น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ลองนั่งตรอง นั่งคิดดูแล้ว....

    พวกเราทุกคน ทุกคณะฯ
    ต่างคน ต่างฝ่าย ต่างคณะฯ ก็เพียรสร้าง
    สะสมบุญ ในทาน
    รักษาศีล เร่งราศี
    หนุนบารมี ในเจริญภาวนา

    เพื่อเร่งรัด เพื่อยกตนเอง ให้พ้นวิสัยในโลภ โกรธ และหลง
    สู่แดนอนันตบรมสุข คือ พระนิพพาน ตามบุญบารมีแห่งตนเอง

    ลองคิดดูว่า....

    1. ในเมื่อทุกคนก็ทราบว่า พวกเรากำลังเดินทางเข้าสู่ ความเป็นธรรมดาของ ความตาย ในที่สุด.. ทุก ๆ วินาที ทุก ๆ ลมหายใจ ต่างก็เร่งใกล้สู่ความตาย กันทั้งนั้น.. ข้อนี้เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องพื้นฐาน ใช่ไหม....

    2. จะมีสักกี่คน ที่สามารถรู้ว่า วินาที หรือลมหายใจที่เข้า หรือออก สุดท้ายนั้น
    จะเกิดขึ้นแก่เรา เมื่อใด วันไหน เดือนอะไร ปีเมื่อไร ชั่วโมงไหน นาทีที่เท่าไร
    และวินาทีไหนกันแน่ ที่เราจะต้องขาดลมหายใจไป ในที่สุด

    3. พระพุทธเจ้า ก็ทรงตรัสว่า....

    "..จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา”
    ถ้าก่อนตาย จิตเศร้าหมอง ก็มีทางไปสู่อบายภูมิ มีสัตว์นรก เปรต อสุรกายสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น
    <O:p</O:p
    "..จิตเต ปาริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา”
    ถ้าก่อนตาย จิตผ่องใส ก็ไปสุคติ อันมี สวรรค์ พรหม หรือ นิพพานก็ได้ สุดแล้วแต่กำลังใจในขณะนั้น

    4. แล้วใครล่ะ.. ที่จะกำหนดได้ว่า....
    ในขณะที่หายใจ เฮือกสุดท้าย นั้น....
    จิต ของเราคิดถึงในเรื่องดี หรือเลว
    กำลังโกรธ เกลียด รัก หึงหวง ห่วงในสมบัตินานา อยู่หรือเปล่า
    อย่างนี้ ใครจะบังคับอารมณ์ ของจิตใจของเราได้....

    5. องค์หลวงพ่อฯ ท่านก็แนะนำไว้ ในทำนองว่า....
    "..จิต มันมีสภาพจำ" หากเราติดอยู่ในความดี ติดในบุญ ทาน ศีล ภาวนา
    พยายามบังคับจิต บังคับใจตนเอง ให้อยู่ในฝ่ายดี.. ความเลวที่มี ที่เคยทำ
    องค์หลวงพ่อฯ ท่านก็บอกว่า อย่าตามติดคิดถึง ให้ทำอารมณ์ลืมมันไปให้หมด
    เรียกว่า ไม่คบกับความเลวที่ผ่านมา ให้ติดอยู่กับความดีในทาน ศีล ภาวนา

    6. ท่านผู้ทรงมโนฯ สามารถก้าวเข้าสู่สวรรค์ พรหม พระนิพพาน ได้เป็นปกติ
    ถึงจะไปได้ไม่นานนัก องค์หลวงพ่อฯ ก็บอกว่า ให้ไปบ่อย ๆ
    เมื่อมีเวลาว่าง เพียง 5 นาที 10 นาที ก็พยายามไปเสมอ ๆ
    ทำให้จิตมีสภาพจำ.. เมื่อจะถึงเวลาที่จะละสังขารจริง ๆ
    สิ่งที่เราพบในมโนฯ เห็นโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ โลกพรหม ดินแดนพระนิพพาน
    ก็จะเป็น "ปัญญา" สอนเราได้ดี ว่าดินแดนที่มีความสุขที่สุด อยู่ที่ไหน
    เมื่อ จิต มีความสุข จิตจำที่เป็นความสุขเสมอ ๆ ทำให้เบื่อการเกิด เบื่อสังขาร
    มองเห็นทุกข์ วางทุกข์ เสียได้ ความยึดติด ถือมั่น ก็ไม่มี
    อย่างนี้ วาระสุดท้าย จะไปที่ไหนได้ ไปไหนก็ไม่ได้แล้ว จิตมันวางหมดแล้ว
    พระนิพพาน เท่านั้น

    7. ท่านที่ไม่สามารถทรงมโนฯ ก็ขอให้อ่านคำสอนขององค์หลวงพ่อฯ ให้มาก
    (นี่.. ต้องขอกราบอภัย ไม่ใช่ว่า ครูบา อาจารย์ ท่านอื่น ๆ จะสอนไม่ได้ จะสอนไม่ดี เพียงแต่ว่า หากเราเคยตามติดใครมา ก็จะเคารพท่านนั้น ๆ และจะยอมรับนับถือ ปฏิบัติตาม เรีบกว่า ฟังกันรู้เรื่อง เพราะว่าเคยเนื่องกันมา เป็นพ่อ แม่ ครู อาจารย์ และร่วมบุญกันมาก่อน นานแสนนาน)

    หมั่นปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา ดูจิต คุมใจ ตนเอง ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับชาวบ้าน
    พวกเรารักประเทศไทย รักเคารพในพระมหากษัตริย์ รักเทิดทูนบูชาพระศาสนา
    ใจจริง ๆ ก็อดเป็นห่วงในเรื่องนานาประการ ไม่ได้

    หากเราคิดจะวางอารมณ์ ในเรื่องต่าง ๆ
    ก็ขอให้คิดถึง คำตรัสของสมเด็จพระประทีปแก้ว สัมมาสัมพุทธองค์บรมศาสดา
    คำตรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมเป็นหนึ่ง ไม่มีสอง ไม่ต้องตรัสซ้ำ
    ตรัสอย่างไร ย่อมเป็นเช่นนั้น

    แม้กระทั่ง คำตรัสสอนของพระองค์ ย่อมเป็นจริง ฝ่ายเดียว ไม่มีข้อคัดค้าน
    ธรรมใด ที่สามารถคัดค้านได้ จึงไม่ใช่ธรรมะ ที่พระองค์ทรงตรัสแสดง

    เราจึงไม่ต้องสนใจ ในจริยาของผู้อื่น

    พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงว่า..
    พระศาสนาจะยืนยาวได้ 5,000 วสา
    โดยมีประเทศไทย เป็นศูนย์กลาง

    แล้วอย่างนี้....
    ท่านที่ประสงค์ ท่านที่ดำรงสติมั่น จิตตั้งตรงต่อ พระนิพพาน
    จะไปมีความกังวลจิต ไม่สบายใจ ในเรื่องนานา กันไปทำไม.. ใช่ไหม

    เรามุ่งหน้าตรงสู่ พระนิพพาน เท่านั้น
    เรื่องทางด้านหลัง ในโลก ในประเทศไทย ในคนไหน ในพระศาสนา
    นั่น.. มันเป็นเรื่องของเขา บารมีคนเรา ย่อมไม่เท่ากัน

    บารมีต้น อุปบารมี(บารมีกลาง) ปรมัตถ์ต้น ปรมัตถ์กลาง ๆ นี่ปล่อยเขาไป
    เขาย่อมต้องขวนขวาย หาทางไปพระนิพพาน เช่นเดียวแก่เรา(ปรมัตถ์ปลาย)
    เพียงแต่ พวกเขาต่ออยู่ปฏิบัติ กันอีกพักใหญ่....

    นี่เป็นหน้าที่ของพวกเขาทั้งหลาย จนสามารถสะสมถึงปรมัตถ์ปลาย เช่นกัน

    8. ดังนั้น.. จะเห็นได้ชัดเจนว่า....
    พระศาสนา นั้น เป็นของกองกลาง เป็นสิ่งกลาง
    ไม่ใช่ของคนใด คนหนึ่ง....
    ใครจะเข้าใจ ใครจะปฏิบัติเช่นไร ก็เนื่องด้วยบุญ บารมี ของใครของมัน

    สุดท้าย ไม่ว่าเชื้อชาติใด ศาสนาไหน ก็ถึงที่หมายสุดท้าย คือ พระนิพพาน

    นั่นเอง....

    9. ขอโมทนา กับท่านผู้ทรงบารมีปรมัตถ์ท้ายปลายสุด
    ที่มุ่งมั่น ฟันฝ่า เพื่อให้ถึงพระนิพพาน ให้สำเร็จ สัมฤทธิ์ผล ได้ในชาติปัจจุบัน

    ขอยินดี กับเหล่าพุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ ที่เสียสละตน เพื่อสารสัตว์อันไพศาล

    ขอมุทิตา กับท่านผู้ทรงบารมีต้น และกลาง ทั้งหลาย ที่กำลังเพียรสะสมบารมี
    ในทาน ศีล และภาวนา อันเป็นเครื่องมือ ที่ไม่สามารถทิ้งสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ไปได้

    สาธุ..
    สาธุ..
    สาธุ....

    ...................................................................................<!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2008
  2. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เตชปญฺโญ ภิกขุ [​IMG]
    วิญญาณในพุทธศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์

    .......ในสมัยพุทธกาลแม้ภิกษุบางรูปก็ยังชื่อว่าตายแล้วยังมีวิญญาณไปเกิดใหม่ได้อีกตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ อย่างเช่น....

    ........ภิกษุชื่อสาติที่เที่ยวพูดว่า
     
  3. wandee11

    wandee11 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ไม่ผิดและไม่บิดเบือนครับ แต่ Advance เกินไปครับ น่าเรียนแค่ระดับศีลธรรม Basic

    นี่ไม่รูจัก ก.ไก่ จะให้แต่งกลอนเลยหรือครับ
     
  4. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    อ้างอิงจากหนังสือเสียงจากถ้ำ ฉบับที่ ๑๙ เดือนพฤศจิการยน ๒๕๕๐
    หัวเรื่อง "พูดตามพ่อสอน" โดยพระครูภาวนาพิลาศ

    เกริ่น....

    ภาษาไทยที่ท่านจะได้อ่านจากคอลัมน์ "พูดตามพ่อสอน" นี้ เป็นถ้อยถอดจากการพูดตอบปัญหาและการสนทนาในงานประจำวันจริง ๆ โปรดทราบว่าเป็นการพูดเฉพาะกิจ เฉพาะกาลเวลาและเฉพาะอารมณ์ของบุคคล ซึ่งอาจไม่ถูกใจท่านก็ได้ เราถอดเทปพิมพ์ไว้ อ่านแล้วเห็นว่าฟังง่าย สบายใจ ก็ลองนำเสนอแบ่งกันอ่าน

    ตัวผู้พูดคือ "หลวงตา" ท่านปรารภว่าพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นละเอียดอ่อน บริสุทธิ์มหาศาล ทรงเลือกสรรเพียงน้อยนิดมาสอนพระสาวก องค์ใดดื่มด่ำสิ้นสงสัยก็พยายามใช้ภาษามนุษย์พูดออกมาได้เพียงหนึ่งในหมื่นพันที่กินใจ อิ่มเอม หลวงตาท่านฟังจากหลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ แล้วทรงไว้ได้เพียงหนึ่งในล้านที่พ่อปรารถนาจะให้เข้าถึง

    ต่อไปนี้จะเป็นภาษามนุษย์ที่พยายามบรรยายถ่ายทอดรสชาติที่ผ่านมาในใจของหลวงตา ท่านว่าจะได้สักกี่ส่วน จะเกิดประโยชน์สักกี่สัด ก็ทำได้สุดความสามารถสุดวาสนา... แล้วแต่ผู้ฟังผู้อ่านจะพิจารณาเอาเองเถิด.

    **************************************************

    ฝึกฝน

    การเริ่มต้นสอนธรรมะเนี้ย ถ้าไปหวังผลเลิศก็จะเครียดที่จริงพระสงฆ์ไม่ได้สอนนะ... พระพุทธเจ้า... พระธรรมท่านสอน พระสงฆ์ได้แค่แนะนำ... พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าท่านไม่เคยสอนใคร ท่านเพียงแต่ชี้ทางให้เดิน และเมื่อเข้าใจและเต็มใจก็ลองเดินดู ถ้ามันก้าวล่วงไปสบายใจ ก็เดินล้ำเข้าไปอีก.. ถ้าสงสัยหรือไม่เข้าใจ ก็อย่าเพิ่งเดินเข้าไป...(ให้ฝรั่งเข้ามาใกล้ ๆ หน่อย... พวเรามันฝรั่งพิเศษ!
    นั่งห่างหน่อยก็ได้นะ... ฟังหลวงตารู้เรื่อง)

    ที่จริงแล้วการแนะนำ ตัวเราเองก็ดี คนไทยก็ดี ฝรั่งก็ดี ก็คือพูดในสิ่งที่เราทำอยู่แล้วทุกวัน ไม่มีใครมาเราก็พูดกับตัวเองเหมือนกับเรียนจากพระพุทธเจ้า เรียนกับพระธรรม ย้ำด้วยภาษาจิตต่อจิตในใจของเรา...นี่เป็นหลัก บางคนที่มาเดินทางเดียวกันแล้ว ก็ย้ำออกไปเป็นเสียงมนุษย์ดัง ๆ ให้เขาได้ยินด้วย ถ้าเขาสงสัยก็ตอบคำถามเพิ่มเติม เพื่อให้เขาเดินชัดเจนขึ้นได้



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2008
  5. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    เพราะฉะนั้นท่านก็เลยบอกว่า การปฏิบัติธรรมก็ดี สำหรับคนใหม่ .. คนเก่า.. คำชำนาญแล้ว... จะกี่ครูบาอาจารย์ก็ดี มีหลักเหมือนกันหมดเพราะเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน ท่านให้ถามตัวเอง ให้ถามเขาว่า...ที่มาปฏิบัติ...ที่เราปฏิบัติอยู่นี่ต้องการความจริงใช่มั้ย? ต้องการให้ใจเป็นสุขให้ใจสบาย...ใช่มั้ย? แล้วก็ให้รู้ของจริงฬใช่มั้ย? ต้องการให้ใจเป็นสุขให้ใจสบาย...ใช่มั้ย? แล้วก็ให้รู้ของจริง ๆ ไม่ใช่ของปลอม ความสุขจริง ๆ นี่...
    พอเรารู้เหตุที่ทำแล้ว ไปทำใหม่ก็ได้ความสุขเท่าเดิมเหมือนเดิม นี่ถึงจะเรียกว่าของจริง ถ้าหากว่าวันนี้เราได้ความสุขเกิดฟลุ้ค ๆ รุ่งขึ้นไปทำเหตุอย่างเดิมมันไม่ได้ความสุขตามนั้น...เขาเรียกของไม่จริง! หรือจริงไม่แท้ตลอด ต้องของจริง ๆ นั้นเป็นของที่เราทำอยู่ด้วย!

    ท่านก็บอก... ให้ถามว่าที่มาปฏิบัติ ที่ปฏิบัติกันนี่ต้องการให้ใจของเราหมดกังวล หมดความทุกข์ หมดความอับปรีย์จังไร ของไม่ดีอะไรอยากเอาออกไปจากชีวิตจิตใจให้หมด...ใช่มั้ย? หลักหัวใจพระพุทธศาสนานะ
     
  6. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    เมื่อหมดมลทินหมดทุกข์ หมดโทษแล้ว อยากเอาความดี เอาความสุข เอาความสมบูรณ์ เอาความมีสง่าราศี เข้ามาในชีวิตจิตใจให้มากที่สุด คือหลักอันที่ ๒

    แล้วอย่างที่ ๓ ต้องการให้ของที่ได้มาเข้ามา บริสุทธิ์ผ่องใสเป็นของแท้ ไม่กลับไม่กลาย เป็นอย่างนี้เรากล้าสอนเขา กล้าปฏิบัติ กล้าย้ำอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นหลักอันแรก(หัวใจพระพุทธศาสนา)

    หลักอันที่ ๒ เมื่อต้องการสบายปั๊ป! ต้องยอมรับความจริง ข้อแรกคือให้รู้ว่าขณะนี้มีอยู่ ๒ กาย คือใจกับกายที่อยู่ด้วยกัน ปัจจุบันนี้ ถ้ามีแต่กายเนื้ออย่างเดียวกลายเป็นผี เน่า ถ้ามีแต่ใจอย่างเดียว เขาเรียกเทวดา ไม่ใช่มนุษย์! มนุษย์จะต้องมี ๒ กายอยู่ด้วยกัน แต่เวลาเราปฏิบัติอะไรทุกอย่าง ต้องการให้กายของจิตนี่สบาย มีความสุข มีความปลอดโปร่ง ยกตัวอย่างเช่นจะไปเดินเล่นให้ใจสบายซะหน่อย..มันอึดอัดอยู่ ไม่ใช่ไปฟังเพลง ฟังเทศน์ให้หูมันสบายซะหน่อย...ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ไปดูอะไรให้ตาสบาย ต้องการให้สบายใจ
    หลักแท้ ๆ คือ... มนุษย์ทุกคน จิตทุกดวง ต้องการให้จิตเป็นสุข ต้องการให้จิตสบายใจ

    เพราะฉะนั้นให้เรารู้ว่า ขณะนี้ในภาวะมนุษย์เนี่ย เรามีภาวะอยู่ ๒ อย่าง คือ กายกับใจ ที่เราฝึกนี่คือต้องการฝึกใจอย่างเดียว ให้ใจสบาย... กรรมฐานนี่! ส่วนการฝึกกายนี่เรื่องธรรมดา ฝึกเขียนหนังสือใครก็ฝึกได้ ฝึกเล่นปิงปอง เล่นเทนนิส ฝึกร้องเพลง เตะฟุตบอล ฝึกเดทกับผู้หญิง ฝึกอะไรต่ออะไรฝึกทางกาย ใครก็ฝึกได้

    ในเวลาเดียวกันสิ่งเหล่านั้นที่เราฝึกมาดีแล้ว อย่างหลวงตาเคยย้ำเสมอว่า จะเรียนมากี่ด๊อกเตอร์ ฝึกมากี่กระบวนท่าก็ตาม พอป่วยก็ให้น้ำเกลือปั๊ป! ความสามารถเหล่านั้นใช้ไม่ได้เลย..ใช่มั้ย? แต่ว่าใจนี่... จะต้องฝึกกำลังของจิตเพิ่มเข้าไปด้วยให้ใจสบาย


     
  7. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ทีนี้เวลาฝึกก็คือฝึกอยู่กับสิ่งที่ใจเราอยู่ด้วยนี่ คือของจริง ๆนี่ ไม่ใช่จะจับอานาปาฯ ของอีหนูนี่ซะหน่อย ดูซินี่มันหายใจเข้า หายใจออกยังไง... นี่มันฟุ้งซ่านอยู่ว่า... เวลาจะฝึกใจให้สบายต้องเอาใจมาฝึกดูกายตรงนี้ เพราะคนเรา จะรัก จะโลภ จะโกรธ จะหลง ก็เพราะร่างกายตัวที่เราอาศัยอยู่อย่างแล้ว...ใช่มั้ย? ต้องจับของที่มีอยู่กับตัวนี่ เพราะฉะนั้นหลักที่ ๒ มีเดียว ไม่ใช่กายคนอื่น เราอาจจะรักคนอื่น โกรธคนอื่น ... แต่เนื่องจากเพราะเขามาส่งเสริมกายนี้ ยกยอกายนี้ เราถึงพอใจเขา... เพราะฉะนั้นเวลาฝึกปฏิบัติ เราต้องยอมรับความจริงอันนี้


    แล้วความจริงที่จริงสุดคือ กายขณะที่กำลังนั่งอยู่นี่...มันหายใจอยู่ ก็ดูของจริงว่ามันหายใจเข้าหรือหายใจออก ดูตรง ๆ จริง ๆ ดูกลางวัน กลางคืนก็เห็น.. เห็นว่ามันยังหายใจอยู่ตราบเท่าที่มันยังมีชีวิต ดูตรงนี้.. ดูจนเพลิน... แล้วดูต่อไปว่าที่หายใจนั่นมันนั่งหรือนอนหายใจอยู่ แค่นี้!...แค่ของธรรมดานี่..ทุกสำนักสอนเหมือนกัน แต่สำนวนจะต่างกันไป แต่ไม่ให้เหตุผล เพราะกลัวลูกศิษย์จะถามมาก เดี๋ยวลูกศิษย์ฟุ้งซ่านแก้ปัญหาลำบาก แต่ว่าควรจะให้เหตุผลว่าที่จริงต้องดูความจริงตรงปัจจุบันนี่ ร่างกายนี้ยังมีชีวิตยังหายใจอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2008
  8. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    พอดูไปสัก ๒-๓ คู่ลมหายใจ พอจิตมันสบายสงบ ก็ดูว่ามันนั่งหรือมันนอนหายใจอยู่ ถ้ามันนั่งไม่สะดวกท่านี้ พับขาข้างเดียวเป็นเหน็บ โอย!!! เมื่อยหนอ...ให้รู้! ความจริงมันเมื่อย เมื่อเมื่อยแล้ว มันอยากจะยกขาขึ้นมา...ก็รู้ว่ากำลังยกอยู่ ระวังตามมรรยาทไม่ให้โป๊ ดู้ให้ดี ก็ดูความจริงแค่นี้ !!

    พอวางได้ที่ก็รู้ตัวว่า ได้ที่แล้วน้อ.. ก็ขยับตัวใหม่ ก็จับลมหายใจต่อ.. ก็รู้ว่าท่านั่งใหม่ อิริยาบถใหม่.. มันหายใจสะดวกขึ้น ก็รู้อยู่!!
    ใจก็เริ่มเป็นสุข ใช่มั้ย? นี่เป็นผลของตัวสมาธิแท้ ๆ แล้วแถมเข้าไปว่าขณะที่หายใจอยู่ และขณะที่เปลี่ยนอิริยาบทอยู่ เราไปเบียดเบียนชีวิตคนอื่นหรือเปล่า? ไปเบียดเบียนทรัพย์สินคนอื่นเขามาบริหารกายเราหรือเปล่า? ไปเบียดเบียนกามคุณคนอื่น มาเบียดเบียนกายเราหรือเปล่า? ไปโกหกมดเท็จปลิ้นปล้อนเขามาเพื่อจะมานั่งจับลมหายใจนี่หรือเปล่า? มันไม่มีความจำเป็นต้องไปละเมิดใครเลย ทำความสุขให้ตัวเองเนี้ย ก็ไม่ละเมิดสิ่งเหล่านี้ก็ไม่กินเหล้ามานั่งสมาธิตรงนี้

    ถ้าหารเรานั่งอยู่ รู้ลมหายใจอยู่ แล้วรู้ไม่ได้ละเมิดใครใน ๕ อาการ คน ๆ นั้นใจเป็นสุขมาก เพราะมีสติรู้อยู่และมีศีลกำกับอยู่ แล้วปัญญามันจะเกิดตรงที่ว่า เมื่อตะกี้นั่งอยู่ข้างล่าง ความเมื่อยเกิดแล้ว เมื่อเปลี่ยนท่านั่งใหม่แล้ว ความเมื่อยไม่เที่ยง ความเมื่อยก็หายไป กลายเป็นท่านั่งใหม่ แล้วก็รู้ล่วงหน้าว่าเดี๋ยวไม่เกินคืนนี้ท่านั่งนี้ก็เปลี่ยนไป...ใช่มั้ย? เมื่อมันเปลี่ยนก็รู่ว่าเปลี่ยนอยู่... ก็ดูหลัก ๓ อย่างคือ มีสมาธิอยู่ สติกำหนดอยู่ตรงนี้ ลมหายใจก็รู้อยู่... แล้วรู้ว่าศีลบริสุทธิ์ในการบริหาร แล้วรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่แก่นสารสาระอะไรจะไปกังวลสนใจถึงขนาดไปผิดศีลผิดธรรม... เพื่อบริหารมัน แค่หายใจและเปลี่ยนท่านั่ง ศีล สมาธิ ปัญญาก็มีอยู่ในตัวพร้อมใช่มั้ยลูก?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2008
  9. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ถ้าทำไปอารมณ์มันยังไม่อิ่ม แล้วยังไม่ฟุ้งซ่าน ก็ดูความจริงที่มันลึกเพิ่มขึ้นมาคือ.. ที่นั่งหายใจนี่มันเป็นทองคำหรือเป็นเพชรตั้งแต่หัวจรดตีน.. ตีนจรดหัว ที่นั่งอยู่นี่นะ.. มันเป็นถุงหนังถุงหนึ่งซึ่งภายในมีอาการ ๓๒ อยู่ ใช่มั้ย? ของจริงที่เถียงไม่ได้! พยากรณ์อีกกี่ชาติกี่ภพก็ต้องเจออย่างนี้ ถ้ายังนั่งหายใจได้อยู่ ยังรักษาศีลเกิดเป็นคนได้อยู่ ข้างในต้องมีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก หัวใจ ปอด กะบังลม ลำไส้น้อย ลำไส้ใหญ่ อาหารใหม่ อาหารเก่า อาการ ๓๒ เนี่ย...(พูดคร่าว ๆ ไปก่อน เพราะเขาอยู่อีกหลายวัน ให้รู้ทางที่เราจะอยู่กัน.. จะได้มั่นใจว่าจะตอบปัญหาเขาได้ยังไง.. หรือเราจะตอบปัญหาตัวเองได้ยังไง.. เวลากิเลสมันมาหลอกเรา หรือกุศลท่านมาหลอกเราใหเราหยุดความเพียรไปตามกรรมฐานของคนอื่น สำนักอื่น ที่ไม่ใช่ววาสนาที่เราสั่งสมมา)...ก็ดูตั้งแต่หัวจรดตีน ตีนจรดหัว มีอาการ ๓๒ หุ้มอยู่โดยรอบ ถ้าหากจิตมันเป็นสุข ศีลดีอยู่ มันจะเห็นความจริงเข้าไปทุกขณะว่า โอ...ร่างกายทุกร่างกาย ก็เพียงแค่นี้เองหนอ..


    (||)ขออนุญาตพักสักครู่ เนื่องจากบทธรรมนี้มีความยาวมาก(||)
     
  10. tidtou

    tidtou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +442
    ฮะฮะ ก็สนุกดีครับ ที่ผมได้อ่านๆมาท่านวิเคราะห์ในเชิงตรรกกะปรัชญาได้ดีมาก ก็<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ”ถูกของท่านครับ” แต่ถ้าหากโลกหน้าที่ท่านบอกว่าเป็นอนัตตาคือ”สูญ”จริงๆแล้ว เรายังจำเป็นหรือไม่ที่จะทนทุกข์บ้าง สุขบ้าง นิพพานบ้าง หรือตกนรกบ้าง ขึ้นสวรรค์บ้าง นิพพานบ้าง แล้วแต่”อารมณ์”ตามความเห็นของท่านในฐานะที่ยังมีชีวิตอยู่ จะอยู่เพื่อสร้างประโยชน์ทำไม ทำไมไม่ดับให้เป็นอนัตตาไปเลยด้วยการฆ่าตัวตายให้สูญสิ้นไป เพราะบุญทำก็แค่ให้ใจสบาย อยู่ไปก็ยังไม่แน่นอนสุขๆทุกข์ๆครึ่งๆกลางๆ(ท่านอาจจะบอกว่าก็ที่ให้ทำกันน่ะ ก็เพื่อให้ใจอยู่ในสภาวะกลางๆ คือนิพพานทั้งในขณะที่มีชีวิตอยู่ จะได้เป็นสุขอย่างแท้จริง ไร้ตัวตน ตัวกูของกู แต่ไอ้ที่เรียกว่าความสุขน่ะครับ ผมมีวิธีหาได้อีกเยอะในรูปแบบต่างๆ แม้กระทั่งแบบที่ท่านว่าไว้ด้านบน) หากคำว่านิพพานเป็นจุดสูงสุดอย่างที่ท่านบอก(คือหายไปเลย) ผมว่าก็น่าจะมีทางออกอย่างง่ายๆแค่กระสุนนัดเดียว(หรืออาจจะมีอะไรอย่างอื่นอีกที่ง่ายกว่านั้น) แค่นี้ก็หมดทั้งสุขทั้งทุกข์จากการมีขันธ์ 5 ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ นิพพงนิพพานก็ไม่เห็นต้องสน เพราะเราจะปฏิบัติกันเพื่อความดับทุกข์ ดับแบบไม่มีเชื้อมิใช่หรือ ก็ตายไปแล้วสูญเชื้อก็คงไม่เหลือแล้วใช่มั้ยครับ ไม่เห็นจะต้องมานั่งให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ต่อสู้กับกิเลสด้วยความยากลำบาก หรือบวชเข้ามาขอข้าวเขากินเพื่อปฏิบัติให้เข้าถึงการบรรลุมรรคผลเลยให้เสียเวลา อย่างนี้ก็น่าจะสอนกันง่ายๆครับว่าถ้าอยากหมดทุกข์ไม่ต้องไปเกิดใหม่ก็ตายๆไปซะ จะได้หมดๆเรื่องไปสบายๆดี เพราะไม่ว่าจะปฏิบัติหรือวางอารมณ์อย่างไร มีปัญญาหรือบรรลุธรรมได้มากน้อยแค่ใหน ตายไปมันก็samesame คือสูญหมดใช่มั้ยครับท่าน หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วท่านอาจจะคิดว่า แหม ไอ้หมอนี่มันก็คิดแบบคนไร้ปัญญาเสียเหลือเกิน ก็ขอตอบว่าพอได้อ่านหลักสูตรของท่านแล้วมันชวนให้คิดได้อย่างนั้นจริงๆ เอาอย่างต่ำๆไม่ถึงกับอยากฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่อยากสนใจดีชั่วแล้วล่ะครับเอาใจตัวเราสบายดีกว่า นิพพานทั้งเป็นๆอยู่แบบนี้ผมก็ทำได้ครับสบายดี ทำดีบ้างชั่วบ้างแล้วแต่อารมณ์เอาแค่รักษาตัวอยู่ในสังคมได้แบบพอสบายใจไม่ต้องไปยึดติดกับมัน สร้างประโยชน์แก่ชนหมู่มากเอาที่จะพอทำได้ตามหน้าที่ แล้วก็รอวันตายไปวันนึงๆ พอถึงเวลาตายก็หมดเรื่องกันอย่างนี้ใช่มั้ยครับคือหลักของศาสนา(หรือปล่าว) ผมว่าคนที่คิดอย่างนี้ยังมีได้อีกมากครับมิใช่ผมคนเดียวหรอก ผมก็ทราบล่ะครับว่าคงจะมีข้อชี้แนะจากท่านมาได้อีกเป็นกรณีๆไปในอีกแง่มุมหนึ่ง แต่ขี้เกียจพิมพ์ล่ะครับยาวแล้วขอพักอารมณ์ให้รู้สึกนิพพานก่อน เดี๋ยวค่อยมาว่ากันใหม่ครับ(ป.ล.เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวนะครับ โปรดพิจารณาด้วยครับ)<o:p></o:p>
     
  11. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ถ้าอยากจะรู้ต่อไปอีก อาการ ๓๒ ในร่างกายนี้ ม้นก็เป็นดินส่วนนึง... น้ำส่วนนึง... ที่ยังนั่งอยู่ได้เพราะลมกับไฟมันยังบำรุงรักษาอยู่ ก็ให้ดูความจริงที่อยู่เฉพาะหน้า ในกรรมฐานทั้งหมด ในพระไตรปิฏกทั้งหมด อยู่ในที่นั่งที่นอน อันเดียวนี่ แต่ว่าเราจะพูดหมดหรือเปล่า พิจารณาหมดหรือเปล่า มันอยู่ที่กาละเทศะตอนนั้นนะ
    อารมณ์จะเอาหรือไม่เอา เหมาะที่จะพูดอะไรขึ้นมาก่อนใช่มั้ยลูก?
    บางทีก็ขึ้นธาตุ ๔ ก่อน บางทีก็ขึ้น อาการ ๓๒ ก่อน อาการ ๓๒ ที่
    เต็มไปด้วยธาตุ ๔ ธาตุลมกับไฟยังบำรุงรักษา ถ้าร่างกายแตกดับลงไป... ลมกับไฟสลายไป... ร่างกายนี้ต้องนอนลงกับพื้น...

    อะจิรัง วะตะยัง กาโย
    ความจริงทีสุดมาถึงแล้ว ร่างกายซึ่งไม่เที่ยงนี้
    ปะฐะวิง อะธิเสสะติ
    เดี๋ยวไม่นานนัก ก็ต้องทอดร่างลงกับพื้น
    ฉุฑโฑ อะเปตะ วิญญาโณ นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง
    เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ร่างกายนี้ก็ถูกทิ้งเหมือนท่อนไม้ในป่าช้า ไร้ประโยชน์ ไม่มีใครสนใจใยดี

    แม้จิตเราก็สนใจร่างนี้ต่อไปไม่ได้ หมดกิจที่จะครอบครองต้องออกจากร่างซึ่งเริ่มเน่าในวันแรก ขึ้นบวมกอง วันที่ ๒ น้ำเหลืองไหล วันที่ ๓ หนอนออก วันที่ ๔ ... ก็ว่าไปถึง อาการ ๙ อย่าง นวสี ๙...

    ดูความจริงที่อยู่เฉพาะหน้านี่ จังหวะไหนควรดูอะไร มันอยู่ที่กาละเทศะ ตามความแก่กล้าของบารมี และเหตุการณ์ตรงนั้นเท่านั้นเอง... ให้คุณทั้งหลายมั่นใจก่อน.. ที่เราทำนี่.. เป็นเรื่องซึ่งเป็นของจริงแท้ ๆ เทวดา พระอินทร์ โลกไหนมาถาม มาสอบความ เราก็พูดอย่างนี้... เราก็จะทำอย่างนี้... เราก็จะตอบอย่างนี้ แต่ตอบตามภาวะปัจจุบันที่เราทำอยู่ เอาเฉพาะหน้า!... ไม่ใช่ไปอวดอ้าง!
    ได้ธาตุ ๔ แล้ว นวสี ๙ แล้ว...อะไรอย่างนี้
     
  12. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    อาการ ๙ เนี่ยก็เหลือแต่กระดูกที่เรี่ยรายไป รูปธรรมที่เคย กักขังจิตใจถูกทำลายลงแล้ว เราชักรูปออกได้แล้ว ทำลายรูปลงได้แล้ว ถ้าหากสมถภาวนา.. มันพอใจอยู่แค่นี้ เราก็หยุดแค่นี้ ไปกินน้ำกินท่า กราบพระเสีย... นึกขอบคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่สั่งสอนเรามาให้ใจเราเป็นสุขตามสมควร แล้วศีลเราก็บริสุทธิ์ตลอดเวลาที่ยังทำอยู่ เราจะรักษาศีลและสมาธิตรงนี้ ปัญญาน้อย ๆ สติอันนี้ ไปจนกว่ารางกายนี้จะแตกดับจริง ๆ ถ้าแตกดับเมื่อไร พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน.. นิพพานอยู่ที่ไหน.. เราจะไปอยู่ตรงนั้น
     
  13. ahhaboy

    ahhaboy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,354
    ค่าพลัง:
    +2,034
    จะมีภาคต่อมั๊ยท่านทิด ?
    ถ้ามีจะได้ไปหาข้าวโพดคั่วมานั่งรอ...
    หึ ๆๆ ท่าทางจะสนุกจริง ๆ ซะด้วย...
     
  14. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    กลับมาทำยกที่ ๒ หรือยกแรกมันยังไม่จบอารมณ์ ก็ทำต่อได้ เมื่อร่างกายแตกตายไป ประสิทธิภาพของร่างกายที่เรียกว่า นามธรรม คือ วิญญาณ ตาก็ไม่เห็นรูปแล้ว หูก็ไม่ได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่นก็ไม่ได้แล้ว ลิ้นลิ้มรสก็ไม่ได้แล้ว เวทนา รู้สึกสุขทุกข์ก็เป็นอันเย็นเฉียบให้สิ้นประสิทธิภาพแล้ว สัญญา ความจำได้ หมายรู้ต่าง ๆ ก็ดับสนิทสูญไปแล้ว สังขาร ตัวปรุงแต่งต่าง ๆ ก็เป็นอันสงบสิ้นเชิงแล้ว



    โอหนอ... เมื่อรูปกายแตกดับ นามธรรมคือตัวประสิทธิภาพ ตัวพลังงานของกาย เป็นอันสลายตัวไป... เมื่อสลายตัวไป ใจคุณต้องออกจากร่างนี้ เมื่อออกจากร่างนี้ ใจคุณใช้ร่างกายสร้างกำลังอะไรไว้...กำลังอันนั้นจะพาคุณไปจุติ ไปเกิด ถ้าหากคุณไปหาพระพุทธเจ้า ถ้าในใจของคุณยังมีเชื้อรักร่างกาย รักกิเลสอยู่...คุณขึ้นไม่ถึง พระพุทธเจ้าท่านจะบอก "ยังไม่ถึงลูก...กำลังยังไม่พอ ดีว่ายังไม่ตกนรก! ให้โอกาสไปเกิดเพื่อที่จะเพิ่มกำลังของใจ!! แต่ลูกจะมีประสิทธิภาพไปใช้ร่างกายของหมา หรือจิ้งเหลน หรือมนุษย์นี่...
    มันเป็นบุญของลูกก่อนจะออกมาในลมหายใจสุดท้าย"



    เพราะฉะนั้นตรงนี้เราจะรู้เลยว่าสิ่งที่เรามาอยู่กับร่างกายที่ฝึกฝนน่ะ! ไม่ใช่ต้องการออกกำลังของกาย คือ เวทนา สังขาร วิญญาณ หรือการตีปิงปอง ตีเทนนิส...ไม่ใช่! ต้องการเอาสิ่งเหล่านี้มาเพิ่มกำลังของจิต เขาเรียก "บารมี ทั้ง ๑๐" อย่างอันนั้นน่ะ ถ้าบารมีแก่กล้าพอ..ก็เป็นพรหม เทวดา พอหมดอายุจากตรงนั้นก็ลงมาใหม่แล้ว ลงมาเพื่อจะที่จะมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา มีอคีตังสญาณหรือครูบาอาจารย์สอนก็ลงมา.. ที่ลงมาเพื่อที่จะมาเพิ่มกำลังใจนะ ไม่ใช่ลงมาเพิ่มบาปให้ใจนะ.. มาได้ร่างอีกร่างนึง..ก็ต้องมีกุศล! ที่ยังหายใจหรือไม่หายใจ...หรือหายใจเข้าหรือหายใจออก.. ก็มาดูให้ชัดกว่าเดิม ขณะหายใจนั่งหรือนอนหายใจอยู่ ที่นั่งอยู่นี่อาการ ๓๒ มันมีอะไรบ้าง? ดูของจริงที่เทวดาก็เถียงไม่ได้ พรหมก็เถียงไม่ได้
    คริสต์ อิสลามก็เถียงไม่ได้ทั้งหมด เอาความจริงเจ๋ง ๆ ตัวนี้เอามาพิจารณา เพื่อให้ใจยอมรับหนักแน่น ชำนาญ ผ่องใสขึ้น...นี่คือสิ่งที่เราลงมาเกิด...ฝึกฝนตัวเอง!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2008
  15. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ชีวิตมันสูญมาตั้งแต่ยังไม่ตาย ไม่ใข่จะมาสูญเอาเมื่อตายไปแล้ว(โปรดเข้าใจ)***

    ***ทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่จะเป็นอนัตตาเอาเมื่อตายไปแล้ว***

    ***เข้าใจคำว่า อนัตตา กันถูกต้องแล้วหรือยัง?***

    ***พื้นฐานที่สุดคือ ทำความเข้าใจกับคำว่า "ทุกสิ่งเป็นอนัตตา"ให้ได้***

    ***เราพยายามหนีการอธิบายความหมายของคำนี้กันมาก เพื่อที่จะไปแสวงหา "อัตตา"มาแทน**

    ***เข้าใจความหมายของคำว่า "อนัตตา" กันอย่างไร?***

    ***นี่คือหลักเหตุผล ที่พิสูจน์ได้ ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ***

    ***แต่พยายามจะไม่กล่าวถึง เพราะโต้แย้งไม่ได้...ใช่หรือไม่?***

    ***ธรรมะที่แท้จริง จะไม่มีใครจะคัดค้านด้วยเหตุผลได้***

    ***ยกเว้นคนพาล***

    ***อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง***

    ***เชื่อคนอื่น ก็ยังโง่อยู่ เพราะเราไม่รู้แจ้งด้วยตนเอง**

    ***เชื่อตัวเองก็โง่ เพราะเราคือความยึดถือด้วยกิเลส ที่มาจากความโง่นั่นเอง***

    ***ต้องทำจิตให้บริสุทธิ์เท่านั้น สัจจะจึงจะปรากฏ***


    จาก www.whatami.net - www.whatami.5u.com เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ(เท่านั้น)
     
  16. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ถ้าชีวิตมันสูญกันตั้งแต่ยังไม่ตาย...แล้วจะมีลูก หลาน กระจอง งอแงกันทั้วบ้านเมืองได้เหยอเนี้ย คนที่เห็นเขาก็ว่ามี ไอ้คนที่เขาไม่เห็น พูดให้ตายเขาก็ว่าไม่มี แล้วมันก็ควักออกมาพิสูจน์กันด้วยตาเนื้อไม่ได้

    หนทางมีให้พิสูจน์ ก็ไม่คิดพิสูจน์...มายื่นคำท้าประลอง ผุ้มีปัญญาก็เชิญพิจาณาไฝ่หาหนทางพ้นทุกข์ของตนเองกันเถิด
     
  17. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ชาติที่ ๒ มาเกิดครั้งนี้... ความชำนาญก็เกิดขึ้นในการเข้าไปในการพิจาณา.. ศีล ก็ผ่องใสขึ้น ชาติที่แล้วเราพร่องไปหลายสิกขาบท ชาตินี้ดีไม่ตกนรก..เราจะรักษาจนวันตาย! ศีลก็ดีขึ้น.. สติ กายคตาสติก็ดีขึ้น.. ตัวสมาธิ เมื่อศีลดีแล้วสติมันจับอะไร สมาธิก็ทรงตัว..เพราะมันไม่ร้อนรน ตัวปัญญา ก็รู่ว่าชาติที่แล้วก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา.. ชาตินี้ตอนเป็นเด็ก ก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..
    ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา.. ตอนนี้ก็กำลังเป็นทุกขัง กำลังเป็นอนิจจัง อนัตตาอยู่..

    เดี๋ยวเมื่อสิ้นชีวิตลงเมื่อไร วิญญาณออกจากร่าง ร่างนี้ก็ตายทับถมแผ่นดิน ประสิทธิภาพของร่างกายก็เอาไปไม่ได้อีก เหลือแต่กำลังใจ ว่าชาตินี้เราเสียชาติเกิด..หรือเปล่า? นอกจากเสียชาติเกิดแล้ว เรามาเพิ่มบาปให้ตัวเองเพิ่มมลทินให้แก่ใจเราเองหรือเปล่า? ถ้าเราลงมาเชื้อมันหมดไป.. มลทินมันหมดไปอีกส่วนหนึ่ง ใจมั้นจะเบามันจะผ่องใสกว่าเดิม.. พอขึ้นไปหาพระพุทธเจ้า ก็ใกล้ท่านเข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง ท่านก็บอก "มาแล้วหรือลูก มาซิลูกมา มานั่งตรงหน้าพ่อ มา...มา พ่อจะสอนให้..ให้พักกว่านี้.. ร่างกายยังไม่หมด ให้เวลาอีกวันนึ่งประหนึ่งว่าเป็นวันสุดท้าย ลงไปอีกครั้งนึงลูก.. ลงไปดูซิว่าร่างกายมันมีอะไรที่ทำให้เรากล้าผิดศีลผิดธรรมบ้าง ให้เรากล้าประมาทไม่เดินจงกรมบ้าง อะไรบ้าง.. ก็ลงไป!"

    จะลงไปจับร่างเดิม หรือร่างที่เราเกิดอีกร่างนึงก็ได้.. พอมีครูสอนปั๊ป! ก็มาดูลมหายใจอีกว่าชัดมั้ย? มันทำด้วยทองคำหรือเป็นลมปกติ? นั่งหายใจหรือเปล่า นอนหายใจหรือเปล่า? หรือเดินจงกรมก็ยังได้ หงายท้อง นอนคว่ำหายใจก็ได้ แต่ขออย่างเดียว..ให้ศีลบริสุทธิ์! อย่าไปคว่ำทับเมียคนอื่นเขาเข้า!...จะตายตกนรก เออ..ให้มันมีสติ มีปัญญาอยู่ตรงนี้เท่านั้นเอง..
     
  18. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ให้รู้ว่าเราลงมาเนี่ย...เพื่อเพิ่มบารมีให้ใจคือกำลังของใจ เพื่อถอดสังโยชน์คือมลทินของใจ ให้เบาบางลงไป เสนียดจัญไร ควมอับปรีย์ ความร้อนตาง ๆ ให้เอาออกจากชีวิตจิตใจให้หมดอีกชาตินึง..
    ชาตินี้ชาติสุดท้ายแล้ว! เพิ่มความดีที่ควรจะเพิ่ม แค่ให้มลทินมันหมดเท่านั้นเอง ให้ใจผ่องใสจากกิเลส จากร่างกายเป็นเราของเรา เท่านั้นเอง.. แล้วก็ซ้อมล่ะ ตานี้ใช้มโนมยิทธิล่ะ!


    อาการ ๓๒ อย่าง ธาตุ ๔ ตายแล้วก็เน่าเละ กลายเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตอนนี้ใจเราศีลก็บริสุทธิ์ เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว..."ขอเอาจิตซึ่งผ่องแผ้วด้วยศีล ด้วยความตั้งใจ.. พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน.. พระอรหันต์อยู่ที่ไหน.. เกล้าหม่อมฉันมีความบริสุทธิ์เพียงพอที่พระองค์จะรับรองว่าไม่ต้องเกิดอีก.. เกล้าหม่อมฉันจะไม่เกิดอีก! หรือจะให้อยู่ในสภาพอย่างนี้.. พระองค์อยู่ที่ไหน พระอรหันต์อยู่ที่ไหนจะอยู่อย่างนั้น...แต่ว่าถ้าพระองค์บอกว่ายังไม่บริสุทธิ์พอ ก็ยินดีที่จะลงไปทำให้ดับไม่ให้เหลือเชื้ออีกชาตินึง ขอให้ได้เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา จะขอเป็นเทวดา เป็นพรหม รอพระพุทธเจ้าองค์หน้า ฟังเทศน์อีกกัณฑ์เดียวเป็นพระอรหันต์เลย" เขาเรียกพระอริยะ! ตั้งแต่พระโสดาบันไปจนถึงสกิทาคามี.. ที่จะลงมาฟังต่อที่นี่

    ก็คือปฏิบัติของจริงที่มีอยู่เฉพาะหน้า ที่เป็นจริง ๆ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วรู้ว่ามันตายแล้วใจจะต้องออกจากร่าง ถามว่าจะไปไหน? กำลังใจพอไหม ประกอบด้วยอะไร? ทวนไปทวนมาที่เรียนมโนมยิทธิ หมายความว่ามีโอกาสที่จะติ๋งต่าง จะรู้แจ้งแทงตลอดล่วงหน้าว่า เราตายแล้วไปยังไง? แล้วเอาใจขึ้นไปกราบพระ ถ้ากำลังไม่พอก็ลงมาทำอย่างเก่า ไม่ใช่มาดูอดีตชาติแล้ว หลงชาติ หลงภพกัน...ไม่ใช่อย่างนั้น! ชัด ๆ เลยตรงนี้
     
  19. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ถ้าทำได้แค่นี้ วันต่อวันก็ถือว่าตายไปแล้ว วันนี้ตายไปแล้ว รุ่งขึ้นเป็นชาติใหม่ก็ได้ ลงมาวันนี้ทั้งวัน ศีลจะต้องบริสุทธิ์กว่าเดิม สติจะต้องดีกว่าเดิม ปัญญาจะต้องกระจ่างกว่าเดิม เย็นนี้เมื่อหัวถึงหมอนเราจะไปกกราบพระพุทธเจ้าด้วยอารมณ์ที่ท่านทักว่า

    "ศีลบริสุทธิ์แล้วลูก...ปัญญาขาดอีกนิดเดียว...สติขาดอีกนิดเดียว"

    ไม่อยากถึงวันรุ่งขึ้น ตื่นตอนสี่ทุ่ม ติ๋งต่างว่าตายแล้วเกิดใหม่ ทำอีกรอบนึง! เอาใจไปอวดท่านหน่อย...หลังจากล้างใจตอนสี่ทุ่ม-ห้าทุ่ม ขึ้นไปหาท่านเนี่ย ท่านจะทักเรายังไง? ถ้าหากมันผูกฌาน ไม่มีใครเขาหลับนอน...ขี้เกียจ เขาจะพักแค่พอให้ร่างกายมันคลายเวทนา เพราะเขาไม่รู้ว่ามันจะตายตอนไหน?

    ถ้าตายจริง ๆ หมดโอกาสใช้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หมดโอกาสเลย!! ดีไม่ดีต้องไปพักในอเวจี มนุษย์ เทวดา พรหม หรือเกิดเป็นมนุษย์ซึ่งว่างจากพระพุทธศาสนาก็แย่แล้ว เขากลัวสภาพอย่างนั้นมาก แล้วเขาจะรักภาวะที่เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาอย่างปัจจุบันนี่มากที่สุด... จะไปรอพระศรีอาริยเมตไตรย เราไม่รู้ว่าเราจะเกิดทันท่านไหม? แต่ที่ดีที่สุดคือสมเด็จพระสมณโคดมตรงนี้ พระธรรมมีอยู่ พระสงฆ์ยังมีอยู่ พระไตรปิฎกยังมีอยู่ เราต้องมั่นใจตรงนี้ก่อน (คุยให้เขาเบา ๆ เดี๋ยวค่อยจับกันทีละนิด) เวลาไปฝึกจริง ๆ จะฝึกตอนไหนก็ได้.. อานาปาฯ.. เดินจงกรมก็ได้ คือเป็นขั้นตอนอันนี้เท่านั้นเอง จะดูอาการ ๓๒ ดูธาตุ ๔ ดูไตรลักษณาญาณ ดูอิ่มแล้วจะเอาจิตถอดขึ้นไปดูทางโน้นหรือจะเอาอคีตังสญาณ ดูที่เคยเละมาแล้ว เคยเป็นเจ้าหญิงที่หนอนขึ้น เป็นเจ้าชายที่หัวขาด เป็นหัวกระโหลกมาดูให้มันสลดใจ นั่นก็คือขั้นตอนหนึ่งของความจริงเฉพาะหน้าจากกายนี้เท่านั้นเอง นอกนั้นไม่ใช่กรรมฐาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2008
  20. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...