ประสบการณ์บรรลุโสดาบัน

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 23 กุมภาพันธ์ 2023.

  1. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    1209301385.gif
    ประสบการณ์บรรลุโสดาบัน ของ อ.สุรวัฒน์ ศิษย์ของ ลพ.ปราโมทย์ ปาโมชฺโช​
    .
    ๑๓. ตัวเราก็ถูกรู้เช่นกัน

    เมื่อผ่านการเจริญสติสัมปชัญญะ ด้วยการรู้สิ่งที่ปรากฏด้วยจิตที่เป็นกลางได้ประมาณเกือบ ๘ เดือน ความรู้สึกว่ามีตัวเราอยู่จึงได้ปรากฏชัดขึ้น ในตอนนั้นจิตก็ยังเห็นผิดไปว่าตัวเรามีอยู่ แต่ด้วยการยึดในหลักการปฏิบัติว่า ให้รู้สิ่งปรากฏด้วยจิตที่เป็นกลาง จึงได้เฝ้ารู้อยู่ทุกครั้งที่มีตัวเราเกิดขึ้น ได้เห็นความเกิดขึ้นและดับไปของตัวเรานั้นเอง

    เมื่อเห็นความเกิดขึ้นและดับไปของตัวเราหลายครั้งเข้า ก็ได้เห็นถึงสภาวะที่จิตคลายจากการยึดอยู่ในตัวเราแล้วไปยึดอารมณ์อื่นแทน จึงทำให้เห็นว่าความรู้สึกว่าตัวเราก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ และเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าแท้ที่จริงแล้ว ความรู้สึกว่าเป็นตัวเรานั้น เป็นเพียงสิ่งๆ หนึ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ แต่อย่างใด

    ๑๔. จิตเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

    หลังจากเห็นว่าตัวเรากลายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้ไม่นาน ในตอนเย็นของวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๓ หลังจากเลิกงานแล้ว ได้ไปรอรับภรรยากลับบ้าน ขณะที่นั่งรออยู่นั้นรู้สึกเหนื่อยเพราะทำงานมาทั้งวัน จึงได้หลับตาพักด้วยความรู้ตัวอยู่ ในขณะนั้นได้นึกขึ้นมาว่าเพียงแค่ละความเห็นผิดไปได้เท่านั้นก็เป็นพระโสดาบันได้ แล้วจิตก็เกิดการรวมลงไปเองอย่างรวดเร็ว และรู้ถึงสภาวะที่จิตหลุดพ้นได้แวบหนึ่ง แล้วก็กลับถูกห่อหุ้มเช่นเดิมอีก

    จึงได้เข้าใจชัดเจนถึงสภาวะของจิตที่หลุดพ้นว่า ที่จริงก็คือ จิตที่ไปรู้อยู่แต่อารมณ์นิพพาน ไม่เที่ยวไปรู้อารมณ์อื่นๆ ที่เป็นราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ความสงสัยในมรรคผลนิพพานว่าเป็นอย่างไรกันแน่จึงเป็นอันสิ้นสุดลง ความเห็น ว่ากายและจิตเป็นตัวเราก็หมดไป มีแต่ความเห็นว่าทั้งกายและจิตนั้นไม่ใช่ตัวเรา และเห็นได้อย่างชัดเจนว่า จิตนี้ยังมีกิเลสอยู่อีกมากมาย ยังมีกิจที่ต้องทำอีกมากกว่าจะพ้นไปเสียจากทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง และไม่มีทางอื่นใดที่จะนำไปให้พ้นจากทุกข์ได้ นอกจากทางเจริญสติปัฏฐานของพระพุทธศาสนานี้เท่านั้น

    นับแต่วันนั้นก็รู้ได้ถึงสภาวะจิตที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ทำให้เริ่มประจักษ์ถึงการมีชีวิตอยู่อย่างเป็นทุกข์ที่น้อยลงไปกว่าเดิม มีความเห็นชัดเจนอยู่ว่า ทั้งกายและจิตนี้ไม่ใช่เรา แม้สามารถรู้ได้ถึงความเบาสบายของจิต ที่เหมือนกับได้ปลดปล่อยของที่หนักลงไปได้บางส่วน

    แต่จิตก็ยังยึดอยู่กับรูปและนามอย่างเหนียวแน่น จึงมีความมุ่งมั่นที่จะชำระกิเลสให้หมดสิ้นไป เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป ตามรอยพระพุทธองค์และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา และได้เรียนรู้ธรรมะจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่ท่านได้เมตตาอบรมสั่งสอนมา จนตราบเท่าทุกวันนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...