น้ำท่วม มา.....ยาต้องใช้ เตรียมตัวไว้หน่อยก็ดีไม่เสียหาย

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย จริง?หรือ?, 8 สิงหาคม 2013.

  1. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ข้อมูลเป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ ยาสมุนไพรนี่แหละครับสุดยอดของสรรพคุณและภูมิปัญญา โดยเฉพาะสมุนไพรไทยแล้ว ฝรั่งจ้องกันตาเป็นมันส์เลยล่ะครับ

    สำหรับเรื่องสมุนไพรตัวอื่นๆนำมาเพิ่มเติมได้ครับ ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ รบกวนcopyมาวางได้เลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 สิงหาคม 2013
  2. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    โอ้เยี่ยมมากเลยครับคุณมณีจำปา เป็นความรู้อย่างมากเลยครับ
    ยิ่งเรื่องนี้สำคัญมากๆครับ

    "ส่วนอินซูลินที่ยังไม่ได้เปิดใช้ หากเก็บที่อุณหภูมิ 2 – 8 องศาเซลเซียส หรือในตู้เย็นช่องแช่ปกตินั้น สามารถเก็บได้นานเท่ากับอายุยาข้างขวด แต่สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง (ประมาณ 25 องศาเซลเซียส) ได้นานประมาณ 30 วัน อินซูลินที่เก็บในอุณหภูมิสูง เช่น กลางแดดจัด หรือที่อุณหภูมิต่ำมากๆ เช่น ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นไม่ควรใช้เป็นอย่างยิ่งเนื่องจากยาเสื่อมคุณภาพ และไม่แนะนำเก็บที่ฝาตู้เย็น เนื่องจาก อาจทำให้อุณหภูมิไม่ค่อยคงที่ จากการปิด-เปิดตู้เย็น"
    เพราะบางท่านคิดเพียงว่าการที่ให้เก็บยาไว้ในตู้เย็นก็ใส่ไว้ในตู้เย็นเพียงแค่นั้นก็พอแต่จริงๆแล้วยาบางอย่างต้องใส่ใจทำความเข้าใจให้ดี วางตรงตำแหน่งที่อุณหภูมิไม่คงที่ก็สุ่มเสี่ยง วางไว้ตรงจุดเยือกแข็งก็สุ่มเสี่ยงเช่นกัน
     
  3. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    <a href="http://pic.free.in.th/id/30c84627504dbd227eaa14f30686f398" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/id/130815031829.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    <a href="http://pic.free.in.th/id/271bfd8b491b0e57faf20db9b7939c59" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/ih/130815031748.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>
     
  4. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    วันก่อนเราค้างกันไว้เรื่องการปฐมพยาบาลคนถูกงูกัด

    มองให้เห็นภาพนะคะ ขณะที่เรากำลังเดินข้ามคูคลอง โขดหิน แมกไม้ในป่าใหญ่ ฮัมเพลงเบาๆ อย่างมีความสุข

    ฉับพลันทันใดอะไรม่ายรู้น่ะ ฉกงับเข้าที่ขา แขน แล้วมันก็หลบหนีไป

    นอกจากยังงงๆ แล้วยังตกตะลึงอีก ถ้าเห็นตัวก็หมดข้อสงสัยไปแต่นี่..หายแว๊บไปแล้ว

    หากยังนึกอะไรไม่ออกคงต้องสัณนิษฐานอันดับแรกเลยว่า "งู " ไว้ก่อนค่ะ


    [​IMG]

    การปฐมพยาบาลคนโดนงูกัด ยังเป็นที่ถกเถียงกันหลากหลายตำรา

    ดิฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าท่านสมาชิกแต่ละท่านพอใจการรักษาแบบภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย หรือ แผนปัจจุบันไทยหรือเทศ

    เอาเป็นว่าความหลากหลายเหล่านี้มีให้เลือกตามความเชื่อความศรัทธา ทุกท่านสามารถเสวนาเพื่อเปิดมุมมองกัน ค่ะ


    ทำอย่างไร !! เมื่อถูกงูกัด


    1.ก่อนอื่นต้องตั้งสติ ไม่ตกใจเกินเหตุ อยู่ในอาการสงบ หายใจลึกๆ

    เพื่อไม่ให้ชีพจรเต้นเร็ว และเพื่อชะลอพิษงูกระจายไปสู่กระแสเลือด กระแสประสาทเร็วขึ้น

    ในบางรายโดนงูกัดแต่อาจไม่ได้รับพิษก็ได้ เพราะงูแค่กัดด้วยความตกใจไม่ได้ปล่อยพิษตามออกมา

    และหากได้รับพิษกว่าพิษจะกระจายและเริ่มแสดงอาการจะใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงจึงจะมีอาการรุนแรงได้



    2.รีบนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด และควรมีข้อมูลสถานพยาบาลนั้นๆ ว่ามีเซรุ่มสำหรับแก้พิษงูหรือไม่ มิฉะนั้นจะเสียเวลาเปล่า

    เราควรมีเบอร์ฉุกเฉินของสถานพยาบาล หากตอนนั้น นึกอะไรไม่ออก นึกถึง 1669 ไว้ก่อน ค่ะ


    3. ในขณะที่นำคนไข้ส่งโรงพยาบาล เราช่วยปลดแหวน กำไล นาฬิกาข้อมือ อะไรที่ทำให้ให้รัดแน่นเมื่อแผลบวม จะทำให้เกิดการคั่งของพิษ การไหลเวียนไม่ดี


    4.ถ้าเป็นไปได้ ควรทำเหมือนเข้าเฝือกมีไม้ดามรองแล้วใช้ผ้าพันแผลชนิดยืด elastic bandage

    [​IMG]

    พันรอบๆ จากด้านโคนเข้าไปหาหัวใจ จะเกิดแรงกดที่ยืดหยุ่นพอดี ไม่แน่นหรือหลวมไป และจัดวางอวัยวะนั้นให้นิ่งที่สุด


    5.บางตำราบอกให้ขันชะเนาะ หรือใช้ผ้ามัดเหนือรอยกัด แล้วต้องคลายทุก 10-15 นาที

    บางตำราบอกว่าไม่สามารถช่วยลดพิษได้ แต่ตรงกันข้ามอาจทำให้พิษคั่งค้างในเนื้อเยื่อ

    [​IMG]

    หากท่านคิดว่าสามารถบริหารจัดการเวลาการผูกการคลายก็สามารถทำได้

    แต่หากมัวตื่นเต้นตกใจจนลืมคลายชะเนาะหรือผ้าที่รัดไว้ ตามเวลาที่เหมาะสม จะมีผลเสีย คือ

    เนื้อเยื่ออาจถูกพิษงูทำลาย เนื้อตายหรือเน่าจากการขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง



    6.ระหว่างนำส่งสถานพยาบาล พิษบาดแผลจะทวีขนาดและความเจ็บปวดมากขึ้น ไม่ควรตกใจ

    เราสามารถทำเครื่องหมาย ตรงขอบบริเวณที่บวมขึ้นทุก 15 นาที

    ตรงนี้เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยความรุนแรงของพิษงูในทางการแพทย์ และจะเกิดประโยชน์กับคนไข้ ค่ะ

    [​IMG]

    ข้อสังเกต

    *การพยายามค้นหาว่างูที่กัดเป็นงูชนิดไหน ในทางปฏิบัติค่อนข้างเสียเวลา ปัจจุบันไม่แนะนำ แต่หากทราบชนิดงู จะเป็นประโยชน์ในการให้เซรุ่ม


    *ใครเคยฝึกวิชาลูกเสือ เดินป่าสมัยก่อน หรือดูหนังพระเอกจะช่วยนางเอกเวลาโดนงูกัด

    ใช้ใบมีดกรีดเปิดแผลแล้วใช้ปากดูดเลือด ดูแล้วก้อโรแมนติกละนะ


    แต่ปัจจุบันพิสูจน์แล้วว่ายิ่งทำให้แผลมีโอกาสอักเสบติดเชื้อมากชึ้น พิษงูไม่ได้หมดไปจากการดูดเลือดเป็นแน่แท้



    *การใช้บุหรี่จี้ ไฟฟ้าช๊อต หรือการใช้น้ำแข็งประคบ ไม่ได้ทำให้พิษงูเดินทางช้าลงแต่อย่างใด



    ขอบคุณข้อมูลบางส่วน:จาก... ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านการแพทย์ฉุกเฉินไทย และบทความจาก Safe House Lab
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  5. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    "...งูกัด เราบอกแก้งูกัด มียาดี..มะมาๆ...แก้งูกัดดีนะ"
    (เป็นหัวข้อเรื่องที่ท่านtoplus99 เสนอให้ตั้งชื่องานเขียน เพื่อความเร้าใจของท่านผู้อ่าน)

    สมุนไพรต้านพิษงู

    "สมุนไพรไทยนี้มีค่ามาก พระเจ้าอยู่หัวทรงฝากให้รักษา
    แต่ปู่ ย่า ตา ยาย ใช้กันมา ควรลูกหลานรู้รักษาใช้สืบไป
    เป็นเอกลักษณ์ของชาติควรศึกษา วิจัยยาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมัย
    รู้ประโยชน์ รู้คุณโทษสมุนไพร เพื่อคนไทยอยู่รอดตลอดกาล"

    พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี


    ได้รับรู้ข้อมูลเรื่องการปฐมพยาบาลคนถูกงูกัด จาก พี่น้ำใสฯแล้ว
    ส่วนนี้นำมาลงนี้ ถือว่าเป็นการเพิ่มเติมทางด้านสมุนไพรนะคะ


    เก็บเล็กผสมน้อยจากที่ได้ไปดูงานเรื่องสมุนไพรต้านพิษงู
    ที่บ้านสมุนไพรไท เขาขุนอินทร์ โดย หมอกุ

    ขึ้นชื่อว่า งู น้อยคนนักที่จะไม่กลัว ถึงไม่กลัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พลาดโดนพิษงู
    ซึ่งพิษงูนั้นจะมีมากน้อยก็ตามแต่ชนิดของงูนั้นๆ
    หลายๆคนบอกว่า ขอเจอแค่งูเห่า ไม่ขอเจองูกัด

    เมื่อถูกกัดแล้ว จะเจอสถานการณ์ที่วุ่นวายหลายอย่างนะ
    บางตัวลอบกัด กัดแล้วหนีหาคู่กรณีไม่เจอ ไม่รู้จะเอาผิดกะใคร จะไปบอกหมอว่างูอะไรก็ไม่รู้
    บางตัวกัดแล้วเราจับได้ นำส่งรพ.ไปด้วยกัน แต่ก็อย่ามั่นใจนะค๊า ว่าหมอจะรู้จักงูทุกประเภท ท่านก็ต้องสัมภาษณ์คู่กรณีด้วยช่วยกันว่าเป็นชนิดไหน เอาให้แม่นๆ เวลาจะได้หยิบเซรุ่มมาจิ้มได้ถูกตัว

    งูมีพิษร้ายแรงเพียงใดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่นฤดูกาล ช่วงเวลาออกหากิน รอยกัด ตำแหน่งที่กัด คิดง่ายๆก็คือ ถ้างูยังไม่ได้กินเหยื่อยังไม่ได้ปล่อยพิษ พิษก็จะสะสมไว้มาก

    เบื้องต้นเราควรที่จะรู้สมุนไพรใกล้ตัวไว้บ้าง ยิ่งช่วงน้ำท่วม ท่านอาจจะได้เห็นแขกไม่ได้รับเชิญเหล่านี้ไปเคาะประตูบ้านก็เป็นได้
    ตามความเชื่อโบราณ ได้มีการบอกเล่า หรือใช้สมุนไพรช่วยป้องกันพิษงู เช่น
    พญาลิ้นทอง พญาปล้องทอง ว่านพญางู เล็บครุฑ พญานาคราช พญาจงอาง
    พญาท้าวเอว
    ซึ่งถ้าเราพกติดตัว หรือปลูกไว้รอบๆบ้าน เมื่องูได้กลิ่นสมุนไพรเหล่านี้ ก็จะอ่อนแรง ไม่มีกำลัง ไม่เข้าใกล้บริเวณบ้าน

    แต่ที่สามารถป้องกันได้ ก็คือเวลาเข้าป่า นำไม้หรือมีดถางนำทางไปก่อนงูจะได้หนี ก่อนสวมเสื้อผ้า รองเท้าบูท ควระสะบัดก่อน ท่องคาถา "ระวัง ระวัง ระวัง" ตลอดเวลา
    แม้แต่เจอเฒ่าหัวงูก็ใช้คาถานี้ได้เช่นกัน


    คิดว่าหลายๆท่าน เวลาเยื้องย่างไปในแหล่งเฝ้าระวังที่ไม่ปลอดภัยเกี่ยวกับงู คงมีการใช้วิชาสติ+เมตตา ส่งพลังจิต ไปบอกงูว่า อย่ามายุ่ง..ทางใครทางมันเด๊ออ
    แต่ แต่..สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง พลังสติอาจจะมีเผลอให้งูพ่นพิษเข้าให้ก็ได้

    เมื่อใช้สติสติป้องกันชั้นหนึ่งไปแล้ว เราก็ควรมีแผนสำรอง มีสมุนไพรติดตัวติดบ้านไว้บ้าง
    จะถือได้ว่า เป็นผู้ไม่ประมาทโดยแท้ ทั้งยังอาจได้มีโอกาสสร้างบุญกุศล หากสมุนไพรที่มี
    ได้ช่วยชีวัตผู้คนรอบข้างเราได้ด้วย

    นี่ก็เย่นเย้อข้อความตามท้องทุ่ง จนผักบุ้งจอกแหนบานเต็มพื้นที่ ตาคนเขียนก็แทบจะริบหรี่
    แต่ชีวิตยังไม่หรี่ตามนะ ยังอยู่ปั่นป่วนคนในครอบครัวนี้อีกนาน อิอิ

    มาดูกรณี การดูแลผู้ที่ถูกงูกัดแล้วคู่กรณีหนีไม่อยู่ให้จับกุม จำไม่ได้ว่ามันเป็นใคร
    ให้เอาเชือกรัดเหนือบาดแผล เชือกกล้วยดีที่สุด แต่ถ้าไม่มีหาไม่ได้
    จะใช้ผ้าขาวม้ารึผ้าพันคอก็ได้ ถ้างูกัดที่หัว ไม่ต้องเอาผ้ารัดคอให้แน่นนะ
    ที่สำคัญอย่าแสดงน้ำใจสุภาพบุรุษดูุดพิษงูด้วยปาก นอกจากเพิ่มเชื้อโรคแล้ว
    ยังต้องมารักษาปากคนดูดพิษอีกนะ -->เหมือนข้อมูลของท่านพี่น้ำใสฯอย่าใช้ปากดูดพิษ
    อย่าเพิ่งแก้เชือกออก ควรหาสมุนไพรฟ้าทลายโจร ชนิดแคปซูลให้กินก่อนและทำความสะอาดปากแผล จากนั้นนำสมุนไพรแสยก ทาปากแผลเพื่อต้านพิษ
    แล้วจึงนำสมุนไพรขับพิษงูที่มีอยู่มาคั้นน้ำให้กิน 2-3ช้อนโต๊ะ
    จากนั้น นำกากยาสมุนไพรมาพอกปากแผล เมื่อเสร็จขั้นตอนแล้ว จึงแก้เชือกที่มัดออก
    กรณีโดนกัดใหม่ๆ ตัวยาที่ใช้ควรครอบคลุมก่อน เพราะเราไม่ชำนาญ
    โดยขั้นต้น จะใช้สูตร สมุนไพรเบญพิษ (ไม่ต้องท่องคาถาภาวนาปลุกพระเครื่องชุดเบญจภาคี) คั้นน้ำยาให้กินและเอากากพอกแผล
    ถ้าไม่ดีขึ้นให้เพิ่มตัวยา หรือกินซ้ำ และเปลี่ยนสมุนไพรพอกแผลทุกครึ่งชั่วโมง
    และสังเกตุอาการอย่างใกล้ชิด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  6. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    วิธีสังเกต “ยาเสื่อมคุณภาพ”

    [​IMG]

    วิธีสังเกตยาเสื่อมคุณภาพ

    ยาเม็ด ยาจะแตกร่วน สีเปลี่ยนไป มีจุดด่าง ขึ้นรา

    ยาเม็ดเคลือบน้ำตาล เม็ดยาอาจเยิ้มเหนียวมีกลิ่นหืนหรือกลิ่นผิดไปจากเดิม

    ยาแคปซูล สังเกตว่าแคปซูลจะบวม พองออก หรือจับกัน ผงยาในแคปซูลเปลี่ยนสี เช่น ยาเตตราซัยคลินที่เสียแล้ว ผงยาจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายต่อไตมาก

    ยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยาลดกรด ยาคาลาไมน์ทาแก้คัน หากเสื่อมสภาพตะกอนจะจับกันเป็นก้อน เกาะติดกันแน่น เขย่าแล้วไม่กระจายตัวดังเดิม มีความเข้มข้น กลิ่น สี หรือรสเปลี่ยนไป

    ยาน้ำเชื่อม เช่น ยาแก้ไอ หากหมดอายุ ยาจะมีลักษณะขุ่นมีตะกอน ผงตัวยาละลายไม่หมด สีเปลี่ยน มีกลิ่นบูดเปรี้ยวหรือรสเปรี้ยว

    ยาขี้ผึ้งและครีม ถ้าพบว่าเนื้อยาแข็งหรืออ่อนกว่าเดิม เนื้อไม่เรียบ เนื้อยาแห้งแข็ง หรือสีของยาเปลี่ยนไป


    วิธีการดูว่ายาหมดอายุ คือ ดูวันหมดอายุของยาที่ระบุไว้บนฉลากยา
    และถ้ายานั้นไม่มีวันบอกหมดอายุ อาจดูจากวันเดือนปีที่ผลิต
    ซึ่งโดยปกติ
    ถ้าเป็นยาน้ำจะเก็บไว้ได้ประมาณ 3 ปีนับจากวันผลิต และ
    หากเป็นยาเม็ดจะเก็บไว้ได้ 5 ปี และ
    ถ้าเป็นยาหยอดตาหากเปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้เพียงหนึ่งเดือน

    และครั้งหน้าถ้าจะรับประทานยา อย่าลืมสังเกตดูวันหมดอายุก่อนรับประทานยากันด้วยน่ะครับ


    โดย ผู้จัดการออนไลน์
     
  7. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    มารู้จัก "โรคไข้เหลือง" กันเถอะ

    [​IMG]

    โรคไข้เหลืองเป็นโรคติดเชื้อไวรัสแบบเฉียบพลัน จัดเป็นโรคในกลุ่มไข้เลือดออกชนิดหนึ่ง เป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อที่มีความรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าร้อยละ 50 หากไม่ได้รับการรักษา โดยแต่ละปีมีผู้ติดเชื้อประมาณสองแสนคนทั่วโลก เสียชีวิตประมาณ 30,000 คนเลยทีเดียว

    ข้อมูลจากศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพม

    กล่าวสำหรับ โรคไข้เหลือง เกิดจากเชื้อ Yellow fever virus ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่มฟลาวิไวรัส (Flaviviruses) สามารถก่อให้เกิดอาการป่วยในคนและสัตว์จำพวกลิง โรคนี้ระบาดโดยมียุงลายบ้าน ยุงลายสวน และยุงป่าในกลุ่ม Haemogogus (พบเฉพาะในทวีปอเมริกา) เป็นพาหะ

    การแพร่กระจายของเชื้อโดยมียุงเป็นพาหะ เกิดได้ 3 ลักษณะ คือ
    1.การติดเชื้อระหว่างสัตว์จำพวกลิงด้วยกัน
    2.การติดเชื้อจากสัตว์มาสู่คน และ
    3.การติดเชื้อระหว่างผู้ป่วยมาสู่คนปกติ
    การติดเชื้อและการแพร่กระจายของโรคเฉพาะพื้นที่มักเกิดจากการที่คนเข้าไปในป่าหรืออาศัยอยู่บริเวณแนวเขตป่าทำให้ได้รับเชื้อมาจากสัตว์ผ่านทางยุงป่า เมื่อผู้ติดเชื้อเหล่านี้เดินทางเข้าสู่เขตเมืองที่มีคนอาศัยอยู่หนาแน่นก็จะเป็นแหล่งแพร่กระจายของโรคไปสู่ผู้อื่นโดยมียุงลายเป็นพาหะ ซึ่งเป็นสาเหตุของการระบาดของโรคอย่างรุนแรง

    สำหรับการระบาดของโรค ปัจจุบันพบในทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้เท่านั้น โดยมีการระบาดบริเวณตอนกลางของทวีปแอฟริกาและตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นเขตร้อนชื้นที่ยุงพาหะสามารถวางไข่เพาะพันธุ์ได้ รวมทั้งมีพื้นที่ป่าที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์จำพวกลิงซึ่งเป็นตัวกักโรค ส่วนในทวีปเอเซียรวมทั้ง ประเทศไทย ยังไม่พบการระบาดของโรคดังกล่าวนี้

    ลึกลงไปถึงอาการของผู้ติดเชื้อไวรัสไข้เหลือง แต่ละรายมีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกัน
    -ผู้ติดเชื้อที่แสดงอาการแบบไม่รุนแรงนั้นจะมีลักษณะอาการไม่แตกต่างจากอาการของโรคติดเชื้ออื่นๆ
    -ส่วนในรายที่มีอาการรุนแรง เริ่มแรกอาจมีไข้แบบเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อตามตัว อ่อนเปลี้ย หมดแรง คลื่นไส้อาเจียน ชีพจรเต้นช้า หากตรวจเลือดจะพบว่ามีปริมาณเม็ดเลือดขาวเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ หลังจากนั้นอาการของโรคอาจรุนแรงขึ้น โดยพบเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ มีเลือดกำเดาไหล เลือดออกที่เหงือก มีเลือดปนออกมากับอุจจาระ ผู้ติดเชื้ออาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโรคไข้เหลือง) หากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ผู้ติดเชื้อประมาณร้อยละ 50 มักเสียชีวิตจากภาวะตับและไตวาย

    ปัจจุบันยังไม่มียาสำหรับรักษาโรคไข้เหลืองโดยเฉพาะ การวางแผนการรักษาโดยทั่วไป เน้นการรักษาตามอาการเช่นเดียวกับการรักษาโรคไข้เลือดออก เช่น ให้ยาลดไข้และให้สารน้ำทดแทนภาวะขาดน้ำ รวมทั้งเน้นที่การป้องกันการติดเชื้อ โดยการให้วัคซีนแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีการระบาดของโรคและผู้ที่จะเดินทางเข้าไปในบริเวณดังกล่าว และการระมัดระวังไม่ให้ถูกยุงกัด

    สำหรับวัคซีนไข้เหลืองที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นซึ่งเป็นการนำไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคมาทำให้อ่อนฤทธิ์ลงจนไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้ โดยใช้ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง (subcutaneous) ปริมาณ 0.5 มิลลิลิตร แนะนำให้ผู้ที่จะเดินทางไปยังบริเวณที่มีการระบาดของโรค ได้รับวัคซีนล่วงหน้าอย่างน้อย 10 วัน เพื่อให้ร่างกายมีเวลาสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรค โดยร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันโรคได้นานประมาณ 10 ปี เมื่อได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว จะได้รับเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน เพื่อใช้เป็นหลักฐานสำหรับแสดงเมื่อเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรค

    ส่วนผู้ที่ไม่ควรได้รับการฉีดวัคซีน คือ ทารกที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ผู้ที่มีประวัติแพ้ไข่ เนื่องจากมีการใช้ไข่ไก่ฟักในขั้นตอนการผลิตวัคซีน และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอยู่ในภาวะไม่ปกติ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่อยู่ในระยะแสดงอาการหรือผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีระดับ CD4 ต่ำกว่า 500 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ผู้ป่วยที่ตัดต่อมไทมัสหรือมีก้อนที่ต่อมไทมัส ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะหรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ส่วนผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนและต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษภายหลังจากการฉีดวัคซีน ได้แก่ ทารกอายุระหว่าง 6 ถึง 8 เดือน หญิงมีครรภ์ หญิงหลังคลอดที่กำลังให้นมบุตร ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงทางระบบประสาท รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอชไอวี

    ทางที่ดี ผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรคนี้ ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนก่อนเดินทางล่วงหน้าอย่างน้อย 10 วัน เพื่อให้ร่างกายมีเวลาสร้างภูมิคุ้มกันสูงเพียงพอที่จะสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ด้วยการเข้ารับการฉีดวัคซีนได้จากหน่วยงานของรัฐและเอกชน



    โดย ผู้จัดการรายวัน
     
  8. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    สถานที่ฉีดวัคซีนไข้เหลือง

    By TravM Dr, on October 2nd, 2011

    วัคซีนไข้เหลืองนับว่าเป็นวัคซีนพิเศษ ซึ่งโดยปกติแล้วคนไทยเราไม่ได้ฉีด เนื่องจากไม่มีโรคนี้ในประเทศไทย

    ดังนั้นจึงมีเพียงบางโรงพยาบาลเท่านั้นที่มีวัคซีนไข้เหลืองให้บริการ และสามารถออกหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนให้ได้ตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก

    ก่อนจะไปรับบริการฉีดวัคซีนไข้เหลือง ขอแนะนำให้อ่านข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับไข้เหลืองและสมุดรับรองการฉีดวัคซีนก่อน

    ในประเทศไทยสามารถฉีดวัคซีนไข้เหลือง และรับหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนได้ที่

    1. สถาบันบำราศนราดูร กระทรวงสาธารณสุข โทร. 02-590-3430

    2. คลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง (คลินิกนักท่องเที่ยว) โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล โทร. 02-306-9100 ต่อ 1405, 1410

    3. คลินิกเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและอายุรศาสตร์การท่องเที่ยว สถานเสาวภา สภากาชาดไทย โทร. 02-252-0161

    4. ที่ทำการแพทย์ตรวจคนเข้าเมือง บริเวณสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ถ.สาธร กรุงเทพฯ

    โทร 02-287-3101-3

    4. ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศต่างๆ เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยาน

    เชียงใหม่ ท่าเรือกรุงเทพ(คลองเตย) ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือสงขลา ฯลฯ

    ขอบคุณข้อมูลจาก Thai Travel clinic Blog โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน
     
  9. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    เผย แมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล พิษแรงกว่างูเห่า แพร่ระบาดใน 20 จังหวัด

    [​IMG]

    แมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล ที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเหนือ ซึ่งตอนนี้พบแพร่ระบาดอยู่ใน 20 จังหวัดของไทย

    เช่น กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสงคราม กาญจนบุรี ตาก กำแพงเพชร แม่ฮ่องสอน เชียงราย อุบลราชธานี มุกดาหาร

    นครศรีธรรมชาติ พัทลุง สงขลา และภูเก็ต เป็นต้น

    [​IMG]

    โดย แมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล พิษร้ายแรงกว่างูเห่าหลายเท่า มีพิษรุนแรงทำลายระบบเลือด และระบบภูมิคุ้มกัน

    แมงมุมแม่หม้าย น้ำตาล (Brown widow spider)

    [​IMG]

    สำหรับลักษณะทั่วไปของ แมงมุมแม่หม้าย น้ำตาล นั้น พบว่า ขนาดของตัวมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร

    บริเวณท้องจะโตกว่าหัวหลายเท่า ท้องจะกลมป่อง ด้านล่างมีลักษณะคล้ายรูปนาฬิกาทรายสีส้ม ด้านบนมีสีน้ำตาลสลับขาวลายเป็นริ้วๆ

    มีจุดสีดำสลับขาวตรงท้องข้างละ 3 จุด รวมเป็น 6 จุด วางไข่ครั้งละ 200-400 ฟอง

    แมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล จะทำรังอยู่ที่ต่ำ สูงไม่เกิน 1 เมตร ลักษณะรังหรือใยจะยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ พบเห็นได้ตามใต้โต๊ะ เก้าอี้ รองเท้าเก่าในบ้าน

    แมงมุม ชนิดนี้ มีพิษรุนแรง ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ระบบน้ำเหลือง และทำลายเม็ดเลือดขาว พิษร้ายแรงกว่าพิษของ แมงมุมแม่หม้ายดำ 2 เท่า

    [​IMG]

    และร้ายแรงกว่าพิษงูเห่า 3 เท่า ผู้ถูกกัดจะมีอาการแพ้อย่างแรง แผลจะเหวอะหวะ และเป็นผื่นบวมแดงเจ็บปวด มีหนอง แผลจะหายช้ามาก

    ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีเซรุ่มหรือยาถอนพิษ ทำได้แค่รักษาตามอาการเท่านั้น

    [​IMG]

    โดยส่วนใหญ่จะรักษาแบบประคับประคองตามอาการ และรอให้พิษหมดไปเอง

    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการว่า มีผู้เสียชีวิตจากการถูก แมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล กัด

    แต่มีรายงานการถูกกัดแล้วจากหลายพื้นที่

    ขอบคุณข่าวจาก Matichon online , Mthai News และ kapook.com
     
  10. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    กินให้รู้ ดูให้เป็น เมื่อถูกงูกัด

    มาต่อเรื่อง งองู กันอีกสักนิด เกี่ยวกับเรื่องอาหารการกิน
    ที่ชาวบ้านมักเรียกอาหารที่ไม่ควรกินยามป่วยโรคนั้นๆ ว่า อาหารแสลง รึ ผิดสำแดง

    ที่จะเอามาบอกเล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งแค่เล็กน้อย
    แต่ภูมิปัญญาชาวบ้านของหมองูนั้นมีมากมายนัก
    เป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านมีการสั่งสมสืบทอดกันมาช้านาน เป็นร้อยเป็นพันปี

    แต่เมื่อไม่ถึงร้อยปีมานี้เอง รัฐไทยก็ออกกฎหมายบอกว่า
    ชาวบ้านบำบัดโรคให้ผู้อื่นไม่ได้นะ ผิดกฎหมาย
    เพราะชาวบ้านไม่ใช่ “ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม”
    เท่ากับเป็นการกำหนดให้ “ภูมิปัญญาหมองู และภูมิปัญญาในการบำบัดโรคอื่น ๆ ของชาวบ้านเป็นสิ่งผิดกฎหมาย”
    ผู้ที่จะทำการรักษาได้ ต้องสอบขึ้นทะเบียนสาขาการแพทย์แผนไทย
    มีชาวบ้านหลายๆท่านไม่ได้สอบ และภูมิปัญญาก็หายไปพร้อมท่านเหล่านั้น
    ที่จะถ่ายทอดบ้างก็เป็นส่วนน้อย เฉพาะกลุ่มเล็กๆ
    ยิ่งในปัจจุบัน เรามักใช้วิธีวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งอำนวยประโยชน์สุขสบายได้มากมาย
    จนคนรุ่นใหม่ แทบไม่รู้จักภูมิปัญญาดีๆที่เรามีอยู่กัน


    เอ.. เรื่องอาหารการกิน น่าจะเป็นเรื่องที่มีความสุขน๊า
    แต่..ตั้งแต่เกริ่นมา ดูๆเครียดจังนิ

    มะมา ดูเรื่องอาหารเป็นตาแซ่บ แต่กินแล้วแสบทรวงเมื่อถูกงูกัด
    แบ่งย่อยๆให้พอจำได้

    1.อาหารทะเล : หอย ปลาหมึก กุ้ง ปู
    2.เนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง : เช่น ไก่ เป็ด เครื่องในหมู เครื่องในเป็ด กบ เขียด อึ่ง ไข่แดง
    3.ของหมักดอง ผักดอง ปลาเค็ม ปลาร้า
    4.เครื่องปรุงรส : น้ำมันหอย น้ำปลา
    5.ผัก : หน่อไม้ มะเขือ เผือก
    6.ผลไม้ที่รสหวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย
    7.ขนมรสหวานจัด เช่น กล้วยเชื่อม มันเชื่อม ฟักทองเชื่อม
    8.ผลิตภัณฑ์จากนมวัว เบียร์


    เห็นรายการอาหารต้องห้ามแล้ว คงต้องร้องเจี๊ยกเป็นลิงร้องอิ๋งเป็นหมา
    เอ่ออ.. ถ้าใครร้องอู๊ดก็ต้องเป็นหมู แม่นอิหลีเด้อ ^_^
    แล้วจะเหลืออะไรให้กินได้เนี่ย??

    เอาน่า เชื่อหัวไอ้เรืองเห้ออออ..
    ข้างบ้าน กระซิบมาว่า หัวไอ้เรืองไม่พอ คนเชื่อเยอะแล้ว
    อืมมม..งั้นก็ต้องที่เชื่อข้อมูลที่พิมพ์บอกมานี่ไปก่อน
    เพระมาจาก หมอกู ครูภูมิปัญญาไทย สาขาการแพทย์แผนไทย รุ่นที่3
    ขอบอก..ประสบการณ์เพียบ ใครถูงูกัดแล้วไม่หาย แผลเรื้อรัง เล็งพิกัดไว้ไปปรึกษาหารือได้
    ตอนนี้ หมอกุ ท่านก็อายุมากแล้ว อยากถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่มีความรู้ไว้มั่ง

    ถ้าใครยังคิดไม่ออกว่า อาหารอะไรมั่งนะ ที่กินได้เมื่อถูกงูกัด
    ก็แนะนำ ให้กินแนวๆหมอเขียว เน้นอาหารรสจืดเพื่อสุขภาพอ่ะนะ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2013
  11. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    เป็นอุทาหรณ์ เรื่องของ งู จาก Forward mail อีกเช่นกันค่ะ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับหน้าฝนอันยาวนาน ^^

    ขออนุญาตแชร์ค่ะ

    >> กรุณาอ่านเพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่แม่ๆทุกคน <<


    ผมเพิ่งกลับจากงานศพลูกสาวเพื่่อนข้างบ้าน(อายุ4ขวบครึ่ง) เป็นการเสียชีวิตที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย

    เรื่องมีอยู่ว่า ตอนเช้าคุณแม่ก็ไปส่งลูกไปโรงเรียนตามปกติ แต่แปลกที่ว่าพอลูกสาวขึ้นมาก็บ่นว่าหนูง่วงนอน แม่ก็ไม่คิดอะไรมาก เลยให้นอนหลับไป

    พอถึง รร. แม่ก็ปลุก ปรากฎว่าลูกตัวแข็ง ปากเขียวคล้ำ ไม่รู้สึกตัว แม่ตกใจมากรีบพาส่งโรงพยาบาล คุณหมอบอกเสียชีวิตแล้ว


    จากการสันนิษฐานน่าจะเกิดจาก "งูกัด" คุณแม่บอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้เพราะเดินออกมาจากบ้านด้วยกัน ขึ้นรถมาก็ไม่เห็นมีงูเลย

    เชื่อไหมครับ คุณหมอลองถอดถุงเท้าและรองเท้าดู ผมฟังแล้วขนลุกเลย " ลูกงูเห่านอนตายอยู่ในรองเท้านักเรียน " ผมเสียใจแทนคุณแม่จริงๆ



    คาดว่ามันคงไปนอนขดอยู่ในรองเท้าแล้วน้องเขาก็ใส่เข้าไป มันเลยฉก แต่ด้วยความที่ใส่ถุงเท้าอยู่ เด็กเลยไม่เจ็บมาก แต่พิษมันมีมากครับ

    อยากฝากไว้บ้านใครมีต้นไม้เยอะๆ หรือวางรองเท้าไว้นอกบ้าน ก่อนใส่เคาะๆสักนิด โอกาสแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้


    [​IMG]
     
  12. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    มีข่าวมาแจ้งครับ พอดีทราบข่าวจากเพื่อนมา เอามาบอกต่อเพื่อจะได้ระวังกันครับ อาจจะจริงหรือไม่จริง แต่การเฝ้าระวังสำหรับเรื่องนี้ก็ไม่ยุ่งยากอะไรนัก หากทำได้ก็จะเป็นการดีครับ

    "ได้ข่าวจากเพื่อนว่าที่ตึก..(.ชื่อย่อใช้ภาษาอังกฤษ 2 ตัว.)...(ไม่กล้าลงชื่อ) มีไข้หวัดนก H1 N1 ระบาด เพื่อนที่ทำงานที่ตึกเล่าให้ฟังว่าที่ตึกเคลียร์ทุกคนออกหมด เพิ่งถูกไล่กลับบ้าน ถ้าไม่จำเป็นอย่าไปไหน รัฐบาลปิดข่าวแน่นอน ขอให้ดูแลตัวเองให้ดีด้วย พักนี้ที่สาธารณะไม่ควรไป ล้างมือให้สะอาด ถ้าจำเป็นควรใส่หน้ากาก สังเกตอาการด้วย อย่าละเลย"

    ก็ลองดูครับเพื่อนแจ้งมา เราไม่ต้องตื่นตระหนก แต่คอยสังเกตุและเลี่ยงที่สาธารณะที่ผู้คนเยอะได้ก็ดี เพราะอย่างน้อยช่วงนี้ไข้หวัดธรรมดาก็เยอะอยู่ จุดมุ่งหมายที่นำมาแจ้งก็เพื่อว่า หากท่านใดหรือลูกเมีย สามีหรือญาติๆมีอาการป่วยขึ้นช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งนอนใจว่าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาน่ะครับ สังเกตุอาการให้ละเอียดสักหน่อย และสอบถามสถานที่ ที่ไปล่าสุดมา หากไม่มั่นใจก็ไปหาหมอตรวจให้ละเอียดครับ
     
  13. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ไข้หวัดใหญ่ H1N1

    ทำความรู้จัก "หวัด 2009" และรับทราบสถานการณ์ปัจจุบัน

    ไข้หวัดชนิดนี้ เดิมถูกเรียกว่า "ไข้หวัดหมู" ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อตามสถานที่แพร่ระบาดเริ่มแรกเป็น "ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดในประเทศเม็กซิโก" และปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศชื่อเรียกโรคนี้อย่างเป็นทางการว่า "ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิด A H1N1"


    ไข้หวัดดังกล่าวเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่จากเชื้อไวรัสชนิด A สายพันธุ์ H1N1 ที่มีสารพันธุกรรมของไวรัสของคน หมู และนกผสมกัน แต่มีความแตกต่างจากไข้หวัดดั้งเดิมที่พบในหมูที่เกิดขึ้นได้ตามฤดูกาล อีกทั้งลักษณะสายพันธุ์ ไม่คล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ในคน ไวรัสสายพันธุ์นี้เป็นการกลายพันธุ์ของเชื้อในตัวคน ไม่ใช่จากหมูสู่คน สาเหตุที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคนไม่มีภูมิต้านทานโรคชนิดนี้ตามธรรมชาติ และวัคซีนสำหรับโรคนี้จะต้องใช้เวลาหลายเดือนในการพัฒนาขึ้นมา

    ลักษณะการติดต่อของหวัด 2009 นี้ เป็นการติดต่อจากคนสู่คน ไม่ใช่จากหมูสู่คน ไม่เหมือนไข้หวัดนก มีการแพร่ติดต่อเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคนโดยทั่วไป คือ เชื้อนั้นจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด หรือติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา มักพบในคนที่แข็งแรงช่วงอายุ 20-40 ปี ส่วนประชาชนที่บริโภคหมูก็ไม่ต้องกลัว เพราะหากปรุงสุกก็ไม่มีอันตรายอะไร

    อาการของผู้ที่ติดโรคนี้จะคล้ายคนเป็นไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ไอ มีน้ำมูก นอกจากนี้ ในผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หากติดเชื้อจะทำให้มีอาการที่รุนแรงขึ้นได้ ขอย้ำเพื่อไม่ให้ตื่นตกใจ ผู้ที่มีอาการไข้หวัดธรรมดา ปวดหัว ไม่ต้องมาพบแพทย์ ยกเว้นรายที่มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ขอให้มาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา ซึ่งหากค้นพบผู้ป่วยได้เร็ว แยกโรค แยกผู้ป่วยไม่ให้กระจายเชื้อ โดยสวมหน้ากากอนามัยและให้ยาทามิฟลู หรือโอเซลทามิเวียร์ภายใน 48 ชั่วโมงที่มีไข้ ส่วนใหญ่รอดชีวิต

    ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ระบุว่าความรุนแรงของหวัด 2009 จะน้อยกว่าไข้หวัดนกที่ไทยเคยเผชิญมาก่อนหน้านี้ โอกาสผู้ป่วยเสียชีวิตจากไข้หวัดนกมีสูงถึง 60% ในขณะที่ผู้ป่วยไข้หวัด2009 จะมีโอกาสเสียชีวิตประมาณ 6% คือรุนแรงน้อยกว่าประมาณ 10 เท่า

    นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยังได้ออกประกาศแนะนำถึง
    วิธีปฎิบัติตัวเพื่อ ป้องกันโรคดังกล่าว สรุปได้ว่า โรคนี้ยังไม่มีระบาดในประเทศไทย ดังนั้นกลุ่มเสี่ยงหลักคือบุคคลที่เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งหากผู้ที่อยู่ในข่ายดังกล่าว
    มีอาการคล้ายเป็นหวัด ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจจะดีที่สุด ส่วนผู้ที่ไม่ได้มีความเสี่ยงในการเดินทางออกนอกประเทศ แต่มีอาการคล้ายเป็นหวัดหรือเป็นไข้หวัดใหญ่ ก็ควรจะพบแพทย์เช่นกัน และควรแจ้งรายละเอียดความเสี่ยงต่างๆ เช่น พบปะพูดคุยกับชาวต่างชาติ หรือไปอยู่ในกลุ่มคนที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยอีกทางหนึ่ง ส่วนบุคคลที่ปกติดี ควรออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค และป้องกันหวัด 2009 ด้วยการหลีกเลี่ยงสถานที่มีคนมากๆ และคาดหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโรค

    สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขไทยแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่า ก่อนหน้านี้มีผู้ติดเชื้อ 2 ราย โดยติดจากประเทศเม็กซิโก โดยหลังจากไทยได้ตรวจและยืนยันผลว่าผู้ป่วยทั้ง 2 ติดเชื้อหวัด 2009 แน่นอนแล้ว ก็ได้ส่งไปตรวจในห้องปฏิบัติการที่สหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งก็ได้ยืนยันผลเช่นเดียวกัน จึงได้ให้การรักษาด้วยการให้ยาต้านไวรัสแล้ว ขณะนี้ทั้ง 2 รายได้หายจากโรคหวัด 2009 เป็นที่แน่นอน จากการตรวจสอบผลในห้องปฏิบัติการพบว่าไม่มีเชื้อดังกล่าวอยู่ในร่างกาย จึงได้ให้กลับบ้านและยืนยันว่าสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่าง ปลอดภัยแน่นอนแล้ว

    และจากกรณีที่มีคนไทยติดเชื้อหวัด 2009 จำนวน 2 รายแรกนี่เอง องค์การอนามัยโลก จึงได้จัดลำดับให้ไทยเป็นลำดับที่ 33 ของการพบผู้ติดเชื้อไข้หวัด 2009 สำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัด2009 ทั่วโลก องค์การอนามัยโลกรายงานในเช้าวันที่ 12 พ.ค. ตามเวลาในประเทศไทย พบผู้ป่วย 30 ประเทศ จำนวน 4,694 ราย เสียชีวิต 53 ราย (เม็กซิโก 48 ราย สหรัฐอเมริกา 3 ราย แคนาดา 1 ราย คอสตาริกา 1 ราย) ประเทศใหม่ที่พบผู้ป่วย คือ นอร์เวย์ ส่วนประเทศที่มีรายงานผู้ป่วยเพิ่ม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนนาดา สเปน สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส โคลอมเบีย เอลซัลวาดอร์ สวีเดน บราซิล และปานามา



    ข้อมูลจาก ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล
     
  14. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    "ซีพี" ยันอาคาร สนญ. สีลม ไม่มีเชื้อ H1N1 แพร่ระบาด แจงกรณีพนักงานเป็นไข้หวัดใหญ่
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กันยายน 2556 15:31 น.

    "ซีพี" ยอมรับพนักงานป่วยเป็นไข้หวัดจริง แต่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล แต่ไม่ใช่ไข้หวัดนก H1N1 ตามที่เป็นข่าว ขณะเดียวกันได้ปิดพื้นที่ฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อแล้ว เป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ พร้อมย้ำ อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ สนญ.สีลม ไม่มีการแพร่ระบาดโรค อย่าแน่นอน

    นางสุธนา หงษ์ทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักกิจกรรมสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า ตามที่มีการส่งข้อความเมื่อค่ำวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า มีการระบาดของไข้หวัดนก H1N1 ในอาคารซี.พี.ทาวเวอร์นั้น จากการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด ขอเรียนข้อเท็จจริงว่า อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ สีลม ไม่มีการระบาดของไข้หวัดนก H1N1 ในวันที่ 19 กันยายน 2556 ขณะที่ช่วงบ่ายมีเพียงพนักงาน 1 คน ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลและพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้อาการดีขึ้นและพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน

    ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่พยาบาลและฝ่ายอาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ สีลม ได้ปิดพื้นที่บริเวณที่พนักงานคนนั้นทำงานอยู่ เพื่อทำการฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อทันที ซึ่งเป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ของเครือเจริญโภคภัณฑ์
    [​IMG]
     
  15. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ฟรี! สธ. จัดฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ให้กลุ่มเสี่ยง 27 พ.ค.-30 ก.ย.

    [​IMG]


    ไข้หวัดใหญ่ ระบาดช่วงฤดูฝน-หนาว

    กระทรวงสาธารณสุข บริการฉีดวัคซีนฟรี 3,500,000 ล้านโด๊ส ให้กับกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุ-เด็กเล็ก-ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง-สตรีมีครรภ์ ทั่วประเทศ ตั้งแต่ 27 พฤษภาคม-30 กันยายน 56

    เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2556 นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย

    นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ

    นายแพทย์วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)


    ร่วมกันแถลงข่าวโครงการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ประจำปี 2556


    ทั้งนี้ นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า โรคไข้หวัดใหญ่มักระบาดในช่วงฤดูฝน และฤดูหนาว ซึ่งแต่ละปี

    ในประเทศไทยจะมีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ กว่า 9 แสนราย

    ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ภาวะปอดบวม จนถึงขั้นเสียชีวิต ถึงร้อยละ 3

    ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 913-2,453 ล้านบาท


    ดังนั้น จึงต้องฉีดวัคซีนป้องกัน โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะใช้งบประมาณกว่า 500 ล้าน

    จัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ประจำปี 2556 จำนวน 3,500,000 โด๊ส ให้กับกลุ่มเสี่ยง 2 กลุ่ม คือ


    1. กลุ่มประชาชน

    ประกอบด้วยบุคคล 3 กลุ่ม คือ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป, ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (โรคปอดอุดกั้น หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด และเบาหวาน)

    และกลุ่มอื่น ๆ เช่น หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป และ เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี เป็นต้น


    2. บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครกำจัดสัตว์ปีก


    โดยจะเริ่มฉีดพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม - 30 กันยายน 2556 ที่โรงพยาบาลภาครัฐ และเอกชน

    ที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ

    สอบถามรายละเอียดได้ที่สายด่วน สปสช. 1330 หรือสายด่วน กรมควบคุมโรค 1422

    [​IMG]


    สำหรับวัคซีนที่ใช้นั้น

    รมช.สาธารณสุข ระบุว่า เป็นวัคซีนชนิดที่ทำจากเชื้อตาย รวม 3 สายพันธุ์ คือ


    ชนิดเอ เอช1 เอ็น1 (A H1N1)

    ชนิดเอ เอช3 เอ็น2 (A H3N2) และ

    ชนิดบี (B)

    ซึ่งเป็นเชื้อตามฤดูกาลที่พบในไทยในขณะนี้ แต่วัคซีนชนิดนี้ไม่สามารถป้องกันโรคไข้หวัดนกทั้งสายพันธุ์เก่าและใหม่ได้


    ในส่วนของการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่นั้น สำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง

    สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้หลายวิธีคือ




    ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที

    รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

    พักผ่อนให้เพียงพอ

    ล้างมือบ่อย ๆ

    หลีกเลี่ยงคลุกคลีกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ

    หากมีอาการไอจาม ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชูปิดปาก ปิดจมูก

    ผู้ที่ป่วยควรหยุดงาน หยุดเรียน พักรักษาตัวจนกว่าจะหาย



    ***************************************************
    ขอขอบคุณ kapook.com และท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

    http://www.moph.go.th/ops/iprg/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=55496
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2013
  16. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    สักนิด ...ชุดเล็ก ก่อนออกเดินทาง

    [​IMG]

    หลายท่านอาจเตรียมไว้แบบชุดใหญ่ หากหลายปีแล้ว ลองเอามาปัดฝุ่นกันดู มาแชร์กันได้ค่ะ
     
  17. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ระวัง!! น้ำท่วมปลิงเกาะ ต้องแกะอย่างถูกวิธี

    [​IMG]

    [​IMG]

    ในสถานการณ์น้ำท่วมเช่นนี้ ก็สามารถทำให้เราเจ็บป่วยด้วยโรค ภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็น

    น้ำกัดเท้า อุจจาระร่วง ไข้ฉี่หนู ตาแดง ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ฯลฯ และภัยร้ายที่มากับน้ำอีกอย่างหนึ่งที่เราไม่สามารถมองข้ามได้ นั่นก็คือ สัตว์ร้ายและสัตว์มีพิษทั้งหลาย

    เช่น จระเข้ งู และที่ดูจะเยอะหน่อยเห็นจะหนีไม่พ้น "ปลิง" นี่แหละ


    ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ปลิง คืออะไร และมีลักษณะอย่างไร ? ...


    ปลิง เป็นสัตว์ที่อยู่ในน้ำโดยเฉพาะน้ำนิ่ง ๆ ทั้งหนองน้ำ ลำธาร รวมถึงบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง และจะเกาะตามร่างกายคนเพื่อดูดเลือด สำหรับในประเทศไทยมักพบปลิง 2 ชนิด

    คือ ปลิงเข็ม ตัวยาวขนาดใกล้เคียงกับก้านไม้ขีดไฟ อีกชนิดเป็น

    ปลิงควาย ตัวยาว 3 นิ้ว ลำตัวกว้าง 1 นิ้ว

    ดังนั้น ในสภาวะน้ำท่วมขังนานเป็นสัปดาห์ (หรือบางทีนานเป็นแรมเดือน) ซึ่งก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเช่นนี้ สิ่งที่พวกเราทุกคนพึงปฏิบัติก็คือ

    สังเกตตามเนื้อตัวของตนเองอย่างละเอียดว่ามีสิ่งแปลกปลอมเกาะติดอยู่หรือไม่ เพราะหากถูกปลิงเกาะ

    ตัวของปลิงนั้นเบาจะไม่ทำให้รู้สึกว่ามีสิ่งแปลกปลอมเกาะติดอยู่ อีกทั้ง การดูดเลือดของปลิงก็เป็นไปอย่างแผ่วเบาเช่นกัน

    นอกจากนี้ระหว่างที่ปลิงเริ่มกัดและดูดเลือดนั้น มันจะปล่อยสารที่มีฤทธิ์คล้ายยาชาออกมา ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ


    ทั้งยังมีสารช่วยขยายหลอดเลือดและสารต้านการแข็งตัวของเลือดเพื่อให้ดูดเลือดได้ต่อเนื่อง

    หากปลิงยังดูดเลือดไม่อิ่มก็ยังจะเกาะอยู่อย่างนั้น โดยมันจะหลุดออกมาเองเมื่ออิ่ม แต่หากถูกรุมเกาะหลายตัวและถูกดูดเลือดมาก ก็จะทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดได้

    ดังนั้น วันนี้เราก็มีวิธีป้องกันตนเองไม่ให้ถูกปลิงเกาะ รวมถึงวิธีแกะปลิงออกอย่างถูกวิธีมาแนะนำค่ะ

    วิธีป้องกัน

    หากมีความจำเป็นต้องลงไปในน้ำที่ท่วมขังและนิ่ง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกปลิงเกาะและดูดเลือดนั้น

    ควรจะสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดรัดกุมและมัดปลายขากางเกง จากนั้นก็ชโลมน้ำมันก๊าดลงบนเสื้อผ้าส่วนที่ต้องโดนน้ำจะช่วยป้องกันสัตว์มีพิษได้


    [​IMG]

    วิธีแกะปลิง

    แต่หากว่าเพื่อน ๆ ไม่ได้เตรียมการป้องกันล่วงหน้า หรือป้องกันตัวเองอย่างมิดชิดแล้ว

    แต่ยังถูกปลิงเกาะได้ วิธีการแกะปลิงออกจากร่างกายอย่างถูกวิธีสามารถทำได้ ดังนี้

    - ไม่ควรใช้มือหรืออุปกรณ์อื่นดึงหรือกระชากตัวปลิงออกจากผิวหนังโดยตรง เนื่องจากจะทำให้เกิดแผลฉีกขาด เลือดหยุดยาก

    - ใช้น้ำมะนาว น้ำมะกรูด น้ำเกลือเข้มข้น หรือน้ำแช่ยาฉุนหรือยาเส้นไส้บุหรี่ อย่างใดอย่างหนึ่งราดใส่ตรงที่ปลิงเกาะ

    นอกจากนี้ยังอาจเลือกใช้บุหรี่ที่ติดไฟหรือธูปติดไฟ จี้ลงไปที่ตัวปลิง ก็ทำให้ปลิงหลุดออกเอง

    - เมื่อปลิงหลุดออก ให้หยดยาฆ่าเชื้อที่คอตตอนบัดและเช็ดเป็นวงรูปก้นหอย เริ่มจากส่วนในของแผลวนออกรอบนอกแผล เช็ดวนรอบเดียวเพื่อไม่ให้แผลสกปรก แล้วเปลี่ยนคอตตอนบัดอันใหม่ สัก 2-3 อัน

    เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ได้รู้วิธีป้องกัน รวมถึงข้อควรปฏิบัติหากถูกปลิงเกาะกันไปแล้ว ก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติตาม และแนะนำคนรอบข้าง

    เพื่อให้ทุกคนรอดพ้นจากสัตว์ร้ายในช่วงหน้าน้ำแบบนี้กันด้วยนะจ๊ะ...


    ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก กะปุกดอทคอม
     
  18. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ขออนุญาตวางลิงก์

    http://www.ddc.moph.go.th/emg/showimgpic.php?id=671

    ภัยสุขภาพ: ประชาชนจะป้องกันตนเองและครอบครัวอย่างไร ในสภาวะหลังน้ำท่วม

    ซึ่งสำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้พี่น้องประชาชน ที่ประสบภัยน้ำท่วม ในปี 2554

    เป็นไฟล์ pdf สามารถprint ออกมาเป็นรูปเล่มได้ค่ะ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม
     
  19. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    เป็นสัตว์คนละชนิดกัน จ๊ะ

    ปลิงก็คือปลิง

    [​IMG]

    มีปากดูดเลือดเป็นอาหาร 2 จุด ที่หัว+ท้าย


    ทาก ก็คือ ทาก

    [​IMG]

    ทากตัวแบน สั้นกว่า ไม่มีสิ่งห่อหุ้มส่วนหัวมีหงอน(หนวดระยางค์อย่างน้อย1 คู่เสมอจ๊ะ)บางชนิดดูดเลือด มักพบในป่าใหญ่ ดงดิบโน่น


    หอยทาก ก็คือหอยทาก จร๊า...

    [​IMG]

    ทากพวกนี้เป็นหอยอีกชนิดนึงนั่นเอง ไม่อันตราย มีเปลือกห่อหุ้มเสมอ

    พี่น้ำใสฯว่า ปลิงน่ากลัวที่สุด เพราะเกาะไม่ยอมปล่อย แถมทิ้งพิษอันตรายไว้ด้วย
     
  20. mzbot

    mzbot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2012
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +963
    น้ำลายปลิง มีสารป้องกันเลือดแข็งตัว
     

แชร์หน้านี้

Loading...