น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นมัสการ ท่านเตชปัญโญ ภิกขุ
    ท่านยังไม่ตอบคำถามเลย
    รู้ของท่านเป็นปัญญาจากการฟัง ปัญญาจากการจินตนาการตาม เป็นปัญญาในระดับคิดๆ หรือปัญญาเห็นจริงประจักษ์แจ้งด้วยจิต
    ท่านมีเป้าหมายใดในชีวิตท่าน
    ท่านได้มีโอกาสบวชเรียนแล้วท่านหวังอริยเจ้าสมบัติหรือไม่
    ท่านมีเป้าหมายทำนิพพานให้แจ้งหรือไม่

    พระศาสดากล่าวไว้ว่า
    ก่อนตรัสรู้พระองค์เจริญอานาปานสติ
    หลังตรัสรู้พระองค์ทรงอานาปานสติ

    ใครก็ตามที่เจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ให้ตลอดเขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่งคือพระอรหัตผลในปัจจุบันหรือถ้ายังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็เป็นพระอนาคามีภายในเวลา ๗ ปี หรือ ๖ ปี หรือ ๕ ปี หรือ ๔ ปี หรือ ๓ ปี หรือ ๒ ปี หรือ ๑ ปี หรือ ๗ เดือน หรือ ๖ เดือน หรือ ๕เดือน หรือ ๔ เดือน หรือ๓ เดือน หรือ ๒ เดือน หรือ ๑ เดือน หรือ ๑๕ วัน หรือ ๗ วัน

    พูดให้ง่ายคือใครมีกายและปัญญาแบบมนุษย์ มีกำลังปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ที่พระพุทธองค์แสดงไว้ และยังคงบันทึกสืบทอดมาถึงทุกวันนี้ อย่างช้า ๗ ปี อย่างพอดี ๗ เดือน และอย่างเร็ว ๗ วัน เป็นต้องรู้จักภาวะหลุดพ้นแห่งใจชนิดไม่กลับกำเริบ เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง

    ในการตรัสเชิงพยากรณ์นั้น ท่านเพียงระบุไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า ตราบใดภิกษุยังประพฤติธรรมโดยชอบตราบนั้นโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย
    วิธีพิสูจน์จิต (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
    http://palungjit.org/showthread.php?t=116346
    วิธีการควบคุมจิตมีหลายอย่าง ที่เรียกว่า อบรมกรรมฐาน คือ อบรมจิตนั่นเอง พุทธศาสนาทั้งหมดที่อบรมล้วนแต่กรรมฐานทั้งนั้น ต่างแต่ว่าคณาจารย์ใดชำนิชำชาญทางไหนก็อบรมทางนั้น

    ***ไม่ได้ต้องการเอาชนะ แต่ว่านี่คือทางเดินไปสู่การมีดวงตาเห็นธรรมที่แท้จริง**ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    ***เหตุผลมันบังคับว่าต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน บิดพลิ้วไม่ได้**<O:p></O:p>
    ***ใครบิดพลิ้วก็แสดงว่า พาล **<O:p></O:p>
    **แล้วคุณโยมยังเชื่อเรื่องวิญญาณ หรือจิต หรือสภาวะอะไรที่ออกจากร่างกายไปเกิดไหม้ได้อยุ่หรือเปล่า?***<O:p></O:p>
    ***ส่วนเรื่องอื่นอย่าเพิ่งไปสนใจ เอาเรื่องนี้ให้ผ่านก่อนถึงค่อยมาถามเรื่องใหม่?**<O:p></O:p>
    ****ร่างกายจริงๆมันไม่มี มันเป็นเพียงรูปธาตุสร้างขึ้นมาเหมือนเอาดินเหนียวผสมน้ำปั้นขึ้นมาเท่านั้น**
    ***คำว่า "ร่างกาย" เป็นเพียงการสมมติเรียกเท่านั้น **
    ***เพระกฎมันก็บอกอยู่ว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากเหตุ กรุณาอ่านให้ดีก่อนยอมรับ**<O:p></O:p>
    ***จิตก็ไม่ต่างอะไรกับร่างกาย**

    สิ่งที่ท่านกล่าวมานี้ ท่านรู้ประจักษ์แจ้งด้วยจิต หรือเป็นการรู้จากการคิดวิเคราะห์ หรือรู้จากการอ่าน หรือรู้จากการเห็นด้วยตาเนื้อ (เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องวิญญาณ นรกสวรรค์ เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการเจริญสติเพื่อศึกษาจิต) ถ้าท่านรู้ประจักษ์แจ้งด้วยจิต ข้าพเจ้าขออนุโมทนาด้วย และจะหยุดไม่เขียนตอบในกระทู้นี้อีกต่อไป
    จิตที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนี้ไม่ได้หมายถึงจิตวิญญาณ แต่หมายถึงจิตใจ รู้ด้วยจิตใจ รู้ซึ้ง รู้ด้วยความเข้าใจไปถึงข้างในจิตใจ (จิตใต้สำนึก) ยกตัวอย่างการถือศีล 5 ของบุคคล นักปราชญ์ บัณฑิต คนธรรมดา รู้ว่าศีล 5 คือการปฏิบัติตนให้เป็นคนดี เมื่อต้องการเป็นคนดีจึงปฏิบัติบังคับกายใจระวังไม่ให้ละเมิดศีล 5 นั้น ต้องหมั่นตรวจสำรวจกายใจทุกวันไม่ให้กระทำผิดศีล 5 นั้น อันนี้เป็นรู้จากการคิด การอ่าน สิ่งไหนถูกก็ทำ สิ่งไหนผิดก็ไม่ทำ นานๆไปอาจมีลืม แต่ถ้าเป็นรู้จากจิตใจบุคคลผู้นั้นจะไม่ล่วงละเมิดศีล 5 เลยโดยที่ไม่ต้องถือศีล 5 เพราะใจรู้ว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด รู้ที่ใจ ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว การกระทำที่เกิดจากกายเมื่อมาจากใจที่รู้ถูกผิดจึงไม่มีการทำผิด
    ข้าพเจ้ายังเป็นผู้เริ่มต้นฝึกสติเพื่อรู้จักจิต(ไม่เกี่ยวกับวิญญาณ นรก สวรรค์) ยังมีรู้ระดับโลกๆ ไม่ใช่รู้ระดับประจักษ์แจ้งแก่จิด การแสดงรู้อันยังไม่รู้จริงนี้ของข้าพเจ้าหากผิดพลาดไปขออภัยท่านผู้รู้มา ณ.ที่นี้

    >> ขอเรียนถามพระคุณเจ้า ถ้าตัวเรา โลกเราที่เรารู้สึกขณะนี้ด้วยสติระลึกรู้อยู่นี้ คือสิ่งสมมุติแล้ว ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นเมื่อเราตายเราจะเป็นอย่างไร แล้วถ้าเรายังยึดมั่นถือมั่นอยู่เมื่อเราตายเราจะเป็นอย่างไร เกิดผลเหมือนกันหรือไม่<<
    >> คนหนึ่งทำความดีมาตลอดชีวิต อีกคนหนึ่งทำชั่วมาตลอดชีวิต เมื่อ 2 คนนี้ตายลง จะมีสภาพเหมือนกันคือจบ game over ไม่มีผลของการกระทำที่ส่งผลไปถึงคนทั้ง 2อีกเพราะตายสูญไปแล้ว และบังเอิญที่คนทำชั่วช่วงที่มีชีวิตอยู่เสวยแต่ความสุข(ตามความเข้าใจของเขา) สุรา นารีแถมมีเงินทองร่ำรวยลูกหลานพร้อมหน้า<<

    พอดีไปเจอคำตอบของคุณไฟสถิตย์ เลยคัดลอกมาให้พระคุณเจ้าลองพิจารณา
    "ตายแล้วสูญ หรือไม่สูญ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ และไม่ใช่เรื่องที่เราต้องใส่ใจ"

    เพราะทุกอย่างมันเป็นปัจจัยการ ถ้ามันมีเหตุครบตามปัจจัย มันก็เกิดมาอีก แต่ถ้ามันไม่มีเหตุครบตามปัจจัย มันก็ไม่เกิดมาอีก

    ผมคิดว่าที่เราต้องให้ความใส่ใจในการศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าก็คือการตัดเหตุปัจจัยต่างๆ ที่จะมาพบกัน เท่านั้น ที่เหลือมันไม่ใช่คำถามอีกต่อไป เนื่องจากมันไม่มีเหตุให้เกิด

    เหมือนกับมีน้ำสบู่ในชาม หากเป่าลมผ่านเข้าไป มันก็เกิดเป็นฟอง

    เมื่อฟองเดิมแตกไปแล้ว:

    จะบอกว่ามันไม่เกิดฟองใหม่อีก มันก็ไม่ใช่ หากเราเป่าลมเข้าไป ปัจจัยครบ มันก็เกิดฟองอีก

    จะบอกว่ามันต้องเกิดฟองใหม่อีก มันก็ไม่ใช่ หากเราไม่เป่าลมเข้าไป ปัจจัยมันก็ไม่ครบ มันก็ไม่เกิดฟองอีก

    แต่หากจะบอกว่า "มันไม่เกิดฟองใหม่อีก นั้นเป็นเรื่องผิด" ก็ไม่ถูก เพราะหากไม่เป่าลมเข้าไป ปัจจัยมันก็ไม่ครบ มันก็ไม่เกิดฟองอีก

    และหากจะบอกว่า "มันต้องเกิดฟองอีก นั้นเป็นเรื่องผิด" ก็ไม่ถูกอีก เพราะหากเราเป่าลมเข้าไป ปัจจัยมันครบ มันก็เกิดฟองอีกได้เช่นกัน

    หากเรายังวนเวียนอยู่ทั้งสี่ทิษฎินี้ เราก็ยังเถียงกันอยู่ไม่สิ้นสุด คนโน้นก็ชี้ว่าคนนี้ผิด คนนี้ก็ชี้ว่าคนโน้นผิด

    แต่ถ้าหากเราเอาน้ำสบู่ออกไปเททิ้ง อันนี้ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปว่าจะเกิดฟองสบู่อีกหรือไม่

    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2008
  2. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2008
  3. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762

    ท่านค่ะ ยิ้มยังไม่ได้รับคำตอบจากท่านเลย ท่านจงใจไม่ตอบ/ท่านตอบไม่ได้ค่ะ

    ท่านไม่เชื่อว่างคำสอนของพระพุทธองค์บางส่วนนั้นจริง แต่ท่านทำไมเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้า มีพระสารีบุตรและสาวกองค์อื่น ๆ ค่ะ

    ยิ้มอยากจะเมินเฉยต่อกระทู้นี้จริง ๆ แต่ใจส่วนลึกของความเป็นแม่ อันต้องพึงรักและหวังดีต่อบุตรตน มันเดือดร้อนและดิ้นรน เพราะท่านกำลังนำสิ่งผิด/ยาพิษอย่างร้ายแรงให้บุตรของยิ้มนะค่ะ .... ผู้เป็นแม่ย่อมทนไม่ได้

    เหมือนครั้งหนึ่งยิ้มก็เคยเข้าพบฝ่ายปกครองของโรงเรียนเพื่อร้องเรียนต่อการศึกษาและพฤติกรรมอันไม่ควรและถูกต้องของโรงเรียน...และในครั้งนั้นทางฝ่ายโรงเรียนได้ขอร้องต่อยิ้มว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่โรงเรียนกำลังมีการสอบถามจากทางเจ้าหน้าที่กระทรวง ถ้าได้รับการสอบถามช่วยตอบให้ได้คะแนนประเมินดี ๆ ด้วย ขอให้ช่วยกัน

    ยิ้มตอบไปด้วยการไม่ลังเลว่า " ถ้ายิ้มตอบไปตามที่ท่านต้องการ อย่างแรกเป็นการฆ่าลูกตัวเองโดยตรง อย่างที่สองยิ้มก็ตอบไปไม่ตรงตามเป็นจริง แล้วยิ้มจะทำได้ไหม ถ้าต้องการให้โรงเรียนได้รับการสรรเสริญและมีหน้าตาควรทำสิ่งที่ควรทำและถูกต้องค่ะ"

    เช่นเดียวกับท่านทำขณะนี้ ตอนนี้ลูกยิ้มกำลังอยู่ ป.5 อีกหน่อยเข้าก็ต้องได้รับบททเรียนที่ท่านกำลังทำอยู่นี้ ซึ่งเท่ากับลูกยิ้มกำลังงโดน ฆ่า เช่นกัน

    ดังนั้นขอบอกว่า สุดทน ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2008
  4. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ท่านกล่าวว่าตายแล้วสูญ นั้นไม่ถูก ในทางโลก
    เพราะจิตมีการเกิดดับ สืบต่อเนื่อง โดยมีกรรมกุศล อกุศล เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงให้เกิด ภพ เกิดชาติ ส่งต่อกันไป
    แม้ร่างกายเสื่อมสลายไป แต่จิตก็ยังอยู่ของมีอยู่อย่างนั้น
    เพียงแต่มีกรรมเท่านั้นที่ปรุงแต่ง จิตปฏิสนธิและจุติจิต
    ให้เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นพรหม
    *******************
    ***ตรงไหนที่ว่าตายแล้วสูญ?**
    ***อาตมาต้องการบอกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2008
  5. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359
    สิ่งที่ปรุงแต่งให้เกิดกรรม คือ การกระทำ

    แต่จริงๆก็คือคำเดียวกัน กรรมดี กระทำดี เมื่อกระทำดีก็เป็นบุญสั่งสมไว้
    เมื่อกระทำชั่วก็เป็นบาปสั่งสมไว้ เรียกว่ากรรมชั่ว

    ในเมื่อเราเคยได้กระทำแล้ว มีเหตุแล้ว จะไม่มีผู้รับผลเหรอครับ

    เหมือนกินข้าวแล้ว จะไม่อิ่มเหรอ เมื่อกินก็อิ่มสิครับ เมื่อไม่กินก็ยังหิวอยู่

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2008
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    คำว่าสูญนี่หมายถึงนิพพานก่อนตายใช่มั้ยครับ น่าจะใช่นะครับ
    เพราะคำสอนท่านก็บอกว่าคนเรานิพพานกันก่อนตายเป็นประจำอยู่แล้ว

    แล้วถ้ากลับกัน คนที่ยังไม่นิพพาน ยังไม่สูญ แต่ตายก่อน จะเป็นยังไงครับ

    *********
    ***มันสูญหมด ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส***
    ***เพราะมันไม่มีตัวตนของใครจริง มันเป็นเพียงสิ่งของที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากเหตุปัจจัยเท่านั้น***
     
  7. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359
    สัญชาติญาณของสัตว์ที่รู้สึกว่ามีตัวเอง

    แล้วสัณชาติญาณของสัตว์ที่ไม่มีตัวเองเป็นยังไงครับ

    อย่าบอกนะครับว่าเป็นการนิพพาน หรือการแกล้งลืม

    งั้นเมื่อไหร่ที่จำได้ขึ้นมาก็เท่ากับไม่นิพพานเหรอครับ


    ปัญหาเก่าก็ยังไม่ตอบผม มีปัญหาใหม่อีกข้อแล้วนะครับ ถ้าท่านตอบผมไม่ได้จะไปบิดเบือนคำสอนให้ชาวโลกเชื่อได้ยังไงกัน
     
  8. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ก่อนอื่นต้องขอถามก่อนว่า***
    ***นิพพาน ในความหมายของคุณโยมนั้น หมายถึงอะไร?***
    **เราสามารถรู้สึกได้จริงในปัจจุบันหรือไม่?**
     
  9. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2008
  10. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    นิพพาน ของกระผมคือ ความว่าง ขอรับ

    จะว่ามีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่

    มีอยู่รู้ได้ในปัจจุบัน ขอรับ.
     
  11. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359
    เดี๋ยวผมต้องไปละครับท่าน

    แต่ถ้าท่านสอนว่าจิตสูญ รับรองได้ว่าโลกนี้ ถึงกาลวิบัติบรรลัยแน่นอน

    เพราะอะไรน่ะเหรอครับ

    เพราะถ้าท่านบิดเบือนคำสอนสำเร็จทุกคนสูญ

    คนที่ด้อยปัญญาในโลกนี้จะเข้าใจผิดและคิดว่า

    โจรไปปล้นเศรษฐี =โจรได้กรรมเป็นความสุข เศรษฐีได้กรรมเป็นความทุกข์ แล้วจากนั้นทุกคนก็สูญ

    พระโดนฆราวาสทำร้าย จากนั้นก็สูญ

    คนปล้นฆ่าข่มขื่นคน จากนั้นก็สูญ

    นี่เป็นช่องโหว่ใหญ่ของคำสอนของท่านเลยละครับ



    ปล.นี่ผมคุยแบบคนมีปัญญาที่นึกถึงผู้อื่นที่ไม่มีปัญญาในโลกนะครับ
    ไม่พูดถึงแต่คำสอนที่ตัวเองเข้าใจ และไม่ได้คิดว่าตัวเองต้องถูกอย่างเดียว
    ถ้าท่านมีอะไรแย้งก็ทิ้งคำตอบไว้นะครับ ไว้จะมาตอบใหม่ครับผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2008
  12. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    กระยอมรับข้อนี้ได้
    แปลว่า ท่านหมดสิ้นกิเลสแล้วหรือครับ.

    ***

    ***ไม่มีอาตมา ไม่มีโยม ทุกสิ่งเป็นมายา***

    *****
    แสดงว่าจิต เกิดพร้อมร่างกายหรือครับ.
    ถ้าอย่างนั้นร่างกายตายไป จิตก็ตามตามใช่ไหมครับ.

    นี่เท่ากับ ตายแล้วสูญนะครับ
    ****
    ***ตายแล้วสูญ หมายถึง มันมีตัวเราอยู่ก่อน แล้วตัวเราหายไปในภายหลัง***
    **แต่นี่อาตมาบอกว่า มันไม่มีตัวเรามาตั้งแต่ต้นแล้ว เมื่อตายมันก็ไม่มีเหมือนเดิม**

    ****คำพูดขัดกันครับ
    มนุษย์มีกรรมแต่งกำเนิด

    มนุษย์มีกรรมเป็นทายาท
    มนุษย์มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์

    แล้วกรรมอะไรที่ทำให้ ท่านเป็นท่าน
    กระผมเป็นกระผม
    ****

    ***สิ่งที่ทำให้มนุษย์ที่เกิดขึ้นมามีความแตกต่างกันก็คือ เหตุปัจจัยที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน***
    ***เช่นร่างกายก็อาศัยลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่มาปรุงแต่งรูปร่างลักษณะของร่างกายขึ้นมา***
     
  13. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359
    ตอบท่านเตชปัญโญ
    นิพพานเป็นสิ่งที่ผมยังไปไม่ถึง เมื่อถึงแล้วรู้จริงแล้วจึงจะนำมาบอกมาสอนผู้อื่นครับ
    เพราะผมรับไม่ไหวกับบาปมหันต์ ที่ได้สอนให้ผู้อื่นเข้าใจในทางหลุดพ้น ในพระนิพพานแบบผิดๆ

    เมื่อตัวเองยังไม่ถึงพร้อมไม่บรรลุ แตกฉานหากนำไปสอนคนอื่นแบบถูๆไถๆ มันไม่ใช่วิสัยนักปราชญ์ ไม่ใช่บัณฑิต ทั้งยังมีโทษรุนแรงกับตัวเอง

    ขอลาท่านก่อนครับ ไว้วันหลังค่อยไขปัญหากันใหม่


    ***สิ่งที่ทำให้มนุษย์ที่เกิดขึ้นมามีความแตกต่างกันก็คือ เหตุปัจจัยที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน***
    ***เช่นร่างกายก็อาศัยลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่มาปรุงแต่งรูปร่างลักษณะของร่างกายขึ้นมา***


    ไว้ผมจะมาตอบนะครับว่าทำไมที่ท่านพูดมาจึงผิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2008
  14. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ท่านว่าจิตมีจริงไหมครับ.
     
  15. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    สาธุฯ ฆราวาสยังมองเห็น แล้วผู้อ้างตน (ห่มเหลือง) ทำไมไม่เห็น เวรกรรม ๆ....โจรป่าจะครองเมือง???????
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2008
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    โจรไปปล้นเศรษฐี =โจรได้กรรมเป็นความสุข เศรษฐีได้กรรมเป็นความทุกข์ แล้วจากนั้นทุกคนก็สูญ

    พระโดนฆราวาสทำร้าย จากนั้นก็สูญ

    คนปล้นฆ่าข่มขื่นคน จากนั้นก็สูญ
    ***
    ***อาตมาบอกว่า มันไม่มีทั้งโจรและเศรษฐี**
    ***มันไม่มีใครทำร้ายใครจริง มันเป็นแค่ความยึดถือว่ามี***
    ***คนที่ไปทำร้ายคนอื่นก็เพราะความโง่ไปถือว่ามีตนเอง***
    **ถ้าเข้าใจว่าไม่มีตตนเองเสียแล้ว ก็จะไม่ไปทำร้ายผู้อื่น***
     
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    นิพพาน ของกระผมคือ ความว่าง ขอรับ

    จะว่ามีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่


    มีอยู่รู้ได้ในปัจจุบัน ขอรับ.
    ***

    ****อะไรว่าง? หรือว่างจากอะไร?**
    ***กรุณาตอบให้ชัดเจน ใช้โวหารมากๆอาจทำให้คนอ่านเข้าใจไขว้เขวได้***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2008
  18. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359
    ครับพอดีกินข้าวเสร็จ เลยเข้ามาดูไม่คิดว่าท่านจะอยู่นานขนาดนี้

    อันที่จริงผมไม่เห็นความหิวสำคัญกว่าเรื่องศาสนาหรอกนะครับ

    แต่คิดว่ากระทู้นี้นำโดยท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ค่อนข้างไร้สาระสำหรับผม

    และก็คิดว่าคำสอนของท่านคงล้มล้างคำสอนเดิมไม่ได้อย่างแน่นอนทีเดียว

    เลยขอตัวไปกินข้าวก่อนน่ะครับ

    เอาละครับจะตอบเรื่องที่ท่านถามมานะครับ
     
  19. lmagine

    lmagine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +359
    ถ้าท่านพูดเป็นวิทยาศาสตร์ละก็ ผมก็ขอตอบเป็นวิทยาศาสตร์

    แต่ทุกครั้งที่ท่านถามผมก็ขอถามท่านกลับด้วย ขอให้ท่านตอบให้ได้ละกันครับ


    จริงอยู่ที่มนุษย์เกิดมาตามพันธุกรรมจากพ่อแม่ เชื้อชาติ เผ่าพันธ์ อันนี้เป็นปัจจัยและเหตุแห่งการเกิดที่ท่านพูดจริงๆ แต่ท่านรู้ไม่หมด

    ถ้าพ่อแม่เป็นคนไทย กับคนไทย พูดได้เลยว่าลูกเป็นคนไทยแน่ตามพันธุกรรม ถูกมั้ยครับ

    แต่ทีนี้ท่านเคยเห็นคนเผือก(ขาวซีด)มั้ยครับ นักวิทยาศาสตร์อาจบอกว่าเกิดจากยีนส์เด่นยีนด้อย หรือข้ามสายพันธ์

    แต่จริงๆแล้วใช่เหรอ

    ถ้าวิทยาศาสตร์ทดลองให้เห็นผลได้ อธิบายได้ ทำไมถึงไม่สามารถผสมคนผิวสีเผือกออกมาได้ ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าญาติทางปู่ ย่า ตา ยาย พ่อแม่ มียีนส์แบบนี้

    มีตารางให้ดูเป็นตัวเป็นตนว่า ยีนส์แบบนี้ จากคนนี้ ญาติทางนี้ สันนิษฐานว่าจะทำให้เกิดคนผิวสีขาวซีดได้

    แต่ในความเป็นจริงแล้วทำให้เป็นยังงั้นได้เหรอครับ เราสามารถสร้างคนขาวเผือก โดยการจัดลำดับตำแหน่งของปู่ ย่า ตา ยาย พ่อแม่ ให้ถูกต้อง

    แล้วผลลัพธ์ที่ได้ จะได้ลูกที่เป็นคนขาวเผือกเหรอครับ

    คนที่เกิดมาสีผิวขาวเผือก เพราะอดีตเคยได้สร้างกรรมที่หนุนตัวเองมา

    รวมทั้งคนที่เกิดมาพิการก็ได้สร้างกรรมที่ทำให้ตัวเองต้องเกิดมาพิการ

    คนจนคนรวย คนอนาถา คนไร้ปัญญา บัวใต้น้ำ เค้าเหล่านั้นได้สร้างกรรมขึ้นมาแต่อดีตต่างหาก

    ทำไมถึงเกิดเป็นคนพิการ ? ท่านตอบได้มั้ย ว่าทำไม หรือเพราะพ่อแม่ มีพันธุกรรมแบบนี้ลูกที่ออกมาจึงพิการ

    แต่ก็มีหลายครอบครัวนะครับ ที่ มีพี่น้อง3-4คน มีคนพิการคนเดียว

    ถามว่า ทำไม พี่น้องที่เหลือ จึงไม่พิการ ทั้งๆที่ได้พันธุกรรมตัวเดียวกัน

    หรือทำไมคนที่เป็นฝาแฝดกันอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน พันธุกรรมเหมือนกัน
    หน้าตาเหมือนกันทุกระเบียด ทำไมนิสัยจึงต่างกัน
    แฝดบางคนเลือกจะเรียนทางนี้ อีกคนเลือกอีกทาง
    บางคนมีความเชื่อแบบนี้ อีกคนเลือกเชื่ออีกทาง

    สิ่งแวดล้อมอาจจะมีส่วนนิดหน่อยแค่ภายนอกเท่านั้น

    แต่ส่วนสันดานข้างในเกิดจากพันธุกรรมจริงๆเหรอ ?
     
  20. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบช้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    >> ขอเรียนถามพระคุณเจ้า ถ้าตัวเรา โลกเราที่เรารู้สึกขณะนี้ด้วยสติระลึกรู้อยู่นี้ คือสิ่งสมมุติแล้ว ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นเมื่อเราตายเราจะเป็นอย่างไร แล้วถ้าเรายังยึดมั่นถือมั่นอยู่เมื่อเราตายเราจะเป็นอย่างไร เกิดผลเหมือนกันหรือไม่<<

    ****มันไม่มีใครยึดถือ และไม่มีใครไม่ยึดถือ เพราะในปัจจุบันนี้มันไม่มีใครอยู่จริง...***
    ****ควรถามว่า เพราะอะไรจึงไม่มีใครอยู่จริง?***
    ***เรื่องตายแล้วจะเป็นอย่างไรนั้นถ้าเข้าใจว่าในปัจจุบันเราคืออะไรแล้ว ปัญหาเรื่องตายแล้วเป็นอย่าไรก็จะหมดไปเอง***

    >> คนหนึ่งทำความดีมาตลอดชีวิต อีกคนหนึ่งทำชั่วมาตลอดชีวิต เมื่อ 2 คนนี้ตายลง จะมีสภาพเหมือนกันคือจบ game over ไม่มีผลของการกระทำที่ส่งผลไปถึงคนทั้ง 2อีกเพราะตายสูญไปแล้ว และบังเอิญที่คนทำชั่วช่วงที่มีชีวิตอยู่เสวยแต่ความสุข(ตามความเข้าใจของเขา) สุรา นารีแถมมีเงินทองร่ำรวยลูกหลานพร้อมหน้า<<

    ****คนทำดีก็มีผลเป็นควมสุขใจที่ได้ทำดี คนทำชั่วก็มีผลเป็นความทุกข์ใจที่ได่ทำชั่ว***
    ***คนทำดีแล้วโลกภอยากได่เกินกว่าเหตุก็เป้นความชั่วที่ละเอียดอ่อนอย่างหนึ่ง***
    ***ที่จริงแล้วมันไม่มีใครทำดี ไม่มีใครทำชั่ว เพราะมันไม่มีเรา***
    ***เราก็เหมือนหุ่นยนต์ ที่มีความรู้สึกเหมือนคนจริงๆเท่านั้น***
     

แชร์หน้านี้

Loading...