บุคคลที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ(OCD)อาการหนัก แล้วไปเหยียบพระพุทธรูปกับพระเครื่อง ครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Sir-Pai, 6 สิงหาคม 2014.

  1. OMG_WTF

    OMG_WTF Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2012
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +48
    ขนาดนั้นเลยเหรอ จ๊ะ หนู
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กรรมปรามาส กรรมหนี้สงฆ์ แยกไม่ออกหรือไง เหอๆ เป็นหนัก แล้วไปโยงกับอาบัติพระอีก


    แยกแยะออกไหมเนี้ย เรื่อง่ายๆแค่นี้

    คิดได้แค่นี้ก็ปล่อยไปตามกรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2014
  3. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    มี ไม่มี พิจารณาด้วยจิตครับ
    ในโลกนีื พื้นดินนั้นมีอะไรฝังอยู่มากมาย ทั้งสมบัติ อาจจะเป็นพระพุทธรูปก็ได้ หรืออาจจะเป็นหลุดฝังศพของใครบางคน
    ถ้าเดินไปเฉยๆแล้วเป็นกรรมเป็นบาปได้ ก็คงมีแต่คนลงนรกหมดแล้ว
    หรือแม้แต่เราไปเดินบนชั้นสองของศาลา แล้วใต้เท้าของเรา ที่ชั้นหนึ่งมีพระประธานอยู่ ก็ไม่ได้ทำให้เกิดกรรมใดๆเลย
    จิตเท่านั้นที่ตัดสินว่าบาปหรือไม่
    ลองพิจารณาดูว่า บุคคลผู้มีสติคนใด ที่จงใจกระทำการเหยียบย่ำพระพุทธรูป เขาทำไปด้วยเหตุผลใด
    ก็ด้วยเหตุผล ด้วยเจตนานั้นแล เป็นตัววัดว่าบาปหรือไม่
    ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ามีเหตุปัจจัย ผลก็สมดุลกับปัจจัย
    มิใช่ว่า อะไรอะไร ก็จะโยงให้ไปผิดบาปมหันต์ลงอเวจีเสมอไป
    ธรรมะ เราจะจดจำเอาตามคำเขาว่า ทำอย่างนี้แล้วเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มิได้
    เราต้องพิจารณาตามหลักเหตุและผลเป็นหลัก
    พุทธองค์ท่านสอนมาอย่างนั้น บาปบุญให้ดูที่เจตนา ผลกรรมให้ดูความสัมพันธ์จากการกระทำที่ได้ทำไปแล้ว

    ปลูกมะม่วง ย่อมออกเป็นมะม่วง
    ปลูกมะม่วง ถึงมีคนอื่นบอกว่าจะออกเป็นมะนาว แต่มันก็ไม่ออกเป็นมะนาว ยังไงก็มะม่วง
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819


    การชำระหนี้สงฆ์
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    ในสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระวิปัสสีทศพล สมัยพระวิปัสสีนั้น มีพระอยู่สี่องค์ เวลานั้นข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหา ข้าวที่จะกินเข้าไปมันไม่พอ ข้าวส่วนตัวไม่มีก็มีข้าวสารของสงฆ์ ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้ว ก็มาหุงเลี้ยงเพื่อน คิดในใจว่า ถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่ เราก็จะชำระหนี้สงฆ์ คือว่าเราจะใช้หนี้ให้ แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้ พระสี่องค์นั่นก็ตาย ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่าจะชำระหนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ ตายแล้วไปไหน ปรากฎว่าไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรกสิ้นพันปีนรก เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วก็ตกนรกบริวาร ผ่านมาสี่ขุม แล้วก็ยมโลกียนรกอีกสิบขุม มาเป็นเปรต เปรตนี้จัดเป็นสิบสองระดับ ระดับที่หนึ่ง ถึงระดับที่ สิบเอ็ด ไม่มีโอกาสจะได้โมทนาบุญของชาวบ้านที่ทำให้ ระดับที่สิบสองที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวิเปรต ตอนนั้นมีโอกาส ในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่หนึ่งถึงที่สิบเอ็ด ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์ ถามท่านว่า เมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินข้าวกินน้ำเสียที เห็นน้ำเข้าวิ่งไป น้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง เห็นข้าวอยากจะกิน วิ่งเข้าไปก็ปรากฎว่าเป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก กินไม่ได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อไรพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดมอุบัติขึ้นในโลก ในตอนนี้แหละ ญาติของเจ้าชื่อว่าพระเจ้าพิมพิสารจะบำเพ็ญกุศล แล้วเธอหมดทุกคนได้รับโมทนาก็จะพ้นทุกขเวทนาเสียที เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน จนกระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ พระเจ้าพิมพิสารถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร แล้วก็ถวายทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด เมื่อถวายทานแล้ว ก็ไม่ได้กรวดน้ำ ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้ ตอนนั้นมันเป็นการทำบุญ ครั้งแรกยังไม่รู้ว่าทำบุญแล้วกรวดน้ำกันได้ผล เปรตทุกคนที่คอยอยู่ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา เห็นพระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ แปลกใจว่าเสียงอะไรไม่ทราบ มาร้องกึกก้อง ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสารตกใจ ในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้า ไปถามว่าเมื่อคืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร มันร้องกรี๊ดกร๊าด ๆ ในพระราชฐาน ไม่เคยได้ยิน พระพุทธเจ้าก็เล่าความนั้นให้ทราบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เปรตเป็นญาติของพระองค์ ต้องการโมทนาบุญ เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้วไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้ คำว่าอุทิศแปลว่าเจาะจงนะ อุทิศนี่นะเขาแปลว่าเจาะจงให้เฉพาะ พระเจ้าพิมพิสารจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด ไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์ ตอนนี้เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จ ก่อนจะโมทนา พระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ ใช้คำว่า อิทังโนญาตีนังโหตุ แปลเป็นใจความว่า ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า เท่านี้ละนะ การกรวดน้ำครั้งแรก เปรตทั้งหลายเหล่านั้นตั้งท่าคอยอยู่แล้ว ได้รับโมทนา เมื่อโมทนาแล้ว ร่างกายเป็นทิพย์หมดมีความอิ่มเอิบ มีความสวยสดงดงาม ร่างกายเทวดา แต่ว่าเป็นเทวดาชีเปลือยไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีผ้านุ่ง เพราะอะไร เพราะว่าในสมัยก่อนที่จะตาย ไม่ได้เคยทำบุญถวายผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพุทธศาสนา เมื่อร่างกายสวยแต่ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีกางเกงนี่มันก็แย่เหมือนกัน ก็เดือดร้อน ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร แสดงตัวให้ปรากฎ แต่ว่าตอนยืนน่ะสงสัยนะ ว่าจะยืนหันหลังให้ คงไม่ยืนหันหน้าหรอก คงจะอายเหมือนกัน พระเจ้าพิมพิสารแปลกใจว่า คนอะไรสวยก็สวย แต่แก้ผ้าไม่มีเสื้อไม่มีผ้า ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา แต่ไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพุทธศาสนา เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน เขาก็มีแต่ร่างกายสวยงาม ผ้าจึงไม่มี พระเจ้าพิมพิสารถามว่าทำไมเขาจึงจะได้ผ้า ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เขา จะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้น แต่พอได้เครื่องประดับแล้ว เทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฎ แล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็เลยไม่รบกวนอีก นี่เล่าถึงเรื่องของสงฆ์ให้ฟังนะว่า มีเจตนาขอยืมยังมีโทษขนาดนี้ แต่ถ้าหากว่าเราไปเอามาโดยไม่ขอยืม มันจะมีโทษขนาดไหน



    อย่าบอกนะว่าเรื่อง เปรต กับ
    พระเจ้าพิมพิสาร ไม่มีในพระไตรปิฎก ^^

    .https://www.google.co.th/webhp?tab=ww&ei=NpTjU7OaIcTIuATbooDIAw&ved=0CAwQ1S4

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2014
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถ้าไม่เคารพ ไม่เชื่อ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อปาน ก็แนะนำให้ลองไปถาม
    แนะนำให้ลองไปถาม พรหม ดูนะครับ ^^



     
  6. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ทุกคนครับ เอาเป็นว่าอย่าทะเลากันนะครับ เดี๋ยวจะเล่าเรื่องโรคนี้ให้อย่างละเอียดนะครับ

    (obessive compulsive disorder) ซึ่งบ้านๆคนจะเรียกกัน ย้ำคิดย้ำทำ แต่ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาการหนักเบา บางคนเป็นหนักถึงอะไรแว๊บเข้ามาในหัวแล้วจะเลิกคิดไม่ได้ต้องคิดแต่เรื่องนั้นครับ แต่ถ้าคิดอยากทำอะไรแผลงๆคนอะไรคิดแค่เลิกก็จบ แต่คนที่เป็นโรคนี้ขั้นร้ายแรงและไม่มียากินจะหยุดคิดไม่ได้และคั่นไม้คั่นมือคั่นเท้าแบบที่เล่าไปครับ แต่ส่วนใหญ่คนจะเป็นกันไม่เยอะ อาจแค่ชอบล้างมือบ่อยมาก ชอบบิดลูกบิดประตูครับผม
     
  7. OMG_WTF

    OMG_WTF Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2012
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +48
    ทำทุกกรรม มันก็ตกนรกได้หมดแหละ ไม่ทำกรรมเลยแต่จิตสุดท้ายเศร้าหมองก็ลงนรกได้
    แต่ลงไม่นาน แต่กรรมที่ห้ามสวรรค์ห้าม ห้ามนิพพาน คือ5ประเภทน๊ะจ๊ะหนู ^^
     
  8. OMG_WTF

    OMG_WTF Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2012
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +48
    การเครพ ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังหมดทุกอย่างนะจ๊ะ หนุ นับถือท่านเป็นพระอรหันต์ ไม่ได้แสดงว่า
    ต้องนับถือท่าน เหมือนเป็นพะรพุทธเจ้าน๊ะจ๊ะ หนูน้อย

    นับถือท่าน เป้นพระอรหันต์
    แต่พระสัมมา คือ เจ้าชายสิทธะ นะหนู

    ไม่เชื่อไม่ได้แปลว่า ปรามาส น๊ะหนู ไปเรียน ก..ใหม่นะลูก
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถ้าไม่เคารพ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อปาน ก็ ป่วยการที่จะบอกกล่าวใดๆ

    การชำระหนี้สงฆ์
    พวก เราบางคนเคยหยิบฉวยสิ่งของที่เป็นสมบัติของวัดหรือของสงฆ์ เช่น ก้อนหิน ก้อนดิน ผลไม้ ดอกไม้ ใบไม้ หรือบางทีทรายติดรองเท้าเรากลับออกมาจากวัด ฯลฯ แล้วเราเองก็ไม่ได้ทำบุญ บางทีเหตุการณ์เช่นนี้ อาจจะเกิดขึ้นตอนเราเป็นเด็กๆ ชอบซุกซนบ้างเป็นต้น ฉะนั้น ในบางครั้ง เราเข้าวัดและบางทีไปใช้ธูปเทียนวัดบ้างเพื่อจุดธูปไหว้พระ อาจจะดื่มน้ำมนต์และอาศัยไฟฟ้าของทางวัด เช่น พัดลม เป็นต้น แล้วลืมทำบุญ ฉะนั้นจะทำให้เราเป็นหนี้สงฆ์ทันทีโดยไม่รู้ตัวดังนั้น เพื่อไม่ให้ต้องติดหนี้สงฆ์ไปถึงภพหน้าชาติหน้า ซึ่งเราเองก็ไม่ทราบว่าเราจะไปเกิดที่ใดภพใด จะมีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนาหรือไม่ ฉะนั้น เพื่อเป็นการไม่ประมาทจึงควรถือโอกาสชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่วันนี้ทันทีที่มี โอกาสไปวัด เมื่อได้ไปทำบุญที่วัดใด คอยสังเกตตู้ที่ทางวัดเขาตั้งใจให้เราใส่เงินทำบุญเพื่อชำระหนี้สงฆ์ จะได้ไม่ติดค้างไปภพหน้าต่อไป .
    [​IMG]
    การชำระหนี้สงฆ์
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    หลวงพ่อสอนให้ลูกศิษย์และญาติโยมรู้จักชำระหนี้สงฆ์ และแนะนำให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ พร้อมทั้งนำเกร็ดความรู้ที่ได้ประสบมาเล่าให้ฟัง เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อท่านทั้งหลาย จะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกันตัวเองและผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับของสงฆ์อีก ท่านเล่าในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า
    ของทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว จะเป็นสิ่งของหรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม จะมีราคามากหรือน้อยก็ตาม ผู้ที่นำไปใช้โดยพละการ หรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้นมาทดแทนให้เหมือนเดิม ไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้ล่วงละเมิดลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย
    อย่างวัดร้างที่ปรากฎว่าเป็นดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัด หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัด แต่อยู่ในป่าในดง หรือวัดที่มีพระอยู่ก็ตาม เราจะนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้น จะเป็นต้นหญ้าสักต้น ไม้หักสักอัน เขาก็ถือว่าของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็ ถือว่าซวยขนาดหนัก แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์เคยตกนรกขั้นขุมที่ 7 มาแล้ว ขุมนี้หนักมาก รองจากอเวจีมหานรก เพราะอะไร เพราะบุกรุกที่ดินของวัด ถึงแม้จะไม่มีเจตนาโกง วัดก็เป็นวัดร้าง แต่ไม่รู้ว่าเป็นวัดร้าง แค่นี้ก็ตกนรกขุมที่ 7 จะมาอ้างว่าไม่รู้ ไม่เจตนาไม่ได้ มีความผิดหมด หรือว่ามีไม้ลอยมาหน้าบ้าน เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของ เอาเข้ามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมาจากวัด ก็เป็นไม้ของสงฆ์ ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นหญ้าต้นฟางที่มันอยู่กลางทุ่ง สถานที่นั้นอาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่าสภาพของวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมด แม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์ เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็บาป แล้วโทษของสงฆ์หนักมาก เรียกว่าขั้นอเวจีขั้นเดียว มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี
    หลวงพ่อปานท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ ว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ด้วยจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม เอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ คือว่าวัดร้างที่ปรากฎมีเป็นวัดก็ตาม หรือไม่ปรากฎเป็นวัดก็ตาม วัดที่มีพระก็ตาม วัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ทราบค่าราคาของ ถือว่าเป็นของเล็กน้อย ข้าพเจ้าทั้งหลายขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยจำนวนเงินเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรก็ขอให้สาธุขึ้นให้พร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่ ถ้าพระทั้งหมดสาธุพร้อมกันเป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่าค่อย ๆ ทำไป เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก
    ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่พึงใช้ จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวนนั้นไปใช้ในการก่อสร้างหรือบำรุงสงฆ์ ท่านทั้งหลายอาจสงสัยว่า ของต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี วัสดุเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็ดี หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ของที่อยู่ในวัดทั้งหมด ถ้าหากเรารื้อแทนของเดิม ทั้งนี้ เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างเพื่อถวายบูชาพระพุทธเจ้า คำว่าของสงฆ์นี่น่ะ ต้องหมายถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิ์ว่าเป็นของฉัน จะมาชี้ว่าสมบัตินี้เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้น จะต้องลงนรกหมด เรื่องนรกนี้เขาไม่เว้นใครหรอก
    ของในวัดก็เหมือนกัน ถ้าพระองค์ใดปลูกไว้ ถ้าเขาสึกแล้วก็ตาม เขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ ถ้าว่าเขาตายหรือสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์หนึ่งจะถือเป็นทายาทกันเองก็ดี ใช้เองก็ดี ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เวลาจะกินจะใช้ก็ต้องประชุมสงฆ์ต้องลงมติอนุมัติ จึงจะถือว่าไม่เป็นโทษ
    ก็มีตัวอย่างเรื่องหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ มีพระองค์หนึ่ง ชื่อ อาจารย์ทิม สำหรับอาจารย์ทิมนี่รุ่นเดียวกัน อยู่ที่สุพรรณบุรี เป็นนักก่อสร้าง พระองค์นี้เป็นพระดีมาก ระเบียบวินัยก็ดี เจริญสมถภาวนาก็ดี แต่ว่าโทษมันมีอยู่อย่างหนึ่ง แกป่วยครั้งหลังสุด กำลังก่อสร้างโบสถ์ สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี ได้มาก็จ่ายไป ทีนี้แกป่วย สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี หมอเขาบอกว่าต้องต้มยาหม้อในราคาหกสิบบาท ท่านก็เลยขอยืมเงินที่เขาสร้างโบสถ์ก่อน ฉันหายแล้ว เวลาใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้คืน
    พอปี 2508 ดันตายเสียได้ ไอ้เงินหกสิบบาทดันเป็นพิษ พระทิมไปนั่งจ๋องที่สำนักพระยายม เวลาทุ่มเศษ ๆ กำลังนอนสบาย ๆ เห็นเทวดาองค์หนึ่งเป็นพวกวชิระ มายืนปลายเท้า กราบ กราบ ถามว่า มาทำไม เขาบอกว่า ท่านใหญ่ให้นิมนต์ไปพบครับ เลยบอกว่า แกไปข้างหน้า ฉันตามไป ตามไปหน่อยเดียวแกบอกว่า "เดี๋ยวผมไปตามอีกสององค์ แกไปตามอีกสององค์ เราก็ตรงไป พอถึงก็พบท่านทิมอยู่ที่สำนักพระยายม จึงถามว่า ไง.....มานั่งอยู่ที่นี่เล่า แกก็บอกว่า "เป็นหนี้สงฆ์อยู่หกสิบบาท ถามว่า "คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ แกบอก เป็นหนี้ตอนใกล้ตาย เพราะหมอที่สั่งยามาให้ แต่ไม่มีเงิน ทุ่มเทเอาไปสร้างโบสถ์หมด ไอ้เงินส่วนตัวจริง ๆ ที่เรียกว่าตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ ก็เอาเงินส่วนนี้เอาไปซื้อยา
    จึงเข้าไปตามลุง (พระยายม) ถามลุงว่า ยังไงนี่..... ลุงบอกว่า ยังไม่ว่าไง เดี๋ยวค่อยว่า คอยอีกสององค์ก่อน ยังไม่สอบสวน ถ้าสอบสวนไม่ได้ ของสงฆ์นี่หนักมาก ปิดปากเลย ถ้ากรรมดีละก็หนัก ปิดปาก กระเบื้องอันเดียวปิดปากเลย เรื่องบุญนี่พูดไม่ได้เลย
    พออีกสององค์ไปถึงเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เรียกอาจารย์ทิมเข้าไปถามว่า ท่านเอาเงินสงฆ์ไปใช้หกสิบบาทใช่ไหม ท่านตอบว่า ใช่ไปใช้เพื่ออะไร บอกว่า มันป่วย หมอเขาสั่งยามาจิตคิดอย่างไรจิตคิดว่า ถ้าใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะชำระหนี้สงฆ์ แต่นี่ยังไม่ทันชำระใช่ไหม แกตอบว่า ใช่ แล้วท่านถามว่า จะว่าอย่างไร ท่านบอกว่า ไม่มีเรื่องจะว่า
    ลุงพุฒท่านก็หันมาถามพวกเราว่า ท่านสามองค์จะว่าอย่างไร" บอกว่า ยังมีเรื่องว่าอยู่ว่ายังไงล่ะทำอย่างไรพระองค์นี้จะต้องไปเป็นพรหม เขาได้ฌานสมาบัติ ควรจะไปเป็นพรหม ท่านก็เลยบอกว่า เวลาตายก่อนจะดับจิต อารมณ์อยู่ในฌาน ฌานยังตั้งไม่ได้ เลยถามว่า ไอ้เรื่องนี้พอจะอภัยกันได้ไหม ท่านก็เลยบอกว่า ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้ มันต้องชำระหนี้สงฆ์ ก็บอกว่า ตกลง ฉันช่วยชำระหกสิบบาท เรื่องเล็ก ท่านบอกว่า ไม่ได้ ชำระด้วยเงินไม่ได้ ถามว่า แล้วจะเอาอะไร ท่านบอกว่า ต้องสร้างพระพุทธรูปหนึ่งองค์ หน้าตักสิบสองนิ้ว เราเลยบอกว่า เรื่องเล็ก เอาสักสิบองค์ก็ยังได้ ท่านบอกว่า องค์เดียวพอ
    แล้วพระอีกสององค์ท่านก็รับไปคนละองค์ รวมเป็นสามองค์ เราบอกว่า อย่างนี้ ฮ้อ...ตกลง ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไปได้ตามผลของความดี
    ตอนนั้นเลยบอกกับท่านทิมว่า อย่าเพิ่งไป อยู่ที่นี่ก่อน ถามลุงว่า การสอบสวนขอพักเดี๋ยวได้ไหม ท่านบอกว่า ได้ เราก็เลยบอกท่านทิมว่า จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม เขาถามว่า อะไรล่ะ ก็เลยบอกว่า เอกัคคตารมณ์กับอุเบกขาน่ะ บอกว่า จำได้จำได้ก็ขอไปตามนั้น นั่นมันฌานสี่ ท่านทิมเลยไปเป็นพรหมชั้นที่สิบเอ็ด ถ้าไปตอนนั้นก็ไปด๊อกแด๊กอยู่แค่กามาวจร ต้องช่วยกระตุกตรงนี้ มันพ้นตอนที่เรารับปากจะให้ อารมณ์ที่ปิดปากอยู่ก็หมด ลุงพุฒแกตั้งใจช่วยเลยให้คนมาตาม ไม่ได้ตั้งใจคอยใคร ขนาดมาตามเลยนะ ที่ตามก็มีพระอยู่สององค์ อีกองค์หนึ่งเป็นพระอยุธยา หนุ่มเลยละองค์นั้น ตอนนั้นฉันก็อายุสักสี่สิบกว่า ๆ องค์ที่อยู่อยุธยาก็อยู่ในเกณฑ์สามสิบเศษ ๆ แต่ไม่รู้ว่าวัดไหน รูปร่างสูง ๆ ดำ ๆ อีกองค์หนึ่งรูปร่างหน้าตาดี ไม่รู้อยู่วัดไหน เวลาไปตามก็มีสามองค์เลยเล่นกำไรเสียเลย พระพุทธรูปสิบสองนิ้ว กับคนที่จะไปพรหม ราคามันไม่เท่ากันใช่ไหม เราสร้างพระสิบสองนิ้วเดี๋ยวเดียว ไอ้คนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพรหมมันง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ
    คราวนี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่า ทำไมท่านจึงมาเจาะจงเอาฉันไปช่วย ถ้าลงได้เป็นแบบนี้ละก้อจะต้องเป็นเครือเดียวกัน เป็นพวกเดียวกัน เดินทางแนวเดียวกัน อาจารย์ทิมกับฉันรู้จักกันมานาน ตั้งแต่ตอนบวชอยู่ใหม่ ๆ ส่วนอีกสององค์ไม่รู้ว่าเขารู้จักกันมาเมื่อไหร่ แต่ทั้งสององค์นั่นบ้า ๆ บวม ๆ เหมือนกัน เงินส่วนตัวไม่มี ฉันถามอีกองค์หนึ่งที่รูปร่างหน้าตาดี ๆ บอกว่าอยู่สิงห์บุรี จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจ ถามถึงปฏิปทาเขาก็บอกว่า ผมกับท่านบ้า ๆ บวม ๆ เหมือนกัน สตางค์ไม่เหลือ อาจารย์ทิมก็บ้าเหมือนกัน แต่ดันบ้าตายก่อน มันจะลงนรกเราให้ลงไม่ได้ ทีนี้วิธีกระตุ้นนิดเดียว ถ้าบอกว่าอาจารย์ทิมเริ่มนั่งเข้าฌานละก็ซวยเลย ใครจะไปเข้าฌานได้ยังไง เขาต้องถามถึงอารมณ์เดิมนิดเดียว ถามว่าจำอารมณ์หนึ่งได้ไหน เอกัคคตากับอุเบกขา
    บอกจำได้เท่านี้ก็พอแล้ว จำได้เป็นฌานสี่ จิตก็ตั้งอยู่พอดี พอพูดปั๊บจิตก็ตั้งอยู่ฌานสี่ พอตั้งอยู่ฌานสี่ สภาพก็เป็นพรหม ตัวแกก็เป็นพรหม แจ๋ว เลยบอกไปตามอัธยาศัย ข้าจะกลับวัด เดี๋ยวลูกศิษย์ข้าคอย
    ที่เล่าให้ฟังนี่ มันเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่มีเจตนาโกงเงินสงฆ์ ไอ้พวกที่มีเจตนาโกงไม่มีทางช่วย เรี่ยไรมาสิบบาท เอาของเขาใช้ไปเก้าบาทเก้าสิบสตางค์ อีกสิบสตางค์ก็เอาเข้ากระเป๋า อย่างนี้ลงอเวจีมหานรก
    ของสงฆ์นี่แม้แต่กระเบื้องแตก ๆ ก็เก็บไม่ได้ ของที่สงฆ์เขาไม่ใช้แล้ว เห็นว่ามันดีนี่ เอาไปบ้านหน่อย อย่างนี้ เอวัง ตกดังตูม.......อเวจี

    http://www.watthapra.com/index.php?lite=article&qid=262044
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2014
  10. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ทีนี้มาเล่าถึงเหตุการณ์ของกระทู้ที่ผมถาม เขาอาการหนักเลยแหละ ดูหนัง ดูซี่รี่ย์ อะไรก็หยุดคิดไม่ได้คิดแต่เรื่องๆอยากลองทำอะไรแผลงๆคือ เอาเท้าไปเหยียบพระพุทธรูปและพระเครื่อง ซึ่งตัวเองไม่ได้อยากทำเลย แต่ก็คั่นเนื้อคั่นตัวไปหมด จนต้องยอมทำ เพราะห้ามความคิดตัวเองไม่ได้ ฉะนั้นถามว่ามีเจตนาไหม ผมตอบได้ว่า มี ครับ แต่เขาเป็นคนที่ชอบทำบุญมาก นับถือศาสนาพุทธและศึกษาอย่างจริงจัง เขาไม่ได้ปรามาสแน่นอนครับ

    ซึ่งประมาณ 3 ปีที่แล้วได้หลังจากเหตุการณ์นี้ตอนนี้เขากินยาอยู่ พอหายแล้ว เริ่มคิดอะไรได้และคิดย้อนหลังกลับไปเขาก็รู้สึกผิดครับ

    ปล.ใครที่เป็นแบบที่ผมกล่าวมาทั้งหมดหาหมอนะครับก่อนจะเป็นหนักแบบนี้ ผมหวังดีจริงๆนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2014
  11. OMG_WTF

    OMG_WTF Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2012
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +48
    ป้วยการจะบอก ไม่บอกตัวเองด้วยล่ะจ๊ะ หรือ ว่า ชอบพูดมากว่า

    ใจเย็นๆมาลูก
    มาๆๆ เดี๋ยวซีซอให้ฟัง
     
  12. OMG_WTF

    OMG_WTF Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2012
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +48
    แล้วนอกจาก เปิดอ่านแบบ ไม่มีที่คั้นหูแล้ว เขาทำอะไรเองบ้างใหมจ๊ะ
     
  13. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    เคยมีคนให้ความเห็นไว้ดังนี้ ผมนำมาเผยแพร่บางส่วนครับ

     
  14. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ???? เกี่ยวอะไรกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไม่เข้าใจ ผมพูดถึงท่านรึ? แล้วผมไม่แสดงความเคารพตอนไหนเนี่ย? แล้วพรหม คือใคร? ทำไมต้องไปถาม? แน่กว่าพระพุทธเจ้าหรือ? เรากำลังพูดถึงกรรม ในบาทฐานของพุทธศาสนาใช่ไหมครับ? ศาสดาก็มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นนี่ครับ ไม่ใช่พรหม ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ ปัจจัยที่เป็นเหตุ ปัจจัยที่เป็นผล ต้องสัมพันธ์กันครับ ไม่ใช่อุปโลคเอาตามความเชื่อล้วนๆ ไม่ใช่เด็กดื้อจะออกไปเล่นนอกบ้าน แล้วไม่ชอบใจหลอกเด็กว่า ออกไปตุ๊กแกจะกินตับ อย่างนี้ ทำให้เด็กกลัวไม่กล้าออกเลย ก็เหมือนความเชื่อที่ขาดเหตุผลนั่นเอง ทั้งที่ไม่สมเหตุสมผล แต่ทำก็กลัวกันไปก่อนแล้ว และพวกที่มาเล่าต่อก็ยิ่งหนักเลย "เพื่อนๆ แม่เราบอกว่า ออกไปนอกบ้านตอนกลางคืน ตุ๊กแกมันจะกินตับว่ะ" ผู้ที่มีเหตุมีผลเขารู้ เขาก็นึกขำในใจ ตุ๊กแกตัวนิดเดียว จะมากินตับคนได้ยังไง

    ยึดเหตุผลเป็นหลักดีกว่าครับ สอนให้เชื่ออย่างเป็นเหตุเป็นผล อย่าไปงมงาย
    ตำราคำสอนหรือเรื่องเล่าของพระสงฆ์สาวกรุ่นปัจจุบันนั้น ท่านมรณะภาพไปนานแล้ว บางรูปก็มรณะก่อนเราจะเกิดด้วยซ้ำ ตำราบทความที่คุณเอามาแปะก็เป็นของที่ลูกศิษลูกหาจัดทำทั้งนั้น ต้องระวังอย่างมากเลย ลูกศิษนี่ล่ะตัวดี ชอบอุปโลค พาลให้ครูบาอาจารย์เสียหาย

    ชาวพุทธมีสรณะคือ พระรัตนไตร โดยมีพระธรรมเป็นใหญ่ที่สุด ( เพราะพุทธองค์ไม่อยู่แล้ว ท่านให้พระธรรมเป็นใหญ่ ส่วนของพระองค์ให้จดจำไว้เพียงเพื่อให้มีกำลังใจ ) ที่รองลงมาคือ พระสงฆ์ หมายเฉพาะพระสงฆ์ที่ปฏิบัติและสอนตรงตามพระธรรมคำสอนของพุทธองค์
    หากมีการขัดแย้งหรือไม่ตรงกันระหว่าง พระธรรม กับพระสงฆ์
    แน่นอน พระธรรมที่บันทึก ชี้ให้เห็นในส่วนของเหตุและผลชัดเจน ควรจะยึดเป็นหลัก มิใช่ไปไหลตามความเชื่อที่ไม่สมเหตุสมผลว่า ทำอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ตัวอย่างความเชื่อที่ไม่สมเหตุสมผล เช่น เป็นหนี้สงฆ์เป็นบาปเป็นกรรมหนัก ติดหนี้แล้วไม่แก้ไข ต้องลงอเวจี บ้างก็ว่า การปรามาสปิดทางมรรคผลบ้าง ผิดสวรรค์บ้าง
     
  15. OMG_WTF

    OMG_WTF Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2012
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +48
    ต่อให้เป็นพระอรหันต์ องค์ใหน ก็ปัญญาไม่เท่าพระพุทธเจ้าหรอก
    นับถือเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ไม่จำเป้นต้องเชื่อทั้งหมด

    ตอนนี้ ศาสนากำลัง แย่
    เพราะพระ สมัยนี้ ปาหี่ อุปทาน สอนธรรมมั่วเยอะ หาก ไม่กลับมาเน้น ฟังธรรม ของพระพุทธเจ้า ผมถามคำเดียว

    นี่ศาสนาของใคร?
    ถ้าตอบว่าของทุกคน

    แล้วใครล่ะ เป็นครูของศาสนานี่?

    ใครเป้นคนสอน ให้คนชั่วอย่างเราๆ เป็นพระอรหันต์?

    เราควรฟังใคร?

    เดิมที่ พระพุทธเจ้า ท่านเน้นว่า ให้พระสงฆ์ เน้น เอาคำของพระตถาคตมาสอนนะ

    ไม่ใช่แต่งแล้วสอนเอง
     
  16. OMG_WTF

    OMG_WTF Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2012
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +48
    ธรรมของพระพุทธเจ้าเป้นไปเพื่อความดับทุกข์ ความเบิกบาน
    ควายคลามกำหนัด

    ไม่ใช่ฟังแล้วทุกข์กว่าเดิม
    อย่างที่เห็นทุกวันนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2014
  17. Asvel

    Asvel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +822
    ถ้าไม่สบายใจ เวลาสวดมนต์ไหว้พระหรือไปกราบพระที่ไหนให้เพื่มการขอขมาพระรัตนตรัยเข้าด้วยทุกครั้งครับ นึกถึงว่ากำลังกราบเท้าพระพุทธเจ้าอยู่แล้วขอขมา

    โรคแบบนี้ฟังๆท่าน Sir-Pai เล่ามา ดูๆแล้วท่าจะทรมาณแท้ ขนาดผมเองเป็นแค่พฤติกรรมย้ำคิด แต่ไม่ย้ำทำ จิตมักจะฟุ้งซ่านและชอบไปด่าไปปรามาส ครูบาอาจารย์ที่เราศรัทธาหรือบุคคลที่เราคิดดีด้วย ห้ามก็ห้ามไม่ได้ ยังได้ขอขมากันแทบจะไม่เป็นอันได้ทำอะไร และไม่ค่อยกล้าจะไปยุ่งเกี่ยวกับใครมากนัก (ยิ่งถ้าเขามีเจโตปริยญาณน่ากลัวเขาจะว่าเราวิปริตเอา)

    สำหรับคนที่เป็นโรคนี้ไม่รู้นะว่าโทษหนักขนาดนั้นไหม แต่การปรามาสอย่างนี้ก็มีกรรม เคยอ่านเรื่องของคนที่ไปด่าครูบาอาจารย์ของตัวเองในไถจิต ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านนั้นก็มีเจโตปริยญาณ ท่านก็บอกว่า "แต่การที่จิตเราปรามาสอย่างนี้ก็มีกรรม ให้ขอขมาเสียก็พอ" รวมๆแล้วก็คือต้องขอขมากันจนเป็นอาจินกรรมครับ และต้องไม่ไปเครียดหรือวิตกกับมัน เพราะถึงเป็นคนที่ทำดีตลอดทั้งชาติบางคนเขาก็ยังขอขมาเป็นปกติครับ เพื่อให้จิตเป็นกุศลหรือเผื่อไว้สำหรับจริยาที่เราไม่รู้ วิตกกังวลไปใจเราจะเสียเปล่าๆ เพราะไม่ใช่ว่าใจเราไม่เคารพพระรัตนตรัยแล้วตั้งใจไปเหยียบเสียเมื่อไหร่ นี่เราเป็นโรคที่ห้ามไม่ได้ ถึงจะต้องแสดงออกทางกายกรรม กรรมมันก็ต้องต่างกันกับคนปกติที่มีใจอกุศลอยู่แล้วล่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2014
  18. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    ผมก็คิดนะครับ ถ้าเป็นบาปกรรมจริงน่าจะไม่ถึงขั้นปรามาส เพราะเจตนาไม่ได้อยากทำอกุศลกรรมเลย และทำไปเพราะเจตนาที่บิดเบี้ยว ถ้าบาปคงบาปไม่มาก ความคิดเห็นผมครับ ซึ่งผมก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับพี่ tsukino2012 ด้วยนะครับ สำคัญที่จิตใจครับ ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ อาจจะเปรียบเทียบไม่ได้กับคนที่ขึ้นไปทาสีบนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆเพราะนั่นไม่มีเจตนาอะไรเลย แต่นี่เขาก็ไม่มีเจตนาทำบาปและปรามาสเช่นกัน

    ใครมีความคิดเห็นยังไงก็พูดคุยกันได้นะครับ :boo:
     
  19. OMG_WTF

    OMG_WTF Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2012
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +48
    ขอเสริมนะ มีคนถามพระพุทธเจ้าว่า ทุกคนย่มมีสิ่งที่นับถือ แล้วท่านนับถืออะไร

    ท่านตอบว่า ธรรมที่ท่านตรัสรู้มาน่ะ ท่านนับถือพระธรรมที่ธรรมรู้มา
     
  20. โลโป

    โลโป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +1,714
    การเหยียบพระพุทธรูปหรือพระเครื่องบาปหรือไม่บาปอยู่ที่เจตนา หากคนป่วยไม่มีเจตนาถือว่าไม่บาป หากเป็นคนปกติจิตใจขุ่นมั่วเป็นบาปตกนรก คนเหยียบพระพุทธรูปไม่ตกนรกเพราะจิตไม่มีเจตนาไม่ได้จิตคิดปรามาสพระพุทธเจ้า คนที่มีอุปทานว่าพระพุทธรูปคือพระพุทธเจ้า เหยียบพระพุทธรูปเท่ากับเหยียบพระพุทธเจ้าคนนั่นแลตกนรก
     

แชร์หน้านี้

Loading...