ผลที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมาจาก “กรรม” ทั้งสิ้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 26 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    lptohruleofkarma.png
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    พระอาจารย์ดัง 10 องค์กว่าๆ ไปนรกหมดแล้ว
    โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    หนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม 1 ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆ ท่านครับ
    ...................................

    48. พระครูสุวรรณพิทักษ์บรรพต

    อันนี้ เรามาเลี้ยวเข้าจังหวัดพระนครเสียหน่อย มากรุงเทพฯ นะ ก็ดีเข้ากรุงเทพฯ กันเสียที อ้อ เรื่องของกรุงเทพฯ ยังมีพระอีกองค์หนึ่งนะ พระกรุงเทพฯ น่ะ หลวงพ่อนาค

    พระครูสุวรรณพิทักษ์บรรพต คณะ 11 วัดสระเกศ พระองค์นี้หลวงพ่อปานเคารพมาก แล้วก็สรรเสริญมากว่าเป็นพระดี ท่านเคยสั่งว่าเวลาฉันตายแล้วนะ เวลามีอะไรขัดข้องก็มีหลวงพ่อพระครูสุวรรณพิทักษ์บรรพตนี่แหละพอที่จะเป็นที่พึ่งได้ ท่านสั่งไว้หลายองค์ แต่ละองค์ก็มีอายุมากๆ เกรงว่าจะตายไป องค์โน้นตายเสียแล้วจะได้อาศัยองค์นี้ ท่านว่ายังงั้น ทีนี้ตอนที่หลวงพ่อปานตายแล้ว อาตมาก็ไปสมัสการท่าน องค์นี้เรื่องไม่มาก หูท่านหนัก เวลาพูดก็ต้องพูดดังๆ ไอ้เราเป็นคนเคารพคนแก่อยู่แล้ว จะพูดดังก็เกรงใจ เกรงจะหาว่าเป็นการเหยียดหยามคนแก่ แต่ท่านก็เกณฑ์ให้พูดดังๆ ถ้าพูดไม่ดังท่านก็ไม่ได้ยิน เวลาไปหาท่าน ปรากฏว่าอายุ 93 ปีแล้ว

    ครั้งแรกท่านถามก่อนว่ามาจากไหน ก็กราบเรียนท่านว่ามาจากวัดบางนมโคขอรับ ควาจริงตอนนั้นเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว เกล้ากระผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ท่านก็ยกมือขึ้นป้อง ร้องว่า อ๋อ ไอ้ลูกศิษย์ท่านปานเรอะ ไอ้ลิงดำใช่ไหม

    เอาเข้าแล้ว ไม่รู้ว่ารู้จักยังไง

    เลยกราบเรียนถามท่านว่ารู้จักยังไงขอรับ ตอบว่าข้ารู้ อาจารย์แกเขาเคยบอกให้ฟัง เรื่องนี้เล่าไว้ตอนต้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะที่พูดนี่ไม่ได้เขียนก็ไม่ทราบว่าพูดแล้วหรือยัง

    ตอนนี้ก็เลยขอย่อเรื่องเอาสั้นๆ เป็นอันว่าไป คราวนั้นก็เอาชื่อของอาจารย์ทั้งหลายที่เก่งในทางไสยศาสตร์ ลงเลขลงยันต์ คงกระพันชาตรี เหนียวแบบนั้นเหนียวแบบนี้ มีลูกศิษย์ลูกหามากไปถวายท่าน
    บอกว่าพระทั้งหมดนี้ 10 องค์กว่าๆ เวลานี้ตายแล้วขอรับ เกล้ากระผมอยากทราบว่า พวกนี้ตายแล้ว ไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน หรือไปนรก ท่านบอก เออดีเหมือนกันว่ะ ถามงี้ก็ดี ไม่ค่อยมีใครมันถามหรอกว่าไอ้นรกนี่ข้าไปเที่ยวเสมอ แต่อเวจีไม่ได้ลงสักที เห็นไฟมันพลุ่งๆ ขึ้นมา อยากจะไปดูให้เห็นพอจะไปก็พอดีสว่าง เขาไปตามบอกสว่างเสียแล้ว นี่เป็นหน้าที่ของเทวดาอิน เทวดาอินแกอยู่ที่ทางสี่แพร่ง ทางไปนรก ไปพรหม ไปสวรรค์ แล้วก็มามนุษย์ แกมีหน้าที่คอยตามพระหรือฆราวาสที่ได้ฌานที่เพลินไป ไม่กลับตามเวลา ตามให้กลับว่าเวลาจะสว่าง

    ท่านได้รับบัญชีไว้แล้ว ท่านก็บอกเอายังงี้นะ พรุ่งนี้มาใหม่ข้าจะบอกให้ฟังว่า เขาจะไปทางไหนกัน ก็เลยกลับ

    เมื่อกลับมาแล้ววันรุ่งขึ้นเช้าก็ไปใหม่ พอไปแล้ว ท่านก็รายงานให้ทราบ ท่านบอกว่า เออ อาจารย์พวกนี้ว่ะ เมื่อคืนนี้ข้าไปดูมาแล้ว ไม่เห็นมีนี่บนสวรรค์ น่ากลัวจะดันไปนรกหมดแล้ว

    ทั้งนี้เพราะอะไร ท่านก็เลยบอกว่า เพราะเจตนาเขาไม่เหมือนเรา เวลาเขาให้ของใครเขาก็บอกว่า นี่เหนียวยังงั้น ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก แทงไม่เข้า ตีไม่แตก ไปยุให้คนมันทำชั่ว ไปยุให้คนเป็นนักเลง

    เมื่อคนมันหนังเหนียวแล้วมันก็ไปข่มเหงชาวบ้านเขา ไปปล้นเขา ท่านอาจารย์ก็กลายเป็นต้นตอ ก็เป็นผู้อำนวยการกระทำความชั่ว แล้วเจตนาที่แจกของเหล่านั้นก็เป็นเตนาชั่ว คือตั้งราคาเป็นสำคัญ ของชิ้นนั้นราคาเท่านั้น ของชิ้นนี้ราคาเท่านี้ เพราะมันเหนียว มันคงกระพัน ลงทุนบาทหนึ่งก็เรียกราคาเป็นร้อยเป็นพัน แบบนี้ เจตนาก็ไม่ใช่เจตนาของพระ ไม่ได้ปฏิบัติตนอย่างพระ ขณะที่บวชอยู่ก็จิตไม่เป็นพระ นี่มันเป็นทางลงนรกลงไปแล้ว พอจิตไม่เป็นพระเท่านั้นมันก็ลงนรกแล้ว

    แล้วต่อมาก็มาเป็นหัวหน้าโจรเขาอีก แจกของเหนียว พอเจ้าพวกนั้นเป็นนักเลงไปข่มเหงชาวบ้าน เพราะอาศัยหนังเหนียวจากอาจารย์ให้ของ ไปปล้นสะดมเขา ไปแย่งชิงวิ่งราว เพราะอาศัยมีความเชื่อมั่นของดีจากอาจารย์ เป็นอันว่าท่านอาจารย์ก็มีส่วนร่วมลงนรกเป็นวาระที่ 2 เรียกว่ามีสมบัติ 2 ชิ้น พอที่จะนำนรกไปแบบสบายๆ เป็นอันว่าเรื่องราวของท่านสุวรรณพิทักษ์บรรพตก็ขอย่อไว้แค่นี้นะ
    :- http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=91&t=57418
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ความชั่วมีมาก ความดีไม่ปรากฏ
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    ตายจากคนที่ “ความชั่วมีมาก ความดีไม่ปรากฏ” แล้วไปเกิดเป็นเทวดา

    “...ท่านสุปติฎฐิตเทพบุตร ท่านทำกรรมชั่วหนักมากเรียกว่า “ความชั่วมีมาก ความดีไม่ปรากฏ” แต่ท่านไม่มีโอกาสลงนรก ก็เพราะตอนที่ใกล้จะตาย ท่านนึกถึงความชั่วของท่านได้ ท่านมีความทุกข์หนัก จิตเลี้ยวเข้าไปหาพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน คิดว่าเขาเล่าลือกันว่า “พระพุทธเจ้าช่วยคนที่มีความทุกข์ให้มีความสุขได้ ก็เลยนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า นึกถึงคำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ขอบารมีพระพุทธ ขอบารมีพระธรรม ขอบารมีพระสงฆ์ จงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด” จิตจับอยู่ในไตรสรณาคมณ์ เมื่อตายแล้วจิตออกจากร่างกลายเป็นเทวดา เลยไม่ได้รับผลของความชั่ว ตอนที่เป็นเทวดาขณะที่พระพุทธเจ้าไปเทศน์พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ บนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ปรากฎว่าท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรจะต้องจุติพอดี ท่านอากาสจารีเทพบุตร ก็เข้าไปเตือน ท่านจึงมองดูตัวของท่านว่าท่านตายจากเทวดาแล้วท่านจะไปไหน เพราะเทวดามีอารมณ์เป็นทิพย์จึงรู้สถานที่ไป ก็ทราบชัดว่าเมื่อจุติจากเทวดาแล้วก็ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรกระยะเวลา ๑ กัปตามอายุของอเวจี เมื่อออกจากอเวจีมหานรกแล้วก็มาผ่านนรกบริวารอีก ๔ ขุม เมื่อพ้นจากนรกบริวาร ๔ ขุมแล้วก็ต้องมาตกยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม เพราะท่านทำกรรมหนักคือ กรรมในยมโลกียนรกมีกี่อย่างท่านทำหมด เมื่อพ้นจากยมโลกียนรก ๑๐ ขุมแล้วก็ต้องมาเป็นเปรตตามลำดับ ๑๒ จำพวก พ้นจากเปรต ๑๒ จำพวกแล้วก็มาเป็นอสุรกาย เมื่อพ้นจากความเป็นอสุรกายแล้วก็มาเป็นสัตว์เดรัจฉานคือ เป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ เมื่อพ้นจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วก็มาเกิดเป็นคนคือ เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ เป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ เป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ เป็นคนพิการง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ จึงจะมาเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์

    เมื่อท่านรู้กฎของกรรมของท่านแล้วท่านก็ตกใจ จึงบอกให้อากาสจารีเทพบุตรช่วยท่าน อากาสจารีเทพบุตรก็บอกว่า “เราก็เป็นเทวดาเหมือนกันจะช่วยท่านอย่างไร คนที่จะช่วยได้ก็เห็นจะมีท่านพระอินทร์องค์เดียว” ก็เลยพากันไปหาพระอินทร์ พระอินทร์ก็เลยบอกว่า “ฉันก็เป็นเทวดาเหมือนท่านช่วยไม่ได้ ท่านที่จะช่วยได้ก็คือ พระพุทธเจ้า เวลานี้พระองค์กำลังมาแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ที่พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์” ต่างก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอินทร์ก็กราบทูลเรื่องราวของสุปติฎฐิตเทพบุตรให้พระพุทธเจ้าทราบ พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า “เทวดาองค์นี้มีกรรมหนัก สมัยเป็นมนุษย์เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก แต่มาเป็นสัมมาทิฐิชั่วเวลาไม่กี่นาที คือเวลาใกล้จะตาย จิตน้อมเข้ามาเคารพในคุณพระรัตนตรัย”
    :-- http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=47675
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    โชคดีที่ได้พบพระศาสนา

    หลวงตา
    May 5, 2023
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เพลงหนี้กรรม : แอน มิตรชัย

    aMThnouR7QCmNjtUXR-DiuWd5Dw4sSCoHUUnQgkDGuVR0-2qBXaXbIpg1oIzDlgVlRJUn0=s48-c-k-c0x00ffffff-no-rj.jpg
    โฆษกเศรษฐี

    1,113,345 views Feb 10, 2022
    Created by InShot:https://inshotapp.page.link/YTShare เพลงเพื่อการทำสมาธิและปล่อยวาง เพลงหนี้กรรม ร้องโดยคุณแอนมิตรชัย ข้าพเจ้า นำมา ตัดต่อให้ยาวขึ้น เป็นเวลา 1 ชั่วโมง เพื่อการทำสมาธิ เมื่อจิตปล่อยวาง เราจะเข้าสู่ตัวตนที่แท้จริง ได้เร็วขึ้น มีสมาธิมากขึ้น เข้าใจธรรมชาติ ของตัวเองมากขึ้น ขอบคุณ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ฟังเพลงหนี้กรรม ที่ร้องโดยคุณแอน มิตรชัย
    ก็ขออนุโมทนาบุญ ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทุกท่าน สาธุ สาธุ สาธุ โฆษกเทพธิดา วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ในทางศาสนาพุทธมีหนทางเลี่ยงกรรมไหมครับ
    การหนีกรรม

    อ่านให้ละเอียดนะครับ
    แล้วจะรู้ว่า ที่บอกว่ามีวิธีการ "หนีกรรม" นั้น สามารถทำได้
    จริงๆ แล้ว "กรรม"นั้น เป็นเหมือน "เงา" ยิ่งหนี ก็จะยิ่งติดตาม ยิ่งพยายามหลบเลี่ยง มันก็จะยิ่งวิ่งเข้ามาหาเรา
    "กรรม" สามารถติดตามเราได้ (ในกรณีที่เป็นการกระทำของเราเอง) ไม่มีขีดขั้นของสถานะ บุคคล หรือแม้แต่กาลเวลา
    ให้กี่ภพกี่ชาติ กี่แสนกี่ล้านปีชาติ ก็ไม่มีทางหนีหมด หรือไม่ต้องชดใช้
    มีตัวอย่างมากมาย ที่คนเราในชาติปัจจุบันนี้ ต้องตามรับ "กรรม"จากอดีตชาติ ที่ติดตามมาทั้งเป็นการกระทำ
    และบางทีต้องตามรับ "กรรม" จากบุคคลที่ยังมีความอาฆาตจากอดีตชาติ เมื่อตามมาเกิดกันจนเจอในชาติปัจจุบัน ก็ยัง
    ต้องมาชดใช้รับ "กรรม" กันอีก
    คนบางคน….เมื่อในอดีตชาติเกิดก่อเวรก่อกรรมกับบุคคลหนึ่งเอาไว้
    เมื่อเวลาผ่านไป..และผ่านมาถึงชาติปัจจุบัน
    บุคคลทั้งสองที่ได้เคยก่อกรรมกันเอาไว้ ก็ต้องมาชดใช้กัน
    แม้ว่าจะต่างภพกันก็ตาม
    จึงมีเรื่องราวให้ได้รับรู้เสมอว่า
    คนกับวิญญาณ โคจรกันมาเจอกัน อาฆาตกัน ร่วมกระทำเรื่องราวต่อกัน ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี
    ที่จะบอกท่านก็คือ ..

    "กรรม" นั้น เมื่อมีการสร้างกรรมร่วมกัน ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต้องมีการชดใช้กันเสมอไม่เกี่ยงเรื่องเวลา หรือสถานะทางสังคมแต่อย่างใด
    "กรรม" นั้นจะเกิดขึ้น หรือจะมีการชดใช้ ต้องมีเงื่อนไข และองค์ประกอบหลายอย่าง
    เงื่อนไขของเวลา เป็นประการสำคัญ
    แต่ที่สำคัญกว่า ก็คือเรื่องของความหนักเบาของ "กรรม" ที่ได้กระทำไว้
    สมมติว่า
    วันที่ 1 คุณไปทำร้ายคนอื่นจนเลือดตกยางออก
    วันที่ 2 คุณไปขโมยของชาวบ้าน
    วันที่ 3 คุณทำสังฆทานด้วยจิตที่ศรัทธาในเรื่องการทำบุญกุศล
    วันที่ 4 คุณได้ศึกษาธรรมะ..จนได้ธรรมระดับสูง (อริยบุคคล)
    4 วันนี่ คุณว่า ผลของ "กรรม" (ซึ่งหมายถึงทั้งการกระทำดีและไม่ดี) จะส่งผลอย่างไร ?
    ได้รับผลกรรมนั้นอย่างไร ?
    ถ้าเป็นไปตามความเข้าใจทั่วไปของคนที่ยังไม่เข้าใจในเรื่อง "กรรม" อย่างถ่องแท้นั้น คงจะเข้าใจว่า ก็ต้องรับกรรม ตามวัน คือได้รับกรรมจากการกระทำเรียงตามลำดับ
    จากวันที่ 1 ก่อน (ทำร้ายคน) แล้วตามด้วยวันที่ 2 (ขโมยของ) วันที่ 3 (ทำสังฆทาน) และวันที่ 4 (ศึกษาธรรม)
    จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น ..
    ต้องได้รับกรรมตามการเรียงอย่างนี้
    ได้รับกรรม (การกระทำ) วันแรกก่อน ก็ต้องได้จากการกระทำวันที่ 4 คือการศึกษาธรรม จนได้ธรรมะดับสูง ก่อนอื่นเลย
    แล้วตามด้วยข้อ 3 ทำสังฆทานด้วยจิตศรัทธา
    ตามด้วยข้อ 1 คือการทำร้ายคนจนเลือดตกยางออก
    จากนั้นก็เป็นข้อ 2 คือการมขโมยของ
    เรียงตามข้อก็คือ 4 3 12
    ไม่ใช่ได้รับกรรมตามวันเวลา 1 2 3 4
    ถ้าพิจารณาก็จะเห็นว่า การรับกรรมนั้นไม่ได้รับตามวันเวลาที่กระทำกรรมเอาไว้แต่รับตามความหนักเบาของกรรมที่ได้กระทำเอาไว้
    ถ้าเป็นกรรมหนัก ก็ต้องได้รับก่อนเป็นกรรมเบา ก็จะรับทีหลัง
    คำว่าหนักเบานั้น หมายถึงทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว
    เอามารวมกันได้ แล้วเปรียบเทียบกันดูว่าอะไรหนัก หรือเบามากกว่ากัน (เอามาเปรียบกันนะครับ ไม่ใช่เอา
    มาหักล้างกัน เพราะกรรมดีไม่สามารถหักบ้างกรรมไม่ดีได้)
    หลักง่ายๆ ก็คือ กรรมหรือการกระทำใดก็ตามทำให้คนเรามีสติ มีปัญญามาก ให้เกิดมรรคผลมาก สร้างให้คนอื่นได้รับความสุข ทั้งทางกายและใจมาก ไม่สร้างความเดือดร้อน หรือความไม่ดีให้กับคนอื่น ฯลฯ อย่างนี้เป็นกรรมดีมากกว่าไม่ดี
    เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป
    เพราะฉะนั้นเวลาเรารับกรรม ก็ต้องรับตามความหนักเบา
    จึงตอบข้อสงสัยได้ว่า ทำไมคนบางคนทำดีมาตั้งนานเป็นสิบๆ ปี ไม่เคยได้รับผลดีเลย
    นั่นแสดงว่า ในอดีตที่ผ่านมา ได้ทำกรรมที่หนักหนาสาหัสไว้มาก
    กรรมหนักนั้นย่อมส่งผลก่อน
    แต่พอกรรมหนักที่เคยทำนั้นหมด (ต้องชดใช้จนหมด) ก็ถึงเวลาที่ต้องได้รับกรรมดีบ้าง
    จำไว้ไห้ดีนะครับว่า กรรมต้องชดใช้ตามความหนักเบาที่ได้เคยกระทำเอาไว้
    เคยได้ข่าวหรือไม่ครับ ว่าคนที่ยากจนมาทั้งปีทั้งชาติ….เป็นสิบๆ ปี พอบทจะโชคดี กลับถูกรางวัลได้เงิน
    เป็นสิบๆ ล้านในชั่วพริบตา
    วิเคราะห์ได้ว่า ก่อนหน้านี้ได้ทำกรรมหนักเอาไว้ แต่ก็เคยทำกรรมดีไว้มากเช่นกัน
    กรรมหนักทำมากกว่ากรรมดี พอกรรมหนักหมด ผลของกรรมดีก็ได้รับ
    กรรมนั้น ไม่ว่าจะดีจะชั่ว จะร้ายจะดี จะหนักจะเบา จะมากจะน้อย อย่างไร ก็ต้องได้รับทุกกรรมที่ได้เคย
    ทำเอาไว้ โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
    แต่..
    แต่ก็มีบางอย่างที่หนีได้
    ในที่นี้จะพูดแต่เรื่องการหนีกรรมที่ไม่ดี
    เพราะผลของกรรมดี..ไม่ค่อยมีใครอยากหนีเท่าไหร่ มีแต่อยากจะได้รับผลกรรมดีกันทั้งทั้งนั้น
    ผู้ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้อยู่เหนือกรรมนั้น ก็คือ พระอรหันต์
    เพราะในภาวะจิตที่ท่านอยู่สูงสุดนั้น กรรมมันตามไปไม่ถึง
    เพราะท่านหลุดพ้น และอยู่เกินกำลังของกรรมที่จะตามไปถึง
    แต่ที่เราเห็นว่า พระอรหันต์ (ตามที่เราเข้าใจจากตัวเราเอง และจากปากของคนอื่น) ต้องรับกรรมนั้น มันก็
    ต้องมีเหตุบางอย่าง
    แต่ผมคงตอบไม่ได้ละเอียดในนี้ เนื่องด้วยผมยังมีกิเลสครบในตัว
    ไม่ควรเข้าไปล่วงเกินเรื่องของคนที่สูงกว่าเช่น พระอรหันต์
    เอาไว้คุยกับคนที่อยากรู้จริงๆ นอกรอบดีกว่าครับ
    ท่านผู้รู้หลายท่าน ก็ใช้หลักการเดียวกันนี้ หลักการที่ "กรรม" ตามพระอรหันต์ไม่ทันเอามาใช้
    ก็คือ "กรรม" มันจะวิ่งตามท่านผู้ประเสริฐ หรือพระอรหันต์ไม่ทัน
    เพราะพระอรหันต์ท่านทำความดี จิตท่านดี
    เป็นเหตุเป็นผลอย่างหนึ่งว่า ความชั่วจะตามความดีไม่ทัน (ในปริมาณความดีความเลวเท่าๆ กัน)
    เพราะฉะนั้น เมื่อเราไม่อยากให้กรรรมไม่ดีตามเราทัน เราก็ต้องทำกรรมที่ดีๆ ให้มากกว่ากรรมที่ไม่ดีที่เรา
    เคยทำ
    เพื่อให้กรรมดีเป็นตัวผลักดันให้เรามีกรรมดีมากกว่ากรรมไม่ดี
    เมื่อเราทำกรรมดีให้มากๆ และมากๆ จนมากที่สุด ก็จะมีแรงผลักดันให้เราห่างกรรมไม่ดีมากขึ้น แต่เราก็ต้องทำกรรมให้ดีมากกว่า ให้เยอะกว่ากรรมไม่ดีที่เราได้ทำเอาไว้
    แต่ปัญหามันอยู่ที่ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราต้องกรรมดีให้มากกว่ากรรมไม่ดี….เพราะเราไม่รู้ว่าเราเคยทำกรรมไม่ดีเอาไว้แต่ไหน อย่างไร รุนแรงหนักหนาแค่ไหน (ยกเว้นท่านที่ "ปฎิบัติ" จนรู้เรื่องราวในอดีต)
    ทางแก้ก็ไม่ยาก
    ก็พยายามทำความดีให้มากๆ ทำให้มากๆ ทำไปโดยที่ไม่ต้องรู้นั้นแหละครับดี เพราะยิ่งทำความดี บุญกุศลมากๆ จะได้อุ่นใจว่ามีมาก พอที่เจ้ากรรมไม่ดีจะตามเราไม่ทัน
    เข้าใจตรงนี้ก่อนนะครับ
    ว่ายิ่งทำกรรมดีมากๆ ก็จะยิ่งหนีกรรมไม่ดีได้
    แต่ถ้าเราทำกรรมดีไม่เพียงพอ กรรมไม่ดีก็จะตามทัน ตอนนั้นเราก็ต้องรับกรรมไม่ดี
    เหมือนวิ่งแข่งนั่นแหละครับ ยิ่งวิ่งหนี (ทำกรรมดี) คนที่วิ่งตามเรา (กรรมไม่ดี) ก็ตามไม่ทัน แต่ถ้าเราหยุดวิ่ง
    (หยุดทำความดี) คนที่วิ่งตามเรา (กรรมไม่ดี) ก็ตามมาทำร้ายเราได้
    นั่นคือกุศโลบายว่า ..เวลาที่ผ่านไปทุกวันนั้น อย่าหยุดทำความดี ไม่อย่างนั้นกรรมไม่ดีก็จะตามทันเรา มา
    เอาคืน
    แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะหนีอย่างไร ก็ไม่สามารถจะพ้นได้ เพราะความเป็นจริงไม่มีใครสามารถทำความดี
    ได้ตลอด 24 ชั่วโมง (ความจริงมีครับ แต่น้อยมาก..ส่วนใหญ่มักจะเป็น "ผู้ปฏิบัติ")
    แล้วอย่างนี้..อาจจะมีคนถามว่า แล้วเราจะหนีกรรมไปทำไม
    ก็ต้องบอกว่า
    บางครั้งนั้น คนเรายังไม่สามารถจะรับกรรมได้ในเวลาบางเวลา
    ยังไม่พร้อม หรือกรรมมันหนักมาก ขืนรับพร้อมกันทีเดียว จะตายเอาง่ายๆ ถ้า "จิต" ไม่เข้มพอก็ทำความดีมากๆ ให้มากๆ และมากๆ แล้วค่อยๆ ทยอยรับกรรมไม่ดีที่ได้เคยทำเอาไว้ทีละเล็กทีละน้อย จน
    หมด แล้วเราจะได้รับกรรมดีไว้เอง
    ทำความดีให้มากๆ สามารถ "ผ่อน" กรรมไม่ดีได้
    แต่ไม่สามารถไม่ต้องชดใช้ได้
    พูดง่ายๆ ก็คือ ยังงัยๆ ก็ต้องรับกรรม
    แต่ถ้ามีกรรมดีเป็นตัวหนุนหลัง เราก็จะได้รับกรรมทีละเล็กละน้อย
    ถ้าบอกอย่างนี้ แล้วดูผิวเผินก็จะเห็นเพียงว่า เอาหลักการการวิ่งหนี (โดยการทำความดีให้มากๆ เผื่อไว้ว่าให้มากกว่ากรรมไม่ดี ที่เราไม่อาจรู้ได้) มาหนีกรรมที่กำลังจะมาส่งผล (คือจากกรรมที่ไม่ดีที่เราได้เคย
    ทำเอาไว้)
    แต่ความจริง มีกุศโลบายมากกว่านั้น กับการบอกให้ทำความดี ทำบุญกุศลให้มากๆ
    เป็นกุศโลบาย 2 ต่อ
    ต่อแรก เพราะเมื่อเราทำความดี ทำบุญกุศลมากๆ ใจเราก็จะเบิกบาน มีความสุขกับการทำบุญทำกุศล
    เอาเถอะ ไม่ว่าคุณจะทำบุญทำกุศลด้วยเจตนาอย่างไร ด้วยความรู้สึกอย่างไร ก็ตาม คุณก็ได้บุญกุศลนั้นแล้ว
    ต่างกันที่ว่า ถ้าคุณทำบุญทำกุศลด้วยใจที่บริสุทธิ์ ด้วยการไม่หวังผลตอบแทน อานิสงส์จะมากตามไปด้วย
    แต่ถ้าทำบุญทำกุศลด้วยการหวังผลตอบแทน หรือยังไม่ศรัทธาในเรื่องการทำบุญทำกุศล อานิสงส์ก็จะน้อยกว่าแบบข้างบน
    แต่ไม่ว่าจะทำบุญทำกุศลอย่างไร แบบไหน..ได้หมดครับ ต่างกันที่มากหรือน้อย
    เมื่อเราได้ทำบุญทำกุศลแล้ว ใจเราเบิกบานแล้ว ก็จะมีความสุขในระดับหนึ่ง
    คนเราเมื่อมีความสุข ความสบายใจแล้ว การรับกรรมก็จะมีความเต็มใจ ยินดีรับกรรมนั้นอย่างหน้าชื่นตาบาน
    เพราะใจเรามีความสุข (จากการทำบุญทำกุศล)
    กรรมที่เราคิดว่าหนัก สาหัส และรุนแรงในตอนที่ยังไม่ได้ทำบุญทำกุศล ก็จะดูลดความหนักลงเพราะเราได้
    ทำบุญทำกุศล (จนจิตแจ่มใส เลิกบาน และมีความเข้มแข็ง)
    ต่อที่ 2 ก็คือ การที่เราทำบุญทำกุศลไว้นั้น ก็คือการสะสมบุญกุศลเอาไว้ อย่างไรก็ตาม บุญกุศลที่ได้ทำไว้นั้นก็ไม่ไปไหน รอเวลาที่หมดกรรมหนักที่ทำรุนแรงไว้ก่อน ก็จะได้รับกรรมที่เราทำบุญทำกุศล
    ไว้มาตอบแทนอีกที
    มีหลายคนครับ ที่ในขณะกำลังรับกรรมไม่ดีอยู่ แล้วก็ทำบุญทำกุศลหนักๆ ตามไปด้วย
    พอดีไปทำกรรมดีหนักๆ ที่มีอานิสงส์สูงกว่ากรรมไม่ดี ที่หนักที่เราเคยทำเอาไว้ ยังไม่ทันที่กรรมหนักจะหมด
    เลย ก็ได้รับกรรมดีก่อน
    เพราะกรรมดีนั้นได้รับผลจากความหนักเบาของการกระทำกรรมนั้นๆ
    เพราะฉะนั้นทำกรรมดีไว้ให้หนักๆ บ่อยๆ มากๆ ด้วยจิตศรัทธาในเรื่องทำบุญทำกุศลให้ตลอด จะเป็นผลดี
    ส่วนจะทำบุญทำกุศลใดเพื่อให้ได้อานิสงส์มากๆ นั้น ให้ดูในบทความที่ผมเขียนนะครับ
    แต่ที่จะบอกคร่าวๆ ก็คือ อานิสงส์ของการทำบุญทำกุศลที่ได้รับมากๆ นั้น ก็คือการปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน

    และอีกอย่างที่จะแนะนำก็คือ การขอให้คนที่มีกรรมผูกพันกับเรา "อภัย" ให้
    กรรมจะมี 2 อย่าง ก็คือ กรรมที่เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ กับกรรมที่มีเจ้าของ หรือที่เราเรียกว่าเจ้ากรรมนายเวร
    ยกตัวอย่าง ถ้าเราไปขโมยของคนอื่น กรรมก็จะเกิดขึ้น 2 แบบแล้ว
    นั่นก็คือ กรรมที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ก็คือกรรมที่เกิดจาก "การขโมย"
    และคนที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เราขโมยไปนั้น คือเป็นกรรมแบบที่มีเจ้าของ
    พูดง่ายๆว่าจ้าของทรัพย์สินก็เป็น "เจ้ากรรมนายเวร"
    ถ้าเราต้องรับกรรมทั้ง 2 อย่างพร้อมกัน ก็หนัก เป็น 2 เท่า
    แต่ถ้าเรา "ขอโทษ ขออภัย" จน "เจ้ากรรมนายเวร" ใจอ่อน ยกโทษให้
    ก็เท่ากับว่าจะเหลือเพียง "กรรมอัตโนมัติ" อย่างเดียว
    ลดไปตั้งมากมาย
    เพราะฉะนั้น ครูบาอาจารย์ ท่านผู้รู้จึงมักขับอกให้เราแผ่เมตตา หรืออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรให้ใจอ่อน ยกโทษให้ (แต่ต้องทำบ่อยๆ มากๆ และด้วยจิตที่ศรัทธา)
    และ…เมื่อเรารู้ว่า เราอยากให้เจ้ากรรมนายเวร "อภัย" ให้ (เพราะรู้ว่าเมื่อได้รับการ "อภัย" แล้ว กรรมจะลด
    น้อยลง)
    เราเองก็ต้องให้ "อภัย" คนอื่นด้วย
    เพราะเราเองก็เป็นทั้งคนที่มีเจ้ากรรมนายเวร และเราเองก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นด้วย
    เป็นกฎธรรมชาติอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราให้ "อภัย" คนอื่น คนอื่นก็จะยิ่งให้ "อภัย" เรามากขึ้น ง่ายขึ้นเท่านั้น
    การให้ "อภัย" นั้น ถือว่าเป็นทานอย่างหนึ่ง มีอานิสงส์มหาศาล
    สุดท้ายนี้ก็อยากจะบอกว่า
    - กรรมนั้นจะหมดไปได้ ก็ต้องมีการชดใช้
    - กรรมดีกรรมชั่ว แบ่งแยกกันอย่างเด็ดขาด ไม่มีการเอากรรมดีมาแบ่งเบากรรมชั่วให้ลดน้อยลง
    - กรรมนั้นจะได้รับตามเงื่อนไขความหนักเบาของกรรม ไม่ใช่รับเรียงลำดับตามวันเวลาที่ทำกรรม
    - กรรมมี 2 อย่าง คือกรรมอัตโนมัติ และกรรมที่มีเจ้ากรรมนายเวร ถ้าลดกรรมที่มีเจ้ากรรมนาย
    เวร (ด้วยการ "ขออภัย") ก็จะทำให้กรรมนั้นลดน้อยลง
    - การทำบุญทำกุศลเพื่อหนีกรรมนั้น เป็นการ "หนี" เท่านั้น ไม่ใช่เป็นการ "ชดใช้" วันใดเวลาใดก็ตามที่หยุด
    ทำความดี หยุดทำบุญทำกุศล กรรมก็จะตามทัน
    ยังมีเรื่องอีกมากมายเกี่ยวกับกับ "กรรม" ที่อธิบายให้หมด ก็ไม่สามารถอธิบายได้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ซับซ้อน
    ต้องอธิบายเป็นเรื่องๆ ไป
    :- http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=936
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2023
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ไม่มีใครจะอยู่เหนือกรรม

    ที่ธรรมท่านสอนว่า “กัมมุนา วัตตะตี โลโก” แปลว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” บางคนก็อาจไม่เข้าใจว่า เป็นไปตามกรรมเป็นอย่างไร?
    .
    เรื่องกรรมนี้ ต้องถือว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว ทุกคนเกิดมามีกรรมเป็นของตนเอง เช่น เราจะเกิดมาเป็นคน เป็นสัตว์ ก็เป็นเรื่องของกรรมที่เราเคยทำเอาไว้บันดาลให้เป็นไป ใครจะมาสั่งให้เราไปเกิดเป็นนั่นเป็นโน่น ไม่ได้!!
    .
    แม้ตัวเราเองก็สั่งตัวเองไม่ได้ เพียงแต่เราเลือกที่จะทำเหตุอย่างที่เราต้องการได้เท่านั้น เช่น อยากทำดีก็เลือกทำได้ มีให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น อยากทำชั่วก็เลือกทำชั่ว เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหกหลอกลวง กินเหล้าเมายา เป็นต้น
    .
    upload_2023-6-24_16-38-49.png

    แต่ต้องรู้ไว้ว่า เมื่อเราเลือกที่จะทำเหตุอย่างใดแล้ว เราก็ต้องยอมรับผลตามเหตุที่ทำนั้น เราจะเลือกรับผลเฉพาะอย่างที่เราต้องการ หาได้ไม่
    .
    ทำดีก็ไปสู่สุคติมีโลกสวรรค์เป็นที่ไปเบื้องหน้า ทำชั่วก็ไปสู่ทุคติ มีอบายภูมิ ๔ เป็นที่ไปเบื้องหน้า
    .
    ใครอยากไปที่ไหนก็เลือกได้ คือ เลือกทำเหตุที่จะให้ได้ผลอย่างนั้น มิใช่ว่า อยากไปสวรรค์ แต่ไพล่ไปทำเหตุที่จะให้ไปนรก แบบนี้อยากไปสวรรค์จนตายแล้วเกิดใหม่ ก็ไม่ได้ไปสักที
    .
    upload_2023-6-24_16-38-49.png

    ส่วนนรกแม้ไม่มีใครอยากไป เพราะได้ยินชื่อก็หวาดผวากันแล้ว แต่ถ้าใครได้ทำเหตุที่จะให้ได้ไปนรกแล้ว ถึงไม่อยากไป ก็จำต้องได้ไปอย่างแน่นอน
    .
    ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ย่อมรวมอยู่ในคำว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ใครจะเชื่อก็ตาม ใครจะไม่เชื่อก็ตาม ยกให้เป็นเรื่องของใจดวงนั้น แต่กฏแห่งกรรมนี้ก็เป็นหลักธรรมชาติที่ทรงตัวอยู่เช่นนี้ตลอดอนันตกาล ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตามความเชื่อ หรือความไม่เชื่อของใคร
    .
    ทุกคนเกิดมาแล้วก็มีหน้าที่ต้องทำมาหาอยู่หากินเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อความอยู่รอดของตนเอง นั่นแหละคือกรรมของแต่ละคน ใครอยากจะประกอบอาชีพแบบไหนก็เลือกเอาได้ ไม่มีใครบังคับ จะทำแบบสุจริตก็ได้ จะทำแบบทุจริตก็ได้ ถ้าพอใจจะทำก็ทำไปเถอะ
    .
    upload_2023-6-24_16-38-49.png

    แต่จงจำไว้ให้ดีว่า กรรมไม่เคยให้ผลลำเอียงเพื่อเข้าข้างใคร และไม่เคยที่จะไม่ให้ผล เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
    .
    ใครทำดีก็ได้รับผลดีเอง ใครทำชั่วก็ได้รับผลชั่วเอง ความบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน บุคคลจะยังคนอื่นให้บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ หาได้ไม่
    .
    โปรดจำไว้ให้ถึงใจ!!

    upload_2023-6-24_16-38-49.png
    ;-->https://www.doisaengdham.org/สายธารธรรม-โดยเจ้าอาวาส/ไม่มีใครอยู่เหนือกรรม.html
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    phranimitre.jpg
    กรรมที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ
    กรรม คือการกระทำ ทำความดีเรียกกุศลกรรม ทำความชั่วเรียกอกุศลกรรม
    กำเนิดเป็นกวาง เก้ง

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบหลงมัวเมาในเรือนร่างสัดส่วน อันน่ารัก น่าใคร่ น่าหลงใหลติดใจ พึงพอใจในการขายเนื้อขายตัว มักมากในกามารมณ์ มั่วกามเคล้าโลกีย์อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน หาเงินมาโดยมิชอบ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องเกิดเป็นพวกเนื้อ เก้ง กวาง ละมั่ง อาศัยอยู่ในป่าลึก ถูกมนุษย์ตามล่ามาบริโภค ชดใช้หนี้กรรมตามจริงนิสัยเดิมที่ตนได้ก่อไว้แต่ชาติปางก่อน

    ยังมีสัตว์อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เพื่อให้เรื่องสั้นกระชับ จึงให้ข้อสังเกตว่าสัตว์เดรัจฉานส่วนมากพ้นออกมาจากนรก เปรต อสุรกาย แล้วมาชดใช้เศษกรรมเล็กๆ น้อยๆ จนกว่าจะหมดกรรมเก่า มีสัตว์หลายชนิดเมื่อเสวยกรรมเก่าหมดแล้วก็อาจไปเกิดในสวรรค์ หรือเป็นมนุษย์ต่อไปได้ เช่น สุนัข ลิง แมว ปลา นก เป็นต้น แต่ขึ้นชื่อว่ากุศลธรรมและอกุศลธรรมแล้ว ทำไว้อย่างไรก็ย่อมได้รับอย่างนั้น เพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้นแต่หากท่านบำเพ็ญจิตจนทำลายอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ทิฐิ สังโยชน์ ได้หมดสิ้นแล้ว กุศลและอกุศลก็ติดตามส่งผลให้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะกรรมใดๆ ที่ยังไม่ได้เสวยก็จะเป็นอโหสิกรรมไปทันที

    กำเนิดเป็น สุนัข สุนัขจิ้งจอก

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในทรัพย์สมบัติ ลูกเมียสามี เฝ้าห่วงหวงอย่างยึดมั่นถือมั่น เยื่อใยตัดไม่ขาดอาลัยอาวรณ์ในบ้านที่ดิน เรียกค่าคุ้มครอง หลอกต้ม ข่มเหงคน ค้าประเวณี รับราชการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ลักเล็กขโมยน้อย จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาเกิดเป็นสุนัข บ้างก็มาเฝ้าสมบัติลูกเมียสามี บ้างก็คอยเป็นยามเฝ้าระวังภัยคอยเห่าหอนให้เจ้านายด้วยความซื่อสัตย์สุจริต บ้างก็เกิดเป็นหมาขี้เรื้อนเพื่อชดใช้หนี้กรรมของตนในชาติปางก่อน

    กำเนิดเป็นปลาต่าง ๆ

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการพูดเพ้อเจ้อ ไร้สาระ ชอบสอดรู้สอดเห็น พูดจาปลิ้นปล้น หลอกลวงให้ผู้อื่นตกเป็นเหยื่อ วางแผนให้ผู้คนหลงเดินทางผิดจนต้องพบกับมุมอับ พูดเสียดสีให้ผู้อื่นเป็นทุกข์เสียใจ ใช้ปากพูดหว่านล้อมจูงใจโน้มน้าวให้คนมาติดกับที่ตนวางไว้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยให้มาเกิดเป็นปลา รับทุกข์อยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บในแหล่งน้ำ หลงทางเข้าไปติดกับ ติดแหติดอวน จึงเป็นไปตามกรรมที่ก่อไว้ทุกประการ

    กำเนิดเป็นนกต่าง ๆ

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงใหลมัวเมาในการร้องรำทำเพลง แสดงละคร ลำตัด หมอรำ วงดนตรี การละเล่นต่างๆ เพลิดเพลิน อยู่กับเครื่องประดับตกแต่งที่สวยสดงดงาม แต่งหน้าทาปาก สร้างวจีกรรมมากมายได้แก่ พูดเท็จ พูดส่อเสียด นินทา พูดเพ้อเจ้อ ประพฤติผิดศีลเป็นชู้กับคู่ครองผู้อื่น จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเป็นนกต่างๆที่ชอบร้องรำทำเพลง ชอบตกแต่งขนให้มีสีสันต่างๆ สวยงามตามนิสัยเดิม

    กำเนิดเป็นโคเนื้อ โคนม

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในรูปร่างสัดส่วนอันสวยงาม ใช้เรือนร่างเป็นเครื่องยั่วยุคนให้หลงตัณหาราคะ แสดงหนังลามกทำลายศีลธรรม เริงระบำรำฟ้อนเปลือยอกเปลือยกายเป็นการค้า มีลูกไม่เอาใจใส่เลี้ยงดู ไม่ให้ลูกดื่มนมตนเองเพราะเกรงว่าจะเป็นทรงหย่อนยาน จึงเป็นเหตุปัจจัยมาเกิดเป็นโคนม อุทิศน้ำนมให้กับทารกชาวบ้านได้ดื่มกิน และโคเนื้อถูกคนฆ่าเอาเนื้อเป็นอาหารตามจริงนิสัยเดิมที่ชอบขายเนื้อขายตัว

    กำเนิดเป็นแมลงวัน

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบคลุกคลี หมกมุ่นอยู่กับแหล่งบันเทิง บาร์ ไนท์คลับ สถานเริงรมย์ คาราโอเกะมั่วสุมอยู่กับแหล่งอบายมุข แหล่งยาเสพติด แหล่งการพนัน ซึ่งเป็นแหล่งไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ ไม่ชอบธรรมและมักเป็นแหล่งประกอบอกุศลธรรมต่างๆ จึงเป็นปัจจัยให้ต้องเกิดเป็นแมลงวัน ที่ชอบอยู่กินกับแหล่งสกปรกตามจริตสันดานเดิมของตน

    กำเนิดเป็นแมลงผึ้งต่าง ๆ

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบหลงใหล ดื่มด่ำ เพลิดเพลินในการประดับตกแต่งร่างกายให้มีสีสันสวยสดงดงาม ด้วยความพึงพอใจ ติดใจในรสหวานมันแห่งกามโลกีย์ จึงเป็นเหตุให้มาถือกำเนิดเป็นแมลงผึ้ง ผู้มีตาพึงพอใจในสีสันของดอกไม้นานาพรรณ และมีลิ้นชอบรสหวานมันตามจริงนิสัยเดิมของตน

    กำเนิดเป็นงูเหลือม

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในความยิ่งใหญ่ ความมีอำนาจ ความมีทรัพย์สมบัติมาก ขณะกำลังจะตายจิตใจก็ยังพะวง เป็นห่วงอาลัย ไม่ยอมลดละปล่อยวาง ยังยึดมั่นถือมั่นอย่างมัวเมา จึงเป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นงูเหลือมใหญ่ มีอำนาจ มีกำลัง ขอบม้วนตัวยึดเกาะ ขดตัวเป็นวงกลมอยู่นานๆ ไม่ยอมคลายตัวออกง่ายๆ ตามจริตนิสัยที่มีความยึดมั่นถือมั่นไม่ยอมคลายละปล่อยวาง

    กำเนิดเป็นหนู

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการประกอบอาชีพผิดกฎหมาย เช่น ค้ายาบ้า ยาเสพติด เล่นการพนัน แมงดาหากินกับหญิงโสเภณี มือปืน นักเลงอันธพาล ลักเล็กขโมยน้อย จี้ปล้น ค้าอาวุธเถื่อน ฯลฯ ซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของตำรวจ ผู้คนเหล่านี้จึงต้องหลบซ่อนตัวเองอยู่ในที่มิดชิดตลอดเวลา จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องถือกำเนิดเป็นหนู คอยแต่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตามรู ตามของที่มิดชิด พ้นภัยจากแมว นก งู และมนุษย์ตามจริตสันดานเดิม

    กำเนิดเป็นมด

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบใจ พอใจ ดื่มด่ำ มัวเมาอยู่ในกลิ่นคาวโลกีย์ รสโลกีย์ ติดใจในกามารมณ์ ดุด่าเฆี่ยนตี ฆ่าพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณ สร้างบาปกรรมไว้มากมายถึงขั้นอนันตริยกรรม เมื่อตายแล้วจึงลงไปใช้กรรมในเมืองนรก วิญญาณถูกตีกลายเป็นเศษวิญญาณ แล้วจึงมาเกิดเป็นมดเพื่อชดใช้กรรมที่ก่อไว้ในอดีตชาติ

    กำเนิดเป็นกระแต

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน แล้วนำเรื่องไปพูดต่อให้เสื่อมเสีย เสียหาย เป็นที่อับอายขายหน้าของผู้คนมากมาย เป็นคนชอบพูดแต่เรื่องเสียๆ หายๆ ของคนอื่น ส่วนเรื่องที่ดีๆ มีสาระ ประโยชน์กลับไม่สนใจ จึงได้รับฉายาจากชาวบ้านว่า “แม่กระแต” “พ่อกระแต” จึงได้เกิดเป็นพ่อกระแต แม่กระแต สมใจนึก ตามจริงนิสัยจนกว่าจะสิ้นแรงอกุศลกรรม

    กำเนิดเป็นแมว

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในตำแหน่ง ไม่ทำหน้าที่ของตนในการจับโจรผู้ร้ายหรือผู้กระทำความผิด ไม่ดูแลรักษาความปลอดภัยให้ชาวประชาอยู่เย็นเป็นสุข แต่กลับเอาหน้าที่มาบังหน้า มาหากิน ใช้ตำแหน่งมาเบ่ง มาข่มเหง รีดไถเรียกค่าคุ้มครอง ทุจริตประพฤติมิชอบสารพัด จึงเป็นอกุศลกรรมนำพาให้ไปเกิดเป็นแมว เข้าจับหนูอันเป็นโจรผู้ร้ายตัวสำคัญในสมัยเป็นมนุษย์ ให้เหมาะกับกรรมเก่าที่ได้ก่อเอาไว้

    กำเนิดเป็นเต่า

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ เคยเป็นนักบวชผู้ทรงศีล แต่ขาดความสำรวมในศีลวินัย ด้วยประพฤติตนไม่เหมาะสม ละโมบโลภมากในลาภสักการะ โกงเครื่องราช มั่วสีกา เอาของส่วนรวมมาเป็นส่วนตัว จนเป็นที่ติเตียนของชาวบ้าน จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาถือกำเนิดเป็นเต่าอยู่ในกระดอง คอยระมัดระวัง รูป เสียง กลิ่น รู้สึกสัมผัส เพื่อฝึกความสำรวม และเนื่องจากสมัยเป็นนักบวช ไม่ฆ่าไม่ตัดรอนอายุของมนุษย์และสัตว์ จึงทำให้เต่ามีอายุยืนยาว

    กำเนิดเป็นสุกร

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาพอใจในการทุจริตต่างๆ นานา ด้วยเล่ห์เพทุบายอย่างขูดเนื้อถอนขน ต้มตุ๋นหลอกลวง กดราคา สินค้าอย่างทารุณ ย้อมแมวขายเพียงเพื่อให้ได้ปัจจัย 4 มาปรนเปรอตนเองให้กินอิ่ม นอนหลับอย่างสุขสำราญ ปรนเปรอกามคุณที่ได้มาอย่างสกปรกผิดศีลธรรม จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มากำเนิดเป็นสุกร กินอาหารที่ไม่สะอาด ถูกจับตอน สุดท้ายยังต้องถูกฆ่าเพื่อสังเวยเลือด เนื้อ ตับ ไต ไส้พุง ฯลฯ ชดใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้

    กำเนิดเป็นไส้เดือน

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ไม่รู้จักบุญคุณต่อซาติบ้านเมืองกระทำตัวเป็นไส้ศึก กบฏ สายลับ สายสืบหรือเป็นหนอนบ่อนไส้ให้กับฝ่ายศัตรู เป็นคนบ่อนทำลายประเทศชาติ เป็นคนขายชาติขายแผ่นดิน จึงทำให้เป็นเหตุปัจจัยให้มาถือกำเนิดเป็นไส้เดือน ไม่มีตา เพราะไม่เห็นคุณประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ต้องเกิดมากินดินเป็นอาหารตามจริตสันดานที่เคยประพฤติบ่อนทำลายชาติมาแต่ ชาติปางก่อนจนกว่าจะชดใช้หนี้กรรมเก่าให้หมดสิ้น

    กำเนิดเป็น ยุง ริ้น ปลิง ทากดูดเลือด

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบขูดรีด กินเลือดกินเนื้อ สูบเลือดสูบเนื้อคนยากคนจน ด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงทุจริตต่าง ๆ มากมาย ชอบเบียดเบียน ให้ทุกข์ให้โทษแก่ผู้คนด้วยความโกรธ ความแค้น ความอาฆาต จึงทำให้ไปเกิดในนรก หลังจากนั้นแล้วก็มาถือกำเนิดเป็นยุง ริ้น ปลิง ทาก ตัวเลือดตามสันดานเดิม ด้วยการคอยแต่จะดูดกินเลือดผู้คนอีกตามเคย

    กำเนิดเป็นจระเข้

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีโมหะกิเลสหลงมัวเมา เห็นแก่ปากแก่ท้องแล้วประกอบอกุศลกรรม ทุจริตผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย ด้วยความละโมบโลภมาก เพื่อปากท้องของตนอิ่มหนำสำราญ ไม่ว่าจะใช้ปากพูดอย่างร้ายกาจขนาดไหนก็ตาม เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ จึงทำให้ต้องเกิดมาเป็นจระเข้ปากใหญ่ ท้องใหญ่ ดุร้ายน่ากลัวตามจริงนิสัยเดิม

    กำเนิดเป็นช้าง

    สัตว์บกที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยสมัยเป็นมนุษย์มีโมหะกิเลส หลงมัวเมาในตัวเองว่า เป็นลูกผู้ยิ่งใหญ่เกิดในตระกูลผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ มีความเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองไม่มีใครเปรียบเทียบได้ แล้วประกอบอกุศลกรรมอัปรีย์ไว้แก่ผู้คนมากมาย จนต้องไปชดใช้หนี้กรรมในนรก เปรต อสุรกาย แต่เศษกรรมเก่าก็ยังไม่หมดสิ้นจากกายและใจ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาเกิดเป็นช้างตัวใหญ่ๆ สมใจ

    กำเนิดเป็น กระทิง แรด

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการต่อสู้ต่างๆ ชอบยุยงให้ผู้คนทะเลาะกัน ให้สัตว์ตีกัน ทำร้ายกัน ด้วยเห็นเป็นเกมส์กีฬาอย่างสนุกสนาน เช่น ชนไก่ ชนแพะ ชนวัว ฯลฯ บ้างเป็นนักเลงโต เที่ยวเกะกะระราน สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คน จึงเป็นเหตุให้ต้องไปเกิดเป็นแรด กระทิง เอาหัวไล่ชนกันอย่างเมามัน เพื่อให้ผู้คนดูเป็นเกมส์กีฬาอย่างสนุกสนาน สมกับที่ตนได้เคยทำไว้ในอดีตชาติ

    กำเนิดเป็น ลิง ชะนี

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการต้มตุ๋นหลอกลวง ปลิ้นปล้น ตลบแตลง แหกตาชาวบ้าน ชอบมือไวใจเร็ว ลักเล็กขโมยน้อย ฉกชิงวิ่งราว ปีนป่ายเพื่อลักขโมยทรัพย์สิ่งของ รับซื้อของโจร อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ร่อนเร่พเนจรไปตามอาชีพ จึงเป็นอกุศลกรรมให้มาเกิดเป็นลิง ค่าง ชะนี ที่มีมือไม้ไว หน่วยก้านดีในการปีนป่ายต้นไม้ตามจริงนิสัยเดิมแต่ชาติปางก่อน

    กำเนิดเป็นอสรพิษ

    งูเห่า งูจงอาง งูแมวเซา งูกะปะ งู สามเหลี่ยม เป็นต้น ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการพูดจาให้ร้ายผู้คนให้เจ็บใจ ให้เจ็บปวด ให้เสียใจทุกข์ทรมานจนถึงตรอมใจตาย บ้างฆ่าตัวตายไปก็มี บ้างก็พูดให้เขาทะเลาะวิวาทกันจนถึงต้องทุบตีทำร้ายกันจนบาดเจ็บ บ้างล้มตายไปก็มี เพราประกอบอกุศลธรรมทางวาจาที่ร้ายกาจนี้ จึงเป็นปัจจัยให้มาถือกำเนิดเป็นอสรพิษ ปากร้าย ปากมีพิษตามจริตสันดานเดิมในชาติปางก่อน

    กำเนิดเป็น เป็ด ไก่ ห่าน

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการทุจริตด้วยการต้มตุ๋นหลอกลวง ปล่อยเงินกู้คิดดอกเบี้ยอย่างหน้าเลือด อารมณ์ดุร้ายด่าพ่อล่อแม่ ใช้ปากในทางเสื่อมเสีย จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาเกิดเป็นไก่ขันรับอรุณ ชาติก่อนรีดไถชาวบ้าน ชาตินี้ต้องใช้กรรมเกิดเป็นไก่ฟาร์ม เป็นอาหารตอบแทนเขา พวกที่กินดอกเบี้ยอย่างน่าเลือดก็เกิดเป็นแม่เป็ด แม่ไก่ ออกไข่มาให้มนุษย์กินชดใช้ดอกเบี้ยหน้าเลือดของตน

    กำเนิดเป็น แพะ แกะ

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการฉ้อโกงโดยหาผลประโยชน์บนความทุกข์ของผู้อื่น ฉวยโอกาสปล่อยเงินกู้คิดดอกเบี้ยแพงๆ ทุจริตยักยอกเงิน กินงบประมาณ ขายของปลอมให้คนอื่นหลงดีใจว่าได้ของดีราคาแพง ด้วยแรงอกุศลกรรมจึงมาถือกำเนิดเป็นแพะ ถูกคนฆ่ากินเลือดเนื้อ ถูกรีดนมชดใช้ชำระหนี้มนุษย์ และกำเนิดเป็นแกะที่ถูกเลี้ยงไว้ตัดขน ในที่สุดก็ถูกฆ่ากินเนื้อเพื่อชำระหนี้ผู้คนที่ตนเคยฉ้อโกงเขามาก่อน
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    กำเนิดเป็น วัว ควาย

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ หลงมัวเมาในการเอารัดเอาเปรียบ เป็นนายจ้างที่ขึ้นชื่อว่าทำนาบนหลังคน ทุจริตในการค้า โกงตาชั่ง หลอกลวงทรัพย์สินชาวบ้าน ล้มแชร์ กู้หนี้ยืมสินแล้วไม่ใช้คืน ซื้อขายไม่ยุติธรรม จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มาถือกำเนิดเป็นวัว ควาย ถูกใช้แรงงานและถูกฆ่าเอาเนื้อเอาหนังเพื่อชดเชยชดใช้หนี้กรรมของตนที่ก่อ ไว้

    กำเนิดเป็นเสือ

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีโมหะกิเลส มัวเมาในนิสัยนักเลงอันธพาล เป็นผู้ร้ายต่างๆ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนจึงถูกผู้คนตั้งฉายาว่า “ไอ้เสือดำ” “ไอ้เสือลาย” “ไอ้เสือเหลือง” “ไอ้เสือโคร่ง” เมื่อประกอบอกุศลกรรมต่างๆ มากมาย หลังจากตายไปแล้วก็ต้องไปชดใช้หนี้กรรมในนรก เปรต อสุรกาย แต่เศษกรรมก็ยังไม่หมดสิ้นยังติดกายติดใจอยู่อีก ก็บันดาลให้มาเกิดในตระกูลเสือร้ายต่างๆ ตามสันดานเดิม

    กำเนิดเป็นราชสีห์

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีโมหะกิเลสมาก หลงมัวเมาในอำนาจความเป็นใหญ่ ปรารถนาเป็นมหาราช เป็นจักรพรรดิ แล้วประกอบอกุศลธรรมอันเป็นบาปเป็นโทษเพียงเพื่อให้ได้เป็นใหญ่ โดยไม่ละอายเกรงกลัวบาปกรรมโดๆ หลังจากตายแล้วจึงไปชดใช้กรรมในนรก เปรต อสุรกาย ก็ยังไม่หมดสิ้นบาปกรรม ก็ต้องมาชดใช้เศษอกุศลกรรมโดยถือกำเนิดเป็นราชสีห์ ซึ่งสัตว์ป่านานาชนิดเกรงกลัวตามจริงนิสัยที่เคยเป็นผู้บ้าอำนาจมาแล้วจากอดีตชาติ
    กำเนิดเป็นกระรอก

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีจิตใจชอบใจ ชอบชี้แนะ ชี้ช่องทาง ( ชี้โพรงให้กระรอก ) ให้ผู้อื่นทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างผิดๆ ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ให้ทุกข์ให้โทษแก่ผู้อื่น จึงเป็นเหตุปัจจัยให้กำเนิดเป็นกระรอก ต้องอาศัยโพรงไม้ต่างๆ เป็นที่อยู่ และมักต้องประสบภัยอันตรายจากงู นก มนุษย์ และสัตว์อื่นๆ คอยทำลายเอาชีวิตจึงอยู่ไม่ค่อยเป็นสุขด้วยแรงกรรมเก่าในชาติก่อนๆ นั่นเอง

    กำเนิดเป็นหนอน

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีจิตใจสกปรก เต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ แล้วมักประกอบอกุศลกรรม เช่น ทุจริตประพฤติมิชอบต่างๆ อันผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ทุจริตในกิจการป่าช้าเผาผี ทุจริตในวงการศาสนา ทุจริตในวงราชการ ประกอบมิจฉาชีพ ค้าหญิงบริการ ฯลฯ ซึ่งได้ปัจจัยมาบริโภคด้วยความสกปรกเน่าเหม็น จึงเป็นเหตุบันดาลให้ต้องมาถือกำเนิดเป็นหนอนจมอยู่ในคูถ กินของสกปรกเน่าเหม็นตามจริตสันดานของตนในอดีตที่ทำไว้

    กำเนิดเป็นปลวก

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีจิตใจไม่เห็นคุณค่า คุณประโยชน์ของต้นไม้ ป่าไม้ คิดแต่จะตัดไม้ทำลายป่าเพื่อนำไม้มาขาย และบุกรุกที่ดินโดยไม่เห็นโทษภัยอันตรายอันเกิดจากการทำลายต้นไม้ ป่าไม้ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องเกิดเป็นปลวก ตามจริงนิสัยที่ชอบทำลายต้นไม้ ป่าไม้ ต้องกินไม้เป็นอาหารจนกว่าจะใช้หนี้กรรมให้หมดสิ้น

    สารจากยมบาล

    ผู้ คนอย่าดูเพียงชาตินี้ชาติเดียว ควรพิจารณาว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีจริง ผลที่รับในชาตินี้สืบเนื่องจากการกระทำในชาติก่อน ดังนั้นผู้ที่ยากจน หรือมีโรคมากก็จงอย่าโทษฟ้าดินหรือคนอื่น ควรรีบสร้างบุญสร้างกุศล ผู้ที่มีบุญวาสนาก็ยิ่งต้องรักบุญกุศล สะสมบุญบารมีอีก มิฉะนั้นพอหมดบุญลง เคราะห์กรรมมาถึงก็จะได้ลิ้มรสผลชั่วของตนเอง

    ตลอดชีวิตของคน ตอนที่ใกล้จะตายให้สังเกตอวัยวะทั้งห้าว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรร่างกายแข็งทื่อหรืออ่อนนิ่ม ใบหน้าปกติหรือไม่ จะได้รู้ว่าผู้ตายจะไปสู่สุคติหรือลงสู่ขุมนรก ให้พิจารณาดูดังนี้ :

    1. ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากหน้าตาปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ก็เนื่องจากได้บรรลุธรรมดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ

    2. ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาซีดเผือดเหมือนคนตกใจ นั่นแสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว
    3. ถ้าตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัวเพราะความตกใจกลัว ทำให้เนื้อกายเปลี่ยนไป ซึ่งเรียกว่าเปลี่ยนลักษณะ จะไปเกิดเป็นสัตว์สี่ชนิดด้วยกันเราก็ดูได้จาก “ตา หู จมูก ปาก” เป็นทหารทั้งสี่ที่ดวงวิญญาณจะไปเกิด เพราะตามีน้ำตา หูก็มีขี้หู จมูกก็มีน้ำมูกปากก็มีน้ำลาย เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง ดังนั้นเมื่อตายลงแล้วถ้าวิญญาณออกจากทวารต่างๆ นี้ ชาติหน้าไปเกิดเป็นสัตว์สี่ประเภทคือ สัตว์เกิดจากรก เกิดจากไข่ เกิดเป็นสัตว์น้ำ และเกิดเป็นพวกแมลง
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    "ตา”

    พวกที่หลงกามคุณมากเกินไป พอจวนจะตายดวงตาจะเบิกกว้าง วิญญาณจะออกจากร่างทางทวารตา ชาติหน้าจะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดจากไข่) เช่น พวกนกต่างๆ อันได้แก่ นกเหยี่ยว นกพิราบ นกนางแอ่น ฯลฯ เป็นต้นพวกนี้ตาจะได้เห็นทั่วทั้งสี่ทิศ

    "หู”

    พวกที่ชอบฟังเรื่องราวไม่ดีเรื่องร้ายๆ ต่างๆ มากมาย พอตายลงหูทั้งสองข้างจะชันขึ้น วิญญาณออกจากทวารหู ชาติหน้าก็เกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากรก ได้แก่ ช้าง ม้า วัวควาย หูจะเข้าใจภาษาคน ให้คนได้เรียกใช้สอย

    "ปาก”

    พวกที่กล่าวร้ายทำลายผู้อื่น พูดจาเสียดสีนินทา กล่าวหาเกินเลย ก่อนจะตาย ปากจะอ้ากว้างไม่หุบ วิญญาณออกทวารปาก จะไปเกิดเป็นพวกสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลาเป็นต้น ปากจะลิ้มรสของเหม็นของ สกปรก
    "จมูก”

    พวกที่ชอบหลงใหลกับกลิ่นหอม ชอบหาเงินที่สกปรก ก่อนจะตายจมูกจะเบิกกว้าง วิญญาณออกทางจมูก ชาติหน้าจะเกิดเป็นพวกแมลง เช่น ยุง แมลงวัน มด หนอนต่างๆ เป็นต้น เพราะจมูกชอบดมของเหม็นที่สกปรก ชอบอกชอบใจตนเอง พวกนี้เกิดในที่ชื้นแฉะ มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากบาปหนักวิญญาณจะถูกตีแตกกระจายไปเกิดเป็นแมลง ต่างๆ

    เวลาคนตายลง วิญญาณที่ออกทางทวาร “ตา หู จมูก ปาก” นี้ ล้วนมีเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี เนื่องจากทวารทั้งสี่เป็นทวารสำรองที่คอยช่วยเหลือ “เจ้าของธาตุแท้” ถ้าหากใช้ทวารทั้งสี่ไปในทางที่ถูกต้องก็จะเป็น “ผู้เที่ยงตรงทั้งสี่” หากใช้ในทางตรงข้ามก็จะกลายเป็น “สี่มหาโจร” ซึ่งจะทำลายเจ้าของ ในเวลาปกติถ้าใช้ทวารทั้งสี่ในทางเลวร้าย พอตายลงวิญญาณก็จะออกทางทวาร เหล่านี้โดยธรรมชาติ ทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ 4 ประเภท
    จากหน้าตาของผู้วายชนม์ ก็สามารถหยั่งรู้ทางไปของเขา แต่ก็ต้องอาศัยเหตุต้นผลกรรม และบาปบุญคุณโทษที่มีอยู่มาชำระคดีความจึงสามารถได้ผลที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วจากรูปลักษณ์ก่อนตายก็สามารถที่จะรู้ได้ถึงที่ทางที่เขาจะ ได้ไปดีหรือร้ายอย่างไร

    ดังนั้น ทิศทางหมุนเวียนของคนก็ขึ้นอยู่กับตัวของคนเอง ผู้ที่มีตาทิพย์ย่อมเห็นได้เองโดยตลอด ขอให้ผู้คนเดินในทางตรง (สร้างบุญกุศล) อย่าเดินทางอ้อม (ก่อกรรมทำเข็ญ) ตอนจะจากโลกนี้ไปจะได้เดินทางโดยสวัสดิภาพ
    เขียนใน GotoKnow โดย นิมิตร
    :- https://www.gotoknow.org/posts/300521

    blinkingskull.gif
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    lpdhattachevo.jpg
    ธรรมชาติของกรรมเป็นอย่างไร?

    เมื่อจะทำกรรมให้ดี เราต้องมาทำความเข้าใจ ถึงธรรมชาติของกรรมด้วย เพราะคนหรือสัตว์โลกทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตนเอง ซึ่งคุณสมบัติของกรรมมีดังนี้

    ข้อที่ ๑ มีกรรมเป็นของตนเอง
    ข้อที่ ๒ มีกรรมเป็นทายาท
    ข้อที่ ๓ มีกรรมเป็นกำเนิด
    ข้อที่ ๔ มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ พวกพ้อง
    ข้อที่ ๕ มีกรรมเป็นที่พึ่ง
    ข้อที่ ๖ มีกรรมเป็นเครื่องจำแนกให้สัตว์โลกดีเลวต่างกัน


    เรื่องคุณสมบัติของกรรมนี้ต้องทำความเข้าใจกันมากสักนิด เพราะคำว่ากรรมคือการกระทำ นี้ มีมาก่อนพุทธกาล ในลัทธิอื่นศาสนาอื่นเขาก็สอนเรื่องกรรม แต่เรื่องกรรมที่เขาสอนไม่ตรงกัน กับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ในพระพุทธศาสนา จากการค้นพบของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์พบว่า

    ข้อที่ ๑ สัตว์โลกทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน

    กรรมของใครก็กรรมของมัน เข้าทำนองว่า คุณกิน คุณก็อิ่ม คุณไม่ได้กิน คุณก็หิว คุณก็อด เราหายใจแทนกันไม่ได้ ฉันใด เราก็ทำกรรมแทนกันไม่ได้ ฉันนั้น

    ใครทำกรรมดีก็ชื่อว่าคนนั้นทำกรรมดี ใครทำกรรมชั่วก็ชื่อว่าคนนั้นทำกรรมชั่ว

    เขาจ้างมือปืนไปฆ่าคน คนที่จ้างก็มีกรรม คือกรรมฆ่าหรือกรรมจ้างคน ส่วนคนไปยิงมีกรรม ฆ่าคนหรือยิงคน กรรมใครกรรมมัน

    โกรธเขาขึ้นมาเลยเขียนจดหมายด่าเขา พอรู้ตัวเขียนจดหมายไปขอโทษเขา ที่เขียนด่าเขานั้น ก็ทำไปแล้วเรียกคืนมาไม่ได้ มันเป็นกรรมไปแล้ว พลิกกลับไปกลับมาไม่ได้ ถ้ามันเสียก็เสียแล้ว ถ้ามันดีก็ดีแล้ว สิ่งนี้จึงต้องระวัง เพราะกรรมนั้นทำคืนไม่ได้ เมื่อทำไปแล้วเรามีกรรมเป็นของตน

    ข้อที่ ๒ มีกรรมเป็นทายาท

    คำว่ามีกรรมเป็นทายาท นี่หมายถึงผล เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น เป็นทายาทรับผลของกรรมที่ตนทำเอาไว้

    ทายาทคือผู้รับมรดก มรดกทางโลกพ่อแม่ยกให้ลูกได้ แล้วท่านอาจจะเปลี่ยนใจไม่ยกให้ก็เป็นไปได้ แม้ท่านให้มาแล้วแต่ลูกไม่รับก็ได้ ถ้าลูกรับไปแล้ววันหลังเอาไปโยนทิ้งก็ทำได้ จะรับหรือไม่รับก็ได้ รับแล้วจะโยนทิ้งก็ได้ จะเก็บเอาไว้ก็ได้ มันไม่แน่

    แต่ว่ามีกรรมเป็นทายาทนั้นต่างกัน คุณทำอะไรไว้ คุณต้องรับผลของกรรมนั้น โยนทิ้ง ก็ไม่ได้ ทั้งกรรมชั่วและกรรมดี คุณตั้งใจร่ำเรียนเขียนอ่านมาตลอด นั่นเป็นกรรมดีของคุณ ผลกลายเป็นความฉลาด ความฉลาดของเราใครก็แย่งเอาไปไม่ได้ แบ่งให้ใครก็ไม่ได้ ขโมยไปก็ไม่ได้

    สิ่งที่เราทำเอาไว้ พอถึงเวลาออกผลขึ้นมาก็เป็นมรดกของเรา ใครแย่งไม่ได้ ฉันรักษาศีลมาอย่างดี พยายามสุด ๆ เลย ไม่โกรธใคร มาวันนี้ฉันเลยหน้าใส สวย ไม่ต้องทาอะไรก็สวยได้ ผลมันออกมาอย่างนี้ แล้วใครจะมาแย่งความสวยของฉันได้ไหม? ไม่ได้ นี่เป็นของฉัน ฉันเป็นผู้รับมรดก

    ตรงกันข้าม เมื่อก่อนนี้ถ้าฉันไม่ชอบใจขึ้นมาก็ค้อนให้ขวับ ๆ ชาตินี้เลยตาเหล่ ปากเบี้ยว จะไปโยนทิ้งได้ไหม? ไม่ได้ เพราะมันเป็นผลของกรรม คือ ฉันจะต้องเป็นทายาทของกรรมนั้น ตั้งแต่โบราณเขาจึงมีข้อเตือนสติมาว่า กรรมไม่ดีอย่าทำ

    ข้อที่ ๓ มีกรรมเป็นกำเนิด

    หมายถึง กำเนิดในชาติต่อไป เวลาใกล้ตาย ใครทำกรรมชั่วเอาไว้มาก ๆ พอใกล้ตายแล้วทำให้ป่วย ทำให้ทรมาน ทำให้ขัดอกขัดใจสารพัด ภาพการทำความชั่ว กรอกลับมาให้เห็นเหมือน กรอภาพยนตร์ถอยหลังมาดู ทำให้กระสับกระส่าย ทำให้ใจขุ่นมัว ความขุ่นมัวของใจเลยนำให้ไป ถือกำเนิดในทุคติ อาจจะเป็นหมู หมา กา ไก่ อาจจะไปตกนรก อาจจะไปเป็นเปรต อาจเป็นอสุรกาย ก็แล้วแต่ว่าใจขุ่นขนาดไหน

    ตรงกันข้าม ถ้าทำทาน รักษาศีลมาดี ละโลกแล้ว ถ้าไม่เป็นเทวดา นางฟ้า ก็ไปเข้าท้องเศรษฐีเลย พอคลอดออกมามีสมบัติรอไว้ให้ใช้แล้ว

    ข้อที่ ๔ มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ พวกพ้อง

    เผ่าพันธุ์พวกพ้องเป็นอย่างไร พวกพ้องพี่น้องทางโลกอยู่บ้านเดียวกัน พ่อแม่เดียวกัน คลาน ตามกันมา หมู่ญาติก็มีอะไร ๆ คล้าย ๆ กัน พอโตขึ้น บางทีก็ยังอยู่ด้วยกันจนกระทั่งล้มหายตายจาก แม้ต่างคนต่างไปมีครอบครัว ก็พอได้พึ่งพาอาศัยกันมา แต่พวกพ้องพี่น้องบางคน พอโตขึ้นต่างคนต่างไป ต่างไปตั้งถิ่นฐานบ้านช่องข้ามประเทศข้ามจังหวัดก็มี นี่คือพวกพ้อง เผ่าพันธุ์ในทางโลก

    มีกรรมเป็นพวกพ้องเป็นอย่างไร คุณโหดกับใครไว้เท่าไร ถึงคราวคุณจะไปเกิดที่ไหนก็ตาม คุณก็มีกรรมโหด ๆ ติดตัวไป คุณก็จะไปเจอคนอื่นเขาโหดกับคุณอย่างหนีไม่พ้น เพราะคุณมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ข้ามชาติไป คุณมีกรรมโหด ๆ ชนิดนี้เป็นเผ่าพันธุ์ของคุณ โยนทิ้งก็ไม่ได้ มันติดเป็นนิสัยแล้ว แก้ยาก

    ตรงกันข้าม คนที่พันธุ์ใจบุญไปถึงไหนก็มีพี่มีน้องมีพวกพ้องใจบุญอยู่ข้าง ๆ นิสัยรักบุญติดไปอยู่ในใจ และเพราะใจอย่างนี้เลยส่งผลให้ได้ยีน ได้โครโมโซมดี ๆ เกิดขึ้นในร่างกาย

    ข้อที่ ๕ มีกรรมเป็นที่พึ่ง

    คำว่าเป็นที่พึ่ง หมายความว่า เป็นกรรมดีโดยเฉพาะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงคราวจะตรัสรู้ มารมันมากวนเหลือเกิน แล้วพระองค์ทำอย่างไร ก็ทรงระลึกถึงบารมีทั้ง ๑๐ ทัศ ที่ทำมาดีแล้วมาเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น ใครตกทุกข์ได้ยากลำบากอะไรขึ้นมา อย่าไปเอาอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย บุญกุศลที่ทำมาตลอดชีวิต ตลอดภพ ตลอดชาติ ตลอดมาตั้งแต่เป็นมนุษย์ชาติแรก นึกเอามาช่วย เรียกบุญที่ทำมาเป็นที่พึ่ง อย่างนี้ถึงจะรอด ไม่ต้องไปเสียเวลาบนบาน เรามีกรรมเป็นที่พึ่ง เอากรรมดีที่ทำเอาไว้นั้นเป็นที่พึ่ง นึกถึงกรรมดีทีหนึ่ง ใจก็ผ่องใสทีหนึ่ง กาย ใจ ผ่องใสทีหนึ่ง บุญก็เกิดขึ้น แล้วเอาบุญนั้นเป็นที่พึ่ง

    ข้อที่ ๖ มีกรรมเป็นเครื่องจำแนกให้สัตว์โลกดีเลวต่างกัน

    ที่เราดีหรือเลวนั้นไม่ต้องไปโทษคนอื่น กรรมของเราเองจัดสรรมา ชาติที่แล้วพูดเพราะ ๆ ชาตินี้ก็ได้ปากสวยเสียงเพราะ ถ้าชาติที่แล้วด่าเก่ง นินทาเก่ง ชาตินี้หวังจะให้ปากสวย ๆ ก็ไม่ได้ หรอก จะเอาลิปสติกกี่ยี่ห้อมาทาก็ไม่สวย

    หน้าที่ของกรรมหรือธรรมชาติของกรรมมันส่งผลอย่างนี้ อยากให้พวกเราทำความเข้าใจให้มาก ๆ แต่ละคืนที่ติดตามกรณีศึกษา (case study) ในรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ทางช่อง DMC ก็จะพบว่า กรรมมันไล่เรียงกันมาอย่างไร อันไหนคือมีกรรมเป็นของตนเอง อันไหนมีกรรมเป็นมรดก อันไหนมีกรรมเป็นกำเนิด อันไหนมีกรรมเป็นพวกพ้อง อันไหนมีกรรมเป็นที่พึ่งหรือมีบุญเป็นที่พึ่ง หรืออันไหนเกิดด้วยแรงจัดสรรของบุญ มรดกกรรมต่าง ๆ นั้น แต่ละคนได้ทำอะไรกันมา ใครที่ไม่เข้าใจในเรื่องกรรมมากพอ ความอายบาปกลัวบาปก็เลยไม่มี เมื่อไม่อายบาปไม่กลัวบาป เดี๋ยวก็ไปทำบาปเข้าจนได้ แต่เมื่อศึกษาจนพอเข้าใจอย่างนี้แล้ว คนที่ เข้าใจเรื่องกรรมได้ดี ก็จะมีกำลังใจยับยั้งตัวเองเหมือนมีดิสเบรก (Disk Brake) ติดตัว ก่อให้เกิด หิริ โอตตัปปะ คือความอายบาป กลัวบาปติดตัว แล้วก็เลยกลายเป็นพื้นฐานของศีลธรรมทุกเรื่อง และรักที่จะสร้างกรรมดีให้ยิ่งยวดต่อไป แม้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อการสร้างความดีก็ยอม
    :- https://www.kalyanamitra.org/th/uniboon_detail.php?page=2091
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    5 คำถามจากท่านพระยายมราช...คำถามที่ทุกคนต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    พระพุทธเจ้าตรัสถึงวิธีการพิพากษาของ พระยายม
    ไว้ในพระสูตรหนึ่งที่มีชื่อว่า เทวทูตสูตร
    ซึ่งทำให้เห็นว่าพระยายมเป็นเทวดาผู้ทรงธรรม
    และพยายามช่วยให้วิญญาณเข้าใจในสัจธรรมชีวิต ไม่ได้เป็นเทวดาที่โหดร้ายอย่างที่ใครๆ คิด

    พระยายมในจินตนาการของคนส่วนใหญ่อาจมองว่า องค์ท่านมีความโหดร้าย น่ากลัว แต่หากอ่านเรื่องพระยายมในพระสูตรนี้แล้ว จะเห็นภาพของท่านพระยายมในอีกรูปลักษณ์หนึ่ง
    คือเป็นเทวดาผู้ทรงธรรม มีวาจาที่ไพเราะ
    และเข้าใจในเรื่องการเกิด-ดับ เป็นอย่างดี

    ครั้งพระพุทธเจ้าประทับยังพระเชตวัน อารามที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย พระองค์ทรงเล่าขั้นตอนการพิพากษาของพระยายมให้พระสาวกทั้งหลายฟังว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลนำดวงวิญญาณเข้าเฝ้าพระยายมแล้วทูลพระยายมว่า

    “ข้าแต่พระองค์ วิญญาณดวงนี้ไม่ปฏิบัติดีต่อบิดามารดา สมณะ พราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในครอบครัว ขอพระองค์โปรดลงทัณฑ์เถิด”

    จากนั้นพระยายมตรัสปลอบโยนดวงวิญญาณเป็นอย่างดี แล้วถามวิญญาณนั้นด้วยข้อที่ 1 ว่า

    “พ่อมหาจำเริญ ท่านไม่เคยเห็นเทวทูตที่ 1 ตอนที่ยังเป็นมนุษย์เลยเหรอ”

    หากดวงวิญญาณตอบว่าไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น พระยายมจะถามต่อว่า

    “เดี๋ยวก่อน ท่านไม่เคยเห็นเด็กที่เพิ่งเกิดตัวแดงๆ เลยหรือ ซึ่งออกมาจากท้องของแม่ เนื้อตัวเปื้อนด้วยคูถของตน”

    เมื่อดวงวิญญาณเข้าใจแล้วจึงตอบทันทีว่า “เคยเห็นเจ้าข้า”

    พระยายมจะตรัสถามต่อทันทีว่า

    “เดี๋ยวก่อน ท่านรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว พอจะมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาบ้างไหมว่า ความเกิดมีขึ้นเป็นธรรมดา ไม่สามารถพ้นความเกิดไปได้ ควรทำความดีด้วยกาย วาจา และใจ”

    หากดวงวิญญาณตอบว่าไม่เคยคิดแบบนี้ ไม่เคยคิดจะทำดีด้วยกาย วาจา และใจ พระยายมจะตรัสว่า

    “ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ หากท่านไม่เคยทำความดีทางกาย วาจา และใจไว้ ทั้งยังใช้ชีวิตด้วยความประมาท ท่านจะต้องเป็นไปตามผลบาปที่สร้างไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะตัวท่านเอง”

    จากนั้นพระยายมทรงปลอบโยนดวงวิญญาณให้คลายความหวาดกลัว แล้วทรงถามคำถามข้อที่ 2 ต่อว่า

    “พ่อมหาจำเริญ ท่านไม่เคยเห็นเทวทูตที่ 2 ในตอนที่ยังเป็นมนุษย์เลยเหรอ”

    หากดวงวิญญาณตอบว่าไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น พระยายมจะถามต่อว่า

    “เดี๋ยวก่อน ท่านไม่เคยเห็นหญิงหรือชาย ที่แก่ชรา หลังงอ ถือไม้เท้า ฟันหัก ผมหงอก เนื้อตัวตกกระ บ้างเลยหรือ”

    เมื่อดวงวิญญาณเข้าใจจึงตอบว่าเคยเห็นเจ้าข้า พระยายมจะตรัสถามต่อทันทีว่า

    “เดี๋ยวก่อน ท่านรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว พอจะมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาบ้างไหมว่า ความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามารถพ้นจากความแก่ไปได้ จึงควรทำความดีด้วยกาย วาจา และใจ ”

    หากดวงวิญญาณตอบว่าไม่เคยคิดแบบนี้ ไม่เคยทำดีด้วยกาย วาจา และใจ พระยายมจะตรัสว่า

    “ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ หากท่านไม่เคยทำความดีทางกาย วาจา และใจไว้ ทั้งยังใช้ชีวิตอย่างประมาท ท่านจะต้องเป็นไปตามผลบาปที่สร้างไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะตัวของท่านเอง”

    จากนั้นพระยายมทรงปลอบโยนดวงวิญญาณให้คลายความหวาดกลัว แล้วทรงถามคำถามข้อที่ 3 ว่า

    “พ่อมหาจำเริญ ท่านไม่เคยเห็นเทวทูตที่ 3 ในตอนที่ยังเป็นมนุษย์เลยเหรอ”

    หากดวงวิญญาณตอบว่าไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น พระยายมจะถามต่อว่า

    “เดี๋ยวก่อน ท่านไม่เคยเห็น ผู้ป่วยที่ทนทุกข์ เป็นไข้หนัก นอนเปื้อนมูตรคูถของตน มีคนอื่นคอยพยุงลุก พยุงเดิน บ้างเลยหรือ”

    เมื่อดวงวิญญาณเข้าใจจึงตอบว่าเคยเห็นเจ้าข้า พระยายมจะตรัสถามต่อทันทีว่า

    “เดี๋ยวก่อน ท่านรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว พอจะมีความคิดนี้ขึ้นมาบ้างไหม ความเจ็บป่วยมีขึ้นเป็นธรรมดา ไม่มีใครสามารถพ้นความเจ็บป่วยไปได้ จึงควรทำความดีด้วยกาย วาจา และใจ ”

    หากดวงวิญญาณตอบว่าไม่เคยคิดแบบนี้ ไม่เคยทำดีด้วยกาย วาจา และใจ พระยายมจะตรัสว่า

    “ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ หากท่านไม่เคยทำความดีทางกาย วาจา และใจไว้ ทั้งยังใช้ชีวิตด้วยความประมาท ท่านจะต้องเป็นไปตามผลบาปที่สร้างไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะตัวท่านเอง”

    จากนั้นพระยายมทรงปลอบโยนดวงวิญญาณให้คลายความหวาดกลัว แล้วทรงถามคำถามข้อที่ 4 ไปว่า

    “พ่อมหาจำเริญ ท่านไม่เคยเห็นเทวทูตที่ 4 ในตอนที่ยังเป็นมนุษย์เลยเหรอ”

    หากดวงวิญญาณตอบว่าไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น พระยายมจะถามต่อว่า

    “เดี๋ยวก่อน ท่านไม่เคยเห็น นักโทษได้รับโทษทัณฑ์จากพระราชาบ้างเลยหรือ”

    เมื่อดวงวิญญาณเข้าใจจึงตอบว่าเคยเห็นเจ้าข้า พระยายมจะตรัสถามต่อทันทีว่า

    “เดี๋ยวก่อน ท่านรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว พอจะมีความคิดนี้ขึ้นมาบ้างไหม คนที่ทำความชั่วอันลามกย่อมได้รับโทษทัณฑ์ จึงควรทำความดีด้วยกาย วาจา และใจ ”

    หากดวงวิญญาณตอบว่าไม่เคยคิดแบบนี้ ไม่เคยทำดีด้วยกาย วาจา และใจ พระยายมจะตรัสว่า

    “ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ หากท่านไม่เคยทำความดีทางกาย วาจา และใจไว้ ทั้งยังใช้ชีวิตด้วยความประมาท ท่านจะต้องเป็นไปตามผลบาปที่สร้างไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะตัวท่านเอง”

    จากนั้นพระยายมทรงปลอบโยนดวงวิญญาณให้คลายความหวาดกลัว แล้วทรงถามคำถามข้อที่ 5 ว่า

    “พ่อมหาจำเริญ ท่านไม่เคยเห็นเทวทูตที่ 5 ในตอนที่ยังเป็นมนุษย์เลยเหรอ”

    หากดวงวิญญาณตอบว่าไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น พระยายมจะถามต่อว่า

    “เดี๋ยวก่อน ท่านไม่เคยเห็นซากศพที่ตายแล้ว วันหนึ่ง หรือสองวัน หรือสามวัน ขึ้นพอง เขียวช้ำ มีน้ำเหลืองเยิ้มบ้างเลยหรือ”

    ดวงวิญญาณเข้าใจจึงตอบว่าเคยเห็นเจ้าข้า พระยายมจะตรัสถามต่อทันทีว่า

    “เดี๋ยวก่อน ท่านรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว พอจะมีความคิดนี้ขึ้นมาบ้างไหม ความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถพ้นความตายไปได้ แม้เราจักต้องตาย จึงควรทำความดีด้วยกาย วาจา และใจ”

    หากดวงวิญญาณตอบว่าไม่เคยคิดแบบนี้ ไม่เคยทำดีด้วยกาย วาจา และใจ พระยายมจะตรัสว่า

    “ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ หากท่านไม่เคยทำความดีทางกาย วาจา และใจไว้ ทั้งยังใช้ชีวิตด้วยความประมาท ท่านจะต้องเป็นไปตามผลบาปที่สร้างไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะตัวท่านเอง”

    เมื่อดวงวิญญาณไม่สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่เทวทูตทั้ง 5 กำลังจะบอก เพื่อให้ประพฤติทำความดีด้วยกาย วาจา และใจ ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ พระยายมจะตัดสินไปทางผลของกรรมที่ทำไว้ นายนิรยบาลจะนำตัววิญญาณไปยังนรกขุมต่างๆ ตามความเหมาะสมของบาปที่ทำไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่..."

    ที่มา : เทวทูตสูตร

    :-
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    pexels-photo-1266810.jpeg
    พระพุทธเจ้าสอนให้แบ่งเงินเป็น 4 ส่วนคือ
    1. ใช้หนี้เก่า
    2. ให้เขากู้
    3. ฝังไว้ใช้
    4. ทิ้งใส่เหว
    - ใช้หนี้เก่า คือ ให้พ่อแม่ ท่านให้กำเนิดและเลี้ยงเรามา เราเป็นหนี้บุญคุณท่าน ต้องตอบแทน
    - ให้เขากู้ คือ ให้ลูกหลาน ลูกหลานได้รับอุปการะ ต่อมาภายหลัง ก็จะกลับมาใช้หนี้เราคือเลี้ยงดูเราในยามชรา
    - ฝังไว้ใช้ คือ ทำบุญ เพื่อฝังไว้เป็นอริยะทรัพย์ สำหรับใช้ในการเดินทางไปใน สังสารวัฏ
    - ทิ้งใส่เหว คือ เที่ยวกินใช้ไป พระองค์ทรงเปรียบท้องคนเราเป็นเหวลึก กินเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม
    คัมภีร์กฎแห่งกรรม 3 ชาติ ได้บันทึกไว้ว่า "สามีภรรยา " มีกรรมร่วมกันมา ไม่ว่าจะกรรมดี หรือกรรมชั่ว ถ้าไม่มีกรรม ร่วมกันมา ก็ไม่อาจอยู่ร่วมบ้านหลังเดียวกันได้ " บุตรธิดา " คือ หนี้ ไม่ว่าจะเป็นทวงหนี้ หรือชดใช้หนี้ ไม่มีหนี้ ไม่มาเกิดเป็น พ่อ แม่ ลูกกัน"
    ดังนั้น สามีภรรยา ที่มีกรรมดีร่วมกันมา ย่อมสมานสามัคคี รักใคร่กลมเกลียว ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ส่วนสามีภรรยา ที่มีกรรมชั่ว ร่วมกัน มาแต่อดีตชาติ ย่อม ทะเลาะเบาะแว้ง บ้านแตกสาแหรกขาด ไม่อาจอยู่ร่วมกัน จนวันตาย
    ส่วน " บุตรธิดา " ที่มาทวงหนี้ เป็นลูกที่ไม่เอาไหน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจไม่ วายเว้น " บุตรธิดา " ที่มาใช้หนี้ จะสำรวมระวัง รู้คุณทดแทนคุณ ไม่กล้า ทำให้พ่อแม่ ชอกช้ำใจ ชาวโลก ทุกคน เกิดมาต่างหนีไม่พ้น พบ พราก สุข ทุกข์ เศร้า อภัย แค้น รัก ชัง นี่คือผลแห่งของกรรม ปลูกเหตุเช่นไร ย่อมได้ลิ้มผลเช่นนั้น ไม่ว่าจะเหตุใด หรือ ผลใด ล้วนหนีไม่พ้น กฏแห่งกรรมทั้งสิ้น
    1. มาแทนคุณ ด้วยบุญในอดีต ที่ได้สั่งสมร่วมกันมา ด้วยพระคุณที่มีต่อกัน จึงได้มาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกหลานกัน เราเรียกบุตรธิดาเหล่านี้ว่า "ลูกกตัญญู" เขามาเพื่อที่จะทดแทนคุณ เป็นเด็กดี ฉลาด เชื่อฟัง เขาเหล่านี้ไม่มีทาง จะทำอะไรเสียหาย ให้พ่อแม่ต้อง กลัดกลุ้มกังวลใจ
    2. มาล้างแค้น ด้วยกรรมในอดีต ที่ได้สร้างร่วมกันมา จึงได้มาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกหลานกัน เมื่อเติบใหญ่ก็จะกลายเป็นลูกล้างผลาญ ทำให้ครอบครัวล่มสลาย เราเรียกบุตรธิดาเหล่านี้ว่า "ลูกทรพี" เขามาล้างแค้น ดังนั้น อย่าได้ผูกเวรไว้กับเขา เจ้ากรรมนายเวรที่อยู่ภายนอก ยังพอป้องกันได้ แต่นี่เกิดมาเป็นลูกหลานในบ้านใน ตระกูลแล้ว จะทำอย่างไรดี ดังนั้น อย่าทำร้ายใคร อย่าฆ่าแกงกัน เพราะต่างคนต่างก็รักตัวกลัวตายเช่นกัน
    3. มาทวงหนี้ ชาติก่อนหนหลัง พ่อแม่เป็นหนี้ไว้ ไม่ได้ชดใช้คืน หนี้ที่ว่าคือ หนี้เงิน ไม่ใช่หนี้ชีวิต เขาจึงเกิดมาเพื่อทวงหนี้คืน หากเป็นหนี้กันน้อย เกิดมาให้ดูแลปีสองปีเขาก็ตาย เราเป็นหนี้เขาเท่าไหร่ เมื่อใช้หมด เขาก็ไป ต่อให้คุณรักเขามากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยใส่ใจคุณ หากเป็นหนี้เขาเยอะ เลี้ยงจนเติบใหญ่ จบมหาวิทยาลัย เรียนจบวันนั้น ก็ตายวันนั้น เขาไม่อยู่รับใช้เรา เพราะมาทวงหนี้ หนี้หมดก็จากไป
    4. มาใช้หนี้ชาติก่อนหนหลัง เขาเป็นหนี้พ่อแม่ไว้ ไม่ได้ชดใช้คืน เมื่อเขาเกิดมาในชาตินี้ จึงต้องทำงาน หาเงิน เหน็ดเหนื่อย เพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่ก็อยู่ที่ว่า เป็นหนี้พ่อแม่มาก น้อยเพียงใด หากเป็นหนี้มาก ก็ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ เป็นอย่างดี หากเป็นหนี้พ่อแม่น้อย ก็เลี้ยงดูตามอัตภาพเหมือนที่เราเคยพบเห็น เลี้ยงพ่อแม่ประหนึ่งคนรับใช้ในบ้าน เพราะอะไร เพราะมาใช้หนี้กรรม ลูกประเภทนี้ แม้จะเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่ก็หล่อเลี้ยงแค่กาย ไม่หล่อเลี้ยงจิตใจ เลี้ยงดูโดยปราศจากความเคารพ และความกตัญญู ซึ่งต่างจากบุตรที่เกิดมา เพื่อทดแทนคุณ ประเภทนี้ไม่เพียงแต่หล่อเลี้ยงกาย ยังหล่อเลี้ยง จิตใจบุพการี ด้วย
    หลักธรรมในข้อนี้ มิใช่เพียงแค่ลูกหลาน ยังรวมทั้งญาติพี่น้อง และคนรอบข้าง ทั้งหลาย ที่เราได้รู้จัก และเคยได้อยู่ร่วมกันมา หากแต่เป็นเพราะ กรรมที่ก่อกันมา หนักหนา หรือ เบาบาง หากบุญคุณ ความแค้นหนักหนา ก็เกิดมาเป็นสามีภรรยา และลูกหลานพี่น้อง หากบุญคุณ และความแค้นเบาบาง ก็เกิดมาเป็นญาติสนิทมิตรสหาย คุณเดินซื้อของในตลาด อยู่ๆคนแปลกหน้า ก็มายิ้มให้คุณและ คุณก็ยิ้มตอบ ล้วนเป็นบุญกรรม แต่ชาติปางก่อน แต่ถ้าคุณรู้สึก ขัดหูขัดตา แถมไม่พอใจ ยังถ?ตา ใส่ฝ่ายตรงข้ามอีก นี่ก็ล้วนเป็นบุญกรรม แต่ชาติปางก่อนเมื่อเข้าใจในกฏแห่งกรรม เหล่านี้ เราจะได้ไม่ผูกกรรมด้านดำเพิ่ม แต่จงผูกกรรมด้านขาวซึ่งเป็นกรรมดีจะดีกว่า
    แล้วจะแก้ไขอย่างไร หากเราและลูกหลานผูกกรรมที่ ไม่ดีต่อกันมา แต่ปางก่อนแล้ว คำตอบก็คือ นำพาลูกหลานเข้าวัด หมั่นบำเพ็ญปฏิบัติธรรม ศึกษาพระธรรม เมื่อต่างฝ่ายต่างศึกษาธรรม ย่อมแปรกรรมร้าย ให้กลายเป็นกรรมดีได้ ย่อมคลายความจองจำ คับแค้นให้สลายคลายลงได้ เช่นนี้ที่เราเรียกว่า "เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต เปลี่ยนร้าย กลายเป็นดี"
    สาธุ?
    อ่านจบแล้วแชร์ไปได้บุญ
    :-
    https://www.facebook.com/people/%E0...B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%94/100068029991715/?locale=fr_FR
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เหนือกรรม
    สภาวะเหนือกรรม จึงเป็นการแก้วิบากกรรมอย่างถูกต้อง

    โดยปกติแล้วเราแบ่งกรรมหรือการกระทำออกเป็นหลักใหญ่ๆคือ กรรมดี และ กรรมชั่ว

    ตามหลักพระพุทธศาสนา เมื่อกระทำกรรมแล้วย่อมได้รับผลของกรรมเยี่ยงนั้น เป็นธรรมดา หรือที่เรียกว่ากรรมวิบาก(ผลของกรรม) หรือแม้แต่จะพิจารณาโดยหลักวิทยาศาสตร์อันเป็นไปตามหลักเหตุและผลอันเป็นธรรมชาติเช่นกันก็ตามที ดังเช่น หลักฟิสิกส์ในเรื่องแรง กล่าวคือเมื่อมีแรงอะไรเกิดขึ้นที่เรียกกันว่าแรงกริยา ก็ย่อมต้องมีผลออกมาเป็นแรงปฏิกริยาเกิดขึ้นเสมอนั่นเอง ต่างก็ล้วนเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติ อันเป็นอสังขตธรรมที่เป็นจริงแท้แน่นอนเหมือนกัน กล่าวคือ เที่ยงแท้และอกาลิโกคงทนต่อทุกกาลเยี่ยงนี้ ทั้งในเรื่องกรรมและเรื่องแรงตามหลักฟิสิกส์

    เพียงแต่ว่าวิบากของกรรม หรือผลของกรรมนี้ไม่สนองออกมาตรงๆเป็นสูตรสำเร็จหรือเป็นกฏเป็นเกณฑ์ ดัง ๑ + ๑ = ๒ พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงจัดวิบากกรรมเป็นอจินไตย ดังตรัสไว้ในอจิตตติสูตร กล่าวคือไม่สามารถทำนายหรือรู้ผลอย่างตรงๆ เพียงแต่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เหตุเพราะยังไปเนื่องสัมพันธ์กับเหตุปัจจัยอื่นๆที่เป็นองค์ประกอบร่วมอีกเป็นจำนวนมาก จึงมีทิศทางที่เบี่ยงเบนหรือการสนองกลับที่ต่างกันไปบ้าง แต่เกิดผลของกรรมอย่างแน่นอน ขอยกตัวอย่างเป็นไปในทางโลกๆเพื่อให้เข้าใจได้แจ่มแจ้ง ดังเช่น ใส่แรงกริยา(action force)ให้ลูกบอลโดยการปาเข้าใส่กำแพง เมื่อเกิดผลคือการปะทะกำแพงแล้ว ย่อมเกิดผลของกรรมของการกระทำคือจากการปะทะกำแพงคือแรงปฏิกริยา(reaction force) ทำให้กระเด้งกลับมาเป็นธรรมดาหรือตถตา แต่ว่าแต่ละครั้ง แต่ละคน ที่ปา ขอให้สังเกตุทิศทางของการกระเด้งหรือผลของกรรมที่กลับมาว่า เป็นสังขารที่ถูกปรุงแต่งขึ้นแล้ว จึงมีอาการแปรปรวนไปมาตามเหตุปัจจัยย่อยต่างๆอันเป็นองค์ประกอบร่วม ดังเช่น ความแรง,ความเบาในการปา ความนุ่ม,แข็งของลูกบอล มุมที่เข้าตกกระทบ วัสดุที่กระทบ ความชำนาญ บุคคลที่ปา ฯลฯ. ล้วนแล้วก่อให้เกิดการเบี่ยงเบนหรือแปรปรวนขึ้นบ้างเท่านั้น แต่ล้วนแล้วแต่ต้องมีแรงปฏิกริยาหรือแรงโต้ตอบกลับทั้งสิ้น หรือมีวิบากของกรรมหรือผลของการกระทำเกิดขึ้นอย่างแน่นอน วิบากกรรมก็เป็นเฉกเช่นนั้นแล ด้วยเหตุดั่งนี้จึงเป็นอจินไตย ที่ไม่สามารถพยากรณ์ออกมาได้เป็นสูตรสำเร็จได้ด้วยเหตุดังนี้นี่เอง แต่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นผู้ที่ทำกรรมชั่ว ก็ต้องรีบแก้ไขเพื่อให้เกิดการเบี่ยงเบนของวิบากไปในทางที่ดีเกิดขึ้นนั่นเอง กล่าวคือ จะไปห้ามไม่ให้เกิดวิบากของกรรมเสีย ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ทำให้เบี่ยงเบนไปบ้างเสียนั้น พึงกระทำได้ด้วยตนเองเท่านั้น นั่นเอง

    ดังนั้นปุถุชนทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว ก็ย่อมเสวยวิบากกรรมตามนั้นอย่างแน่นอน เพราะเป็นสภาวธรรมอันเที่ยงตรง เป็นอสังขตธรรม อันเที่ยงตรงและคงทนต่อทุกกาลนั่นเอง ดุจเดียวดั่งการทำการปลูกข้าว ย่อมได้ข้าวเป็นผลของกรรม(การกระทำ)เป็นส่วนแรก ย่อมไม่ได้เผือก มัน องุ่นต่างๆ อันย่อมเป็นไปไม่ได้ และดังที่กล่าวว่าเป็นอจินไตย อีกส่วนของผลของกรรมจึงแสดงออกมาก็คือได้ผลที่ไม่เท่ากัน อันขึ้นกับเหตุปัจจัยย่อยดังที่กล่าวแล้วมาเบี่ยงเบนร่วมด้วยนั่นเอง เช่น ความขยันหมั่นเพียร การดูแล การใส่ปุ๋ยต่างกัน เป็นต้น แต่ล้วนต้องได้ข้าวอย่างจริงแท้แน่นอนทั้งนั้น จะผันแปรเป็นอื่นไม่ได้ เป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบันธรรม กรรมวิบากก็เป็นเฉกเช่นนั้นแล

    เหตุที่แสดงนี้ เพราะปัจจุบันนี้มีการสื่อสารต่างๆอย่างมากมาย จึงทำให้รู้เห็นได้อย่างกว้างขวาง รู้เห็นเป็นไปในโลกและบุคคลต่างๆ อันมีทั้งดีและชั่วทุพภาษิตที่ได้ยินพูดเล่นกันอย่างเนืองๆ " ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป " ผู้ประกอบกรรมดีได้ฟังผัสสะเข้าย่อมเกิดมีความรู้สึกท้อแท้ ผู้ประกอบกรรมชั่วก็ฮึกเหิมไม่เกรงกลัว แต่ตามความเป็นจริงแล้วยังคงเป็นไปตามกระแสของสภาวธรรมอย่างถูกต้องและเที่ยงตรงและคงทนต่อทุกกาลอยู่นั่นเอง เนื่องจากยังไม่เข้าใจในธรรมหรือธรรมชาติหรือกฏแห่งกรรมอย่างถูกต้องแจ่มแจ้ง ผู้ที่ทำดีก็มักบ่นพึมพัมว่า ทำไมไม่รวย ทำไมไม่โชคดี ทำไมเคราะห์ร้ายไม่หมดเสียที เกิดความท้อแท้ เพราะมองเห็นแต่สภาวะความเป็นไปตามความเห็นความเข้าใจของตน อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เห็นเข้าใจว่า การทำดีนั้น ย่อมได้ดีอยู่เป็นที่สุด ด้วยไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเป็นคนละเรื่องหรือคนละเหตุปัจจัยกัน เห็นแต่ว่า ไม่เป็นไปตามความอยากหรือปรารถนาของตน ด้วยเพราะความไม่รู้(อวิชชา)จึงเอามาผูกเนื่องสัมพันธ์กันอย่างไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง เหมือนดังการปลูกข้าวย่อมได้ข้าว มิใช่ความรํ่ารวย ความรํ่ารวยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอื่นๆที่เป็นองค์ประกอบร่วมด้วย ดังเช่น อุปสงค์อุปทาน หรือกฏของความต้องการ อันเป็นเหตุปัจจัยคนละเรื่องกันเพียงแต่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ส่งผลถึงกันส่วนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเข้าใจผิดดังกล่าวจึงเกิดความท้อแท้ใจในผู้ประกอบกรรมดี แต่ถึงอย่างไรท่านก็ย่อมได้รับกรรมวิบากที่ดีอย่างแน่นอน แม้ตั้งแต่ขณะจิตนั้นแล้ว จิตจึงไม่เร่าร้อนเผาลนเป็นทุกข์ด้วยอุปาทานทุกข์แต่เกิดขึ้นและเป็นไปโดยไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง และก็มีผลกรรมดีอื่นๆเช่นกันเพียงแต่ดังที่กล่าวแล้วว่าเป็นอจินไตย จึงไม่รู้ไม่เข้าใจในกรรมวิบากดีที่จักเกิดขึ้นและเป็นไปเมื่อใดเท่านั้นเอง ส่วนผู้ที่ประกอบกรรมชั่วนั้น ก็รับผลนั้นแต่บัดดลเช่นกัน เกิดการฮึกเหิมทะเยอทะยานอยากแต่ล้วนเร่าร้อนเผาลนกังวลขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว จึงดำเนินและเป็นไปอยู่ภายใต้ความเร่าร้อนหลบซ่อนความชั่วเหล่านั้นอยู่เนืองๆ จนในที่สุดผลกรรมอันเป็นอจินไตยก็ตอบสนองเต็มรูปแบบอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน เช่น เป็นทุกข์ที่แสนเร่าร้อนเมื่อผุดนึกจำขึ้นมาอันย่อมไม่สามารถควบคุมบังคับได้ เป็นที่ตำหนิติเตียน ก่นด่า ติดคุกติดตะราง ถูกยิงตาย หรือคดโกงกันเองในกลุ่มผู้ประกอบกรรมชั่ว อันย่อมมีจิตที่มีกิเลสสูงอยู่แล้ว คิดหวาดระแวงและเร่าร้อนแสวงหาเพิ่มเติม กังวลกับทุกข์ในการดูแลรักษา จนนอนก็สะดุ้งผวา ฝันร้าย ยิ่งไปไหนต้องมีผู้คุ้มกัน พกอาวุธ อันแสดงถึงมีความกลัวกังวลในจิตอันเกิดแต่ผลของกรรมแล้วนั่นเอง ฯลฯ. และยังอาจส่งผลเป็นกิเลสหรือกรรมถึงลูกถึงหลานตามที่เรียนรู้ลอกแบบมาอีกด้วย สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนดำเนินและเป็นไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่รู้ตัว ถึงรู้ตัวระวังรักษาก็มิสามารถแก้ไขอะไรได้เพราะความเป็นสภาวธรรม ต้องอยู่ในอุปาทานทุกข์ในชราอันเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายทั้งในยามตื่นและในยามหลับ และไม่มีทางที่จะหยุดหรือหลีกเลี่ยงได้เสียด้วยเพราะเป็นธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ อันเป็นกรรมวิบากส่วนหนึ่ง ที่เผาลนยิ่งและยาวนาน เกิดๆดับๆอยู่ตลอดเวลาของชีวิต และยังไม่จบเพียงแค่นั้น กรรมวิบากอีกส่วนหนึ่ง นั้นก็ยังเกิดขึ้นต่อไปอีกในลักษณะอจินไตย คือ เกิดอุปาทานขันธ์๕เหล่านั้นในชราอันจักยังส่งผลให้เกิดกรรมวิบากที่เหลือในรูปแบบต่างๆอีกต่อไป ดังเช่น ติดคุกติดตะราง ฯ. ผู้ประกอบกรรมดีอยู่ ย่อมไม่รู้ไม่เห็นในสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นและเป็นไปภายในอย่างลึกซึ้งของผู้ประกอบกรรมชั่ว แลเห็นแต่ภาพลักษณ์ภายนอกไม่เห็นตามความเป็นจริงแห่งธรรมที่เป็นไป ที่เพียงแลเห็นว่า น่าเป็นสุข แลดูดี ผิวพรรณดีด้วยอยู่ดีกินดี มีคนนอบน้อม มีข้าทาสบริวาร มีสมบัติพัสถาน, ผู้ประกอบกรรมดีจึงเกิดความรู้สึกท้อแท้และริษยาโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นอุปาทานทุกข์ขึ้นเสียอีก ยิ่งในนักปฏิบัติเพื่อการดับไปแห่งทุกข์แล้ว เป็นการปฏิบัติที่ผิดพลาดด้วย เพราะการไปยึด(อุปาทาน)ไปอยาก(ตัณหา)ในความดีนั่นเอง อันพระพุทธเจ้าก็ได้ทรงตรัสเตือนแล้วในสติปัฏฐานสูตร ไม่ยึดมั่นหมายมั่นในสิ่งใด อันหมายรวม ดีชั่ว บุญบาป ถูกผิด สุขทุกข์ กุศลจิตอกุศลจิต อดีตอนาคต ละเอียดหยาบ ใกล้ไกล, และผู้เขียนกล่าวเนืองๆในเรื่องอุเบกขา ความเป็นกลางวางเฉย ที่กล่าวอยู่เสมอๆว่าไม่ยึดทั้งดีและชั่ว ดังนั้นไม่ว่าดีชั่ว ถูกผิด ฯลฯ. ต่างล้วนเป็นสิ่งที่ไปยึดไปอยากแล้วเกิดทุกข์ทั้งนั้น ดังตัวอย่างง่ายๆลองพิจารณาโดยละเอียดและแยบคายดู สมมติว่าท่านเป็นคนดีคนถูก ได้ช่วยเหลือเกื้อหนุนบุคคลใดบุคลหนึ่งอย่างดียิ่งด้วยเหตุอันใดก็ดี แต่ต่อมาภายหลังบุคคลนั้นได้ทำกรรมชั่วต่อท่าน อาจคดโกงหรือนินทาว่าร้ายต่างๆนาๆ ท่านเมื่อทราบเข้า แล้วไปยึดด้วยอุปาทานว่าท่านเป็นคนดี คนถูก แต่ลองพิจารณาดูดีๆว่าเป็นผู้ใดที่จะเกิดอุปาทานทุกข์ในชราอันเร่าร้อนเผาลนและยาวนานเข้ากระหนํ่า แบบซํ้าๆซากๆ กรรมดีนั้นก็ยังมีอยู่ แต่ ณ บัดนั้นท่านก็ต้องรับกรรมชั่วของการไปอยากด้วยตัณหาหรือไปยึดด้วยอุปาทานจึงเกิดเป็นอุปาทานทุกข์ที่เร่าร้อนเผาลนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเช่นกันเสียก่อน ก่อนที่วิบากกรรมดีในรูปแบบใดเพราะเป็นอจินไตยจะเกิดขึ้นเสียอีก ส่วนบุคคลนั้นเขาก็ย่อมได้รับวิบากกรรมชั่วของเขาในที่สุดเช่นกัน เพียงแต่ ณ ขณะนั้นเขาบุคคลผู้นั้นยังไม่ได้เสวยความเร่าร้อนเผาลนใดๆดังใจปรารถนาของท่านเลย แต่ท่านผู้ไปยึดดียึดถูกอันจัดเป็นกรรมชั่วอย่างหนึ่งโดยความไม่รู้(อวิชชา)นั่นเอง จึงเร่าร้อนเผาลนด้วยอุปาทานทุกข์เสียเอง ก่อนเขาผู้นั้นจะเสวยวิบากกรรมชั่วใดๆของเขาเสียอีก

    ยังมีกรรมอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดแก่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างถูกต้องดีงาม คือ เหนือกรรม เป็นกรรมระดับโลกุตระหรือเหนือภาวะทางโลก, เหนือกรรมนี้ ไม่ได้หมายถึงเมื่อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วผลของกรรมนั้นจะไม่เกิดขึ้น ผลของกรรมนั้นยังคงมีอยู่ ด้วยเป็นสภาวธรรมและอกาลิโก จึงยังมีกรรมวิบากที่สนองอยู่ เป็นสภาวธรรมอันเที่ยงแท้คงทนอยู่ มิใช่ผลกรรมหรือกรรมวิบากนั้นดับหรือหายไปเลยดังที่คิดหวังไว้ มิเช่นนั้นผลกรรมดีที่ท่านทำไว้ก็อาจย่อมหายไปได้ด้วยลักษณาการเดียวกัน แต่หมายถึง เมื่อกรรมวิบากหรือผลของกรรมจากการกระทำนั้นๆเมื่อเกิดขึ้นแก่ท่านแล้ว แต่ไม่มีผลให้เกิดอุปาทานทุกข์อันเผาลนเร่าร้อนและยาวนาน ใจท่านยังคงสงบ บริสุทธิ์ ผ่องใส เป็นไปเพียงในลักษณาการของกระบวนธรรมขันธ์ ๕ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ จางคลาย และดับไปเป็นธรรมดา กล่าวคือ อยู่ในภาวะที่เหนือกว่าผลของกรรมหรือกรรมวิบากที่ยังคงต้องเกิดขึ้นอยู่นั้น แต่ส่งผลไปไม่ถึงท่านเหล่านั้นนั่นเอง กล่าวคือ วิบากกรรมชั่วถูกเบี่ยงเบนบดบังไปด้วยกรรมดี จึงไม่เกิดความทุกข์อันเร่าร้อนเผาลนและยาวนานด้วยไฟของกิเลสตัณหาอุปาทานเข้ากระทบ ที่ต้องปฏิบัติกันก็คือให้เกิดสภาพเหนือกรรมเยี่ยงนี้นี่เอง ตลอดจนเป็นเหตุปัจจัยให้วิบากกรรมดีอีกส่วนหนึ่งอันเป็นอจินไตยเช่นกัน จึงย่อมส่งผลในทางที่ดีช่วยอีกส่วนหนึ่งเป็นธรรมดา จึงเกิดการเบี่ยงเบนทิศทางดังลูกบอล จึงเป็นไปในทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับในที่สุด

    การแก้กรรม หรือแก้ไขกรรมที่กระทำกันโดยวิธีสะเดาะเคราห์ บนบานศาลกล่าว ทำบุญทำกุศลเพื่อหวังผลบุญ บูชาด้วยเครื่องบูชาต่างๆนั้น ตามความเป็นจริงแล้วไม่ใช่วิธีการทางพุทธศาสนา เป็นการกระทำด้วยทิฏฐุปาทานหรือสีลัพพตปาทาน อันไม่ถูกต้องดีงามอย่างแท้จริง มีประโยชน์เพียงเป็นที่พึ่งทางใจของผู้ที่ไปยึดถืออย่างชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น และเมื่อแก้ไขได้ก็ยิ่งพากันไปยึดไปบูชาเพิ่มความแรงเข้มของมิจฉาทิฏฐิ โดยไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงเป็นไปเช่นนั้นเอง ถึงแม้ไม่บนบานก็ยังคงต้องเกิดและเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้นๆนั่นเอง อันเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตาหรือปฏิจจสมุปบันธรรม

    วิธีแก้กรรมหรือแก้ไขที่ถูกต้องก็คือทำอย่างไรให้ เหนือกรรม นั่นเอง โดยการปฏิบัติแก้กรรมหรือรับผลของกรรมในรูปของการปฏิบัติด้วยความเพียรและปัญญา โดยมี สติ, อย่างต่อเนื่องหรือสัมมาสมาธิ,และปัญญา โดยการมีสติระลึกรู้เท่าทัน และปัญญาแจ่มแจ้งในเวทนาหรือจิตสังขารนั่นเอง แล้วอุเบกขาเป็นกลางวางทีเฉย

    ผู้ที่ประกอบแต่กรรมดีอยู่แล้ว ก็ควรใฝ่ใจศึกษาปฏิบัติวิปัสสนาให้แจ่มแจ้ง เพื่อให้บรรลุถึงสภาวะเหนือกรรม

    ผู้ที่ประกอบกรรมชั่วอยู่ก็ต้องละวางเสียก่อน แล้วจึงดำเนินการศึกษาปฏิบัติวิปัสสนาให้แจ่มแจ้ง เพราะจิตที่อยู่ภายใต้อำนาจกิเลสตัณหาอุปาทานของกรรมชั่วที่ยังดำเนินอยู่นั้น จะไม่มีทางบรรลุถึงความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งจนเหนือกรรมได้เลย เมื่อไม่เหนือกรรมแล้วจึงต้องเสพเสวยผลกรรมของตนเองเป็นที่สุดไม่ว่าในภพชาติใด ด้วยความเที่ยงและคงทนต่อทุกกาลเป็นอย่างยิ่ง

    ส่วนผู้ที่กำลังเสวยกรรมวิบากเผาลนจนร้อนลุ่ม ณ ขณะปัจจุบัน อันเนื่องจากการผุดคิดนึกขึ้นมาเองหรือมีสิ่งที่มาผัสสะกระตุ้นเร้าก็ตามที และมีความเข้าใจในปฏิจจสมุปบันธรรม กล่าวคือความเป็นเหตุปัจจัยกันตามวงจรปฏิจจสมุปบาทอย่างมั่นคงหรือแจ่มแจ้ง ก็สามารถปฏิบัติให้เหนือกรรมในขั้นต้นได้ในทันที กล่าวคือ ๑.มีสติระลึกรู้เท่าทันในทุกข์ที่เผาลนอันเกิดแต่วิบากกรรมแล้ว ๒.ให้มีสติระลึกรู้เท่าทันธรรมในหลักที่ว่า เมื่อคิดนึกปรุงแต่ง ทุกความคิดปรุงแต่งหรือกริยาจิตที่แว๊บออกไปแม้แต่น้อยนิด ย่อมยังให้เกิดการผัสสะเกิดเหล่าทุกขเวทนาขึ้นเป็นระยะๆอย่างต่อเนื่อง(หมายถึงอาจทิ้งช่วงยาวบ้าง สั้นบ้าง แต่มีความเนื่องสัมพันธ์กันอยู่นั่นเอง) จนเร่าร้อนเผาลน ก็ใช้กำลังของของจิตอันพึงเกิดขึ้นแต่สติระลึกรู้เท่าทัน อย่างมีสมาธิคืออย่างต่อเนื่องและปัญญาจากความเข้าใจทั้ง ๓ เป็นเหตุปัจจัย หยุดการคิดนึกปรุงแต่งในเหล่าทุกข์นั้น ๓.แล้วอุเบกขา เป็นกลางวางทีเฉย เมื่อสติระลึกรู้เท่าทันสังขารขันธ์นั้นว่าเป็นโทษหรือสมควรแก่เหตุ โดยการไม่เอนเอียงเข้าไปปรุงแต่ง พัวพันในสังขารขันธ์หรืออารมณ์ และมโนกรรมความคิดนึกต่างๆที่เกิดขึ้นมาจากสังขารขันธ์นั้น ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ไม่ว่าถูกหรือผิด ไม่ต้องแก้ตัว,แก้ต่าง,หาข้ออ้างแก้ไขแต่ประการใดๆ ท่านก็อาจพบสภาวะเหนือกรรมในขั้นต้นหรือตทังคนิพพานได้ด้วยตนเอง อันเกิดขึ้นจากสติ,สมาธิและปัญญาซึ่งจักสั่งสม อันยังผลดีงามเนื่องต่อไปในภายหน้าอีกด้วย จนอยู่ในสภาพเหนือกรรมอย่างถาวรหรือนิโรธอันพ้นทุกข์ จึงเป็นสุขอย่างยิ่ง

    เหนือกรรม จึงไม่ใช่แก้ไขเพียงด้วยการสวดมนต์ ถือศีล ทำบุญ ทำทาน ทำกุศล สะเดาะเคราะห์แต่อย่างเดียว ฯ. เพื่อแก้กรรมดังที่ปุถุชนมักชอบทำตามกันมาด้วยอำนาจสีลัพพัตตุปาทานและทิฏฐุปาทาน แต่ต้องแก้ไขด้วยการดับทุกข์อุปาทานทั้งหลายอย่างถูกต้อง จึงจะการเกิดปรากฏการณ์เหนือกรรมขึ้นได้

    อันยังให้เกิดปรากฎการณ์ที่พระอริยะเจ้ากล่าวอยู่เนืองๆว่า

    เหตุแห่งทุกข์นั้นยังมีอยู่ แต่ไม่มีผู้รับผลทุกข์นั้น

    (ทุกฺขเมว หิ น โกจิ ทุกฺขิโต การโก น, กิริยา วิชฺชติ)



    [​IMG]

    “ในหลักของพุทธศาสนา สอนให้เชื่อเรื่องกรรม เราอาจจะไปได้ยินจากบางแห่งว่า ชวนไปล้างกรรม ไปอะไรต่ออะไร ไปทำพิธีอะไรต่ออะไรมากมายก่ายกอง นั่นล้วนแต่เรื่องหลอกลวงทั้งนั้น กรรมไม่ใช่ขี้ไคล ที่จะไปล้างได้ อาบได้ ถูได้ เหมือนในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านเสด็จไปริมแม่น้ำคงคา ก็มีพวกพราหมณ์ไปอาบน้ำล้างบาปกันอยู่ที่แม่น้ำคงคา

    เมื่อพราหมณ์เห็นพระพุทธเจ้า ก็เรียก สมณะโคดม สมณะโคดม ลงมาอาบน้ำนี่เถิด

    พระพุทธเจ้า: “พราหมณ์ เธอเห็นประโยชน์ใดหรือ เธอจึงลงไปอาบน้ำที่นั่น”

    พราหมณ์: “เรามาอาบน้ำล้างบาป บาปกรรมทั้งหลาย ล้างให้มันหมดไปกับแม่น้ำคงคา”

    พระพุทธเจ้า: “พราหมณ์ทั้งหลาย ถ้าหากอาบน้ำในแม่น้ำแล้วล้างบาปได้ พวกกุ้ง หอย ปู ปลา คงจะไม่มีบาปเลย เพราะเขาอยู่มาตั้งแต่เกิดแล้ว”

    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าการสร้างบาปสร้างกรรมอันใด บาปกรรมนั้น ย่อมติดตามจิตใจไปทุกภพทุกชาติ ถ้าสร้างกรรมดี กรรมดีนั้นก็ติดไปทุกภพทุกชาติ ถ้ากรรมชั่ว กรรมชั่วนั้นก็ติดไปทุกภพทุกชาติเช่นกัน หลักในพระพุทธศาสนา ท่านสอนให้เชื่อในเรื่องกรรม พวกเราก็ได้สวดกันว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” จะไม่มีคำว่าล้างบาปอย่างแน่นอน แต่ลัทธิไหนก็ตาม ที่บอกว่าล้างบาป ชำระบาป ก็เพียงแต่ด้วยคำพูดเท่านั้น ใครจะมาล้างบาปแทนกันนั้น เป็นไปไม่ได้ จะให้คนหนึ่งกิน แล้วให้อีกคนหนึ่งอิ่มแทนกันนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก คนนี้กิน คนนี้อิ่ม คนไหนไม่กิน คนนั้นก็หิว จะไปให้คนหนึ่งทำ แล้วอีกคนหนึ่งรับนั้น เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราเชื่อในเรื่องบุญเรื่องบาปแล้ว เราจะไม่กล้าหาญในเรื่องบาปเลย เราจะมุ่งมั่นในการทำดีแน่นอน”

    พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม

    รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด เจ้าอาวาสวัดป่าหนองไผ่

    วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ธรรมจาก: https://www.plewseengern.com/buddhist/

    ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด
    :-https://www.nkgen.com/745.htm
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,541
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049

แชร์หน้านี้

Loading...