บุคคล 2 จำพวก ที่พระพุทธเจ้าบัญยัติไว้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ต้นปลาย, 24 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    คงไม่ใช่ สัจจะ คือ ความจริง การคิดว่าเราจำทำอะไร สำหรับ ต้องตั้งอยู่เป็นฐานแห่งธรรมเพื่อการหลุดพ้น

    หากไม่ใช่คงเป็นเรื่องของทิฐิ

    อะไรที่ดูเหมือนกระทืบ ปาก กิริยานั้นเป็นไฉน
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    (คัดลอกเป็นบางส่วนจาก “ธัมมวิโมกข์” ปีที่ 27 ฉบับที่ 297 ธันวาคม 2548 ในหน้า 43 ถึง 47)

    สำหรับวันนี้ ก็จะขอเทศน์เป็นการตัดอายุ....

    เนื้อความก็มีอยู่ว่า
    เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ ในวันนั้น องค์สมเด็จพระบรมครู ไปทรงกล่าวกับบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า....

    “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัพเพ สัตตา มริสสันติ มรณันตัง หิ ชีวิตัง คนเราเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น”

    หมายความว่า คนทุกคน และสัตว์ทุกประเภท ที่เกิดมาแล้ว มันก็ต้องตาย
    และต่อมาภายหลังจากนั้นไซร้ เมื่ออายุ 80 ปี องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เสด็จดับขันธ์ คือ ตาย

    ในตอนนี้ไซร้ ก็ปรากฏว่า มีอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย พยายามรวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เทศน์ไว้ อยากจะทราบว่า เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เคยเทศน์ไว้ว่า....
    คนที่มีการคล่องใน อิทธิบาท 4 คือ....

    ฉันทะ ความพอใจ
    วิริยะ ความเพียร
    จิตตะ การจดจ่อ การเพียรในกิจการงานที่ทำ
    วิมังสา การใคร่ครวญการงานที่ทำเสมอ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคล่องในอิทธิบาท 4 ในด้านของการปฏิบัติธรรม
    ผู้ที่คล่องจริง ๆ ในอันดับต้น ได้แก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    แต่ว่าที่คล่องรองลงมาก็คือบรรดา พระอรหันต์ทั้งหลาย
    ก็ท่านทั้งสองประเภทนี้ คือพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี
    ถ้ามีอิทธิบาทไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ จะบรรลุ คือ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน
    ไม่ได้
    แต่ว่า ทำไมองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงเคยกล่าวไว้ว่า
    ผู้ที่เคยคล่องใน อิทธิบาท 4 ประเภทนี้ สามารถจะอธิษฐานตน ให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง
    หรือกัลป์หนึ่ง ก็ได้

    และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับมา นิพพาน
    เมื่อระหว่างอายุของพระองค์ได้ 80 ปี

    ตอนนี้ พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็มีความสงสัย
    แต่ทว่าบรรดาพระอรหันต์ตั้งแต่ปฏิสัมภิทาญาณ ก็ดี ได้อภิญญาหก ก็ดี วิชชาสาม ก็ดี
    ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไม่สงสัย รู้ด้วยอำนาจของ อตีตังสญาณ

    แต่ทว่า สำหรับพระอรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโก นี้ ต้องสงสัย เพราะว่า ไม่ได้ญานวิเศษ
    จึงต้องค้นคว้าคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

    ในที่สุดก็พบว่า สมเด็จพระนราสภ คือ....
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะมีอายุ 1 กัป อย่างที่กล่าวไว้
    แต่ทว่าการที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา ต้องมีอายุ 80 ปี

    เหตุผล ก็เป็นมาอย่างนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรี ทรงกล่าวว่า....
    อตีเต กาเล ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย....

    ในอดีตกาล ตถาคตเสวยพระชาติเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์
    บำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถอยหลังจากชาตินี้กลับไปหลายพันชาติ เวลานั้นสมเด็จพระบรมโลกนาถ
    ทรงบำเพ็ญบารมี ใกล้จะถึง ปรมัตถบารมี

    พระวรกายของพระองค์นี้ มีส่วนพิเศษอยู่จุดหนึ่ง คือ....
    เท้าทั้งสอง ในอุ้งระหว่างกลางเท้าทั้งสองนี่ มีรูปกงจักรอยู่ด้วย เป็นสีแดง

    ในเวลานั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดเป็นลูกคนจน ทำมาหากินอยู่ในป่า
    ต่อมาท่านบิดาก็ตาย เหลือแต่มารดาผู้เดียว ท่านก็ปฏิบัติตน เป็นคนประกอบไปด้วย

    ความกตัญญูรู้คุณ หาเช้ากินค่ำ หรือหาค่ำกินเช้า นำเอาอาหารมาเลี้ยงมารดาเป็นที่รัก
    คือว่าท่านเป็นคนป่า ก็ตัดฟืนขาย เข้าป่าก็แต่เช้า กลับมาจนบ่าย จนเย็น อาบน้ำ อาบท่า กินน้ำ บริโภคอาหาร
    เสร็จแล้ว ก็นำฟืนเอาไปขาย ได้เงินมาเท่าไร ก็มามอบให้แก่มารดา
    มารดาก็จัดเงินทั้งหลายเหล่านี้ จัดอาหารมาเลี้ยงดูกัน

    เป็นอันว่า รายได้ขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา เวลานั้น
    ก็เต็มไปด้วยการฝืดเคืองมาก

    ในคราวนั้น พระราชามีความลำบาก
    ด้วยยักษ์ตนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า “รากษส” นี่มีสภาพเหมือนยักษ์
    แต่เป็นยักษ์ที่อยู่ในโพรง และอุโมงค์ใต้ดิน น่ากลัวจะเป็นยักษ์ปลาไหล
    เพราะอยู่ในโพรง และใต้ดินมันมีบ่ออยู่

    แต่ทว่าทางขึ้น ก็ทำเป็นปล่องขึ้น การขุดอุโมงค์อยู่ใต้ดิน

    เจ้า รากษส ตัวนี้ ปรากฏว่า ถึงเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับเวลา ตรุษสงกรานต์
    เป็นงานเกี่ยวกับนักขัตฤกษ์ประจำปี เจ้า รากษส ตัวนี้ ก็ขึ้นมาจับคนเอาไปกินเป็นอาหาร

    ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี ในแดนไกล
    ต่อมา พระราชาทรงทราบจากบรรดาประชาชนทั้งหลาย ว่า....

    เจ้า รากษส ขึ้นมาอาละวาด เจ้า รากษส ตัวนี้ขึ้นมาเป็นเวลากาล
    ถ้าถึงฤดูนั้น ถึงเดือนนั้น วันนั้น มันก็ขึ้นมาจับคนกินเป็นอาหาร เพื่อเป็นเสบียงกรัง
    ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี

    จนเป็นที่แน่ใจของประชาชนทั้งหลายว่า วันนี้แหละเจ้า รากษส จะขึ้นมาจับคนไปกิน
    จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ

    พระราชา ก็ให้ป่าวประกาศหาคนดีมีฝีมือ ให้ไปสู้กับ เจ้า รากษส
    ไปดักอยู่ปากปล่องของ รากษส ที่จะขึ้นมา ถ้า รากษส ขึ้นมา ก็จะฆ่า รากษส ให้ตาย

    แต่ว่าบรรดาผู้ฟังทั้งหลาย รากษส มีสภาพเป็นยักษ์ มีความดุร้าย มีกำลังมาก
    แทนที่คนทั้งหลายที่รับอาสาพระราชา จะไปฆ่า รากษส
    ก็กลายเป็นอาหารของ รากษส อย่างดี

    คือ รากษส ไม่ต้องไปหากินไกล จับคนทั้งหลายที่จะไปฆ่าเขา
    นำกลับไปกินเป็นอาหาร

    ต่อมาพระราชา เห็นว่า คนทั้งหลายไม่สามารถสู้ รากษส ได้
    การประกาศให้บรรดาคนที่มีฝีมือทั้งหลาย ภายในขอบเขตของพระราชฐาน
    หรือใกล้พระราชฐาน ก็ไม่มีใครรับอาสาไปปราบ รากษส

    พระราชาได้ประชุมอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า....
    เราไม่สามารถปราบ รากษส นี้ ได้เพียงใด ความเป็นพระราชาของเราก็ไม่อาจจะคงอยู่
    เพราะเราไม่สามารถจะให้ความปลอดภัยกับบรรดาประชาชนได้

    แล้วอาศัยที่พระราชาพระองค์นี้ ใช้ ทศพิธราชธรรม อันดี เป็นที่รักของปวงชนทั้งหลาย

    บรรดาอำมาตย์ ข้าราชบริพารจึงประชุมกันว่า ถ้าหากพวกเราไม่สามารถฆ่า รากษส ได้
    พระราชาก็จะสละราชสมบัติ แล้วคนที่มาใหม่ จะดีเท่าองค์นี้ หรือไม่ดี ก็ยังไม่แน่นัก
    จึงปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรดี จะให้พระราชาครองราชย์ต่อไป

    ในที่ประชุม ก็กล่าวกันว่า ทางที่ดีควรประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศ
    ที่มีความสามารถ

    เข้าใจตรงกันว่า พระราชามีบุญญาธิการอย่างนี้ และมีความเดือดร้อนอย่างนี้
    ราษฎรจนที่ไหน พระองค์ก็ทรงจนด้วย
    ราษฎรลำบากที่ไหน พระองค์ก็ทรงลำบากด้วย
    หาทางช่วยราษฎรให้เป็นสุข พระราชาอย่างนี้ หาได้ยาก

    ถ้ากระไรก็ดี ก็ควรกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ ว่า....
    คนในประเทศของเรา ไม่มีเท่าที่เห็น เพราะอยู่ในแดนไกล ในขอบเขตต่าง ๆ มีมากมาย
    ควรจะประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีความสามารถ
    แต่ไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ที่จะรับอาสาฆ่า รากษส
    ในที่สุดเขาก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบ แล้วก็ทำตามนั้น

    มอบทองคำ เท่าลูกฟัก สำหรับผู้รับอาสา

    ต่อมา พระราช ก็ส่งคนไปประกาศว่า ถ้าบุคคลใดสามารถจะฆ่า รากษส ให้ตายได้
    ในช่วงแห่งการรับอาสาจะมอบทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวบุคคลผู้รับอาสา
    ให้เป็นทุนสำรองไว้ก่อน ทั้งนี้ ก็เผื่อว่า ไปพลาดพลั้งถูก รากษส ฆ่าตาย
    ทางบ้านก็จะได้ใช้ทองคำนี้ จับจ่ายใช้สอย เป็นการประทังชีวิตให้มีความสุขสบายแทนผู้ตาย

    ถ้าบุคคลใดฆ่า รากษส ตาย แล้วตัวเองก็ไม่ตาย ทองคำก็ได้เป็นสิทธิ์อยู่แล้ว

    แต่เมื่อเวลาที่กลับมาประเทศเขตพระนคร พระราชาจะให้เป็นมหาอุปราช
    คือไปมีตำแหน่งรองจากพระราชา

    วันนั้น ก็ปรากฏว่า หน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะเข้าป่าไปหาฟืน แต่ยังไม่ทันจะเข้า เดินออกจากบ้าน
    ก็ได้ยินเสียงประกาศจจจากอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า ถ้าบุคคลผู้ใดรับอาสาฆ่า รากษส ได้
    พระราชาจะประทานทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวคนผู้อาสา เป็นเดิมพัน
    แต่ถ้าฆ่า รากษส ไม่ได้ ต้องตายไป ทองคำนี้ก็จะเลี้ยงครอบครัว
    และถ้าฆ่าได้ ก็จะแถมรางวัลพิเศษ คือ ให้เป็นมหาอุปราช

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ จึงคิดว่า เราเป็นลูกคนเดียวของแม่คนเดียว หาเช้ากินค่ำ
    ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ ก็พอกินบ้าง ไม่พอกินบ้าง มีความลำบาก

    ถ้าหากว่าเราจะยอมเสี่ยงชีวิตของเรา ตายแต่เพียงผู้เดียว
    ให้แม่ได้มีโอกาสรับทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวเรา แม่ก็จะกินอยู่แบบสบาย ๆ
    แม้กระทั่งตาย ทองคำก็ยังไม่หมด

    เมื่อหน่อพระบรมโพธิสัตว์ กำหนดอย่างนี้แล้ว จึงได้ขันรับอาสา
    แล้วก็รับทองคำมามอบให้แก่แม่
    ตอนนี้ แม่คัดค้านอย่างหนัก ไม่อยากจะให้ลูกตาย

    ในที่สุด ก็ต้องจำยอม เพราะตกลงกับเขาแล้ว จึงได้มอบทองคำให้แม่
    ตัวเองก็ไปเฝ้าพระราชาพร้อมกับอำมาตย์
    เข้าไปเฝ้าแล้ว....
    พระราชาถามถึงผลของความต้องการ เธอสามารถแน่ใจที่จะฆ่า รากษส ได้หรือ
    พระโพธิสัตว์ก็บอกว่า มั่นใจ ต่อไปพระราชา ถามว่า เจ้าต้องการทหารเท่าไร
    ต้องการอาวุธอะไรบ้าง จะไปฆ่า รากษส

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็ตอบว่า “ไม่ต้องการอะไรอะไรทั้งหมด ต้องการฆ่า ด้วยมือเปล่า”

    พระราชาก็หนักใจ แต่ว่า เขาขันรับอาสาตามนั้น ก็ต้องปล่อยไป
    เขาก็นำไปส่งที่ปล่องของ รากษส

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ขึ้นไปคอยอยู่ประมาณ 2 วัน พระราชาทรงให้ทหารไปเป็นเพื่อน
    นำอาหารไปบริโภค ไปคอยอยู่ที่ปากปล่องที่ รากษส จะขึ้น
    ต่อมา เมื่อถึงวันนั้น คือวันกำหนดที่ รากษส จะขึ้นมา มีเวลาเป็นประจำ ก็ขึ้นมาพอดี

    พอ รากษส ขึ้นมา ไม่ทันจะพ้นปล่อง หัวขึ้นมาพ้นปล่อง
    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ยกเท้าขึ้นหวังจะกระทืบ คือจะกระทืบให้ รากษส คอหักตาย

    รากษส แหงนหน้าขึ้นมา เห็นอุ้งเท้าของหน่อพระจอมไตรบรมโพธิสัตว์ มีกงจักร
    ในระหว่างท่ามกลางฝ่าเท้า ก็คิดว่า คราวนี้เราตายแน่ เราสู้ไม่ได้
    เพราะคนนี้ต้องเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ เพราะกลางระหว่างเท้า มีกงจักรสีแดง

    จึงได้พูดว่า....
    ช้าก่อน ท่านอย่าพึ่งฆ่าเรา ท่านนี่เป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้
    เป็นพระพุทธเจ้าในอีกไม่นานนัก เพราะว่ากลางเท้าของท่านมีกงจักร
    หากท่านฆ่าเรา เราก็ตาย ถ้าท่านฆ่าเราไซร้ ท่านจะมีอายุสั้น
    ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตามธรรมดาพระพุทธเจ้า จะต้องมีอายุ สองหมื่นปีบ้าง
    ถึงสี่หมื่นบ้างก็มี

    อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าสามารถจะอธิษฐานตนให้มีอายุถึงกัปหนึ่ง ก็ได้

    หากว่า ท่านฆ่าเราตาย ในเวลานี้ เวลานี้เรามีอายุ 80 ปี
    ถ้าหากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้

    เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องมีอายุ 80 ปี เท่านั้น

    การประกาศพระศาสนาของท่าน จะไม่มีผลตามความประสงค์

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กล่าวว่า....

    “เจ้าเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายมาก ไล่พิฆาต เข่นฆ่าคนเป็นอาหาร ถึงแม้นว่าเราจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า มีอายุแค่ 80 ปี เราพร้อม ยอมตามนั้น”

    ในที่สุด หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กระทืบศรีษะยักษ์ รากษส ยักษ์ก็คอหักตาย

    ................................................................................

    นี่แหละบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่า พระพุทธเจ้า ทุก ๆ พระองค์ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้า สามารถจะอธิษฐานอายุของตนให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง ก็ย่อมเป็นได้ เพราะคล่องใน อิทธิบาท 4

    แต่ว่า ที่องค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดา จะต้องนิพพาน ภายในอายุ 80 ปี
    ตามพระบาลี ท่านกล่าวว่า เหตุของการฆ่า รากษส ตนนั้น

    จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ต้องนิพพานในอายุยังสั้น

    ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้

    อาตมภาพในฐานะพรสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ทั้ง 3 ประการ

    ขอจงดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มีความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
    ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุแล้ว
    ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงเห็นธรรมนั้น ในชาติปัจจุบันนี้ เทอญ.

    เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้.

    ...................................................................

    (ธีระพงษ์ คงเจริญศักดิ์)


    ที่มา : หนังสือ \"ธัมมวิโมกข์ ปีที่ 27 ฉบับที่ 297 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2548\"

     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กระทืบปาก กับกระทืบยักษ์ มันคนละอาการกัน

    อยู่ที่เจตนาเขา ต้องการทำเพื่ออะไร

    พระโพธิสัตว์ไม่ก่ออกุศลกรรมที่เป็นโทษกับคนไม่รู้

    แต่กับคนพาลนั้นก็อีกเรื่อง ยักษ์ตนนั้นเข้าข่ายคนพาลทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน

    ถ้าเราเป็นคนดี ไม่ได้เป็นคนพาล ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

    คนที่คิดมากระทืบเราเองนี่แหละ เข้าข่ายคนพาล

    คนที่คิดปฏิบัติธรรม สนใจเรียนรู้ธรรม ยังไงก็นับว่าเป็นคนดี ใฝ่ดี

    สมควรสนับสนุนให้รู้ธรรม ยิ่งๆขึ้นไป

    คนที่เห็นอกุศลจิต เป็นเรื่องถูกต้อง นั่นเพราะเขามีความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ

    ยิ่งเพียรก่ออกุศลจิตทางกายวาจาใจ แล้วเห็นว่าถูกต้องสำหรับเรื่องหนึ่งได้ เป็นเรื่องทำได้ไม่ผิด

    ก็เป็นเรื่องของทิฏฐิของเขาที่เห็นผิดไป ใครก็ช่วยเขาไม่ได้นอกจากว่าเขาจะเห็นโทษเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  4. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    เพิ่งรู้นะว่า พระพุทธเจ้ากระทืบยักษ์ ตนนั้น หากคิดในศีล 5 ท่านก็ทำปานาติบาต

    แต่ว่า มันเกินวิสัย กว่าป๋าจะเข้าใจจริง มันละเอียด และซับซ้อน

    เพราะแม้จะเป็นยักษ์พาล แต่ก็คือ 1 ชีวิต

    ยอมรับว่า มันยากจริงๆ นะ ที่จะเข้าใจ
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    นั่นแหละครับ พึง สำเนียกไว้ในใจว่า

    คุณ ซึ่งเปน คุณพ่อของเพื่อน มาถึงตรงจุดนี้ ก็ไปต่อไม่ได้

    ได้แต่ระคนในใจว่า ศาสดาของศาสนานี้ สอนอะไรกันแน่หนอ
    ไม่เห็นเลิศ เหมือนศาสนาอื่นที่เขาสอนเรื่องศีล ได้หมดจดงดงามกว่า

    ที่ไปต่อไม่ได้ และ เรียกหา พระศาสดาอย่างศัตรู มันก็มี เหตุผลง่ายนิดเดียว

    คือ

    สิ่งที่คุณทำมาทั้งหมด ทำมาไม่จริง ลงมือปฏิบัติไม่จริง ได้แต่ นั่งตรึก
    และ เปรียบเทียบไปวันๆ

    เพราะถ้า ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังเพียงแค่นิดเดียว คำวาม งง งวย เช่นนี้ไม่เกิด

    อาศัย ความเป็นนักปฏิบัติที่ไม่จริง แต่เที่ยวแจกแจงกริยาของผู้อื่นว่าไม่บริสุทธิ

    ขยันในทางที่ไม่ใช่ทาง

    ไม่ต่างจาก คนโง่ที่ขยัน

    ผมเลยจำเป็นต้อง ฆ่าทิ้ง หรือ เหยียบปาก เอาไว้ก่อน จนกว่า จะมีสัมมาทิฏฐิ ที่ถูกต้อง
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ก็เพราะเป็นกรรมไงคะ พระพุทธเจ้าถึงปรินิพพานที่อายุ 80 ปี :'(

    ถ้านับอายุตามกัปป์ ก็ควรจะอยู่ได้ถึง 100ปี หรือ 120 ปี เข้าใจว่างี้นะป๋า

    แต่ไม่รู้เข้าใจถูกไหม เคยอ่าน พระพุทธเจ้า กล่าวกับพระอานนท์ ถึง 3 ครั้ง

    การปลงอายุสังขารมีขึ้น ณ ร่มพฤกษาแห่งหนึ่งในปาวาลเจดีย์ แขวงเมืองไพศาลี หลังจากที่ทรงทำนิมิตรโอภาสแก่พระอานนท์ถึงสามครั้ง ว่า "อานนท์ ถ้าบุคคลใดเจริญอิทธิบาท ๔ ประการ ปรารถนาจะดำรงอยู่ประมาณกัปป์หนึ่ง หรือมากกว่านั้นก็สามารถจะอยู่ได้" โอภาสนิมิตรนี้ หมายถึงบอกใบ้ว่าพระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานในปีที่กล่าวนี้ หากพระอานนท์กราบทูลขอให้อยู่ต่อ และทรงรับก็ทรงสามารถดำรงพระชมน์ชีพต่อไปได้อีก แต่พระอานนท์ไม่รู้เท่าทัน มารจึงมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์แล้วกราบทูลขอให้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน จึงทรงรับ หลังจากที่ทรงปลงอายุสังขารแล้ว เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ พระอานนท์จึงทราบว่าทรงปลงอายุสังขารแล้ว เพิ่งมาทูลอ้อนวอนให้ดำรงอยู่ต่ออีก จึงทรงห้ามเสีย

    ที่มาวิกิพีเดีย

    ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่มีข้อยกเว้น ก่อนจะทำกรรมจึงควรมีสติ

    พิจารณาผลดีผลเสีย ก่อนทำกรรมทุกครั้ง และยอมรับผลของกรรมเสมอ
     
  7. สูญเปล่า

    สูญเปล่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +0
    พระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะเพื่อความรวดเร็วในการเป็นพระพุทธเจ้าครับ
    แต่พระองค์ทรงรับวิบากกรรมของพระองค์
    ก็คือพระชนมายุเพียง 80 พรรษาไงครับ

    พระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ อายุเป็นหมื่นปีครับ
     
  8. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    ผมถามอีกครั้ง คุณสามารถ ทราบวิสัยของพระพุทธเจ้า ได้ 100 % เหรอ

    คุณปฏิบัติจริงใช่ไหม คุณนิวรณ์
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    มันเป็นเรื่องของหน้าที่ กับสิ่งที่ต้องทำ..........(ไม่ได้กล่าวเรื่องชาดก)...ทีนี้มันมีการเลือกระหว่างจะทำหรือไม่ทำ...ระหว่างที่นิ้วอยู่บนบอร์ด...ว่าจะพิมพ์ หรือ ลบ หรือแก้ไขดี...คุณ และ โทษ ที่ต้องพิจารณาใคร่ครวญ ของ ผู้มีสติระลึก:cool:
     
  10. สูญเปล่า

    สูญเปล่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +0
    ลองค้นดูความเกี่ยวพันระหว่าง
    พระมหากัสสปะ กับ พระศรีอาริยเมตไตรย สิครับ
    จะเล่าให้ฟังก็นึกไม่ออกครับตอนนี้
     
  11. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    นิ้วทำงาน รับ สารได้เลย
    พี่ทริก กาแฟรอบบ่ายไหม
     
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .................จัดมาครับ..คาเฟลาเต้เย็นไม่หวาน ครับ..................:cool:
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หมอสั่งให้งดกาแฟ เพราะจะไปเพิ่มอาการนอนไม่หลับตอนกลางคืน :'(
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เดี๋ยวๆ อย่าพึ่งไปไกลครับ

    อย่าพึ่ง ยกผมไปไกล

    เอาตรงจุดที่ว่า คุณ ซึ่งเป็นคุณพ่อของเพื่อน ต้องการทำการรู้
    หรือ ต้องการถามถึงเรื่อง พุทธวิสัย ตรงนี้ก่อนว่า

    แล้วท่านรู้หรือว่าเป็นอย่างไร

    ร้อย%ที่ท่านยกมาถามผมหนะ ท่านรู้หรือว่าเป็นอย่างไร

    หากไม่รู้

    แล้วมาถามผม มันจะมีประโยชน์อะไรในการพอกพูลความไม่รู้

    ( ไม่ว่าผมจะตอบอย่างไร คุณพ่อก็ไม่รู้เรื่องอยู่วันยันค่ำ คำถาม
    แบบนี้ คนโง่เท่านั้นที่ถาม )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  15. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    หมายว่า เจ้ขวัญ นอนไม่หลับตอนกลางคืนเป็นปกติแล้วเหรอครับ
    รักษาสุขภาพนะครับเจ้
     
  16. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    <IMG src='http://palungjit.org/customavatars/avatar375474_27.gif' width=60>

    ยังใช้บัตรเครดิตอยู่หรือป่าว

    การผ่อนโน้นผ่อนหนี้ คือ ทุกข์อย่างหนึ่งในโลก ของผู้ยังแสวงบริโภคกาม แสวงปลิโพธ

    จะว่าไปแล้วก็เปรียบเหมือนปลิโพธอย่างหนึ่ง เพราะสันโดษหายไป

    ก็เลยกลายเป็นหนี้การกระทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  17. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    ผม ก็คือผม จงมองผมในฐานะ ในสมาชิกคนนึง อย่ามองผมเป็นพ่อของเพื่อน

    มีประโยชน์มาก เพราะกระทำอะไรก็ตาม หากเราไม่ทราบเจตนาแน่ชัด มันก็กลายเป็นผลไม่ดี ที่ผมตามผมเห็นประโยชน์ในการกระทำกรรมนั้น หรือ เราอ่านตำราเลยจนประมาทในธรรม
     
  18. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ผู้อื่นซึ่งจะรู้เกินกว่าพระผู้มีพระภาคในทางสัมโพธิญาณมิได้มี แล้วจักไม่มีและไม่มีอยู่ในปัจจุบัน"

    พระพุทธเจ้าตรัสถามพระสารีบุตรว่า
    ท่านพระสารีบุตรกำหนดด้วยใจรู้หรือว่าพระพุทธเจ้าในอดีต ในปัจจุบัน และในอนาคต มีศีลอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้ มีวิหารธรรม(ธรรมเป็นเครื่องอยู่)อย่างนี้ มีวิมุตติ(การหลุดพ้น)อย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้

    พระสารีบุตรกราบทูลว่า
    มิใช่อย่างนั้น (คือตัวท่านเองมิได้กำหนดรู้ใจของพระพุทธเจ้าทั้งหลายด้วยใจของตนเอง)

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามต่อไปว่า
    ถ้าเช่นนั้นเธอรู้ได้อย่างไรว่า สมณะหรือพราหมณ์ผู้อื่นซึ่งจะรู้เกินไปกว่าพระผู้มีพระภาคในเรื่องสัมโพธิญาณไม่มีทั้งใน อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในเมื่อเธอก็มิได้มีญาณกำหนดรู้ใจของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    พระสารีบุตรกราบทูลยืนยันความเลื่อมใสของตน
    ว่าไม่มีใครจะรู้เกินกว่าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดยพิจารณาจาก "แนวแห่งธรรม"(ธมฺมนฺวโย วิทิโต) ข้อความกราบทูลละเอียดมีดังนี้ครับ

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่มีญาณเพื่อกำหนดรู้ซึ่งใจในพระอรหันตสัมมาสัมพทธเจ้าทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน แต่ว่าข้าพระองค์รู้แนวธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปัจจันตนครของพระราชามีประตูมั่นคง มีกำแพงและเสาระเนียดมั่นคง มีประตูช่องเดียว คนเฝ้าประตูพระนครนั้น เป็นคนฉลาดเฉียบแหลม มีปัญญา ห้ามคนที่ไม่รู้จัก ปล่อยคนที่รู้จักให้เข้าไปได้ เขาเดินตรวจดูหนทางตามลำดับโดยรอบพระนครนั้น ไม่เห็นที่หัวประจบแห่งกำแพงหรือช่องกำแพง โดยที่สุดแม้เพียงแมวลอดออกได้ เขาพึงมีความรู้สึกว่าสัตว์ที่ตัวโตทุกชนิดจะเข้าออกนครนี้ ย่อมเข้าออกโดยประตูนี้ แม้ฉันใด แนวแห่งธรรมก็ฉันนั้นเหมือนกัน

    ข้าพระองค์รู้ว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้มีแล้วในอดีตกาลทุกพระองค์ ทรงละนิวรณ์ทั้ง ๕ ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต กระทำปัญญาให้ทุรพล มีพระทัยตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว

    แม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จักมีในอนาคตกาลทุกพระองค์ จักทรงละนิวรณ์ ๕ ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต กระทำปัญญาให้ทุรพล มีพระทัยตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง จักตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ทรงละนิวรณ์ ๕ ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต กระทำปัญญาให้ทุรพล มีพระทัยตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณฯ"

    -----
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ใครเขาศึกษาธรรมะ ลงมือปฏิบัติ เพื่อให้มีความสามารถ
    ทราบเจตนาแน่ชัด กันเล่าครับ

    เขามีแต่ จะหาทางที่เข้าไปเห็น สิ่งที่เรียกว่า พ้นเจตนา นั้นมีอยู่
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ผม เรียกคุณว่า พ่อของเพื่อน

    ก็เพราะ จะบอกเป็นนัยยะว่า ไม่ได้ทำไปเพราะ ขาดสามัญสำนึก

    ขาดสัมปชัญญะ

    การที่คุณยกเรื่องที่ว่า ผมติดตำรา อันนี้ คุณทราบมาเอง เห็นผม
    นั่งขมักเขม้นอ่านหนังสือด้วยตา หรือ ฟังความจากใครมาอย่างโง่ต่อโง่
     

แชร์หน้านี้

Loading...