ฝันได้พบยมบาลและท่านเตือนเรื่องเพื่อน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 30 พฤศจิกายน 2004.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    จากที่คุณ ถามผมมา นะว่า
    "คุณเวปสโนว์ ช่วยบอกหน่อยว่า ท่านพุทธทาสเข้าใจธรรมลึกๆของพระพุทธเจ้าผิดตรงไหน "


    ผมจะลองยก งานสอนของท่านบางอย่างมาให้อ่าน แล้วให้คุณคิดเอง

    จากที่ได้อ่านด้านล่างมองได้หลายอย่าง
    1. ท่านหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ ตามที่ท่านสื่อออกมา
    2. ท่านไม่ได้หมายความอย่างนี้แต่ให้มองเป็นศิลปะ ให้ไปตีความต่างๆ (ถ้าเป็นมุมนี้ ก็ยังมีผลเสียอยู่ดี เพราะว่าถ้าคนอ่านแล้วตีความไม่ได้ แล้วเข้าใจตามนั้นจริงๆ ผลเสียที่เกิดขึ้นก็คือ คนนั้นจะไม่เชื่อพระพุทธเจ้าและพระธรรม เกิดเป็นมิจฉาทิฐิ)

    -------------------------------------

    พุทธทาส:พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด

    เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น
    ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย
    เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...

    เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า
    ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ
    เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น
    ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้
    เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน
    เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น
    ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก
    ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด....
    เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น ....เชื่อไม่ได้


    จากหนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์



    อ่านต่อ โดย พุทธทาส.

    ท่านพุทธทาส บอกทำนองว่า
    เรื่องพระพุทธเจ้าสวยรอยเอยอวย เกี่ยวเรื่อง สวรรค์ นรก ไปตามพวกพรหม์ที่มีก่อนหน้า
    นรก-สวรรค์ ตามหลักของพระพุทธเจ้า
    เทวดามีจริงหรือ?

    http://www.pantip.com/~buddhadasa/index.html
    -----------------------------------------------------------




    <TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG] </TD><TD vAlign=top>ท่านพุทธทาสภิกขุ

    ..... บางคนเชื่อว่า พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์นิพพานแล้ว ยังมีอะไรเหลืออยู่อีก เช่นเชื่อกันว่าพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่ในโลกนี้ จะรวมตัวกันเป็นองค์ พระพุทธเจ้าขึ้นแล้วทำการปรินิพพานอีกครั้ง ซึ่งเรียกว่า ธาตุอันตรธาน ดังในหนังสือปฐมสมโพธิกถานั้นก็ดี หรือที่เชื่อกันว่าเจดีย์ต่างๆ ที่สำคัญๆ เช่น พระปฐมเจดีย์แสดงปาฏิหารย์ต่างๆ ได้นั้นก็ดี นั้นเป็นเพราะมีอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งองค์พระพุทธเจ้าเหลืออยู่ หรือถ้ากล่าวตามความเชื่อของคนประเภทนั้นก็คือว่า จิตหรือวิญญาณของพระพุทธองค์ยังเหลืออยู่นั่นเอง แต่ความเข้าใจเช่นนี้ ย่อมขวางกันกับหลักธรรมะและเหตุผลทั่วไปอย่างรุนแรง ไม่เป็นไปได้ตามที่เชื่อกันเช่นนั้น

    ข้าพเจ้าเข้าใจว่าถ้าหากสิ่งต่างๆ ที่เขาเห็นหรือเชื่อกันนั้นเป็นของเป็นไปได้จริง เช่นพระบรมธาตุจะกลับรวมตัวกันใหม่อีกนั้น ก็ต้องเป็นเพราะเพียงแต่คำอธิษฐานของพระองค์ที่ทรงอธิษฐานทิ้งไว้ อันอำนาจจิตแห่งการอธิษฐานนั้น จะอยู่ยืนยาวได้นานเพียงไรนั่นย่อมแล้วแต่อำนาจพิเศษแห่งจิตใจของผู้ที่อธิษฐาน ส่วนตัวผู้นั้นเองที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ย่อมดับสนิทไปโดยไม่ส่วนเหลือแท้จริง ส่วนอำนาจอธิษฐานซึ่งเป็นปาฏิหารย์ชนิดหนึ่งนั้นคงเหลืออยู่เป็นมรดกที่จะเป็นปรโยชน์แก่ผู้อยู่ภายหลัง ที่ท่านผู้ล่วงลับไปแล้วเคยตั้งใจจะช่วยเหลือเท่านั้น การที่จะเชื่อว่า วิญญาณหรือจิตของพระพุทธองค์เป็นอมตะ คอยเฝ้าดูพวกเราหรือโลกมาจนอยู่จนบัดนี้นั้นเป็นของขบขันเหลือเกิน

    ถ้าจะกล่าวให้น่าฟังกว่านี้แล้ว ควรจะกล่าวว่าธรรมะนั่นแหละ คือวิญญาญหรือจิตของพระองค์ ที่ยังคงอยู่จนบัดนี้ มิน่าฟังกว่าหรือ .....

    คัดจาก หน้า 128-130 ของหนังสือนิพพาน พุทธทาสภิกขุ สนพ.สุขภาพใจ มีนาคม 2542 ISBN 974-7363-82-8





    </TD></TR></TBODY></TABLE>

     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    ความดีและงานสอนดีๆของท่านพุทธทาสก็มีเยอะ
    ลูกศิษย์ท่านดีๆก็มีเยอะ

    ในความเห็นของผม
    - งานสอนที่เป็นแนวศิลปะของพุทธทาสจะโดดเด่นที่สุด
    - บางงานท่านมีมุมมองแบบที่คนทั่วไปไม่คิดกัน
    - งานสอนดีๆของท่าน จะเป็นเรื่อง พุทธศาสนาแบบพื้นๆ
    มีการแปลความหมายของคำให้คนได้เข้าใจ
    - งานสอนที่มีมุมมองอะไรต่างที่เป็นปัจจุบัน ที่มองเห็นได้
    และเรื่องอะไรต่างๆที่ไม่ลึกลับเกินไป ทีไม่ต้องใช้ความสามารถทางจิตช่วยในการเข้าใจ
     
  4. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    ลูกหนอนอ่านดูแล้วนะ แสดงว่าท่านพุทธทาสไม่ได้สอนแนวอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ เทวดา นรก สวรรค์ สิ่งที่เหลือเชื่อทั้งหลาย ท่านพุทธทาสสอนแนวหลักธรรมแห่งความเป็นจริงของจิตมนุษย์
    สำหรับลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำซึ่งมีเยอะมาก สนใจในสิ่งที่หลวงพ่อท่านมีอภิญญาต่างๆ แล้วก็ชอบนำมาเล่ามาเทศน์ให้ลูกศิษย์ฟัง ลูกศิษย์ก็ชอบในสิ่งที่ตื่นเต้นเหลือเชื่อเหล่านี้ สมัครเข้าไปเรียนวิชาแบบหลวงพ่อฤาษีลิงดำมากๆ เพราะว่าอยากจะมีอภิญญาแบบหลวงพ่อ
     
  5. single sun

    single sun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2006
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +18
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020

    สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ตรงกับ วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๔

    วันนี้ก็จะคุยกันถึงเรื่องธุดงค์ ในตอนก่อนได้อำลาบรรดาเทวดาทั้งหลาย เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นพระอริยเจ้า นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท
    บางท่านเห็นว่าเทวดาไม่มีความหมาย นางฟ้าไม่มีความหมาย นั่นไม่จริง หรือบางรายก็ไม่รับรองเทวดา นางฟ้าเสียเลย เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า เทวดามี นางฟ้ามี พรหมมี นรกมี สวรรค์มี แต่ว่าบางท่านที่บวชเข้ามาแล้วก็ลืมคำสอนตอนนี้ คิดว่าตัวเองเป็นศาสดาเสียเอง สร้างศาสนาใหม่ คัดค้านความมีเทวดา ความมีนางฟ้า ถือว่าไม่มีที่สุดในโลก

    ก็เป็นอันว่า อาตมาเองก็พบเทวดา พบนางฟ้ามาแล้ว แล้วก็เดี๋ยวนี้พบทุกวันด้วย ทำไมต้องพบทุกวัน เพราะมันใกล้ตาย ถ้าเราใกล้ตาย เราพบเทวดา พบนางฟ้า พบพรหม พบพระอรหันต์ อย่างน้อยที่สุด เวลาจะตาย เราก็เลือกทางไป จะไปสวรรค์หรือไปพรหมโลกหรือไปนิพพาน ตามกำลังของเราที่พึงไปได้ ถ้ากำลังของเรามีสูงเราก็ไปนิพพาน กำลังอย่างกลาง เราก็ไปพรหม กำลังอย่างต่ำเราก็ไปสวรรค์
    ------------------------------------------------------------------
    หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๒๑ โดย พระราชพรหมยาน
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
  8. เหรอ

    เหรอ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2006
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +24
    ถามจริงๆนะ

    นายเวปสโนว์ นายทรงอารมณ์แค่ปฐมฌาณได้หรือเปล่า?

    อย่าเพิ่งพูดเรื่องไปเห็นคนอื่น เลย


    ไอ้ที่ว่าฝันนะ ฝันเพราะเทพนิมิต หรือ ถอดกาย หรือ กินมากเกินไปแล้วนอน

    เราก็เห็นท่านยมฯนะ มาดูสิว่า ใครเห็นตัวจริง
     
  9. เหรอ

    เหรอ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2006
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +24
    เครื่องทรงท่านยมฯ ทำด้วยอะไร

    มีอัญมณีสำคัญอะไรบ้าง

    เมื่อไม่กี่วันนี้ มีปรากฏการณ์อะไร ที่ท่านต้องมาเองในโลกไหม


    ถ้านายแน่จริงตอบมาสิ อย่ามัวจับแพะชนแกะ ตอบมาแบบลูกผู้ชายเลย


    นายอยู่เมืองไหนนะ เราจะไปหานายที่อังกฤษดีไหม


    อยากเจอกันไหมละ ของจริงจะกลัวทำไม
     
  10. เหรอ

    เหรอ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2006
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +24
    <TABLE width=550 border=0><TBODY><TR><TD>
    ข้อความที่ 22​


    พระที่พวกคุณคิดว่าใช่ ขอบอกว่าไม่ใช่ครับ หลวงพี่เล็กท่านบอกว่าท่านไม่ได้หมายถึงผู้นั้น ตามที่ผู้อ่านตีความเข้าใจ

    ส่วนเรื่องหลวงพ่อพุทธทาสนั้น ไม่ทราบว่าผู้ที่วิจารณ์หรือออกความเห็น ได้อ่านหนังสือของท่านทุกเล่มแล้วหรือยัง หรือเพียงแต่ได้ยินคนบอกเล่ากันมา จริงอยู่ที่เล่มแรกๆ ท่านอาจจะบอกว่า ตายแล้วสูญ แต่เล่มหลังๆ นั้น ท่านไม่ได้บอกเช่นนั้น อ่านหรือยังครับ

    แม้แต่หลวงพ่อฤๅษีฯ เอง ตอนแรกๆ ท่านยังสอนว่านิพพานสูญ ท่านต้องมาสอนแก้ใหม่หมดทีหลัง

    สิ่งหนึ่งที่ท่านทั้งหลายอาจจะยังไม่ทราบ หลวงพ่อฤๅษีฯ ยังเคยไปหาหลวงพ่อพุทธทาสด้วยตัวท่านเอง ท่านทั้งสองได้สนทนาธรรม ร่วมกันเป็นชั่วโมง ตอนกลับท่านยังจับมือกันมาที่รถและพูดว่า "มันต้องอย่างนี้สิ คอเดียวกันถึงพูดกันรู้เรื่อง" ท่านสามารถถามข้อมูลเหล่านี้ได้จากลูกศิษย์สนิทผู้ติดตามหลวงพ่อฤๅษีฯ ได้ครับ

    สิ่งที่ผมบอกกล่าวมานี้ไม่ต้องการแก้ข้อกล่าวหาใคร หรือเป็นพวกของฝ่ายใด แต่ทำไปด้วยความเมตตาไม่ต้องการให้เกิดการปรามาสพระรัตนตรัย หรือพระอริยะท่านใดทั้งสิ้น

    สิ่งที่เป็นมงคลสูงสุดคือได้ทำบุญทำทานกับพระอริยสงฆ์ แต่สิ่งที่ซวยที่สุดก็คือการด่าว่าติติงพระอริยสงฆ์เช่นกัน

    ตราบใดที่เรายังมิได้เป็นพระอริยะ เราจะใช้วิสัย และสติปัญญาของมนุษย์ธรรมดาที่เต็มไปด้วยกิเลสไปตัดสิน ใช้ปัญญาอันน้อยนิดไปตัดสิน วิเคาระห์สิ่งที่ปราชญ์เขียนไว้ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ควรครับ เกินวิสัย เกินปัญญาของเรา

    ขอให้ข้อคิดไว้ว่า "อย่าใส่ใจจริยาวัตรของผู้อื่น" ครับ


    </TD></TR><TR align=right><TD>จากคุณ อำนาจ เมื่อวันที่ 27/10/2548 17:23:18 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    จากเวปคนเมืองบัวนะครับ<!-- / message -->
     
  11. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    เฮ้อ อ่านไปอ่านมา ศาสนาเดียวกัน วิ่งกันคนละลู่ แถมสวนทางกันซะอีก ต่างจิตต่างใจ
    ลูกหนอน ลงมติว่า ตัวเองเป็นกลางเหมือนเดิม
     
  12. single sun

    single sun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2006
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +18
  13. เช่นนั้นเอง

    เช่นนั้นเอง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2006
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอบคุณ คุณเวปสโนว์ ที่ตอบ

    สำหรับผม เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เปรต ผี มีหรือไม่มีก็มีค่าเท่ากัน เพราะสิ่งที่บันดาลให้เกิดสิ่งต่างๆนั้น คือกรรมของผมเอง

    ผมยังเสพธรรมที่เวปนี้อยู่ เพราะผมชอบเสียงธรรม ที่คุณ Kob นำเสนออยู่

    (bb-flower
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2006
  14. ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์

    ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +314
    (bb-flower อืม ผมว่าพอแม่ครูบาอาจารย์ท่านดีทุกท่านแหละครับ แต่อยู่ที่ว่าหลักการสอนท่านจะสอนในหลักยังไง ในการสอนของท่านเหมาะกับคนจริตแบบไหน แต่ที่ทะเลาะนี่คือพวกลูกศิษย์ที่ไม่เข้าใจในแนวการสอน การอธิบาย อุบายต่างๆที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านได้สั่งสอนมา เอาแต่มองภายนอก ผมว่านะเราหันมาแลกเปลี่ยนธรรมะ ทัศนะคติและความรู้กันอย่างเป็นกลาง วางอุเบกขาและก้ออย่ามีอคติในแบบที่เรียกว่าฉันต้องถูกฝ่ายเดียว หรือเฉพาะพวกข้านี่ต้องถูกฝ่ายเดียวต่อไปเลย เพราะว่ายังไงครูบาอาจารย์และพวกเราก้อมีผู้ที่เป็นทั้งพ่อ และครูบาอาจารย์คนเดียวกันคือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  15. ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์

    ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +314
    อืม ผมว่าพอแม่ครูบาอาจารย์ท่านดีทุกท่านแหละครับ แต่อยู่ที่ว่าหลักการสอนท่านจะสอนในหลักยังไง ในการสอนของท่านเหมาะกับคนจริตแบบไหน แต่ที่ทะเลาะนี่คือพวกลูกศิษย์ที่ไม่เข้าใจในแนวการสอน การอธิบาย อุบายต่างๆที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านได้สั่งสอนมา เอาแต่มองภายนอก ผมว่านะเราหันมาแลกเปลี่ยนธรรมะ ทัศนะคติและความรู้กันอย่างเป็นกลาง วางอุเบกขาและก้ออย่ามีอคติในแบบที่เรียกว่าฉันต้องถูกฝ่ายเดียว หรือเฉพาะพวกข้านี่ต้องถูกฝ่ายเดียวต่อไปเลย เพราะว่ายังไงครูบาอาจารย์และพวกเราก้อมีผู้ที่เป็นทั้งพ่อ และครูบาอาจารย์คนเดียวกันคือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  16. attasaro

    attasaro เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +140
    เห็นด้วยเรื่องการจัดระเบียบ แต่เรื่อง ท่านพระพุทธทาส อันนี้ ไม่รู้ งง ครับ
     
  17. Supernova

    Supernova เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +2,488
    ไม่แสดงความคิดเห็นครับ เพราะผมไม่รู้เช่นกัน
    แต่ผมว่า มาปฏิบัติธรรมกันดีกว่านะครับ เอาเวลามาสร้างสมบารมีดีกว่าครับ

    เรียนคุณ Websnow

    ขอบคุณ คุณ Websnow ครับที่มีเวปนี้ ไม่อย่างนั้นผมก็ยังใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย
    ไปวันๆ ตอนนี้ชีวิตผมอุทิศให้กับศาสนาพุทธ ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่เจริญกรรมฐานโดยมโนมยิทธิไม่เก่ง แต่จิตใจผมเชื่อว่านิพพานมีจริงอย่างแน่นอนครับ
    ผมว่าอนาคตคนในเวปนี้จะมีบทบาทมากในการเผยแพร่พุทธศาสนาครับแบบเต็มตัว ซึ่งคงจะอีกไม่ไกลในอนาคต
    ขออนุโมทนาคุณ Websnow และทุกๆท่านครับ
     
  18. you123

    you123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +191
    กินมาก ฝันมากมั่งค่ะ
     
  19. sanya

    sanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +2,687
    [b-wai] เลิกต่อความกันดีกว่า
    ถึงจะหาหลักฐาน บุคคลต่างๆ มายืนยัน
    ก็จะยิ่งหมางใจกันเปล่าเปล่า
    เอาเป็นว่า ต่างก็มีทัศนะคติและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
    ยอมรับในความต่าง ถืออุเบกขากันดีไหมครับ เพิ่มบารมีกันและกัน
    น่าจะเกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย
    ผมแค่ผ่านมาเห็น จึงขอเสนอแนะเป็นทางเลือก
    หากไม่เป็นที่พอใจ ก็ขออภัยด้วยครับ....
     
  20. rosey

    rosey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +1,345
    หลุมพราง..

    <CENTER>หลุมพราง </CENTER>

    <DD>ผู้ที่เข้ามาศึกษาพระธรรมนั้นล้วนก็มีเหตุผลของแต่ละคนต่างๆกัน แต่เมื่อสรุปลงแล้วก็คือความปรารถนาความสุขอันสถาพร แต่กว่าจะถึงความสุขชนิดนั้นก็คงต้องใช้เวลาไม่น้อยและต้องใช้ความเพียรอย่างมากมายในการศึกษาและปฏิบัติ

    และก็มีไม่น้อยที่เมื่อศึกษาไปๆ ก็กลับหลงทางออกไปเสียจากความสุขสงบ และพอกพูนอกุศลบางชนิดให้เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เพราะขาดความรู้แท้จึงไม่สามารถประยุกต์สิ่งที่เรียนรู้เพื่อให้เข้าถึงประโยชน์ของพระธรรมได้อย่างลุ่มลึก

    ความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวนี้ก็อย่างเช่น การแสดงออกทางบุคลิกภาพที่แปรเปลี่ยนไปจากผู้ที่เคยมีความอ่อนน้อมสุภาพ เปลี่ยนไปเป็นมีความภาคภูมิใจในความรู้จนกระด้างถือตัวขึ้น แสดงความรู้ข่มผู้อื่นจนไม่คำนึงถึงกาลเทศะว่า ควรหรือไม่ควรที่จะทำในสถานที่นั้น หรือกระทำกับผู้ที่สูงด้วยคุณวุฒิ ชาติวุฒิ และวัยวุฒิอย่างไม่สมควร
    </DD><DD>

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]บางครั้งก็กล้าที่จะแสดงเหตุผลขัดแย้งผู้อื่น ด้วยความถือมั่นยืนยันในความคิดตนแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือยึดถือในตำราของตน ครูของตน และปฏิเสธการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น โดยลืมมองให้กว้างขวางออกไปในพระไตรปิฎกที่มีถึง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ที่มีคำอธิบายในแง่มุมที่ต่างกันออกไป

    <DD>บางครั้งก็เกิดความขุ่นข้องไม่พอใจในการกระทำของผู้อื่นที่ผิดพลาด ตัดสินความเป็นไปของผู้อื่นว่าไม่ถูกไม่ควรโดยใช้ความคิดเห็นของตนเป็นหลักควบคู่ไปกับการยกหลักธรรมบางประการไปประกอบความคิดตนอย่างไม่รอบคอบ แล้วก็จดจำเรื่องราวนั้นไว้อย่างไม่ยอมคลาย

    <DD>ตัวอย่างที่ยกมานี้ เป็นเพียงส่วนน้อยที่ปรากฏในพฤติกรรมที่ต่างก็แสดงกันออกมา ซึ่งไม่ได้ปรากฏเฉพาะผู้ที่มีความรู้จากการศึกษาพระธรรม แต่ยังเป็นรวมไปถึงการปฏิบัติหน้าที่การงานต่างๆ ในชีวิต

    <DD>ตัวอย่างที่ยกมานี้ บ่งบอกได้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นพฤติกรรมธรรมดาของความเป็นปุถุชน ซึ่งเป็นการแสดงออกอย่างปกติของพื้นอนุสัย ที่ยังไม่อาจชำระสะสางกิเลสให้เด็ดขาดได้

    การศึกษาพระธรรมนั้นเป็นการชำระกิเลสในขั้นตทังคปหาณเท่านั้น ซึ่งมีอำนาจละกิเลสได้เพียงชั่วคราว แล้วจิตก็เกิดขึ้นเป็นบุญบาปสลับกันไปตามเหตุปัจจัย จึงไม่ใช่เรื่องน่าตำนิติเตียนผู้ศึกษาพระธรรมที่ยังมีอุปนิสัยของปุถุชน ที่ยังมากด้วยกิเลสตัณหาต่างๆ ซึ่งอาจมีความเข้าใจดีในเรื่องของ เหตุ-ปัจจัย ไตรลักษณ์ และอุปาทาน แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยการปฏิบัติ

    จึงไม่แปลกเลยที่ใครบางคนจะจดจำความผิดพลาดของคนอื่นไว้อย่างแน่นแฟ้นในใจ โดยไม่ยกเลิก หรือใครบางคนพร้อมที่จะแบกปัญหาหรือความทุกข์ในตัวตนความเป็นเราต่อไปอย่างไม่รู้จักวางภาระ

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]และทั้งๆ ที่ศึกษาแล้วว่า ชีวิตประกอบไปด้วยขันธ์ ๕ ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล สิ่งทั้งหลาย ไม่มีตัวตน ไม่เป็นของเรา มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปตามเหตุปัจจัย เมื่อมีเหตุปัจจัยหนุนอยู่อุปถัมภ์ค้ำชูอยู่ก็ดำเนินต่อไปได้ พอขาดเหตุปัจจัยก็ดับไป

    <DD>เหมือนเปลวไฟจากตะเกียงน้ำมัน เมื่อยังมีเหตุปัจจัยคือไส้และน้ำมันอยู่ เปลวไฟก็ยังดำรงอยู่ได้ทีละขณะ ๆ พอสิ้นน้ำมันอันเป็นเหตุปัจจัยและไฟได้ไหม้ไส้เท่าที่พอจะไหม้ได้หมดแล้ว เปลวไฟก็ดับไป

    [SIZE=4][COLOR=#993366]แต่ในความเป็นไปแล้ว เมื่อถึงเวลาที่มีอารมณ์มากระทบ ความเป็นตัวตนกลับปรากฏขึ้นในความคิดอย่างทันที ซึ่งนั่นก็คือ[SIZE=4][COLOR=#000000]หลุมพราง [SIZE=4][COLOR=#993366]ที่นักเดินทางอย่างเราๆ เดินตกลงไปอยู่ไม่เว้นแต่ละวันและวันละหลายๆ ครั้ง..ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเช่นกัน

    [SIZE=4][COLOR=#336699]แต่จะทำอย่างไรเล่าที่จะปรับปรุงความผิดพลาดเหล่านั้นให้เกิดน้อยลง และถูกขจัดให้เบาบางออกไป ซึ่งทางตรงก็คือ[B]การเจริญสติปัฏฐาน[/B] แต่ชีวิตของผู้ทุกข์ยากทั้งหลายก็ใช่ว่าจะมีโอกาสกระทำเช่นนั้นได้ตลอดเวลา เราจึงต้องนำหลักธรรมของพระพุทธองค์ในด้านต่างๆ มาเป็นเครื่องขัดเกลาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตตามสมควร

    [SIZE=4][COLOR=#ff6633]<DD><DD>พระพุทธองค์ทรงสอนหลักการดำเนินชีวิตเพื่อประโยชน์ในระดับต่างๆ ไว้มากมาย และให้นำมาปฏิบัติที่ตนเท่านั้น ไม่มีคำสอนข้อใดเลยที่ทรงแนะนำให้ไปใช้บังคับกับคนอื่นโดยที่ตนไม่ต้องปฏิบัติ พระองค์มิได้ทรงสอนให้นำหลักธรรมนั้นไปเป็นมาตรฐานวัดสิ่งที่อยู่นอกตน แต่ทรงสอนให้พิจารณาตนและพัฒนาตนให้พ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวง

    [SIZE=4][COLOR=#3366ff]หากยอมรับในความเป็นปุถุชนของเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายทั้งหลาย และทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า ....ด้วยสภาพที่แท้จริงของธรรมชาติคือ ไตรลักษณ์ ผู้ที่เป็นปุถุชนนั้นย่อมมีโอกาสที่จะกระทำกรรมทั้งดีและชั่วได้ตลอดเวลา หาได้มีความมั่นคงให้คาดหวังได้ ฉะนั้น เมื่อความผิดหวัง ความไม่สมปรารถนา หรือความพลาดพลั้งเกิดขึ้นที่ผู้หนึ่งผู้ใด และการกระทำที่ทำให้ผิดหวังเหล่านั้นก็เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว หาได้เป็นการกระทำอันมั่งคงถาวรของผู้หนึ่งผู้ใดไม่ บางคนอาจจะมีความโลภ มีความโกรธ หรือมีความงมงายในเรื่องใดเรื่องหนึ่งในขณะนี้ แต่ในขณะต่อไปเขาก็อาจทำกรรมชนิดอื่นที่ต่างกันไป ไม่มีความเที่ยงอยู่ในการกระทำนั้นและจิตนั้นในความเป็นจริง จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปจดจำไว้ให้จิตใจไม่สงบจากความฟุ้งซ่าน[/COLOR][/SIZE] [INDENT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#993399]ส่วนความคาดหวังผู้อื่นว่าควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นการกระทำที่สวนทางกับความจริงและความรู้ เพราะความคิดและการกระทำเช่นนั้นคือการพยายามบังคับบัญชาให้บางสิ่งเป็นไปตามปรารถนาของเรา ซึ่งจะมากจะน้อยความคิดเหล่านี้ก็มีความเป็นอัตตาเป็นพื้นฐาน ...อันก่อให้เกิดอุปาทานที่เหนียวแน่นในความเป็นตัวตนคนสัตว์ยิ่งขึ้น

    [SIZE=4][COLOR=#663300]และถ้าไม่พยายามอบรมจิตใจให้ละคลายจากการคาดหวังเหล่านี้ ความเป็นตัวตนเราเขาก็จะเกิดขึ้นอยู่เรื่อยจนสั่งสมความชำนาญและก็แปรสภาพเป็นห่วงโซ่ให้เกิดอกุศลต่างๆ ตามมาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อการไม่คาดหวังลดลงแล้ว ความทุกข์จรก็จะเข้ามาเยี่ยมกรายน้อยลง โศกะ ปริเทวะ เป็นต้นเหล่านี้ก็จะห่างหายไปได้มาก เพราะวางภาระของการคาดหวังลงแล้วนั่นเอง

    [SIZE=4][COLOR=#666699]<DD>หากยอมรับในความเป็นปุถุชนของเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายทั้งหลาย และทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า ... การที่บุคคลต่างๆ กระทำความผิดไปก็เพราะอำนาจของกิเลสต่างๆ ตามกำลังของอกุศลมูลที่มี ทั้งเราเองก็ไม่ได้แตกต่างไป โอกาสที่จะเกิดอกุศลจึงย่อมมีอยู่จลอดเวลา และหาใช่เรื่องควรจะพิพากษาตัดสินใครอย่างยั่งยืนว่า เป็นความผิดที่ควรตำหนิอยู่เสมอ และไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องนำไปวิเคราะห์วิจารณ์ให้เสียเวลาที่จะทำกุศลจิตไป

    [SIZE=4][COLOR=#669966]เมื่อพบกับเหตุการณ์อันเป็นอกุศลเหล่านั้นแล้ว ก็ควรที่จะนำความรู้นั้นมาตรวจสอบใจตนคือ [SIZE=4][COLOR=#993366]หันกระจกธรรม[SIZE=4][COLOR=#669966]นั้นกลับมาพิจารณาตนตระหนักถึงข้อดีข้อด้อยในตนเพื่อที่จะพัฒนาไปสู่ความดีที่สูงขึ้นต่อไป เป็นการนำความรู้ที่ได้จากการศึกษามาแยกแยะชีวิตของตนให้กระจ่างชัด [/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE]</DD><DD>[SIZE=4][COLOR=#669966][SIZE=4][COLOR=#993366][SIZE=4][COLOR=#669966][FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#336600]การยอมรับถึงความเป็นปุถุชนทั้งของตนและของผู้อื่นยอมรับสิทธิของอกุศลมูลที่มีอยู่ครบนั้น จะทำให้ความทุกข์ใจคลายตัวลงได้อย่างเบาสบาย ลดความอาฆาตพยาบาท และวจีทุจริตในการวิพากษ์วิจารณ์ลงได้ สัมพันธภาพแห่งไมตรีก็จะเฟื่องฟูขึ้นในการคบหาสมาคม และมีความสมัครสมานสามัคคีอยู่ร่วมกันได้ด้วยดี ปราศจากศัตรูและความขัดแย้ง เพราะมีความเข้าใจชีวิตที่ถูกต้องและกระทำอย่างถูกควร

    [SIZE=4][COLOR=#663300]หากยอมรับในความเป็นปุถุชนของเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายทั้งหลาย และทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า... [SIZE=4][COLOR=#669900]ความรู้ที่ได้จากการศึกษานี้เป็นเพียงบันไดที่ให้พักเท้าเพียงชั่วคราวเท่านั้น [SIZE=4][COLOR=#663300]หาได้เป็นที่มั่นควรแก่การครอบครองอย่างใดไม่ ฉะนั้นหากคิดถือดีมีมานะลำพองไป หรืออยู่ในฐานะที่ต้องรักษาศักดิ์ศรีที่เคยได้รับการยอมรับ หรือไม่ยอมรับในบุคคลอื่นที่มีความรู้มากกว่า ใครก็ยิ่งกลายเป็นการสร้างสมกิเลสให้มากขึ้น ซึ่งสวนทางกับเป้าหมายที่เริ่มต้น

    [SIZE=4][COLOR=#3366ff]และโทษภัยของความทะนงตนนั้น ก่อให้เกิดภัยลุกลามไปได้อย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะการแสดงความทะนงต่อผู้ที่มากไปด้วยอัตตา ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า ความขุ่นเคืองใจกระทั่งกระทั่งระหว่างกันย่อมมีเกิดขึ้น [/COLOR][/SIZE]
    [/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT]
    [/COLOR][/SIZE][INDENT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#3399cc]<DD>หากรู้จักนำใจเขามาใส่ใจเราบ้าง ก็จะยอมรับได้ว่า ความมีอัตตาเป็นของธรรมดาทั้งเราและเขา เพราะเราเองก็ไม่ชอบให้ใครมาตำหนิหรือล่วงเกิน ผู้อื่นเองก็ไม่ต่างไปจากเราที่ยังคงมีอัตตาอยู่ในวิสัย เพียงแต่ความสามารถในความกดข่มอดทนความไม่พอใจนั้นมีต่างกันไป ซึ่งจะเห็นได้ว่า ความถือตัวนั้นแม้บางครั้งจะไม่ก่อทุกข์แก่ผู้อื่น แต่ก็ก่อทุกข์ให้แก่ตนในฐานะที่เป็นภาระทางใจอันหนักอึ้งในฐานะแห่ง [SIZE=4][COLOR=#993366]"ศักดิ์ศรี"[SIZE=4][COLOR=#3399cc] หรือ[SIZE=4][COLOR=#993366] "เกียรติยศ" [SIZE=4][COLOR=#3399cc]แล้วแบกเอาสิ่งนั้นไว้อย่างเหนียวแน่น อันเป็นอุปาทานที่พอกพูนมากขึ้นในจิต

    [SIZE=4][COLOR=#9966ff]จึงเป็นสิ่งที่ต้องระวังในการแสดงความหลงลำพองในความรู้นั้น เพราะนอกจากจะแสดงถึงความไม่แตกฉานในธรรมอย่างแท้จริงแล้ว ยังเป็นผู้ดูหมิ่นในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยปริยายอีกด้วย เพราะพระพุทธองค์มิได้ทรงสอนเฉพาะเรื่องของการศึกษาธรรม การแสดงธรรม และการฟังธรรมเท่านั้น

    [SIZE=4][COLOR=#ff6666]แต่ยังทรงสอนให้ปฏิบัติในสิ่งที่เป็นมงคลแก่ชีวิตชนิดอื่นๆ อีกด้วย การเลือกเฉพาะบางส่วนไปปฏิบัติอย่างไม่รัดกุมนั้น อาจเป็นเงื่อนไขข้อบังคับให้ชีวิตอยู่ยากยิ่งขึ้นไปและไม่มีความสุขเหมาะสมกับความรู้ที่มี ฉะนั้นหมวดธรรมอื่นที่เป็นพื้นฐานในการสร้างชีวิตไปสู่ความเจริญ และการพัฒนาจิตใจตั้งแต่เบื้องต้น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยเลยในเส้นทางของความดี เช่น

    [COLOR=#0000ff]<DD>ทรงสอนให้มีความเคารพกราบไหว้บูชา ด้วยกาย วาจา และใจ เป็นการแสดงความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ผู้มีคุณธรรม เพราะความอ่อนน้อมจะเป็นเครื่องทำลายความหยิ่งผยองยโส อวดดี มานะถือตัวถือตน และความมีตนอันเสมอท่านสรุปว่า บุคคลผู้ใด เป็นผู้มีจิตใจ กาย วาจา ที่อ่อนน้อมย่อมเป็นที่รักแก่ผู้อื่น เพราะทำให้มีมารยาทงามเป็นที่รักใคร่ทั้งบุคคลทั่วไป และลดความดื้อดึงความถือตัวลงได้ [/COLOR][SIZE=4][COLOR=#996633] [/COLOR][/SIZE]
    </DD><DD>ทรงสอนให้มีความกตัญญูกตเวที อันเป็นคุณธรรมของบุคคลผู้สำนึกในอุปการคุณที่ผู้อื่นกระทำต่อตน และพยายมจะหาทางตอบแทนอุปการะนั้น ซึ่งคุณธรรมข้อนี้พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า เป็นบุคคลหาได้ยาก

    [SIZE=4][COLOR=#336600]<DD>ทรงสอนให้มีศรัทธาและปัญญาประกอบกันด้วยเหตุผล เพื่อประโยชน์สุขร่วมกันของบุคคลทั้งหลายในสังคม ศรัทธาอย่างถูกต้องในพระพุทธศาสนาเหล่านี้เป็นต้น

    [SIZE=4][COLOR=#0000ff]จึงจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรงสอนธรรมไว้โดยเอนกปริยายเพื่อประโยชน์แก่บุคคลทุกระดับชั้นตามภูมิปัญญาเท่าที่จะรู้ได้และนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ แก่ตนตามสมควรแก่ฐานะ และถ้าหากผู้ใดที่มีความเชื่อว่า หลักธรรมอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรประพฤตินั่นก็ยิ่งแสดงถึงความยึดมั่นด้วยทิฏฐิของตนอย่างเด่นชัดและอาจพัฒนาไปเป็นมิจฉาทิฏฐิได้ง่ายหาก มีความยึดมั่นที่สุดโต่งมากขึ้น

    <DD>และหากตั้งต้นความคิดเสียใหม่ว่า หลักธรรมอันเป็นมงคลต่างๆ หรือหมวดธรรมอันเป็นคุณธรรมส่งเสริมชีวิตนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลายสมควรปฏิบัติให้มีในชีวิตอย่างสมบูรณ์ ไม่สุดโต่ง เลือกเฉพาะการศึกษาธรรมเพื่อสร้างปัญญาแต่เพียงประการเดียวแล้ว ความหยาบกระด้างในชีวิตก็จะน้อยลง และความสมบูรณ์ในชีวิตก็จะมากขึ้น รวมทั้งเป็นผู้ที่มีความพร้อมในด้านต่างๆ ที่ไม่เป็นอุปสรรคแก่การศึกษาและปฏิบัติในโอกาสต่อไป

    [SIZE=4][COLOR=#ff6666]ความคิดเช่นนี้ก็จะก่อให้เกิดการกระทำกุศลที่ไม่ประมาท ทั้งเป็นประโยชน์ในการพัฒนาชีวิตตนเองให้พ้นจาก[SIZE=4][COLOR=#000000][B]หลุมพราง[/B][SIZE=4][COLOR=#ff6666]แห่งอัตตา และหันหน้าเข้าสู่สภาพธรรมที่เป็นจริงได้อย่างสะดวกด้วยการเจริญสติปัญญาได้ในที่สุด

    <CENTER>[SIZE=4][COLOR=#0000ff]ด้วยความปรารถนาดีค่ะ
    พี่ดอกแก้ว
    ๑๘ พ.ค. ๒๕๔๙ </CENTER>ข้อความพี่ดอกแก้วที่ข้าพเจ้า นับถือ ขอทุกท่านเจริญ....[/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE]</DD><DD>[SIZE=4][COLOR=#ff6666][SIZE=4][COLOR=#000000][SIZE=4][COLOR=#ff6666][SIZE=4][COLOR=#0000ff]ในธรรม.....[/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE]</DD><DD>(bb-flower </DD><DD>[SIZE=4][COLOR=#ff6666][SIZE=4][COLOR=#000000][SIZE=4][COLOR=#ff6666][SIZE=4][COLOR=#0000ff]
    [/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE] </DD>[/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/INDENT][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#3399cc][SIZE=4][COLOR=#993366][SIZE=4][COLOR=#3399cc][SIZE=4][COLOR=#993366][SIZE=4][COLOR=#3399cc][SIZE=4][COLOR=#9966ff][SIZE=4][COLOR=#ff6666][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT]</DD>[/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/INDENT][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#993399][SIZE=4][COLOR=#663300][SIZE=4][COLOR=#666699][SIZE=4][COLOR=#669966][SIZE=4][COLOR=#993366][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT]</DD>[/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE]
    [COLOR=#993366][SIZE=4][COLOR=#000000][SIZE=4][COLOR=#993366][SIZE=4][COLOR=#336699][SIZE=4][COLOR=#ff6633][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/FONT]</DD>
    [/FONT]</DD>
     

แชร์หน้านี้

Loading...