ปรอทสำเร็จ ของดีจากตำนาน

....กลับจากงานถึงบ้านก็เข้ามาติดตามอ่านบทความความในกระทู้ของ อ.ทิพยจักรเลยครับ..ผมเพิ่งจะเรียนรู้และรู้จักปรอทและอิทธิคุณมงคลของปรอทในกระทู้นี้แหละครับ....แต่ก่อนได้ยินได้ฟังมาบ้างก็จากพิธีกรรมในการทำเบี้ยแก้เท่านั้นครับ..ขออนุโมทนา.ครับ

 

เขียนภาษาไทยให้มันอ่านเข้าใจ หรือถูกต้องหน่อยนะครับ
ขอบคุณ

 

ขนเสื่อ ขนหมอน มานอนรอเลยดีกว่า ความรู้ทั้งนั้น

 

ผมว่าเขาอ่านกันเข้าใจหมดนะครับ...และก็เขียนถูกต้องแล้วไม่ผิดภาษา ในเน็ตก็เป็นแบบนี้แหละ...เล่น Facebook เล่น M หรือโปรแกรมสำเร็จรูปตัวอื่นก็ยิ่งกว่านี้ผมว่าคำว่า "อะ"ตัวเดียวไม่ได้ทำให้ประโยคเสียไปเลยซักนิดเป็นแค่คำต่อท้าย...เพื่อให้ได้อรรถรสในการเขียนเท่านั้นเอง...เรื่องเล็กน้อยมากเลยนะไม่น่า...หรือว่าคิดว่าผมกวยคุณ ทิพยจักร การสอบถาม เป็นเรื่องที่ได้ความรู้ก็เหมือนนักข่าวถามปัญหาบางทีก็แรงหน่อย...แต่ได้คำตอบที่หลากหลาย....มันก็ได้เนื้อหาดีๆเพิ่มเติมขึ้นมา....ส่วนตัว...ผมรู้จักรคุณทิพยจักรและก็เคย...เจอกันมาแล้ว.....แต่คุณทิพยจักรก็นิสัยดีเพราะฉะนั้นการถามเป็นการต้องการคำตอบเพื่อให้ทุกคนได้รู้ข้อมูลใหม่ๆเท่านั้น....ไม่ได้มีจุดประสงค์ือื่น......

 

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตามกระทู้ครับผม

 

เห็นด้วยว่าสิ่งเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นยาก
คนธรรมดาที่ไม่มีความสามารถพิเศษ ในการจับพลังวัตถุมงคล มีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลาในการบูชาวัตถุมงคล เพราะจะตัดสินในจากข้อมูลที่ได้จากการอ่านการฟัง ไม่สามารถพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง

ผมเข้่าใจคนถามนะครับ คงอยากเห็นว่าที่บอกว่าอมปรอทแล้วเหาะได้ ทำให้เห็นได้หรือเปล่า แต่ผมว่าคงยากครับ

ผมเองเก็บคตปรอท และ ปรอทาสำเร็จของหลวงปู่ละมัย ตอนแรกก็ด้วยได้ยินได้ฟังคุณวิเศษของสิ่งต่างๆ เหล่านี้จากเว็ปพลังจิตนี้เองครับ

แต่พอไปกราบหลวงปู่จริงๆ ไม่เคยได้ยินหลวงปู่ท่านบอกว่าคตปรอท หรือ ปรอทสำเร็จของท่านวิเศษอย่างไร แต่ท่านกลับบอกว่า พวกที่มาที่สวนสมุนไพรที่ท่านอยู่เป็นพวกตื่นข่าว(เชื่อมงคลตื่นข่าวลือ) ท่านยังบอกอีก ว่าไก่ที่ท่านเลี้ยงต่อไปมันคงโง่เหมือนพวกที่มาที่นี่

แต่ผมก็ไปกราบท่านอีกหลายครั้ง เห็นการวางตัวของท่าน เป็นความเมตตาของท่าน ทำให้เกิดความเคารพศัทธาในองค์ท่าน วัตถุมงคลของท่านที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นของธรรมดา หรือ ของวิเศษก็ไม่สำคัญแล้วหละครับ เพราะเราเคารพศัทธาท่าน วัตถคมงคลมีเพื่อระลึกถึงท่าน......

 

ตอนนี้กำลังรวบรวมตำราทั้งของสายอาจารย์โยธินและหลวงปู่ละมัย(รู้จักกับลุกศิษย์ท่านที่เคยธุดงค์กับหลวงปู่และช่วยหลวงปู่หุงปรอทอยู่ตอนบวช) เมื่อรวบรวมมาได้แล้วต้องมาประมวลดูว่าวิธีการ...หรือ จิต ที่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการหุงปรอท...คงขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้...แต่ถ้าทำเสร็จแล้วนำไปให้คนมีสมาบัติเสกอีกทีอันนี้พอไหว...แต่ถ้าทำไปด้วยเข้าสมาบัติไปด้วยอย่างนี้คนที่เขาสำเร็จสมาบัติเขาคงไม่เอากับเราด้วย....เพราะคนที่ทำได้ขนาดนี้เขาไม่มาทำหรือเล่นแร่แปรธาตุแน่.....นอกจากจะเริ่มต้นมาจากการเล่นแร่แปรธาตุฝึกฝนมาทางนี้จนได้ญาณสมาบัติ....

ต้องขอบูชาจากอาจารย์โยธินแล้วเอามาให้อาจารย์เสกรองดูว่าจะได้ขั้นไหน...เคยเอาคตปรอทของหลวงปู่ละมัยให้ท่านอัดพลังให้....ผมถามว่าอมแล้วเหอะได้หรือป่าว...อาจารย์บอกไม่ได้...แล้วก็อัดพลังให้....พอเสร็จบอกว่าทีนี้อมแล้วเข้าฌาณได้เลย....ใครเจอคนเข้าสมาบัติได้ช่วยบอกด้วยครับ....ช่วยกันตามหา....

 

ขอบคุณครับ ขอโทษด้วยนะครับ

 

อยากให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านถือว่าเป็นการศึกษาวิชาแขนงหนึ่งของไทยที่กำลังสาบสูญนะครับ เรื่องปรอทกายสิทธิืการเล่นแร่แปรธาตุ ทุกวันนี้คนรู้จักน้อยลงทุกที ตอนที่อาจารย์โยธินเข้าไปขอค้นข้อมูลที่สำนักหอสมุดแห่งชาติท่านก็เขียนคำร้องยื่นไปว่า ต้องการศึกษาเพื่ออนุรักษ์วิชาความรู้มิให้สูญหายทั้งนี้ท่านอาจารย์ได้กราบขอบพระคุรครูบาอาจารยืแต่หนหลังมาที่อุตส่าห์จดบันทึกตำราไว้มี กรมหลวงวงศาฯกรมหมื่นชัยนารถฯ เป็นผู้ได้ตำราปรอทวิเศษจากวัดสำจีน (สำนวนเก่า) เป็นผู้มอบตำราให้หอมุดแห่งชาติ โดยประทานไว้เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2458 และขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านรวมทั้งท่านอธิบดีสำนักหอสมุดที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสืบสานวิชานี้ไว้

ทั้งนี้อาจารย์ได้เปิดวิชาเหล็กปรอทตำรับเมืองพุกามให้หลายท่านได้ลองศึกษากันดู
ตำราวิชาเหล็กปรอทมีดังนี้ครับ

ตำราเหล็กปรอทนั้นเป็นการเอาเหล็กน้ำหนัก 1 บาท มาหลอมรวมกับปรอน้ำหนัก 1 บาท เริ่มจากการเคี่ยวปรอทกับเหล็กโดยการกวนให้เข้ากันในไฟให้กินกันให้รวมกันก่อนจากนั้นนำลูกปรอท มาชำระโทษด้วยน้ำยาชนิดต่างๆดังนี้ ให้ล้างขี้ปรอทด้วยน้ำอ้อยแดง น้ำมะนาว น้ำส้มหมัก น้ำมะพร้าวนาฬิเก นำมาคนรวมกัน เอาน้ำยาที่ได้มากวนปรอทนาน 3 วัน ไล่พิษไล่ขี้ปรอทได้ แต่ยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ต้องอาศัยตัวยาชุดต่อไปอีก ได้แก่ น้ำผึ้ง น้ำอ้อยแดง น้ำมะพร้าว น้ำมะนาว น้ำมันงา เตรียมยาชุดนี้ไว้เพื่อผสมกับสมุนไพรอีก 7 ชนิดคือ เอาคิลาแดง คิลาดำ คิลาขาว คิลาแกลบ คิลาตั๊กแตน ดีจระเข้ ดีปลาตะเพียน จากนั้นเอาสมุนไพรลงผสมกับน้ำสมุนไพรทั้ง 5 ใช้กวนปรอทจนปรอทขาวดุจงาช้าง น้ำหนักเหลือเพียง 1 สลึง 1 เฟื้อง จึงใช้ได้ วิธีการกวนนั้นพิสดารอย่างยิ่งซึ่งผมจะคอยมาทยอยลงเรื่อยใจเย็นๆกันหน่อยนะครับ ถือว่าเป็นการหาควารู้ร่วมกันศึกษาไปด้วยกันนะครับ

 

มารอรับความรู้เรื่องปรอทอีกคนครับ

 

ภาพปรอทจากสายวิชาทางพม่า ภาพเหล่านี้ผมหามาจาก fb Nagamasa Alchemy ธาตุที่เห็นนี้เกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุของกลุ่มชาวรัสเซียที่ไปเรียนสมาธิและการเล่นแร่แปรธาตุจากเมืองพม่า พวกเขาจะนับถือ "สยาดอ โกวินดา" เป็นบรมครู ซึ่งกล่าวกันว่าสยาดอท่านนี้มีอายุยืนยาวมาหลายร้อยปีแล้ว ธาตุที่สำเร็จออกมานั้นพวกเขาจะไว้ใช้รักษาโรคโดยการวางประคบตามตำแหน่งต่างๆของร่างกายเช่นหน้าผาก กระหม่อม ท้ายทอย เป็นต้น


ภาพสุดท้ายที่ท่านเห็นเป็นก้อนสีดำนั้น ผมมองแล้วคล้ายการเล่นแร่แปรธาตุตามสูตรวิชาน้ำประสานเพชรของอาจารย์โยธิน ซึ่งผมจะค่อยๆนำมาเล่าให้ฟังในภายหลังครับ

 

การหุงปรอทสายพม่า...รองเข้าไปดูกันครับ....http://www.facebook.com/nagamasa.alchemy/photos_stream

รูปแบบการหุงแตกต่างจากประเทศไทย....เอาไว้ศึกษาหลายๆศาสตร์....

http://www.facebook.com/alexander.mamontov1/photos_stream

<iframe src="http://www.facebook.com/video/embed?video_id=111841278925925" width="300" height="400" frameborder="0"></iframe>

 

วิชากการหุงปรอทในไทยเราก็มีหลายสายที่หุงด้วยเบ้า ใช้ความร้อนก็มี ที่ใช้ว่านยากวนก่อนแล้วนำไปต้มด้วยว่านยาอีกครั้งก็มี หรือใช้ปูนกินหมากกวนก็มี และยังมีอีกหลายต่อหลายวิธี สำหรับวิชาสายพม่าที่จะนำมากล่าวกันต่อ คือหลังจากนำปรอทที่ตีเข้ากับเหล็กมาชำระพิษด้วยน้ำ้ออยแดง น้ะนาว น้ำส้มหมักเรียบร้อยจนกระทั่งนำมาเข้ากับตัวยาสมุนไพร ซึ่งทำด้วย น้ำผึ้ง น้ำอ้อยแดง น้ำทะพร้าวนาฬิเก ฯลฯ ผสมกับคิลาแดง คิลาดำ คิขาว คิลาแกลบ คิลาตั๊กแตนดีแล้ว เอายาชนิดนี้มาซัดปรอทให้ได้ ๕๖ ครั้ง (เท่ากับอักขระในบทพระพุทธคุณ อิติปิโส) ระหว่างซัดยานั้นภาวนาบทพระพุทธคุณอิติปิโสให้ได้ครับ ๑๑๐๐ คาบ จากนั้นจารบทพระพุทธคุณลงบนหินบดเอาปรอทที่ซัดยาแล้วมาบดให้ละเอียด ระหว่างนั้นให้เจริญภาวนาคาถาชยันโตให้ได้อีก ๑๐๐๐ คาบ จากนั้นลงคาถากรณียเมตตาสูตรลงบนแท่นหินบดแล้วนำปรอทมาบดอีกต่อไปอีกครั้ง เอาปรอทที่ผ่านการบดมาหลอมขึ้นใหม่ เมื่อได้ปรอทเป็รลูกมาแล้วให้นำมาบดอีกครั้งทำเช่นนี้ให้ได้ ๕๖ ครั้ง จนกระทั่งปรอทนั้นขาวดุจงาช้างและย่อเล็กลงจนเหลือน้ำหนักเพียง ๑ สลึง ๑ เฟื้อง ปรอทนั้นมีฤทธิืมากยิ่งนัก เมื่อพกติดตัวไว้จะมีกำลังดังช้างสาร มีอายุยาวนานได้ ๑ พันปี เสพเมถุงได้วันละ ๑ พันครั้ง ถ้าจะไปไหนเอาปรอทคาดเอวสวดคาถากรณี ๑ พันคาบแทรกแผ่นดินดำดินไปได้ทุกที่ ถ้าจะเหาะเดินเหิรไปในอากาศให้อมปรอทไว้ในปากแล้วเจริญคาถาชยันโตครบ ๑ พันคาบไปได้แล มีฤทธิ์ดั่งฤๅษีสิทธิวิทยาธร ถ้าจะเดินบนผิวน้ำเอาปรอทชุบด้วยดีจระเข้คาดศีรษะแล้วเสกด้วยคาถา อิติปาระมิตตาติงสา ๑ พันคาบ เดินบนน้ำได้แล

นี่แหละครับตำราปรอทจากเมืองพุกามพรรณาวิชาปรอทเหล็กไว้ดังนี้ แต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิชาปรอทซึ่งความจริงยังมีวิชาเล่นแร่แปรธาตุอีกมากมายนัก ลงไว้เป็นวิทยาทานไม่ให้วิชาสูญหายไปตามกาลเวลา

 

ภาพอาจารย์โยธิน คล้ายดี เข้ากราบ พระอาจารย์ไพบูลย์ คณะ ๔ วัดหงษ์รัตนาราม นำปรอทที่สำเร็จจากแร่บางไผ่ ปรอทที่สำเร็จจากแร่พญาเหล็กย้อย ปรอททนสิทธิ์ นำมาถวายพระอาจารย์ไพบูลย์ไว้รวมทั้งหมด ๔ องค์ด้วยกัน ตามภาพที่เห็นครับ

 

ภาพนี้พระอาจารย์ไพบูลย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหงษ์รัตนาราม ได้ค้นสมุดข่อยไทยดำ ภายในบันทึกวิชาปรอทไว้ได้แก่การเล่นแร่แปรธาตุทำทองนพคุณ วิชาปรอทคาดเอว พระอาจารย์ท่านได้มอบตำรานี้ให้อาจารย์โยธินไว้ศึกษาวิชาต่อเพื่อมิให้ของเก่าของดีของไทยเราสูญหายไปตามกาลเวลา

 

ปรอทสำเร็จที่ได้จากการกวนด้วยแร่บางไผ่ มีลักษณะแปลกที่มันสามารถคายปรอทน้ำเม็ดเล็กออกมาจากตัวได้

 

ภาพปรอททนสิทธิ์มีทองเมฆสิทธิ์ ปรอทชนิดนี้ไม่มีการเข้าเนื้อด้วยทองคำแต่อย่างใด แต่เกิดการกลับสีของตัวมันเองตามธรรมชาติด้วยฤทธิ์ของว่านยาที่ซัดลงไป ปรอทชุดนี้เป็นปรอทชุดใหม่ที่ท่านทำขึ้นตอนนี้มีอยู่ทั้งหมด ๘ องค์ด้วยกันครับ

 

ปรอทองค์นี้ทำขึ้นเป็นพิเศษ กวนด้วยแร่บางไผ่ และ แร่พญาเหล็กย้อย องค์นี้ถวายให้พระอาจารย์ไพบูลย์ไปเรียบร้อยแล้วครับ

 

เจ้าน้ำเงินเป็นแบบนี้หรือเปล่าครับ

 

ภาพแร่บางไผ่ดิบๆที่ยังไม่ได้เผา พระอาจารย์ไพบูลย์ท่านไปงมมาเองกับลูกศิษย์ ก่อนงมทำพิธีขอต่อเจ้าที่เจ้าทางเสียก่อน จากนั้นเมื่อได้มาท่านก็เลี้ยงไว้ในน้ำ ส่วนนึงได้มอบให้อาจารย์โยธิน คล้ายดีลองไปแปรธาตุจนได้ปรอทสำเร็จจากแร่บางไผ่ ซึ่งปัจจุบันมีเพียงสององค์เท่านั้นครับ