พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ตอนกลับมาจากเมืองเก่าสุโขทัย มีหลายคนบูชาพระเก่ามา ปรากฏว่าอาจารย์ตรวจสอบดูต้องแลกกันวุ่นวาย จริงๆแล้วอยากได้พระพุทธรูปสุโขทัยสักองค์หนึ่งเพราะเคยเห็นในนิมิตตัวเอง แต่คิดว่าเมื่อไหร่ที่ใช่ก็จะรู้เองและจะมาเองค่ะ
     
  2. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เกือบลืมไปแล้ว ไม่รู้จักท่านโดเหมือนเดิม แต่มั่นใจว่าพ่อค่อนข้างขี้เหร่และขี้โม้เล็กน้อย ถูกไหมคะ
     
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    โดนสอบจิตหรือเปล่าเนี่ย...

    หนักๆที่หัวครับ ไม่ทราบว่าอุปทานไปเองหรือเปล่า...
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 21 คน ( เป็นสมาชิก 7 คน และ บุคคลทั่วไป 14 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, katicat+, nongnooo+, trayong, ชวภณ ศ.+, พรสว่าง_2008+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ดึกแล้ว ยังไม่นอนกันหรือครับ

    พี่อ้อย(hongsanart) บอกว่า ไม่ได้เข้ามาไม่กี่วัน ต้องอ่านย้อนหลังไปประมาณ 30 หน้า อ่านไม่ทันครับ

    .
     
  5. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ก้อวัดนี้มีความสำคัญมากๆสำหรับชาววังหน้ามากนี่คะ


    สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)
    วัดมหาธาตุ
    นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๐ ฉบับที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๙
    [​IMG][​IMG]
    สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นพระมหาเถระที่ทรงพระเกียรติคุณเป็นที่เลื่องลือพระองค์หนึ่งในยุครัตนโกสินทร์ ทรงพระคุณพิเศษในด้านวิปัสสนาธุระจนมีพระฉายานามอันเป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่ประชาชนว่า
     
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ katicat [​IMG]
    ไม่ทราบว่าคุณเพชรรู้จักวัดราชสิทธารามหรือวัดพลับมั้ยคะ กลัวจะเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ช่วง ๗ ปีก่อนเดินทางไปที่พิษณุโลก ได้พบร้านขายของเก่าร้านหนึ่ง ผมแว๊บไปเห็นโถโบราณใบเล็กบรรจุพระสมเด็จวัดพลับ พิมพ์ตุ๊กตาเล็ก อยู่จำนวนหนึ่ง ขอบูชาจากคนขายเลยทั้งหมด คนขายตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าจะกระทันหันขนาดนี้ ขอกันเอาไว้ ๒๐ องค์ เหลือที่ผม ๕๐ องค์ ปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่เท่าเดิม เจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่า ลุงแก่ๆคนหนึ่งเป็นเจ้าของเดิม โถโบราณที่บรรจุพระสมเด็จวัดพลับ พิมพ์ตุ๊กตาเล็กใบนี้ได้ฝังไว้ในหลุมศพด้วย ช่วงที่เขายกโถโบราณส่งมอบให้ผมนั้น ได้กล่าวประโยคหนึ่งในทำนองว่า ขอมอบพระสมเด็จวัดพลับนี้จากเจ้าของเดิม สู่เจ้าของใหม่ ขอให้...(ผมจำไม่ได้แล้ว) ผมฟังแล้วขนลุกซู่ไปหมด เกิดลมพัดเบาๆ เนื้อหาคือพระสมเด็จวัดพลับรุ่นเก่า ราคาองค์หนึ่งก็หลายหมื่นอยู่ครับ..
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
     
  8. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ที่กุฏิจะศักดิ์สิทธิ์มากๆเพราะตั้งแต่รัชกาลที่1-3 รวมถึงวังหน้าวังหลังล้วนเคยใช้เป็นที่วิปัสสนากรรมฐานกันมาแล้ว สมเด็จโตเมื่อเป็นสามเณรก็เคยอยู่ที่นี่เช่นกัน ไม้เท้าที่ถามคุณเพขรเป็นไม้เท้าของพระราหุลค่ะ พลังแรงจริงๆ เจ้าคณะ5ปัจจุบันชื่อหลวงพ่อวีระ เป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา ถ้ามีโอกาสได้ไปกราบท่านและขอฝากตัวเป็นลูกเป็นหลานของสังฆราชสุก ไก่เถื่อนดูนะคะ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสถานที่สำหรับผู้ต้องการปฏิบัติอยู่กลางเมืองเช่นนี้ น้องหมอเรียนศิริราขใกล้มากๆเลยค่ะ
     
  9. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ขอโมทนาบุญกับผู้มีบุญด้วยค่ะ อย่าลืมไปฝากตัวเป็นลูกหลานท่านนะคะ ไม่ต้องเตรียมอะไรไป ทางวัดมีให้แล้วค่ะ
     
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พระวัดพลับ
    จ.ส.อ.เอนก เจกโพธิ์

    <TABLE class=a4 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="6%"><TABLE class=a4 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=670 bgColor=#000000>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle width=670>พระวัดพลับ
    พิมพ์ตุ๊กตาเล็ก
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top width="94%">"พระวัดพลับเป็นพระกรุ ทำด้วยผงสีขาวผสมปูนปั้น เนื้อแข็งขาวพระนั่งสมาธิ
    มีทั้งใหญ่และเล็ก อย่างเล็กประมาณเท่าเบี้ยจั่น กับทำพระนอน และพระปิดตาก็มี
    แต่หาก็หาได้น้อย ที่ทำเป็น 2 หน้าก็มี แต่หายากมีน้อย และพบทำด้วยตะกั่วก็มี
    มักทำแต่ขนาดเล็ก"


    (จากข้อความหนังสือพระพิมพ์เครื่องรางโดย ร.อ.หลวงบรรณยุทธชำนาญ ปรมาจารย์ทางพระเครื่องที่ได้ล่วงลับไปแล้วบันทึกไว้แต่ไม่มีรายละเอียด)
    ก่อนเข้าสู่เป้าหมายของเรื่องพระขอกล่าวถึงประวัติของวัดพลับ และอธิบดีสงฆ์
    องค์แรกของวัดนี้ก่อนพอสังเขป
    "วัดพลับ" เดิมเป็นวัดโบราณตั้งอยู่ใกล้คลองบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี
    (ปัจจุบันจังหวัดธนบุรีรวมเขตกับจังหวัดกรุงเทพ ตั้งชื่อใหม่ว่า กรุงเทพมหานคร) มีมานานแล้วตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาอยู่ต่อหรือถัดจากวัดราชสิทธาราม เดี๋ยวนี้
    ขึ้นไปทางทิศตะวันตกเมื่อรัชกาลที่ 1 ได้เถลิงถวัลยราชสมบัติแล้วได้นิมนต์
    "พระอาจารย์สุก" ซึ่งเป็นพระอาจารย์จากอยุธยา ให้ลงมาอยู่ในกรุงเทพ "พระอาจารย์สุก" ขออยู่วัดฝ่ายอรัญวาสี ที่สงัดเงียบสงบเพื่อบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ ไม่ชอบอยู่ในวัดในบ้านเมือง
    รัชกาลที่ 1ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯตามอัธยาศัยและสร้างวัดราชสิทธาราม
    ขึ้น เพื่อให้สมพระเกียรติที่เป็นพระอาจารย์ถวายให้อยู่จำพรรษา กับแต่งตั้งให้เป็น
    พระราชาคณะที่ "พระญาณสังวร" เมื่อ พ.ศ..2326 ปีที่สร้างกรุงเทพเป็นเมืองหลวง
    นั่นแหละ เมื่อได้สร้างวัดราชสิทธารามขึ้นมาแล้ว จึงโปรดเกล้าให้รวม "วัดพลับ"
    เข้าในเขต "วัดราชสิทธาราม"ด้วยราษฎรจึงยังคงเรียกชื่อ "วัดราชสิทธาราม" ว่า
    "วัดพลับ" โดยทั่วไปตราบเท่าทุกวันนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ส่วน"พระอาจารย์สุก" นั้นต่อมาในรัชกาลที่ 2 พ.ศ.2363 โปรดเกล้าฯสถาปนาขึ้นเป็น"สมเด็จพระสังฆราช" โปรดให้แห่
    จากวัดพลับมาอยู่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ท่าพระจันทร์ เพียงปีเดียวก็สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2365
    พระชันษา 90 ปี
    สรุปแล้วท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดพลับนานถึง 38 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2325 ถึง พ.ศ. 2363
    สมัยก่อนวัดพลับอาจจะมีไก่ชุกชุมคนทั้งปวงจึงเรียกท่านเป็น ฉายาติดปากกันมาว่า "สมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน"
    เพราะท่านมีภาวนาแก่กล้า สามารถเลี้ยงไก่ป่า ให้เชื่องได้ ตามคุณวิเศษที่ปรากฎ
    สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน องค์นี้แหละ เป็นผู้ปลุกเสกพระสมเด็จวัดพลับ
    ประวัติสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)
    ประวัติสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียก
    ชื่อท่านว่า "สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน" ส่วนสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ชื่อ (สุขหรือสุก) เหมือนกัน
    สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ ระหว่างปี พ.ศ. 2337-2359 ในสมัยรัชกาลที่ 1 ต่อรัชกาลที่ 2 สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน
    องค์นี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ในหนังสือเรื่องตำนานวัดมหาธาตุว่า..
    สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน ท่านเกิดเมื่อวันศุกร์ เดือน 2 ขึ้น 10 ค่ำ ปีฉลู จุลศักราช 1095 ตรงกับวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.
    2276 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ์ กรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานกันว่าคงจะเป็นชาวกรุงเก่า ปรากฏในหนังสือพงศาวดารว่า
    เมื่อครั้งกรุงธนบุรี เป็นอธิการอยู่วัดท่าหอยริมคลองคูจาม (ในพงศาวดารเรียกว่าคลองตะเคียน)ในแขวงรอบกรุงเก่า มีพระ
    เกียรติคุณในทางบำเพ็ญสมถภาวนา ผู้คนนับถือมาก
    ครั้น พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ให้สร้างวัดราชสิทธาราม
    ขึ้นแลัวโปรดให้นิมนต์พระอาจารย์ (สุก) วัดท่าหอย คลองตะเคียน แขวงกรุงเก่า มาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดราชสิทธาราม
    เข้าใจว่าพระอาจารย์สุกองค์นี้ รัชกาลที่ 1 เคารพนับถือเป็นอาจารย์ของพระองค์ก่อนอยู่แล้ว
    สมเด็จพระสังฆราช(สุก) ทรงเป็นที่เคารพนับถือเป็นอันมากของพระบรมวงศ์มาแต่ครั้งรัชกาลที่ 1 เพราะปรากฎใน
    จดหมายเหตุทรงผนวชเจ้านายในรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 ปรากฎนามพระญาณสังวรเป็นพระกรรมวาจาจารย์แทบทุกพระองค์
    เป็นพระราชอุปัชฌาย์จารย์ของรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 ด้วย

    สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) หรือสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) หรือสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน เป็นองค์เดียวกัน
    แต่เรียกชื่อเป็นหลายชื่อ มาครองวัดราชสิทธาราม เป็นเจ้าอาวาสองค์แรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2325 จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2363 รวม
    ระยะเวลา 38 ปีเต็ม จนกระทั่งได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราชในปลายรัชกาลที่ 2 ขณะนั้นพระชนมายุได้ 88 ปีแล้ว
    แห่มาอยู่วัดมหาธาตุไม่ถึง 2 ปี ก็สิ้นพระชนม์ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ 1 ปี กับ 10 เดือน สิ้นพระชนม์เมื่อวันพฤหัสบดี
    เดือน 10 ขึ้น 13 ค่ำ ปีมะเมีย พ.ศ.2365 ครั้นพระราชทานเพลิงศพแล้วโปรดเกล้าฯให้ปั้นพระรูปบรรจุอัฐิ ประดิษฐานไว้ใน
    กุฏิกรรมฐานหลังหนึ่ง บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถ วัดราชสิทธารามเพื่อเป็นที่ทรงสักการะบูชาตลอดจนสานุศิษย์และผู้เคารพ
    นับถือสืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้

    นอกจากนี้รัชกาลที่ 3 ยังโปรดให้ช่างหล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราช (สุก) เท่าองค์จริง ขึ้นเมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2387
    ค้างอยู่ที่วัดพระแก้ว ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดให้เชิญไปสถิตอยู่ในพระวิหารวัดมหาธาตุ ตั้งแต่ พ.ศ. 2395 มาจนทุกวันนี้
    ที่มาของคำว่า "ไก่เถื่อน" นั้นมาเพราะ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) เมื่อครั้งอยู่ที่วัดราชสิทธาราม ท่านมีความ
    สามารถเรียกไก่ป่าให้มารุมล้อมพระองค์เต็มไปหมด เหมือนยังกับเลี้ยงฝูงไก่บ้าน
    เป็นเหตุให้พระองค์ได้รับสมญานามว่า
    "พระสังฆราชไก่เถื่อน" พระคาถาของพระยาไก่เถื่อนของสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) ที่เชื่อถือสืบต่อกันมา ผู้ใด
    ภาวนาแล้วจะเกิดเป็นพลังรังสีแผ่กระจายออกไปเป็นเมตตามหานิยมและเสน่ห์ต่อผู้เจริญภาวนาพระคาถานี้
    ผู้ใดสนใจก็ไปทดลองดูนะครับ พระคาถามีดังนี้
    เวทาสากุ กุสาทาเว ทายะสาตะ ตะสายะทา สาสาทิกุ กุทิสาสา กูตะกุภู ภูกุตะกุ
    ประวัติของสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) หรือสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน พระอาจารย์องค์หนึ่งของสมเด็จ
    พระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มีอยู่คร่าวๆพอสังเขปเพียงเท่านี้ และสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนองค์นี้แหละที่เชื่อว่าเป็นผู้สร้าง
    และปลุกเสกพระวัดพลับ อันลือลั่นและเกรียงไกรในด้านพุทธคุณ เมื่อก่อนเรียกขานกันว่า "พระสมเด็จวัดพลับ" ในปัจจุบันเรียกว่า
    "พระวัดพลับ" เฉยๆ เป็นพระอมตะที่เด่นและดังเป็นเวลายาวนานมาแล้วในอดีต และในปัจจุบันก็ยังมีชื่อเสียงเกียรติคุณมีผู้คน
    เสาะแสวงหาเอาไว้คุ้มครองรักษาตัวกันอย่างไม่เสื่อมคลาย ซึ่งประเดี๋ยวเราจะว่ากันในรายละเอียดต่อไป

    ใครสร้างพระวัดพลับ
    พระวัดพลับเป็นพระกรุ เป็นของเก่าโบร่ำโบราณนานปี มีอายุ 100 กว่าปีแล้ว ยังหาหลักฐานไม่ได้ว่าใครเป็นผู้สร้าง?
    และสร้างไว้เมื่อใด? แต่สันนิษฐานกันเป็น 2 ประการ
    ประการแรกสันนิษฐานกันว่าสมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) หรือสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนเป็นผู้สร้างและปลุกเสก
    เพราะท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพลับเป็นเวลายาวนานถึง 38 ปีเต็ม คือมาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพลับ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2325
    ในสมัยรัชกาลที่ 1 ถึงปี พ.ศ. 2363 ในสมัยรัชกาลที่ 2 เหตุผลที่สนับสนุนเรื่องนี้ก็คือ
    1. พระวัดพลับ คนรุ่นเก่าก่อนเรียกชื่อว่า "พระสมเด็จวัดพลับ" คนรุ่นก่อนคงจะรู้ระแคะระคายที่เล่าขานสืบต่อกันมา
    ว่า ผู้สร้างคือสมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) หรือ (สุก ญาณสังวร) ผู้สร้างมีสมณศักดิ์เป็นถึงพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ จึงได้
    นำชื่อผู้สร้างมาตั้งเป็นชื่อพระก็เป็นได้ ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมาจากนักเลงพระรุ่นเก่าอย่างนั้น
    2. พระวัดโค่ง จังหวัดอุทัยธานี มีพิมพ์พระเนื้อเหมือนกันกับพระกรุวัดพลับทุกอย่าง เรียกว่า "พระฝากกรุ"
    สันนิษฐานกันว่าน่าจะนำพระมาจากวัดพลับขึ้นไปบรรจุไว้ในเจดีย์วัดโค่ง จังหวัดอุทัยธานี การนำพระมาจากวัดพลับขึ้นไปยัง
    วัดโค่งสมัยนั้นยากลำบาก การเดินทางด้วยเท้าทางบกจะไม่ทำ นอกจากเดินธุดงค์ คงจะเดินทางด้วยเรือแจวไปตามแม่น้ำ
    มากกว่า และผู้ที่จะนำไปหรือสั่งให้คนอื่นนำไปคงจะต้องเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ ถ้าเป็นพระลูกวัดธรรมดาๆอย่างที่ร่ำลือกันว่า
    "ขรัวตาจัน" เป็นผู้นำพระไปบรรจุไว้มีหนทางที่จะเป็นไปได้ยากมาก หรือเกือบจะไม่มีทางเอาเลย
    ประการที่สอง สันนิษฐานกันว่า "ขรัวตาจัน" พระภิกษุชาวเขมรผู้เรืองวิชาทางคาถาอาคมจำพรรษาอยู่ที่วัดพลับ เป็นผู้สร้างพระวัดพลับ แล้วนำพระส่วนหนึ่งขึ้นไปบรรจุไว้ที่วัดโค่ง จังหวัดอุทัยธานี
    ถ้าเราจะวิเคราะห์ถึงเรื่องนี้กันแล้ว พบทางที่จะเป็นไปได้อย่างมากๆ ก็คือ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) เมื่อครั้งอยู่
    ที่วัดราชสิทธาราม หรือวัดพลับ คงจะไม่ได้ลงมือพิมพ์พระสร้างพระเองหรอก จะต้องมีคนอื่นขออนุญาตสร้างแล้วขอเมตตา
    จากท่านให้ช่วยปลุกเสกให้ คนที่เป็นแม่งานควบคุมดูแลการสร้างพระตั้งแต่ผสมเนื้อพระ คนช่วยกดพิมพ์พระแล้วรวบรวมมาให้
    สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) ปลุกเสก อาจจะเป็นขรัวตาจันที่ว่าก็ได้

    ถ้าหากเรื่องราวเป็นอย่างที่ว่านั้นจริง สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) หรือสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนเมื่อครั้งดำรง
    สมณศักดิ์เป็นพระญาณสังวร อดีตเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม หรือวัดพลับ เป็นผู้ปลุกเสกพระวัดพลับอย่างแน่นอน ที่ว่ามานี้คือ
    การสันนิษฐานนะขอรับ เพราะผู้เขียนก็เกิดไม่ทัน
    สมเด็จ (โต) เป็นศิษย์ในสมเด็จพระสังฆราช (สุก) จริงหรือ?
    ปัญหาดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนเองก็มีความสงสัยมาช้านานแล้ว สอบถามนักสะสมพระเครื่องรุ่นพี่ๆ ก็ยังไม่กระจ่างเป็นที่พอใจ
    ค้นหาหลักฐานก็ไม่พบชนิดที่จะแจ้งแดงแจ๋ มีแต่โน่นนิดนี่หน่อย ต้องเก็บเอามารวมกันแล้วตีความ บางตอนต้องแปลไทยเป็นไทย
    ด้วยซ้ำ และบางตอนก็ต้องใช้คำว่าสันนิษฐานตามแบบฉบับของนักโบราณคดี เพราะไม่มีหลักฐานนั่นเอง
    จากประวัติของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเรียบเรียง
    ประวัติของท่านไว้เป็นความย่อๆ เรียกว่า "เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์" โดยที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวง
    ชินวรศิริวัฒน์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าวัดราชบพิธ โปรดให้จัดพิมพ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2466 กล่าวไว้ว่า
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กินส้มตำ ระวังเจออาหารเป็นพิษ

    http://women.kapook.com/health00059-2/

    [​IMG]

    หลายๆ คนเวลารับประทานอาหารไม่ค่อยระวังความสะอาดของอาหารเท่าที่ควร

    โครงการศึกษาคุณภาพความปลอดภัยของส้มตำในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทำการสำรวจส่วนประกอบที่ใช้ในการทำส้มตำและส้มตำปรุงสำเร็จรวมทั้งสิ้น 202 ตัวอย่าง ตรวจโดยชุดทดสอบอาหารและวิธีมาตรฐานในห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผลปรากฏว่าในจำนวนตัวอย่าง 202 ตัวอย่าง ไม่ได้มาตรฐานร้อยละ 21.7 พบเชื้อโรคอาหารเป็นพิษและสุขลักษณะที่ไม่ดีในส้มตำปรุงสำเร็จสูงถึงร้อยละ 67 สำหรับวัตถุดิบที่ประกอบส้มตำ พบสีในกุ้งแห้งสูงถึงร้อยละ 95 พบสารอะฟลาทอกซินที่ทำให้เกิดมะเร็งตับเกินมาตรฐานในถั่วลิสงคั่วร้อยละ 15 และตรวจพบยาฆ่าแมลงในพริกขี้หนูจำนวนหนึ่ง

    ภาวะอาหารเป็นพิษ หรือที่เรียกว่า "food poisoning" จัดเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในอาหารพบว่าเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ "ซัลโมเนลลา" salmonella และ "แคมไพโรแบคเตอร์" campylobacter เป็นเชื้อก่อเหตุที่สำคัญที่สุดของภาวะอาหารเป็นพิษ ทั้งรายงานจากต่างประเทศและการศึกษาในประเทศไทย เชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา พบในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์หลายชนิด รวมทั้งไข่เป็ดไข่ไก่ ส่วนเชื้อแบคทีเรียแคมไพโรแบคเตอร์ มักพบในเนื้อไก่ที่ใช้บริโภค ตามที่เข้าใจกันโดยทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วภาวะอาหารเป็นพิษมักจะไม่ มีอาการรุนแรงมากเท่าใด และอาการจะเป็นไม่นาน ผู้ป่วยอาจมีเพียงอาการท้องเสียเพียงแค่สองสามวัน อาจมีไข้ต่ำๆ หรือบางคนไม่มีไข้เลยก็ได้ อาการปวดท้องมักไม่รุนแรง อาจเพียงรู้สึกปวดมวนท้องบ้างเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากภาวะอาหารเป็นพิษนี้เกิดขึ้นกับผู้ที่จัดว่ามีภูมิต้านทานลดน้อยลง เช่น ผู้ป่วยที่เป็นเด็กเล็ก ผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ โรคเบาหวาน หรือโรคเอดส์ การติดเชื้อจะรุนแรงและทำให้ถึงกับเสียชีวิตได้ ฤดูร้อนเป็นฤดูที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด ในบางพื้นที่ของประเทศที่ประสบกับภาวะภัยแล้ง ในช่วงฤดูร้อนนี้อาจจะเกิดการระบาดของโรคติดต่อบางชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ เช่น โรคอุจจาระร่วง โรคอาหารเป็นพิษ บิด อหิวาตกโรค ไข้รากสาดน้อย หรือไข้ไทฟอยด์ เป็นต้น

    จึงควรระมัดระวังในเรื่องความสะอาดของอาหาร น้ำดื่ม และภาชนะในการใส่อาหาร ตลอดจนให้มีการใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ และควรทราบในเบื้องต้นถึงอาการสำคัญและวิธีการป้องกันโรคติดต่อที่มักจะเกิด ในฤดูร้อนที่สำคัญและพบได้บ่อย โรคติดต่อทางอาหารและน้ำที่สำคัญที่ สุดคือ โรคอุจจาระร่วง (diarrhea) ซึ่งเกิดจากเชื้อต่างๆ ได้หลายชนิด อาทิเช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว และหนอนพยาธิ เชื้อต่างๆ เหล่านี้สามารถติดต่อได้โดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าไป อาการสำคัญคือ ถ่ายอุจจาระเหลว ถ่ายเป็นน้ำ หรือถ่ายมีมูกปนเลือด โดยทั่วไปมักจะอาเจียนร่วมด้วย ผู้ป่วยอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย จนกระทั่งรุนแรงมากเช่นเดียวกับอหิวาตกโรค โรคอาหารเป็นพิษเกิดจากพิษของเชื้อ แบคทีเรีย เช่น เชื้อซัลโมเนลล่า แคมไพโรแบคเตอร์ เชื้อรา เห็ดบางชนิด หรือสารเคมีที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร สามารถติดต่อได้โดยการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป ซึ่งมักพบในอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ จากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว และไข่เป็ด ไข่ไก่ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล และน้ำนมที่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ นอกจากนี้อาจพบในอาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านานๆ แล้วไม่ได้แช่เย็นไว้ ถ้าไม่ได้อุ่นให้ร้อนพอ ก่อนรับประทานก็จะทำให้เป็นโรคนี้ได้ อาการสำคัญ คือ มีไข้ ปวดท้อง เนื่องจากเชื้อโรคทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหารและลำไส้ นอกจากนี้อาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง ซึ่งถ้าถ่ายมากจะเกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่ได้ และบางรายอาจมีอาการรุนแรง เนื่องจากมีการติดเชื้อและเกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ข้อและกระดูก ถุงน้ำดี กล้ามเนื้อหัวใจ ปอด ไต เยื่อหุ้มสมอง และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตจะทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็กทารก เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ โรคติดต่อทางอาหารและน้ำดังกล่าว แม้ว่าจะมีสาเหตุของการเกิดโรคต่างกัน แต่จะมีวิธีการติดต่อที่คล้ายคลึงกัน คือ เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้โดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำ ที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป เช่น อาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย หรืออาหารที่มีแมลงวันตอม หรืออาหารที่ทิ้งไว้ค้างคืน โดยไม่ได้แช่เย็นไว้ และไม่ได้อุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน ทั้งนี้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าวข้างต้น สามารถแพร่เชื้อได้ทางอุจจาระ และหากเป็นผู้ประกอบอาหารหรือพนักงานเสริฟอาหาร ก็จะมีโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้มากเช่นกัน

    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก[​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  12. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เคยกินส้มตำปูม้าที่พัทยา เข้าโรงพยาบาลเลยค่ะ เข็ดไม่นานตอนนี้กินได้อีกแล้ว แต่ก็ระวังตัวขึ้นเยอะค่ะ
     
  13. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ขอบพระคุณคุณเพชรนะคะ ข้อมูลเพียบเหมือนเคย battหมดแล้ว ไปนอนก่อนนะคะ
     
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    แม้ว่าวันที่นัดกันนี้จะไม่ได้ไปร่วมงาน ก็ยังระลึกถึงอาจารย์ปู่ อาจารย์ปู่ท่านเมตตาแบบนี้เสมอ มีอะไรก็พูดคุยสอบถามกันใกล้ชิดอย่างนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2008
  15. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    คุณเพชร เลือกรูปได้ดีครับ หนุ่ม หล่อกับสาวสวยครับ หุ หุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2008
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ของฝากท่านโดครับ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เตือน ทีวี “ดาบสองคม” สำหรับครอบครัว
    http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9510000089228
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 พฤศจิกายน 2551 00:11 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>จาก Women&LifeStyle</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อ “โทรทัศน์”เป็นสิ่งที่ทุกคนส่วนใหญ่พึงประสงค์ ไม่ว่าจะดูเพื่อหาความรู้ หรือ ความบันเทิง จนจะกลายเป็นปัจจัยที่ 6 หรือ 7 ของคนเราไปแล้ว ครอบครัวหลายครอบครัวใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูทีวี เด็กหลายคน เมื่อถึงบ้าน ยังไม่ได้จัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก็เลือกที่จะดูรายการต่างๆเป็นอันดับแรก คนหลายคนใช้เวลาที่เหลือเฟือหมดไปกับการบริโภคสื่อได้เกือบทั้งวันทั้งคืน หรือแม้แต่เด็กตัวเล็กๆที่มีอายุ1-3ขวบก็เริ่มที่จะนั่งนิ่งๆอยู่หน้าจอทีวีได้แล้ว แต่จะมีสักกี่คนจะตระหนักถึงผลเสียที่แทรกซึมในขณะที่พวกเขาเสพสื่อพวกนี้บ้าง โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆอยู๋ในบ้าน

    กุมารแพทย์ในมิวนิค ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า หากพ่อแม่ผู้ปกครองต้องการวิเคราะห์ว่าเนื้อหาของรายการโทรทัศน์เหมาะสมต่อบุตรหลานหรือไม่นั้น สามารถสังเกตพฤติกรรมของเด็กได้ในขณะที่เขากำลังดูโทรทัศน์อยู่ ซึ่งพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกมาระหว่างดูโทรทัศน์นั้นไม่ว่าจะเป็นการ กัดเล็บ, กะพริบตาถี่ๆ, เอานิ้วม้วนผม, หน้าและหูมีสีแดง หรือแม้แต่แอบอยู่หลังเก้าอี้ เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของเด็กได้เป็นอย่างดี

    ทั้งนี้ พ่อแม่ผู้และปกครองควรใส่ใจเด็กในเรื่องของการบริโภคสื่อ โดยการควบคุมอย่างเคร่งครัด รวมไปถึงการอธิบายให้เด็ก ๆ เข้าใจและสามารถแยกแยะสิ่งที่ควร-ไม่ควรได้อย่างถูกต้อง เพราะในปัจจุบันสื่อต่างๆโดยเฉพาะโทรทัศน์มีอิทธิพลกับเด็กค่อนข้างมาก เด็ก ๆ เองมักจะเลียนแบบพฤติกรรมจากสิ่งที่ตนได้บริโภคสื่อโดยตรง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาของตัวเด็ก เช่น โรคสมาธิสั้น ความก้าวร้าว และอาจลามไปถึงปัญหาส้งคมได้ในที่สุด

    ทั้งนี้กุมารแพทย์แนะว่า ผู้ใหญ่ไม่ควรปล่อยให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปี ดูโทรทัศน์ตามลำพัง เพราะเด็กวัยนี้ไม่สามารถใช้วิจารณญาณหรือ วิเคราะห์ แยกแยะในสิ่งที่ตนเห็นได้อย่างถูกต้อง และไม่มีรายการไหนที่เหมาะสมกับเด็กวัยนี้อย่างแท้จริง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เด็กอายุระหว่าง 3-5 ปีควรดูโทรทัศน์วันละไม่เกินครึ่งชั่วโมง และรายการที่ดูควรจะเป็นรายการที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ ตรงไปตรงมาไม่สลับซับซ้อนหรือรวดเร็วจนเกินไป เพราะการที่มีภาพสลับไปมาอย่างรวดเร็วนั้น อาจนำไปสู่ โรคสมาธิสั้น ไอคิวต่ำ และขาดทักษะการคิดพินิจพิเคราะห์ได้

    นพ. กมล แสงทองศรีกมล อธิบายว่า เด็กที่ดูทีวีตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยจำนวนชั่วโมงที่นานส่วนใหญ่จะมีพัฒนาการทางภาษาและสังคมล่าช้า เนื่องจากขาดการกระตุ้น ขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เลี้ยงดู ซึ่งทางการแพทย์มักใช้คำว่า Improper stimulation หรือ Psychosocial deprivation เหตุเพราะทีวี เคเบิ้ลทีวี ดีวีดี เกม รวมถึงเพลง ทั้งการฟังเพลงอย่างเดียว หรือในลักษณะของภาพพร้อมด้วยเพลงที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จัดเป็นการสื่อสารทางเดียว (One way communication) ที่ไม่ว่าเด็กจะยิ้ม หัวเราะ หรือเอื้อมมือไปสัมผัส ทีวีไม่เคยตอบสนองกลับมาเลย


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=280 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=280>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ยิ่งไปกว่านั้นมักมีผลกับสติปัญญาร่วมด้วย เพราะทีวีอาจบิดเบือนการรับรู้ ทำให้เด็กไม่สามารถแยกแยะ ระหว่างจินตนาการ และความเป็นจริงได้ บางรายก้าวร้าวรุนแรง เวลาโกรธมักจะแสดงสีหน้าท่าทางเหมือนในหนังที่ดู และมักพบเด็กเหล่านี้อาจมีปัญหาเรื่องโรคอ้วนตามมา

    ทั้งนี้ เด็กที่มีอายุระหว่าง 6 - 9 ปี ควรดูโทรทัศน์ไม่เกิน 1 ชั่วโมง ส่วนเด็กอายุ 10 - 13 ปี ควรดูโทรทัศน์ไม่เกินวันละชั่วโมงครึ่ง และเด็กอายุ 13 ปีขึ้นไปสามารถเพิ่มเป็นวันละไม่เกิน 2 ชั่วโมงได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>รู้จักกับอัจฉริยภาพทั้ง 6 ด้านที่เสริมสร้างได้ตั้งแต่เด็ก
    http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9510000127332
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 พฤศจิกายน 2551 11:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=200>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> หากย้อนไปในสมัยที่คุณพ่อคุณแม่ยุคนี้ยังเป็นเด็ก คำถามที่ผู้ใหญ่มักจะถามเราเมื่อปิดภาคเรียนก็คือ "สอบไล่ได้ที่เท่าไร-เรียนเก่งไหม" ฯลฯ ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะในยุคนั้น IQ หรือเชาวน์ด้านสติปัญญาเป็นสิ่งที่ถูกหยิบมาพิจารณาเป็นอับดับต้น ๆ แต่มาถึงยุคนี้ แนวคิด และข้อมูลทางวิชาการก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เด็กที่มาพร้อม IQ เพียงอย่างเดียว ไม่อาจทำให้คนหนึ่งคนกลายเป็นคนเต็มคน และมีความสุขได้

    EQ (Emotional Quotient) หรือความฉลาดด้านอารมณ์ ได้ถูกหยิบขึ้นมากล่าวถึงเป็นตัวแรก ๆ หลังจากปล่อยให้ IQ นำโด่งโกยคะแนนความสำคัญมานาน EQ หมายถึงความสามารถในการตระหนักรู้อารมณ์ของตนเองและผู้อื่น มีความเห็นใจและเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ตลอดจนสามารถสร้างมิตรกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี การมีแต่ IQ แต่ไม่มี EQ นั้นอาจทำให้การทำงานร่วมกับผู้อื่นเกิดปัญหาได้ง่าย เพราะขาดความสามารถในการบริหารจัดการอารมณ์

    ตัวต่อมาก็คือ AQ (Adversity Quotient) หรือความอึด ความอึดตัวนี้ช่วยเพิ่มพูนความสามารถของตัวเราได้อีกหลายทาง เด็กที่เก่งอยู่แล้ว ถ้ามีความอึดเวลาเจอโจทย์ยาก ๆ เขาก็อาจประสบความสำเร็จด้านการเรียนได้ดีกว่าคนที่เก่งกว่า แต่ไม่อึดเท่า ดังนั้น AQ จะมีความสำคัญมากเวลาที่เราเผชิญปัญหา โดยจะช่วยไม่ให้เราถอดใจง่าย ๆ แต่สามารถอดทน จนข้ามผ่านสภาวะนั้น ๆ ไปได้ในที่สุด

    นอกจาก EQ และ AQ แล้ว เราก็ยังมี MQ (Morality Quotient) หรือเชาวน์ด้านจริยธรรม MQ สำคัญตรงที่ว่า จะเป็นแนวทางที่ช่วยในการดำเนินชีวิต ช่วยให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ทำให้คนรู้จักให้อภัยกันเมื่อเผลอทำผิด และยังช่วยลดความหวาดระแวงที่คนจะพึงมีต่อกันให้ลดน้อยลงได้ด้วย เปรียบเทียบได้กับ ถ้าทุกคนมีจริยธรรม โลกก็จะสงบสุข และยังช่วยลดภาระให้กับสังคมได้ด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องมีตำรวจ ศาล หรือคุกไว้ขังคนไม่ดีอีกต่อไป

    ถัดจากนั้นก็มาถึง HQ (Health Quotient) ตัวนี้เกี่ยวกับสุขภาพของเด็กเอง เป็นความเข้มแข็งด้านสุขภาพกาย ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้มแข็งในด้านอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย ซึ่งแนวทางที่จะช่วยพัฒนา HQ ได้ดีก็คือ 6 อ. ประกอบด้วย อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย อนามัย และงานอดิเรก

    เชาวน์ด้านสุดท้ายที่มนุษย์สามารถค้นพบได้ในช่วงเวลานี้ก็คือ SQ (Spiritual Quotient) หรือเชาวน์ด้านจิตวิญญาณ เป็นความสามารถในการพัฒนาจิตวิญญาณเพื่อเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิต และจะช่วยให้คนเราเข้าใจอัจฉริยภาพสูงสุดของตนเองจากการใช้สมองทุกส่วนในการทำงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

    ผศ. ธีระศักดิ์ กำบรรณารักษ์ นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านเชาวน์อัจฉริยภาพเปิดเผยถึงความเชื่อมโยงระหว่างเชาวน์ทั้ง 6 ว่า "6Qs มีความสำคัญเท่า ๆ กัน เพราะมันต่อเนื่องและส่งเสริมซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่าง คนที่มีไอคิวสูง ๆ ถ้าขาด EQ ก็จะกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจตัวเอง ขาดมนุษยสัมพันธ์ แต่คนที่ IQ ดี EQ ดี แต่ขาดเชาวน์ด้าน AQ หรือเชาวน์ความอึดในการเผชิญปัญหา เวลาเจอวิกฤติ ก็อาจถอดใจได้ง่าย ๆ"

    "ถ้าเรามี IQ, EQ และ AQ พร้อมแล้ว แต่ถ้าเราขาด MQ (Morality Quotient) หรือก็คือขาดจริยธรรม เห็นแก่ได้ ไม่คิดถึงคนอื่น ไม่มีศีลธรรม ก็จะทำให้บ้านเมืองมีปัญหา ซึ่งวิกฤติที่มันเกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ก็เพราะคนที่เกี่ยวข้องในสังคมบ้านเราขาดความตระหนักใน MQ ร่วมด้วย"

    เรื่องของสุขภาพ หรือ HQ (Health Quotient) ก็เช่นกัน ถ้า IQ, EQ, AQ และ MQ ดีหมด แต่สุขภาพไม่ดี ก็ไม่สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสุดท้าย แต่ถ้าเชาวน์ทั้ง 5 ประการที่ผ่านมาดีทั้งหมดแล้ว แต่ขาด SQ (Spiritual Quotient) หรือเชาวน์ด้านจิตวิญญาณ ขาดการปฏิบัติธรรม เจริญสติ - สมาธิ ความดีที่เกิดขึ้นนั้นก็จะไม่ยั่งยืน

    "คนที่นั่งสมาธิ มีการฝึกสติสม่ำเสมอ คนเหล่านี้ เวลาที่มีสิ่งไม่ดีเข้ามาเย้ายวนในชีวิต สติจะสามารถรับรู้ได้ และยับยั้งการกระทำที่ไม่ดีกับตัวเองและสังคมได้ คนที่มีเชาวน์ด้านนี้จะมีอายุยืนกว่าคนทั่วไป 20 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงมีสุขภาพที่ดีกว่าด้วย ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า SQ คืออัจฉริยภาพขั้นสูงสุด"

    เด็กไทยกับ 6Q

    การพัฒนาเด็ก หรือสังคมไทยให้เห็นความสำคัญของเชาวน์ปัญญาด้านอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากความเก่งฉกาจในด้านวิชาการเพียงอย่างเดียวอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เนื่องจากตัวเลขล่าสุดที่มีการสำรวจพบว่า เด็กไทยมีไอคิวลดต่ำลงกว่าในอดีต

    “การที่ไอคิวต่ำกว่าปกติ มันจะมีผลต่อส่วนอื่น ๆ เพราะไอคิวจะส่งผลโดยตรงต่อการเรียนรู้ ในเมื่อเชาวน์ด้านการเรียนรู้ไม่พร้อมเสียแล้ว ศักยภาพด้านอื่น ๆ ก็จะถดถอยลงไปด้วย ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว พ่อแม่สามารถกระตุ้นได้ ทั้งจากการมีปฏิสัมพันธ์กับลูก ไม่ใช่ปล่อยให้ทีวีหรือพี่เลี้ยงเป็นฝ่ายเลี้ยงลูกแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งการเรียนรู้เกี่ยวกับ 6Qs เป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ โดยเด็กจะเรียนรู้ได้ง่าย เพราะยังเป็นผ้าขาว แต่เขาอาจจะขาดประสบการณ์เปรียบเทียบ ส่วนผู้ใหญ่จะมีพร้อมทั้งวัยวุฒิ และประสบการณ์ ก็สามารถนำประสบการณ์มาเปรียบเทียบและทำความเข้าใจได้ง่ายมากกว่า แต่ถ้าผู้ใหญ่ที่ขาดการกล่อมเกลา ขาดสติ จากประสบการณ์ที่มีแต่ความละโมบ เห็นแก่ได้ ก็อาจจะกลายเป็นพลังต่อต้านในการเรียนรู้ได้เช่นกัน”

    “การฝึก 6Qs ก็เหมือนเราสร้างแผนที่ที่ดีในสมอง (Mental Map) ไปที่ไหนก็สะดวกสบาย โอกาสที่จะไปถึงเป้าหมาย (คือความสุขนิรันดร์) ก็สูง แม้ว่าระหว่างทางเจอปัญหา อุปสรรค ก็สามารถฟันฝ่าไปได้ครับ”
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ท่านอาจารย์ประถม ท่านเมตตากับลูกหลานมาก ท่านสอนโดยไม่ปิดบังอำพราง ลับ ลวง เพียงแต่เราเอง จำได้ไม่หมดเอง

    ที่ผมมีวันนี้ได้ ก็เพราะท่านอาจารย์ประถมครับ ท่านสอนเรื่องราวต่างๆ ให้อย่างมากมาย แต่ที่ท่านสอนนั้น ในความเห็นผมยังสอนได้ไม่มาก เนื่องจากการไปแต่ละครั้ง ผมเองไม่ค่อยมีเวลาในการถามข้อมูลต่างๆได้มากพอ คงต้องทำการบ้านให้ดีก่อนที่จะไปหาท่านครับ

    .
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เค้า"หนุ่ม"ตลอดกาลครับ ส่วนพี่สาวท่านนี้ เมื่อ ๒ ปีก่อน ยังไงก็ยังงั้นไม่เปลี่ยนแปลงเลย...
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>หมอเตือนอย่าเชื่อ “กาแฟ” ลดน้ำหนัก ชี้ ระวังสารอันตราย ยันไม่มีอาหารใดทำให้ผอมได้ถาวร
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000130388
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>4 พฤศจิกายน 2551 07:06 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> หมอเตือนอย่าหลงเชื่อดื่มกาแฟแล้ว “ผอม” ชี้ ดื่มมากเกิดไป เจอปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะ ด้านนักโภชนาการระบุดื่มมากระวังอันตรายจากกาเฟอีน หรือส่วนผสมอื่นที่เป็นยาลดน้ำหนัก ส่งผลระยะยาวต่อร่างกาย ยันไม่มีอาหารใดลดน้ำหนักได้ถาวร

    ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิกและโรคเบาหวาน อดีตหัวหน้าหน่วยโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีการโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้ประชาชนผิดว่า การดื่มกาแฟแล้วจะทำให้รูปร่างผอมเพรียว ซึ่งต้องบอกว่าไม่เป็นความจริงทั้งหมด แม้ว่ากาแฟจะมีส่วนต่อระบบการเผาผลาญของร่างกาย แต่หากดื่มเป็นปริมาณมาก โดยหวังว่าจะให้ร่างกายผอม หุ่นดีนั้นอาจเกิดอันตรายกับร่างกายได้ แทนที่จะผอม เพราะกาเฟอีนจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานดีขึ้น แต่หากทานมากไปจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ

    “นอกจากนี้ หากดื่มกาแฟก็อาจอ้วนได้เช่นกัน เพราะหากส่วนผสมของกาแฟนั้นมีครีมเทียม น้ำตาลผสมอยู่มากก็จะมีพลังงานหลายกิโลแคลอรี ดังนั้น ทำให้อ้วน จะผอมได้อย่างไร ก็ ถ้าอยากดื่มกาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาลและครีม ก็ถือว่าพอมีประโยชน์ในการช่วยเผาผลาญบ้าง แต่ก็ไม่ควรดื่มหลายๆ แก้วต่อวัน”ศ.นพ.สุรัตน์ กล่าว

    ด้าน นพ.ฆนัท ครุธกูล ผู้จัดการศูนย์หหัวใจหลอดเลือดและเมตาบอลิก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่า กาแฟมีส่วนช่วยให้ระบบเมตาบอลิซึม ซึ่งเป็นการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีขึ้นในระดับสัตว์ทดลองและมนุษย์ด้วย แต่ก็ไม่ได้กระตุ้นให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายดีจนทำให้ร่างกายผอมเพรียว แถมหากดื่มมากเกินไปอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูงและระดับไขมันในกระแสเลือดมากกว่าปกติ เหตุเพราะส่วนผสมในการดื่มกาแฟด้วย

    นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการระดับ 9 กรมอนามัย กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่กาแฟจะทำให้ลดน้ำหนักได้ เพราะไม่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยันเช่นนั้น ทั้งนี้ ถ้าหากกินกาแฟสูตรใดสูตรหนึ่งแล้วสามารถลดน้ำหนักได้จริงคคงเป็นการเติมสารอะไรบางอย่างทำให้มีผลต่อร่างกาย ซึ่งอาจเป็นยาลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก

    “ทุกวันนี้ยังไม่มีอาหารเสริมใด รวมถึงกาแฟที่เป็นการลดน้ำหนักได้อย่างถาวรและยั่งยืน เท่ากับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย ทั้งนี้ อาหารเสริมจะทำให้ลดน้ำหนักได้เฉพาะช่วงที่ทานหรือดื่มอาหารเสริมเหล่านั้นอยู่ แต่หลังจากเลิกแล้วก็จะเกิดโยโย่เอฟเฟกต์ ทำให้น้ำหนักกลับมาอ้วนเหมือนเดิม ทั้งนี้ ความเชื่อกันว่า ดื่มกาแฟกับแซนด์วิชแล้วจะทำให้น้ำหนักลดลงนั้น น้ำหนักลดลงแน่แต่ลดจากการอดอาหารอื่นๆ ทานแต่กาแฟมันก็ย่อมลด แต่ไมได้ลดจากกาแฟโดยตรง จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงกับการโหมโฆษณาที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทานกาแฟ” นายสง่า กล่าว

    นายสง่า กล่าวว่า นอกจากนี้ อาจมีผลเสียกับร่างกายได้ หากดื่มกาแฟมากกว่าวัน 2 แก้วต่อวัน เพราะหากร่างกายได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้ และหากมีการเติมสารหรือตัวยาสำหรับการลดน้ำหนัก ก็อาจเป็นอันตรายกับร่างกายในระยะยาวด้วยเช่นกัน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...