่ ส่วนถ้าจ่ายเงินไปแล้วพาเขาไปไม่ถึงที่หมาย แถมทิ้งไว้ครึ่งๆ กลางๆ ให้กระเสือกกระสนดิ้นรนเอง อย่างนี้คนว่าจ้างเขาก็ย่อมจะต้องของขึ้นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนว่าจ้างเป็นลูกทัวร์รายใหญ่ใจถึงที่ต้องร่อนเร่ไปอยู่ต่างแดนเสียนานสองนาน แถมยังเป็นทัวร์ที่จ้างให้พากลับบ้านเสียด้วย นี่ถ้าลูกทัวร์แกเกิดหงุดหงิดคิดจะเอาผิดกับผู้จัดทัวร์จริงๆ เห็นทีงานนี้ผู้จัดทัวร์คงหนีไม่พ้น ถึงแม้ว่าจะมีความพยายามยกข้ออ้างแปร่งๆ ว่า การชำระหนี้ครั้งนี้เป็นพ้นวิสัย เหตุเพราะที่นั่งของคุณลูกทัวร์ ถูกมือไว
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปีใหม่กับวิธีกินใหม่

    http://www.posttoday.com/magazine.php?id=25874

    รายงานโดย :สุธน สุขพิศิษฐ์:
    วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552

    สวัสดีปีใหม่ครับ เพิ่งมีงานเลี้ยงกินและเที่ยวกำลังสนุกก็ต้องเลิกราเสียแล้ว นึกถึงวันจันทร์ที่จะถึงนี้ต้องเริ่มทำงานอีกแล้ว ซึ่งปีใหม่นี้ยังไม่รู้จะเป็นหมู่หรือจ่า

    ก่อนสิ้นปีก็ถูกสถานการณ์รอบด้านขู่เอาขวัญเสียเหมือนกัน ไม่ต้องหวังเรื่องเงินเดือนขึ้น เอาแค่ยังมีงานทำต่อก็บุญแล้ว แต่บางทีคิดกังวลล่วงหน้าก็ไม่ค่อยดีเหมือนกัน คิดอะไรง่ายๆ ดีกว่า ถึงเวลาก็รู้เอง ผมว่าธรรมชาติของคนเราอย่างไรเสียก็หาวิธีเอาตัวรอดได้

    [​IMG]


    ผมนึกกระแสการประหยัดของปีใหม่นี้ ซึ่งอาจจะรวมถึงเรื่องกินด้วย การประหยัดนั้นไม่ได้หมายความว่าต้องอดกินนั่นกินนี่ หรือต้องกินของถูกๆ ที่จริงก็ยังกินได้ทุกอย่างตามใจชอบ เรียกว่าประหยัดอย่างมีคุณค่า แถมเพื่อสุขภาพก็ได้ เพียงแต่ตั้งหลักหน่อยเท่านั้น

    ผมเห็นหลายคนรอบๆ ตัวผมหลายคน ที่เป็นคนรุ่นใหม่หน่อย ชอบอาหารเพื่อสุขภาพ กินผักเป็นส่วนใหญ่ หรือเน้นสลัด ถ้าจะกินอาหารไทยต้องไม่มีกะทิ อาหารทอดไม่กิน กินข้าวน้อยๆ มันก็ดีอยู่ แต่บางทีการกินสลัดนั้นอาจจะไม่ได้ประหยัดมากนัก ยิ่งพวกผักออร์แกนิกนั้นแพงบรม น้ำสลัดถึงจะหลีกเลี่ยงประเภทครีม ยังไงก็ต้องเจอน้ำมัน ถึงจะปลอบตัวเองว่าเป็นน้ำมันมะกอกไม่อันตราย อย่างไรก็น้ำมัน แถมแพงอีกต่างหาก

    ผมว่าตั้งหลักง่ายๆ เอาอาหารไทยนี่แหละ รากฐานอาหารไทยนั้นเป็นอาหารง่ายๆ มีคุณค่าอาหารครบ ไม่ต้องกลัวอ้วน ไม่ต้องกลัวไขมันในเส้นเลือด ข้อสำคัญถูกอีกต่างหาก จะว่าไปเหมาะกับสถานการณ์ในปีใหม่นี้

    อาหารไทยนั้นมีความหลากหลาย เรียกว่ากว้างมาก ถ้าให้แคบเข้าก็มีอาหารอีสาน อาหารเหนือ อาหารใต้ อาหารทะเล ซึ่งไม่ว่าภาคไหนก็อยู่ในกรอบของการทำง่ายๆ ใช้เวลาไม่มาก มีประโยชน์ครบตามหลักโภชนาการ และเคยทำอย่างไรก็ทำอยู่อย่างนั้น แต่ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่นั่นเป็นเพียงการเสริมแต่งเท่านั้น หลักๆ ก็ยังเป็นอย่างเดิม

    ผมยกตัวอย่างอาหารที่ยังยึดมั่นเป็นจารีตอยู่ทุกวันนี้ เห็นชัดที่สุด คือ อาหารอีสานครับ อาหารอีสานที่ว่านี้อาจจะไม่ใช่อาหารอีสานตามร้านหรูๆ แถวถนนเกษตรนวมินทร์ หรือแถวเลียบทางด่วนรามอินทรา นั่นเป็นอีสานเพื่อสนองความต้องการของคนกรุงเทพฯ

    โครงสร้างอาหารอีสานแท้ๆ เป็นอาหารที่ง่ายมากครับ ของจำเป็นหลักของอาหารอีสานมีข้าวเหนียวกับปลาร้า ที่จริงต้องเรียกปลาแดก คำว่าแดกหมายถึงการอัดแน่นหรือกระแทก คำว่าปลาร้าไม่รู้มาจากไหน ไม่มีคำแปล
    ที่คนอีสานกินปลาแดกหรือปลาร้านั้น มาจากสองประเด็น อย่างแรกเมื่อได้ปลาเล็กปลาน้อยมาและมากพอที่จะกินแล้ว ก็หมักใส่เกลือใส่ข้าวคั่วหน่อยเพื่อไม่ให้มันเน่าบูด เรียกว่าเป็นการถนอมอาหาร อย่างที่สองคนอีสานดั้งเดิมไม่กินน้ำปลา การกินปลาแดกหรือปลาร้าได้ทั้งความเค็มและได้ทั้งรสหมักกลิ่นปลา

    [​IMG]



    และวัฒนธรรมการอยู่อาศัยของคนอีสานจะกระจายอยู่ตามพื้นที่ราบสูง และการเดินทางของคนอีสานดั้งเดิมนั้นเดินลูกเดียวอย่างดีก็มีเกวียนบ้าง ไปทำไร่ ทำนา เข้าป่า ไปธุระติดต่อกับบ้านอื่นหมู่อื่น มันลำบากลำบน เอาของติดตัวไปบ้างเท่าที่จำเป็น พกปลาร้าแห้งๆ ใส่กระบอกไม้ไผ่ไป มีข้าวเหนียวห่อผ้าไป จะกินข้าวก็เอาน้ำใส่กระบอกกรอกข้าวใส่เผาสักพัก สุกแล้วก็จิ้มกับปลาร้า ถ้าโชคดีได้ปลา เขียด กบ ก็ย่างเอา ผักหญ้านั้นก็หาเอาข้างคันนา ริมตลิ่ง ข้างตอไม้ เถาบนต้นไม้ กินข้าวจิ้มปลาร้ากินผักเยอะๆ ก็อิ่มแล้ว ทีนี้มาดูตามหลักโภชนาการ แน่นอนว่า มีข้าวเป็นแป้ง มีแคลเซียมจากปลาแดก มีโปรตีนจากผัก อาจจะมีไขมันบ้างจากปลา กบ เขียด นี่เป็นโครงสร้างของเขาครับ
    เดี๋ยวนี้ตามพื้นถิ่นอีสานก็ยังกินตามหลักการนี้อยู่ อาจจะมีปลามากขึ้น ปลานิล ปลาแรด

    ปลาหมอ ปลาช่อน ปลาดุก แต่ก็ยังนิยมย่างอยู่ ไม่ทอด เขียดน้อยเอามาสับๆ ต้มกับผักเยอะๆ หลายๆ อย่าง ใส่น้ำปลาร้าเป็นแกงอ่อม อร่อยแล้ว นอกจากนี้ยังมีพื้นถิ่นอีกเยอะแยะครับ

    แม้กระทั่งเวลาคนอีสานมากรุงเทพฯ จะมาด้วยรถไฟ รถทัวร์ เขาหอบเอาข้าวเหนียวมาครับ อย่างอื่นหาเอาข้างหน้า คนงานก่อสร้างที่ตั้งแคมป์อยู่ที่ข้างหน้างาน ผักบุ้ง ผักอะไรก็เก็บมา งู กบ เขียด หอยโข่ง ตามที่พุ่มน้ำเก็บมากินเรียบ ปลาร้าก็มาซื้อเอา เขาอยู่ได้ นี่เป็นสัญชาตญาณของคนอีสานที่เขาไม่เปลี่ยนครับ แล้วถามว่ามีคุณค่าไหม ก็เขาแข็งแรงบึกบึน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว อย่างหนึ่งก็มาจากที่เขากินครับ

    ที่ผมเล่ายืนยาวนั้นไม่ได้หมายความว่า คนกรุงเทพฯ จะต้องกินแบบนั้น ทีนี้มาดูอาหารภาคกลางบ้าง ไทยภาคกลางก็กินง่าย มีน้ำพริกกะปิ น้ำพริกตาแดง น้ำพริกลงเรือ น้ำพริกมะขาม น้ำพริกมะดัน ทั้งหมดเป็นของดีทั้งสิ้น กินน้ำพริกต้องกินผักเยอะๆ ยิ่งเผ็ดก็ต้องกินผักมากเพื่อลดเผ็ด ยิ่งเป็นผักพื้นบ้านง่ายๆ เช่น ยอดกระถิน ฝักกระถิน ยอดมะระขี้นก ยอดมันสำปะหลัง ผักบุ้งนา พวกนี้เป็นผักปลอดภัยพูดให้โก้ๆ เป็นผัก Organic ขนาดแท้ ส่วนปลาทูจะมีหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นของแถม

    แกงส้มนี่ก็เหมือนกัน ทำง่ายครับ โขลกเครื่องแกง แล้วเอาปลาช่อนต้มแกะเอาแต่เนื้อ โขลกรวมกับเครื่องแกง เวลาแกงก็ง่ายๆ ใส่กับน้ำ ปรุงด้วยน้ำส้มมะขาม น้ำตาล น้ำปลา ผักที่ใช้อะไรก็ได้ ผักบุ้งไทยปล้องใหญ่ๆ บวบ ดอกแค น้ำเต้า แม้กระทั่งเนื้อแตงโมดิบ จะให้ดีหน่อยก็ให้มันออกเนื้ออมเหลืองนิดๆ
    แกงเลียง ตำกะปิ หอมแดง พริกไทย กุ้งแห้ง ต้มกับน้ำ ใส่ผัก น้ำเต้าก็ได้ ลูกฟักข้าวก็ได้ บวบ หัวปลี ผักพวกนี้มีเยอะแยะ ถูกอีกต่างหาก ทั้งหมดนี่มีคุณค่าทางโภชนาการแท้ๆ
    ส่วนอาหารใต้ก็เหมือนกัน มีแกงไตปลาชามหนึ่ง ไข่เจียวชามหนึ่ง ผักเยอะๆ นี่ก็พอแล้ว ร่างกายก็ได้รับสารอาหารเต็มที่ ไม่เห็นมีอะไรอ้วนเลย

    [​IMG]



    นี่เป็นเรื่องของความได้ประโยชน์ ทีนี้จะประหยัดได้อย่างไร ทำเองครับ ที่ผมยกตัวอย่างมาทำไม่ยากเลย แกงส้มไม่ตำเครื่องแกงเองก็ไปซื้อเครื่องแกงแม่อะไรก็ได้ดังๆ หน่อย ตุนใส่ขวดไว้ในตู้เย็น ซื้อผักมา ทำแกงส้มได้แล้ว หรือจะตำน้ำพริกครกหนึ่ง ตำราก็มีเยอะมาก ผักแกล้มเยอะๆ ปลาทูทอดสำเร็จก็มี หรือกลัวน้ำมัน ห่อกระดาษฟอยล์แล้วยัดใส่เตา Toaster แค่นั้นก็สิ้นเรื่อง แกงไตปลา เจอร้านปักษ์ใต้ซื้อมาเก็บไว้เลย และเดี๋ยวนี้ คาร์ฟูร์ ก็มีขาย 30 บาท เผ็ดตั้งแต่มื้อเย็น ไปถึงตอนเช้า

    การทำกินเองนั้นต้องลองดูครับ ทำบ่อยๆ เดี๋ยวก็ดีเอง ก็เหมือนขับรถนั่นแหละ ไม่มีใครขับรถเป็นมาตั้งแต่เกิด เกือบ 100% มาจากความตั้งใจ อยากมีรถก็ต้องหัดขับ ก็เหมือนกันอยากกิน อยากมีฝีมือ ก็ต้องหัดทำ แค่นั้นเอง
    พอเลือกที่จะกินเป็น พอทำได้แล้ว ก็เข้าข่ายประหยัด มีประโยชน์ ปีหน้าจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ได้สบายมาก ก็แค่นั้นเองครับ
     
  5. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    __/\__

    รายละเอียดอาจจะไม่มากครับ แต่ได้อะไรในการปฎิบัติมากมายเลยทีเดียว ที่ได้ไปเบื้องต้นก็ต้องขอขอบคุณ คุณเอก (คีตา) และคุณอิน (ong) ครับ เพราะคุณ เอก ได้ให้ผมลองไปค้นหาตัวเองกับคณะของคุณอินครับ ผมก็พึ่งเคยไปที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกครับ ชื่อสำนักวิปัสสนาขุนศึกเทพพญาฯ จริงๆแล้วชื่อจะยาวกว่านี้ครับ(ถ้าจำชื่อผิดต้องขออภัยด้วยครับ) ห่างจากตัวจังหวัดร้อยเอ็ดประมาณ 8 กม.ทางออกไปจังหวัดมหาสารคาม บรรยากาศร่มรื่น ต้นไม่หนาแน่น น่าอยู่มากครับ ผมไปอยู่ไม่นานครับ 2 คืนกับ 3 วัน ร่วมกับคณะที่ไป 6 ท่านครับ มีน้องพัด(น้องผู้หญิงคนเดียวในคณะ เก่งมากเลยครับ ถึงไหนถึงกัน ไปไหนไปกัน เดินแบบไม่สวมรองเท้าเลยครับ) พอคืนแรกพระอาจารย์พิชิต พาไปปักกลดที่ป่าช้าครับ ต้องเดินไปประมาณ 2 ก.ม. ถึงป่าช้าประมาณ 1 ทุ่มครับ แล้วให้หาที่ปักกลดตามใจชอบครับ พระอาจารย์ให้ฝึกตามแบบที่เราฝึกมาครับ ไม่ได้บังคับว่าต้องฝึกอย่างงั้นอย่างนี้ แต่ถ้าติดขัดตรงไหนแล้วก็สอบถามพระอาจารย์ได้ครับ แต่ผมต้องเจอบททดสอบ(วิบากกรรม)ตั้งแต่ยังไม่ถึงป่าช้าครับ เดินไปก็ตกคันนา ข้อเท้าเคล็ด ปวดมากครับ เดินแทบไม่ไหว แต่ต้องกัดฟันเดินครับ เดินก็เดินลำบาก นั่งก็นั่งไม่ถนัด เพราะข้อเข้าบวมเท่าผลมะตูมครับ อยูป่าช้าครับ ไม่รู้จะไปหายาที่ไหน กลัวก็กลัวครับ ได้ข้อคิด ข้อพิจารณาอะไรดี หลายอย่างครับ พอถึงตีสามพระอาจารย์ก็พาเดินกลับวัด พอคืนที่ 2 พระอาจารย์ให้ปักกลดอยู่ที่ป่าไผ่บริเวณวัดครับ (คืนที่ 2 ค่อยยังชั่วครับ เบาหน่อยเพราะไม่ใช่ป่าช้า แต่ก็ยังกลัวอยู่ครับ) คืนที่2 แต่ละคนเจออะไรคล้ายๆกันครับ รายละเอียดมีมากมายครับ และผมต้องเจออะไรมากกว่าใครเพื่อนในคณะครับ คงเล่าในที่นี้ไม่ได้ครับ เพราะบางท่านอาจจะไม่เชื่อครับ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2009
  6. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    <TABLE borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center bgColor=#e2e2e2 border=5><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>การแสวงหาสัจธรรมของชีวิต..ที่ยิ่งใหญ่..</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>การแสวงหาสัจธรรมของชีวิต
    >>>
     
  7. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,309
    ค้นหาทุกอย่าง...เพื่อหยุดทุกสิ่ง..

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>พอเริ่มต้นของชีวิตน้อย ๆ บนโลกใบนี้..
    เราทุกคน..ต่างพยายามที่จะค้นหา..
    หรือแสวงหาทุก ๆ อย่าง...
    เพื่อให้ได้มา..ให้ได้มาก..ที่สุด..
    เท่าที่จะทำได้..


    การแสวงหาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
    >>>
     
  8. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    <TABLE class=MsoNormal style="LINE-HEIGHT: 150%; TEXT-ALIGN: center" width=954 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=780 bgColor=#ffcc99 height=78>
    เงินขาเกวียน : ความรู้จากพระราชหัตถเลขา​
    </TD><TD width=158 height=78>
    </TD></TR><TR><TD width=780 bgColor=#ffffcc>

    พระราชหัตเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) อันเป็นประกาศเชิงอธิบาย ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ เงินชาเกวียน และ การเรียก เนื้อทองชนิดต่าง ๆ ไว้น่าสนใจมาก คือคำว่า เนื้อ น้ำ หนัก และ ขา คำเหล่านี้ปรากฏอยู่ในวรรณคดีและวรรณกรรมต่าง ๆ มาก เช่น ทองเนื้อเก้า ทองเนื้อเจ็ด ทองเนื้อแปด น้ำสองขา ฯลฯ ตัวอย่างเช่น
    1. อาวุธยุทธภัณฑ์ที่ลาวทิ้ง ลาวแตกต้อนชิงได้หนักหนา
    เป็นของหลวงทั้งปวงให้ตีตรา เงินขาเกวียนของที่ต้องการ
    2. ในข้อความตอนหนึ่งของพระราชหัตถเลขา
    ครั้งนั้นที่เมืองเชียงแสนบ่อแร่ทองมีมาก กำปั่นและสำเภาเข้าไปไม่ถึง มีเงินใช้แต่เงินที่คัดออกจากเนื้อทองต่ำด้วยการหุงบ้าง มีเงินจีน เงินญวนมาแต่ลูกค้าทางบกบ้าง มีเงินใช้ในพื้นบ้านพื้นเมืองน้อยบ้าง เจ้าบ้านเมืองอยากให้แร่เงินเกิดในแผ่นดินเป็นของบ้านเมืองนั้นเอง แต่ให้คนสืบเสาะหาบ่อแร่ที่จะถลุงเป็นเงินได้ ก็ได้เนื้อแร่ประหลาด ๆ มาบ้าง สำคัญว่าเป็นเงินแล้วทำพดด้วงประทับตราใช้สอยกันก็มีบ้าง แต่ครั้นนานเข้าเก่าและดำไป เงินตราของเก่าที่ทำด้วยแร่อย่างนั้นทุกวันนี้ก็ยังมีหาอยู่ได้บ้าง พวกแปรธาตุที่เรียกว่า เงินดำ คือเงินที่มีเนื้อละเอียดกว่าเงินปกติแต่สีดำคล้ายเงินสัมฤทธิ์ เงินลาวอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า เงินขาเกวียน น้ำเงินดีกว่าน้ำที่ใช้กันอยู่ปรกติ เนื้อละเอียดดีและขาว เงินพวกนั้นประมาณการดูเห็นจะคัดออกจากทองเนื้อต่ำ หรืออย่างหนึ่งจะทำแต่เงินเนื้อนุ่มมาแต่เมืองจีนทางบก....
    3. ตอนหนึ่งในเสภาขุนช้างขุนแผน
    กระนี้แลสมชื่อวันทอง เจ้าแปดน้ำทำนองเนื้องกษัตริย์
    4. ในบทละครนอกเรื่องสังข์ทอง ตอนพระราชธิดาหกนาง พี่สาวของของรจนากล่าวเยาะเย้ยนางรจนา มีการยกเรื่องทองมาเปรียบเทียบด้วยว่า
    เมียเจ้ารูปเป็นทองสิบสอง หนักยศศักดิ์ปึ่งชาหาช้าไม่
    อธิบายความหมายของคำ
    1. เนื้อ, น้ำ คือสารที่เป็นทองคำนั่นเอง จะบริสุทธิ์มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เจือปน เช่น ทองเนื้อแปดย่อมบริสุทธิ์กว่าทองเนื้อเจ็ด หรือทองเนื้อหก
    2. ขา หมายถึง หมายถึงเศษ 1 ส่วน 4 ของหนึ่งบาท (คือ 1 สลึง หรือ 25 สตางค์ เช่น ทองเนื้อเจ็ดสองชาที่ใช้ในการสร้างองค์พระรูปทองวัดไตรมิตร ก็หมายความว่า ทองชนิดนั้นเป็นทองขนาดความบริสุทธิ์ปานกลาง คือ ทองหนัก 1 หนัก คิดเป็นราคาเงิน 7 บาท 2 สลึง
    3. เนื้อกษัตริย์ เป็นคำที่ใช้เฉพาะทองเนื้อแปดเท่านั้น และถือกันว่าเป็น 100 % แต่สีไม่สวยงามเท่ากับทองเนื้อเก้าซึ่งเป็นทอง 100 % เหมือนกัน แต่สีออกเป็นสีแสดดูงดงามกว่า
    4. หนัก หมายถึงราคาทองคิดเป็นเงิน เช่น ทองหนัก 1 บาท ราคา 7 บาท 7 หนัก เป็นต้น ถ้าทองหนัก 1 บาท (ทองชั้นเลวที่สุด) คิดป็นเงิน 1 บาท อย่างนี้เรียกว่า หนักต่อหนัก
    ในเรื่องสังข์ทองใช้คำว่า สิบสองหนัก หมายความว่า ทองหนัก 1 บาท คิดเป็นเงิน 12 บาท ซึ่งเป็นสำนวนเยาะเย้ยเพราะมากเกินไป ขนาดทองเนื้อดีวิเศษณ์สุดคือทองเนื้อเก้าหรือทองนพคุณ ยังมีราคาเพียง หนัก 1 บาท คิดเป็นราคาเงิน 9 บาทเท่านั้น ทองคำที่คิดเป็นเงิน 8 บาท 9 บาทเหล่านี้ คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดเมืองเชียงแสนโบราณเท่านั้นเอง หาได้หมายถึงตลาดอื่นเมืองอื่นไม่ เพราะตลาดอื่นเมืองอื่นย่อมมีราคาแพงกว่านั้น แต่จะแพงแค่ไหนตามธรรมเนียมโบราณก็ไม่มีวันจะเรียก ทองเนื้อสิบหรือมากกว่านี้เลย คงยืนตามราคาตลาดเชียงแสนโบราณ เนื้อเก้า เป็นราคาสูงสุด
    เรื่องการเรียกทองตามแบบของเมืองเชียงแสนโบราณนั้น รัชกาลที่ 4 ได้ทรงมีพระบรมราชาธิบายว่า
    เมืองเชียงแสนแต่ก่อนมีเงินใช้น้อย มีทองคำใช้มาก ทองคำจึงราคาถูก เนื้อต่ำที่ซื้อขายกันหนักบาทหนึ่ง เป็นเงิน 4 บาท จึงเรียกว่า เนื้อสี่ ที่เนื้อสูงขึ้นไปกว่านั้น ทองคำหนักบาทหนึ่ง เป็นราคาเงิน 6 บาท เรียกว่า เนื้อหกทองคำหนักบาทหนึ่ง เป็นราคาเงิน 7 บาท เรียกว่า เนื้อเจ็ด ทองคำหนักบาทหนึ่ง เป็นราคาเงิน 8 บาท เรียกว่า เนื้อแปด ทองคำหนักบาทหนึ่ง เป็นราคาเงิน 8 บาท 2 สลึง เรียกว่า เนื้อแปดเศษสอง ตามรายการที่ราษฎรซื้อขายในเวลานั้น ทองคำเนื้อสุกสูงอย่างเอก เช่น ทองบางตะพานขายกันหนักบาทหนึ่งเป็นราคาเงิน 9 บาท เรียกว่า นพคุณเก้นน้ำ ก็ที่ว่า สองสามขา ก็ดี หรือที่ว่า เศษสองสาม โดยละเอียดนั้นขึ้นไป
    ทองผสมสีเหลือง ๆ ให้ดินไม่ขึ้นทุกวันนี้เรียกกันว่า ทองเนื้อริน แต่ก่อนลาวเรียก ทองเนื้อสอง เพราะขายกัน 2 หนัก ทองเนื้อรินอย่างเลว หรือ ทองสีดอกบวบ ซึง่ในเวลานั้นขายกันในราคาหนักต่อหนัก ลาวเรียก ทองเนื้อหนึ่ง แต่โบราณได้ยินว่าบ้างก็อยู่ประมาณชื่อเนื้อทองเหล่านี้ทั้งปวง เดิมเป็นธรรมเนียมของลาวเชียงแสนแลเป็นโวหาร
    ในการเทียบน้ำทอง ครั้นสืบมาถึงบ้านเมืองใกล้ทะเล เงินมีเข้ามามาก ราคาทองก็แพงขึ้นเป็น 2 เท่าพิกัดขึ้น คือบางทีทองคำเนื้อนพคุณบางตะพานราคาถึง 20 หนักถึง 19 หนัก ทองคำเนื้อแปด สามัญเรียก เนื้อแปดตลาด ราคาถึง 18 หนัก 17 หนักกึ่ง
    เมื่อพิจารณาตามพระบรมราชาธิบายนี้ทำให้ได้ความเข้าใจที่แน่นอนอย่างหนึ่งคือที่เรียกกันว่า ทองสีดอกบวบนั้นก็คือทองชั้นต่ำที่มีสีเหลืองอ่อน ๆ ปนสีเขียวอ่อนเป็นทองที่ต่ำที่สุด ขนาดเกือบที่จะหมดสภาพความเป็นทองแล้ว และมีแร่ธาตุอื่น ๆ เจือปนอยู่มาก จะใช้ทำเครื่องประดับอะไรก็ไม่ได้ราคาเท่ากับเงินธรรมดา


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    จากhttp://209.85.175.132/search?q=cach...ka.htm+สัมฤทธิ์เงิน&hl=th&ct=clnk&cd=70&gl=th

    ไปพบบทความนี้จากการค้นหาว่าสัมฤทธิ์เงินเป็นไงครับเลยนำมาเป็นความรู้ครับ หุ หุ
     
  9. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ช่วงเที่ยง ไปทำบุญที่วัดไร่ขิง ครับ
    ผู้ที่ศรัทธาหลวงพ่อวัดไร่ขิง มากันมาก ครับ บางส่วนจะนิยมเสี่ยงเซียมซี ครับ
    โมทนาบุญกับทุกท่าน ครับ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เศรษฐกิจเอเชียยังต้องแย่ลงอีกในปีนี้
    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9510000154396
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 มกราคม 2552 20:37 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=200>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เศรษฐกิจจีนก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกเช่นกัน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เอเอฟพี - วิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียคาดว่าจะรุนแรงขึ้นในปี 2009 เมื่อการส่งออกไปยังประเทศตะวันตกที่ประสบภาวะถดถอยจะต้องทรุดตัวลง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากก็ยังคงเห็นว่า ถึงอย่างไร ประเทศในเอเชียยังจะมีสภาพดีกว่าสหรัฐฯและยุโรป

    ความหวังซึ่งเคยมีกันก่อนหน้านี้ ที่ว่าเอเชียอาจจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้โดยแทบไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินที่เริ่มต้นลุกลามมาจากสหรัฐฯ มีอันต้องมลายหายในช่วงครึ่งหลังของปี 2008 หลังปรากฏชัดเจนว่าพอสหรัฐฯและยุโรปมีความต้องการสินค้าลดน้อยลง บรรดาโรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลกที่พึ่งพาตลาดเหล่านี้ ต่างประสบปัญหากันถ้วนหน้า

    แม้แต่ในจีน ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเกิน 10% ติดกันมาหลายปี ก็ยังได้รับผลกระทบหนักหน่วง โดยที่ยอดส่งออกลดต่ำลงในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเดือนแรกในรอบระยะเวลากว่า 7 ปี

    "สถานการณ์โดยรวมของเอเชียน่าจะเข้าขั้นหืดจับ" เกลน แมกไกวร์ หัวหน้านักเศรษศาสตร์ภูมิภาคเอเชียของโซซิเยเต้ เจเนราลในฮ่องกงกล่าว

    ตัวเลขที่ออกมาเมื่อเร็ว ๆนี้ก็บ่งชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจในเอเชีย "ในช่วงไตรมาสสี่ ไม่ได้เป็นแค่การชะลอตัว แต่ดูเหมือนว่าจะกำลังดิ่งเหวแล้ว" เขาบอก

    "เราเชื่อว่าในปี 2009 เอเชียจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ยกเว้นเฉพาะประเทศจีน ซึ่งรัฐบาลยังอยู่ในฐานะที่สามารถใช้นโยบายอย่างทรงพลังกว่าประเทศอื่นๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ" แมกไกวร์กล่าว

    ผู้เชี่ยวชาญหลายสำนักเห็นว่าไตรมาสแรกของปี 2009 น่าจะเป็นช่วงที่ย่ำแย่ที่สุดของภูมิภาคนี้ เพราะบริษัททั้งหลายจะลดกำลังการผลิตและลดจำนวนพนักงานด้วย เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ทรุดตัว

    แต่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ล้วนไม่เชื่อว่า สถานการณ์เลวร้ายเหมือนช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งในเกิดขึ้นในปี 1997 จะย้อนกลับมาอีก

    ธนาคารในเอเชียส่วนใหญ่ จะสามารถประคองตัวมิให้ขาดทุนมหาศาลจากตราสารสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ขาดสภาพคล่องรุนแรง ซึ่งไม่เหมือนกับธนาคารในประเทศตะวันตก ในขณะเดียวกันประเทศในเอเชียก็ได้สะสมเงินตราต่างประเทศสำรองเอาไว้จำนวนมหาศาล ส่งผลให้ไม่เกิดปัญหาค่าเงินตกต่ำเหมือนเมื่อสิบปีก่อน

    "คาดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาคนี้จะย่ำแย่ลงไปอีก ก่อนที่จะดีดกลับขึ้นมา" นิโคลาส กวาน นักเศรษฐศาสตร์จากแสตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ให้ความเห็น

    แต่เอเชียก็ยัง "มีสถานการณ์ดีกว่าในหลายภูมิภาค และวิกฤตครั้งนี้ก็หาใช่ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในเอเชียไม่" เขากล่าว "ที่จริงแล้วเอเชียน่าจะกลับแข็งแกร่งขึ้นด้วยซ้ำ เมื่อสามารถแก้ไขปัญหาความมากล้นเกินไปตามช่วงวัฏจักรของตนเองได้ อีกทั้งน่าจะมีบทบาทในเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เพราะวิกฤตทางการเงินในปัจจุบันบีบบังคับให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบการเงินโลก" กวานชี้

    ในประเทศจีนนั้น โรงงานจำนวนมากทางภาคใต้ที่เป็นเขตอุตสาหกรรมที่สำคัญยิ่ง พากันปิดกิจการเมื่อยอดส่งออกชะลอตัวลง และเศรษฐกิจขยายด้วยอัตราเชื่องช้าที่สุดในรอบ 5 ปี

    ธนาคารโลกก็พยากรณ์ว่าในปีหน้าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตด้วยอัตรา 7.5% ซึ่งช้าที่สุดในรอบ 5 ปี

    ทางการจีนได้พยายามรับมือกับปัญหา ด้วยการประกาศใช้แพกเกจกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 586,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การเร่งการบริโภคภายในประเทศ จะได้ลดทอนผลกระทบจากวิกฤตทั่วโลก ทว่า บรรดานักวิเคราะห์ก็ชี้ว่า มาตรการที่ทยอยออกมาเหล่านี้จะต้องใช้เวลาสักช่วง จึงจะออกฤทธิ์ผลักดันอัตราการเติบโตให้กระเตื้องขึ้นได้

    "บรรดาผู้กำหนดนโยบายของจีนประกาศมาตรการอันน่าตื่นใจต่างๆ เพื่อหนุนเศรษฐกิจ แต่ผลของมันอาจจะปรากฏให้เห็นช้าเกินไป และจีนอาจจะพบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างน้อยก็ในระยะสั้น ๆ" ดาริอุส โควาลซิก หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของซีเอฟซี ซีมัวร์กล่าว และเสริมว่าตัวเลขที่ออกมาชี้ว่าเศรษฐกิจของจีนอาจจะหดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2008 และไตรมาสแรกของปี 2009 ด้วยซ้ำ

    "อัตราการเติบโตน่าจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาสสอง และเร่งความเร็วขึ้นในไตรมาสสามปีหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากเม็ดเงินมหาศาลที่ทางการทุ่มลงไปก่อนหน้า" เขากล่าว

    ส่วนที่ญี่ปุ่น ซึ่งได้ประสบกับภาวะเศรษฐกิจหดตัวมาตั้งแต่ไตรมาสสองของปีนี้ 2008นั้น หลายฝ่ายคาดว่าการถดถอยจะดำเนินไปถึงครึ่งแรกของปีหน้าเป็นอย่างน้อย จากการที่บริษัททั้งหลายพากันลดเม็ดเงินลงทุนเพื่อขยายการผลิต รวมทั้งยอดการส่งออกที่ลดน้อยถอยลงอย่างมาก

    นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่าระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียแห่งนี้ อาจจะดิ่งลงสู่ภาวะเงินฝืดเป็นระยะสั้นๆ ในปีหน้า จากการที่ราคาเชื้อเพลิงลดลงมากขณะที่ความต้องการบริโภคภายในก็ติดลบด้วยเช่นกัน

    นักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนลีย์ ทาเคฮิโระ ซาโตะ คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะหดตัวในราว 2% ตลอดทั้งปี 2009

    "เราคาดว่าสถานการณ์ดิ่งจะลงถึงก้นเหวแห่งความเลวร้ายที่สุดในช่วงไตรมาสมกราคมถึงมีนาคม 2009 และจากนั้นเศรษฐกิจก็จะพยายามดิ้นรนอยู่แถวๆ ก้นเหว ตั้งแต่ช่วงไตรมาสเมษายนถึงมิถุนายน ไปจนตลอดทั้งปี โดยที่ยังมองไม่เห็นวี่แววว่าจะกระเตื้องขึ้นเท่าไร" เขาทำนาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันครู

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content -->


    วันครู เป็นระลึกถึงความสำคัญของครู ประเทศส่วนใหญ่เป็นวันหยุดของครูและนักเรียน และบางประเทศมีการจัดงานเลี้ยงสำหรับครู


    [แก้] วันครูของประเทศไทย

    วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษาและวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุม จรรยาและวินัยของครูรักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัว ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู
    ด้วยเหตุนี้ในทุกปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และชักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา
    ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า
    "ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณ เป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมี สักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพ สักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับ คนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละ ทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"
    จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆ ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึก ถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดี เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมากในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอ คณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริม ความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน
    การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างเป็นถาวรวัตถุ

    การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบ การจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3 ประเภทหลักดังนี้
    • กิจกรรมทางศาสนา
    • พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
    • กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น
    นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลครูดีเด่นประจำปี มอบของที่ระลึกให้ครูอาวุโสนอกและในประจำการจรรยา

    [แก้] รายชื่อประเทศที่มีวันครู


    [แก้] ประเทศที่มีวันครูที่ไม่ใช่วันหยุด

    <TABLE class=wikitable><TBODY><TR><TH>ประเทศ</TH><TH>วันครู</TH></TR><TR><TD>[​IMG] อินเดีย</TD><TD>5 กันยายน</TD></TR><TR><TD>[​IMG] มาเลเซีย</TD><TD>16 พฤษภาคม</TD></TR><TR><TD>[​IMG] ตุรกี</TD><TD>24 พฤศจิกายน</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [แก้] ประเทศที่มีวันครูเป็นวันหยุด

    <TABLE class=wikitable><TBODY><TR><TH>ประเทศ</TH><TH>วันครู</TH></TR><TR><TD>[​IMG] แอลเบเนีย</TD><TD>7 มีนาคม</TD></TR><TR><TD>[​IMG] จีน</TD><TD>10 กันยายน</TD></TR><TR><TD>[​IMG] สาธารณรัฐเช็ก</TD><TD>28 มีนาคม</TD></TR><TR><TD>[​IMG] อิหร่าน</TD><TD>2 พฤษภาคม</TD></TR><TR><TD>ละตินอเมริกา</TD><TD>11 กันยายน</TD></TR><TR><TD>[​IMG] โปแลนด์</TD><TD>14 ตุลาคม</TD></TR><TR><TD>[​IMG] รัสเซีย</TD><TD>5 ตุลาคม</TD></TR><TR><TD>[​IMG] สิงคโปร์</TD><TD>1 กันยายน</TD></TR><TR><TD>[​IMG] สโลวีเนีย</TD><TD>28 มีนาคม</TD></TR><TR><TD>[​IMG] เกาหลีใต้</TD><TD>15 พฤษภาคม</TD></TR><TR><TD>[​IMG] ไต้หวัน</TD><TD>28 กันยายน</TD></TR><TR><TD>[​IMG] ไทย</TD><TD>16 มกราคม</TD></TR><TR><TD>[​IMG] สหรัฐอเมริกา</TD><TD>วันอังคารในสัปดาห์แรกที่เต็ม 7 วันในเดือนพฤษภาคม</TD></TR><TR><TD>[​IMG] เวียดนาม</TD><TD>20 พฤศจิกายน</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [แก้] แหล่งข้อมูล

    • หนังสือวันสำคัญโครงการปีรณรงค์วัฒนธรรมไทยฯ ของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
    <TABLE style="CLEAR: both; BORDER-RIGHT: #90a0b0 1px solid; BORDER-TOP: #90a0b0 1px solid; FONT-SIZE: 90%; BACKGROUND: #fcfcfc; MARGIN: 10px 0px 0px; BORDER-LEFT: #90a0b0 1px solid; WIDTH: 100%; BORDER-BOTTOM: #90a0b0 1px solid" cellSpacing=0 cellPadding=3><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=40>[​IMG]</TD><TD style="COLOR: #696969" align=left>วันครู เป็นบทความเกี่ยวกับ ปี เดือน วัน ศตวรรษ หรือช่วงเวลาต่าง ๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหาหรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
    <SMALL>ข้อมูลเกี่ยวกับ วันครู ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ</SMALL>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 669/1000000Post-expand include size: 17058/2048000 bytesTemplate argument size: 1849/2048000 bytesExpensive parser function count: 2/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:67899-0!1!0!!th!2 and timestamp 20081215192504 -->
    ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9".
    หมวดหมู่: วันสำคัญ | วันสำคัญของไทย | บทความเกี่ยวกับ วันเดือนปี ที่ยังไม่สมบูรณ์
    หมวดหมู่ที่ซ่อนอยู่: บทความที่รอการตรวจสอบรูปแบบ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    <TABLE class=body2 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=381 align=center><TBODY><TR><TD width=198>ปาเจราจริยา โหนฺติ

    </TD><TD width=183>คุณุตฺตรานุสาสกา

    </TD></TR><TR><TD width=198>ปัญฺญาวุฒิกเร เต เต

    </TD><TD width=183>ทินฺโนวาเท นมามิหํ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    [​IMG] ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ของสังคมและประเทศชาติ
    [​IMG] ครูนับเป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก ในการให้การศึกษาเรียนรู้ ทั้งในด้านวิชาการ และประสบการณ์ ตลอดจนเป็นผู้มีความเสียสละ ดูแลเอาใจใส่สั่งสอนอบรมให้เด็กได้พบกับแสงสว่างแห่งปัญญา อันจะเป็นหนทางในการประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเอง รวมทั้งการนำพาสังคมประเทศชาติก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
    ด้วยเห็นความสำคัญของครูดังกล่าวมาแล้วนั้น จึงได้กำหนดให้มีวันครูขึ้น ในวันที่ 16 มกราคม ของทุกปี เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที และให้ครูเป็นผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูในสังคม​

    <TABLE class=body2 width=367 align=center border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=357 bgColor=#ffcccc height=40>ประวัติความเป็นมาของการจัดงานวันครู

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ในปี พ.ศ. 2499 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวปราศัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศ ถึงความคิดที่จะกำหนดให้มีวันครู และเป็นการสอดคล้องกับความคิดเห็นของครูทั่วไป
    ดังนั้น ในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 คณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดให้ วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็น "วันครู" โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 เป็นวันครู
    วันครูได้จัดให้มีในครั้งแรก เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาในปี พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการ เรียกว่า "คุรุสภา" เป็นนิติบุคคล ให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครู ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษาและวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู
    ในทุก ๆ ปี คุรุสภาได้ให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภา โดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย​

    <TABLE class=body2 width=252 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=242 bgColor=#ffccff height=47>[​IMG] คำปฏิญาณ [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=body2 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=545 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=535>
    ข้อ 1 ข้าจะบำเพ็ญตนให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู​


    </TD></TR><TR><TD width=535>ข้อ 2 ข้าจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ

    </TD></TR><TR><TD width=535>ข้อ 3 ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครูและบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
    จากนั้นพระสงฆ์เจริญชัยมงคล แล้วต่อด้วยนายกรัฐมนตรีมอบรางวัลครูดีเด่นประจำปี มอบของที่ระลึกให้ครูอาวุโสนอกและในประจำการ สุดท้ายกล่าวปราศรัยกับคณะครูที่มาประชุม​

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=body2 width=360 border=1><TBODY><TR><TD width=350 bgColor=#ccff00 height=46>[​IMG] กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติในวันครู [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=body2 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=586 align=center><TBODY><TR><TD width=586>1. ร่วมกิจกรรมทางศาสนา ทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แกบรรดาบูรพาจารย์ผู้ล่วงลับ

    </TD></TR><TR><TD width=586>2. ส่งบัตรอวยพร หรือไปเยี่ยมเยือนครูอาจารย์ที่เคยให้ความรู้อบรมสั่งสอน เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณงามความดี และแสดงความกตัญญูกตเวที

    </TD></TR><TR><TD width=586>3. ร่วมพิธีบูชาบูรพาจารย์

    </TD></TR><TR><TD width=586>4. ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้น เช่น นิทรรศการเกี่ยวกับครู การเรียนการสอน หรือกิจกรรมการกุศลที่หารายได้สมทบกองทุนช่วยเหลือครู เป็นต้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=body2 width=302 border=1><TBODY><TR><TD width=292 bgColor=#ffcc00 height=42>บทสวดเคารพครูอาจารย์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=body2 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=539 align=center><TBODY><TR><TD width=264>(สวดนำ) ปาเจราจริยาโหนฺติ

    </TD><TD width=275>(รับพร้อมกัน) คุณุตฺตรานุสาสกา

    </TD></TR><TR><TD width=264>ปญฺญาวุฑฺฒิกเร เต เต

    </TD><TD width=275>ทินฺโนวาเท นมามิหํ

    </TD></TR><TR><TD width=264>

    </TD><TD width=275>

    </TD></TR><TR><TD width=539 colSpan=2>(สวดทำนองสรภัญญะ)

    </TD></TR><TR><TD width=264>(สวดนำ) อนึ่งข้าคำนับน้อม

    </TD><TD width=275>(รับพร้อมกัน) ต่อพระครูผู้การุณย์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=body2 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=539 align=center><TBODY><TR><TD width=263>โอบเอื้อและเจือจุน

    </TD><TD width=276>อนุศาสน์ทุกสิ่งสรรพ์

    </TD></TR><TR><TD width=263>ยัง บ ทราบก็ได้ทราบ

    </TD><TD width=276>ทั้งบุญบาปทุกสิ่งอัน

    </TD></TR><TR><TD width=263>ชี้แจงและแบ่งปัน

    </TD><TD width=276>ขยายอรรถให้ชัดเจน

    </TD></TR><TR><TD width=263>จิตมากด้วยเมตตา

    </TD><TD width=276>และกรุณา บ เอียงเอน

    </TD></TR><TR><TD width=263>เหมือนท่านมาแกล้งเกณฑ์

    </TD><TD width=276>ให้ฉลาดและแหลมคม

    </TD></TR><TR><TD width=263>ขจัดเขลาบรรเทาโม

    </TD><TD width=276>หะจิตมืดที่งุนงม

    </TD></TR><TR><TD width=263>กังขา ณ อารมณ์

    </TD><TD width=276>ก็สว่างกระจ่างใจ

    </TD></TR><TR><TD width=263>คุณส่วนนี้ควรนับ

    </TD><TD width=276>ถือว่าเลิศ ณ แดนไตร

    </TD></TR><TR><TD width=263>ควรนึกและตรึกใน

    </TD><TD width=276>จิตน้อมนิยมชม

    </TD></TR><TR><TD width=539 colSpan=2>(กราบ)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=body2 width=316 border=1><TBODY><TR><TD width=306 bgColor=#ffff99 height=42>[​IMG] คุณสมบัติของครูอาจารย์ที่ดี

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=body2 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=360 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width=360>1. ประพฤติตัวให้เป็นที่รัก (ปิโย)

    </TD></TR><TR><TD width=360>2. มีใจหนักแน่นทำตนให้น่ายำเกรง (ครุ)

    </TD></TR><TR><TD width=360>3. อบรมตนเองสม่ำเสมอ (ภาวนีโย)

    </TD></TR><TR><TD width=360>4. ฉลาดสอน ฉลาดพูด (วตฺตา)

    </TD></TR><TR><TD width=360>5. อดทนต่อถ้อยคำล่วงเกิน (วจนกฺขโม)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=361 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width=361>6. พูดเรื่องลึกซึ้งให้เข้าใจลึกซึ้งได้ (คมฺภีรํ กถํ กตฺตา)

    </TD></TR><TR><TD width=361>7. ไม่ชักนำศิษย์ไปในทางเสียหาย (โน จฎฺฐาเน นิโยชเย)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=body2 width=319 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=309 bgColor=#ffcc66 height=43>[​IMG] หน้าที่ของครูอาจารย์พึงมีต่อศิษย์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=body2 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=252 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width=252>1. แนะนำดี

    </TD></TR><TR><TD width=252>2. ให้เรียนดี

    </TD></TR><TR><TD width=252>3. บอกศิลปให้สิ้นเชิง ไม่ปิดบังอำพราง

    </TD></TR><TR><TD width=252>4. ยกย่องให้ปรากฎในเพื่อนฝูง

    </TD></TR><TR><TD width=252>5. ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=body2 width=325 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=315 bgColor=#ffcccc height=43>[​IMG] หน้าที่ของศิษย์พึงมีต่อครูอาจารย์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=body2 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=203 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width=203>1. ให้การต้อนรับ

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left width=203>2. เสนอตัวรับใช้

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left width=203>3. เชื่อฟัง

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left width=203>4. คอยปรนนิบัติ

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left width=203>5. เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  15. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    โมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ทำดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา ล้วนพบประสบการณ์ที่เยี่ยมๆกันทั้งนั้น ผมก็ได้พบวิถีทางของผมในวันนี้เอง หลังจากต่อ jigsaw อยู่นาน..
     
  16. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    ขออนุโมทนา และ ขอร่วมทำบุญด้วยคนคะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2009
  17. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    2 มกราคม 2552 06:38 PM
    #26354
    วันนี้( 2 มกราคม 2552) ผมมีงานบุญมาบอกกับชาววังหน้าทุกๆท่าน

    เนื่องในวันปีใหม่ของไทยเรา คือวันที่ 13 เมษายน 2552 ที่จะมาถึงนี้ ผมจะจัดงานสรงน้ำพระ บรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ ( องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขีที่1(สมเด็จองค์ปฐม) , องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกกุสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม โกนาคมนะ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม กัสสปะ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ) ,พระ อรหันต์ ไม่น้อยกว่า 30 พระองค์ (มีพระธาตุพระอรหันต์สมัยพุทธกาล ,หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า และพระธาตุหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด) ,พระบูชา (พระพุทธรูป ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี)

    การจัดงาน ผมจะแจ้งวันและเวลาอีกครั้ง(ผมจะแจ้งโดยตรงถึงพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านเอง) ในงานสรงน้ำครั้งนี้ ผมจะนิมนต์พระอาจารย์นิล และพระอาจารย์ผม มาฉันเพล เมื่อเสร็จสิ้นการถวายเพล และการสรงน้าแล้ว ผมจะมีการแจกพระสมเด็จให้กับทุกๆท่านที่มาร่วมงาน ผมจึงมาบอกบุญกับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน

    การร่วมทำบุญมีหลักเกณฑ์ดังนี้
    1.ร่วมทำบุญ 100 บาท พระสมเด็จจำนวน 1 ชุด(ขอไม่แจ้งจำนวนองค์) แต่รับพระสมเด็จ 1 องค์
    2.ส่วนที่เหลือผมจะแบ่งไปสำหรับการมอบพระสมเด็จให้กับท่านที่ไปร่วมงานสรงน้ำ
    3.ในส่วนที่แจกทุกๆท่านที่ไปร่วมงาน หากยังมีเหลือ ผมจะนำไปมอบให้กับพี่ใหญ่ เพื่อมอบให้กับท่านที่ร่วมทำบุญกับทุนนิธิท่านอาจารย์ประถม อาจสาครครับ
    4.จะนำไปบรรจุที่พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง
    5.จะนำไปบรรจุที่พระเจดีย์ที่พระอาจารย์ผมจะดำเนินการสร้างขึ้น

    หากผมนำไปบรรจุในพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งไม่ทัน ผมจะขอนำไปบรรจุที่พระเจดีย์ที่พระอาจารย์ผมจะดำเนินการสร้างขึ้นนะครับ

    แต่หากว่ามีท่านที่ร่วมทำบุญมากกว่าพระสมเด็จที่มี อยู่ ผมจะนำพระพิมพ์อื่นๆมาเพิ่มเติม ในส่วนนี้ผมจะนำไปบรรจุในพระเจดีย์เพียงอย่างเดียว จะไม่มีการนำมามอบให้นะครับ

    ระยะเวลาในการร่วมทำบุญ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2552
    สิ้นสุดวันที่ 15 มกราคม 2552 เวลา 18.00 น.

    สำหรับท่านที่มีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญ ผมขอพิจารณาเป็นรายท่านนะครับ เนื่องจากการโอนเงินร่วมทำบุญ จะต้องโอนเงินเข้าบัญชีผมเอง เมื่อผมตอบตกลงแล้ว ผมจะแจ้งหมายเลขบัญชีให้อีกครั้งครับ

    หมายเหตุ ท่านที่ร่วมทำบุญทุกๆท่าน เมื่อผมตอบตกลงแล้ว ให้แจ้ง ชื่อ - นามสกุล ของท่าน และบุคคลในครอบครัวของท่าน ที่ท่านประสงค์จะเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ให้ผมทราบด้วย ผมจะได้นำรายชื่อไปแจ้งในงานสรงน้ำ ,มอบให้กับพี่ใหญ่(ในกรณีที่มอบพระให้กับทางทุนนิธิ) ,ถวายพระอาจารย์นิล และพระอาจารย์ผมครับ

    โมทนาสาธุครับ
    http://palungjit.org/showthrea...24#post1771424

    http://palungjit.org/showthrea...2445&page=1318

    รายนามท่านที่ร่วมบุญ
    1.คุณพุทธันดร ร่วมทำบุญ 1,000 บาท (โอนเงินร่วมบุญแล้ว)
    2.คุณชวภณ ร่วมทำบุญ 1,000 บาท (โอนเงินร่วมบุญแล้ว)
    3.คุณพิมพาภรณ์ ร่วมทำบุญ 100 บาท (โอนเงินร่วมบุญแล้ว)
    4.คุณtawatd ร่วมทำบุญ 1,000 บาท
    5.คุณnewcomer ร่วมทำบุญ 300 บาท
    6.คุณnarin96 ร่วมทำบุญ 1,000 บาท
    7.คุณเพชร ร่วมทำบุญ 300 บาท
    8.คุณkwok ร่วมทำบุญ 500 บาท
    9.คุณdrmetta ร่วมทำบุญ 1,000 บาท
    10.คุณgnip ร่วมทำบุญ 300 บาท
    11.คุณพรสว่าง_2008 ร่วมทำบุญ 300 บาท
    12.คุณake7440 ร่วมทำบุญ 1,000 บาท (โอนเงินร่วมบุญแล้ว)
    13.คุณkaticat ร่วมทำบุญ 1,000 บาท
    14.คุณnongnooo ร่วมทำบุญ 500 บาท

    โมทนาสาธุครับ
    ผมและครอบครัวขอร่วมทำบุญด้วยครับ
    โมทนาบุญด้วยครับ
     
  18. นายคัง

    นายคัง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +2
    ผมร่วมทำบุญด้วย200บาท
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    2 มกราคม 2552 06:38 PM
    #26354
    วันนี้( 2 มกราคม 2552) ผมมีงานบุญมาบอกกับชาววังหน้าทุกๆท่าน

    เนื่องในวันปีใหม่ของไทยเรา คือวันที่ 13 เมษายน 2552 ที่จะมาถึงนี้ ผมจะจัดงานสรงน้ำพระ บรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ ( องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมเด็จพระพุทธสิกขีที่1(สมเด็จองค์ปฐม) , องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกกุสันโธ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม โกนาคมนะ ,องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม กัสสปะ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม สมณโคดม ) ,พระ อรหันต์ ไม่น้อยกว่า 30 พระองค์ (มีพระธาตุพระอรหันต์สมัยพุทธกาล ,หลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า และพระธาตุหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด) ,พระบูชา (พระพุทธรูป ,หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี)

    การจัดงาน ผมจะแจ้งวันและเวลาอีกครั้ง(ผมจะแจ้งโดยตรงถึงพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านเอง) ในงานสรงน้ำครั้งนี้ ผมจะนิมนต์พระอาจารย์นิล และพระอาจารย์ผม มาฉันเพล เมื่อเสร็จสิ้นการถวายเพล และการสรงน้าแล้ว ผมจะมีการแจกพระสมเด็จให้กับทุกๆท่านที่มาร่วมงาน ผมจึงมาบอกบุญกับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน

    การร่วมทำบุญมีหลักเกณฑ์ดังนี้
    1.ร่วมทำบุญ 100 บาท พระสมเด็จจำนวน 1 ชุด(ขอไม่แจ้งจำนวนองค์) แต่รับพระสมเด็จ 1 องค์
    2.ส่วนที่เหลือผมจะแบ่งไปสำหรับการมอบพระสมเด็จให้กับท่านที่ไปร่วมงานสรงน้ำ
    3.ในส่วนที่แจกทุกๆท่านที่ไปร่วมงาน หากยังมีเหลือ ผมจะนำไปมอบให้กับพี่ใหญ่ เพื่อมอบให้กับท่านที่ร่วมทำบุญกับทุนนิธิท่านอาจารย์ประถม อาจสาครครับ
    4.จะนำไปบรรจุที่พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง
    5.จะนำไปบรรจุที่พระเจดีย์ที่พระอาจารย์ผมจะดำเนินการสร้างขึ้น

    หากผมนำไปบรรจุในพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งไม่ทัน ผมจะขอนำไปบรรจุที่พระเจดีย์ที่พระอาจารย์ผมจะดำเนินการสร้างขึ้นนะครับ

    แต่หากว่ามีท่านที่ร่วมทำบุญมากกว่าพระสมเด็จที่มี อยู่ ผมจะนำพระพิมพ์อื่นๆมาเพิ่มเติม ในส่วนนี้ผมจะนำไปบรรจุในพระเจดีย์เพียงอย่างเดียว จะไม่มีการนำมามอบให้นะครับ

    ระยะเวลาในการร่วมทำบุญ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2552
    สิ้นสุดวันที่ 15 มกราคม 2552 เวลา 18.00 น.

    สำหรับท่านที่มีความประสงค์ที่จะร่วมทำบุญ ผมขอพิจารณาเป็นรายท่านนะครับ เนื่องจากการโอนเงินร่วมทำบุญ จะต้องโอนเงินเข้าบัญชีผมเอง เมื่อผมตอบตกลงแล้ว ผมจะแจ้งหมายเลขบัญชีให้อีกครั้งครับ

    หมายเหตุ ท่านที่ร่วมทำบุญทุกๆท่าน เมื่อผมตอบตกลงแล้ว ให้แจ้ง ชื่อ - นามสกุล ของท่าน และบุคคลในครอบครัวของท่าน ที่ท่านประสงค์จะเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ให้ผมทราบด้วย ผมจะได้นำรายชื่อไปแจ้งในงานสรงน้ำ ,มอบให้กับพี่ใหญ่(ในกรณีที่มอบพระให้กับทางทุนนิธิ) ,ถวายพระอาจารย์นิล และพระอาจารย์ผมครับ

    โมทนาสาธุครับ
    http://palungjit.org/showthrea...24#post1771424

    http://palungjit.org/showthrea...2445&page=1318

    รายนามท่านที่ร่วมบุญ
    1.คุณพุทธันดร ร่วมทำบุญ 1,000 บาท (โอนเงินร่วมบุญแล้ว)
    2.คุณชวภณ ร่วมทำบุญ 1,000 บาท (โอนเงินร่วมบุญแล้ว)
    3.คุณพิมพาภรณ์ ร่วมทำบุญ 100 บาท (โอนเงินร่วมบุญแล้ว)
    4.คุณtawatd ร่วมทำบุญ 1,000 บาท
    5.คุณnewcomer ร่วมทำบุญ 300 บาท
    6.คุณnarin96 ร่วมทำบุญ 1,000 บาท
    7.คุณเพชร ร่วมทำบุญ 300 บาท
    8.คุณkwok ร่วมทำบุญ 500 บาท
    9.คุณdrmetta ร่วมทำบุญ 1,000 บาท
    10.คุณgnip ร่วมทำบุญ 300 บาท
    11.คุณพรสว่าง_2008 ร่วมทำบุญ 300 บาท
    12.คุณake7440 ร่วมทำบุญ 1,000 บาท (โอนเงินร่วมบุญแล้ว)
    13.คุณkaticat ร่วมทำบุญ 1,000 บาท
    14.คุณnongnooo ร่วมทำบุญ 500 บาท
    15.คุณdragonlord ร่วมทำบุญ ..... บาท
    16.คุณaries2947 ร่วมทำบุญ ..... บาท
    17.คุณ นายคัง ร่วมทำบุญ 200 บาท

    โมทนาสาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2009
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...