" บวชทำไม ? " # หน้าสุดท้าย

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย โยมฝน, 26 ตุลาคม 2011.

  1. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780
    [color="IndianRed4"]
    [​IMG]

    นอกจากนี้ควรให้ผู้ป่วยได้มีโอกาสได้ยิน ได้ฟังธรรมของพระศาสดา อาจจะใช้เปิดซีดี หรือนั่งอ่านพุทธวจนให้ผู้ป่วยฟัง
    ** แต่ขอเน้นย้ำว่าต้องเป็นคำของพระตถาคตไม่ใช่ธรรมของผู้อื่นผู้ใดก็ได้

    รูปรส กลิ่น เสียง ผู้ป่วยรู้จักมาแล้วทั้งชีวิต หลักธรรมคำสอนผู้ป่วยก็เคยได้ยินได้ฟังมาจากครูบาอาจารย์ทั้งหลาย

    แต่จะมีสักกี่คนที่เคยได้ยินได้ฟังคำสอนขององค์พระตถาคตโดยตรง ...
    คำที่ประกอบด้วยปาฎิหาริย์ ที่เมื่อใครได้ยินได้ฟัง จะสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นอริยบุคคลได้

    ผู้เพลิดเพลินในทางโลก เมื่อเจ็บไข้ รู้ตนว่าต้องตายจริง.. จะแสวงหาที่พึ่ง
    จิตของเขาเหล่านี้ จะเป็นจิตที่มีกำลัง เป็นผู้มีอินทรีย์.. เขาพร้อมจะเชื่อและปฏิบัติตาม

    และหากได้นำคำพระศาสดาไปให้ได้ยินได้ฟัง จะเกิดการใคร่ครวญพิจารณา
    โดยแม้ยังไม่ได้เป็นอริยบุคคลขั้นใดเลย
    เมื่อมาได้ฟังคำขององค์พระตถาคต ใคร่ครวญตาม เข้าใจ แล้วปล่อยวาง สามารถที่จะละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง ๕ ได้ ได้เป็นถึงพระอนาคามี
    และหากละสังโชน์๕ได้แล้ว จะได้ถึงความเป็นพระอรหันต์ โดยมีตัวอย่างในครั้งพุทธกาล


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    อีกประการ สำหรับผู้ป่วยที่สั่งสมสุตตะ จดจำพุทธวจนได้มาก จนคล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดอย่างดีด้วยความเห็น จะได้อานิสงส์อีก ๔ ประการ

    โดยแม้จะมีสติหลงลืมขณะทำกาละ ก็จะยังได้ไปเกิดเป็นเทวดา

    ดังนั้นผู้ชอบสวดมนต์ สาธยายมนต์ ลองใช้วิธีนี้หันมาสาธยายพุทธวจนดูบ้างเพื่อได้อานิสงส์เหล่านี้เพิ่มขึ้น

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    (**ได้มีผู้นำบทแห่งธรรมนี้ไปปฏิบัติกับผู้ป่วยไข้แล้วมากมาย ..
    และกว่า๒๐ราย และได้แจ้งกลับมาว่าผู้ป่วยตายสงบไม่ทุรนทุราย
    บางรายเสียชีวิตด้วยสีหน้าผุดผ่องเหมือนคนนอนหลับ จนญาติคิดว่าผู้ป่วยอาการดีขึ้นไม่คิดว่าเสียชีวิตไปแล้ว)



    [/COLOR]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2013
  2. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780


    คนเรามักคิดว่าชีวิตก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องนิพพาน ทำไมต้องไม่อยากเกิดอีก...


    เพราะความไม่รู้ในอริยสัจ ๔ นั่นเอง..
    จึงทำให้ไม่ทราบถึง ความไม่แน่นอนในการได้อัตภาพใหม่

    [​IMG]


    หมู่สัตว์ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ผู้แล่นไปอยู่ท่องเที่ยวไปอยู่ในสังสารวัฏ
    เวียนว่ายไปในกระแสแห่ง “ทุกข์”
    บางคราวได้อัตภาพความเป็นเทวดา เทพ มาร พรหม
    บางคราวได้อัตภาพความเป็นมนุษย์
    บางคราวได้อัตภาพในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย
    ไม่อาจที่จะพ้นได้ซึ่ง อบาย ทุคติ วินิบาต จนกว่าจะได้รู้
    และกระทำให้แจ้งได้ ซึ่งอริยสัจสี่ (ความรู้อันเป็นทางหลุดพ้น)


    เปรียบกับ การซัดท่อนไม้ขึ้นสู่อากาศ ..


    [​IMG]


    [​IMG]


    อย่าประมาท .. ว่ายังไม่เจ็บ ยังไม่ป่วย ยังไม่ตกทุกข์ได้ยาก ยังไม่ขาขาดแขนขาด พิการ หรือเป็นโรคร้ายแรง
    อย่าต้องรอให้ถึงกับตนเองเจ็บป่วยปางตาย ..
    อย่าต้องรอให้ได้อัตภาพเปรต อสูรกาย เข้าถึงทุคติ วินิบาตก่อน
    อย่ารอจนทุกข์เกิด.. ค่อยมาใส่ใจในทุกข์..ค่อยมารู้อริยสัจ..ค่อยประกอบความเพียร

    การรู้จักทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ และทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
    คือรู้ในอริยสัจ๔ และเชื่อในกฎแห่งกรรม.. ว่าการทำดี เป็นเหตุ .. ย่อมได้รับดี เป็นผล
    เช่นเราทุกข์ (ทุกข์)
    รู้ว่าทุกข์เกิดจากพฤติกรรมในอดีตที่เคยทำไม่ดีมา.. (สมุทัย)
    หันมาปรับปรุงแก้ไขการกระทำในปัจจุบันใหม่..
    เปลี่ยนแปลงโดย ดำเนินแนวทางที่ถูกต้องดีงาม.. (มรรคมีองค์ ๘)
    จนเกิดผลในทางดีขึ้น ปัญหาคลี่คลาย ทุกข์ที่มีลดลง หรือดับลงไปได้..(นิโรธ)

    ** จริงๆแล้วทุกข์ในความหมายของอริยสัจ๔ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกทุกข์
    แต่หมายถึง ธรรมชาติใดๆที่มีการเกิดและการดับเกิดขึ้นได้ ธรรมชาตินั้นถูกเรียกว่าทุกข์
    เช่นคน ,ต้นไม้ ,ภูเขา , แก้วน้ำ ล้วนคือทุกข์ในอริยสัจ เพราะ มีการเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ชั่วคราว - แล้วเดินไปสู่ความดับ(คนตาย แก้วแตก)
    และไม่ใช่เพียงรูปธรรมเพียงอย่างเดียวแต่รวมไปถึงนามธรรมด้วย
    เช่นความหิว ความโกรธ ความสุข ความรัก ล้วนเป็นทุกข์ เพราะมีการเกิดและดับได้เช่นกัน
    (หิวข้าว(เกิด (สมุทัย)) -ทานข้าว -หายหิว(ดับ (นิโรธ)) หรือมีความสุข(เกิด (สมุทัย)) เมื่อสุขหายไป(ดับ (นิโรธ)) (ความสุขไม่ใช่ทุกข์แต่เดินไปสู่ความดับได้ จึงเรียกว่าทุกข์)
    โดยรวมแล้ว ความหมายของทุกข์ในอริยสัจ๔คือ อุปาทานขันธ์ ๕

    สมุทัย (เหตุเป็นแดนเกิด) ในความหมายของอริยสัจ๔ คือการปรากฏขึ้นของทุกข์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
    พระตถาคตอธิบายการเกิดแห่งทุกข์ ด้วยปฏิจจสมุปบาท สายเกิด
    (ปฏิจจสมุปบาทคือ ธรรมชาติที่อาศัยกันและกัน จึงเกิดขึ้น แล้วเรียงร้อยต่อกันเป็นสาย และการที่ทุกข์เกิดขึ้น เพราะอาศัยปัจจัยที่ต่อเนื่องกันมานี้เอง)

    นิโรธ (การดับแห่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ )
    พระตถาคตอธิบายการดับแห่งทุกข์ ด้วยปฏิจจสมุปบาท สายดับ

    มรรค (การเข้าไปเห็นอุบาย เครื่องออกไปพ้นจากขันธ์๕ คือ มรรควิธี - มรรคมีองค์๘)

    [​IMG] [​IMG]***(จะนำเรื่องอริยสัจ มากล่าวพร้อมยกพระสูตรมาอธิบายให้เข้าใจยิ่งๆขึ้นในโอกาสต่อๆไป)

    [​IMG]


    พระตถาคตท่านเปรียบบุคคล ผู้มองเห็นทุกข์ แล้วเกิดความสังเวช
    จนเป็นเหตุให้ปรารภความเพียรไว้ ๔ พวก โดยเปรียบกับม้าอาชาไนย

    ขอนำพระสูตรนี้ ..
    มาให้กัลยาณธรรมได้ใช้เทียบเคียง ว่าตนเองจัดอยู่ในม้าอาชาไนยประเภทไหนค่ะ




    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    ควรเร่งประกอบความเพียรนะคะ .. อย่าหัดว่ายน้ำตอนเรือจม


    [​IMG]



    [​IMG] ตัวอย่างคำกล่าวถวายผ้ากฐิน [​IMG]
    และคำกล่าวถวายสังฆทานเงินทอง ตามแบบพุทธกาล



    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2013
  3. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780
    1

    [​IMG]


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
    เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ
    จงเป็นผู้มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ อยู่เถิด...



    [​IMG]


    [​IMG]


    หนึ่งในการจะพึ่งตนพึ่งธรรมได้นั้น
    บุคคลต้องเคยได้ยิน ได้ฟัง ได้สดับ ในธรรมขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน..
    เพื่อกระทำความเห็นให้ถูก ..กำหนดจดจำในอรรถและพยัญชนะ ..
    นำไปใคร่ครวญพิจารณา..เป็นผลสู่การปฎิบัติ ตามข้อปฏิบัติอันชอบ สมควรแก่ธรรมนั้นๆ

    การรับฟังธรรม และการทำความเข้าใจในบทแห่งธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
    เพราะหากลงมือปฏิบัติ โดยไม่มีความเข้าใจในบทพยัญชนะและความหมายที่ถูกต้องแล้ว
    เปรียบเหมือนตามทางแผนที่ผิด เดินทางผิด จุดหมายผิด การปฏิบัตินั้นก็เปล่าประโยชน์ไป..


    ขอนำพระสูตรเกี่ยวกับเรื่องการฟังธรรม การสั่งสมสุตะ พร้อมอานิสงส์มาให้ได้รับทราบเพิ่มเติม
    นอกเหนือจาก “อานิสงส์แห่งธรรมที่บุคคลฟังอยู่เนืองๆ” แล้วมีผลติดตามตัวบุคคลนั้นไปแบบข้ามภพชาติ **(เคยลงไปแล้ว ในธรรมสำหรับคนป่วยไข้ก่อนสิ้นชีวิต)
    -ฟังธรรมเนืองๆ จนคล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ สติหลงลืมเมื่อทำกาละ เข้าถึงเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง แล้วระลึกบทแห่งธรรมได้เอง
    -มีสติหลงลืมตอนทำกาละ เข้าถึงเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง บทธรรมทั้งหลายไม่ปรากฏ.. แต่มีภิกษุผู้มีฤทธิ์ถึงความชำนาญแห่งจิตแสดงธรรมแก่เหล่าเทพ ทำให้ระลึกได้ เมื่อได้ฟังซ้ำ
    -สติหลงลืมเมื่อทำกาละ เข้าถึงเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง บทธรรมทั้งหลายไม่ปรากฏ.. ภิกษุผู้มีฤทธิ์ถึงความชำนาญทางจิตก็ไม่ได้แสดงธรรมแก่เหล่าเทพ.. แต่มีเทพบุตรในเหล่าเทพนั้นแสดงธรรม เมื่อได้ฟังแล้วจำบทธรรมได้
    -สติหลงลืมเมื่อทำกาละ เข้าถึงเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง บทธรรมทั้งหลายไม่ปรากฏ .. ภิกษุผู้ชำนาญทางจิตและเทพบุตรก็มิได้แสดงธรรม.. แต่มีเทพบุตรผู้เกิดก่อนเตือนเทพบุตรผู้เกิดทีหลัง เมื่อได้ฟังแล้ว ระลึกได้


    อานิสงส์ของการฟังธรรมเนืองๆ คือเมื่อมาได้ฟังซ้ำอีกครั้ง จะระลึกถึงบทธรรมเก่าๆที่เคยรู้มา เกิดความเข้าใจ สามารถบรรลุคุณวิเศษ
    ยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ ถึงที่สุดแห่งการดับทุกข์คือการตรัสรู้ได้อย่างรวดเร็ว ดังตัวอย่างของพระสาวกที่ได้ฟังธรรมแล้วบรรลุมรรคผลนั้นมีปรากฏอยู่


    และการสั่งสมสุตะ จดจำในคำของพระตถาคตได้มากนั้น
    พระองค์เปรียบเหมือน การที่เรามีอาวุธหลากหลาย ไว้สำหรับประหารกิเลส และอกุศลธรรมแบบต่างๆด้วย



    [​IMG]


    [​IMG]

     
  4. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780
    2

    [​IMG]

    การฟังธรรมนั้น ผู้ฟังอาจมีความมุ่งหมายต่างกันไป
    บางท่านฟังเพื่อต้องการบุญ บางท่านฟังเพื่อเอาความรู้
    บางท่านฟังเพื่อให้เกิดเป็นอุปนิสัย หรือบางท่านฟังเพื่อนำไปปฏิบัติ

    พระตถาคต กล่าวถึงอานิสงส์การฟังธรรมไว้ ๕ ประการ
    แต่การฟังเพื่อจะได้อานิสงส์นั้น ต้องอาศัยความตั้งใจฟังโดยความเคารพ
    มีสติสัมปชัญญะ ในการรับฟัง
    .. เป็นเหตุให้เกิดปัญญา (สุตมยปัญญา)
    มีความคิดสติปัญญาที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ


    [​IMG]


    [​IMG]

    ..แต่หากผู้ฟังไม่มีความสนใจ ขาดความเคารพในธรรม
    ขาดสติปัญญาในการคิดพิจารณาใคร่ครวญตาม การฟังธรรมนั้น จะไม่สำเร็จประโยชน์ใดๆได้เลย


    [​IMG]


    [​IMG]

    พระตถาคตเปรียบบุคคลผู้มีปัญญา ในการฟังธรรมไว้ ๓ พวก
    นำมาลงไว้ให้ทุกท่าน ได้ใช้เทียบเคียงด้วยค่ะ
    เพื่อการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น อันจะเป็นเหตุให้ได้รับอานิสงส์ แห่งการฟังธรรมอย่างสมบูรณ์


    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

     
  5. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780
    3

    [​IMG]


    บางครั้งแม้ตั้งใจฟังธรรมนั้นแล้ว ก็มิอาจเข้าใจ ..
    พระศาสดา ได้บอกหนทางแห่งการปฎิบัติ
    เพื่อการรู้ตามซึ่งสัจธรรมนั้นไว้ ๑๒ ขั้นตอน



    [​IMG]


    การรู้ตามซึ่งความจริงทั้ง ๑๒ ขั้นตอนนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นครบทุกขั้นตอนได้โดยง่าย
    ..บางคนเป็นผู้มีศรัทธาไปวัด แต่ไม่ฟังธรรม

    ..บางคนฟังแล้วไม่กลับไปใคร่ครวญ ทำให้ขาดสมาธิ ความเข้าใจไม่ต่อเนื่อง
    ทำให้ธรรมที่ได้ยินได้ฟังมานั้น ไม่ทนต่อการเพ่งพิสูจน์
    ขาดการโยนิโสมนสิการ.. การน้อมไปให้เห็นตามความเป็นจริง
    เลยไม่เห็นจริงซึ่งธรรมทั้งหลายที่เราสามารถรู้ได้เห็นได้..

    ..การหาความสมดุลแห่งธรรม คือการปรารภความเพียร
    โดยการทำให้มากให้บ่อยให้สม่ำเสมออยู่เป็นประจำ เพื่อหาความพอดี จนสามารถตั้งตนไว้ในธรรมนั้นได้..
    และสามารถใช้ธรรมที่เราเข้าถึงแล้วนั้น เป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่ต่อไป

    (เช่นหากทำอานาปานสติ การดูลมหายใจเข้าออก ก็ต้องฝึกการหายใจ
    ว่าทำอย่างไรเกิดความสบายที่สุด ไม่หายใจแรงไป ไม่เบาไป หาความพอดีจนเจอ
    เมื่อฝึกจนได้ความสมดุลแล้ว ก็ใช้ลมหายใจนั้นเป็นวิหารธรรม เครื่องอยู่ของจิตต่อไป



    [​IMG]


    เมื่อเข้าใจในบทธรรมนั้นๆแล้ว ..
    หมั่นนำบทธรรมนั้น มาสาธยาย ให้คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดอย่างดีด้วยความเห็นด้วยนะคะ
    ..เพื่อกันการลืม และเพื่อทบทวนความเข้าใจ จดจำได้ทั้งอรรถ และพยัญชนะ
    ให้ได้อานิสงส์ การจดจำธรรมได้.. เป็นผลติดตามตัวข้ามภพข้ามชาติด้วยค่ะ

    อานิสงส์แห่งการสาธยายธรรม


    [​IMG]


    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ร่วมกันสร้างเหตุปัจจัย ในการสั่งสมสุตตะ ขององค์พระตถาคต
    ขอให้ท่านได้ดวงตาเห็นธรรม ก้าวสู่อริยบุคคลในธรรมวินัยของพระศาสดา ด้วยกันทุกท่านค่ะ



    [​IMG]


     
  6. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780
    ๑.

    คนมักกล่าวกันถึงพญานาค .. มีที่อาศัยอยู่เมืองบาดาล

    พญานาคมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่
    ขอนำพระสูตร ที่พระตถาคตได้กล่าวถึงพญานาคมาอธิบายความข้อนี้


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    พญานาคเป็นภพภูที่มีอยู่จริง แต่จัดเป็นสัตว์เดรัจฉาน มีฤทธิ์ อยู่ในฝ่ายสุคติภูมิ และ ไม่สามารถบรรลุธรรมได้

    ส่วนคำกล่าวถึงเมืองบาดาล ตามความเชื่อตลอดมา ว่าเป็นที่อยู่อาศัยของพญานาคนั้น มีอยู่จริงด้วยหรือไม่
    ขอนำพระสูตรนี้มาอธิบายคำว่า “บาดาล” ตามที่พระตถาคตกล่าวไว้


    [​IMG]


    (ดังนั้นหากใครกล่าวว่านำสิ่งของนั่นนี่มาจากเมืองบาดาล พึงลงสันนิฐานว่าไม่ใช่แน่นอน เพราะเมืองบาดาลไม่มีจริง)


    [​IMG]


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2013
  7. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780
    ๒.

    การกำเนิดของนาคมีอยู่ ๔ แบบ

    เกิดแบบอัณฑชะ (เกิดจากฟองไข่) ,เกิดแบบชลาพุชะ (เกิดจากครรภ์ อย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม) ,
    เกิดแบบสังเสทชะ (เกิดในสิ่งที่หมักหมม ในตม ในที่ชื้นแฉะ หรือด้วยเหงื่อไคล) ,
    เกิดแบบโอปปาติกะ (เกิดแล้วโตทันที ผุดเกิดสำเร็จเป็นตัวเป็นตน)


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    นาค - ครุฑ


    [​IMG]


    [​IMG]

    ด้วยนาคเป็นมีฤทธิ์ อายุยืน มีวรรณะ มากด้วยความสุข
    จึงมีผู้กราบไหว้บูชา และต้องการเข้าถึง ในความเป็นสหายของนาค


    [​IMG]


    [​IMG]

    แต่ข้อควรพิจารณาในการสร้างเหตุเพื่อให้ได้กาย อันเป็นสหายของนาคนั้น
    ควรไตร่ตรองให้ละเอียด .. เพราะแม้ว่า นาคจะมีฤทธิ์ อายุยืน มีวรรณะ มากด้วยความสุข
    แต่ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่ มีภพภูมิอยู่ต่ำกว่ามนุษย์
    เมื่อสิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ นาคก็ยังไม่พ้น อบาย ทุคติ วินิบาต นรก กำเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสัย ไปได้
    ส่วนความเป็นมนุษย์นั้น เราสามารถบรรลุธรรม ..
    เรียนรู้อริยสัจ ประพฤติปฎิบัติเดินตามอริยมรรคมีองค์๘ เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล
    พ้นจาก อบาย ทุคติ วินิบาต นรก กำเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสัย ออกจากสังสารวัฏนี้ได้
    ดังนั้น ช่วยเหลือ ,อนุเคราะห์กันตามภพภูมิ ดีที่สุดค่ะ .. ไม่ต้องทำความปรารถนา


    [​IMG]


    [​IMG]


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2013
  8. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780
    ๓.

    สำหรับผู้ที่ยังปรารถนาเพื่อให้ได้ความเป็นทิพย์

    ขอให้สร้างเหตุในปัจจุบัน ตามนี้ค่ะ
    มีฤทธิ์ มีอายุยืน มีวรรณะ และมากด้วยความสุขเช่นเดียวกันกับนาค และสามารถบรรลุธรรมได้ด้วย


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    ฝากไว้ค่ะ

    อย่างไรก็ดี แม้ภพภูมิเทวดาจะมีสุขอันเป็นทิพย์ เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา
    แต่การไม่ปรารถนาการเกิด ไม่ปรารถนาการได้กายใหม่ ไม่ปรารถนาการสร้างภพใหม่ ดีที่สุดนะคะ
    เพราะเทวดาก็ยังไม่สามารถรอดพ้นจาก อบาย ทุคติ วินิบาต นรก กำเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสัย ได้เช่นกัน
    ส่วนการได้ความเป็นอริยบุคคล ความเข้าใจในอริยสัจ เกิดตายอีกไม่เกิน ๗ ชาติ จะเข้าถึงอมตะคือนิพพาน
    และการเวียนเกิดตายใน ๗ ชาตินั้น ก็จะอยู่เฉพาะ ในภพของเทวดาและมนุษย์เท่านั้นไม่ลงต่ำกว่านี้


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]

    ขอให้เชื่อในกรรม และผลของกรรม
    เป็นผู้มีศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย มีสัมมาทิฏฐิ และมีมรรคมีองค์๘เป็นกัลยาณมิตร
    ไม่ต้องแสวงหาที่พึ่ง วิงวอน ร้องขอ หรือสร้างความปรารถนาในภพใหม่ เพื่อให้ได้ความเป็นเทพนิกายใดๆที่ไม่พ้นเกิดตายเหมือนกัน


    ขอแสดงพระสูตรนำมาเป็นตัวอย่าง
    แสดงความหมดอายุขัยของสัตว์ในภพภูมิอื่นว่ามีเช่นกัน


    โดยยกภพภูมิเทวดามาอธิบายความข้อนี้ (มิใช่ว่าเทพ มาร พรหม จะเป็นอมตะ)
    ว่าด้วย เมื่อเทวดาจะจุติจากความเป็นเทพนิกาย มีนิมิตรใดใดบ้างปรากฏแก่เทวดานั้น
    และสุคติของเทวดาคืออะไร



    [​IMG]

    [​IMG]


    จากนาคไม่รู้มาจบที่เทวดาได้อย่างไร พึ่งตนพึ่งธรรมนะคะ
    มีฤทธิ์ มียศ ก็ไม่พ้นการเกิดการตายค่ะ

    [​IMG]


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2013
  9. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    เนื่องในวันที่ ๕ ธันวาคม เป็นวันคล้ายวัน พระราชสมภพ ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ข้าพระพุทธเจ้า นางสาวสุทธิมา อภิสิงห์ และชาวเวปพลังจิต
    ขอถวายพระพร ขอพระองคค์ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง
    ทรงพระเกษมสำราญและมีพระชนมายุยืนนาน
    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


    [​IMG]


    เรื่องเล่าจากในวัง...แล้วคุณจะรัก " ในหลวง "

    เรื่องที่ ๑

    เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน (พ.ศ. ๒๕๒๘)
    ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของพิธีพระราชทานปริญญาของบัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ในวันนั้นเกิดเหตุการณ์ไฟดับทั่วประเทศไทยในตอนบ่าย
    เป็นผลให้บัณฑิตจำนวน ๖ คน ที่เข้ารับพระราชทานปริญญาในช่วงนั้น
    หมดโอกาสที่จะได้ถ่ายภาพตอนเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร
    จากพระหัตถ์ไว้เป็นที่ระลึก ..เเต่สิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อเสร็จพระราชพิธีเเล้ว

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระเเสรับสั่งกับอาจารย์ที่หมอบถวายปริญญาอยู่ข้างๆ ที่ประทับว่า
    “ให้ไปตามบัณฑิต ๕-๖ คนนั้นขึ้นมารับปริญญาใหม่อีกครั้งหนึ่ง “
    เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็น ที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่ว ทั้งหอประชุม


    ====================================


    เรื่องที่ ๒

    มีอยู่ปีนึงที่ ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร
    อธิการบดีอ่านรายชื่อ บัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ..
    ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหน แล้ว
    ปรากฏว่าในหลวงท่าน ทรงจำได้ ท่านตรัสกับ อธิการไปว่า
    " เมื่อกี้นี้ (คนชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"


    ====================================


    เรื่องที่ ๓

    เช้าวันหนึ่งเวลาประมาณ ๗ โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์ของ ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
    ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับพระองค์ท่าน
    ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย
    ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า " บอกเขาว่าคนในแบงค์โทร.มา "
    นางสนองพระโอษฐ์ถามกลับไปอีกว่า " ธนาคารไหนคะ "
    (ก็ยังเช้าตรู่อยู่ ทำไมคนที่แบงค์โทรมา แบงค์ก็ยังไม่เปิด)

    คิดทบทวน "คนในแบงค์"... ถึงกับตื่นเต้นตกใจเพราะคนในแบงค์ คือ "ในหลวง"
    ท่านทรงมีพระอารมณ์ขันอยู่เป็นนิจ " ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน "


    ====================================

    [​IMG]

     
  10. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780
    1.


    " ใบไม้ในกำมือ และ ใบไม้นอกกำมือ "


    [​IMG]


    พระศาสดา ทรงเปรียบ ใบไม้ทั้งต้น ดั่งความรู้ทั้งหมดที่พระองค์ได้ตรัสรู้มา
    ทรงรู้แจ้งเห็นจริงในทุกสรรพสิ่ง .. แต่พระองค์ก็มิได้นำความรู้ทั้งหมดมาตรัสสอน
    เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น



    [​IMG]


    [​IMG]


    ความรู้ที่ทรงนำมาตรัสสอนนั้น เปรียบได้กับใบไม้ภายในกำมือ
    สิ่งที่พระองค์ทรงสอน คือ เรื่องทุกข์และการดับทุกข์
    ทรงสอนเฉพาะที่จำเป็นต่อการหลุดพ้น เป็นความรู้แจ้ง
    เพื่อความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับไม่เหลือ เพื่อนิพพาน

    ส่วนความรู้นอกนั้นเป็นความรู้ที่ไม่เกิดประโยชน์
    ไม่เป็นเบื้องตันของพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความดับ ความระงับ ความรู้พร้อม เพื่อนิพพาน
    ซึ่งเปรียบได้กับใบไม้นอกกำมือที่เหลืออยู่บนต้น


    [​IMG]


    [​IMG]


    แต่บางท่านมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่า วลี " ใบไม้นอกกำมือ" นั้น
    คือ ยังมีความรู้และหนทางปฏิบัติแนวทางอื่นอีก ที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ แต่พระศาสดาไม่ทรงนำมาสอน
    จนเป็นเหตุให้ผู้เดินตามมาข้างหลัง ๆ .. คิดค้นวิธี เพื่อความหลุดพ้นขึ้นมาใหม่ ..
    .. แตกเป็นสาย ... เป็นนิกาย ... เป็นเหตุแห่งความอันตรธานของคำสอน เดิม

    จึงขอชี้ชวน และทำความเข้าใจ ในวลี " ใบไม้นอกกำมือ" เสียใหม่
    เพื่อไม่เป็นการกล่าวตู่พระศาสดา และช่วยกันดำรงคำสอนที่เป็นเนื้อแท้ไว้

    [​IMG] ไม่มีหนทางใดอีกแล้ว นอกจากทางสายเอกนี้สายเดียว เที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]


     
  11. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780
    2.


    [​IMG]


    ด้วยพระองค์ตรัสรู้แจ้งเห็นจริงในทุกสรรพสิ่ง
    จึงมีบรรดาเหล่าปริพาชก เจ้าลัทธิอื่นๆ รวมถึงสาวกของพระองค์เอง ที่มีความสงสัยในเรื่องโลก และเรื่องอจินไตย
    ได้นำปัญหาเหล่านั้นไปสอบถามกับพระศาสดาอยู่เป็นประจำ
    พระศาสดาตอบคำถามเหล่านี้หรือไม่ ?


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    พระศาสดากล่าวเรื่องโลก ว่ายังมีเรื่องพิสดารอีกมากมาย หากคอยตามรู้ไม่มีวันหมดสิ้น รู้ไปเพียงได้บรรเทาความสงสัยไม่เกิดประโยชน์
    แต่ควรตามรู้ในเรื่องอริยสัจ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการหลุดพ้นออกจากวัฏสงสารนี้ได้แทน


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    การตามรู้ ตามเห็นในเรื่องพิศดารของโลกที่ไม่จำเป็นให้หมดเสียก่อน แล้วค่อยมาทำความรู้ในอริยสัจ
    พระศาสดาทรงกล่าวตำหนิ


    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]


     
  12. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780
    3.


    [​IMG]


    พระศาสดาให้ความสำคัญ ในการตามรู้เรื่องอริยสัจสี่ ว่าเป็นเรื่องรีบด่วนมาก
    รีบด่วนกว่าการต้องดับไฟที่กำลังไหม้อยู่บนศีรษะเสียอีก


    [​IMG]


    [​IMG]


    ความเร่งด่วนขนาด ไฟไหม้บนศีรษะยังไม่ต้องทำการดับ
    แต่ให้บุคคลนั้นพึงกระทำโดยยิ่งก็คือฉันทะ วายามะ อุสสาหะ อุสโสฬ๎หี อัปปฏิวานี
    สติ และสัมปชัญญะ มารู้อริยสัจทั้งสี่ที่ตนยังไม่รู้ก่อน

    เหตุเพราะ เมื่อรู้อริยสัจอย่างดีแล้ว แม้ถึงคราวทำกาละ กายแตกทำลายลง
    ก็เป็นผู้ไม่ต้องไปสู่อบาย สามารถพ้นจากนรก ไม่ต้องทุกข์ทรมานอยู่ในนั้น
    การพลัดไปสู่อบาย โอกาสที่จะขึ้นมาเป็นมนุษย์อีกครั้งเป็นเรื่องยาก
    พระศาสดากล่าวถึงทุคติภูมิ ว่าท่านไม่เห็นการจองจำอื่นใดที่ทารุณ เจ็บปวด โหดร้าย
    เท่า ยิ่งกว่า การถูกจองจำในนรกกำเนิด ดิรัจฉาน และเปรตวิสัย
    พระองค์ทรงเปรียบความสำคัญในการรู้อริยสัจว่า
    แม้ต้องถูกแทงด้วยหอกวันละ ๓๐๐ ครั้ง ตลอด ๑๐๐ปี เพื่อแลกกับการรู้อริยสัจ ก็ให้ยอม
    เพราะเมื่อมีความรู้ในอริยสัจแล้ว ทำให้เราสามารถเข้าถึงมรรคผลนิพาน
    และไปสู่สัมปรายภพในภพภูมิที่ดี สู่สุขติภพได้
    นี้คือข้อต่างของผู้รู้และไม่รู้ในอริยสัจ (ให้ผลต่างกันมาก)


    [​IMG]


    [​IMG]


     
  13. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780
    4.


    [​IMG]


    ขอนำพระสูตรแสดงเกี่ยวกับ ความไร้ประโยชน์ในการตามรู้เรื่องอจินไตย

    กล่าวถึง ฤาษีผู้มีฤทธิ์ อยากรู้ที่สุดของโลก
    จึงใช้ฤทธิ์เหาะไป โดยเว้นจากการกิน การดื่ม การถ่าย การหลับนอน ตลอด ๑๐๐ ปี
    เพื่อดูที่สุดของขอบจักรวาล(คือนิพพาน) ที่ไม่มีการเกิด การแก่ การตาย
    แต่ถึงคราวทำกาละเสียก่อน (ตายคาเหาะ ก่อนจะได้พบ ที่สุดของโลก)


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    สังสารวัฏนี้ยาวไกลอันไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลาย
    และการจะหลุดพ้นออกไปจากวัฏสงสารนี้ได้ เพื่อถึงแดนอมตะ คือนิพพาน
    ไม่สามารถทำด้วยการเหาะไป ต้องอาศัยความรู้ในเรื่องอริยสัจสี่ .. เท่านั้น


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]


     
  14. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780
    5.


    [​IMG]


    อริยสัจสี่ โดยสังเขป

    (จะนำพระสูตรเรื่อง อริยสัจ๔ มาแสดงอย่างละเอียด ในโอกาสต่อๆไป)


    [​IMG]


    [​IMG]

    ฝากไว้ค่ะ พระศาสดาทรงกำชับ ชี้ชวน พร่ำสอน..


    [​IMG]


    [​IMG]

     
  15. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780

    [​IMG]

    วันนี้ขอนำพระสูตร
    แสดงความเป็น " อุบาสก อุบาสิกา " ในพระศาสนามาให้รับทราบค่ะ



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    อุบาสกที่ดีของพระผู้มีพระภาค ต้องเชื่อมั่นในองค์พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอันสูงสุดเท่านั้น
    พุทธศาสนาไม่มีเทพนิกายอื่นใดอีก ไม่ว่าจะเป็นพรหมองค์ใด เจ้าแม่องค์ใด ล้วนไม่ปรากฏมี เป็นลัทธิความเชื่อของศาสนาอื่น
    การไม่ปันความเลื่อมใสศรัทธาแก่เทพนิกายอื่นใดๆ
    จากการเป็นอุบาสกที่ดี.. ก็สามารถเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้...

    เปรียบเหมือนเสาหินยาว ๑๖ ศอก หยั่งลงในดิน ๘ ศอกโผล่ขึ้นมา ๘ ศอก
    ย่อมไม่หวั่นไหวต่อลมฝนที่มาทุกทิศทาง ... โสดาบันก็เช่นกัน ..
    ไม่มีสมณะ พราหมณ์เหล่าใด หรือความเชื่อเหล่าอื่น
    มาชักนำให้โสดาบันโอนเอนไปได้...
    เป็นผู้เชื่อมั่นเฉพาะพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เพียงเท่านั้น*

    * หนึ่งในคุณสมบัติความเป็นพระโสดาบัน

    [​IMG]

     
  16. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780


    เหตุแห่งการเข้ามาบวช
    เป็นพระภิกษุในธรรมวินัยนี้มีหลากหลาย ...



    บวชเพื่อตอบแทนคุณบิดา-มารดา , บวชด้วยศรัทธาในพระศาสนา , บวชเพื่ออบรมบ่มนิสัย , บวชเพื่อเล่าเรียนวิชา

    บวชกันตามประเพณีโบราณ , บวชเพื่อแก้บน , บวชเพื่อแก้กรรม , บวชหน้าไฟ , บวชก่อนแต่งงาน ฯลฯ


    แต่จะมีมากน้อยสักเท่าใด ที่ทราบเหตุผลจริงๆ
    ในการควรเข้ามาประพฤติพรหมจรรย์ ศึกษาธรรมวินัย ในศาสนาของพระสมนโคดมนี้



    [​IMG]


    ในสมัยที่พระศาสดายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่
    พระองค์ทรงซักซ้อมบอกกล่าวกับภิกษุทั้งหลาย ในการตอบคำถาม เพื่อให้คำตอบแบบเดียวกันหมด ..
    โดยหากมีปริพาชกผู้ถือลัทธิศาสนาอื่น มาถามถึงเหตุผลว่่า
    “การประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณะโคดมนี้ เพื่อประโยชน์อะไร ?”
    “และเมื่อถูกถามอย่างนี้ จะต้องตอบแก่พวกปริพาชกว่าอย่างไร ? ”
    ขอนำคำตอบในพระสูตรมาเสนอ พร้อมพระสูตรอื่นๆเกี่ยวกับการประพฤติพรหมจรรย์


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    การบวชเพื่อรอบรู้เรื่อง
    ตา.. หู.. จมูก.. ลิ้น.. กาย.. และใจ..
    รูป... เสียง... กลิ่น... รส... โผฏฐัพพะ... ธรรมารมณ์....
    จักขุวิญญาณ... โสตวิญญาณ... ฆานวิญญาณ.... ชิวหาวิญญาณ... กายวิญญาณ... มโนวิญญาณ
    จักขุสัมผัส... โสตสัมผัส...ฆานสัมผัส... ชิวหาสัมผัส... กายสัมผัส... มโนสัมผัส...
    สุขเวทนา... ทุกขเวทนา... หรืออทุกขมสุขเวทนา...
    คือรอบรู้ในปฏิจจสมุปบาท (เหตุเกิดของทุกข์)


    [​IMG]

    ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ >> เรียกว่าอายตนะ ภายใน
    รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ >> เรียกว่าอายตนะ ภายนอก
    ทั้งหมดนี้ เรียกรวมกันว่า >> สฬายตนะ

    (อายตนะภายนอก + อายตนะภายใน) + วิญญาณไปรับรู้ >> เกิดการกระทบสัมผัสกัน(ผัสสะ)

    เช่นเมื่อตาเห็นรูป คือเกิดการการสัมผัสกันของอายตนะภายนอก(รูปที่เห็น)และอายตนะภายใน(ตา) มีการเห็นเกิดขึ้น (วิญญาณทางตาไปรับรู้) เรียกผัสสะ
    (ตา + รูปที่เห็น) + (จักษุ)วิญญาณทางตารับรู้ >> ผัสสะทางตา (จักขุสัมผัส)
    (หู + เสียงที่ได้ยิน) + (โสต)วิญญาณทางหูรับรู้ >> ผัสสะทางหู (โสตสัมผัส)

    และเมื่อวิญญาณทางตาเข้าไปรับรู้ เมื่อตาเห็นรูป
    วิญญาณทางหูเข้าไปรับรู้ เมื่อหูไปได้ยินเสียง ฯลฯ
    จะเกิดความรู้สึกขึ้นตามมา เรียกว่า เกิดเวทนา (สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา)
    เช่น เมื่อหูได้ยินเสียงคนนินทา โสตวิญญาณเข้าไปรับรู้ เกิดความรู้สึกโกรธ(เวทนา)
    หูได้ยินเสียงคนชมเชย ยกย่อง สรรเสริญ โสตวิญญาณเข้าไปรับรู้ เกิดความรู้สึกพอใจ ดีใจ สุขใจ (เวทนา)

    เมื่อมีเวทนา (ความโกรธ) เกิดขึ้น >> ตัณหาจะตามมา(อยากเข้าไปด่าว่า ชกต่อย) อาการที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่
    ..จนถึงการเกิดภพ ชาติ ชรา มรณะ (จะนำพระสูตรเรื่องปฏิจจสมุปบาท มาอธิบายโดยละเอียดอีกครั้ง)

    การที่พระตถาคตมาให้รอบรู้ในอายตนะทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อดับเหตุ ก่อนการจะเกิดขึ้นแห่งภพนั่นเอง


    [​IMG]

    [​IMG]



     
  17. โยมฝน

    โยมฝน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,238
    ค่าพลัง:
    +7,780


    [​IMG]


    นอกจากนี้พระตถาคตยังซักซ้อมกับภิกษุทั้งหลาย ในการตอบคำถามหากถูกใครๆถามว่า

    “พวกท่าน เป็นใคร ?”



    [​IMG]

    [​IMG]


    บวชแล้วต้องคอยระวังสิ่งเหล่านี้ด้วย


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    เปรียบภิกษุดั่งผ้ากาสี และผ้าเปลือกปอ


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

     

แชร์หน้านี้

Loading...