////// ผู้ไม่เข้าไปหาย่อมหลุดพ้น ///////

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย xeforce, 1 มกราคม 2014.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ไม่ตรงทาง เำพราะเห็นว่า การวัดด้วยวิธีนี้ ยังกรองความเก่งกล้าสามารถไม่ออก ยังปล่อยให้ตัวนี้หลุดรอดออกไปได้ โดยไม่ได้ให้ความสำคัญเลย หรืออาจเป็นเพราะ
    ยังอ่านอาการของการมีสักกายทิฏฐิไม่ขาดนั่นเอง

    +++ ในโพสท์ที่ 33 นั้น เป็นวิธีการตอบคำถามถึง "หลักปฏิบัติ" ที่จะทำให้ "รู้ตัวดู" โดยผ่านการจี้ที่ อัตตาจิต เท่านั้น และไม่เกี่ยวกับส่วนอื่น
    +++ การทดสอบแบบง่าย ๆ นี้ก็เพื่อทำให้สิ่งที่เรียกว่า "อัตตา" ปรากฏขึ้น เมื่อผู้ทดสอบสามารถทราบว่า "อัตตามีลักษณะการปรากฏ" อย่างไรแล้ว ไม่นานก็ย่อมไปถึงความเข้าใจใน สักกายะทิฐิ ได้เอง แต่ที่สำคัญที่สุดคือ "ทำอย่างไร ที่จะทำให้ อัตตา ปรากฏได้ชัด" ซึ่งเป็นบันใดขั้นแรก ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นต่อไป

    ทีนี้ถ้าอยากจะทดสอบกันจริง ๆ แล้ว ก็ไม่มีอะไรยากนัก

    "ดูที่ความหวั่นไหว" ก็ได้

    +++ ถูกครับ และวิธีการ "จี้" ที่อัตตาจิตนี้ย่อมเกิด "ความหวั่นไหว" ตรงนี้ขึ้นมา ผู้ใดทดสอบวิธีนี้ ย่อมรู้ประจักษ์แก่ใจตนเอง ชัดเจน และสามารถสืบสาวราวเรื่องต่อออกไปจาก "ความหวั่นไหว" ตรงนี้ได้ ดังนั้นวิธีนี้จึงเป็นวิธีที่สร้าง "ความหวั่นไหว" ตรงนี้ขึ้นมา

    คือยังหวั่นไหวเรื่องใดก็อันนั้นแหละครับ ยังมีความไม่รู้ซ่อนอยู่ เช่น หวั่นไหวไปว่า เราได้จริงถึงแท้แล้วหรือไม่ ใช่หรือไม่ใช่ จริงหรือไม่จริงหนอ อันนี้ก็เป็นสัญญาณบอกให้รู้ได้เลยว่า ยัง เพราะยังมีวิจิกิจฉาอยู่นั่นเอง ซึ่งสามารถรับรู้ได้ด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลา หรือ ครูบาอาจารย์เองก็สามารถใช้ตรวจสอบความเข้าใจของศิษย์ได้
    ทีนี้มันอยู่ที่ผู้ถูกตรวจสอบเอง จะว่าอย่างไร จะยอมรับความจริงได้หรือไม่ เท่านั้นเอง ยังไม่ต้องถึงกับข้ามไปสร้างมายาทางจิตอะไรขึ้นมาทดสอบก็ได้ครับ

    +++ ถูกทั้งหมดนั่นแหละครับ แต่จะใช้เวลา "นาน" เท่าไรจึงจะจับอาการตรงนี้ออก ดังนั้นผมจึงตอบคำถามคุณ xeforce ด้วยวิธีการ "ทำ" อย่างง่าย ๆ และรวดเร็ว เอาไว้ให้ เท่านั้นเอง และการ "สร้างมายาจิต" ตรงนี้ก็เพื่อใช้เป็นตัว "catalyst" ให้ปรากฏการณ์เกิดขึ้น และความเป็น ตน แสดงผลลัพธ์ออกมา

    +++ ผู้ใดที่ทดสอบ ก็จะรู้ชัดด้วยตนเองว่า วิธีนี้ทำให้เกิด "ความหวั่นไหว" แบบตรง ๆ หรือไม่ และ "ผู้ที่สร้าง" ความหวั่นไหวนั้น คือสิ่งที่เรียกกันว่า "ตน" ใช่หรือไม่ และ ถัดออกจากตรงนี้ก็คือ "ตน" ที่มีอาการของ "ผู้รู้" ที่ยังเป็น "ตัวตน" อยู่ใช่หรือไม่ วัตถุประสงค์ ก็มีเพียงแค่นี้แหละ คือ ทำให้ "ตน" มันกระโดดออกมาเท่านั้นเอง

    +++ ขอให้เข้าใจไว้ก่อนว่า การตอบคำถามของผมนั้นเน้นที่ "วิธีทำ ที่สามารถทำได้" เป็นหลัก และส่วนใหญ่จะไม่ใช่ "การบรรยายธรรม" อะไรมากมายนัก เพราะผู้บรรยายธรรมมีอยู่มากแล้วในเวปนี้ นะครับ
     
  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ครับ

    ความหวั่นไหวนั้น ส่วนมากก็จะไปเห็นแต่ความหวั่นไหวในด้านที่เป็นลบ เช่นความกลัว ความไม่สบายใจใด ๆ โกรธ ยินร้าย เสียมากกว่า แต่ความหวั่นไหวที่เป็นด้านบวก ความยินดีพอใจนี้ เห็นยากกว่า บางทีก็เลยมองข้ามไปเลย เพราะว่าพอใจเสียแล้ว ประมาณนั้นครับ

    ขึ้นชื่อว่า หวั่นไหว เมื่อใดก็ตาม นั้นคือทุกข์ได้เกิดขึ้นแล้ว จะรู้ทันได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้นเอง

    สมาธิท่านเยอะดีนะครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2014
  3. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ีขอบคุณครับท่าน ธรรม-ชาติ สำหรับวิธีพิสูจน์ สักกายทิฏฐิ


    การละสักกายทิฏฐิ
    ขอเสนอการดูไปว่ายังเหลือหรือไม่ อีกวิธีนะครับ
    สำรวจตนได้ว่าเป็นอย่างนี้หรือไม่ เอาตามความเป็นจริงนะครับ

    ถ้าหมดการเห็นผิดว่ามีตัวตน ว่าเป็นเรา จะเห็นอย่างนี้ครับ
    เห็นว่ากายในมันว่างเปล่า จะรู้ว่ามีแค่ธรรมชาติภายในกระทบ
    กัน และเห็นว่าที่มีผลอย่างนี้ เพราะมีเหตุอย่างนี้

    การหมดความเห็นผิดว่ามีตัวตน ว่าเป็นเรา นี้ เมื่อหมดลง จะเห็น
    เหมือนว่าทุกคนเป็นคนเดียวกัน เสมอกันกันด้วย ความหลงในความ
    เห็นผิดในเรื่องตัวตน เพราะเข้าใจธรรมชาติ ของความไม่มีตัวตน...
    เห็นคนอื่นที่ทำผิด ก็เพราะเค้ามีเหตุ มีปัจจัย พร้อมพอดีให้เค้าทำผิด
    เค้าเลยทำผิด ปัจจัยภายในของเค้าเอง นั่นแหละเป็นเหตุ ....
    คนที่เค้าทำผิดเลยไม่มี

    เพราะความไม่เห็นตัวของเราแล้ว จะไม่เห็นความมีตัวตนของผู้อื่นด้วย
    ร่วมถึงสิ่งของ ของตน เพราะตัวตนไม่มีแล้ว ของเราก็ไม่มีด้วย
    แต่ยังมีการปรุงแต่งจิตอยู่ ยังเห็นว่า รูปนี้สวย ได้อยู่ แต่ไม่ไปยึดในรูปนั้น
    เห็นทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลง ปวนแปร ไปสู่ความดับ เสมอ


    อันนี้เป็นอีกวิธีที่ลองพิจารณาดูครับ

    .............................................
     
  4. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    โอ้อารมณ์โสดาบันเลยนะนั่น เพื่อน
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ฮา กลิ้ง !!

    เนี่ยะ คิดเอา คิดเป็นธรรม

    แต่ ไม่ได้ปฏิบัติมา

    ไม่เคย มีความดีเป็นพยานให้กับตน เวลาพูดธรรมมะ มัน ก็ ขาขวิดกันเอง

    ถ้า คนเรามันจะชั่ว ก็แล่นไปสู่ชั่ว เพราะ ปัจจัย มันมี อะต๊อ แต๊ ข่อย
    ไม่สามารถยับยั้งได้ จำต้องทำชั่ว ไปตาม ปัจจัยการ .........

    ไอ้อันนี้เนี่ยะ ภาษาพระที่ ใช้กันอยู่ปัจจุบัน ท่านใช้คำว่า " ขี้ลอยน้ำ "

    ขี้ ลอยไปตาม ยถากรรม ยถาภูตกรรม ลอยตามน้ำ กิเลสเกิดขึ้น ตามน้ำ

    ฮั่นแน่

    ..............

    จริง ประโยคข้างบน หางมันไหวๆ ตั้งแต่มีคำว่า " เค้า " กะ ตะเอง แล้ว

    แล้ว ตัณหามันรีบแทรกด้วยคำว่า " มี "

    กลายเป็น เค้า-มี-ปัจจัยการ คว่ำเลย คว่ำตั้งแต่ ตรงนี้แล้ว !! สักกายทิฏฐิ บานเบอะ
    เลอะเทอะเปรอะเปื้อนจน เปียกแฉะฉ่ำไปหมดแล้ว ตะเอง

    ท่านCEO คร้าบ นิรโทษ สุดซอย เลย นะนั่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2014
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตามความเป็นจริง คือ การละสักกายทิฏฐิ "ต้องรู้ ในขณะที่มันมีอยู่ หรือ ปรากฏอยู่" จึงจัดเป็น "ปัจจุบันธรรม" (จี้ให้มันปรากฏ แล้วทำให้มันถูกรู้) ยามใดที่ "ทำไม่ให้มันเหลืออยู่" ยามนั้น "ย่อมตกไปใน ธรรมารมณ์" และมันไม่ได้หายไปไหน เพราะมันแปรตัวมันเองเป็นธรรมารมณ์ไปแล้ว (ผู้ใดที่รู้จัก ตน ได้ดีก็จะรู้ได้ว่า สภาวะที่เป็น ตนในส่วนนามธรรม นั้นแปรสภาพได้ ตัวอย่างชัด ๆ คือ ความเป็นตนในสภาวะของ อรูปพรหม)

    +++ ตรงนี้เป็นผลลัพธ์ก็จริงอยู่ แต่ "วิธีการทำ" ไม่ได้บอกมา ดังนั้น "การแสดงผล โดยที่ไม่ได้บอกที่เหตุ จึงเลื่อนลอย" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "จะรู้ว่ามีแค่ธรรมชาติภายในกระทบกัน" นั้น จะมีกี่คนที่ "เห็นจริง" โดยไม่ได้ใช้ ความนึก ความคิด เข้ามาเจือปนและแทรกแซง

    +++ ปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ว่า "เห็นตัวตน" ก่อนหรือไม่ หากไม่สามารถเห็น สิ่งที่ต่อออกไปจากความเข้าใจ "ตน" ก็จะไม่เกิด และเป็นการ "สูญเปล่า" ในการปฏิบัติธรรม
    และถ้า "เห็นตน" แล้ว กระบวนการในการ "เดินจิต" เพื่อทำความเข้าใจกับมันก็จะเกิดขึ้นมาเอง และ "ไม่ใช่กระบวนการ นึก คิด" แต่อย่างใดทั้งสิ้น และในท่ามกลางระหว่างในช่วงนี้ "ความเป็นตนที่ถูกรู้" จะมีปรากฏอยู่ตลอดเวลา

    +++ อย่า "ด่วนสรุป" ด้วยความคิดใด ๆ นะครับ โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมนั้น "อย่าเอา ตรรกะ ทางโลก" เข้ามาเรียงเหตุผล ทุกอย่างต้องเกิดมาจาก "การเห็น สภาวะนั้น ๆ ก่อน" และการเห็นนี้ ไม่ใช่ "การนึกเห็น คิดเห็น" แต่เป็นการ "เห็นสภาพ" ของมัน แต่อาจจะ "ใช้" การนึกเข้ามาแล้ว "ทำให้เห็นสภาพ" ของมันได้

    +++ วิธี "พิจารณา" แบบนี้มีแยะในเวปนี้แล้วครับ แต่ "วิธีในการเห็นสภาวะจริง ๆ" กลับไม่ค่อยมีใครเจอ นะครับ
     
  7. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ท่่าน ธรรม-ชาติ คิดว่า ข้อความข้างต้น ที่ผมบอกไป
    เป็นของผู้ที่ ละสักายทิฐิ ได้แล้วหรือไม่ครับ ...
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ยังไม่ได้ นะครับ

    +++ คุณ xeforce ควรเข้าใจในคำว่า "กาย" ให้ละเอียดเสียก่อน

    1. "กาย" คือ "สิ่งที่จิตอาศัยอยู่ และยึดสภาวะนั้นเป็นตน"
    2. หากไม่ "เห็น" ความเป็น "ตน" ให้ดีแล้ว ย่อมไม่สามารถสืบสาวราวเรื่องไปยัง "ความเป็น กาย" ได้

    +++ การ "พิจารณาต่าง ๆ" เป็นเพียงแค่ "การสร้างภาพสมมุติของตน" เท่านั้น แต่ไม่สามารถทำให้ "ตน" ปรากฏออกมาอย่างแท้จริงได้ เพราะ "การพิจารณาทุกชนิด เป็นจิตส่งออก"

    +++ คำว่า "พิจารณา" ตามอาการของ "ภาษาในปัจจุบัน" ก็คือ "การคิด การสมมุติ" ซึ่งแตกต่างจาก ภาษาของครูบาอาจารย์สายกรรมฐาน ซึ่งหมายถึง "การหยุดคิดทั้งหมด แล้วจึง ดู หรือ จดจ่อ สภาวะธรรม" (ตั้งกายตรง ดำรงค์สติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า) ดังนั้นคุณ xeforce ควรเข้าใจในเรื่อง "การใช้ภาษาให้ตรงตามอาการของจิต ในแต่ละ ยุค บุคคล และ สถานที่" ด้วย

    +++ วิธีที่ผมกล่าวไว้ในโพสท์นี้ คือวิธีที่ "ใช้จิต จี้ กลับเข้าหาตน" จน "ร่องรอยแห่งความเป็น ตน ปรากฏ" และเมื่อปรากฏแล้ว จึง "สังเกตุความเป็น ตน" นี้ให้ดี ว่า "ตน ใช้อะไรเป็น เครื่องอยู่" เมื่อทราบชัดถึงสิ่งที่เรียกกันว่า "เครื่องอยู่ของจิต" แล้วก็จะทราบได้เองว่า "อะไรคือ กาย" จากนั้นก็จะทราบได้เองว่า "จิตสามารถกำหนด กาย" ได้เองตลอดเวลาด้วยสภาวะของ "ธรรมารมณ์" ที่เสพอยู่ (ตรงนี้จะเกี่ยวพันกับความเข้าใจในเรื่องของ กายที่เกิดในภพภูมิ ประกอบกันไปด้วย แต่จะไม่อธิบายใด ๆ ในที่นี้ จนกว่าจะพบในสิ่งที่เรียกว่า "ตน" ให้ดีเสียก่อน) และ จนกว่าจะสิ้นสงสัยในเรื่องนี้ จึงจะนับได้ว่า "ละสักกายะทิฐิ" แล้ว เท่านั้นเอง นอกนั้นไม่นับ นะครับ
     
  9. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ขอตอบท่าน ธรรม-ชาติตรงนี้ก่อนว่า ผมไม่ได้บอกว่า วิธีการ
    ที่ท่าน ธรรม-ชาติ กล่าวมา นั้นไม่ดี ...แต่แค่เสนอวิธี เป็นตัวเลือก
    อีกวิธีเท่านั้น (ลองกลับขึ้นไปอ่านอีกครั้งครับ) ส่วนเรื่องของ
    การละสักกายะทิฐินั้น หากผู้นั้นละได้จริง สามารถน้อมจิตเข้าสำรวจ
    ตนได้ทุกเวลา ซึ่งต่างจากผู้ที่ยังละไม่ได้ จะต้องคอยทดสอบในขณะ
    ที่มีสิ่งเข้ามากระทบขณะนั้น แต่ผู้ที่ยังละไม่ได้จริง ขณะที่เค้าทดสอบ
    อยู่นั้น แน่ใจได้อย่างไรครับ ว่าจะวางใจเป็นกลางจริง ... ก่อนทดสอบ
    เค้าย่อมรู้สิ่งที่กำลังจะเจออยู่แล้ว ผลการทดสอบอาจจะเข้าข้างตนก็ได้
    หากมีผู้ละสักกายะทิฐิได้จริง มาอ่านข้อความนี้ ก็จะทราบอย่างที่ผมกล่าว
    ว่า "น้อมเข้าไปดูในตนได้ทุกขณะจริงไหม" การทำอย่างนี้ไม่ใช่
    การใช้ความคิด เข้าไปดู หรือ พิจารณาเอา..... สภาวะละสักกายทิฐินี้อยู่แต่
    ผู้ละได้จริง ไม่เข้าไปให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ แต่เมื่อน้อมเข้าดูจะรู้ได้ตลอด
    ขอยกตัวอย่างนะครับ ... เราเกิดเป็นผู้ชาย เราจะต้องคอยดูตัวไหมครับว่า
    เราเป็นผู้ชายไหม เวลานี้เปลี่ยนไปเป็นผู้หญิงไหม... แต่เมื่อใดที่คนอื่นมา
    ถามว่า"ความผู้ชายเป็นยังไง" เราจึงน้อมเข้ามาสังเกตุว่าเป็นอย่างไร...
    ไม่ต้องไปทดสอบทดลองให้ตนแน่ใจก่อน ก็สามารถตอบเขาไปได้...
    และขอยืนยันว่า น้อมเข้ามาสำรวจได้จริงครับ แต่ต้อง "เอาตามความเป็นจริง"
    เหมือนข้อความข้างต้น ที่ผมบอกว่าให้เอาความเป็นจริง ไม่ต้องหลอกตนเอง
    เพราะตนนั้นและเป็นพยานในตนแล้ว ว่าละได้อย่างนั้นหรือไม่


    .............................................
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ขอตอบท่าน ธรรม-ชาติตรงนี้ก่อนว่า ผมไม่ได้บอกว่า วิธีการที่ท่าน ธรรม-ชาติ กล่าวมา นั้นไม่ดี ...แต่แค่เสนอวิธี เป็นตัวเลือกอีกวิธีเท่านั้น (ลองกลับขึ้นไปอ่านอีกครั้งครับ)

    +++ ผมก็ไม่ได้พูดว่า อะไรดีหรือไม่ดี ใครที่ใช้วิธีที่ผมบอกไว้ ก็ชัดเจนได้ด้วยตนเอง ส่วนใครที่ไม่ใช้ ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล ผมไม่ได้ไปก้าวก่ายอะไร ใครหา "ตน" เจอแล้วก็อนุโมทนาด้วย ส่วนใครที่ยังไม่เจอ แล้วไม่ลองก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม ช่วยได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่แบกภาระต่อไป

    ส่วนเรื่องของ การละสักกายะทิฐินั้น หากผู้นั้นละได้จริง สามารถน้อมจิตเข้าสำรวจ ตนได้ทุกเวลา ซึ่งต่างจากผู้ที่ยังละไม่ได้ จะต้องคอยทดสอบในขณะ ที่มีสิ่งเข้ามากระทบขณะนั้น แต่ผู้ที่ยังละไม่ได้จริง ขณะที่เค้าทดสอบ อยู่นั้น แน่ใจได้อย่างไรครับ ว่าจะวางใจเป็นกลางจริง ...

    +++ ผู้ที่ละ "สักกายะทิฐิ" แล้ว "จะไม่มีการย้อนกลับมาทดสอบอะไรอีก" ตรงนี้เป็นเรื่องของการ "ขาดแล้วขาดเลย" และ จิตของผู้ที่ผ่านแล้ว จะรุดหน้าเข้าสู่ "การสิ้นภพภูมิ" อย่างเดียวที่ผู้ละ "สักกายะทิฐิ" จะทำคือ "หาทางไปให้พ้นจาก กาย ที่เป็นสังขตะธรรม ทั้งหมด" ดังนั้น หากผ่านแล้ว "จะไม่กลับไปทดสอบใด ๆ อีก" ส่วนวิธีที่ผมให้ไว้นั้น ผมให้ไว้สำหรับ "ผู้ที่ยังหา ตน ไม่เจอ" ส่วนผู้ที่หา ตน เจอแล้ว "ไม่เกี่ยว" นะครับ

    ก่อนทดสอบ เค้าย่อมรู้สิ่งที่กำลังจะเจออยู่แล้ว ผลการทดสอบอาจจะเข้าข้างตนก็ได้ หากมีผู้ละสักกายะทิฐิได้จริง มาอ่านข้อความนี้ ก็จะทราบอย่างที่ผมกล่าว
    ว่า "น้อมเข้าไปดูในตนได้ทุกขณะจริงไหม" การทำอย่างนี้ไม่ใช่ การใช้ความคิด เข้าไปดู หรือ พิจารณาเอา..... สภาวะละสักกายทิฐินี้อยู่แต่ ผู้ละได้จริง ไม่เข้าไปให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ แต่เมื่อน้อมเข้าดูจะรู้ได้ตลอด

    ขอยกตัวอย่างนะครับ ... เราเกิดเป็นผู้ชาย เราจะต้องคอยดูตัวไหมครับว่า เราเป็นผู้ชายไหม เวลานี้เปลี่ยนไปเป็นผู้หญิงไหม... แต่เมื่อใดที่คนอื่นมา ถามว่า"ความผู้ชายเป็นยังไง" เราจึงน้อมเข้ามาสังเกตุว่าเป็นอย่างไร... ไม่ต้องไปทดสอบทดลองให้ตนแน่ใจก่อน ก็สามารถตอบเขาไปได้... และขอยืนยันว่า น้อมเข้ามาสำรวจได้จริงครับ แต่ต้อง "เอาตามความเป็นจริง" เหมือนข้อความข้างต้น ที่ผมบอกว่าให้เอาความเป็นจริง ไม่ต้องหลอกตนเอง เพราะตนนั้นและเป็นพยานในตนแล้ว ว่าละได้อย่างนั้นหรือไม่

    +++ หากคุณ "รู้จัก ตน" ดีแล้วก็อนุโมทนา วิธีการที่ผมให้ไว้ก็ "ไม่เกี่ยวกับคุณ" กระทู้นี้อยู่ในที่ สาธารณะ ดังนั้นผู้ที่อ่านย่อมเป็น "สาธารณะชน" ไม่ใช่ใครคนหนึ่งคนเดียว ผู้ใดที่ได้แล้ว "ก็ผ่านไป" ส่วนผู้ใดที่ยังไม่ได้ ผมก็ทิ้งอุปกรณ์การเดินทางไว้ให้ ส่วน "ใครจะหยิบ หรือ ไม่หยิบมาใช้" ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล

    +++ ส่วนคำตอบในโพสท์ที่ 43 ของคุณ xeforce ที่เสนอมานั้น ใจความหลัก ๆ เป็นดังนี้

    การละสักกายทิฏฐิ ขอเสนอการดูไปว่ายังเหลือหรือไม่ เอาตามความเป็นจริงนะครับ

    1. ถ้าหมดการเห็นผิดว่ามีตัวตน ว่าเป็นเรา จะเห็นอย่างนี้ครับ เห็นว่ากายในมันว่างเปล่า จะรู้ว่ามีแค่ธรรมชาติภายในกระทบกัน และเห็นว่าที่มีผลอย่างนี้ เพราะมีเหตุอย่างนี้

    +++ อาการที่กล่าวมาเป็นอาการของ "กิริยาจิต" (ธรรมชาติภายในกระทบกัน) ไม่ใช่อาการที่พ้น "สักกายะทิฐิ" จนกว่าจะถึง "ผู้สร้างกิริยาจิต" จึงเริ่มเข้าถึง "ตน"

    2. การหมดความเห็นผิดว่ามีตัวตน ว่าเป็นเรา นี้ เมื่อหมดลง จะเห็นเหมือนว่าทุกคนเป็นคนเดียวกัน เสมอกันกันด้วย ความหลงในความเห็นผิดในเรื่องตัวตน เพราะเข้าใจธรรมชาติ ของความไม่มีตัวตน...

    +++ ยังอยู่ในระดับ "เห็นกิริยาจิต ต่อ กิริยาจิต" เป็นการมองแบบ "ระบบการทำงานของจิต" แต่ยังไปไม่ถึง "อัตตาจิต" (ความเป็นตน) ซึ่งเป็นผู้สร้าง "กิริยาจิต"

    3. เพราะความไม่เห็นตัวของเราแล้ว จะไม่เห็นความมีตัวตนของผู้อื่นด้วย ร่วมถึงสิ่งของ ของตน เพราะตัวตนไม่มีแล้ว ของเราก็ไม่มีด้วย แต่ยังมีการปรุงแต่งจิตอยู่ ยังเห็นว่า รูปนี้สวย ได้อยู่ แต่ไม่ไปยึดในรูปนั้น เห็นทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลง ปวนแปร ไปสู่ความดับ เสมอ

    +++ ผู้ใดที่ไปถึง "อัตตาจิต" และจัดการกับมันไปได้ในระดับหนึ่งแล้ว จะมีอาการที่เด่นชัดประการหนึ่งคือ "เบื่อหน่ายต่อการ พิจารณา ทุกชนิด" "เบื่อหน่ายต่อการ ปรุงแต่งของ สังขารจิต" แม้สังขารจิตยังมีการปรุงแต่งอยู่แต่ก็จะเป็น "สังขารุเบกขาญาน"

    อันนี้เป็นอีกวิธีที่ลองพิจารณาดูครับ

    +++ อีกประการหนึ่งคือ "อัตตาจิต" นี้คือ "วิญญาณขันธ์" ตัวที่คุณ xeforce ถามหามาตั้งแต่ในโพสท์แรกนั่นแหละ

    "แต่ก็มาเอ๊ะใจ กับ การที่มันเห็น แค่ ขันธ์เพียง 4 ขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร แต่วิญญาณตัวที่เข้าไปรู้นั้น ก็ไม่เห็นตัวมัน วิญญาณที่เข้าไปตั้งอยู่ ในขันธ์ทั้ง 4 เมื่อมันยังไปยึดในอุปาทาน แล้วจะพ้นจากอุปาทานขันธ์ได้อย่างไร "

    +++ และนี่ก็คือ การบอกแนวปฏิบัติที่คุณ xeforce ขอมาตั้งแต่ต้น ในโพสท์ที่ 18 นั่นเอง

    ขอถามท่าน ธรรม-ชาติ นะครับ "รู้ตัวดู" จะปฏิบัติอย่างไร เผื่อเป็นแนวทางในปฏิบัติสำหรับท่านอื่น ที่กำลังติดจุดนี้ครับ

    +++ อัตตาจิต (ความเป็นตน) วิญญาณขันธ์ (ขันธ์ที่ไปจุติของขันธ์ 5) กายธรรมารมณ์ (สติปัฏฐาน) ผู้รู้ (ที่ถูกรู้) ผมใช้ภาษาเรียกมันอย่างสั้น ๆ ว่า "ตัวดู"

    +++ อุปกรณ์ที่ผมให้ไว้ในกระทู้นี้ "ใครจะใช้หรือไม่ ก็แล้วแต่" ใครที่เห็นประโยชน์ก็ได้ไป ส่วนใครที่เห็นว่า "ไร้สาระ" ก็ "วางไว้"

    +++ สิ่งที่คุณ xeforce ติดอยู่ (โพสท์แรก) และสิ่งที่ขอมา (โพสท์ 18) ผมให้ไว้ด้วยกันแล้ว ดังนั้น ทั้งหมดก็แล้วแต่คุณ xeforce นะครับ
     
  11. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    น่าจะเป็นการเข้าไปเห็นการทำงานของใจ ความคิดที่ต่อไปเป็นอารมณ์ ขณะที่จับตรงนี้ พอข้ามไปเข้าไปจับเอาความรู้มาเป็นของตน สำคัญมั่นหมายในสิ่งรู้ ตรงนี้เลยถูกบังเสียจากการระลึกรู้ต่อหน้า
     
  12. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    สุดยอกเลย อ่านไม่รู้เรื่องเลยว่ะ พยายามอ่านหลายรอบแล้ว ภาษาอะไรวะ อ่านเข้าใจยากจังว่ะ

    ขอโทษที่ใช้ว่ะ ติดตามอ่านอยู่ ทุกวันแต่อ่านไม่รู้เรื่องเลย อยากจะรู้เรื่อง แต่ทำไงก็ไม่เข้าใจ ก็มึงโง้ไง
     
  13. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เอ้อ! บางทีผมก็งง ๆ อยู่เหมือนกันนะ ที่ว่า เห็นตัวดู หรือตัวอัตตาจิตอยู่นี่
    ผมก็เห็นมันซอกแซกรู้ไปทั่ว สัมผัสไปทั่วอยู่เหมือนกัน
    กลัว อยาก ทำใจ หลบเข้าสมถะ หลบเข้าวิปัสสนา ปล่อยวาง
    เห็นเกิดเห็นดับ เห็นหมด ไอ้โน่นไอ้นี่ เกิดดับ เวทนา สัญญา เกิดดับ เข้าใจหมด

    แต่นั่นก็ยังไม่ชื่อว่า เห็นความเป็นตนอย่างแท้จริง
    ยังชื่อว่า เห็นไม่รอบ เห็นแต่ข้างนอกหมด ไม่เห็นความเป็นตนโดยที่สุดอย่างแท้จริง
    ถ้าเห็นจริงเมื่อไหร่ มันเลิก เลิกมีทิฏฐิที่สำคัญมั่นหมายในความเป็นตนได้เด็ดขาดครับ
    ทีนี้เห็นอย่างไร ค่อย ๆ ประคบประหงม ค่อย ๆ เรียนรู้กันไปครับ บอกไม่ได้

    ถึงบอกไปหมด ก็จะได้แต่อุปาทานไปครอง
    ถ้าธรรมไม่ปรากฏแก่ใจตนเองจริง ๆ ก็ยังหลงอยู่ดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2014
  14. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    ไม่มีใครเห็นตนได้หรอกครับ
    1ถ้าไม่ได้ฌาน 4
    2ถ้าไม่ได้ อนาคามี
    3มีอีกวิธี คือ เห็น ความคิด เห็นอารมณ์ ไปเรื่อยๆๆ ทำเหตุนี้ รอมันรวมของมันเอง อาการรวมคือ สิ่งสังเกตุ
    1ลมหายใจจะระเอียดขึ้น
    2ตัวเราจะเบาขึ้น
    3ถ้าเรานั่งเฉยๆๆเนี่ยเราจะสังเกตุว่า ลมมันหายใจตรงๆๆแถวสะดือลมน้อยๆๆๆๆๆๆนะ

    แล้วช่วงที่มันรวมลงเนี่ย ผู้รู้นะจะใช้ภาษาไงวะ มันจะติดกับอารมณ์ของราคะ ถ้าราคะเราเป็นตัวแรกนะ แต่ถ้าโทษเราเป็นตัวแรก ผู้รู้มันจะติดโทษะ

    มันจะมีอาการเหมือน ยกตัวอย่างนะ เหมือนสายยางมันตัน ที่ตันนั้นมันเป็นโทษะ แล้วผู้รู้กับกำลังสมาธิรวมกันมันจะดันให้โทษะนั้นหลุดออกจากสายยาง น่ะ พอหลุดปับ ผู้รู้ก็จะวิ่งไปติดที่ราคะอีกถ้าราคะเป็นตัวที่2 มันก็ดันอีก ราคะก็หลุดอีก แล้วผู้รู้ก็วิ่งไปที่สมองไปดันความคิด หัวสมองจะโล่ง

    แล้วทีนี้ผูรู้กับสมาธิก็จะนิ่ง กายเบาใจเบา ลมเบานุ่มนวล ละมุน ละไม เราจะสังเกตุได้ที่ร่างกายเรานะ มันจะละมุน ละไม นวลๆๆๆ ซักพักผู้รู้ก็ถอนออกมานะ

    แต่อำนาจของความนวลก็ยังคุมเราอยู่นะ อยู่ซัก 1ถึง2วันได้ อันนี้ขึ้นอยู่กับสมถะใครแรง ถ้าแรงก็อาจอยู่ได้7 8 9วัน ถ้าไม่แรงก็อยู่ได้2วัน แล้วก็เสื่อมเหมือนคนปกติ

    แล้วรอจนกว่าซัก3 4วันนะ เพื่อพิจารณาว่า กิเลสหายไปเท่าใด โดยทดสอบในชีวิตประจำวันในการรับผัสสะตัวเดิมๆๆๆๆ

    ก็จะเดาๆๆๆๆได้ว่า โทษะหายไปเท่าใด ราคะหายไปเท่าใด ความคิดฟุ้งซ่านหายไปเท่าใด

    แต่มีอีกวิธีนึงที่เช็คได้ แล้วแต่บุคคล ใช้เจโตเช็คเอา
     
  15. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :cool::cool::cool::cool::cool:
     
  16. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ไม่มีใครเห็นตนได้หรอกครับไม่ว่าจะได้ฌาน4 หรือไม่ได้ก็ตาม เพราะไม่มีตนมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
    การเห็นรูปนามโดยความเป็นอนัตตานี้ ไม่จำเป็นต้องฌาน 4 เสมอไปครับ

    บางท่านบรรลุธรรม(ไม่ว่าขั้นไหนก็ตาม)จิตรวมแค่ปฐมฌาน
    (พวกนี้ในช่วงที่ปฏิบัติ อาจจะไม่ได้ฌานมาก่อนเลย หรือได้แค่ปฐมฌาน)

    บางท่านบรรลุธรรมจิตรวมแค่ทุติยฌาน

    บางท่านบรรลุธรรมจิตรวมแค่ ตติยฌาน

    ระหว่างปฏิบัติธรรมจิตไม่จำเป็นต้องรวมถึงฌานก็ได้แต่เวลาบรรลุธรรมจิตจะรวมเป็นฌานเสมอ แต่ไม่จำเป็นต้องฌาน 4 เสมอไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2014
  17. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    สาธุสุกยอกจริงๆๆนักปราชญ์ชั้นยอด

    คำว่าตนในที่นี้ของ อาตมาภาพนั้นคือ ผู้รู้ขะเจ้า อาตมาก็เลยต้องแสดงไม้ยามกไปว่า จะต้องได้ฌาน4 ถึงจะเห็นทิฐิจิต คือจิตที่ไร้คว่มคิดนั่นเอง ขะเจ้า
     
  18. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ไม่จำเป็นหรอกครับ พระอรหันต์บางท่านบรรลุอรหันต์เพียงแค่ใช้ฌาน1เป็นบาทฐานแห่งวิปัสสนาก็เพียงพอต่อการสำเร็จอรหันต์แล้ว

    การเห็นจิตนั้น แม้ไม่เห็นจิตที่ปราศจากความคิด ก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องวิธีในการเห็นจิตในจิตตานุปัสสนา สติปัฏฐานไว้ว่า จิตมีราคะก็ให้รู้ชัดว่าจิตมีราคะ จิตมีโทสะรู้ว่ามีโทสะ ฯลฯ

    ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นจิตที่ไร้ความคิดก็ สามารถทำวิปัสสนาได้
    และถึงแม้จะบรรลุอรหันต์แล้วก็ตาม ถึงจะไม่เห็นจิตที่ไร้ความคิด ก็ไม่ทำให้ความเป็นอรหันต์เสื่อมไปแต่อย่างใด

    เราจะเห็นจิตจริงๆ ซึ่งปราศจากความคิดนั้นในวินาทีที่บรรลุธรรม ซึ่งวินาทีบรรลุธรรมนั้นจิตต้องรวมเป็นฌาน แต่จะเป็นฌานไหนนั้นขึ้นกับ ว่าผู้ปฏิบัตินั้นเคยทำได้สูงสุดถึงแค่ฌานไหน เวลาบรรลุก็จะได้ไม่เกินฌานนั้นๆ ส่วนผู้ที่ไม่เคยได้ฌานมาก่อนในชีวิต จิตก็จะรวมเป็นปฐมฌานเองตอนบรรลุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2014
  19. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    จ้ากๆๆๆ ตามสบายเลย แต่ข้าเจ้าของบรรลุอรหันต์ด้วยฌาน 4ละกัน อย่าแย่งกันเน้อ อาหารคนละจานกัน บอกไว้ก่อน
     
  20. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    :d:d:d


    ถ้าเห็นทุกข์และเหตุแห่งทุกข์จากการหลงยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตน

    ความหลงว่ามีตัวมีตนที่เที่ยงแท้แน่นอนได้เมื่อไหร่

    ก็จะเข้าใจทันทีว่า อุปาทานขันธ์เป็นตัวทุกข์ได้อย่างไรเมื่อนั้น

    และเมื่อมองย้อนกลับไปยังวิธีการศึกษาปฏิบัติที่ผ่านมา ก็จะพบความจริงว่า

    ที่จริงไม่ได้จำกัดรูปแบบตายตัวอะไร แต่หลักใหญ่ ๆ เขามีอยู่

    คือเรื่องของ "ศีล สมาธิ ปัญญา" ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้นั่นเอง


    อาศัยการประพฤติกายวาจาใจสุจริตเป็นตัวส่งเสริม

    เจริญและอาศัยสมถะและวิปัสสนา ช่วยในการหาความเป็นตนผู้ยึดมั่นถือมั่นให้เจอ

    ดูการทำงาน อ่านกิเลสในใจตนเองให้ออก เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เห็นความเกิดดับตามความเป็นจริง

    ถ้าเดินอยู่บนหลักการนี้ ไม่หลงไปไหนเสียก่อน ก็จะต้องมีสักวันหนึ่งที่เห็นรอบได้อย่างแท้จริง

    เปรียบเหมือนการเห็นช้างได้ครบทั้งตัว ไม่ใช่การเห็นเพียงแค่มุมใดมุมหนึ่งอีกต่อไป

    สัจธรรมความจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนไว้ก็จะปรากฏขึ้นให้ได้ประจักษ์ชัดเองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...