ผลที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมาจาก “กรรม” ทั้งสิ้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 26 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ruleofkarma.jpg
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    บุพกรรมในอดีตชาติของ พระอานนท์
    ความจริง ท่านพระอานนท์ได้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้มาเป็นเวลาตั้งแสนกัป คือ เริ่มตั้งแต่ศาสนาของพระปทุมุตตร สัมมาสัมพุทธเจ้า ในชาตินั้น ท่านได้เกิดในพระนครหงสวดี เป็นโอรสของพระเจ้านันทราช (อานันทราช) และพระนางสุเมธาเทวี (สุชาดา) ผู้ครองนครหงสวดี สมัยนั้นท่านมีนามว่า สุมน กุมารเป็นพระกนิษฐภาดาของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ครั้นเจริญวัยขึ้น พระบิดาทรงมอบหมายให้ปกครองโภคคาม ซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลออกไปจากนครหงสวดี ๑๒๐ โยชน์ พระกุมารได้เสด็จกลับไปยังนครหงสวดี เพื่อเฝ้าพระบิดาและพระพุทธเจ้าบ้างเป็นบางคราว
    ครั้งหนึ่งมีกบฏเกิดขึ้นที่ปัจจันตชนบท พระกุมารทรงปราบปรามได้โดยราบคาบ เมื่อความทราบไปถึงพระบิดา ก็ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยมาก รับสั่งให้เรียกพระกุมารไปยังนครหงสวดี ทันทีเมื่อพระกุมารเสด็จไปเฝ้าพระบิดาทรงประคองกอดแล้วรับสั่งให้ขอพรตามที่ต้องการแทนที่พระกุมารจะทูลขอช้าง ม้า ชนบท หรือรัตนะ ๗ ประการ ตามที่พวกอำมาตย์ทูลแนะ พระกุมารกลับทูลขอโอกาสอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๓ เดือน พระบิดารับสั่งให้ขออย่างอื่น เพราะการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเป็นหน้าที่ของพระองค์แต่ผู้เดียว ไม่เคยทรงอนุญาตให้ใคร แต่พระกุมารทูลยืนยันจะได้รับพรอย่างเดิม หากไม่พระราชทานพรอันนั้น ก็ไม่ทูลขออย่างอื่น และทูลว่า ธรรมดาพระดำรัสของพระมหากษัตริย์ย่อมไม่เป็น ๒ เมื่อพระบิดาได้สดับดังนั้น ก็ทรงจำนนด้วยเหตุผล แต่ตรัสบ่ายเบี่ยงว่า "ธรรมดาน้ำพระทัยของพระพุทธเจ้ารู้ได้ยาก แม้พ่อจะอนุญาตแล้วก็ตาม หากพระพุทธองค์ไม่ทรงปรารถนา ก็ไม่รู้จักทำอย่างไรได้" พระกุมารทูลรับว่าพระองค์จักรู้น้ำพระทัยของพระผู้มีพระภาคเอง ทูลแล้วได้เสด็จไปสู่พระวิหาร แต่ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคกำลังประทับอยู่ในพระคันธกุฏี ดังนั้นพระกุมารจึงเสด็จไปหาพระภิกษุสงฆ์ที่กำลังนั่งประชุมกันอยู่ที่โรงกลม ทรงแจ้งพระประสงค์จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระภิกษุสงฆ์ทูลแนะนำให้เสด็จไปหาพระสุมนเถระ ผู้เป็นพุทธุปัฏฐาก
    เมื่อพระกุมารเสด็จเข้าไปหาพระเถระและทรงแจ้งพระประสงค์ของพระองค์ถวายพระสุมนเถระแล้ว พระเถระเข้าฌานมีอาโปกสิณเป็นอารมณ์แล้วแทรกแผ่นดินเข้าไปสู่พระคันธกุฏีกราบทูลพระพุทธองค์ว่า พระราชกุมารมาเฝ้า พระพุทธองค์ตรัสใช้ให้พระสุมนเถระออกไปปูอาสนะภายนอกพระคันธกุฏี พระเถระจึงแทรกแผ่นดินนำพุทธอาสน์ออกไปปูลาดภายนอกพระคันธกุฏี พระกุมารได้ทอดพระเนตรเห็นพระเถระดำดินเข้าออกเช่นนั้น ก็ทรงเห็นเป็นอัศจรรย์ ทรงคิดว่าพระรูปนี้ใหญ่ยิ่งจริงหนอ
    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกจากพระคันธกุฏีประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์แล้ว พระกุมารถวายนมัสการกราบทูลถามว่า พระภิกษุรูปนี้เห็นจะเป็นภิกษุที่พระองค์ทรงโปรดปรานมากกระมัง? พระพุทธองค์ตรัสตอบรับว่าเป็นอย่างนั้น พระกุมารทูลถามต่อไปว่า พระภิกษุรูปนี้ได้ทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มาเป็นภิกษุที่โปรดปรานอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่าภิกษุรูปนี้ได้ทำบุญให้ทานไว้มาก พระกุมารจึงกราบทูลว่าท่านเองก็ปรารถนาจะได้รับตำแหน่งภิกษุที่พระพุทธเจ้าทรงโปรดปรานอย่างนั้นบ้างในอนาคตกาล แล้วได้ถวายขันธวารภัตสิ้น ๗ วัน ในวันที่ ๗ ได้กราบทูลเล่าเรื่องที่ พระเจ้านันทราช พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ท่านปฏิบัติรับใช้พระพุทธองค์ได้ ๓ เดือน และกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปประทับจำพรรษา ณ โภคคาม กับท่านเป็นเวลา ๓ เดือน เมื่อทรงทราบว่าพระพุทธองค์ทรงรับแล้ว จึงกราบทูลว่าท่านเองจะเสด็จไปก่อน เพื่อสร้างพระวิหารเตรียมรับเสด็จ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ท่านจะส่งสาส์นมาถวาย แล้วให้พระพุทธองค์เสด็จไปพร้อมกับพระภิกษุหนึ่งแสนรูป เมื่อได้กราบทูลนัดแนะเสร็จแล้วก็ทูลลากลับเข้าสู่พระราชวัง กราบทูลพระบิดาว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว เมื่อท่านส่งสาส์นมาก็ขอให้พระบิดาช่วยกราบทูลเชิญเสด็จด้วย พระเจ้านันทราชทรงรับรองอย่างดี
    ครั้นแล้วพระกุมารก็กราบลาพระบิดาเสร็จไปยังโภคคาม ให้สร้างวิหารไว้ในระหว่างทางห่างกัน ๑ โยชน์ ต่อหลัง สิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ เป็นวิหาร ๑๒๐ หลังเพื่อให้พระผู้มีพระภาคทรงพักอาศัยในคราวเสด็จไปสู่โภคคาม และเมื่อพระกุมารเสด็จไปถึงโภคคามแล้ว ก็ได้ทรงแสวงหาสถานที่ที่จะสร้างวิหาร ทรงเห็นอุทยานของโสภนกุฏุมพีจึงทรงขอซื้อด้วยเงินหนึ่งแสน ต่อจากนั้นทรงสร้างพระคันธกุฏีสำหรับพระพุทธเจ้า สร้างที่พักกลางวันที่พักกลางคืน สำหรับพระภิกษุสงฆ์ สร้างลานกุฏิ กำแพง ประตู และซุ้มประตู เมื่อทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จแล้ว จึงได้ส่งสาส์นไปทูลพระบิดาให้อาราธนา พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังโภคคามได้
    พระเจ้านันทราชได้ทรงอังคาสพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลให้เสด็จไปยังโภคคาม ตามที่พระกุมารทูลนิมนต์ไว้ พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หนึ่งแสนรูปเสด็จไปยังโภคคาม และทรงพักตามวิหารรายทางต่าง ๆ จนถึงโภคคาม พระกุมารได้เสด็จออกไปถวายการต้อนรับเป็นระยะทาง ๑ โยชน์ ทรงบูชาด้วยดอกไม้ของหอมหลายอย่างและนำเสด็จเข้าสู่โสภนวิหาร กราบทูลถวายพระวิหารนั้นเป็นพุทธบูชา
    ครั้นต่อมาเวลาใกล้วันเข้าพรรษา พระกุมารได้ถวายมหาทานและได้ทรงชักชวนพระโอรสพระชายา และพวกอมาตย์ให้ถวายทานอย่างพระองค์บ้าง ตลอดเวลา ๓ เดือน พระกุมารได้ทรงอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ และได้เสด็จไปหาท่านพระสุมนเถระเสมอ ๆ ครั้นออกพรรษาปวารณาแล้ว จึงเสด็จกลับสู่พระราชนิเวศน์และได้ถวายมหาทานอีก ๗ วัน ในวันที่ ๗ ได้ถวายจีวรแก่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์แล้วทรงตั้งมโนปณิธานว่า ด้วยเดชะกุศลกรรมที่ได้ทรงสร้างมาทั้งหมดนี้ ขอให้พระองค์ได้เป็นพุทธุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตกาลอย่างเช่นพระสุมนเถระนั้นเถิด พระปทุมุตตร พุทธเจ้าทรงพยากรณ์แล้ว เสด็จออกเดินทางไปโปรดสัตว์ ณ ที่อื่นต่อไป
    ในศาสนาของพระปทุมุตตร พุทธเจ้านี้ ท่านพระอานนท์ได้เคยถวายทาน เป็นเวลาหนึ่งแสนปี ครั้นจุติจากชาตินั้นได้ไปเกิดในสวรรค์ จุติจากสวรรค์ลงมาเกิดในมนุษยโลก ในศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้า ก็ได้ถวายจีวรทำการบูชาพระเถระผู้เที่ยวบิณฑบาตรูปหนึ่ง ครั้นจุติจากชาตินั้นก็ได้ไปเกิดในสวรรค์อีก และเมื่อจุติจากสวรรค์ได้ลงมาเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสีได้ถวายมหาทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ พระทรงสร้างบรรณศาลา ๘ หลังในมงคลอุทยานของพระองค์ ถวายให้เป็นที่ประทับของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๘ องค์ นอกจากนั้นยังได้สร้างตั่ง ๘ ตัวทำด้วยรัตนะล้วนทุกชนิด สร้างเตียง ๔ ตัวทำด้วยแก้วมณี และที่รองรับเท้า ๘ ที่ ถวายพระปัจเจก พุทธเจ้าประทับนั่งในคราวเสด็จมา พระองค์ได้ทรงอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นเวลาหมื่นปี
    ท่านพระอานนท์ได้เคยทำบุญให้ทาน อยู่เป็นเวลา ๑ แสนกัป ในชาติก่อนที่จะลงมาเกิดในชาตินี้ ได้เคยไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตร่วมกับพระพุทธเจ้าของเราครั้งเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ครั้นจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตก็ได้มาเกิดในศากยตระกูล ดังกล่าวแล้ว
    :-
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    praAnantaChinadynasty.JPG
    ประติมากรรมรูปพระอานนท์ ศิลปะจีนสมัยราชวงศ์สุย
    ข้อมูลทั่วไป
    พระนามเดิม
    อานนท์
    พระนามอื่น พระอานนทเถระ
    วันประสูติ วันเพ็ญเดือน 6 ก่อน พ.ศ. 80 ปี
    สถานที่ประสูติ ตำหนักของเจ้าอมิโตทนะ กรุงกบิลพัสดุ์
    ตำแหน่ง พุทธอุปัฏฐาก
    เอตทัคคะ มีสติเป็นเลิศ, มีความทรงจำเป็นเลิศ, มีความเพียรเป็นเลิศ, พหูสูต, ยอดพระพุทธอุปัฏฐาก
    นิพพาน พ.ศ. 40
    สถานที่นิพพาน กลางอากาศเหนือแม่น้ำโรหิณี (ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองเทวทหะ)
    ฐานะเดิม
    ชาวเมือง
    กบิลพัสดุ์
    นามพระบิดา เจ้าอมิโตทนะ
    นามพระมารดา พระนางกีสา
    วรรณะเดิม กษัตริย์
    ราชวงศ์ ศากยะ
    Ananda_Kuthi.jpg กุฎิพระอานนท์ ใกล้กับพระมูลคันธกุฎี บนยอดเขาคิชฌกูฏิ เมืองราชคฤห์
    บรรลุโสดาบัน
    ในอานันทสูตร พระอานนท์กล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่าท่านบรรลุธรรมเพราะได้ฟังธรรมจากพระปุณณมันตานีบุตร ซึ่งมีใจความว่า เพราะบุคคลยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 จึงเกิดตัณหา มานะ และทิฏฐิว่า "เรามี" เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 จึงไม่เกิดตัณหา มานะ และทิฏฐิว่า "เรามี" เมื่อบุคคลเข้าใจว่าขันธ์ 5 ไม่เที่ยงแล้วจึงจบกิจได้
    :- https://th.wikipedia.org/wiki/พระอานนท์
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  5. D.(Username)

    D.(Username) ธรรมมะ จะกาโล มะโหติธรรม ผู้เจริญทำยํย้อมมีทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +27
    กฎแห่งกรรมอยู่เหนือใต้พิภพมีใครบ้างครับที่นั่งยานไปและถึงใต้พิภพนั้นอยากทราบว่ามีการลงโทษใดๆในทารกหลังจากใต้ตายไปแล้วและมีการทารุณใดๆบ้างครับในนรกนะอยากทราบจังกลัวตายไปแล้วตกนรกขุมที่โดนกระทะทองแดงเผาให้มอดไหม้ทั้งตัวทั้งใจและกายร้อนไปหมดและลงไปในกระทะทองแดงแล้วจะมีวันพุธวันเกิดเป้าครับอยากทราบจังครับ
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เชิญอ่านได้ค่ะ ขอให้เจริญในธรรมค่ะ
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    beautyBuddha.jpg
    เวียนว่ายตายเกิด และ กฏแห่งกรรมมีจริง - 40 พญามัจจุราช
    พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน เทวทูตสูตร ว่า “นรชนเหล่าใด เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ถูกเทวทูตตักเตือนแล้ว ยังประมาทมัวเมาในชีวิตอยู่ นรชนเหล่านั้นจะเข้าถึงอบายภูมิ เศร้าโศกสิ้นกาลนาน ส่วนผู้เป็นนักปราชญ์บัณฑิต ถูกเทวทูตตักเตือนแล้ว ก็ไม่ประมาทในธรรมของพระอริยเจ้า เห็นโทษภัยในความยึดมั่นถือมั่น อันเป็นเหตุให้เกิดชาติและมรณะ แล้วไม่ถือมั่นในธรรม (ความจริงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ) เหล่านั้น ย่อมล่วงพ้นจากทุกข์เข้าถึงความสุขอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ”

    ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และ นักโทษที่ถูกจองจำทรมาน ที่เราเห็นกันอยู่เป็นประจำนี้ พระองค์ตรัสเรียกว่าเป็น เทวทูต ที่จะเตือนใจให้เราไม่ประมาทในชีวิต โดยให้เรามองให้เห็นว่า ทันทีที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่บ่งบอกถึงความทุกข์ที่เราสังเกตเห็นได้ ก็คือเสียงร้องไห้ของเด็กทารกแรกเกิด ความเกิด มาพร้อมกับความแก่ แต่ค่อย ๆ แก่เปลี่ยนแปลงไปตามวัยตั้งแต่วัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน จนกระทั่งวัยชรา เมื่อชีวิตเข้าสู่ความแก่ชรา สังขารก็ร่วงโรย ไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างบารมี ลุกนั่งก็ไม่สะดวก แล้วโรคภัยไข้เจ็บ ก็มาเบียดเบียน บางครั้ง ทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้ด้วยความยากลำบากตลอดชีวิต ก็ค่อย ๆ หมดไปกับการรักษาสังขารร่างกายนี้ให้อยู่ต่อไป พอถึงคราวความเจ็บป่วยรุมเร้าหนักเข้า ก็ไม่มีใครที่จะมาแบ่งเบาความทุกข์นี้ได้

    โดยเฉพาะเมื่อถึงคราวที่พญามัจจุราชมาเยือน ก่อนจะละโลก ไม่มีใครเลยที่จะมาช่วยเราได้ เราต้องช่วยเหลือตัวเอง ความดีและบุญกุศลที่เราได้ทำเอาไว้นี่น่ะแหละ จะเป็นที่พึ่งแก่เราในยามนั้น ดังนั้นความทุกข์ต่าง ๆ ที่มีมาตั้งแต่เกิด จนกระทั่งตาย นักปราชญ์บัณฑิตท่านมองเห็นว่า เป็นเครื่องเตือนสติให้เราไม่ประมาทในการสร้างความดี เมื่อเห็นทุกข์เห็นโทษในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหล่านี้แล้ว ก็จะได้หาทางที่จะได้ไม่ต้องเกิดกันอีกต่อไป พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า ทางไปพระนิพพาน เป็นทางไปสู่ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เป็นทางแห่งความหลุดพ้น ที่เป็นเป้าหมายปลายทางของมนุษย์ทุก ๆ คน

    ยมบาล หรือเจ้าหน้าที่กุมภัณฑ์ในยมโลก มีบรุพกรรมดังนี้ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ แม้จะมีการบำเพ็ญกุศลอันใดก็ตาม ก็ยังมีจิตยินดีในการลงโทษ เบียดเบียน หรือทรมานผู้อื่น ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์อย่างมิรู้หน่าย ด้วยอำนาจแห่งกุศลกรรมรวมกับความชอบพอในการเบียดเบียนดังกล่าว จึงอำนวยผลให้เกิดในนิรยภูมิ (ในส่วนของยมโลก ๓๒o ขุม) เป็นยมบาล/เจ้าหน้าที่กุมภัณฑ์ มีร่างกายใหญ่โต ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นผู้ลงทัณฑ์และเบียดเบียนสัตว์นรก เป็นผู้ที่มีกำลังมากกว่าสัตว์นรก แสดงกิริยาดุร้ายให้เป็นที่สะดุ้งตกใจกลัว

    หมาย เหตุ : นายนิรยบาลที่มีอยู่ในยมโลก/ยมบาลเหล่านั้น ไม่ใช่สัตว์นรก หากแต่ปฏิสนธิเกิดขึ้นด้วยการประกอบกุศล (ขั้นต่ำ) ไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่อละอัตภาพจากความเป็นมนษย์แล้ว จึงมาเกิดเป็นเทวดาชั้นต้น (จาตุมหาราชิกา) โดยมีชาติกำเนิดเป็น "กุมภัณฑ์"


    ยมบาลนั้นเมื่อเป็นคนทำทั้งบาปและบุญ ตายไปเกิดในนรก 15 วัน เป็นยมบาล 15 วัน ดังเช่นเปรตบางตน กลางวันเป็นเปรต กลางคืนเป็นเทวดา กลางคืนเป็นเทวดา กลางวันเป็นเปรต บุญมากกว่าบาปก็ไปเสวยสุขในสวรรค์ก่อน แล้วมารับโทษในนรกภายหลัง บาปมากกว่าก็มารับโทษก่อนแล้วไปเสวยสุขทีหลัง บุญบาปเท่ากัน ก็ไปเป็นยมบาล ผู้ที่มีแต่บาปก็ไปเกิดในนรกใหญ่ 8 อันนี้


    [​IMG]
    ท่านยมทูตเป็นเทพดูแลเมืองนรก ใส่ชุดโบราณเพราะคงใส่มานานแล้วก่อนยุคปัจจุบัน อย่าลืมว่าเทวดาอายุยืนก่วามนุษย์ครับ ไม่น่าจะมีแต่เพียงคนไทนะครับที่เป็นยมทูต เผอิญไม่เคยพบท่านยมทูตมาก่อน
    ในกรณีที่ผู้ตายแล้วไปเกิดในภพภูมิอื่นๆท่านยมทูตก็คงไม่ไปตามตัว ที่ยมทูตต้องมารับผู้ตายนั่นก็หมายความว่าผู้ตายต้องไปเกิดเป็นสัตว์ในนรก ภูมิด้วยอกุศลกรรมที่ทำไว้ นรกภูมิเป็นสถานที่ที่แย่มาก เหล่าเทพพนักงานจึงต้องดูแลสัตว์นรกเหล่านี้อย่งเข้มงวด เพื่อไม่ให้หนีไปก่อความวุ่นวายภายนอกได้
    คนเราบางคนตายไปแล้วก็จะเกิดในทันทีก็มี แต่บางรายไปเป็นสัมภเวสีก่อนแล้วค่อยไปเกิดเป็นคนทรร เทวดา มนุษย์ ฯลฯ แต่คนที่เขาต้องไปเกิดเป็นสัตว์ในนรกภูมินั้นท่านยมทูตย่อมแลเห็นด้วยฌาณ แล้วก็ต้องมารับสัมเภสีนั้นไปยังนรกภูมิขืนไม่มารับตัวไปพอสัมภเวสีนั้นหมด อายุซึ่งอายุของสัมภเวสีมีแค่ไม่เกิน49วัน ก็จะกลายเป็นสัตว์นรกออกเผ่นพล่านก่อความวุ่นวายขึ้นได้
    ยมทูตเทพเจ้าพนักงานผู้ที่คอยดูแลบรรดาสัตว์นรกย่อมมีอยู่ทุกเชื้อชาติ สังคมของภพภูมิวิญญาณก็ต้องมีผู้ดูแลความสงบอยู่เหมือนกัน

    กฏนรก

    โดยยมบาล

    นรกปังตอสับร่าง

    มนุษย์ผู้ใด ดำรงชีพด้วยมิจฉาชีพ ตีชิงวิ่งราว ปล้นฆ่า ข่มขืน วางเพลิง ขัดขวางการฌาปนกิจศพ, ทำลายฮวงซุ้ยเปิดโลงศพเขา
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักไม่ได้ตายดี ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นสัตว์เดรัชฉาน ตามกรรมแห่งตน

    นรกถลกหนังดึงเอ็น
    ผู้ใดหลอกลวงหรือขูดรีดเด็กกำพร้า แม่ม่ายจนหมดตัว ปล่อยเงิน้คิดดอกสูง ขูดรีดค่าเช่าบ้านค่าเช่าที่ดินทำบัญชีเท็จจากจำนวนม ากเป็นน้อย ใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมขายที่ดิน
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักทนทุกข์ทรมานด้วยโรคร้าย ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นงู หมาจิ้งจอก แมลงต่างๆ

    นรกโม่เหล็ก
    ผู้ใดรวมพวกกระทำการร้าย ใช้กำลังรังแกผู้อ่อนแอกว่า ผู้ใหญ่รังแกเด็ก เด็กบังอาจข่มเหงผู้ใหญ่ พี่น้อง-อาหลานแก่งแย่งละเมิดลำดับอาวุโส ,ทำร้ายพี่น้อง รังเกียจพี่น้อง พี่น้องวิวาทแย่งชิงต่างๆ แม่บ้านยุยงสามีให้ข่มเหงรังแกพี่น้อง ยึดครองทรัพย์สมบัติแต่ผู้เดียว ยุยงสามีให้แบ่งสมบัติกับพี่น่อง ยุยงสามีให้แยกจากบ้านพ่อแม่ไปอยู่บ้านต่างหากเพื่อค วามสุขสบายของตน ไม่สนใจพ่อแม่ของสามีอดอยากเหน็บหนาว พ่อแม่อายุมากไม่เหลียวแลปรนนิบัติ กลับว่าเอาแต่กินไม่ทำอะไร
    ผู้กระทำบาปดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักประสบอุบัติภัย บาดเจ็บทางแขนขาและร่างกาย ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษไปบังเกิดเป็น หนู ,ค้างคาว

    นรกสากยักษ์บดร่าง
    ผู้ใดรวมหัวกันก่อการกบฏ ออกกฎหมายเพื่อประโยชน์ตน พวกตน กลุ่มตน จนทำให้สังคมเกิดความวุ่นวายเดือดร้อนไปทั่ว วางนโยบายบริหารประเทศที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนลำบาก แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ เปิดเผยความลับของชาติ ทรยศต่อชาติบ้านเมือง
    ผู้กระทำผิดดังกล่าว ซึ่งเป็นกรรมหนักบาปใหญ่หลวงที่ไม่มีการอภัยแม้จะมีบ ุญยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่อาจลบล้างได้ ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษจะถูกส่งไปที่ขุมอเวจีชั้นลึกที่สุด ไม่มีวันได้ผุดเกิดอีกตลอดกาล

    นรกสระอาจม
    ผู้ใดพูดโกหกหลอกลวง ตลบตะแลง เจ้าเล่ห์เพทุบาย ต้มตุ๋น ฉ้อฉลทรัพย์สินเงินทอง วางแผนชั่วร้าย หลอกใช้ผู้อื่นหาเงินให้ตน ใช้อำนาจข่มขู่เอาทรัพย์สินผู้อื่น รับฝากทรัพย์สิ่งของแล้วโกงเป็นของตน
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักประสบอุบัติภัยทุกข์ทรมาน ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นหนอนโสโครก

    นรกขังกล่วงเหล็ก
    ผู้ใดจับคนไปกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่ ใช้อำนาจกักขังหน่วงเหน่ยวผู้อื่น ทำให้เสี่อมเสียอิสรภาพโดยพลการ ขอเงินใต้โต๊ะไม่ได้เลยหาเหตุแตถ่วงเรื่องให้ล่าช้า ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษจากขุมนี้แล้ว ยังต้องไปรับโทษที่ขุม

    นรกเฉือนเนื้อ
    ผู้ใดเอาแต่เที่ยวเตร่เสเพล ไม่ประกอบสัมมาชีพ ไม่เหลียวแลบิดามารดา ได้ดีแล้วลืมตน ทอดทิ้งภรรยา ชายไม่ซื่อสัตย์ หญิงไม่อ่อนโยน ไม่มีคุณสมบัติกุลสตรี คบชู้สู่ชาย รังเกียจสามีแล้วหาเหตุแต่งงานใหม่ ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักประสบโรคภัยตายอย่างทุกข์ทรมาน ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นหมู แพะ

    นรกเหล็กร้อนแดงนาบมือ
    ผู้ใดโกรธเคือง หรือต่อว่าบิดามารดา ต่อว่าพี่ชายหรือผู้อาวุโสกว่าอย่างไม่ยำเกรง ด่าว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ค้าขายไม่ซื่อตรง โกงตาชั่ง ผู้กระทำความผิดดังกล่าวปัจจุบันชาติจักได้ประสบภัยแ ขนขาหัก ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปเกิดเป็นคนแขนคดนิ้วด้วน

    นรกไฟโลกันต์
    ผู้ใดซ้อมทรมานผู้ต้องหาเพื่อบังคับให้ยอมรับสารภาพ ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ตามอำเภอใจอย่างไม่เหมาะสม ทำให้ประชาชนเดือดร้อน จับคนคุมขังโดยไร้ความผิด วางเพลิงเผาบ้าน วางเพลิงเผาป่า ประมาทเลินเล่อไม่ระวังฟืนไฟจนเกิดไฟไหม้บ้าน ทำให้คนบ้านใกล้เคียงต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย ชอบปิ้งย่างสัตว์ทั้งเป็นเพื่อกิน
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักประสบความทุกข์ทรมานจากโรคร้ายต่างๆ ตายแวตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นม้า ,โค

    นรกขื่อคาโซ่ตรวน
    ผู้ใดประพฤติตนเป็นผลเมืองร้าย ทำผิดกฎหมายแล้วหลบหนี หนีภาษี ให้สินบนหรือรับสินบน ทุจริตต่อหน้าที่ ยักยอกเงินหลวง ใช้อำนาจข่มขู่ รีดไถ ทำร้ายชาวบ้าน
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าวจักประสบอุบัติภัย ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อหมดโทษไป เกิดเป็นม้า โค แพะ หมู

    นรกอดอยาก(เปรต)
    ผู้ใดเอาแต่อิ่มหนำสำราญตนเอง ไม่สนใจเลี้ยงดูบิดามารดา มีอาหารดีๆ ไม่กินร่วมกับบิดามารดา แอบซ่อนอาหารไว้กินเอง ไม่ให้พ่อแม่รู้ เลี้ยงดูบิดามารดาด้วยอาหารที่กินเหลือ พ่อแม่ยังไม่ได้กิน เด็กๆกินอิ่มก่อน ขึ้นเสียงกับบิดามารดา ขับไล่ไสส่งพ่อแม่ให้รับความลำบาก ผิดคำมั่นสัญญา รับปากแล้วกลับคำ ทำให้เสียหาย ประสบพบเห็นคนเดือดร้อนไม่ให้ยืมของไปใช้ก่อน
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักป่วยด้วยโรคร้ายที่ระบบทางเดินอาหาร กลืนกินอาหารไม่ได้ ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นอีแร้ง หรือนกกาที่หิวโหย

    นรกแล่เนื้อ
    ผู้ใดเนรคุณหรือปล่อยให้ภรรยาเนรคุณบิดามารดา โกหกปิดบังบิดามารดา ทำอาหารกินแต่ตนเอง ไม่สนใจบิดามารดา ตระหนี่กับลูกจ้างคนงาน แต่ตนเองใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษไปบังเกิดเป็น สุนัข หมู แพะ ไก่

    นรกแขวนห้อยโตงเตง
    ผู้ใดประพฤติเป็นนักย่องเบา งัดบ้านเข้าไปขโมยทรัพย์สินทำให้สมบัติผู้อื่นเสียหา ย , ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักได้รับความทุกข์ทรมานด้วยโรคร้าย ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปลังเกิดเป็นงู ,เต่า,ตะพาบน้ำ, ปลา

    นรกไผ่แหลมเสียบร่าง
    ผู้ใดพรากคนรักของผู้อื่นแย่งมาเป็นของตน ซื้อขายสามีหรือภรรยา หลอกหญิงไปข่มขืนชำเรา ล่อลวงหญิงไปขายซ่องนางโลม แกล้งทำนายทายทักว่ามีเคราะห์เพื่อหลอกเอาเงิน ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อหมดโทษไปบังเกิดเป็นงู,แมลง

    นรกควักไส้
    ผู้ใดฉวยโอกาสขโมยทรัพย์สินของผู้ประสบภัย วางแผนประทุษร้ายต่อชีวิตหรือทรัพย์สินผู้อื่น ยักยอกเงินส่วนรวม การทุจริตคอรัปชั่นทุกชนิด
    ผู้กระทำผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักประสบเคราะห์ภัยที่คาดไม่ถึง ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานตามกรรมของตน

    นรกหนามเหล็ก
    ชายใดไม่ซื่อสัตย์ต่อนาย หญิงไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี อกตัญญูต่อบิดามารดา การทรยศหักหลังต่างๆ ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักประสบทุกข์ภัยลำบากต่างๆ ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นวิหคนกกา

    นรกดงหมาป่า
    ผู้ใดปากร้ายชอบด่า แช่ง ทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่นกลับว่าตนถูกทำร้าย ปากคมใช้วาจาทำร้ายคน ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติ จักทนทุกข์ทรมานด้วยโรคร้ายทางลิ้น คอ ตายแล้วตกนรกขุมนี้ หมดโทษแล้วไปบังเกิดเป็นสุนัข ,สุนัขป่า,สุนัขจิ้งจอก

    นรกน้ำแข็ง
    ผู้ใดตระหนี่กับคนยากจน ตระหนี่กับบิดามารดา สุขสบายแต่ตน เย็นชากับพี่น้อง ยามมั่งมีนับถือเป็นพี่น้อง พอตกยากกลับกลายเป็นอื่น ได้ดีแล้วลืมบุญคุณ ลักขโมยสิ่งของในฤดูหนาว ทำให้คนเดือดร้อนลำบาก ได้นี่ลืมนั่น ได้คนใหม่ทิ้งคนเก่า
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักประสบภัยทุกข์ยากลำบาก อยู่คนเดียวโดดเดี่ยว ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เสร็จแล้วไปบังเกิดเป็นปลิง

    นรกห้องอบไฟ
    สามีภรรยาคู่ใด เอาแต่เสพสุข ไม่สนใจไยดีบิดามารดา มักมากกามคุณอย่างไร้ขีดจำกัด ไม่เว้นแม้วันสารทวันเทศกาล วันเกิด วันตายบิดามารดา วันประสูติของเทพ-พุทธ ไม่เว้นแม้แต่ที่โล่งแจ้งกลางป่ากลางนา ภายในเขตธรณีวัดหรือศาลเจ้าเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง พระพุทธรูป ประพฤติผิดในกามด้วยกายหรือใจ สำเร็จความใคร่ทางปากหรือทางใจ พูดคุยเรื่องในมุ้ง ข่มขืนชำเราเด็กหญิง เด็กชาย แม่ม่าย แม่ชี โปรดปรานหลงแต่เมียน้อยทอดทิ้งภรรยาหลวง ข่มขืนลูกเมียเขา ยึดครองลูกเมียเขา ล่อลวงคนทำให้มีราคีมัวหมอง แกล้งทำเป็นว่าจะช่วยเหลือการเงินแล้วข่มขืนลูกเมียเ ขา ถือโอกาสขณะเขากำลังเดือดร้อนแล้วข่มขืนลูกเมียเขา
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น มีทั้งกรรมหนักและเบาแตกต่างกัน กรรมตอบสนองก็แตกต่างกัน ปัจจุบันชาติจักได้รับกรรมสนองด้วยโรคภัยร้ายแรงยากจ นสาหัสสากรรจ์ ลูกเมียตนต้องพลอยรับเคราห์แทนโดยถูกผู้อื่นข่มขืนบ้ าง แม้จะมีบุญกุศลยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่สามารถลบล้างไถ่บาปได้ ให้ไปชดใช้กรรมชั่วก่อน ส่วนกรรมดีตอบแทนทีหลัง
    ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ แยกกันไปตามกรรมของแต่ละคน ผู้สร้างสมบุญมาก ผู้มีความกตัญญูต่อบิดามารดา ให้ไปจุติยังสุคติภูมิ ส่วนผู้มีบาปมากกว่าบุญ ให้ไปรับโทษทัณฑ์ที่นรกขุมอื่นต่อไป เมื่อหมดโทษจากนรกต่างๆ ผู้สมสู่ในหมู่ญาติ หรือสมสู่ในผู้ร่วมสายเลือดเดียวกันให้ไปเกิดเป็นแม่ หมู ,แม่สุนัข ,เป็ด,ไก่,ห่าน เมื่อครบกำหนดแล้ว ส่งไปทนทุกข์ทรมานที่มหานรกอเวจีตลอดกาล ไม่มีโอกาสได้ผุดเกิดเป็นมนุษย์อีก

    นรกกระทะน้ำมันเดือด
    ผู้ใดทำแท้ง ,ฆ่าทารก ,เอาซากทารกทำยา ,รับทำยาเสน่ห์ให้ผู้อื่นไปทำให้เพศตรงข้ามหลงแล้วข่ มขืน ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจะประสบทุกข์ภัย คุกตะราง ถูกไฟเผาผลาญเจ้ากรรมนายเวรตามทวงชีวิต ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นวิหคนกกา

    นรกอุด 7 รูทวาร
    ผู้ใดเนรคุณ คิดร้ายต่อผู้มีบุญคุณ คิดร้ายต่อนายจ้าง เป็นยามแต่ลักขโมยเสียเอง ล่อลวงหญิงไปขาย บังคับหญิงให้ค้าประเวณี กลั่นแกล้งภรรยา รับสินบนทำเรื่องผิดให้เป็นถูก ประทุษร้ายต่อชีวิต และทรัพย์สินผู้อื่น หมกทำลายศพ ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษไปลังเกิดเป็นนกอินทรี เหยี่ยว ฯลฯ

    นรกแช่ดองน้ำเกลือ
    ชายใดไม่ซื่อสัตย์ภักดีต่อชาติ เนรคุณต่อชาติ หญิงไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี ลูกจ้างเนรคุณไม่ซื่อสัตย์ต่อนายจ้าง เนรคุณต่อบิดามารดา ลบหลู่เหยียดหยามเนรคุณครูอาจารย์ ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักทนทุกข์ทรมานด้วยโรคภัยร้ายแรง ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นตัวหนอนในที่โสโครก

    นรกหินดินทรายกลบทับ
    ผู้ใดเททิ้งขยะ เศษแก้ว อุจจาระปัสสาวะ หรือวางกองไม้หินดิน ทรายบนถนนหนทาง ทำให้กีดขวางการสัญจร วางกองเศษสิ่งของสกปรกไว้ที่หน้าเตาหรือหลังเตา นำสัตว์เลี้ยงเพ่นพ่านที่เจ้าเตาไฟ ปล่อยให้หิ้งเจ้าหรือหิ้งบรรพบุรุษ ฝุ่นละอองหยากไย่จับรกรุงรัง
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว จักตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นไก่,สุนัข,หมู

    นรกโคลนโสโครก
    ผู้ใดติฉินนินทา เบียด แซงคิว พระสงฆ์ นักพรต ยืมหนังสือ รูปภาพแล้วเก็บซ่อนไว้ไม่คืนเจ้าของ ลักขโมยหนังสือ ทำให้หนังสือของผู้อื่นไม่ครบ หรือเสียหาย ไม่ถนอมรักษาทำให้สิ่งของผู้อื่นเสียหาย เห็นคนอื่นมีของดีๆก็อยากได้ เมื่อไม่ได้ก็หาโอกาสทำลาย เหยียบย่ำหรือทำให้หนังสือสกปรก ทำลายหนังสือ เอากระดาษหนังสือไปห่อสิ่งของหรือเช็ดของสกปรก
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักทุกข์ทรมานด้วยโรคร้าย ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เสร็จแล้วไปเกิดเป็นตั๊กแตน หนอนแมลง

    นรกม้า-กระทิงแยกร่าง 4 ส่วน
    ผู้ใดทำร้ายขุนนางที่ดีและซื่อสัตย์(ตงฉิน) ก่อการกบฏทรยศต่อนายยักยอกสมบัติของแผ่นดิน หน้าฉากทำเป็นคนดีแต่หลังฉากชั่วร้าย ดักปล้นจี้ ชิงทรัพย์ ฆ่าคนดี
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักประสบเภทภัยตายอย่างทุกข์ทรมาน ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อพ้นจากโทษนี้ ยังต้องไปรับโทษทัณฑ์ที่ขุมอื่นต่อไป

    นรกควักลูกตา
    ผู้ใดทำร้ายคนอื่นจนตาบอดทั้งสองข้าง ทำให้ชีวิตเขามืดมนทำลายไฟฟ้าที่ใช้ส่วนรวม หรือไฟฟ้าที่ติดอยู่ตามถนนหนทาง ทำให้ทางมืดสัญจรลำบาก จนเกิดอันตรายแก่ผู้คน หลอกคนไปที่เส้นทางขรุขระอันตราย จนเดินหกล้มบาดเจ็บ ชี้ทางไม่แจ่มแจ้ง ทำให้อนาคตของบุตรมืดมน เอาอิฐหินดินทรายกีดขวางทางสัญจร ยามค่ำคืนแกล้งปิดกั้นทางเดิน หยอกล้อแกล้งดึงที่นั่ง ทำให้คนนั่งอากาศว่างเปล่าหกล้มบาดเจ็บ
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักประสบความทุกข์จากนัยน์ตามัวฝ้าฟาง ทำการใดไม่ประสบความสำเร็จ พบแต่อุปสรรคขัดขวาง ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปเกิดเป็นคนตาบอด แขนขาพิการ

    นรกหินยักษ์กลิ้งทับ
    ผู้ใดมีนิสัยหยาบคายดุร้าย ใช้กำลังแย่งชิงหรือบังคับข่มขู่เอาทรัพย์สินผู้อื่น ข่มเหงรังแกพี่หรือน้อง ใช้กำลังฉุดคร่าบุตรภรรยาผู้อื่นมาเป็นภรรยาตน เมื่อฝ่ายหญิงขัดขืนก็ฆ่า หรือฆ่าบิดามารดา
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ตายแล้วตกนรกนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นสัตว์เดรัชฉานตามกรรมของตน

    นรกรถไฟทับ
    ผู้ใดอกตัญญูต่อบิดามารดา หรือปล่อยให้ภรรยาเนรคุณพ่อแม่ตน ไม่นับถือเกรงใจผู้อาวุโสกว่า รักแต่เมียไม่สนใจไยดีพ่อแม่ เก็บศพพ่อแม่ไว้นานไม่ฝัง ฟ้องร้องแย่งชิงมรดก เลือกที่ฝังศพพ่อแม่เอาแต่ตนดีฝ่ายเดียว ย้ายที่ฝังศพพ่อแม่เพื่อหวังให้ตนเจริญ จิตใจชั่วร้าย ชอบพาลหาเรื่องกับผู้อื่น โลภมากเอาแต่ประโยชน์ตน ไม่คำนึงถึงผู้อื่น
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักมีคดีความไม่หยุดอยู่ไม่เป็นสุข และตายอย่างทุกข์ทรมานด้วยโรคร้าย ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นอูฐ ,ม้า,โค,กระบือ
    นรกควักหัวใจ

    ผู้ใดเจ้าเล่ห์แสนกล มีเล่ห์เหลี่ยมมาก วางแผนทำร้ายคนอย่างโหดเ้ยมอำมหิต
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักเจ็บปวดทุกข์ทรมานด้วยโรคหัวใจ ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นหนอน แมลงต่างๆ

    นรกแช่อาจม
    ผู้ใดขายของกินหรือเครื่องดื่ม ไม่รักษาความสะอาด เอาอาหารสกปรกขายให้คนกิน เด็กเล็กทำอาหารสกปรก รู้แล้วยังขายให้คนกิน เด็กเล็กทำอาหารสกปรก รู้แล้วยังขายให้คนกิน เอาเปรียบคนตาบอด เอาอาหารสกปรกให้คนตาบอด นำสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงที่หน้าเตาไฟ กองสิ่งปฏิลไว้ที่หน้าเตาไฟ ทิ้งกระดาษหนังสือไว้ที่กองอุจจาระ หรือใส่ลงในรูส้วม นั่งหรือนอนบนข้าวสาร
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักประสบความล่มจมยากจนลำบาก ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นหนอน, แมลง ในที่โสโครก

    นรกหินใหญ่ทับ
    ผู้ใดเป็นครูอาจารย์แต่เกียจคร้าน ไม่ตั้งใจสอนอบรมนักเรียน หรืออมวิชาทำเพียงให้ผ่านไปวันๆ ทำให้บุตรหลานเขาไร้ความรู้ เสียอนาคต ศิษย์โต้เถียงอาจารย์อย่างไร้เหตุผล ผู้ใหญ่ข่มเหงรังแกผู้น้อย ผู้น้อยล่วงเกินผู้ใหญ่ มองบิดามารดาด้วยสายตาโกรธแค้น เกลียดชัง ขายสินค้าปลอม-ยาปลอม ปลอมแปลงสินค้า ปลอมแปลงเงินตรา ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เก็บได้ทรัพย์สิ่งของไม่คืนเจ้าของเดิม ผู้หญิงเดือดร้อนมาขอความช่วยเหลือกลับถือโอกาสหลอกไ ปข่มขืน
    ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปเกิดเป็น หนอน ,แมลง

    นรกตัดขา
    ผู้ใดทำสิ่งของผู้อื่นเสีย ทำให้เขาเดือดร้อน ทำคนบาดเจ็บทางแขนขา ฉีกหนังสือของผู้อื่น ทำให้เจ้าของเสียใจ อิจฉาผู้มีอาชีพเดียวกัน คิดหาทางกลั่นแกล้งจนเขาต้องเลิกกิจการ เห็นกิจการคนอื่นเจริญคิดหาทางทำให้เสื่อม ขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น แต่กลับปรักปรำว่าคนอื่นขโมย ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักประสบทุกข์ทรมานจากภัยพิบัติ ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษไปเกิดเป็นคนปากแหว่งเพดานโหว่ มือเปื่อย เท้าเปื่อย ตาเปื่อย หัวล้าน

    นรกน้ำเดือดราดมือ
    ผู้ใดเอาสินค้าเลวขายในราคาสินค้าดี เอาสินค้าเลวแทนสินค้าดี ปลอมแปลงเงินตรา ปลอมปนสินค้า-ข้าวสาร ผู้กระทำความผิดดังกล่าว ปัจจุบันชาติจักประสบทุกข์ทรมานจากแขนขาหัก ตายแล้วตกนรกขุมนี้ เมื่อครบกำหนดโทษ ไปบังเกิดเป็นสัตว์ปีก พวกเป็ด ,เป็ดน้ำ ,ห่าน

    สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาตรัสให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นสัตว์ที่เกิดตามภพภูมิต่าง ๆ แล้วทรงทราบว่า หมู่สัตว์ได้เสวยกรรมดี เพราะประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริตและมโนสุจริต เป็นสัมมาทิฎฐิ เชื่อกฎแห่งกรรม ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เมื่อละโลกไปแล้ว ก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ หรือกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ถึงพร้อมด้วยสมบัติ ส่วนผู้ที่ทำกรรมชั่ว ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฎฐิ ละโลกก็เข้าถึงเปรตวิสัยก็มี ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานก็มี เข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ก็มากมาย

    [​IMG]
    สำหรับผู้ทำกรรมชั่วเอาไว้ เวลาละจากโลกนี้ไปแล้ว จะถูกนายนิริยบาล ซึ่งเป็นยมทูตนำไปลงโทษ เริ่มตั้งแต่พาไปพบพระยายมราช ซึ่งเป็นใหญ่ในเมืองนรก เป็นเรื่องจริงที่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก เป็นเหมือนผู้พิพากษา คอยทำหน้าที่ตัดสินสัตว์นรก ที่ทำกรรมชั่วให้ไปเสวยกรรม พอนายนิริยบาลนำสัตว์นรกนั้นไปหาพระยายมก็จะไต่สวนว่า

    พระยายม “ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๑ ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ”

    สัตว์นรก “ไม่เห็นเลย”

    พระยายม “ท่านไม่ได้เห็นเด็กทารกที่เกิดมาบ้างหรือ”

    สัตว์นรก “เคยเห็น”

    พระยายม “พอเห็นอย่างนั้นแล้ว เคยคิดบ้างไหมว่า แม้เราก็มีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้”

    แต่เนื่องจากสัตว์นั้นไม่เคยคิดมาก่อน ก็เลยตอบว่า “ไม่เคยคิดเลย”

    พระยายม “แล้วเคยเห็นเทวทูตที่ ๒ คือ คนชรา หลังค่อม ถือไม้เท้าเดินงกๆ เงิ่นๆ นั้นน่ะ ท่านเคยเห็นบ้างมั๊ย?”

    สัตว์นรก “เคยเจ้าข้า”

    พระยายม “เมื่อเห็นแล้ว เคยได้สติ มีความคิดที่จะทำความดีบ้างมั๊ย”

    สัตว์นรก “ไม่เคยคิดเลยเพราะกำลังมัวเพลิดเพลินอยู่”

    พระยายมก็จะให้โอกาส ด้วยการถามปัญหาต่อไป จุดประสงค์ของการถาม ก็เพียงเพื่อจะให้ผู้นั้นได้นึกถึงคุณงามความดี ที่เคยทำไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์ จะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ๆ นั่นเอง

    ท่านถามถึงเทวทูตที่ ๓ ว่า “แล้วเคยเห็นคนป่วยหนัก ที่เวลาเดินต้องมีคนคอยพยุงบ้างมั๊ย”

    สัตว์นรก “เคยเห็น”

    พระยายม “เมื่อเห็นแล้ว เคยคิดไหมว่า ตัวเรามีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้ ควรจะรีบทำความดีด้วยกายวาจาใจ”

    สัตว์นรก “เรื่องนี้ไม่ได้ฉุกคิดเลย เพราะข้าพเจ้ามัวประมาทอยู่”

    พระยายม “ถ้าอย่างนั้น เคยเห็นเทวทูตที่ ๔ คือนักโทษที่ถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับตัวมาลงโทษให้ได้รับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานบ้างมั๊ย”

    สัตว์นรก “ เคยเห็นเจ้าข้า”

    พระยายม “พอเห็นแล้ว ได้สติคิดว่า “แม้ถ้าเราทำความชั่วเช่นนี้ คงจะต้องถูกลงโทษ อย่ากระนั้นเลย เราพึงทำแต่ความดี จะได้ไม่ถูกลงโทษ เคยคิดอย่างนี้บ้างไหม"

    สัตว์นรก “ไม่เคยคิดเลย”

    พระยายมราช จะถามถึง เทวทูตที่ ๕ ว่า “ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นคนที่ตายไปแล้ว สองสามวันก็ขึ้นอืด เนื้อตัวเขียวชํ้า มีนํ้าเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้มในหมู่มนุษย์บ้างหรือ”

    สัตว์นรก “เคยเห็นมาบ้าง”

    พระยายม “เมื่อเห็นแล้ว เคยคิดบ้างไหมว่า แม้ตัวเราก็มีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ควรที่เราจะรีบทำความดี เก็บเกี่ยวบุญกุศลก่อนที่จะที่จะหลับตาลาโลก”

    ถ้าสัตว์ผู้นั้นคิดถึงคุณงามความดีของตัวเองได้ ก็จะได้ไปเสวยสุขในสุคติภูมิตามกำลังบุญ แต่ถ้ายังนึกไม่ได้ พระยายมก็จะกล่าวว่า “ท่านไม่เคยทำความดีอะไรเอาไว้เลย มัวแต่ประมาทอยู่ ทำความชั่วเป็นอาจิณ พวกนายนิริยบาลจะลงโทษท่าน บาปกรรมนี้ มารดาบิดาไม่ได้ทำให้ท่าน ญาติพี่น้องก็ไม่ได้ทำให้ท่าน ไม่มีใครในโลกทำให้ท่าน ท่านนั่นแหละเป็นคนทำเอง ท่านก็จะได้เสวยวิบากกรรมด้วยตนเอง”

    พอพระยายมราชไต่สวนจบ ก็จะนั่งนิ่งทีเดียว เพราะรู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว พวกนายนิริยบาลก็นำสัตว์นรกนั้นไปรับกรรม เอาตะปูเหล็กที่ลุกเป็นไฟเผาไฟตอกที่มือเท้าทั้งสี่ และที่กลางอก สัตว์นรกนั้นต้องเสวยทุกขเวทนาไปจนกว่ากรรมที่ทำไว้จะสิ้นสุดลง บางตนก็ถูกจับขึงพืด แล้วก็เอาขวานถาก เอามีดคมกริบแล่เนื้อเถือหนัง จับห้อยหัวลง แล้วเอาพร้าที่ทั้งร้อนทั้งคมมาถาก จากนั้นก็จับโยนเข้าไปในมหานรก

    มหานรก มี ๔ มุม ๔ ประตู มีกำแพงเหล็กล้อมรอบ ครอบเอาไว้ด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกเป็นเหล็กลุกเป็นไฟ ความร้อนแรงแผ่ไปตลอด ๑๐๐ โยชน์ แล้วในมหานรก มีแต่ไฟลุกท่วมอยู่ตลอดเวลา ถ้าเอาก้อนหินก้อนใหญ่ ๆ เท่าบ้านหลังโต ๆ โยนเข้าไปในไฟนรก เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น หินก้อนนั้นก็จะแหลกละเอียดเป็นจุลทันที แต่ที่สัตว์นรกทนอยู่ได้ ก็เพราะแรงกรรมที่ทำเอาไว้ ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานซํ้าแล้วซํ้าเล่า ส่วนทุกข์ในนรกขุมอื่น ๆ ที่ยิ่งกว่านี้ ยังมีอีกมากมายก่ายกองทีเดียว

    ดังนั้น เมื่อเรามี โอกาสสั่งสมบุญในภาวะที่เป็นมนุษย์นี้แล้ว ก็ควรที่จะรีบขวนขวายสร้างความดี สั่งสมบุญมีให้เต็มที่ เราควรจะใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก่อนที่จะละจากโลกนี้ไป ให้ตั้งปณิธานไว้เลยว่า ต่อจากนี้ไป เราจะประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ให้เป็นอุปนิสัย เป็นอัธยาศรัยที่ดี ๆ ติดแน่นอยู่ในใจ แล้วก็หมั่นพิจารณาถึงเทวทูตทั้ง ๕ ที่มาเตือนสติเรา ไม่ให้ประมาท คือว่า ให้หาความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความทุกข์จากการถูกทรมาน และความตาย มาเป็นอุทาหรณ์สอนตัวเอง แล้วมุ่งสั่งสมบุญ แผ้วถางทางไปสู่สวรรค์นิพพาน ชีวิตเราจะได้ดำรงอยู่อย่างปลอดภัยและมีชัยชนะ เมื่อทุกคนทำได้อย่างนี้ เราจะได้ไม่ต้องไปตอบปัญหาพระยายมราชในเมืองนรกให้เสียเวลา ไปเสวยสุขอยู่ในสุคติกันเลย เพราะผู้สั่งสมบุญเอาไว้อย่างดีแล้ว มีแต่เทวทูตจากทุกสวรรค์ชั้นฟ้าเท่านั้น จะต้องนำวอทองและราชรถอันตระการ มาอัญเชิญไปสถิตย์ในสุคติสวรรค์...

    เรื่องของ “เทวทูต” ที่ได้นำเสนอไว้ข้างต้น ได้มีการบันทึกเอาไว้ในพระไตรปิฏก อุปริปัณณาสก์ มัชฌินิกาย ข้อ ๕๐๔ หน้า ๓๓๖ บาลี – สยามรัฐ ถือได้ว่า เป็นพุทธวจนะ คือ คำตรัสสอนที่ออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง หากผู้ใดนับถือพระพุทธเจ้า ก็จงยอมรับเถอะว่า นรกนั้นมีจริง พระยายม เหล่านายนิรยบาล มีจริง แต่ถ้าไม่นับถือพระพุทธเจ้า จะไม่เชื่อคำตรัสสอนของท่าน ก็สุดแท้แต่ใจ

    เมื่อพิจารณาคำสอนเรื่องเทวทูตแล้ว จะเห็นว่า พระยายม หรือ ผู้เป็นใหญ่ในนรกนั้น ท่านมิได้มีจิตใจโหดร้าย กระหายที่จะลงโทษสัตว์นรกซะทีเดียว ท่านได้เพียรพยายาม ปลอบใจ ค่อย ๆ ประโลมถามคำถามต่าง ๆ ได้เพียรอธิบายถึง ๕ ครั้ง ๕ ประการ เพื่อให้สัตว์นรกนั้นเกิดสติ จะได้รำลึกถึงกรรมดีที่ตนได้กระทำไว้ในสมัยเมื่อเป็นมนุษย์ เพื่อที่จะได้ส่งไปเสวยกรรมดีนั้น ๆ แทนที่จะต้องตกนรกหมกไหม้ตราบนานแสนนาน แต่ก็นั่นแหละครับ คนชั่วก็คือคนชั่ว ยิ่งชั่วบริสุทธิ์ด้วยแล้ว ยากครับ ที่จะนึกถึงความดีที่เคยทำ เพราะตนเองไม่เคยทำกรรมดี ถึงทำไว้บ้าง ก็น้อยหรือเจือจางมาก จนนึกไม่ออก บอกไม่ถูก จึงต้องถูกลงโทษ โยนเข้าไปในมหานรกทั้ง ๘ ขุมใหญ่ ในที่สุด

    จากเรื่องเทวทูต ผมได้ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับการไปพบพระยายม ในเมืองนรก จะเห็นว่า ผู้ที่จะไปพบพระยายมได้นั้น จะต้องอุบัติเป็นสัตว์นรก และถูกพาไปพบพระยายมก่อน ท่านไม่ได้ตัดสิน ลงโทษ หรือ พิพากษาอันใด ท่านมีหน้าที่ไต่ถามเรื่องเทวทูตทั้งห้า พร้อมอรรถาธิบายให้สัตว์นรกตนนั้นได้เกิดสติ เพื่อที่จะส่งไปเกิดในภพภูมิอื่น ไม่ต้องรับโทษในนรก ดังนั้น ผู้ที่จะไปพบพระยายม และอุบัติเป็นสัตว์นรก จะต้องเป็นคนชั่วช้าสามานย์ กระทำแต่กรรมชั่วเป็นนิจสิน เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จิตวิญญาณก็จะไปอุบัติในนรกภูมิ เพื่อพบพระยายมทันที ไม่มีผู้ใดนำทาง หรือ นำพาทั้งสิ้น กรรมชั่วต่างหาก ที่พาไป

    แต่ถ้าบุคคลใดประกอบคุณงามความดี ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา สร้างสาธารณกุศล ศาสนสถาน ยึดมั่นในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อยู่เนืองนิจ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว รับรองได้เลยครับว่า ไม่มีโอกาสที่จะไปพบกับพระยายม หรือ ไปบังเกิดเป็นสัตว์นรก และต้องมาตอบคำถามเรื่องเทวทูต ๕ อย่างจริงแท้แน่นอน แต่จะไปอุบัติในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติ อยู่ในวิมานแมนเมืองสวรรค์ หรือไม่ก็ชั้นพรหม ส่วนจะชั้นไหนขึ้นอยู่กับกุศลกรรมความดีที่ทำไว้ว่ามีมากน้อยเพียงใด
    (มีต่อ๑)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2021
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    พระยายมราชซึ่งเป็นนายเมืองนรกก็เป็นเรื่องยุ่ง ยม เป็นชื่อเทวดาประจำความตายของลัทธิศาสนาฮินดู เรียกว่า พระยม ผู้ใดถึงกำหนดต้องตาย พระยมจะเอาเชือกบาศมาคล้องเอาวิญญาณของผู้นั้นไปสู่ยังยมโลก อันเป็นดินแดนของพระยม อยู่ทางทิศใต้ เหตุฉะนี้ พระยม จึงเป็นท้าวโลกบาลประจำทิศใต้ของลัทธิฮินดู พุทธศาสนารุ่นหลัง คงนำเอาพระยมของลัทธิฮินดู ซึ่งเป็นเจ้าแห่งความตาย และเป็นใหญ่อยู่ในยมโลก ซึ่งไม่ใช่โลกนรก ให้มาเป็นเจ้าแห่งเมืองนรก เรื่องจึงเกิดสับสนเคลื่อนที่กันขึ้น ทำให้เข้าใจรวม ๆ กันไปว่า ยมโลก กับ เมืองนรก เป็นที่แห่งเดียวกัน แต่ท่านว่าเป็นคนละแห่ง ตอนท้ายของนรกภูมิ ในหนังสือไตรภูมินี้กล่าวว่า

    ตั้งแต่ยมโลกไปถึงอเวจี มีระยะได้พันโยชน์ ก็ดูประหนึ่งว่า ยมโลก กับ นรก เป็นคนละแห่ง พวกลูกสมุนของพระยายม ที่เรียกว่า ยมบาล ถ้าแปล ก็ว่า ผู้ดูแลรักษาเมืองยม แต่ที่ใช้อยู่ในหนังสือ เรียกว่า นิรยบาล นิรยบาล แปลว่า ผู้ดูแลรักษาเมืองนรก ถูกต้องตามคำแปลดีกว่ายมบาล แต่ใช้ นิรยบาล ชาวบ้านไม่รู้จัก เรียกก็ยาก รู้จักแต่ยมบาล หรือถ้าจะเรียกให้สะดวก และถูกอย่างที่ชาวบ้านเรียกกัน ก็เป็น ยมพะบาล

    ในนรกมีเทวดาผู้ถือบัญชีบุญและบาปของมนุษย์ ดังที่กล่าวไว้ในไตรภูมิ ก็แปลก ทำไม่ไม่ใช้ยมบาลผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ถือบัญชี กลับไปใช้เทวดา ซึ่งเท่ากับเกณฑ์ หรือลงโทษเทวดาที่เสวยสุขอยู่ด้วยนางฟ้า นางสวรรค์ ต้องไปตกอยู่ในเมืองนรก และต้องเป็นพนักงานบัญชี ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของเทวดาโดยเฉพาะ เพราะเทวดามีแต่เที่ยวเล่นชมนางฟ้าตามอำเภอใจ ไม่ต้องทำงานเป็นข้าราชการของใคร

    มาถึงตอนนี้ ผมขอแทรกเพื่อให้เกิดความเข้าใจอีกครั้งหนึ่งว่า การที่ผมเคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า พระยายมราช ผู้เป็นใหญ่ในนรก กับ พระยามัจจุราช เทพเจ้าแห่งความตายนั้น น่าจะเป็นเทพคนละองค์กัน และ มีบทบาทหน้าที่ต่างกัน เห็นจะเข้าเค้า สอดคล้องกับความคิดเห็นของท่านเสฐียร โกเศศ ดังที่ผมได้คัดลอกมาให้อ่านพิจารณากัน

    อันที่จริงแล้ว เทวดา ท่านต้องอยู่บนสวรรค์ หรือ อาจจะอยู่บนโลกมนุษย์ก็ได้ แต่ภพภูมิของท่านนั้น คือ สวรรค์ ซึ่งเป็นสุคติภูมิ เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ที่ท่านจะไปจุติในเมืองนรก ในสภาวะของเทวดา ซึ่งเรื่องราวที่ได้นำเสนอมา หากเชื่อตามหนังสือไตรภูมิทั้งหมด จะทำให้สับสนมาก ยิ่งหนังสือ พระมาลัยด้วยแล้ว ยิ่งทำให้สับสนปนเปไปกันใหญ่ อย่าลืมว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เป็นเรื่องแต่งในภายหลังทั้งสิ้น ไม่ได้มีการบันทึกไว้ในพระสูตรแต่อย่างไร แม้จะอ้างอิงชื่อนรก สวรรค์ ต่าง ๆ จากพระสูตรก็ตาม แต่ในส่วนเนื้อหารายละเอียดของสวรรค์ นรก นั้น พระสูตรไม่ได้กล่าวเอาไว้อย่างแน่นอน

    ชีวิตหลังความตายในทัศนะของผมนั้น เชื่อว่า เมื่อคนเราถึงที่ตาย และเวลาตาย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ ต้องประจวบเหมาะกัน ถ้าถึงเวลาตาย แต่ไม่ถึงที่ตาย ก็จะยังไม่ตาย แต่ถ้าถึงที่ตาย และเวลาตายแล้วไซร้ บุคคลคนนั้นต้องตาย ท่านพระยามัจจุราช ที่ผมเชื่อว่า ท่านคือเทพเจ้าแห่งความตาย ซึ่งเป็นเทวดาที่อยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกา หรือ ชั้นที่หนึ่ง ที่ผมตั้งข้อสังเกตไว้ว่า น่าจะเป็นเทวดาพระเคราะห์ที่มีนามว่า “พระเกตุ” หรือ อาจจะเป็นองค์เดียวกันกับท่านท้าวเวสสุวัณ โลกบาลประจำทิศเหนือ ก็ได้ ท่านก็จะใช้ให้บริวารของท่าน คือ พระกาฬไชยศรี ขี่นกแสก มาเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณบุคคลผู้นั้นไป ในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่อยู่ระหว่างโลกทั้งสาม เป็นภพภูมิกลาง จะเรียกว่า “พิภพมัจจุราช” ก็คงไม่ผิดนัก

    ณ ที่แห่งนี้ ท่านพระยามัจจุราช จะเป็นผู้ตรวจสอบดูว่า ดวงวิญญาณผู้ที่ตายนั้น เป็นวิญญาณบุญ หรือ วิญญาณบาป ด้วยการพิจารณาจากบัญชีบุญ ที่จดโดย ท่านสุวรรณ จดไว้ในแผ่นทองคำ และ บัญชีบาป ที่จดโดยท่านสุวาร ที่จดไว้ในแผ่นหนังหมา ถ้าทำดี ก็จะส่งให้เทวทูต มารับไปสู่สรวงสวรรค์ และถ้าทำชั่ว ก็จะส่งให้ยมทูต นำตัวไปลงทัณฑ์ในนรก ตามบุญและบาปที่ทำเอาไว้

    เมื่อไปสู่สรวงสวรรค์ ก็จะต้องไปรายงานตัวแก่เทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นนั้น ๆ เสียก่อน อย่างเช่น ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็จะต้องไปรายงานตัวต่อท่านท้าวสักกะเทวราช หรือ พระอินทร์ เป็นต้น เมื่อลงไปในนรก ก็จะต้องไปพบกับพระยายมราชเสียก่อน เพื่อที่ท่านจะได้มีคำสั่งให้นำไปอยู่ในนรกขุมใด ได้รับโทษทัณฑ์อย่างไร นานเพียงใด อีกครั้งหนึ่ง

    อันพระยายมราช นั้น ถ้าเชื่อในหลักพุทธศาสนา ท่านไม่ใช่เทวดาแน่นอน และคงอยู่ในสภาพของสัตว์นรก แต่ที่มีฤทธิ์อำนาจ มีบารมี ได้เป็นใหญ่ ทำหน้าที่ปกครองนรกนั้น ก็คงด้วยผลกรรมดีที่ท่านทำเอาไว้ในสมัยเป็นมนุษย์ ที่มีมากพอที่จะทำให้ท่านอยู่ในนรกได้ โดยปราศจากการลงโทษให้ได้รับทุกข์ทรมานต่าง ๆ แต่ยังต้องเสวยเศษกรรมที่ทำเอาไว้ ด้วยการถูกกรอกด้วยน้ำทองแดงทุกวัน ในเวลาเที่ยงคืน ซึ่งเรื่องอดีตชาติของพระยายมราช และสมุนบริวารของท่าน ผมได้นำมากล่าวเอาไว้แล้วในตอนต้น

    แต่ถ้าเชื่อในลัทธิฮินดู หรือ พราหมณ์ ท่านเป็นเทพเจ้าแน่นอน และเป็นโลกบาลประจำทิศใต้อีกต่างหาก อีกทั้งยังทำหน้าที่ทั้งคร่าวิญญาณผู้ตาย ทำหน้าที่ตัดสิน และลงโทษเบ็ดเสร็จ ถือว่า มีอำนาจมากทีเดียว ซึ่งความเชื่อของฮินดูนั้น ก็เชื่อในแนวเดียวกับของยุโรป คือ กรีก และโรมัน คือ ท่านเป็นเทพเจ้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์มาก่อน แล้วได้รับบัญชาจากเทพจูปิเตอร์ ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ ให้ไปปกครองในเมืองนรก (ตาร์ตารัส) ทรงพระนามว่า เทพเจ้าพลูโต นั่นเอง

    มาเข้าเรื่องของท่านเสฐียร โกเศศ ที่เขียนไว้ ใน “เล่าเรื่องในไตรภูมิ” กันต่อดีกว่า ซึ่งผมเห็นว่า แนวความคิดของท่าน ไม่ควรมองข้าม น่าจะนำมาพิจารณาเพื่อประดับสติปัญญาในเรื่องนี้ ผมจึงตัดสินใจ คัดลอกเรื่องราวของท่านมาทั้งหมด ตั้งแต่ต้นจนจบ มาให้อ่านกัน

    นอกจากนรกซึ่งกล่าวมาแล้ว หนังสือไตรภูมิยังกล่าวถึงนรกพิเศษอีกแห่งหนึ่ง คือ นรกโลกันต์ อันเป็นนรกอยู่ระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาล ถ้าจะเปรียบอย่างที่เขาเปรียบไว้ ก็เหมือนเขียนเป็นวงกลม ๓ วง ต่างว่า แต่ละวงเป็นจักรวาลหนึ่ง ๆ เอาวงกลมสองวงเรียงอยู่ในระดับเดียว ให้ใกล้ชิดกัน แล้วเอาอีกวงหนึ่ง คือ วงที่สาม วางซ้อนกันไว้ข้างบนสองวงนั้น ก็จะเป็นรูปตั้งวง ๓ วง อย่างรูปสามเหลี่ยม แต่อีกวง เป็นยอดของอีกสองวง เมื่อวางเรียงกันตามรูปนี้ จะเกิดมีช่องว่างระหว่างกลางเป็นรูปสามเหลี่ยม ช่องว่างนี้แหละเรียกว่า โลกันต์ แปลว่า อยู่ระหว่างโลก

    หนังสือไตรภูมิกล่าวว่า โลกันต์นรก กว้างได้ ๘,๐๐๐ โยชน์ มีคูลึก วงรี หาพื้นน้ำบ่มิได้ หาฝาเบื้องบนบ่มิได้ เบื้องบนเป็นปล่องขึ้นไปถึงพรหมโลก ในโลกันต์นรกมืดแสนมืด แสงดาวเดือนและดวงตะวันที่ส่องโลก ส่องไปไม่ถึง เพราะโลกันต์นรกอยู่นอกกำแพงจักรวาล คือ อยู่พ้นกำแพงเหล็กซึ่งกั้นโลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกนรกออกไป นรกโลกันต์นี้เห็นจะมีความหนาวเย็นเฉียบอย่างนรกก้นบึ้งของฝรั่ง คงไม่ร้อนเหมือนนรกอเวจี เพราะแสงตะวันส่องไม่ถึง และมืดตื๋อ

    สัตว์ที่ตกนรกโลกันต์มองไม่เห็นอะไรเหมือนกับคนหลับตา ต่อเมื่อใดพระโพธิสัตว์จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า กล่าวคือ เมื่อท่านเสด็จมาปฏิสนธิในครรภ์พระมารดา ๑ เมื่อท่านประสูติ ๑ เมื่อท่านตรัสรู้ ๑ เมื่อท่านตรัสเทศนาพระธรรมจักร คือ เทศนาเป็นครั้งแรก ๑ และเมื่อเสด็จเข้าสู่นิพพาน ๑ ใน ๕ กาลนี้ แต่ละกาลสัตว์ในนรกโลกันต์จะเห็นแสงสว่างได้ครั้งหนึ่ง แต่กระนั้นก็เห็นแสงสว่างได้ชั่วดีดนิ้วมือ หรือ ชั่วพริบตา หรือ ชั่วฟ้าแลบแวบเดียวเท่านั้น แล้วกลับมืดอย่างเดิม

    ผู้ใดกระทำร้ายต่อพ่อแม่ และพระสงฆ์ และยุยงให้สงฆ์แตกร้าวกัน ครั้นตายไปก็ไปเกิดในนรกโลกันต์ มีตัวสูงใหญ่ถึง ๖,๐๐๐ วา มีเล็บมือ เล็บตีน ยาวดั่งค้างคาว ตัวใหญ่มหึมา เอาเล็บเกาะกำแพงจักรวาล ห้อยตัวเอาหัวลงเหมือนค้างคาว เมื่อหิวขึ้นมา ต่างตัวก็ต่างจะกินกัน โอบรัดฟัดกันจนม้วนต้วนตกลงไปในน้ำ น้ำนั้นเย็นแสนเย็น (มาได้ความชัดตอนนี้เอาว่าเป็นนรกเย็น) สัตว์นรกที่ตกลงไปถูกน้ำกัดเน่าเปื่อย แหลกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนตาย แล้วกลับเป็นสัตว์นรกขึ้นอีก ทนทุกข์ทรมานตายแล้วเกิดเป็นใหม่อยู่อย่างนี้ นานชั่วพุทธันดรกัลป์หนึ่ง ถึงจะหมดกรรม พุทธันดรกัลป์ คือ ระยะเวลา หรือ กัลป์ที่อยู่ระหว่างพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งกับอีกองค์หนึ่งจะมาตรัสรู้ เป็นเวลาที่ว่างพระศาสนา

    เรื่องนรกตามที่กล่าวไว้ในหนังสือไตรภูมิฉบับนี้ มีข้อความอยู่หลายแห่งซึ่งฟังไม่ใคร่ชัดเจนนัก จะเป็นเพราะคัดลอกกันมาหลายทอด เกิดขาดตกบกพร่องขึ้นก็ทราบไม่ได้ ที่กำหนดนรกให้มีแต่ไฟเผาผลาญ และให้อยู่ใต้ดินลงไป ก็สมกับที่ทางวิทยาศาสตร์ว่า ลึกลงไปภายในโลกร้อนระอุลุกเป็นไฟ แต่นรกเย็น หนาวยิ่งกว่าน้ำแข็งก็มี หากไม่มีกล่าวไว้ในไตรภูมินี้ นรกของฮินดู นรกของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่แปลกไปจากนี้ก็มี และเป็นเรื่องที่กล่าวไว้อย่างยุ่ง ๆ ยิ่งกว่าเรื่องนรกในไตรภูมิ แต่นรกเหล่านี้ อยู่นอกเรื่องที่มิพึงประสงค์จะเล่า คือ ต้องการเล่าแต่เรื่องนรกอันเกี่ยวกับภาษาและวรรณคดี และที่ชาวบ้านรู้จักกันเท่านั้น

    คนรุ่นก่อนได้ยินได้ฟังพระเทศน์เรื่องนรกอยู่บ่อย ๆ ทั้งได้เคยดูรูปภาพที่เขาเขียนไว้ เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกอยู่เสมอว่า ถ้าทำบาปทำชั่ว ตายไปจะต้องตกนรกหมกไหม้ และทนทุกข์ทรมานตั้งกัปตั้งกัลป์ เพราะด้วยความเชื่อซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องของเหตุผล ทำให้คนส่วนมากกลัวบาป เกรงกรรม ถ้าไม่เหลืออดเหลือกลั้นก็ไม่ใคร่กล้าทำบาปทำกรรม คนรุ่นใหม่เห็นว่า นรกเป็นเรื่องเหลวไหล มีแต่สอนให้คนโง่ เลิกเชื่อเสียเถิด มาเชื่ออย่างใหม่ที่ก้าวหน้าดีกว่า แต่คนรุ่นเก่ามีความรู้และการศึกษายังล้าหลัง วิ่งตามคนรุ่นใหม่ไม่ใคร่ทัน เมื่อทิ้งของเก่า มาจับถือของใหม่ก็ไม่ได้แน่น ในที่สุด เก่าก็หาย ใหม่ก็ไม่ได้ กลายเป็นไม่มีอะไรจะยึดถือ เปรียบเหมือนเมื่อก่อนเคยนุ่งผ้าเก่าขาดรุ่งริ่ง และสกปรกมาก น่ารังเกียจ ก็ถอดทิ้งเสีย แต่จะนุ่งอย่างใหม่ก็ไม่รู้จักนุ่ง ก็เลยกลายเป็นคนไม่นุ่งผ้า ดีเหมือนกัน นี่ข้าพเจ้าพูดแดกให้
    (มีต่อ ๒)
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    มาว่ากันต่อ ถึงนรกบริวาร หรือ นรกบ่าว ที่ได้มีการกล่าวเอาไว้ในหนังสือไตรภูมิพระร่วงมามีชื่อเสียงเรียงนามอะไร บ้าง ทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องไปตกนรกขุมนั้น ๆ

    ๑. เวตตรณีนรก คนผู้อยู่ในแผ่นดินนี้แล มั่งคั่งมั่งมี มีข้าวของมาก ไพร่ฟ้าข้าไทมาหลาย มักกระทำร้ายแก่คนผู้อื่น ชิงเอาทรัพย์ ข้าวของ ของท่านผู้อื่น ด้วยคนมี กำลังมากกว่า ครั้นตายได้ไปเกิดในนรกอันชื่อเวตตรณี นั้น ยมบาล อันอยู่เวตตรณีนรก นั้น เทียรย่อมถือไม้ ค้อน มีด พร้า หอก ดาบ หลาว แหลน เครื่องข้า (ฆ่า) เครื่องแทง เครื่องยิง เครื่องตี ทั้งหลายฝูงนั้น เทียรย่อมเหล็กแดง แลมีเปลวพุ่งขึ้นไปดังไฟไหม้ฟ้านั้น ลุกดังนั้นบ่มิ วาย...ได้คงภาษาของพญาลิไท ไว้เพื่อความไพเราะในแง่วรรณคดีด้วย

    ถ้าเป็นสมัยนี้ ก็ได้แก่พวกเจ้าพ่อ มาเฟียทั้งหลาย ที่มีลูกน้องบริวารมากมาย เที่ยวไปกดขี่ ข่มเหง รังแก ขูดรีดเอาทรัพย์สินของคนอื่นมาเป็นของตนด้วยวิธีการต่าง ๆ ถึงขั้นประทุษร้าย ทำร้ายร่างกาย อย่างพวกมาเฟียโบ๊เบ๊ ที่เป็นข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกนี้ไม่แคล้วลงนรกขุมนี้แน่นอนถ้าตายไปล่ะก็

    ๒. สุนขนรก ผู้กล่าวร้าย สมณพราหมณ์ อุปัชฌายาจารย์ ตกนรกขุมนี้ ถูกฝูงสุนัข ๕ จำพวกกัด ถูกฝูงแร้งกา จิกตี ก็สมน้ำหน้าอยู่หรอก เพราะพวกนี้มีปาก แต่ไม่ใช้ปากให้คุณ ให้โทษใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ไม่เว้นแม้แต่สมณะ ชีพราหมณ์ ครู อาจารย์ อย่างนี้ต้องให้หมานรก กัดให้จมเขี้ยว กระชากเนื้อออกมา ถูกแร้งกาจิกกินเนื้อออกมาเป็นชิ้น ๆ เสียให้เข็ด

    ๓. สโชติกนรก มีพื้นเป็นเหล็กแดง ถูกยมบาล เอาฆ้อนใหญ่ไล่ตี พวกนี้ ตอนมีชีวิตอยู่ คงเที่ยวข่มเหงรังแกผู้ที่ด้อย หรือ อ่อนแอกว่า พวกนักเลงหัวไม้ พวกอันธพาล พวกนักเรียน นักเลง ยกพวกตีกัน ตายไป ถูกคนที่มีอำนาจเหนือกว่าไล่ตีเอาซะบ้าง จะได้ไม่เป็นเยี่ยงอย่างที่เลวแก่คนอื่น

    ๔. อังคารกาสุนรก ชักชวนคนอื่นทำบุญแล้วเบียดบังทรัพย์สินนั้น ผู้ที่ตกนรกขุมนี้ ถูก ยมบาลเอาหอกดาบไล่แทงให้ตกในหลุมถ่านเพลิง

    ๕. โลหกุมภีนรก มีหม้อเหล็กแดงใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยเหล็กแดงเป็นน้ำ มียมบาล จับเอาสัตว์หย่อนหัวลงหรือจับพุ่งลงในหม้อดิน พวกเปิบพิสดารทั้งหลาย ได้แก่ พวกนึ่งปูเป็น ๆ หรือ เอาตั๊กแตนไปทอดเป็น ๆ พวกที่ชอบเอาสัตว์ไปทรมานให้ตาย ด้วยการถ่วงน้ำ จำไว้ให้ดีนะครับ ตายไป นรกขุมนี้รอคอยท่านอยู่

    ๖. อโยทกนรก มีหม้อเหล็กแดงใหญ่เหมือนโลหกุมภีนรก แต่มียมบาลเอาเชือกเหล็ก แดงลุกเป็นเปลวไล่ตระหวัดแล้วบิดให้คอขาดออก แล้วเอาทอดในหม้อเหล็กแดง สัตว์นรกในขุมนี้ คงทำกรรมเอาไว้ดุจเดียวกับโลหกุมภีนรก แต่หนักข้อกว่า ตรงที่ ทำให้สัตว์นั้นทุกข์ทรมานก่อนเอาไปต้มในน้ำร้อน นึ่ง หรือ ทอด เช่น พวกที่ฆ่าไก่เป็นอาชีพ ก่อนฆ่า มีการเชือดคอ เทเลือดออกจนหมด แล้วเอาใส่ในหม้อน้ำที่เดือดพล่าน พวกทอดตั๊กแตนปาทังก้า ที่เด็ดปีกมันออก ก่อนนำไปทอด ฯลฯ พวกนี้ตายเมื่อไหร่ ได้เป็นสมาชิกนรกขุมนี้แน่นอน

    ๗. ถุสปลาสนรก มีแม่น้ำเหมือนใสสะอาด สัตว์มีความกระหายโจนลงไปพื้นแม่น้ำ กลับเป็นพื้นเหล็กแดง น้ำกลายเป็นไฟที่ลุกไหม้จากข้าวลีบและแกลบ ที่เป็นเช่นนี้เพราะผลของการโกงด้วยการเอาข้าวลีบแกลบฟางปนใน ข้าวเปลือก ซึ่งกรรมข้อนี้ น่าจะรวมไปถึงพวกที่คดโกง ปลอมปนสินค้า หรือ พวกที่ให้บริการลูกค้าแบบไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือเต็มใจในการให้บริการ ให้คุ้มกับเงินที่เสียไปด้วย แม้กระทั่งกรรมในยุคไฮเทค พวกที่ปล่อยไวรัส ทำลายระบบคอมพิวเตอร์ ก่อให้เกิดความเสียหาย แล้วขายโปรแกรมป้องกัน หรือ พวกแบล็คเมล์ต่าง ๆ ตายไป น่าจะตกนรกขุมนี้ เพราะหากินโดยไม่สุจริตนั่นเอง

    ๘. สัตติหตนรก แปลว่า นรกที่สัตว์ถูกฆ่าด้วยหอก เมื่อเป็นคน คงใช้หอก หรือ ของแหลมทิ่มแทงสัตว์ หรือ ผู้อื่นให้ได้รับความเจ็บปวดทรมาน หรือตาย จึงต้องเกิดเป็นสัตว์นรก ถูกฆ่าด้วยหอก หรือ ถูกของแหลมทิ่มแทงดุจเดียวกัน

    ๙. พิลสนรก แปลว่า นรกมีโพรง-ปล่อง พวกดักสัตว์ทั้งหลาย รวมไปถึงพวกที่ล่อลวงคนให้ไปตาย หรือประทุษร้ายร่างกาย เพื่อประสงค์ทรัพย์สิน พวกนี้ตายไปเป็นสัตว์นรก ที่เต็มไปด้วยโพรง หรือ ปล่อง ที่ตกลงไปแล้ว จะถูกของแหลมทิ่มแทง และมีไฟ หรือ น้ำกรด แผดเผา จดมอดไหม้ละลายไป ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย จนกว่าจะหมดกรรม

    ๑๐. ปุราณมิฬหนรก นรกที่มีแม่น้ำเต็มไปด้วยคูถอาจม หิวก็กินคูถแทนอาหาร พวกนี้ทำกรรมเอาไว้ด้วยการให้อาหาร หรือ ของเสีย ของที่เสื่อมสภาพ ยาที่หมดอายุ แก่ผู้อื่น โดยเฉพาะพวกที่เอาไปถวายสมณะชีพราหมณ์ ประเภทสังฆทาน เวียนเทียน พระท่านไม่รู้ ฉันเข้าไป ท้องผูก ท้องร่วง บางทีอาจถึงแก่มรณภาพ อย่างนี้ ตายไปล่ะก็ นอกจากถูกไฟนรกเผาผลาญแล้ว ยังต้องกินของเสียแทนอาหารอีกด้วย ข้อนี้รวมไปถึงผู้ที่คดโกงคนอื่น หรือตระหนี่ถี่เหนียว แย่งชิงทรัพย์ผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตายไปก็ไม่พ้นนรกขุมนี้เหมือนกัน

    ๑๑.โลหิตปุพพนรก นรกที่มีแม่น้ำเต็มไปด้วยน้ำเลือดและหนอง หิวก็กินน้ำเลือด และหนองแทนอาหาร พวกนี้เมื่อเป็นคน ชอบรีดนาทาเร้น สูบเลือดสูบเนื้อคนที่ยากไร้ ข่มเหง รังแกผู้ที่ด้อยกว่า และไม่เคยทำบุญสุนทานใด ๆ ตายไปต้องตกนรกขุมนี้ รับโทษทรมานด้วยอาวุธต่าง ๆ แล้ว ยังต้องหิวโหย กินเลือด และหนองตนเองอีกด้วย

    ๑๒. โลหิตพฬิสนรก นรกที่มียมบาลเอาเบ็ดโลหะเกี่ยวลิ้น พวกนี้เมื่อเป็นคนไม่พ้นจำพวก ยิงนก ตกปลา เห็นสัตว์เป็นเกมกีฬา หรือประเภทพวกปลิ้นปล้อนโกหก หลอกลวง ร้อยลิ้นกะลาวน พูดสัปปะดี้ สีปะดน ให้คนทะเลาะกัน หรือให้ร้ายผู้อื่นด้วยคำพูด เมื่อตายไปจึงถูกลงโทษด้วยวิธีดังกล่าว

    ๑๓. สังฆาฏนรก ชื่อไปซ้ำกับนรกขุมใหญ่ ดูจากชื่อแล้ว มีความหมายดุจเดียวกัน คือ เป็นนรกที่ใช้ลงโทษสัตว์นรกที่ผิดศีลข้อที่หนึ่ง คือ ทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต รังแกสัตว์ให้ได้รับทุกข์ทรมาน เมื่อมาอยู่นรกขุมนี้ จึงถูกลงโทษ ประทุษร้ายด้วยอาวุธต่าง ๆ นานัปการ จากยมบาล

    ๑๔. อวังสิโรนรก ยมบาลเอาหัวห้อยลง เอาฆ้อนเหล็กตี ก็คงทำกรรมด้วยการทุบศีรษะคน หรือ สัตว์ ในสมัยที่มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ ตายไป ทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นก็ต้องตอบสนอง

    ๑๕. โลหสิมพลีนรก แปลว่า ป่าไม้งิ้วโลหะ เกิดจากโทษคบชู้ผิดศีลข้อ ๓

    ๑๖. มิจฉาทิฏฐินรก นรกของคนผู้ประกอบด้วยอเหตุกทิฏฐิ คือ พวกเห็นผิดเป็นชอบ ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ นรกสวรรค์มีจริง ตายไปแล้ว กว่าจะรู้ว่านรกมีจริง ก็สายเกินไปเสียแล้ว

    นรกพิเศษ โลกันตนรก หรือ โลกันตริกนรก อยู่ในระหว่างจักรวาลทั้ง ๓ กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ มีแต่ความมืด จะมีแสงสว่างครั้งหนึ่งเมื่อพระโพธิสัตว์จะเสด็จถือปฏิสนธิในครรภ์มารดา หรือสมภพจากครรภ์พระมารดา (เป็นพระพุทธเจ้า) แสดงพระธรรมจักรและเสด็จสู่พระนิพพาน จึงมีแสงสว่างแวบหนึ่ง คนทำร้ายพ่อแม่ สมณชีพราหมณ์ ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน ครั้นตายลง จะมาเกิดในนรกขุมนี้ มีแต่ความหิวกระหายจะกัดกินกันเอง เนื่องมีมือเกี่ยวอยู่ที่ขอบปากจักรวาล เมื่อกัดกินกันเอง ก็หล่นตกลงในน้ำเย็นจัดจนละลายเปื่อยไป อนึ่งที่ว่าโลกันตริกนรกมีความเย็น เพราะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์

    มาว่ากันต่อถึงเรื่องราวในเมืองนรก ที่ท่านเสฐียร โกเศศ ได้เขียนไว้ในหนังสือ “เล่าเรื่องในไตรภูมิ” ว่าท่านได้กล่าวถึงเรื่องนรกต่อไปอย่างไรบ้าง เชิญติดตาม

    นรกบ่าว ๑๖ ขุมนี้ ที่ควรกล่าวคือ โลหกุมภีนรก ซึ่งมีหม้อเหล็กเป็นไฟแดงขนาดใหญ่โตเหลือประมาณ มีน้ำเหล็กเป็นไฟเหมือนกัน ผู้ใดตีพระเจ้าพระสงฆ์ เมื่อตายแล้วไปตกนรกขุมนี้ ถูกยมบาล คือ ผู้คุมเมืองนรกจับเอาตัว ทุ่มให้หัวทิ่มลงไปในหม้อ แต่ไม่ตาย ถึงตาย ก็กลับเป็นขึ้นมาใหม่ ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะถึงวันสิ้นเวรกรรม หม้อเหล็กและน้ำเหล็กลุกเป็นไฟนี้ ชาวบ้านรู้จักดี แต่เรียก หม้อทองแดง น้ำทองแดง มักพูดสบถสาบานกันว่า “ให้ตกนรกหม้อทองแดง ถูกกรอกน้ำทองแดง” ดังนี้

    นรกอีกขุมหนึ่งที่ควรกล่าวชื่อ คือ โลหสิมพลีนรก หรือ นรกต้นงิ้ว ต้นงิ้วเหล่านี้ขึ้นอยู่ในนรกขุมนี้มากมาย อย่างเป็นป่าต้นงิ้วทีเดียว แต่ละต้นสูงตั้งโยชน์ มีหนามยาวตั้ง ๑๑ นิ้ว มีอยู่ทั่วลำต้น เป็นเปลวไฟลุกอยู่ตลอดเวลาไม่มีดับ นรกนี้มีไว้ลงโทษหญิงชายซึ่งทำชู้ด้วยเมียเขาผัวเขา เมื่อตายแล้วไปตกในนรกขุมนี้ ถูกยมบาลต้อนขึ้นต้นงิ้ว ไม่ขึ้นก็ไม่ได้ เพราะยมบาลเอาหอกและเหล็กแดงแทง แล้วยังมี “แร้งปากหนา กาปากเหล็ก” คอยจิกเนื้อ และมีสุนัขคอยกัดอีกด้วย

    ที่ต้องขึ้นต้นงิ้ว คือ ขึ้นไปหาชู้ของตนซึ่งปีนขึ้นไปก่อนแล้ว เมื่อปีนขึ้นไปถูกหนามงิ้วบาดทั่วตัว และถูกไฟลวกแขนขาขาด ทนไม่ไหวก็หล่นร่วงลงมาทั้งคู่ แต่ไม่ตาย ถูกยมบาลเอาเหล็กแดงแทงบังคับให้ขึ้นไปอีก ต้องทนทุกข์อยู่อย่างนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าจะสิ้นเวรสิ้นกรรม ในภาษาไทยถ้าพูดว่า “ตายไปแล้วจะต้องขึ้นต้นงิ้ว” ก็หมายความว่า ไปทำชู้กับเมียเขา ผัวเขา เป็นบาปหนัก จะต้องตกนรกขึ้นต้นงิ้ว ดังกวีกล่าวไว้ว่า “ใครสร้างกรรมทำชู้ด้วยคู่เขา ให้ร้อนเร่าร่างโรยอยู่โหยหิว ครั้งชีวันบรรลัยก็ไพล่ปลิว ให้ขึ้นงิ้วยมบาลประหารแทง”

    ยมบาล หรือ ผู้คุมเมืองนรก นรกขุมใหญ่ไม่มี เห็นจะเป็นเพราะนรกเหล่านั้นมีกำแพงล้อมรอบแน่นหนาเป็นแดน ๆ อยู่แล้ว ถ้าจะมี เห็นจะเป็นยมบาลเฝ้าประตูนรกเท่านั้น ส่วนนรกบ่าว และนรกเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งไม่กล่าวว่า มีกำแพงหรืออะไรล้อมไว้ จึงมียมบาลเป็นผู้คุมดูแล ยมบาลเหล่านี้ เดิมก็เคยเป็นคน ทำทั้งบุญและบาป ตายไปจึงเกิดเป็นยมบาล ๑๕ วัน อีก ๑๕ วัน เป็นยมบาลเหมือนกัน แต่ถูกยมบาลอื่นฆ่าฟันพุ่งแทงให้ได้รับความเดือดร้อน สับเปลี่ยนวนเวียนกันดังนี้กว่าจะสิ้นกรรม

    ผู้เป็นใหญ่เหนือยมบาลทั้งหลาย คือ พระยายมราช เป็นผู้ทรงธรรมเที่ยงตรงหนักหนา ผู้ใดตายไป จะต้องไปหาพระยายมราชก่อน พระยายมราชจะสอบสวนบุญบาปของผู้นั้น ถ้าสอบสวนได้ความว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ได้กระทำบุญบาปมาแล้วอย่างไรบ้าง ถ้าทำบุญสุนทานมาโดยตลอด ไม่เคยก่อกรรมทำชั่วใด ๆ เทวดา ๔ องค์ ซึ่งเป็นผู้ถือบัญชีสำหรับจดบุญและบาป ก็จะเขียนชื่อผู้นั้นลงในแผ่นทองสุก แล้วทูนใส่เหนือหัวไปทูลพระยายมราช พระยายมราชก็จบใส่หัว แล้วสาธุการอนุโมทนายินดี แล้วก็วางไว้บนแท่นทอง อันประดับด้วยแก้วสัตตพิธรัตนะและรัศมีอันเรืองงามแล ผู้ใดอันกระทำบาปไซร้ เทวดานั้นก็จะตราบัญชีนั้นลงในแผ่นหนังหมา และเอาไว้แห่งหนึ่ง แล้วบังคับให้ฝูงยมบาลมาเอาตัวมันไปทรมานในนรก ดังที่เคยพูดติดปากว่า “เอาหอกโตเท่าใบพาย แทงทะลุหูซ้ายตลอดหูขวา” และทรมานอีกหลายอย่าง แล้วแต่บาปกรรมที่ทำไว้หนักและเบา ถ้าเอาบุญกับบาปมาหักลบกัน ถ้าหนักไปทางบุญ ก็ไปขึ้นสวรรค์ ถ้าหนักไปทางบาป ก็ไปตกนรกเสียก่อน ใช้โทษบาปหมดแล้ว จึงจะไปเสวยบุญของตนได้ ถ้าบาปและบุญเท่ากัน ก็ส่งไปเป็นยมบาลเดือนหนึ่ง มีสบาย ๑๕ วัน และตกนรก ๑๕ วัน

    ไตรภูมิกล่าวพรรณาเรื่องนรกบ่าวไว้ละเอียดละออว่า ผู้ทำบาปอย่างไหน จะต้องไปตกนรกบ่าวขุมไหน ได้รับโทษทัณฑ์เป็นอย่างไร ก็อธิบายไว้หมด แต่เรื่องนรกใหญ่ ๘ ขุม ไม่มีอธิบายไว้ หรือจะเห็นว่า เพียงนรกบ่าวก็เดือดร้อนแก่ผู้ตกนรกมากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพรรณนาอะไรอีก หรือไม่เช่นนั้น ก็ลืมเล่าไป หรือไม่ก็ไม่ทราบว่า จะสรรหาอะไรมาพรรณาให้ยิ่งไปกว่านี้ได้
    (มีต่อ ๓)
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๑. สัญชีวนรก ที่เสวยกรรมของสัตว์นรกที่ถูกประหารหรือทำร้ายกันเอง พอล้มตายลง จึงมีลมรำเพยพัดถูกต้องกายแล้ว จะฟื้นขึ้นมารับวิบากกรรมต่อ เล็บมือของสัตว์นรกขุมนี้ เป็นเล็บเหล็กเป็นดาบ (ทำร้ายกันเอง) ด้วยวิบากกรรม ที่ขายหรือให้อาวุธผู้อื่น หรือ ผู้ที่จองเวรกัน สนองเวรกัน เรื่องที่ดิน , ให้เชือดหรือสั่งให้ เชือด สัตว์ที่มีชีวิตให้หรือขายอาวุธเพื่อเข่นฆ่าหรือปล้น ฯลฯ

    ๒. กาฬสุตตนรก นายนิรยบาล ใช้เส้นเชือกหรือด้ายสีดำ ตัดสัตว์นรกเหล่านี้เป็นท่อน ๆ ๘ ท่อน ๖ ท่อน ๔ ท่อน ตั้งแต่ส้นเท้าจึงถึงสะเอว ถึงเสวยทุกขเวทนาแค่ไหนก็ยังไม่ตาย จนกว่าจะหมดผลกรรม เนื่องด้วยผลกรรม ที่สั่งให้ฆ่าผู้อื่นด้วยการตัดแขน ขา, ให้ฆ่าลงโทษสัตว์หรือมนุษย์ด้วยแส้ หรือหวาย เป็นบรรพชิตใช้ประคตเอว หรือ จีวรแล้วเป็นผู้ทุศีล เผาไฟ สุมป่าเพื่อจับสัตว์ ฯลฯ

    ๓. มหาอเวจี แปลว่า ไม่มีคลื่น ไม่มีการหยุดพัก ถูกทรมานไม่หยุด ถูกตัดอวัยวะต่าง ๆ เช่น มือ เท้า ศีรษะขาด มีดาบประคอง (ตรึง) ให้ อยู่กับที่ อวัยวะต่าง ๆ ที่ถูกตัดขาดจะงอกมาอีก ผู้ที่ตกนรกขุมนี้ ได้แก่ คนฆ่าหมู ฆ่าโค ล่าเนื้อ สารถีฝึกช้าง มาด้วยความทารุณ ล้อมล่าสัตว์ แล้วทิ่มแทงด้วยหอก ยิงด้วยลูกศร หญิงชายคบชู้ประพฤตินอกใจ จับ สัตว์เป็น ๆ โยนเข้ากองไฟ ฯลฯ หรือพวกที่ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ประทุษร้าย พระตถาคตเจ้า ประพฤติอกุศลกรรมบถอย่างร้ายแรง ฯลฯ อย่างเช่น พระเทวทัต เป็นต้น

    ๔. สังฆาตนรก แปลว่า บด กระหนาบ สัตว์นรกถูกนิรยบาลต้อนเข้าไปในระหว่างภูเขา แล้วมีกองเพลิงปรากฏ ภูเขา ๒ ลูก จะเคลื่อนมา จาก ๔ ทิศ กลิ้งบดให้แหลก ในสมัยที่เป็นคน มักขุดหลุม ใช้ใบไม้พรางปิดตัว ซุ่มล่าสัตว์ทิ่มแทงด้วยหอกแหลน หลาว ฯลฯ

    ๕. โรรุวนรก แปลว่า ร้องเสียงดัง มีสระโบกขรณี แต่ไม่มีน้ำ มีแต่ไฟอยู่ในสระ เมื่อสัตว์โผลงไปถูกไฟไหม้ร้องคร่ำครวญ พวกนี้ในสมัยที่เป็นคน เป็นพวกไม่มีศาสนา ชอบทำลายเผาศาสนสถานหรือ เทวาลัยของผู้อื่น จุดไฟเผาโพรงงูเหลือม ตีผึ้ง ฯลฯ

    ๖. มหาโรรุวนรก ถูกทรมานเนื่องจาก ถูกนายนิรยบาล ถือค้อนตีศีรษะ เพราะบาป กรรมที่ตัดศีรษะสัตว์ที่ยังเป็น ๆ อยู่ หรือ พวกที่ฆ่าสัตว์ด้วยการใช้ฆ้อนทุบที่ศีรษะก่อนจะลงมือฆ่า เช่น ฆ่าหมู, ฆ่าวัว – ควาย, หรือ ปลา ฯลฯ เป็นต้น

    ๗. ตาปนนรก มีหลาวเหล็กเสียบ ย่างไฟ มีสุนัขคอยกัด พวกนี้ก่อกรรมทำเข็ญด้วยการจุดไฟเผาบ้านเรือนผู้อื่น เผาคนหรือสัตว์ให้ตายทั้งเป็น หรือพวกชอบฆ่าสัตว์ด้วยการนำไปเสียบไม้ เผาไฟ ย่างกิน ทั้งที่สัตว์นั้นยังเป็น ๆ อยู่

    ๘. มหาตาปนนรก ถูกลงโทษให้ปีนภูเขา ที่กำลังร้อนแดงแล้วตกลงบนหลาวเหล็ก พวกนี้ได้แก่พวกพรานป่า ล่าสัตว์ด้วยการขุดหลุมพราง หรือ วางกับดัก บางทีไม่เฉพาะแต่สัตว์เท่านั้น แม้แต่คนบางคนที่เดินพลัดหลงและตกลงไป ก็จะถูกหลาวไม้ไผ่ที่เป็นกับดักก้นหลุมแทงเอาถึงกับความตายได้

    สญฺชีโว กาฬสุตฺโต จ สงฺฆาโต โรรุโว ตถา มหาโรรุว ตาโป จ มหาตาโป วีจินิรโย นรกใหญ่ ๘ ขุมนี้ ในไตรภูมิพระร่วง มีลำดับตามคาถานี้ คือ สัญชีวะ กาฬสุตตะ, สังฆาตะ, โรรุวะ, มหาโรรุวะ, ตาปะ, มหาตาปะ, และอวีจินิรยะ แต่ในโลกบัญญัติ เป็นสัญชีวะ, กาฬสุตตะ, มหาอเวจี, สังฆาตะ, โรรุวะ มหาโรรุวะ, ตาปนะ, และอเวจี (อุวิจิ) แต่คำบรรยายถึงลักษณะ ผู้เกิดใน ๒ ขุมแรก และการทำบาปกรรมต่างกันอยู่

    เสฐียร โกเศศ ได้กล่าวถึงเรื่องของนรก ไว้ในหนังสือ “เล่าเรื่องในไตรภูมิ” ไว้อย่างน่าอ่าน จึงขอคัดลอกนำมาเผยแพร่ให้ได้พิจารณากัน พอสังเขป ดังนี้

    หนังสือไตรภูมิ กล่าวเริ่มต้นด้วยเรื่องเมืองนรก ซึ่งผู้กระทำบาปย่อมไปเกิด ว่ามีนรกใหญ่ ๘ ขุม ขุม ในภาษาไทยแปลว่า หลุม ในที่นี้ หมายถึง หลุมใหญ่มาก ลึกลงไปใต้ดิน ซ้อนกันเป็นชั้นกันลงไป เป็น ๘ ขุม ในไตรภูมิให้ชื่อขุมนรก เรียงลำดับกันลงไปตั้งแต่สูงไปหาต่ำ คือ สัญชีพนรก, กาลสูตนรก, สังฆาตนรก, โรรุพนรก, ตาปนรก, มหาตาปนรก, มหาอวีจินรก ชื่อที่ให้ไว้นี้นับได้ ๗ ขุมเท่านั้น ขาดหายไปขุมหนึ่ง คือ มหาโรรุพนรก ซึ่งเป็นขุมที่ ๕

    สัตว์อันเกิดในนรกเหล่านี้ มีอายุยืนนานนับไม่ถ้วน เพียงแต่สัตว์นรกขุมแรกก็มีอายุยืนได้ ๕๐๐ ปี เมืองนรก วัน ๑ กับ คืน ๑ ของเมืองนรก ได้ ๙ ล้านปี ของเมืองมนุษย์ ส่วนสัตว์นรกขุมอื่นที่อยู่ถัดไป มีอายุนับทวีคูณ จำนวนปีของนรกขุมแรก หรือ สองเท่าตัวเป็นลำดับไปจนนับไม่ถ้วน

    เรืองนับปีเมืองนรกเปรียบเทียบกับปีเมืองมนุษย์นี้ ที่พูดติดปากกันในพวกชาวบ้าน มักพูดกล่าวว่า ๑๐๐ ปี เมืองมนุษย์ เท่ากับ วัน ๑ กับ คืน ๑ ของเมืองสวรรค์ ๑๐๐ ปี เมืองสวรรค์ เท่ากับ วัน ๑ คืน ๑ ของเมืองนรก เท่านี้ยังไม่สะใจ ลางทีจำนวน ๑๐๐ ปี เปลี่ยนเป็น ๕๐๐ ปีก็มี อย่างจำนวนหลังนี้เห็นจะถูก เพราะ ๕๐๐ ปี เป็นจำนวนที่ถนัดปากมากกว่า ๑๐๐ ปี เพราะอะไรก็เป็น ๕๐๐ เช่น เกวียน ๕๐๐, โค ๕๐๐, พ่อค้า ๕๐๐, โจร ๕๐๐ ฯลฯ ที่สุดคำว่า โจร ๕๐๐ กล่าวแต่ ๕๐๐ เฉย ๆ ก็ใช้เป็นคำพูดดูหมิ่นกันได้

    ในนรกทั้ง ๘ ขุมนี้ ที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทย คือ มหาอวีจินรก มักเรียกเพี้ยนและพูดกันสั้น ๆ ว่า นรกอเวจี คนสามัญเมื่อต้องการจะทำให้เขาเชื่อตน มักกล่าวคำเป็นเชิงสบถสาบานว่า “ถ้าพูดไม่จริง ขอให้ตกนรกอเวจีเถิด” หรือพูดย่อเป็นติดปากอย่างพล่อย ๆ ว่า “ให้ตกนรกซี” คือ หมายความว่า ให้ตกนรกอเวจีนี้เอง

    คำว่า อวีจิ หรือเพี้ยนเป็น อเวจี แปลว่า ปราศจากคลื่น แปลอย่างนี้ไม่ได้ความสมกับที่เป็นชื่อนรกขุมก้นบึ้ง ท่านจึงแปลแก้ว่า “ปราศจากหยุดพัก” คือ ได้รับทุกข์ทรมานอย่างไม่มีสร่าง ไม่มีหยุด ซึ่งเป็นการแปลลากเข้าหาความ ฝูงสัตว์อันไปเกิดในนรกอเวจีนับว่าเป็นหนักที่สุด ต้องทนทุกข์ทรมานนานถึงสิ้นมหากัลป์หนึ่งจึงพ้น ระยะเวลามหากัลป์หนึ่งนานแสนนาน จนไม่อาจนับเป็นปีเดือนได้ ได้แต่อุปมาเหมือนว่ามีภูเขาลูกหนึ่ง สูงได้โยชน์หนึ่ง วัดโดยรอบเขาได้ ๓ โยชน์ “ถึงร้อยปีเอาผ้าทิพย์อันอ่อนบางดังควันมากวาดภูเขาแต่ละคาบ เมื่อใดภูเขานั้นราบเรียบเพียงแผ่นดิน จึงเรียกว่า มหากัลป์หนึ่งแล” กล่าวอธิบายความนานว่านานแสนนานด้วยวิธีอุปมาอย่างนี้ ของฝรั่งก็มี เช่นกล่าวว่า “สูงไกลขึ้นไปทิศเหนือในแดนแห่งสวิทยด (Svithjod) มีภูเขาหินอยู่เขาหนึ่ง สูงได้ร้อยไมล์ (๑๐ โยชน์) กว้างได้ร้อยไมล์ ทุกระยะพันปี มีนกน้อยตัวหนึ่ง เอาจะงอยปากมาลับที่เขานี้ครั้งหนึ่ง ถ้าหินที่เขานี้สึกหรอไปจนหมดสิ้น ก็เท่ากับเป็นวันหนึ่งของกัลป์หนึ่ง (Single day of eternity)”

    มหากัลป์หนึ่ง แบ่งเป็น ๕ อสงไขยกัลป์ อสงไขย แปลว่า กำหนดนับไม่ได้ เมื่อนับไม่ได้ แต่เอามานับรวมกันได้ถึง ๕ จำนวนนับไม่ได้ ก็เป็นมหากัลป์หนึ่ง ดังนี้ จึงนับว่า นานเหลือที่จะนับ โลกเรานี้ และรวมทั้งโลกอื่นในสกลจักรวาล เมื่อมีอายุได้กัลป์หนึ่งก็ต้องถูกไฟล้างราบ เรียกไฟที่ล้างโลกนี้ว่า ไฟบรรลัยกัลป์ เมื่อเกิดมีไฟไหม้อย่างใหญ่หลวง เช่น ในคราวมหาสงคราม ก็มักพูดเปรียบเทียบว่า “เหมือนไฟบรรลัยกัลป์”

    นรกใหญ่ ๘ ขุมนี้ มีกำแพงเหล็กแดงลุกเป็นไฟอยู่เสมอ ล้อม ๔ ด้าน รูปสี่เหลี่ยม ข้างบนก็เป็นเหล็กแดง พื้นล่างก็เป็นเหล็กแดง ลุกเป็นไฟอยู่เสมอทั้งข้างล่างข้างบนเหมือนกัน กำแพงทั้ง ๔ ด้าน ยาวด้านละ ๑,๐๐๐ โยชน์ หนา ๙ โยชน์ มีประตูเข้า ๔ ทิศ ๔ ประตู ส่วนข้างบนและพื้นล่างมีความหนา ๙ โยชน์เหมือนกัน

    นรกใหญ่แต่ละขุม มีนรกบริวาร เรียกในหนังสือไตรภูมิว่า นรกบ่าว ล้อมอยู่ด้านละ ๔ ขุม นรกใหญ่ขุมหนึ่งจึงมีนรกบ่าว ๑๖ ขุม นรกใหญ่ ๘ ขุม ก็มีนรกบ่าวรวมกันได้ ๑๒๘ ขุม รวมกับนรกใหญ่ ๘ ขุม เบ็ดเสร็จทั้งขุมเล็กขุมใหญ่ ก็เป็นนรก ๑๓๖ ขุม ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีนรกเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน นรกบ่าว ๑๖ ขุมนี้ มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน แต่มีชื่อรวมเรียก อุสุทธ หรือ อุสสทนรก แปลว่า นรกมีสิ่งที่ทิ้งแล้ว เช่น มูตรคูถ ถ่านเถ้าไฟ เป็นต้น

    ก่อนที่จะฟังเรื่องราวต่อไป ใคร่ขอนำเอาชื่อ และเรื่องราวเกี่ยวกับนรกขุมย่อยทั้ง ๑๖ ขุม มาแทรก เนื่องจาก ท่านเสฐียร โกเศศ ไม่ได้กล่าวเอาไว้ทั้งหมด คงกล่าวถึงนรกขุมย่อย เพียง ๒ ขุม คือ โลหกุมภีนรก และ โลหสิมพลีนรก เท่านั้น ซึ่งจะได้นำมาเสนอต่อในตอนท้าย

    นรกขุมย่อย (อุสสทนรก) หรือ นรกบ่าว นรกบริวาร มีดังนี้

    ๑. กุกกุลนรก มีเพลิงเรืองแสงร้อนแรงรุ่งโรจน์โชตนาการ สัตว์ถูกฝังจมลงไปละลาย ไปเหมือนหยดน้ำผึ้งที่ถูกยกขึ้นแล้ว

    ๒. ปีฬกุณปนรก ...บางพวก (หนี) ออกมาจากกุกกุลนรก เห็นเหมือนสระโบกขรณี ก็พากันโผ ลงสู่น้ำมีพวกหนอนปากคมเหมือนหอกรุมกันเจาะไชผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก สัตว์เหล่านั้น หนีขึ้นจากปีฬกุณปนรก เห็นหมู่ไม้งามเขียวชอุ่ม มีใบร่มปิด ก็รีบพากันเข้าไปอาศัย กลับมีฝูงกา แร้ง หมาจิ้งจอก จิกตี กัดกิน

    ๓. อสิปัตตวนนรก ฝูงสัตว์หนีออกจากปีฬกุณปนรก เห็นต้นไม้ร่มเงาเหมือนป่ามะม่วงก็ พากันเข้าไป ที่แท้คือ อสิปัตตวนนรก หมายถึงนรกที่มีต้นไม้มีใบเป็น ดาบ ทางเข้าก็เต็มไปด้วยมีดโกนขวากหนาม เมื่อเข้าไปแล้วก็มีลมพัด เอา (ใบไม้) หอกดาบ ลูกศรให้ตกลงเชือดเฉือนร่างกาย

    ๔.เวตตรณีนรก เมื่อสัตว์ออกมาจากอสิปัตตวนนรก พบกับนรกขุมนี้ มีแม่น้ำเต็มไปด้วยน้ำกรด พอพวกสัตว์โผลงไปสู่แม่น้ำนี้ ก็ถูกน้ำกัดผิวเนื้อย่อย กระดูกเป็นชิ้นน้อยใหญ่ เป็นโครงกระดูกลอยฟ่อง ไม่มีเนื้อ มีเอ็น คุมไว้

    อุสสทนรกทั้ง ๔ นี้ เป็นนรกบริวาร ตั้งอยู่ที่ประตู ทั้ง ๔ ทิศ ของมหานรก ๘ ขุม อุสสทนรก จึงมี ๓๒ ขุม ทั้งนี้ย่อความตามคัมภีร์โลกบัญญัติ

    ๑. สัญชีวนรก ที่เสวยกรรมของสัตว์นรกที่ถูกประหารหรือทำร้ายกันเอง พอล้มตายลง จึงมีลมรำเพยพัดถูกต้องกายแล้ว จะฟื้นขึ้นมารับวิบากกรรมต่อ เล็บมือของสัตว์นรกขุมนี้ เป็นเล็บเหล็กเป็นดาบ (ทำร้ายกันเอง) ด้วยวิบากกรรม ที่ขายหรือให้อาวุธผู้อื่น หรือ ผู้ที่จองเวรกัน สนองเวรกัน เรื่องที่ดิน , ให้เชือดหรือสั่งให้ เชือด สัตว์ที่มีชีวิตให้หรือขายอาวุธเพื่อเข่นฆ่าหรือปล้น ฯลฯ๒. กาฬสุตตนรก นายนิรยบาล ใช้เส้นเชือกหรือด้ายสีดำ ตัดสัตว์นรกเหล่านี้เป็นท่อน ๆ ๘ ท่อน ๖ ท่อน ๔ ท่อน ตั้งแต่ส้นเท้าจึงถึงสะเอว ถึงเสวยทุกขเวทนาแค่ไหนก็ยังไม่ตาย จนกว่าจะหมดผลกรรม เนื่องด้วยผลกรรม ที่สั่งให้ฆ่าผู้อื่นด้วยการตัดแขน ขา, ให้ฆ่าลงโทษสัตว์หรือมนุษย์ด้วยแส้ หรือหวาย เป็นบรรพชิตใช้ประคตเอว หรือ จีวรแล้วเป็นผู้ทุศีล เผาไฟ สุมป่าเพื่อจับสัตว์ ฯลฯ๓. มหาอเวจี แปลว่า ไม่มีคลื่น ไม่มีการหยุดพัก ถูกทรมานไม่หยุด ถูกตัดอวัยวะต่าง ๆ เช่น มือ เท้า ศีรษะขาด มีดาบประคอง (ตรึง) ให้ อยู่กับที่ อวัยวะต่าง ๆ ที่ถูกตัดขาดจะงอกมาอีก ผู้ที่ตกนรกขุมนี้ ได้แก่ คนฆ่าหมู ฆ่าโค ล่าเนื้อ สารถีฝึกช้าง มาด้วยความทารุณ ล้อมล่าสัตว์ แล้วทิ่มแทงด้วยหอก ยิงด้วยลูกศร หญิงชายคบชู้ประพฤตินอกใจ จับ สัตว์เป็น ๆ โยนเข้ากองไฟ ฯลฯ หรือพวกที่ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ประทุษร้าย พระตถาคตเจ้า ประพฤติอกุศลกรรมบถอย่างร้ายแรง ฯลฯ อย่างเช่น พระเทวทัต เป็นต้น๔. สังฆาตนรก แปลว่า บด กระหนาบ สัตว์นรกถูกนิรยบาลต้อนเข้าไปในระหว่างภูเขา แล้วมีกองเพลิงปรากฏ ภูเขา ๒ ลูก จะเคลื่อนมา จาก ๔ ทิศ กลิ้งบดให้แหลก ในสมัยที่เป็นคน มักขุดหลุม ใช้ใบไม้พรางปิดตัว ซุ่มล่าสัตว์ทิ่มแทงด้วยหอกแหลน หลาว ฯลฯ๕. โรรุวนรก แปลว่า ร้องเสียงดัง มีสระโบกขรณี แต่ไม่มีน้ำ มีแต่ไฟอยู่ในสระ เมื่อสัตว์โผลงไปถูกไฟไหม้ร้องคร่ำครวญ พวกนี้ในสมัยที่เป็นคน เป็นพวกไม่มีศาสนา ชอบทำลายเผาศาสนสถานหรือ เทวาลัยของผู้อื่น จุดไฟเผาโพรงงูเหลือม ตีผึ้ง ฯลฯ๖. มหาโรรุวนรก ถูกทรมานเนื่องจาก ถูกนายนิรยบาล ถือค้อนตีศีรษะ เพราะบาป กรรมที่ตัดศีรษะสัตว์ที่ยังเป็น ๆ อยู่ หรือ พวกที่ฆ่าสัตว์ด้วยการใช้ฆ้อนทุบที่ศีรษะก่อนจะลงมือฆ่า เช่น ฆ่าหมู, ฆ่าวัว – ควาย, หรือ ปลา ฯลฯ เป็นต้น๗. ตาปนนรก มีหลาวเหล็กเสียบ ย่างไฟ มีสุนัขคอยกัด พวกนี้ก่อกรรมทำเข็ญด้วยการจุดไฟเผาบ้านเรือนผู้อื่น เผาคนหรือสัตว์ให้ตายทั้งเป็น หรือพวกชอบฆ่าสัตว์ด้วยการนำไปเสียบไม้ เผาไฟ ย่างกิน ทั้งที่สัตว์นั้นยังเป็น ๆ อยู่ ๘. มหาตาปนนรก ถูกลงโทษให้ปีนภูเขา ที่กำลังร้อนแดงแล้วตกลงบนหลาวเหล็ก พวกนี้ได้แก่พวกพรานป่า ล่าสัตว์ด้วยการขุดหลุมพราง หรือ วางกับดัก บางทีไม่เฉพาะแต่สัตว์เท่านั้น แม้แต่คนบางคนที่เดินพลัดหลงและตกลงไป ก็จะถูกหลาวไม้ไผ่ที่เป็นกับดักก้นหลุมแทงเอาถึงกับความตายได้ สญฺชีโว กาฬสุตฺโต จ สงฺฆาโต โรรุโว ตถา มหาโรรุว ตาโป จ มหาตาโป วีจินิรโย นรกใหญ่ ๘ ขุมนี้ ในไตรภูมิพระร่วง มีลำดับตามคาถานี้ คือ สัญชีวะ กาฬสุตตะ, สังฆาตะ, โรรุวะ, มหาโรรุวะ, ตาปะ, มหาตาปะ, และอวีจินิรยะ แต่ในโลกบัญญัติ เป็นสัญชีวะ, กาฬสุตตะ, มหาอเวจี, สังฆาตะ, โรรุวะ มหาโรรุวะ, ตาปนะ, และอเวจี (อุวิจิ) แต่คำบรรยายถึงลักษณะ ผู้เกิดใน ๒ ขุมแรก และการทำบาปกรรมต่างกันอยู่เสฐียร โกเศศ ได้กล่าวถึงเรื่องของนรก ไว้ในหนังสือ “เล่าเรื่องในไตรภูมิ” ไว้อย่างน่าอ่าน จึงขอคัดลอกนำมาเผยแพร่ให้ได้พิจารณากัน พอสังเขป ดังนี้หนังสือไตรภูมิ กล่าวเริ่มต้นด้วยเรื่องเมืองนรก ซึ่งผู้กระทำบาปย่อมไปเกิด ว่ามีนรกใหญ่ ๘ ขุม ขุม ในภาษาไทยแปลว่า หลุม ในที่นี้ หมายถึง หลุมใหญ่มาก ลึกลงไปใต้ดิน ซ้อนกันเป็นชั้นกันลงไป เป็น ๘ ขุม ในไตรภูมิให้ชื่อขุมนรก เรียงลำดับกันลงไปตั้งแต่สูงไปหาต่ำ คือ สัญชีพนรก, กาลสูตนรก, สังฆาตนรก, โรรุพนรก, ตาปนรก, มหาตาปนรก, มหาอวีจินรก ชื่อที่ให้ไว้นี้นับได้ ๗ ขุมเท่านั้น ขาดหายไปขุมหนึ่ง คือ มหาโรรุพนรก ซึ่งเป็นขุมที่ ๕สัตว์อันเกิดในนรกเหล่านี้ มีอายุยืนนานนับไม่ถ้วน เพียงแต่สัตว์นรกขุมแรกก็มีอายุยืนได้ ๕๐๐ ปี เมืองนรก วัน ๑ กับ คืน ๑ ของเมืองนรก ได้ ๙ ล้านปี ของเมืองมนุษย์ ส่วนสัตว์นรกขุมอื่นที่อยู่ถัดไป มีอายุนับทวีคูณ จำนวนปีของนรกขุมแรก หรือ สองเท่าตัวเป็นลำดับไปจนนับไม่ถ้วนเรืองนับปีเมืองนรก เปรียบเทียบกับปีเมืองมนุษย์นี้ ที่พูดติดปากกันในพวกชาวบ้าน มักพูดกล่าวว่า ๑๐๐ ปี เมืองมนุษย์ เท่ากับ วัน ๑ กับ คืน ๑ ของเมืองสวรรค์ ๑๐๐ ปี เมืองสวรรค์ เท่ากับ วัน ๑ คืน ๑ ของเมืองนรก เท่านี้ยังไม่สะใจ ลางทีจำนวน ๑๐๐ ปี เปลี่ยนเป็น ๕๐๐ ปีก็มี อย่างจำนวนหลังนี้เห็นจะถูก เพราะ ๕๐๐ ปี เป็นจำนวนที่ถนัดปากมากกว่า ๑๐๐ ปี เพราะอะไรก็เป็น ๕๐๐ เช่น เกวียน ๕๐๐, โค ๕๐๐, พ่อค้า ๕๐๐, โจร ๕๐๐ ฯลฯ ที่สุดคำว่า โจร ๕๐๐ กล่าวแต่ ๕๐๐ เฉย ๆ ก็ใช้เป็นคำพูดดูหมิ่นกันได้<ในนรกทั้ง ๘ ขุมนี้ ที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทย คือ มหาอวีจินรก มักเรียกเพี้ยนและพูดกันสั้น ๆ ว่า นรกอเวจี คนสามัญเมื่อต้องการจะทำให้เขาเชื่อตน มักกล่าวคำเป็นเชิงสบถสาบานว่า “ถ้าพูดไม่จริง ขอให้ตกนรกอเวจีเถิด” หรือพูดย่อเป็นติดปากอย่างพล่อย ๆ ว่า “ให้ตกนรกซี” คือ หมายความว่า ให้ตกนรกอเวจีนี้เอง<BR><BR>คำว่า อวีจิ หรือเพี้ยนเป็น อเวจี แปลว่า ปราศจากคลื่น แปลอย่างนี้ไม่ได้ความสมกับที่เป็นชื่อนรกขุมก้นบึ้ง ท่านจึงแปลแก้ว่า “ปราศจากหยุดพัก” คือ ได้รับทุกข์ทรมานอย่างไม่มีสร่าง ไม่มีหยุด ซึ่งเป็นการแปลลากเข้าหาความ ฝูงสัตว์อันไปเกิดในนรกอเวจีนับว่าเป็นหนักที่สุด ต้องทนทุกข์ทรมานนานถึงสิ้นมหากัลป์หนึ่งจึงพ้น ระยะเวลามหากัลป์หนึ่งนานแสนนาน จนไม่อาจนับเป็นปีเดือนได้ ได้แต่อุปมาเหมือนว่ามีภูเขาลูกหนึ่ง สูงได้โยชน์หนึ่ง วัดโดยรอบเขาได้ ๓ โยชน์ “ถึงร้อยปีเอาผ้าทิพย์อันอ่อนบางดังควันมากวาดภูเขาแต่ละคาบ เมื่อใดภูเขานั้นราบเรียบเพียงแผ่นดิน จึงเรียกว่า มหากัลป์หนึ่งแล” กล่าวอธิบายความนานว่านานแสนนานด้วยวิธีอุปมาอย่างนี้ ของฝรั่งก็มี เช่นกล่าวว่า “สูงไกลขึ้นไปทิศเหนือในแดนแห่งสวิทยด (Svithjod) มีภูเขาหินอยู่เขาหนึ่ง สูงได้ร้อยไมล์ (๑๐ โยชน์) กว้างได้ร้อยไมล์ ทุกระยะพันปี มีนกน้อยตัวหนึ่ง เอาจะงอยปากมาลับที่เขานี้ครั้งหนึ่ง ถ้าหินที่เขานี้สึกหรอไปจนหมดสิ้น ก็เท่ากับเป็นวันหนึ่งของกัลป์หนึ่ง (Single day of eternity)”มหากัลป์หนึ่ง แบ่งเป็น ๕ อสงไขยกัลป์ อสงไขย แปลว่า กำหนดนับไม่ได้ เมื่อนับไม่ได้ แต่เอามานับรวมกันได้ถึง ๕ จำนวนนับไม่ได้ ก็เป็นมหากัลป์หนึ่ง ดังนี้ จึงนับว่า นานเหลือที่จะนับ โลกเรานี้ และรวมทั้งโลกอื่นในสกลจักรวาล เมื่อมีอายุได้กัลป์หนึ่งก็ต้องถูกไฟล้างราบ เรียกไฟที่ล้างโลกนี้ว่า ไฟบรรลัยกัลป์ เมื่อเกิดมีไฟไหม้อย่างใหญ่หลวง เช่น ในคราวมหาสงคราม ก็มักพูดเปรียบเทียบว่า “เหมือนไฟบรรลัยกัลป์”นรกใหญ่ ๘ ขุมนี้ มีกำแพงเหล็กแดงลุกเป็นไฟอยู่เสมอ ล้อม ๔ ด้าน รูปสี่เหลี่ยม ข้างบนก็เป็นเหล็กแดง พื้นล่างก็เป็นเหล็กแดง ลุกเป็นไฟอยู่เสมอทั้งข้างล่างข้างบนเหมือนกัน กำแพงทั้ง ๔ ด้าน ยาวด้านละ ๑,๐๐๐ โยชน์ หนา ๙ โยชน์ มีประตูเข้า ๔ ทิศ ๔ ประตู ส่วนข้างบนและพื้นล่างมีความหนา ๙ โยชน์เหมือนกันนรกใหญ่แต่ละขุม มีนรกบริวาร เรียกในหนังสือไตรภูมิว่า นรกบ่าว ล้อมอยู่ด้านละ ๔ ขุม นรกใหญ่ขุมหนึ่งจึงมีนรกบ่าว ๑๖ ขุม นรกใหญ่ ๘ ขุม ก็มีนรกบ่าวรวมกันได้ ๑๒๘ ขุม รวมกับนรกใหญ่ ๘ ขุม เบ็ดเสร็จทั้งขุมเล็กขุมใหญ่ ก็เป็นนรก ๑๓๖ ขุม ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีนรกเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน นรกบ่าว ๑๖ ขุมนี้ มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน แต่มีชื่อรวมเรียก อุสุทธ หรือ อุสสทนรก แปลว่า นรกมีสิ่งที่ทิ้งแล้ว เช่น มูตรคูถ ถ่านเถ้าไฟ เป็นต้นก่อนที่จะฟังเรื่องราวต่อไป ใคร่ขอนำเอาชื่อ และเรื่องราวเกี่ยวกับนรกขุมย่อยทั้ง ๑๖ ขุม มาแทรก เนื่องจาก ท่านเสฐียร โกเศศ ไม่ได้กล่าวเอาไว้ทั้งหมด คงกล่าวถึงนรกขุมย่อย เพียง ๒ ขุม คือ โลหกุมภีนรก และ โลหสิมพลีนรก เท่านั้น ซึ่งจะได้นำมาเสนอต่อในตอนท้ายนรกขุมย่อย (อุสสทนรก) หรือ นรกบ่าว นรกบริวาร มีดังนี้๑. กุกกุลนรก มีเพลิงเรืองแสงร้อนแรงรุ่งโรจน์โชตนาการ สัตว์ถูกฝังจมลงไปละลาย ไปเหมือนหยดน้ำผึ้งที่ถูกยกขึ้นแล้ว ๒. ปีฬกุณปนรก ...บางพวก (หนี) ออกมาจากกุกกุลนรก เห็นเหมือนสระโบกขรณี ก็พากันโผ ลงสู่น้ำมีพวกหนอนปากคมเหมือนหอกรุมกันเจาะไชผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก สัตว์เหล่านั้น หนีขึ้นจากปีฬกุณปนรก เห็นหมู่ไม้งามเขียวชอุ่ม มีใบร่มปิด ก็รีบพากันเข้าไปอาศัย กลับมีฝูงกา แร้ง หมาจิ้งจอก จิกตี กัดกิน๓. อสิปัตตวนนรก ฝูงสัตว์หนีออกจากปีฬกุณปนรก เห็นต้นไม้ร่มเงาเหมือนป่ามะม่วงก็ พากันเข้าไป ที่แท้คือ อสิปัตตวนนรก หมายถึงนรกที่มีต้นไม้มีใบเป็น ดาบ ทางเข้าก็เต็มไปด้วยมีดโกนขวากหนาม เมื่อเข้าไปแล้วก็มีลมพัด เอา (ใบไม้) หอกดาบ ลูกศรให้ตกลงเชือดเฉือนร่างกาย๔.เวตตรณีนรก เมื่อสัตว์ออกมาจากอสิปัตตวนนรก พบกับนรกขุมนี้ มีแม่น้ำเต็มไปด้วยน้ำกรด พอพวกสัตว์โผลงไปสู่แม่น้ำนี้ ก็ถูกน้ำกัดผิวเนื้อย่อย กระดูกเป็นชิ้นน้อยใหญ่ เป็นโครงกระดูกลอยฟ่อง ไม่มีเนื้อ มีเอ็น คุมไว้<อุสสทนรกทั้ง ๔ นี้ เป็นนรกบริวาร ตั้งอยู่ที่ประตู ทั้ง ๔ ทิศ ของมหานรก ๘ ขุม อุสสทนรก จึงมี ๓๒ ขุม ทั้งนี้ย่อความตามคัมภีร์โลกบัญญัตถึงนรกขุมย่อย ๑๖ ขุม
    (มีต่อ ๔)
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    Hell.jpg
    บันทึกนรกภูมิ
    วันพฤหัสบดีที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๒
    ครั้งที่ ๑

    ผมนั่งกรรมฐานอธิษฐานจิตไปสู่นรกภูมิ บรรยากาศรอบ ๆ ตัวผม มืดสลัว รอบบริเวณนั้น มีไอชื้น และมีกลิ่นอับ เหม็นเน่า ลอยอยู่ทั่ว ผมมองไปทางขวามือ เห็นยมฑูตองค์หนึ่งเดินตรงเข้ามา และหยุดอยู่ตรงข้างหน้าผม ลักษณะการแต่งกายของยมฑูต นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง ไม่สวมเสื้อ ที่แขนมีผ้าถัดสีแดงสวมอยู่ หน้าตาดุ มีหนวด
    ผมบอกกับยมฑูตว่า ผมต้องการพบกับพระภิกษุที่ตกนรกขุมนี้ แล้วยมฑูตก็นำทางผมไป ทางข้างหน้าที่เดินไป ยังคงเป็นสภาพเดิม บรรยากาศสลัวมืด มีกลิ่นเหม็นสาบคล้ายกลิ่นซากศพ จากทางนี้มองออกไปข้างหน้า มีแสงสว่างสลัว ๆ อยู่เบื้องหน้า ทางขวามือของเส้นทางที่ผมเดินไปมีป้ายชื่อแดนปักไว้ ผมเดินไปอีกสักครู่ก็มองเห็นยมฑูตสององค์ กำลังนำพระภิกษุรูปหนึ่งเดินตรงมาทางผม ลักษณะการแต่งกายของพระภิกษุรูปนี้ แต่งกายสวมจีวร ที่คอสวมสร้อยประคำ ร่างกายดูอิดโรย ซีดเซียว ที่หน้าผากของพระภิกษุรูปนี้มีรอยสักด้วยหมึกสีแดงว่า “นรกขุม 7”
    “มึงทำกรรมชั่วอะไรเอาไว้บนโลกมนุษย์ มึงพูดไปให้หมด อย่าปิดบังนะมึง” ยมฑูตตวาดพระภิกษุรูปนั้น
    พระภิกษุรูปนี้ เล่าให้ผมฟังว่า เขาเป็นคนจังหวัดกาฬสินธุ์ บวชเป็นพระมาประมาณ 15 ปี กระทำความผิดไว้มากมาย ได้เคยล่อลวงหญิงสาวคนหนึ่งมาข่มขืนแล้วทอดทิ้ง และหนีมาบวช ด้วยเพราะอารมณ์ชั่ววูบทำให้สร้างบาปไว้ในพระพุทธศาสนา โดยได้ขโมยเงินที่ชาวบ้านนำมาทำบุญไปใช้บำเรอความสุขส่วนตัว ไม่สนใจกิจของสงฆ์ จึงทำให้เขาต้องรับทุกข์ทรมานเช่นนี้
    “ยังมีอีก มึงว่าไปให้หมด” ยมฑูตตะคอกใส่พระภิกษุ เสียงดัง
    วิญญาณพระรูปนี้ได้เล่าให้ผมฟังอีกว่า เมื่อสมัยบวชเป็นพระภิกษุได้ทำน้ำอสุจิให้เคลื่อน กรรมนี้ ทำให้เขาต้องถูกลงโทษในนรก
    ผมได้บอกกับยมฑูตว่า ผมอยากเห็นสภาพการลงโทษพระภิกษุรูปนี้ เพื่อจะได้นำไปเขียนให้มนุษย์ได้รู้ถึงบาปกรรม
    จากนั้น ยมฑูตทั้งสองก็ได้เอาพระภิกษุรูปนี้ไปลงโทษ เมื่อถึงสถานที่ลงโทษ ยมฑูตก็ดึงจีวรของพระภิกษุรูปนี้ออก หน้าตาของพระภิกษุแสดงถึงความตกใจและหวาดกลัว และยมฑูตก็ได้ผลักพระภิกษุล้มนอนลงบนพื้นดิน พร้อมกับพูดว่า “มึงทำอย่างที่มึงเคยทำ”
    ภิกษุหนุ่มรูปนั้นก็ได้กระทำน้ำอสุจิให้เคลื่อน ทางด้านซ้ายมีสุนัขอยู่ตัวหนึ่ง ตัวสูงเหนือเข่าเล็กน้อย ขนสีน้ำตาล ตาสีมันวาว ท่าทางดุร้าย มันได้วิ่งเข้ามากัดอวัยวะเพศของพระภิกษุรูปนั้น
    “โอ้ย ๆ กลัวแล้วครับ ผมกลัวแล้วครับ”
    พระภิกษุรูปนั้นร้องด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับดิ้นไปดิ้นมาด้วยความเจ็บปวดและทรมาน ที่ใบหน้ามีน้ำตาไหลออกมา สุนัขได้กัดอวัยวะเพศของพระภิกษุรูปนั้นจนแหลก และยมฑูตก็ได้นำสุนัขตัวนั้นไป
    ต่อจากนั้น ยมฑูตก็ได้นำพระภิกษุรูปนี้ไปยังที่แห่งหนึ่ง แล้วผลักพระภิกษุล้มลงบนพื้น ข้างหน้าของพระภิกษุรูปนี้ มีแสงรัศมีสว่าง สีน้ำตาลแผ่ออกมารอบ ๆ เมื่อรัศมีของแสงได้ส่องมาถูกตัวของพระภิกษุ พระภิกษุรูปนี้ก็ได้ดิ้นทุรนทุรายเหมือนได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และร้องครวญครางอย่างโหยหวน เมื่อผมเพ่งไปในใจกลางรัศมีนั้น ก็มองเห็นเป็นผลึกสีชาก้อนใหญ่ วางอยู่บนหิน
    ผมไต่ถามจากยมฑูตว่า ทำไมพระรูปนี้ จึงต้องรับกรรมในลักษณะนี้
    ยมฑูต ได้เล่าให้ผมฟังว่า พระภิกษุรูปนี้ ไม่ปฏิบัติตามวินัยสงฆ์ ต้องอาบัติ จึงได้รับกรรมเช่นนี้
    การลงโทษพระภิกษุยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นี้ ยมฑูตได้นำพระภิกษุเดินตรงไป สภาพข้างหน้าที่ปรากฏ เป็นบ่อน้ำกรดหลายบ่อ ผมมองเห็นผีอยู่ในบ่อมากมาย
    ยมฑูตได้ทิ้งตัวพระภิกษุลงกับพื้น แล้วสั่งให้ พระภิกษุรูปนั้น เอามือแช่ลงไปในบ่อ
    “มึงเอามือลงไปแช่ในบ่อเดี๋ยวนี้ ” ยมฑูตสั่งด้วยเสียงที่ดุและเฉียบขาด
    ผมได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังอยู่ทั่วบริเวณนั้น วิญญาณเหล่านั้นกำลังถูกยมฑูตลงโทษ บางตัวที่เอามือแช่ลงไปในบ่อได้รับความเจ็บปวด ร้องออกมาเสียงดังและโหยหวน ตาเหลือก หน้าตาบูดเบี้ยว เนื้อที่ติดอยู่กับกระดูกก็ละลายไปกับน้ำกรด เหลือแต่กระดูกสีขาวโพลน พระภิกษุรูปนี้รับผลกรรมที่ได้นำเงินอันเป็นทรัพย์สินที่ประชาชนบริจาคให้กับไว้ไปใช้ส่วนตัว จึงต้องได้รับกรรมเช่นนี้
    ความเจ็บปวดที่วิญญาณนั้นได้รับ เสียงร้องที่ดังโหยหวนด้วยความเจ็บปวด มีสภาพทุกขเวทนา เป็นผลกรรมที่จะต้องได้รับ เป็นกรรมที่ตนเองได้กระทำขึ้นมาทั้งสิ้น
    จากนั้น ยมฑูตก็ได้นำวิญญาณพระภิกษุรูปนี้ มาอยู่ตรงหน้าผม สภาพของพระภิกษุรูปนี้เหมือนซากศพเดินได้ก็ไม่ปาน
    ผมได้สอบถามพระภิกษุรูปนี้ ว่ามีความรู้สึกเช่นไรที่ได้รับผลกรรมอย่างนี้ในนรก
    “มันสุดแสนจะทรมาน ข้าวก็ไม่ได้กิน ได้กินแต่ขี้วันละ 5 ขัน ไม่กินก็ไม่ได้ ยมฑูตก็บังคับ” พระภิกษุเล่าให้ผมฟังด้วยสภาพร้องไห้น้ำตานองหน้า
    ผมได้จดจำเรื่องราวต่าง ที่ได้พบในครั้งนี้เอาไว้ และได้อธิษฐานจิต “ขอแบ่งบุญให้แก่วิญญาณพระภิกษุรูปนี้ด้วย”
    (มีต่อ ๕)
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    วันอังคารที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๒
    ครั้งที่ ๒


    ผมนั่งกรรมฐานอธิษฐานจิตไปสู่นรกภูมิ สภาพรอบ ๆ ตัวผม มีต้นไม้สูงใหญ่หลายต้น ต้นไม้นี้เป็นต้นไม้กลที่ปลูกขึ้นเพื่อป้องกันวิญญาณหลบหนี เหนือขึ้นไปบนกิ่งไม้ ยังมี “อีกา” เกาะอยู่ ผมเดินออกจากบริเวณต้นไม้ใหญ่ออกมา
    เมื่อผมเดินพ้นออกมา ผมมองเห็นยมฑูตยืนอยู่สององค์ ลักษณะการแต่งกายของยมฑูตสององค์นี้ สวมกางเกงขาสั้นสีกากี ไม่สวมเสื้อ รูปร่างบึกบึน ยมฑูตองค์หนึ่ง มีผมสีทองออกน้ำตาล ไว้หนวดเครา มีขนขึ้นอยู่ทั่วบริเวณหน้าอก ที่แขนขวาของยมฑูตจะมีเครื่องหมายบอกไว้ว่าอยู่นรกขุมไหน ที่คอและเท้ามีห่วงเหล็กคล้องอยู่ ห่วงเหล็กจะแสดงถึงยศของยมฑูต ยมฑูตอีกองค์หนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมดำหยิก ยมฑูตทั้งสองนี้เป็นยมฑูตของประเทศอังกฤษ
    ข้าง ๆ ยมฑูต มีวิญญาณของผู้หญิงสองตัว มีลักษณะของอวัยวะเพศที่ใหญ่ผิดปกติ ผมมองเห็นวิญญาณผู้หญิงตัวหนึ่ง กำลังประกอบกิจทางเพศกับวิญญาณผู้หญิงอีกตัวหนึ่ง
    ยมฑูตได้บอกให้ผมทราบว่า อดีตชาติของหญิงสองนี้ มีอาชีพขายบริการทางเพศ
    ต่อมา ยมฑูตก็ได้นำวิญญาณของผู้หญิงสองตัวนี้ ไปยังสระน้ำกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง เมื่อวิญญาณทั้งสองมองเห็นสระน้ำ ก็วิ่งลงไปในสระ และถูกน้ำกรดกัดร่างกายจนเละ และส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ทุรนทุราย ใบหน้าบูดเบี้ยว วิญญาณทั้งสองกระเสือกกระสนขึ้นมาจากสระน้ำกรดนั้น สภาพที่ผมเห็น คือ ดวงตาหลุดออกมานอกเบ้า ปาก หู ขา ขาดหายไป เนื่องจากถูกน้ำกรดกัดร่างกาย ผมมองเห็นสภาพของวิญญาณทั้งสองด้วยความรู้สึกที่หดหู่ใจ
    จากนั้น วิญญาณทั้งสองก็ถูกนำตัวไปยังบ่อที่มีหนอนกัดกินเนื้อหนัง รับผลกรรมของเขาต่อไป



    [​IMG]
    วันพุธที่ ๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๒
    ครั้งที่ ๓



    ผมนั่งกรรมฐานอธิษฐานจิตไปสู่นรกภูมิ ณ เบื้องล่างในนรกขุมนี้ ผมมองเห็นยมฑูตสององค์กำลังลงทัณฑ์วิญญาณชายหญิง คู่หนึ่งอยู่
    ผมได้สัมภาษณ์วิญญาณทั้งสองถึงบาปกรรมที่ได้ก่อไว้ ซึ่งวิญญาณทั้งสองได้เล่าให้ผมฟังว่า
    ผู้หญิงตัวนี้ กระทำตัวหลอกล่อเงินจากผู้ชาย โดยใช้ร่างกายเข้าแลก และทำให้ผู้ชายลุ่มหลง ส่วนผู้ชายนั้น กระทำกรรมร่วมกันผู้หญิงตัวนี้
    ผมเดินต่อไปข้างหน้า สภาพอากาศรอบ ๆ นั้นมีความรู้สึกเย็น ผมมองเห็นต้นงิ้ว และมีวิญญาณชายหญิงหลายตัวกำลังปีนป่ายอยู่บนต้นงิ้ว มีวิญญาณผีบางตัวถูกหนามของต้นงิ้วเสียบทะลุกลางอกก็มี และมี “อีกาปากเหล็ก” หลายตัวบินโฉบเข้ามาจิกวิญญาณนั้นจนร่วงตกสู่พื้นดิน ยมฑูตก็ใช้น้ำทิพย์ที่ถืออยู่พรมบนร่างกาย สักครู่วิญญาณนั้นก็กลับฟื้นขึ้นมาได้ และถูกลงโทษเช่นเดิมอีก ถ้าหากวิญญาณนั้นไม่กล้าปีนขึ้นต้นงิ้ว ก็จะถูกยมฑูตใช้อาวุธทำร้าย
    ระหว่างทางที่ผมเดินไป ได้ยินเสียงร้องครวญครางของวิญญาณที่ถูกลงโทษ และมีเสียงด่าอย่างหยาบ ๆ ของยมฑูต ผมเดินไปสักครู่ก็ถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ผมมองเห็นกระทะขนาดใหญ่ มีไฟสุมเป็นเชื้อเพลิงอยู่ใต้กระทะ เปลวไฟนั้นลุกโชนอย่างแรง มีวิญญาณอยู่ในกระทะหลายตัว บางตัวพยายามปีนป่ายออกนอกกระทำ ก็จะถูกยมฑูตไล่ให้กลับไปลงกระทะ ตกอยู่ในสภาพทุกข์ทรมาน ผิวหนังเปื่อยลอกออกมา วิญญาณเหล่านั้นร้องไห้ครวญครางเสียงดังระงม วิญญาณบางตัวหมดสติจมลงไปในน้ำเดือด ก็จะถูกยมฑูตเอาตัวออกมาทำให้ฟื้น และนำตัวไปลงโทษเช่นเดิมอีก
    สภาพของวิญญาณที่รับโทษเหล่านี้ เนื่องจากผลกรรมชั่วที่กระทำไว้
    “ดวงตาสวรรค์นั้นมี” มองเห็นการกระทำของมนุษย์ จงอย่าคิดว่า สิ่งที่ตนเองทำนั้น ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครหลีกหนีกรรมได้…
    (มีต่อ ๖)
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    วันจันทร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๒
    ครั้งที่ ๔

    ผมนั่งกรรมฐานอธิษฐานจิตไปสู่นรกภูมิ สภาพโดยรอบที่ผมยืนอยู่ มืดสลัว มีความเย็นชื้น รอบ ๆ บริเวณที่ผมยืนอยู่มีกอหญ้าขึ้นอยู่ประปราย ผมเดินตรงไปตามป้ายที่บอกเส้นทางไว้
    เมื่อผมเดินไป ผมมองเห็นยมฑูตกำลังลงโทษวิญญาณอยู่ ผมจึงได้บอกยมฑูตเพื่อขอสัมภาษณ์วิญญาณที่ตกนรก และนำไปเขียนเล่าให้มนุษย์ได้ทราบ
    ยมฑูตได้นำทางผมไป บริเวณนั้นมีกลิ่นเหม็นสาบ และผมได้เห็นเปรตผู้หญิงตัวหนึ่ง มีรูปร่างสูงประมาณเกือบเท่าต้นตาล ลำตัวผอมลีบ นัยน์ตากลมโต เต้านมเหี่ยวแห้งจนติดหน้าอก ผมเผ้ารุงรัง สภาพร่างกายเน่าเปื่อย ตามเนื้อตัวมีน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมา เปรตผู้หญิงตัวนี้มีอวัยวะเพศชายงอกออกมาจากอวัยวะเพศของเปรต ที่ขาของเปรตตัวนี้มีโซ่ขนาดใหญ่ล่ามติดไว้อยู่กับขาทั้งสองข้าง ปลายโซ่ผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ข้าง ๆ ที่พื้นข้าง ๆ เปรต มีขันใบใหญ่วางอยู่ 3 ขัน
    ยมฑูตได้บอกผมว่า “เบื้องหลังของผู้หญิงนี้เป็นผู้หญิงบริการในสถานเริงรมย์แห่งหนึ่ง ใช้ความสวยหลอกล่อผู้ชายให้มาลุ่มหลง และได้หลอกลวงทรัพย์สินของผู้ชายมาปรนเปรอความสุขของตัวเอง มีผู้ชายมากมายที่หลงใหลในความสวยของผู้หญิงนี้ ก็จะถูกหลอกล่อให้อยู่กินด้วยกัน แล้วใช้เงินของผู้ชายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ไม่มีความละอาย เกรงกลัวต่อบาปกรรมที่ทำ และเมื่อผู้ชายใดไม่สามารถให้ความสุขกับผู้หญิงนี้ได้อีก ก็จะถูกผู้หญิงนี้ทอดทิ้งไปพร้อมกับดูแคลนอย่างสิ้นเยื่อใย”
    ผมมองเห็นใบหน้าของเปรตตัวนี้ เศร้าสลด มีน้ำตาไหลออกมา และส่งเสียงร้องสะอื้น
    ผมเดินต่อไปเพื่อสัมภาษณ์วิญญาณตัวอื่นอีก เส้นทางที่ผมเดินมาเริ่มมืด คล้าย ๆ กับเข้าไปในถ้ำ มีเสียงซ่าดังขึ้นเมื่อเท้าของผมเหยียบย่างลงพื้นดิน ข้างหน้าของผมมีป้ายบอกชื่อสถานที่เอาไว้
    เมื่อผมเดินผ่านป้ายไปได้สักครู่ ก็มองเห็นโพรง ๆ หนึ่ง มีลักษณะคล้ายถ้ำเล็ก ๆ ใหญ่พอประมาณ มีความกว้างขนาดคนเข้าไปอยู่ได้ ที่หน้าโพรงมียมฑูตยืนถืออาวุธ
    ผมได้บอกกับยมฑูตว่า ผมต้องการสัมภาษณ์วิญญาณที่ตกนรก เพื่อนำไปเขียนบอกเล่าให้มนุษย์ได้ทราบ
    “เฮ้ย ไอ้ผีโพรง มึงออกมานี่หน่อยซิ” ยมฑูตเรียกผีในโพรงนั้นพร้อมกับกระตุกโซ่
    ผมมองเห็นผีผู้ชายตัวหนึ่ง ไม่ใส่เสื้อผ้า ค่อย ๆ คลานออกมาก ที่มือและขาของผีตัวนี้ มีโซ่ล่ามเอาไว้ สภาพร่างกายผอมแห้ง ผิวหนังเป็นปุ่ม ๆ คล้ายเป็นโรคผิวหนัง ที่คอมีป้ายบอกชื่อผีตัวนี้ว่า “ผีโพรง” ลักษณะของหูของผีตัวนี้ ใหญ่ผิดปกติ มีขนาดเท่ากับพัดที่ใช้พัดเตาถ่านหุงข้าวตามบ้านเรือน ที่รูหูสองข้างของผีมีน้ำหนองไหลเยิ้มออกมา หูทั้งสองข้างของผีไม่ได้ยินเสียงอะไร ดวงตาพร่ามัว ไม่สามารถสู้แสงสว่างได้ มือทั้งสองข้างบวมพอง มีรอยแผลอยู่มากมาย
    ผมได้ถามผีโพรงถึงบาปกรรมที่เคยก่อ ด้วยอำนาจจิตของผม เพราะหูของผีโพรงตัวนี้ ไม่ได้ยินเสียงอะไร
    ผีโพรงตัวนี้ได้เล่าให้ผมฟังว่า
    “เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ เขาเป็นลูกของคนมีอันจะกินคนหนึ่ง เนื่องด้วยมีฐานะร่ำรวย มีกิจการงานมากมาย แต่เขาผู้เป็นลูก กลับมิได้สนใจใยดีในกิจการของพ่อแม่เลย เอาแต่เที่ยวเตร่สนุกเฮฮากับเพื่อนฝูงทุกเช้าค่ำ จนแม่ตรอมใจตาย เขาก็ยังเที่ยวอยู่เหมือนเดิม ซ้ำยังเที่ยวหนักกว่าเก่า เพราะถือว่า ไม่มีใครมาคอยควบคุมเขาอีกแล้ว กิจการของครอบครัวก็เริ่มทรุด พ่อก็ล้มป่วย ญาติ ๆ ก็เริ่มเข้ามาครอบครองทรัพย์สมบัติของพ่อ ในบั้นปลายสุดท้ายของชีวิตพ่อ พ่อได้เรียกให้เขามาอบรมสั่งสอนถึงเรื่องต่าง ๆ แต่เขาไม่สนใจที่จะฟัง กลับทำหูทวนลม อยู่มาวันหนึ่งเขาได้เมาเหล้ากลับมา และเอ่ยปากขอเงินกับพ่อ เพื่อไปเล่นการพนัน แต่พ่อไม่ให้ เขาจึงใช้กำลังทำร้ายพ่อบังเกิดเกล้าด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วหลบหนีออกจากบ้าน จากนั้นไม่นานพ่อเสียชีวิต ทรัพย์สินต่าง ๆ ของพ่อที่เหลือก็ถูกเขาล้างผลาญจนหมดสิ้น เพื่อนที่เขาเคยให้ความช่วยเหลือ กลับปฏิเสธเมื่อเขาร้องขอให้ช่วย ทุกคนหมางเมินอย่างสิ้นเยื่อใย เขาเริ่มรู้แล้วว่าบาปกรรมที่ได้เคยกระทำกับพ่อแม่นั้นได้มาถึง แล้ว ชีวิตสุดท้ายของเขาต้องเป็นขอทาน และได้ตายเพราะทนความหิวไม่ไหว ซากศพของเขาถูกนำไปฌาปนกิจโดยผู้ใจบุญเรี่ยไรเงินค่าทำศพให้ ทุกวันที่พระสวดพระอภิธรรม เขาจะถูกนำตัวไปฟังสวดพระอภิธรรมจนถึงวันสุดท้ายของการฌาปนกิจ และได้ถูกตัดสินให้มารับโทษในนรกขุมนี้
    ผลกรรมที่ทำให้หูทั้งสองข้างโตผิดปกติ และใช้การไม่ได้ เพราะบุพการีอบรมสั่งสอน แต่แกล้งทำเป็นหูทวนลม มือทั้งสองข้างที่เป็นแผลบวมพอง เพราะกรรมที่เคยทำร้ายพ่อ
    ผมได้ฟังเรื่องราวของผีโพรงตัวนี้ และพยายามจดจำไว้ เพื่อนำมาเขียนบอกเล่าให้มนุษย์ได้ทราบ…
    (มีต่อ ๗)
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    วันศุกร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๒
    ครั้งที่ ๕

    ผมนั่งกรรมฐานอธิษฐานจิตไปสู่นรกภูมิ “ขอโปรดสัตว์ในนรก”
    เบื้องล่างบนพื้นนรกภูมิ ผมมองเห็นยมฑูตสององค์ แต่งกายสวมกางเกงขาสั้นสีแดง และถืออาวุธเป็นหอก เป็นยมฑูตชาวจีน ซึ่งผมได้บอกกับยมฑูตทั้งสองว่า ผมต้องการสัมภาษณ์วิญญาณที่ตกนรก และยมฑูตก็ได้นำทางผมเดินไปข้างหน้า
    ผมเดินไปสักครู่หนึ่ง ก็ได้กลิ่นคาวเลือดลอยลมมาจาง ๆ กลิ่นคาวเลือดนี้โชยมาจากซากผีที่อยู่บริเวณนั้น ข้างหน้าผมมีบ่อน้ำขนาดใหญ่บ่อหนึ่ง น้ำในบ่อเดือดจัดจนมีฟองอากาศอยู่ทั่วบ่อ และมีควันสีขาวลอยเหนือผิวน้ำ ผมสังเกตความร้อนของน้ำในบ่อ คงจะร้อนมาก ๆ รอบ ๆ บ่อมีเส้นสีขาววงอยู่โดยรอบ ซึ่งเป็นเส้นเตือนไม่ให้เข้าล้ำเส้นสีขาวนี้ไป น้ำในบ่อนี้ เป็นน้ำกรด เป็นสถานที่ลงโทษมนุษย์ที่คดโกง หรือเบียดเบียนทรัพย์สินของผู้อื่นโดยเจตนาที่จะเอาทรัพย์นั้นมาเป็นของส่วนตัว
    ยมฑูตสององค์ เดินข้ามาหาผม ยมฑูตองค์ซ้ายมือของผม ถืออาวุธมีลักษณะยาวเหมือนหอก คมอาวุธเป็นลักษณะคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ที่หัวของยมฑูตองค์นี้สวมเขาไว้ด้วย ส่วนยมฑูตอีกองค์หนึ่งแต่งกายคล้ายกัน แต่ไม่มีเขาอยู่บนหัว ถือหอกยาวเป็นอาวุธ
    ยมฑูตทั้งสองได้นำวิญญาณผีตัวหนึ่ง เดินเข้ามาหาผม เป็นผู้ชาย อายุประมาณ สามสิบเศษ ไม่เกินสี่สิบ ไม่สวมเสื้อผ้า หน้าตาหมองเศร้า บนใบหน้ามีหนวดเคราขึ้นบาง ๆ
    “มึงลงไปในบ่อนั้น เดี๋ยวนี้” ยมฑูตร้องตวาด พร้อมกับชี้มือไปที่บ่อ
    แต่วิญญาณนี้ ไม่กล้าลงไปในบ่อ ยมฑูตจึงใช้เท้าเตะท้องของวิญญาณนั้น วิญญาณตัวนั้น ก็ล้มกลิ้งตกลงไปในบ่อ มีเสียงเหมือนวัตถุตกลงไปในน้ำ สักครู่ในน้ำตรงที่วิญญาณนั้นตกลงไป ก็มีฟองอากาศพรูขึ้นมา แล้วผมก็ได้เห็นโครงกระดูกขาวโพลน มีเนื้อเยื่อติดโครงกระดูกนั้น
    ยมฑูตองค์หนึ่งใช้หอกที่ถือ ดึงโครงกระดูกขึ้นมาจากบ่อน้ำ และวางบนพื้นดิน ยมฑูตอีกองค์หนึ่งก็ได้เอาน้ำทิพย์มาราดลงไปที่โครงกระดูกนั้น จากโครงกระดูกก็แปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างเดิมของวิญญาณชายผู้นั้น ที่มีเนื้อหนังปกติ
    ผมได้สัมภาษณ์วิญญาณตัวนี้ ผมได้ถามว่า เมื่อสมัยที่เป็นมนุษย์ เขาได้เคยทำกรรมอะไรไว้ จึงต้องมาตกนรกรับกรรมที่ขุมนี้ ซึ่งวิญญาณชายผู้นี้ ได้ได้เล่าให้ผมฟังว่า
    “เอ่อ…เอ่อ…อ” ไม่มีเสียงพูดออกมา และยมฑูตก็ได้เอาน้ำให้วิญญาณตัวนี้ดื่ม
    เขาเล่าว่า เขาเป็นชาวสิงคโปร์ ครั้งหนึ่งได้ร่วมทำธุรกิจกับญาติของตนเอง จนมีกำไรพอที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวได้ แต่ด้วยความโลภของเขา จึงได้ยักยอกเงินส่วนหนึ่งของบริษัทมาเป็นของตัว โดยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ต่อมาธุรกิจที่ทำก็ล้ม ญาติคนนั้นก็ต้องขายบ้าน รถ และทรัพย์สินอื่นเพื่อผ่อนใช้หนี้ ต่อมาเขาก็ได้อพยพย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ภายหลังก็ได้ทราบข่าวว่า ญาติคนนี้ได้เสียชีวิตลงด้วยความตรอมใจ ครอบครัวของเขาต้องแยกย้ายที่อยู่ นับเป็นความผิดของเขาที่ได้ก่อไว้อย่างมหันต์ และเมื่อเขาตาย ก็ได้รับโทษ ชดใช้บาปกรรมที่ของเขาในนรกขุมนี้
    วิญญาณชายนี้ ได้สารภาพความผิดที่เขาได้ก่อ และได้ให้คำสัตย์ต่อสวรรค์ว่า เขาจะไม่ประพฤติเยี่ยงเดิมอีก และจะพยายามสร้างกรรมดีให้ปรากฏ เพื่อชดใช้กรรมที่ก่อไว้ในชาติภพนี้ ........
    :- https://vipassana.de.tl/40-&#3614;&...#3592;&#3592;&#3640;&#3619;&#3634;&#3594;.htm
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    อยู่บ้านก็ได้บุญ ทำให้ได้ทุกๆ วันยิ่งดี!! เพียงน้ำ1แก้ว เกิดอานิสงส์ 10อย่าง

    เผามันส์ เผาเผือก
    Apr 17, 2021
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    Ujjuttara and the queen Samavati.jpg
    นางขุชชุตรา
    ประวัติ นางขุชชุตตรา

    เอตทัคคอุบาสิกาผู้เลิศทางพหูสูต

    นางขุชชุตตราอุบาสิกาผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของอุบาสิกาทั้งหลายผู้เป็นพหูสูต ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน คือตลอดเวลาที่พระศาสดาประทับอยู่ในกรุงโกสัมพี อุบาสิกาได้ไปยังสำนักพระศาสดาตามกาลอันสมควร ได้ฟังธรรมแล้ว กลับไปภายในราชสำนักของพระเจ้าอุเทน เพื่อจะแสดงธรรมตามที่ได้ฟังมาแก่สตรีอริยสาวิกา ๕๐๐ นาง อันมีพระนางสามาวดีเป็นประมุข ในเวลาต่อมานางจึงกลายเป็นผู้ทรงจำพระไตรปิฏก

    ไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาในการเป็นเอตทัคคะในเรื่องดังกล่าวไว้ตลอดแสนกัปอีกด้วย

    ในอรรถกถาบางแห่งกล่าวว่า นางเป็นอัครอุบาสิกา ๑ ใน ๒ คนของพระผู้มีพระภาคเจ้า อัครอุบาสิกาอีกท่านหนึ่งก็คือคือ มารดาของนันทมาณพ ชื่อ เวฬุกัณฏกี (๑) รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติของท่านมีตามตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้

    ตั้งความปรารถนาไว้ในอดีต
    ดังได้สดับมา นางขุชชุตตราอุบาสิกานี้ ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ แล้วประทับอยู่ในเมืองหงสาวดี นางได้บังเกิดอยู่ในตระกูลหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งนางได้ไปยังอารามพร้อมกับอุบาสิกาอื่น ๆ เพื่อฟังเทศนาของพระศาสดา นางเห็นพระศาสดาทรงแต่งตั้งอุบาสิกาคนหนึ่งไว้ในเอตทัคคะผู้เป็นพหูสูต จึงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไปเพื่อปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง ในสมัยพระพุทธเจ้าในเบื้องหน้า
    ฝ่ายพระศาสดาก็ทรงพยากรณ์อุบาสิกานั้นว่า ในอนาคตกาล นางจักได้เป็นอุบาสิกา ผู้เป็นสาวิกาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโคดม จักเป็นผู้เลิศในบรรดาอุบาสิกาผู้เป็นพหูสูตด้วยกัน นางเมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ดังนั้น จึงหมั่นกระทำกุศลจนตลอดชีวิตแล้ว ก็ไปบังเกิดในเทวโลก ครั้นเมื่อจุติจากเทวโลกแล้ว ก็มาบังเกิดในหมู่มนุษย์อีก เมื่อนางท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลก และมนุษยโลกอย่างนี้แล ล่วงไปได้หนึ่งแสนกัป

    ในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า
    ส่วนในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า นางบังเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงพาราณสีคนหนึ่ง เวลาบ่าย นั่งส่องกระจกแต่งตัวอยู่ ลำดับนั้น พระเถรีผู้เป็นพระขีณาสพรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยของนางได้ไปเพื่อเยี่ยมนาง จริงอยู่ นางภิกษุณี แม้เป็นพระขีณาสพก็เป็นผู้ปรารถนาเพื่อจะเห็นตระกูลอุปัฏฐากในเวลาเย็น ก็ในขณะนั้นหญิงรับใช้ไร ๆ ในสำนักของธิดาเศรษฐีไม่มีเลย นางจึงกล่าวว่า “ดิฉันไหว้ เจ้าข้า โปรดหยิบกระเช้าเครื่องประดับนั่น ให้แก่ดิฉันก่อน“ พระเถรีคิดว่า “ ถ้าเราจะไม่หยิบกระเช้าเครื่องประดับนี้ให้แก่นางไซร้ นางจักทำความอาฆาตในเราตายแล้วจักไปเกิดในนรก แต่ว่า ถ้าเราจักหยิบให้ นางจักเกิดเป็นหญิงรับใช้ของคนอื่น แต่ว่า เพียงความเป็นผู้รับใช้ของคนอื่น ย่อมดีกว่าความเร่าร้อนในนรกแล “ พระเถรีนั้นอาศัยความกรุณาจึงได้หยิบกระเช้าเครื่องประดับนั้นให้แก่นาง ด้วยกรรมนั้น นางได้บังเกิดเป็นทาสีของคนอื่นสิ้น ๕๐๐ ชาติ

    ในสมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น
    ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระราชาได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ให้ฉันอยู่ในพระราชวังเนืองนิตย์ โดยมีหญิง ๕๐๐ คน คอยบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ในพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๘ พระองค์นั้น พระองค์หนึ่งได้เป็นผู้มีหลังค่อมหน่อยหนึ่ง นางขุชชุตตราซึ่งในสมัยนั้นเกิดเป็นหญิงผู้อุปัฏฐายิกาคนหนึ่ง ก็แกล้งล้อเลียน โดยห่มผ้ากัมพลแดง ถือขันทองคำ ทำเป็นคนค่อม แสดงอาการเดินไปของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เพราะผลแห่งกรรมนั้นนางจึงเกิดมาเป็นหญิงค่อม.

    อนึ่ง ในวันแรก พระราชาทรงนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ พระองค์เหล่านั้น ให้นั่งในพระราชมณเฑียร แล้วให้ราชบุรุษรับบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์มา แล้วบรรจุบาตรนั้นให้เต็มด้วยข้าวปายาสแล้วรับสั่งให้ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายถือบาตรอันเต็มด้วยข้าวปายาสร้อน ท่านก็ต้องผลัดเปลี่ยนมือบ่อย ๆ.หญิงนั้นเห็นท่านทำอยู่อย่างนั้น ก็ถวายกำไลงา ๘ อัน ซึ่งเป็นของของตน กล่าวว่า “ ท่านจงวางบาตรไว้บนกำไลนี้เถิด เจ้าข้า“ พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ทำอย่างนั้นแล้ว แลดูหญิงนั้น นางทราบความประสงค์ของท่านทั้งหลาย จึงกล่าวว่า “ ท่านเจ้าข้า ดิฉันหามีความต้องการกำไลเหล่านี้ไม่ ดิฉันบริจาคกำไลเหล่านั้นแล้วแก่ท่านทั้งหลายนั่นแล ขอท่านจงรับไป “ พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นรับแล้ว ได้ไปยังเงื้อมเขาชื่อนันทมูลกะ แม้ทุกวันนี้ กำไลเหล่านั้นก็ยังดี ๆ อยู่นั่นเอง และเพราะผลแห่งกรรมนั้น ในบัดนี้ นางจึงเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก มีปัญญามาก เพราะผลแห่งการอุปัฏฐาก ซึ่งนางทำแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย นางจึงได้บรรลุโสดาปัตติผล นี้เป็นบุรพกรรมในสมัยพุทธันดรของนาง.

    กำเนิดเป็นนางขุชชุตตราในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า
    ครั้นแล้วในภัททกัปนี้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย นางก็ได้จุติจากเทวโลกมาถือปฏิสนธิ ในท้องหญิงพี่เลี้ยงในเรือนของโฆสกเศรษฐี ชนทั้งหลายได้ตั้งชื่อให้นางว่า อุตตรา ในเวลาที่เกิดมาแล้ว นางได้กลายเป็นหญิงค่อม เพราะเหตุนั้น จึงปรากฏชื่อว่า ขุชชุตตรา ต่อมาในเวลาที่โฆสกเศรษฐี ถวายนางสามาวดี แก่พระเจ้าอุเทน นางขุชชุตตรานั้น ก็ถูกยกให้ไปเป็นนางรับใช้ของนางสามาวดีนั้นและอยู่ภายในราชสำนักของพระเจ้าอุเทน ก็สมัยนั้น โฆสกเศรษฐี กุกกุฏเศรษฐี และปาวาริกเศรษฐี ในเมืองโกสัมพี ได้พากันสร้างวิหาร ๓ แห่ง อุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระตถาคตเจ้าเสด็จจาริกไปในชนบท ถึงพระนครโกสัมพี ก็ได้มอบถวายวิหารแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วพากันบำเพ็ญมหาทาน ประมาณเดือนหนึ่งผ่านพ้นไป

    ครั้งนั้น เศรษฐีเหล่านั้นได้มีความคิด ดังนี้ว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงอนุเคราะห์โลกทั้งหมด พวกเราจักให้โอกาสแก่ประชาชนทั่วไปที่อยู่ในตัวเมืองโกสัมพีบ้าง ตั้งแต่นั้นมา พวกชาวเมืองก็ได้โอกาสในการถวายมหาทาน โดยรวมคนในถนนเดียวกันบ้าง โดยรวมกันเป็นคณะบ้าง
    อยู่มาวันหนึ่ง นายมาลาการชื่อว่า สุมนะ อุปัฏฐากของเศรษฐีเหล่านั้น ได้ขอร้องต่อเศรษฐี ขอให้พระศาสดาพร้อมด้วยพระสงฆ์ให้นั่งในเรือนของตนเพื่อฉันภัตตาหาร ขณะนั้น นางขุชชุตตรา ทาสีรับใช้ของพระนางสามาวดีรับเอาเงิน ๘ กหาปณะ ได้ไปยังเรือนของนายมาลาการนั้นเพื่อซื้อดอกไม้ตามปกติที่ทำอยู่ทุกวัน

    นายสุมนะมาลาการเห็นนางแล้วก็กล่าวว่า แม่อุตตรา วันนี้ ฉันไม่มีเวลาที่จะให้ดอกไม้แก่เธอ ฉันกำลังอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แม้เธอก็จงเป็นสหายในการเลี้ยงดูหมู่พระสงฆ์เถิด และเมื่อทำอย่างนี้แล้ว เธอก็จักพ้นไปจากการเป็นผู้รับใช้ของบุคคลอื่นเสียที
    ครั้งนั้น นางขุชชุตตรา ก็ได้ทำการรับใช้ พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ทั้งหลายอยู่ในโรงครัว นางได้เรียนธรรมทั้งหมดที่พระศาสดาตรัสแล้วด้วยอำนาจเป็นอุปนิสินนกถา ต่อมาได้ฟังอนุโมทนาแล้วได้บรรลุโสดาปัตติผล

    ในวันอื่น ๆ ทรัพย์ที่นางรับมาจากพระนางสามาวดีจำนวน ๘ กหาปณะนั้น นางได้เก็บไว้ส่วนตัวจำนวน ๔ กหาปณะ และซื้อดอกไม้เพียง ๔ กหาปณะเท่านั้นแก่นายมาลาการ แต่ในวันนั้น เพราะได้เห็นสัจจะ นางไม่ยังจิตให้เกิดในสิ่งของของบุคคลอื่น จึงได้ซื้อดอกไม้หมดทั้ง ๘ กหาปณะจากนายมาลาการแล้วได้รับเอาดอกไม้ไปยังสำนักของนางสามาวดี

    ลำดับนั้น พระนางสามาวดีนั้นได้ถามนางว่า แม่อุตตรา ในวันอื่น ๆ เธอนำดอกไม้มาให้ไม่มาก แต่วันนี้นำมาให้มาก พระราชาของเราทั้งหลายทรงเลื่อมใสมากขึ้นหรือ ? นางจึงได้ทูลเรื่องทั้งหมดไม่ปกปิดเรื่องที่ตนได้ทำไปแล้ว เพราะไม่สามารถจะกล่าวเท็จได้ และเมื่อนางถูกถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นเพราะเหตุไร วันนี้จึงนำดอกไม้มามาก ก็ทูลตอบว่า วันนี้หม่อมฉันได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้ทำให้แจ้งซึ่งอมตะ เพราะเหตุนั้นหม่อมฉันจึงลวงพระองค์ท่านไม่ได้

    พระนางสามาวดี ทรงสดับคำนั้นแล้วก็มิได้ทรงขู่ตะคอกว่า เฮ้ยนางทาสีผู้ชั่วร้าย แกจงคืนกหาปณะที่แก ยักยอกเอาไปตลอดเวลานี้มา ด้วยกุศลของพระนางที่ทำไว้ในกาลก่อนมาส่งผลที่จะให้พระนางได้ฟังพระธรรม จึงทำให้พระนางได้ตรัสว่า แม่ ขอแม่จงให้พวกเราได้ดื่มน้ำอมฤตที่แม่ได้ดื่มแล้วบ้างเถิด เมื่อนางขุชชุตตราทูลว่า ถ้าอย่างนั้น จงทรงพระกรุณาให้หม่อมฉันอาบน้ำก่อน ก็ทรงให้นางอาบน้ำด้วยน้ำหอม ๑๖ หม้อ แล้วรับสั่งให้ประทานผ้าเนื้อเกลี้ยง ๒ ผืน

    นางขุชชุตตรานั้น นุ่งผืนหนึ่ง อีกผืนหนึ่งเอาห่มเฉวียงบ่าแล้วปูลาดอาสนะนั่งบนอาสนะถือพัดอันวิจิตร ร้องทักมาตุคามทั้ง ๕๐๐ นางซึ่งนั่งอยู่บนอาสนะที่ต่ำกว่า ดำรงอยู่ในเสกขปฏิสัมภิทา แสดงธรรมแก่หญิงเหล่านั้นตามนิยามที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนั่นแล เวลาจบเทศนา หญิงทั้งหลายนั้นได้บรรลุโสดาปัตติผล
    หญิงทั้งหมดนั้นไหว้นางขุชชุตตราพลางกล่าวว่าข้าแต่แม่เจ้า ตั้งแต่วันนี้ไป ขอแม่เจ้าอย่าได้ทำงานอันต่ำต้อยอีกต่อไปเลย ขอแม่เจ้าจงดำรงอยู่ในฐานะเป็นมารดา ในฐานะเป็นอาจารย์ของเราทั้งหลายเถิด ดังนี้แล้ว ได้ตั้งนางไว้ในฐานะเป็นที่เคารพ

    ต่อมา สตรี ๕๐๐ นางซึ่งมีพระนางสามาวดีเป็นประมุข ได้กล่าวกะนางว่า ข้าแต่แม่ ขอแม่จงไปยังสำนักของพระศาสดาทุกวัน สดับธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว (มา) แสดงแก่เราบ้าง นางได้ทำตามนั้นในเวลาต่อมาจึงกลายเป็นผู้ทรงจำพระไตรปิฏก

    ทรงแต่งตั้งอุบาสิกาเป็นเอตทัคคะผู้เป็นพหูสุต
    ภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อทรงสถาปนา พวกอุบาสิกาไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนานางขุชชุตตราอุบาสิกาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกา ผู้เป็นพหูสูต แล

    ..........................................................

    ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
    A giver is always beloved.
    ..........................................................
    :- https://sites.google.com/site/dhammatharn/xetthakhkh/nang-sa-ma-wdi/nang-khuch-chu-tra


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2021
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ไม่สิ้นคิดจึงมีโอกาสแก้กรรม โดย พระอนุชา อคฺคจิตฺโต 8 พ.ค. 2564

    dhamma meditation
    May 9, 2021
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,595
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    สามาวดี-2.jpg
    พระนางสามาวดี นางผู้ถูกเผาทั้งเป็นด้วย กรรมเก่า

    พระนางสามาวดี สตรีนางนี้แม้จะอยู่ในวรรณะกษัตริย์ ได้รับการยกย่องให้เป็นเอตทัคคะผู้อยู่ด้วยเมตตา แต่นางก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง กรรมเก่า ในอดีตชาติได้
    ธิดาเศรษฐีแห่งเมืองภัททวดีย์
    นางสามาวดีเป็นธิดารูปงามของภัททวดีย์เศรษฐีแห่งเมืองภัททวดีย์ เมื่อครั้งเกิดโรคอหิวาต์ระบาดอย่างหนัก ผู้คนในเมืองล้มตายเป็นจำนวนมาก ภัททวดีย์เศรษฐีจึงตัดสินใจพาบุตรสาวและภรรยาหนีไปตายดาบหน้า หวังพึ่พิงโฆสกเศรษฐีแห่งเมืองโกสัมพีผู้เป็นสหาย
    ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลก เพียงเพราะความกตัญญูอย่างสูงต่อบิดามารดา นางสามาวดียอมสละอาหารในส่วนของนางให้ท่านทั้งสองได้กินอย่างเต็มที่ ผลจากการบริโภคเกินพอดีทำให้ร่างกายย่อยอาหารไม่ทัน บิดาและมารดาจึงเสียชีวิตในที่สุด ทิ้งให้บุตรสาวกลายเป็นกำพร้าไป ภายหลังเมื่อโฆสกเศรษฐีทราบเรื่องที่เกิดกับภัททวดีย์เศรษฐีผู้เป็นสหาย ด้วยความสงสารและเอ็นดูนางสามาวดียิ่งนัก จึงขอรับนางสามาวดีเป็นบุตรบุญธรรม พร้อมทั้งมอบหญิงบริวารให้อีก500คน
    ก้าวสู่ตำแหน่งพระอัครมเหสีพระเจ้าอุเทน
    วันหนึ่งนางสามาวดีพร้อมบริวารพากันไปเที่ยวงานเทศกาลรื่นเริงของเมืองโกสัมพี ความงามของนางทำให้พระเจ้าอุเทนเจ้าผู้ครองนครโกสัมพีถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับด้วยความเสน่หา เพียงรุ่งเช้าก็มีพระราชสาสน์ไปสู่ขอนางสามาวดีกับโฆสกเศรษฐี ซึ่งนางก็มิได้ขัดข้อง ด้วยถือเป็นการแทนคุณบิดาบุญธรรม ด้วยเหตุนี้พระเจ้าอุเทนจึงแต่งตั้งให้นางเป็นพระนางสามาวดีพระอัครมเหสีแห่งนครโกสัมพี
     

แชร์หน้านี้

Loading...