ประสบการณ์มโนมยิทธิ และญาณ ๘

White Sage · 7 เมษายน 2014

softkid9 said: ↑

อุอุ้ย แก่สุดเลยเรา พี่ 35 แล้วครับ ตอนอายุใกล้ๆกับน้องเฟมกะน้องต๋อง ตอนนั้นพี่ซ่าน่าดู เพื่อนผู้หญิงพี่เยอะ ก็ตอนหนุ่มๆก็ดูดีหน่อยนึง เดี๋ยวนี้วันดีคืนดีท่านผบ.ทบ.ท่านเรียกไ_้แก่ เราก็หูตั้งหางกระดิกรอท่านใช้งานแล้ว ถ้าน้องๆยังไม่แต่งงานก็ถือว่าสบายตัวละครับ บ่นดังเดี๋ยวท่านผบ.ทบ.ท่านได้ยิน น้องเฟมเคยอ่านหนังสือเรื่องนี้มั๊ย รู้สึกว่าคุณอ๋อยคนเขียนจะเป็นลูกศิษย์อาจารย์คนเมืองบัวอาจารย์ของน้องเฟมน่ะ พี่อ่านแล้วใช้ได้เลย ลองไปหาที่ร้านซีเอ็ดกะร้านนายอินทร์นะครับ

 [FONT=&quot]
ปลาที่อยู่ในตู้ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกจองจำ เพราะตัวมันไม่สามารถแยกออกมาจากน้ำได้ ถ้ามีปลาสักตัวสามารถออกมานอกตู้แล้วมองเข้าไปมันจะเข้าใจทันทีว่า เพื่อนๆมันไม่ได้มีอิสระแต่อย่างใด เช่นเดียวกันมนุษย์ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกจองจำ จนกว่าจะมีใครหลุดพ้นจากอิทธิพลของแสงและเวลา แล้วมองกลับเข้าไป จึงจะรู้ว่าเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนตกอยู่ภายใต้กฏแห่งไตรลักษณ์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย น่าเวทนายิ่งนัก และสภาวะที่สามารถพ้นจากวงจรนี้มีอยู่จริง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบแล้ว นิพพานเป็นความจริงขั้นปรมัตถสัจจะ ที่ตรงข้ามกับสมมติสัจจะในโลก การอธิบายโดยใช้ภาษาในโลกจึงไม่สามารถอธิบายได้ นิพพานไม่ใช่เรื่องของความเข้าใจ แต่เป็นเรื่องของการเข้าถึง[/FONT]

[FONT=&quot]สัจธรรมแห่งจักรวาล ทันตแพทย์สม สุจิรา หน้า 169[/FONT]

Click to expand...

ไปอ่านมาแล้วค่ะ จำได้ลางๆเหมือนกันว่าอ.เคยพูดถึงพี่อ๋อยว่าเป็นลูกศิษย์รุ่นเดอะของอ.ที่เริ่มเขียนหนังสือเกี่ยวกับมโนมยิทธิอยู่ แถมอ.ยังบอกด้วยว่าเวลารู้อะไรให้จดเอาไว้จะได้ไม่ลืมค่ะ อิอิ

softkid9 · 14 เมษายน 2014

หนังสือเล่มนี้ผมว่าใช้ได้นะครับ พี่ยังซื้อเก็บไว้อ่านเลยครับ

รอน้องเฟมอัพลงเรื่องใหม่อยู่นะคร้าบ
ปล.จากFCแฟนคลับตัวจริงอิๆ

softkid9 · 16 เมษายน 2014

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม” ยังคงเป็นปริศนาที่ต้องตีความกันจนถึงทุกวันนี้ อีกนัยหนึ่งคือ ผู้ใดเห็นความจริงของธรรมชาติ(โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องจิต) ผู้นั้นจะได้พบกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือในทางกลับกัน ผู้ใดที่ได้พบกับพระพุทธเจ้าก็แสดงว่าผู้นั้นเห็นความจริงของธรรมชาติแล้ว

สภาวะนิพพานจะอยู่เหนือกาลเวลา เหนือกฎของไตรลักษณ์ปฏิจจสมุปบาท สภาวะนั้นเวลาจะหยุดเดินโดยสิ้นเชิง และเป็นสุขอย่างยิ่ง (นิพพานัง ปรมัง สุขัง)[FONT=&quot]

[/FONT]
[FONT=&quot]สัจธรรมแห่งจักรวาล ทันตแพทย์สม สุจิรา หน้า 107-108
[/FONT]

White Sage · 17 เมษายน 2014

ขอบคุณสำหรับกำลังใจและธรรมะต่างๆที่ผ่านมานะคะพี่ เฟมอยากจะปรับปรุงกระทู้ใหม่อ่ะค่ะ (โดยเฉพาะเรื่องการทำบารมีพุทธภูมิ เขียนได้มึนมากค่ะ พอดีมันพรั่งพรูออกมาเร็วเกินไป ต้องไปปรับปรุงค่ะ อิอิ)

ดังนั้น เลยอยากจะรบกวนถามพี่นิดนึงเรื่องการลงรูปภาพอ่ะค่ะพี่ ว่าทำอย่างไรให้สวยเหมือนกระทู้พี่อ่ะค่ะ อิอิ พอดีว่าเฟม low-tech ค่ะ ฮ่าๆๆ

softkid9 · 17 เมษายน 2014

[FONT=&quot]1.ปกติผมจะเข้าไปพิมพ์ข้อความและตรวจทานในโปรแกรม[/FONT]World[FONT=&quot] ก่อนครับ พอตรวจตัวอักษรได้ข้อความที่พอใจแล้วพี่ก็โพสข้อความลงก่อน แล้วหลังจากนั้นก็เข้าเมนูแก้ไข/ลบ ตามลูกศรชี้[/FONT]

 [FONT=&quot]2.แล้วก็ไปเลือกจุดที่จะวางรูปในภาพตัวอย่างนี้จุดที่จะวางจะอยู่ที่ตรงหน้าคำว่า สาธุครับ แล้วเลือกเมนูรูปภูเขาไฟฟูจิสีเหลืองตามลูกศรชี้[/FONT]

 [FONT=&quot]3.จะปรากฏบ็อกซ์ที่จะให้เราใส่ที่อยู่[/FONT]URL[FONT=&quot]ของรูปภาพตามที่ลูกศรชี้[/FONT]

 [FONT=&quot]4.เแล้วเราก็ไปเปิดหน้าต่างเว็บอันใหม่เพื่อเลือกรูปภาพตามชอบใจ ปกติผมมักจะ[/FONT] Search[FONT=&quot] หรือค้นหารูปภาพจากเว็บพี่กูเกิ้ล แล้วไปที่เมนูค้นรูป เลือกรูปที่ถูกใจตามในภาพตัวอย่างนี้แล้วเอาเมาส์ไปชี้ที่ภาพและคลิ๊กขวาเพื่อเรียกเมนูขึ้นมา[/FONT]

 [FONT=&quot]5.พอเมนูขึ้นมาแล้วให้เลือกที่เมนูดูข้อมูลภาพเพื่อที่จะคัดลอกที่ตั้งของรูปภาพหรือก๊อป[/FONT]URL[FONT=&quot]นั้นเอง ที่ผมใช้เป็นตัวอย่างนี้ผมใช้บราวเซอร์ ไฟล์ฟ็อกนะครับ ถ้าเป็นบราวเซอร์ของ[/FONT] Internet Explorer[FONT=&quot] ที่มาพร้อมกับ[/FONT]windows [FONT=&quot]นั้นก็จะเป็นเมนูคนละอย่างซึ่งจะคล้ายๆกัน[/FONT]

 [FONT=&quot]6.พอบ็อกซ์[/FONT]URL[FONT=&quot]ปรากฏขึ้นมาแล้วให้คัดลอกที่ตั้งตามในไฮไลสีน้ำเงินที่ลูกศรชี้นะครับ[/FONT]

 [FONT=&quot]7.แล้วเราก็กลับมาที่หน้าเว็บพลังจิตของเราในโพสที่เราต้องการจะวางรูป ซึ่งถ้าเราไม่กดยกเลิกที่ข้างล่างขวาของบ็อกซ์แล้วมันจะไม่หายไปไหน
[/FONT]

 [FONT=&quot]8.นำเมาส์ไปชี้ในช่องว่างในบ็อกซ์แล้วก็คลิกขวาเพื่อวางที่ตั้งของรูปภาพ แล้วก็กดตกลง[/FONT]


[FONT=&quot]9.ก็จะได้ภาพตามที่ต้องการครับ สามารถที่จะเลือกให้รูปอยู่ซ้าย กลาง หรือขวาก็ได้ตามต้องการครับ [/FONT]

White Sage · 17 เมษายน 2014

ขอบคุณพี่มากๆนะคะสำหรับวิธีการลงรูปภาพประกอบ เดี๋ยวขอตัวไปลงรูปภาพก่อนนะคะ อิอิ

arron_chris · 19 เมษายน 2014

สุดยอด อ่านแล้วอยากปฎิบัติมากๆ เสียดายตัวผมมันขี้เกียจแต่เริ่มมีกำลังใจมากขึ้นเมื่ออ่านกระทู้ของคุณ
ปล สัตหีบไม่มีที่ฝึกเหรอครับ ผมก็คนสัตหีบ

yooyut · 27 เมษายน 2014

softkid9 said: ↑

ผมไม่ค่อยจะเข้าใจอย่างนึงก็คือ มีบางท่านบางคนซึ่งยังไม่ได้ปฏิบัติสมาธิภาวนา ไม่ได้ปฏิบัติในกรรมฐาน 40 กองของพระพุทธเจ้า เอาแต่อ้างและศึกษาแต่ปริยัติแต่กล่าวว่าพระนิพพานไม่มีสภาพเป็นบ้านเป็นเมือง จิตดับไม่มีสำนึกมารองรับ แม้แต่สำนึกก็ไม่มี เป็นที่ที่ดับสนิท เหมือนควันไฟที่ลอยขึ้นไปในอากาศแล้วก็หายไปเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เปรียบเหมือนดวงจิตดวงนี้ได้ดับทำลายไปแล้ว จะมาปฏิบัติเพื่อพระนิพพานกันไปทำไม เวียนว่ายตายเกิดกันเล่นๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ดีกว่าหรือ จริงๆแล้วในความเข้าใจของผม จิตดวงนี้ไม่มีต้นกำเนิด ไม่มีการแตกดับทำลาย ไม่มีจุดสิ้นสุด นอกจากจะเข้าสู่สถานแดนทิพย์พิเศษ นั้นก็คือพระนิพพานเท่านั้น ถ้านิพพานไม่มีพระพุทธองค์ ไม่มีพระอรหันต์ ไม่มีหลวงพ่อของพวกเราอยู่ จะปฏิบัติกันไปทำมะเขือกันทำไมครับ
Click to expand...

หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ท่านสอนเสมอว่า ไม่ให้ไปสนใจในเรื่องของผู้อื่น เขาจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา

เรื่องนิพพานนั้น หากจะทราบให้ชัดเจนที่สุด คงจะตัองบรรลุอรหันตผล แล้วดับขันธ์เข้าสู่นิพพานด้วยตัวเอง ดังนั้นตอนนี้ ระหว่างนี้ สงสัยไปก็ป่วยการ

ก็ขอเสนอไว้ ให้รับฟัง

softkid9 · 27 เมษายน 2014

อนุโมทนากับท่าน yooyut ครับ ผมลบที่โพสแล้วนะครับ พอดีนึกถึงผู้ที่เป็นนักบวชบางคน เค้าบอกว่านิพพานไม่มีสภาพ ไม่มีอะไรทั้งนั้น เป็นที่ดับทุกสิ่ง แม้แต่สำนึก ผมรู้เห็นมาก็อยากจะบอกกล่าวกับน้องเฟมและญาติธรรมเท่านั้นเองครับ ไม่ได้มีเจตนาจะปรามาสพระรัตนตรัย แค่รู้สึกว่าสิ่งที่คนพวกนี้กล่าวอ้างนั้น ยังมากล่าวตู่ถึงหลวงพ่อของพวกเราด้วย ก็เนื่องด้วยผมยังมีความเลวอยู่ พยายามจะปล่อยวางและปฏิบัติเพื่อไปอยู่กับพระพุทธองค์กับหลวงพ่อนั้นละครับ ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ด้วยนะครับ

White Sage · 21 กันยายน 2014

softkid9 said: ↑

อนุโมทนากับท่าน yooyut ครับ ผมลบที่โพสแล้วนะครับ พอดีนึกถึงผู้ที่เป็นนักบวชบางคน เค้าบอกว่านิพพานไม่มีสภาพ ไม่มีอะไรทั้งนั้น เป็นที่ดับทุกสิ่ง แม้แต่สำนึก ผมรู้เห็นมาก็อยากจะบอกกล่าวกับน้องเฟมและญาติธรรมเท่านั้นเองครับ ไม่ได้มีเจตนาจะปรามาสพระรัตนตรัย แค่รู้สึกว่าสิ่งที่คนพวกนี้กล่าวอ้างนั้น ยังมากล่าวตู่ถึงหลวงพ่อของพวกเราด้วย ก็เนื่องด้วยผมยังมีความเลวอยู่ พยายามจะปล่อยวางและปฏิบัติเพื่อไปอยู่กับพระพุทธองค์กับหลวงพ่อนั้นละครับ ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ด้วยนะครับ

Click to expand...

"สภาวะของพระนิพพานเป็นอย่างไร? เป็นอนัตตาหรืออัตตา? และมีสภาพเป็นเมืองแก้วหรือไม่?" - ตอนที่ 2

ค่ะพี่ Softkid9 เท่าที่อ่าน พอจะเข้าใจอยู่ว่าพี่อยากจะแชร์ประเด็นความเข้าใจเกี่ยวกับพระนิพพานที่เกิดขึ้นในปัจจุบันใหัฟัง อันนี้ต้องยอมรับกันตาม

ตรงว่าส่วนตัวเวลาอ่านเจอก็มีอารมณ์ไปยุ่งกับความคิดของคนอื่นๆตามที่พี่เขียนมาค่ะ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติของคนธรรมดาสามัญอย่างเราๆท่านๆที่บารมี

ยังน้อยอยู่มาก อารมณ์จึงข้องแวะกับคนอื่นตลอดเวลา ตราบใดที่อารมณ์จิตทรงอยู่ในสมาธิ หรือจิตอยู่ในอารมณ์วิปัสสนาญาณนั่นแหละ จึงจะพอลดละ

ไปได้บ้างชั่วขณะ

ดังนั้นด้วยความที่ไหนๆก็ตั้งกระทู้มาแล้ว และได้ศึกษาหาความรู้ในทางโลกและทางธรรมมา ก็เลยลองมาประมวลผลเข้าด้วย

กัน เพื่อหาคำอธิบายในเรื่องพระนิพพาน(แบบที่ตัวเองเข้าใจ) มาให้ท่านผู้อ่านได้ลองใช้วิจารณญาณกันดู

และสุดท้ายก็ได้สรุปไว้ว่า ตราบใดที่ยังไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อของตัวเอง(อภิญญา) หรือบรรลุธรรม(เป็นพระอรหันต์) ก็คง

กล่าวไว้แต่เพียงว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่สภาวะพระนิพพาน ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถใช้สิ่งใดๆในทางโลกมาอธิบายได้ (ตามประสา

ฆราวาสทั่วไปที่ไม่ได้ทิพจักขุญาณ) จะเป็นดังที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านได้กล่าวไว้

โดยที่ส่วนตัวมองว่า

สภาวะพระนิพพาน = ทิพจักขุญาณ(จิต) + กระบวนการรับรู้และแปลผลของร่างกายมนุษย์(ขันธ์ ๕)

ซึ่งเมื่อรวมทั้ง 2 สิ่งนี้แล้ว (จิต+ร่างกาย) ก็น่าจะทำให้สภาวะพระนิพพานที่รับรู้มานั้นใกล้เคียงกับสภาวะพระนิพพานจริงมากที่สุด

เท่าที่มนุษย์จะรับรู้และแปลผลได้แล้ว

ซึ่งสิ่งที่ได้กล่าวไปนี้ เกิดมาจากประสบการณ์ฝึกมโนมยิทธิและญาณ 8 ที่พระท่านและท่านอื่นๆมาสงเคราะห์ (คือไม่ได้รู้เอง แต่ท่านมาบอก) ผนวก

กับองค์ความรู้ต่างๆทางโลกที่ร่ำเรียนมา เพราะคนที่ศึกษารัฐศาสตร์(ศาสตร์ว่าด้วยการเมืองการปกครอง) ต้องเป็นคนที่กล้าคิด กล้าตั้งคำถาม และหา

คำอธิบาย ซึ่งตนเองก็ทำโดยไม่ได้มีอคติเข้าข้างพระพุทธศาสนา หรือหลวงพ่อแต่อย่างใด เพราะจขทก.ไม่ได้เป็นแต่เพียงผู้ที่ฝึกสมาธิและวิปัสสนา

ญาณในแนวทางมโนมยิทธิเท่านั้น แต่เคยผ่านวิบากกรรมที่ต้องหลุดออกมาจากการปฎิบัติธรรม และผ่านการวิพากษ์วิเคราะห์สิ่งต่างๆเหล่านี้มาแล้ว ซึ่ง

ตรงนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกับคนทั่วๆไปที่ไม่เคยปฏิบัติธรรม แต่ใช้องค์ความรู้ทางโลกมาอธิบายพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด

ดังนั้นจขกท.จึงเป็นคนที่เข้าใจและรับรู้ทั้งมุมมองของคนที่ปฏิบัติธรรม และมุมมองของคนทั่วๆไปในทางโลกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องของเพศที่ 3

มันจะมีมุมมองในทางโลกและทางธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ ซึ่งเท่าที่จขกท.รับรู้มา ในทางธรรมจะมีประเด็นที่กล่าวถึงเพศที่ 3 และการหลุดพ้นอยู่ค่ะ

เอาไว้ว่างๆจะเล่าให้ฟังนะคะ เรื่องตรงนี้เป็นสิ่งที่จขกท.ตกผลึกมา คงด้วยความที่ปรารถนาพุทธภูมิ เลยเจอบทเรียนเยอะหน่อย

บทสรุปเรื่อง"พระนิพพาน"

1. บทสรุปเรื่องพระนิพพานที่ได้จากประสบการณ์สมาธิของตัวเองนั้น(โปรดอ่านในตอนที่1) ได้ข้อสรุปว่า

"สภาวะพระนิพพานนั้นไม่เป็นทั้งอัตตาและอนัตตา คำว่าอัตตาและอนัตตานั้นไม่สามารถเอามาอธิบายสภาวะพระนิพพานได้" โดยคำอธิบายใน

เรื่องดังกล่าวคือ "เพราะพระนิพพานนั้นไม่เป็นอนัตตาแบบที่พระไตรปิฏกกล่าวถึงสภาพของโลกนี้และภพภูมิต่างๆ อีกทั้งยังไม่เป็นอัตตาแบบที่

พระไตรปิฏกอธิบายสภาพของโลกนี้และภพภูมิต่างๆ ด้วยพระนิพพานนั้นพ้นไปจากสภาพของกฎไตรลักษณ์(อนัตตา) และพ้นไปจากสภาพ

อัตตา(คือการมีตัวตนอันหมายถึงมานะกิเลสในสังโยชน์ ๑๐ ประการ)แล้วนั่นเอง"

2. บทสรุปเรื่องพระนิพพานที่ได้จากการศึกษาพระไตรปิฏกเพิ่มเติมในภายหลัง(โปรดอ่านในตอนที่ 1)คือ พระไตรปิฏก

กล่าวถึงพระนิพพานในแง่ที่ว่า

"ไม่ใช่ทั้งสิ่งนั้นและสิ่งนี้อย่างที่คนเราเข้าใจ" อันเป็นการอธิบายในเชิงปฏิเสธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่กล่าวว่าไม่ใช่อัตตานั้นค่อนข้างชัดเจน

แต่สำหรับส่วนที่กล่าวว่านิพพานเป็นอนัตตานั้น มีความหมายว่า บุคคลใดที่สามารถเข้าถึงอนัตตา(เห็นอนัตตา) คือสามารถละสังโยชน์ประการ

ต่างๆได้ ย่อมเข้าถึงซึ่งนิพพานได้นั่นเอง ดังนั้นการที่กล่าวว่านิพพาน=อนัตตานั้นจึงถือเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้องเท่าใดนัก เพราะในความเป็นจริง

แล้วสภาวะนิพพานไม่ใช่อนัตตา แต่การเข้าถึง"อนัตตา"ย่อมนำมาซึ่ง"นิพพาน"

และเท่าที่ศึกษาเพิ่มเติม มีการกล่าวถึงพระนิพพานในแง่ของความเป็น"นครา"หรือ"เมือง" อีกด้วย โดยระบุอยู่ใน"คิริมานนทสูตร" ที่พระพุทธองค์

ทรงกล่าวว่า

"อานนฺท ดูกรอานนท์ นิพฺพานํ นครํ นาม อันชื่อว่าเมืองพระนิพพาน

ย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีที่สุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดนั้น

พระนิพพาน เป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้"

3. บทสรุปเรื่องพระนิพพานในแนวเหตุผลหรือตรรกะนั้น ได้นำเอาประสบการณ์ทางจิตมา + ศาสตร์ทางจิตวิทยา

จนได้ข้อสรุปออกมาแบบกลางๆว่า (โปรดอ่านในตอนที่ 1)

สภาวะพระนิพพาน = ทิพจักขุญาณ(จิต) + กระบวนการรับรู้และแปลผลของร่างกายมนุษย์(ขันธ์ ๕)

---> ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุดเท่าที่มนุษย์จะรับรู้ได้แล้ว

4. ส่วนตัวอยากบอกว่า วาทะกรรม(discourse) ที่ว่า "นิพพานเป็นบ้านเป็นเมือง" นั้น จริงๆแล้วคือ

การใช้นิยามความหมายของคำว่า "บ้านเมือง" แบบที่เข้าใจกันในทางโลก มาครอบและอธิบายสภาวะนิพพาน โดยที่ยังไม่เคยสัมผัสกับอารมณ์

จิตที่เป็นทิพย์ (หรือที่เรียกกันสั้นๆว่ามีทิพจักขุญาณ) นั่นเอง

ซึ่งสภาพหรือสภาวะจริงๆก็ไม่ใช่บ้านเมืองอย่างที่คนทางโลกเข้าใจกัน แต่ในเมื่อภาษามีคำอธิบายอยู่แค่นี้ พอเอามาใช้สื่อสารกันก็อาจจะสร้าง

ความเข้าใจผิดกันได้ค่ะ

5. สุดท้ายนี้ หลังจากที่ได้สำรวจศึกษาคำกล่าวของพระสุปฏิปันโนหลายๆองค์ในแต่ละสายการปฏิบัติ

จุดสำคัญที่สังเกตเห็นได้ชัดก็คือ แต่ละองค์ล้วนกล่าวถึงพระนิพพานไปในทำนองเดียวกันว่า สภาวะพระนิพพานนั้นมีอยู่จริง นิพพานไม่สูญ

พระพุทธองค์และพระอริยเจ้าทั้งหลายที่เข้าสู่พระนิพพานแล้วนั้นสามารถมาสงเคราะห์ปรากฎแก่ผู้ปฏิบัติธรรมได้ จุดนี้จึงอยากให้ท่านที่สนใจลอง

ศึกษากันดูว่าจริงหรือไม่ อย่างไรค่ะ

ทั้งนี้ขอยกคำกล่าวเพียงบางส่วนมาให้ลองอ่านกัน ดังนี้ค่ะ

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) - สายวิชชาสามและอภิญญา(มโนมยิทธิ)

"องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสว่า ...โมกขราช เรากล่าวว่า นิพพานนั้นหมายถึงกิเลสดับ และขันธ์ ๕ ดับ... พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า จิตดับ"

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

"นิพพาน คือว่างจากกิเลส จิตวิญญาณของพระอรหันต์ไม่สูญ ที่วิญญาณสูญนั่นคือวิญญาณในขันธ์ ๕ เท่านั้น"

พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ - สายวัดป่าธรรมยุติ

"สรณะทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญอันตรธานไปไหน ยังปรากฏอยู่แก่ผู้ปฏิบัติเข้าถึงอยู่เสมอ

ผู้ใดยึดถือเป็นที่พึ่งของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่า หรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้งสามก็ปรากฏแก่เราอยู่ทุกเมื่อ"

และเรื่อง "หลวงปู่มั่นพบพระพุทธเจ้าในพระนิพพาน"

จากหนังสือ แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๐ โดย สมเด็จพระญาณสังวรฯ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13034

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม - สายวัดป่าธรรมยุติ (ลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ)

"นิพพานไม่ได้สูญ ไม่ได้อยู่ตามที่โลกคาดคะเนหรือเดากัน ทำจริงจะได้เห็นของจริง รู้จริง

และจะเห็นนิพพานเอง เห็นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เห็นครูบาอาจารย์ที่ท่านบริสุทธิ์เอง และหายสงสัยโดยประการทั้งปวง"

อดีตพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) - ท่านเป็นผู้เรียบเรียงหนังสือ"ทิพยอำนาจ"

"พระธรรมกาย ได้เแก่พระกายอันบริสุทธิ์ ไม่สาธารณะแก่เทวา และมนุษย์ หมายถึงจิตที่พ้นจากกิเลสแล้ว

เป็นพระกายที่เที่ยงแท้ไม่สูญสลาย อินทรีย์ของพระอรหันต์ประณีตสุขุม แม้ตาทิพย์ของเทวดาก็มองไม่เห็น"

หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต

"สูญในพระนิพพานมีขอบเขต สูญจากกิเลสเท่านั้น รสของพระนิพพานมีอยู่ พระนิพพาน ไม่เกิดไม่ดับไปไหน

เป็นอนัตตาธรรม เราจะเอาพระนิพพานมาเป็นอนัตตา เหมือนขันธ์ ๕ และกิเลสทั้งหลายมันก็ไม่ถูก เรียกว่าแยกอนัตตาธรรมไม่ถูก"

หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ (พระมงคลเทพมุณี)

"นิพพานอยู่ข้างบน สูงจากภพ 3 โตเท่าภพ 3 นี่ สว่างเป็นแก้วไปหมดทั้งนั้น งดงามมาก โตเท่าภพ 3 นี่" .....

พระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย ์ สิริจนฺโท จันทร์

"พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้ อย่าเข้าใจว่าจะไปนิพพานด้วยกำลังกาย"

arron_chris · 2 พฤษภาคม 2014

เมื่อวันที่ 28 ที่ผ่านมา บุญพาวาสนาส่ง ที่บอกว่าบุญพาวาสนาส่งเพราะเกือบจะไม่ได้ไปแล้วววว ก็ไอ้เพื่อนที่ออกตัวเป็นสะพานบุญขับรถอาสาดันเบี้ยวเพราะตังมะมีซะงั้น แต่ผมก็ไม่ย่อท้อ นั่งรถตู้ต่อไปต่อมา จนถึงวัดท่าซุงจนได้ ได้กราบหลวงพ่อ และ สมเด็จพ่อองค์ปฐม ก็ค่อยรู้สึกชื่นใจหายเหนื่อยไปตามๆกัน เอาบุญมาฝากทุกท่านด้วยนะครับ อิอิ
เสียดาย ไปถึงก็เกือบบ่ายสองโมงแล้ว เลยอดฝึกมโนยิทธิเลย ไม่เป็นไรครั้งหน้าเอาใหม่ ฮึดๆๆๆสู้ๆๆๆ

White Sage · 30 พฤษภาคม 2014

arron_chris said: ↑

สุดยอด อ่านแล้วอยากปฎิบัติมากๆ เสียดายตัวผมมันขี้เกียจแต่เริ่มมีกำลังใจมากขึ้นเมื่ออ่านกระทู้ของคุณ
ปล สัตหีบไม่มีที่ฝึกเหรอครับ ผมก็คนสัตหีบ
Click to expand...

สาธุ ขอให้คุณ arron_chris ได้มีโอกาสปฏิบัติตามที่ตั้งใจไว้นะคะ

ขออนุโมทนาบุญของคุณ arron_chris ด้วยค่ะ /\

ขอบคุณนะคะที่มาตอบกระทู้ของจขกท. เพราะอย่างน้อยๆ จกขท.ก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เราทำลงไปนั้นไม่เสียแรงเปล่า เพราะทุกๆอย่างนั้นแลกมาด้วยวิบากกรรมของจขกท.เอง T^T

แต่ถ้าหากว่าสุดท้าย สิ่งที่จขกท.ทำสามารถเป็นแรงบันดาลใจอันหนึ่งที่ทำให้คนได้หันทำความดีกันมากขึ้น จขกท.ก็รู้สึกดีแล้วค่ะ (y)

ปล.ขณะนี้ จกขท.กำลังทำการแก้ไข ปรับปรุง (revise) กระทู้ต่างๆที่ได้โพสต์ไว้ โดยได้ใส่รูปภาพ จัดเรียงเนื้อหา และปรับเนื้อหา เพื่อให้สามารถอ่านได้ง่าย เห็นภาพ

และตรงตามจุดประสงค์ของจขกท.มากยิ่งขึ้นค่ะ

อุทยัพ · 17 พฤษภาคม 2014

White Sage said: ↑

" อนาคตังสญาณ-เส้นทางชีวิตในเรื่องการเรียน "

สำหรับเรื่องนี้ ขอเท้าความตั้งแต่เด็กๆนะคะ ตอนอายุประมาณ 10-13 ขวบ (ไม่แน่ใจว่าช่วงไหน) บังเอิญว่าคุณพ่อประกอบอาชีพอยู่แถวปทุมวัน ใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เราเดินผ่านบ่อยๆ เราก็อยากจะรู้ว่าอนาคตเราจะได้เข้ามหาวิทยาลัยนี้ไหม โดยเราจะถามใจตัวเองแล้วก็ได้คำตอบว่าไม่ใช่ที่นี่ แล้วเราก็ถามต่อไปอีกว่าที่ไหน ก็มีคำตอบมาว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (เราเป็นคนที่เชื่อว่าใจตัวเองจะรู้ดีที่สุดมาตั้งแต่เด็กๆ จะชอบใช้วิธีทำใจนิ่งๆแล้วถามใจตัวเองค่ะ) **ถ้าจำไม่ผิดจะมีปีติขนลุกชูชันในตอนนั้นด้วย

"ภาพตึกโดม และรูปปั้นศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส นายกรัฐมนตรี และ

ผู้สถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง(มธก.) ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์"

แล้วในช่วงเรียนม.ปลาย เราเรียนสายวิทย์-คณิต ซึ่งไม่ชอบเลย แล้วก็เป็นคนที่ไม่ตั้งใจเรียนด้วย อีกทั้งยังไม่เคยวางแผนให้กับตัวเองว่าจะเรียนคณะอะไรดีในอนาคต แต่แล้วในวันหนึ่งเราได้มีโอกาสไปร่วมกิจกรรมเตรียมพร้อมสำหรับกีฬามหาวิทยาลัยโลกในตอนม.5 ซึ่งจัดที่ม.อัสสัมชัญ ในครั้งนั้นเราพบกับพี่คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่เป็นหนึ่งในผู้นำกิจกรรมครั้งนั้นด้วย โดยเวลาเราฟังพี่เค้าพูดเราดันรู้สึกหมั่นไส้เค้าขึ้นมานิดๆ แล้วก็ดูถูกว่าคณะนี้น่าจะเอนทรานซ์ติดง่าย และเรียนง่าย ดูแล้วไม่เห็นเก่งอะไรเลย และแล้วก็มีอะไรบางอย่างบอกว่า อย่าไปดูถูกเค้าเชียวนะ เพราะซักวันหนึ่งเธอจะได้เรียนคณะนี้ ซึ่งเราก็ไม่เชื่อและคิดว่าเป็นสิ่งที่เราคิดไปเอง และเราก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย ด้วยความไม่เชื่อ

"สัญลักษณ์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : สิงห์แดง" 

พออยู่ชั้นม.6 ซึ่งจะต้องเตรียมเอนฯ เราก็มานั่งคิดว่าจะเรียนคณะอะไรดี แล้วก็เหมือนสายตาแว่บไปเห็นคณะรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศพอดี เกิดความถูกใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ก็เลยบอกเพื่อนว่าจะเรียนคณะนี้แหละ ซึ่งเพื่อนก็ท้วงว่าเข้ายาก เพราะสายวิทย์ต้องไปสู้กับสายศิลป์ที่เก่งภาษากว่า แต่เราก็ไม่ย่อท้อ ถึงแม้จะไม่ตั้งใจเรียนมาตลอด 3 ปี แต่เราก็พยายามวางแผนให้ดีที่สุดในการอ่านหนังสือ และทำข้อสอบเตรียมตัว

ช่วงที่เตรียมเอนท์ฯนั้นเราวางแผนให้รัดกุมที่สุด โดยกำหนดเวลาในการอ่านแต่ละวิชาใน O-Net และ A-Net โดยเน้นทำคะแนนกลุ่มภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และสังคมศึกษาให้ได้มากที่สุด 80 เปอร์เซนต์ขึ้นไป เพื่อเอามาเฉลี่ยกับคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เพื่อให้คะแนนรวมออกมาที่ 70 เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นการรักษาระดับคะแนนเพื่อให้เอนฯติดคณะรัฐศาสตร์ของจุฬาและธรรมศาสตร์ให้ได้ (โดยไม่ได้เรียนพิเศษเลย ยกเว้นวิชาคณิต และฟิสิกส์ 2 ครั้งเท่านั้น)

"Final Score 365วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์ : แล้วจะรู้ว่า เป็นวัยรุ่น..มันเหนื่อย" 

ในระหว่างรอผลเอนท์ฯ พี่ๆที่ได้มโนมยิทธิ ก็ถามพระท่านให้ว่าจะติดที่ไหนระหว่างจุฬา หรือธรรมศาสตร์ ซึ่งแทบทุกคนตอบเสียงเดียวกันว่า ธรรมศาสตร์แน่นอน และตัวเราเองก็ลองถามพระท่าน ซึ่งคำตอบแว๊บแรกก็เป็นอย่างนั้น เราก็ได้แต่ลุ้นรอผลเอนท์ฯว่าจะเป็นอย่างที่เรารู้กันมาไหม

ในช่วงก่อนประกาศผล เราได้มีโอกาสไปไหว้ขอพรพระพรหมเอราวัณ โดยเราไหว้ท่านด้วยจิตเคารพ และใช้มโนมยิทธิครึ่งกำลังไปกราบแทบเท้าของท่าน ขอพรท่านให้ช่วยสงเคราะห์ ซึ่งภาพที่เห็นก็คือท่านทำให้เรารู้ว่าท่านสงเคราะห์ และตอบเราว่าเอนท์ฯติดแน่นอน

"ท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ กรุงเทพฯ" 

และแล้วก็มาถึงวันประกาศผล เรารีบเดินกลับบ้านไปเช็คผลเอนท์ฯทางเน็ต โดยระหว่างที่เดินผ่านต้นไม้ที่เต็มไปด้วยชุดสไบที่นำมาแก้บน ท่านที่เป็นผู้หญิงที่อยู่ที่ต้นไม้นั้นก็ทักขึ้นมาว่ายินดีด้วยนะที่เอนท์ติด โดยภาพในสมาธินั้นเป็นผู้หญิงยิ้มแย้มทักด้วยไมตรีจิต ซึ่งเหตุที่ท่านมาทักทายเช่นนี้ น่าจะมีสาเหตุมาจากการที่เราชอบพิจารณาพรหมวิหาร 4 และเวลาเดินผ่านท่านชอบอุทิศส่วนกุศลให้ท่านด้วยความเคารพเสมอๆ ท่านเลยมาทักให้รู้

"รูปภาพสมมติ : ท่านที่เป็นผู้หญิงที่อยู่ประจำต้นไม้" 

สุดท้ายเราเอนท์ติด คณะรัฐศาสตร์ สาขาการระหว่างประเทศ ที่ธรรมศาสตร์จริงๆค่ะ และการเรียนรู้ในคณะ/มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเราในทางโลกไปอย่างมากมาย ควบคู่กับทางธรรมที่จะได้เล่าในโอกาสต่อไป

"สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : ตราธรรมจักร"

*** โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ
Click to expand...

ผมพิ่งได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ของพี่white sage และก็มารับรู้ว่าพี่พุทธภูมิหญิงท่านนี้เป็นรุ่นพี่ที่คณะของผมเอง แถมยังเรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเช่นเดียวกับผมด้วย อยากรู้จังครับว่าพี่เป็นพี่สิงห์แดงรุ่นที่เท่าไหร่ ผมรุ่นที่64นะครับผม หากมีโอกาสผมอยากสนทนากับพี่พุทธภูมิหญิงท่านนี้สักครั้งหนึ่งครับ หากเป็นไปได้ และ ขออนุโมทนากับพี่white sage ที่นำเรื่องนี้ของท่านพุทธภูมิหญิงท่านนี้มาบอกเล่า และ ขออนุโมทนากับพี่พุทธภูมิหญิงท่านนี้ด้วยขอรับ

บุรุษไร้เงา · 17 พฤษภาคม 2014

ประโยชน์อย่างหนึ่งนอกจากการน้อมมาดูใจตัวเองของวิชาพิเศษ
ที่เป็นประเด็นหลักๆของวิชานี้.. เป็นสิ่งที่ได้ยินมากับหูตัวเอง
จากหลวงตามีชื่อ ที่วัดมีชื่อถ้ำแห่งหนึ่งที่ จ.สระบุรี ท่านแนะนำ
เมื่อ ๒ ปีผ่านมา ตอนนั้นท่านแนะเทคนิคการฝึกกสิณให้ได้เร็วด้วย
ทั้งๆที่ท่านบอกมิได้มาทางนี้นะ..ลองคาดคะเนให้ปวดหมองไปก่อนนะ
จะมาเล่าให้ฟัง. ว่าจะคาดถึงหรือตรงงกันไหม ใบ้ว่ามันแปรผันตาม
ระดับกิเลสและบารมีเราด้วยถึงจะพอทำได้.. ตอนนี้งงไปก่อนนะ ๕๕๕

White Sage · 1 มิถุนายน 2014

อุทยัพ said: ↑

ผมพิ่งได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ของพี่white sage และก็มารับรู้ว่าพี่พุทธภูมิหญิงท่านนี้เป็นรุ่นพี่ที่คณะของผมเอง แถมยังเรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเช่นเดียวกับผมด้วย อยากรู้จังครับว่าพี่เป็นพี่สิงห์แดงรุ่นที่เท่าไหร่ ผมรุ่นที่64นะครับผม หากมีโอกาสผมอยากสนทนากับพี่พุทธภูมิหญิงท่านนี้สักครั้งหนึ่งครับ หากเป็นไปได้ และ ขออนุโมทนากับพี่white sage ที่นำเรื่องนี้ของท่านพุทธภูมิหญิงท่านนี้มาบอกเล่า และ ขออนุโมทนากับพี่พุทธภูมิหญิงท่านนี้ด้วยขอรับ

Click to expand...

สวัสดีค่ะน้องอุทยัพ ยินดีที่ได้รู้จัก และสาธุอนุโมทนาในบุญกุศลทั้งปวงของน้องด้วยนะคะ

พี่คือพุทธภูมิหญิงคนนั้นเองค่ะ -*- คือก่อนพิมพ์พี่ตั้งใจว่าจะไม่บอกว่าเป็นใคร เพียงแต่นำเรื่องราวมาเล่าให้ฟังเท่านั้น แต่พี่ดันเผลอหลุดตอนพิมพ์ค่ะ(ประมาณว่าไม่เนียน) เพิ่งมารู้ก็ตอนที่มีคนจับสังเกตได้แล้ว เฮ้อ กรรม T^T

พี่เป็นสิงห์แดง 59 ค่ะ ห่างกันหลายปีอย่างนี้ไม่น่าจะมีโอกาสได้พบกันเนาะ

"การประยุกต์ใช้ความรู้ในทางจิต และองค์ความรู้ในทางโลก"

สำหรับเรื่องราวที่พี่เขียนไว้ในส่วนแรก "ประสบการณ์มโนมยิทธิ และญาณ ๘" จะเป็นเรื่องราวพื้นฐาน(basic)ของพี่ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรม โดยมีเนื้อหาตั้งแต่การพิสูจน์เรื่องภพภูมิต่างๆ เรื่องญาณ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีประจักษ์พยาน หรือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง โดยเนื้อหาในช่วงนี้พี่จะสอดแทรกเรื่องการปฏิบัติธรรมในส่วนของพรหมวิหาร ๔ หรือการทำสมาธิ เรื่อยไปจนถึงการดูวาระจิตของตัวเอง(เจโตปริยญาณ) อันจะนำไปสู่การพิจารณาในวิปัสสนาญาณต่อไปค่ะ

ส่วนเนื้อหาในส่วนที่สอง เป็นส่วนที่พี่เรียนรู้องค์ความรู้ต่างๆจากในมหาวิทยาลัย และนำมาประยุกต์ร่วมกับสภาวะทางจิต ประสบการณ์ทางจิตต่างๆทั้งหมดของตัวเอง(integration&apply) แล้วนำไปสู่บทสรุป ข้อสังเกต และคำอธิบายในเรื่องบางอย่าง(ต้องลองอ่านดูจ้า) ซึ่งตอนที่พี่เรียน พี่เลือกเรียนโทเสรีค่ะ จึงได้เรียนพวกประวัติศาสตร์ จิตวิทยา เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ดังนั้นถ้าน้องอ่านจะเห็นพื้นฐานความคิดพี่คร่าวๆว่าล้วนมาจากศาสตร์ต่างๆเหล่านี้ และน้องจะเห็นอีกว่าสิ่งที่พี่กล่าวไว้นั้น เป็นผลรวมมาจากพื้นฐานทางจิตและองค์ความรู้ทางโลกนั่นเอง

ลึกๆพี่หวังว่าจะมีคนที่ปฏิบัติธรรมจนรู้เรื่องราวทางจิตพอสมควรและสนใจศึกษาหาความรู้ทางโลก จนสามารถนำมาประยุกต์ใช้จนเกิดความรู้ความเข้าใจใหม่ๆเพื่อเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำบารมีมาทางพุทธภูมิ ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่พี่เรียนเรื่องวาทะกรรม ทางหนึ่งพี่ก็ฟังจากอาจารย์และคิดวิเคราะห์ประมวลผลด้วยสมอง อีกทางหนึ่งพี่ก็ใช้อารมณ์จิตดูวิธีการทำงานของวาทะกรรม(discourse)ที่มีผลต่อมนุษย์ โดยดูกระบวนการสภาวะทางจิตตั้งแต่การรับรู้ผ่านอายตนะทั้ง 6 เข้ามาทางตา ทางหูเป็นต้น แล้วดูว่าเมื่อวาทกรรม(discourse)ต่างๆเหล่านี้เข้ามาที่ใจแล้วเกิดการปรุงแต่งอย่างไรบ้าง เป็นต้น

หรือแม้แต่การเรียนรู้ศาสตร์การเมือง ตอนนั้นพี่เรียนปรัชญาการเมืองว่าด้วย"เจ้าผู้ปกครองนคร"(The Prince)ของมาคิอาเวลลี่ มันจะมีบทหนึ่งว่าด้วย "รัฐศาสนา" อันเป็นการใช้ความเชื่อ ความศรัทธาในทางศาสนาเข้ามาปกครองประชาชน ตอนพี่เรียน พี่ยอมรับว่า soft power เหล่านี้ แม้จะไม่เห็นตัวอำนาจชัดๆอย่าง hard power เช่น อำนาจทางทหาร แต่ก็เป็นอำนาจที่มีอิทธิพลในเชิงลึก เพราะมันจะเข้าไปอยู่ในความคิด และจิตใจของผู้คนอย่างยากที่จะสลัดหลุด(โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกวาทกรรมต่างๆ) ซึ่งวิธีที่จะสลัดหลุดก็คือ การรู้ทันวาทะกรรม หรือการมีจิตที่รู้ทันการปรุงแต่งจากวาทะกรรม อันหมายความว่า คนๆนั้นจะต้องปฏิบัติธรรมจนรู้ทันสภาวะจิตระดับหนึ่งแล้วนั่นเอง

แต่สิ่งหนึ่งที่มาคิอาเวลลี่ไม่มีก็คือ ความรู้ในเรื่องของจิต ทั้งนี้เพราะเค้ารู้แต่ศาสตร์ในการปกครอง และรักษาอำนาจในทางโลกเท่านั้น โดยพื้นฐานความคิดของเค้ามองว่า มนุษย์นั้นชั่วร้าย เห็นแก่อำนาจและผลประโยชน์ ดังนั้นวิธีการให้ได้มาซึ่งอำนาจ และรักษาอำนาจเพื่อปกครองจึงต้องทำสิ่งต่างๆที่เค้าว่ามา โดยทึ่เค้าไม่ได้รู้เลยว่าปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คนๆหนึ่งสามารถได้อำนาจ รักษาอำนาจ และปกครองคนได้นั้น มาจากปัจจัย(factor)ที่มองไม่เห็น แต่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของมนุษย์ ซึ่งก็คือ กรรม นั่นเอง

ดังนั้น หลักการปกครองคนที่พี่ได้มาจากมาคิอาเวลลี่ก็คือ ผู้ที่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า(พุทธภูมิ)นั้น จะต้องรู้ว่าการที่เราจะมีบริวารหรือเพื่อนร่วมทางที่ดี และมีความภักดี(loyalty)ต่อเรานั้น จะต้องอาศัยการนำพาคนเหล่านั้นร่วมกันสร้างบุญบารมีมานับภพชาติไม่ถ้วน และยิ่งถ้าหากเราผู้เป็นพุทธภูมิที่สามารถสร้างพื้นฐานของ"คน"หรือบริวารเพื่อนร่วมทางได้ดีมากเท่าไหร่ การต่อยอดหรือนำบุญบารมีความสามารถของคนเหล่านั้นไปใช้ ก็จะยิ่งทำให้การทำบารมีของเรานั้นประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นไปอีกนั่นเอง

เมื่อได้ข้อสรุปดังนั้น พี่จึงคิดไว้คร่าวๆว่า ถ้าหากพี่จะสร้าง"คน"หรือเพื่อนร่วมทำบารมีในชาตินี้ พี่คงจะปูพื้นฐานบุญของทุกๆคนให้ดีก่อน โดยอย่างน้อยๆเพื่อนร่วมทำบารมีของพี่ทุกๆคนจะต้องมี"สังฆทาน" อันเป็นเหตุให้คำว่า"ไม่มี"ไม่เกิดขึ้นกับเค้าอีกเลยตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน และต้องมี"ธรรมทาน" อันเป็นเหตุให้คำว่า"ไม่รู้"ไม่เกิดขึ้นกับเค้าอีกเลยตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน และจะต้องเป็นคนที่รักษาศีล ๕ ได้เป็นอย่างดี มีการเจริญสมาธิภาวนาตามความสมควร ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้เรามีเพื่อนร่วมทำบารมีชั้นยอด เกิดมาชาติไหนก็จะมีกำลังทรัพย์ มีฐานะ มีสติปัญญาความรู้ฉลาดเฉลียวทั้งทางโลกทางธรรม และมีจิตใจที่เต็มไปด้วยพรหมวิหารธรรม ๔ ประการ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่อิจฉาซึ่งกันและกัน มีแต่ความเมตตาอยู่ในจิตใจ อันจะทำให้เราสามารถใช้ความรู้ความสามารถและศักยภาพของพวกเค้าได้อย่างเต็มที่นั่นเอง

"เรื่อง มหากุศล"

การที่ท่านทำทุกอย่างอย่างนั้นจัดเป็นมหากุศล เพราะการทำบุญที่เป็นส่วนสาธารณชนนั้น เช่นเอาข้าวสารเอาอาหารไปแจกคนยากจน เอาเสื้อผ้าไปแจก ถ้าจะเปรียบการให้ประเภทนี้ก็มีความดีคล้ายกับถวายสังฆทานแต่เสมอสังฆทานไม่ได้ เพราะสังฆทานเป็นทานที่หมายเอาพระพุทธเจ้าเป็นประธานมีพระอริยสงฆ์เป็นผู้รับ การที่เราให้กับคน บางทีคนที่รับก็เป็นคนมีศีลไม่บริสุทธิ์ อานิสงส์ก็น้อยไปหน่อย แต่ถึงจะน้อยประการใดก็ตามที บุญบารมีประเภทนี้ก็สามารถจะส่งผลให้เราเข้าถึงพระนิพพานได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตายในชาติปัจจุบัน ทางที่เราจะไปได้ก็คือสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ตัวอย่าง ท่านอังกุรเทพบุตร ให้ทานแก่คนภายนอกพระพุทธศาสนา ปรากฏว่าตายจากมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก แต่ว่าสภาพร่างกายไม่ผ่องใสพอ มีศักดาไม่เสมอด้วยเทวดาทั้งหลาย แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นเทวดาแล้ว ถึงแม้จะเป็นเทวดาท้ายแถวก็ยังดีกว่ามนุษย์หัวแถวเพราะไม่มีแก่ ไม่มีหิว ไม่มีกระหาย ไม่มีความหนาว ไม่มีความร้อน ไม่มีการป่วยไข้ไม่สบาย จะมีก็เพียงเกิดเป็นเทวดา แล้วก็ตายจากการเป็นเทวดาเท่านั้นเอง
ตายแล้วไปไหน

โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

White Sage · 18 พฤษภาคม 2014

nopphakan said: ↑

ประโยชน์อย่างหนึ่งนอกจากการน้อมมาดูใจตัวเองของวิชาพิเศษ
ที่เป็นประเด็นหลักๆของวิชานี้.. เป็นสิ่งที่ได้ยินมากับหูตัวเอง
จากหลวงตามีชื่อ ที่วัดมีชื่อถ้ำแห่งหนึ่งที่ จ.สระบุรี ท่านแนะนำ
เมื่อ ๒ ปีผ่านมา ตอนนั้นท่านแนะเทคนิคการฝึกกสิณให้ได้เร็วด้วย
ทั้งๆที่ท่านบอกมิได้มาทางนี้นะ..ลองคาดคะเนให้ปวดหมองไปก่อนนะ
จะมาเล่าให้ฟัง. ว่าจะคาดถึงหรือตรงงกันไหม ใบ้ว่ามันแปรผันตาม
ระดับกิเลสและบารมีเราด้วยถึงจะพอทำได้.. ตอนนี้งงไปก่อนนะ ๕๕๕

Click to expand...

ขอบคุณค่ะพี่นพ สาธุนะคะพี่ ^^ จริงๆมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เฟมยังไม่รู้เลยค่ะ ซึ่งเฟมว่าพี่นพน่าจะมีประสบการณ์หรือความรู้เรื่องราวต่างๆเหล่านี้มากพอสมควรเลย หากว่ามีโอกาสเฟมขอสอบถามจากพี่ด้วยนะคะ

อุทยัพ · 18 พฤษภาคม 2014

White Sage said: ↑

สวัสดีค่ะน้องอุทยัพ ยินดีที่ได้รู้จัก และสาธุอนุโมทนาในบุญกุศลทั้งปวงของน้องด้วยนะคะ

พี่คือพุทธภูมิหญิงคนนั้นเองค่ะ -*- คือก่อนพิมพ์พี่ตั้งใจว่าจะไม่บอกว่าเป็นใคร เพียงแต่นำเรื่องราวมาเล่าให้ฟังเท่านั้น แต่พี่ดันเผลอหลุดตอนพิมพ์ค่ะ(ประมาณว่าไม่เนียน) เพิ่งมารู้ก็ตอนที่มีคนจับสังเกตได้แล้ว เฮ้อ กรรม T^T

พี่เป็นสิงห์แดง 59 ค่ะ ห่างกันหลายปีอย่างนี้ไม่น่าจะมีโอกาสได้พบกันเนาะ

"การประยุกต์ใช้ความรู้ในทางจิต และองค์ความรู้ในทางโลก"

สำหรับเรื่องราวที่พี่เขียนไว้ในส่วนแรก "ประสบการณ์มโนมยิทธิ และญาณ ๘" จะเป็นเรื่องราวพื้นฐาน(basic)ของพี่ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรม โดยมีเนื้อหาตั้งแต่การพิสูจน์เรื่องภพภูมิต่างๆ เรื่องญาณ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีประจักษ์พยาน หรือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง โดยเนื้อหาในช่วงนี้พี่จะสอดแทรกเรื่องการปฏิบัติธรรมในส่วนของพรหมวิหาร ๔ หรือการทำสมาธิ เรื่อยไปจนถึงการดูวาระจิตของตัวเอง(เจโตปริยญาณ) อันจะนำไปสู่การพิจารณาในวิปัสสนาญาณต่อไปค่ะ

ส่วนเนื้อหาในส่วนที่สอง เป็นส่วนที่พี่เรียนรู้องค์ความรู้ต่างๆจากในมหาวิทยาลัย และนำมาประยุกต์ร่วมกับสภาวะทางจิต ประสบการณ์ทางจิตต่างๆทั้งหมดของตัวเอง แล้วนำไปสู่บทสรุป ข้อสังเกต และคำอธิบายในเรื่องบางอย่าง(ต้องลองอ่านดูจ้า) ซึ่งตอนที่พี่เรียน พี่เลือกเรียนโทเสรีค่ะ จึงได้เรียนพวกประวัติศาสตร์ จิตวิทยา เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ดังนั้นถ้าน้องอ่านจะเห็นพื้นฐานความคิดพี่คร่าวๆว่าล้วนมาจากศาสตร์ต่างๆเหล่านี้ และน้องจะเห็นอีกว่าสิ่งที่พี่กล่าวไว้นั้น ถือเป็นผลรวมมาจากพื้นฐานทางจิตและองค์ความรู้ทางโลกนั่นเอง

ลึกๆพี่หวังว่าจะมีคนที่ปฏิบัติธรรมจนรู้เรื่องราวทางจิตพอสมควรและสนใจศึกษาหาความรู้ทางโลก จนสามารถนำมาประยุกต์ใช้จนเกิดความรู้ความเข้าใจใหม่ๆเพื่อเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำบารมีมาทางพุทธภูมิ ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่พี่เรียนเรื่องวาทะกรรม ทางหนึ่งพี่ก็ฟังจากอาจารย์และคิดวิเคราะห์ประมวลผลด้วยสมอง อีกทางหนึ่งพี่ก็ใช้อารมณ์จิตดูวิธีการทำงานของวาทะกรรม(discourse)ที่มีผลต่อมนุษย์ โดยดูกระบวนการสภาวะทางจิตตั้งแต่การรับรู้ผ่านอายตนะทั้ง 6 เข้ามาทางตา ทางหูเป็นต้น แล้วดูว่าเมื่อวาทกรรม(discourse)ต่างๆเหล่านี้เข้ามาที่ใจแล้วเกิดการปรุงแต่งอย่างไรบ้าง เป็นต้น

หรือแม้แต่การเรียนรู้ศาสตร์การเมือง ตอนนั้นพี่เรียนปรัชญาการเมืองว่าด้วย"เจ้าผู้ปกครองนคร"(The Prince)ของมาคิอาเวลลี่ มันจะมีบทหนึ่งว่าด้วย "รัฐศาสนา" อันเป็นการใช้ความเชื่อ ความศรัทธาในทางศาสนาเข้ามาปกครองประชาชน ตอนพี่เรียน พี่ยอมรับว่า soft power เหล่านี้ แม้จะไม่เห็นตัวอำนาจชัดๆอย่าง hard power เช่น อำนาจทางทหาร แต่ก็เป็นอำนาจที่มีอิทธิพลในเชิงลึก เพราะมันจะเข้าไปอยู่ในความคิด และจิตใจของผู้คนอย่างยากที่จะสลัดหลุด(โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกวาทกรรมต่างๆ) ซึ่งวิธีที่จะสลัดหลุดก็คือ การรู้ทันวาทะกรรม หรือการมีจิตที่รู้ทันการปรุงแต่งจากวาทะกรรม อันหมายความว่า คนๆนั้นจะต้องปฏิบัติธรรมจนรู้ทันสภาวะจิตระดับหนึ่งแล้วนั่นเอง

แต่สิ่งหนึ่งที่มาคิอาเวลลี่ไม่มีก็คือ ความรู้ในเรื่องของจิต ทั้งนี้เพราะเค้ารู้แต่ศาสตร์ในการปกครอง และรักษาอำนาจในทางโลกเท่านั้น โดยพื้นฐานความคิดของเค้ามองว่า มนุษย์นั้นชั่วร้าย เห็นแก่อำนาจและผลประโยชน์ ดังนั้นวิธีการให้ได้มาซึ่งอำนาจ และรักษาอำนาจเพื่อปกครองจึงต้องทำสิ่งต่างๆที่เค้าว่ามา โดยทึ่เค้าไม่ได้รู้เลยว่าปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คนๆหนึ่งสามารถได้อำนาจ รักษาอำนาจ และปกครองคนได้นั้น มาจากปัจจัย(factor)ที่มองไม่เห็น แต่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของมนุษย์ ซึ่งก็คือ กรรม นั่นเอง

ดังนั้น หลักการปกครองคนที่พี่ได้มาจากมาคิอาเวลลี่ก็คือ ผู้ที่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า(พุทธภูมิ)นั้น จะต้องรู้ว่าการที่เราจะมีบริวารหรือเพื่อนร่วมทางที่ดี และมีความภักดี(loyalty) ต่อเรานั้น จะต้องอาศัยนำพาคนเหล่านั้นร่วมกันสร้างบุญบารมีมานับภพชาติไม่ถ้วน และยิ่งถ้าหากเราผู้เป็นพุทธภูมิสร้างพื้นฐานของ"คน"หรือบริวารเพื่อนร่วมทางได้ดีมากเท่าไหร่ การต่อยอดหรือนำบุญบารมีความสามารถของคนเหล่านั้นไปใช้ ก็จะยิ่งทำให้การทำบารมีของเรานั้นประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นไปอีกนั่นเอง

เมื่อได้ข้อสรุปดังนั้น พี่จึงคิดไว้คร่าวๆว่า ถ้าหากพี่จะสร้าง"คน"หรือเพื่อนร่วมทำบารมีในชาตินี้ พี่คงจะปูพื้นฐานบุญของทุกๆคนให้ดีก่อน โดยอย่างน้อยๆเพื่อนร่วมทำบารมีของพี่ทุกๆคนจะต้องมี"สังฆทาน" อันเป็นเหตุให้คำว่า"ไม่มี"ไม่เกิดขึ้นกับเค้าอีกเลยตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน และต้องมี"ธรรมทาน" อันเป็นเหตุให้คำว่า"ไม่รู้"ไม่เกิดขึ้นกับเค้าอีกเลยตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน และจะต้องเป็นคนที่รักษาศีล ๕ ได้เป็นอย่างดี มีการเจริญสมาธิภาวนาตามความสมควร ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้เรามีเพื่อนร่วมทำบารมีชั้นยอด เกิดมาชาติไหนก็จะมีกำลังทรัพย์ มีฐานะ มีสติปัญญาความรู้ฉลาดเฉลียวทั้งทางโลกทางธรรม และมีจิตใจที่เต็มไปด้วยพรหมวิหารธรรม ๔ ประการ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่อิจฉาซึ่งกันและกัน มีแต่ความเมตตาอยู่ในจิตใจ อันจะทำให้เราสามารถใช้ความรู้ความสามารถและศักยภาพของพวกเค้าได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
Click to expand...

สาธุครับพี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอรุ่นพี่สิงห์แดงในพลังจิต ในห้องอภิญญาxp แห่งนี้ด้วย เพราะวิสัยของนักเรียนรัฐศาสตร์มักจะไม่ใช่แบบพี่หรือผมเลยครับ
(ฮา) ผมไม่ได้ว่าพี่นะค้าบบบบ ไม่แน่ใจว่าพี่ได้อ่านประสบการณ์ของผมในกระทู้พี่เก่งรึยัง หากพี่อ่านแล้วพี่ก็จะทราบว่าก่อนที่ผมจะเข้ามาเรียนใน
ระดับมหาวิทยาลัย ผมมีความสุขกับการปฎิบัติธรรมมาก แต่พอเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย เจอวิชาเรียนแบบTU110 , TU120 มันทำให้ผมพยายามมองทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลไปซะหมด โดยละเลยการปฎิบัติ ผมไม่ได้รู้ตัวเร็วแบบพี่ แต่ก็พยายามทำทุกอย่างให้ดี พยายามรักษาศีล5ให้บริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ แต่มันก็มักจะเว้าแหว่ง หรือ มัวหมองเป็นประจำ อนุโมนากับพี่จริงๆนะครับที่ปราถนาที่จะขนย้ายสัตว์โลกต่างๆในข้ามพ้นทะเลทุกข์ไปได้ ส่วนผม..ผมขอตัดช่องน้อยแต่พอตัวแล้วกันครับ (คนแบบผมนี่แหละครับที่มหายานดูแคลนว่าเป็นพวกหินยาน เป็นพวกตัดช่องน้อยแต่พอตัว แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถช่วยใครได้หรอกครับ แค่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย)

ปล.อยากเจอพี่สักครั้ง อยากสนทนาธรรมกับพี่สักครั้งจังครับ ตอนพี่เรียนพี่เรียนรังสิตหรือท่าพระจันทร์ครับ ถ้าว่างๆอยากสนทนาธรรมกับพี่สักครั้ง และ ถ้าหากพี่เมตตาพอจะสงเคราะห์ผมได้ ผมจะขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเลยครับ

ปล2.ผมอ่านเรื่องราวของพี่แล้วก็งงๆแหละครับว่า ตกลงเป็นเรื่องของพี่หรือเรื่องของคนอื่นกันแน่ แต่ใจบอกว่ามันคงเป็นเรื่องของพี่เองแน่นอนครับ ฮ่าๆ

choto · 18 พฤษภาคม 2014

ผมก็สิงห์เหมือนกัน แต่เป็นสิงห์เขียว

ผมไม่ค่อยเอาความรู้ทางรัฐศาสตร์มาประยุกต์เท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะสาขาวิชามันโน้มไปในทางป้องกันแก้ไขผู้กระทำความผิดซะมากกว่า ง่ายๆคือผมเรียนสาขาอาชญาวิทยา แต่ความรู้ก็ขี้เล็บอ่ะครับ

ความรู้ทางโลกก็ไม่เท่าไหร่ ทางธรรมยิ่งแล้วใหญ่ อาศัยว่ามีความอยากเสียเยอะ อยากนู้นอยากนี่ไปหมดเลย แต่ให้ลงมือทำนี่ไม่ได้ถึง ๕๐% ของอารมณ์อยากเลย (อยากในทางที่ดีนะครับ ในทางที่ดีก็มีเยอะเหมือนกัน)

อนุโมทนาในบุญกุศลนะครับ วันนี้เอาบุญมาฝาก ผมไปร่วมกับเด็ก มธ. ไปร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์ศาลาปฏิบัติธรรมวัดป่าภูริทัตตปฏิปทารามมาครับ

อุทยัพ · 19 พฤษภาคม 2014

"ต่อไปเธอจะต้องออกจากการปฏิบัติธรรม โดยจะมีเหตุให้เธอกลับเข้ามาอีกครั้ง ขอให้เธอเชื่อนะว่าเรื่องเหล่านี้มีอยู่จริง"
Click to expand...

พอเห็นพระพุทธพจน์นี้ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพี่เฟม(ใช่รึเปล่าครับ ถ้าผิดขออภัยนะครับ แหะๆ) ทำให้ผมนึกถึงตัวเองขึ้นมาตะหงิดๆ ช่วงม.6ที่ผมเริ่มฝึกปฎิบัติตามสายวิชชาสามและอภิญญาสายมโนมยิทธิ และ ได้ฟังคำสั่งสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำของเรา ช่วงนั้นผมมีกำลังใจที่ดีมาก ทรงตัวได้เป็นอย่างดีในกรอบของพระพุทธศาสนา พยายามรักษาศีลใหับริสุทธิ์ (ถึงแม้ว่าจะเว้าแหว่งเป็นประจำก็ตาม) เรียกได้ว่าช่วงนั้นฟังแต่คำสอนของหลวงพ่อเป็นส่วนใหญ่เลยครับ เวลานั่งรถไปเรียนพิเศษก็เปิดฟังเสียงของหลวงพ่อ ตอนนั้นมีความสุขมาก เคยคิดว่าถ้าสอบตรงคณะรัฐศาสตร์ไม่ได้และแอดมิดชั่นไม่ติด ก็คงจะบวชเรียน แต่สุดท้ายโชคชะตาหรืออะไรก็ตามมันก็นำพาให้ผมมีที่เรียน และไดัเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผมก็ละเลยการปฎิบัติไป...

ผมเริ่มหาคำตอบให้กับชีวิตว่าอะไรคือความจริงสูงสุด ผมกลับมารับเชื่อพระเจ้า(ช่วงม.3-ม.4 ผมเคยเชื่อพระเจ้าแบบศาสนาคริสต์ครับ) สัมผัสความรัก และ พระเมตตาของพระองค์ ผมสัมผัสทั้งแบบโปรเตสแตนต์ และ คาธอลิค แต่สุดท้ายผมกลับรู้สึกว่ามันก็ยังไม่ใช่คำตอบอยู่ดี ผมจึงละทิ้ง และใช้ชีวิตทางโลกแบบเต็มสตรีม ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นก็ตามแต่ศีลขัอที่5ผมก็ไม่เคยขาดหรือทะลุเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมรู้สึกว่ามันไม่น่าอภิรมย์เลยแม้แต่น้อย.. จนในที่สุด ไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่ลากผมกลับเข้ามาในเส้นทางนี้ หลังจากที่ผมหลงทางไปนาน ผมเริ่มกลับมาสวดมนต์อีกครั้ง ใส่บาตรทุกๆครั้งที่มีโอกาส ทำทานทุกครั้งที่มีโอกาส ศีลก็เหมือนเดิมครับ เว้าแหว่งอย่างที่ผมเคยเป็น แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมเลยคือ 'กำลังใจ' ครับ ไม่ว่าผมจะพยายามเท่าไหร่ ผมก็ไม่เคยทรงกำลังใจได้แบบเดิม อย่างที่ผมเคยมีและเป็นแบบตอนม.6อีกเลย เป็นกังวลอยู่เหมือนกันครับ ว่าการกลับไปฝึกมโนมยิทธิคราวนี้มันจะไม่มีผล เพราะนิวรณ์ความสงสัยในความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และการใช้เหตุผลมากจนเกินไปของผม ผมเกรงว่าทุกอย่างจะแย่ลง....

softkid9 · 19 พฤษภาคม 2014

น้องกฤษณ์ลองอ่านกระทู้ พระนิพพานจากคำครูอาจารย์ ดูนะครับเผื่อจะได้กำลังใจเพิ่มมากขึ้น ขออนุโมทนาในการที่น้องกฤษณ์จะไปฝึกมโนมยิทธิและขออวยพรให้ประสบความสำเร็จนะครับ

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

ประสบการณ์มโนมยิทธิ และญาณ ๘

White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

ไฟล์ที่แนบมา:

Clip_0.jpg

Clip_1.jpg

Clip_2.jpg

Clip_3.jpg

Clip_4.jpg

Clip_5.jpg

Clip_6.jpg

Clip_7.jpg

Clip_8.jpg

White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

arron_chris เป็นที่รู้จักกันดี

yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

arron_chris เป็นที่รู้จักกันดี

White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

choto เป็นที่รู้จักกันดี

อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

ประสบการณ์มโนมยิทธิ และญาณ ๘

ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา