น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    ชอบข้อความของท่าน joni_buddhist จริงๆครับ

    "นโม นโม นโม"
    อ่านแล้วอยากทราบจริงๆครับว่านายกท่านนั้นคือใคร.... (ฮาครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2008
  2. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    <IMG alt=">>> การ์ตูน พระพุทธเจ้า ฝีมือคนไทยระดับอินเตอร์ <<<" src="http://fwmail.teenee.com/etc/img0/13570.jpg" align=left ?>
    คำถาม เรื่องนิพพานสูญกับนิพพานไม่สูญ อีกเรื่องหนึ่งทุ่มเถียงกันมาก มีคนเขาว่าพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้า เมื่อท่านนิพพานไปแล้วก็ไม่มีแล้ว จะเอามาพูดกันได้ยังไงว่า มาแสดงให้ปรากฏอีกได้
    คำตอบ เรื่องนิพพานนี้หลวงพ่อท่านก็เทศน์ก็สอนไว้แล้วว่า ไม่สูญ แต่ถ้าจะเอาหลักฐานจากพระไตรปิฎก จะค้นมาให้ดูก็ได้ พวกนิพพานสูญ ไม่รู้เขา ปเอามาจากไหนกัน เห็นแต่อ้างว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า "นิพพานัง ปรมัง สุญญัง" เมื่อสูญก็แปลว่า หายไป ไม่มีแล้ว แต่พวกนี้แปลก ก็ที "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง" ไม่ยักยกมาพูด ได้กล่าวมาแล้วว่า พระพุทธเจ้า พูดไม่ผิด และ ค้านไม่ได้ แย้งกันเองก็ไม่ได้ ตามหลักก็ ต้องถือว่า เป็นเช่นนั้นทั้งคู่ สุญญัง ด้วย สุขขัง ด้วย
    คำว่า สุญญัง นี้ หลายท่านแปลว่า ว่าง ไม่แปลว่า สูญหายไป ว่างจากกิเลสอย่างยิ่ง ลองค้นดูใจ ความเกี่ยว กับคำว่า ดับ ว่า สูญ นี้จะพบหลายแห่ง
    เล่ม 1 หน้า 3 "เรากล่าวความขาดสูญแห่งราคะ โทสะ โมหะ" สูญ คือ หายไปขาดคือสิ้น ไม่มีทางเกิดอีก เช่นนี้กระมัง
    เล่ม 11 หน้า 46 "พระผู้มีพระภาคนั้นเป็นผู้ดับแล้ว ย่อมแสดงธรรมเพื่อความดับ" ความดับในที่นี้จะแปลว่าสูญก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้ แปลได้อย่างเดียวคือ ดับกิเลสเพราะ ถ้าสูญไปตายไป ก็คงมาแสดงธรรมไม่ได้
    เล่ม 13 หน้า 104 "ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้วย่อมปฏิบัติเพื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัดเพื่อดับสนิทแห่งภพ เท่านั้น" ขอให้สังเกตว่า ไม่ได้หมายความว่า ตัวภพเป็นตัวดับ ภพมีอยู่เสมอ แต่บุคคลผู้หลุดพ้นนั้น ดับไปจากภพอย่างสนิท คือ ไม่ไปเกิดในภพอีกแล้วนั่นเอง
    เล่ม 13 หน้า 138 "อาสวะเหล่านั้นตถาคตจะได้แล้ว มีมูลอันขาดแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิด ต่อไปเป็นธรรมดา" ความนี้ได้ความว่า อาสวะ ถึง ความไม่มี ไม่ใช่ พระตถาคตสูญไป เพราะขณะที่ตรัสก็ "ถึงความไม่มี" คือ ไม่มีอาสวะอยู่แล้ว
    หน้า 140 "ย่อมน้อมไป ในอมตธาตุว่า ธรรมชาตินี้ สงบ ธรรมชาตินี้ ประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบ สังขารทั้งปวง เป็นที่สละ คือ อุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไป แห่งตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ดังนี้"
    เล่ม 16 หน้า 18 "เพราะความดับ เพราะไม่ถือมั่นอวิชชา ควรจะกล่าวว่า ภิกษุบรรลุนิพพานในปัจจุบัน" ข้อนี้แสดงว่า ถึงยังไม่ตายก็ดับได้
    หน้า 128 ภพดับเป็นนิพพาน
    เล่ม 17 หน้า 58 "เพราะละความกำหนัดเสียได้ อารมณ์ย่อมขาดสูญ"
    หน้า 210 "เพราะความดับสนิทแห่งกิเลสเหล่านั้น เรากล่าวว่า เป็นธรรมที่ดับสนิทแห่งเครื่องนำไปภพ"
    เล่ม 25 หน้า 56 "เมื่อใดพราหมณ์ เป็นผู้ที่ถึงฝั่งในธรรมทั้ง 2 ประการ เมื่อนั้น กิเลส เครื่องประกอบทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ผู้รู้แจ้ง ย่อมมีถึงความสาบสูญไป"
    เล่ม 30 หน้า 35 คำว่า "ดับแล้ว" ความว่าชื่อว่าดับแล้วเพราะเป็นผู้ดับ ราคะ โทสะ โมหะ
     
  3. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุมีใจเป็นกุศลยิ่งที่ยอมเสียสละเวลามานั้งอธิบายให้แก่บัวในโคลนตมเหล่านี้ได้ฟัง ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าเสียเวลาเปล่า
    หากโลกนี้มีคนโง่น้อยกว่าคนฉลาด พระพุทธเจ้าก็คงไม่เหนื่อยเปล่าอย่างนี้ ใช้ศาสนาพราหมณ์ + ฮินดูก็พอแล้วสำหรับคนกลุ่มนี้
     
  4. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    ----------------------------------------------------------------------------

    เมื่อก่อนผมก็เป็นแบบท่านนะครับ ท่าน dhammadasa

    "เป็น" ในที่นี้ผมหมายถึงลักษณะการแสดงความคิดเห็นที่กล่าวดูถูก, เสียดสี กับบุคคลอื่นที่มีความเห็นไม่ตรงกับตัวผม แต่เมื่อผมมาลองพิจารณาดูแล้ว พบว่าการแสดงความเห็นเช่นนี้บางทีมันเป็นอารมณ์ชั่ววูบครับ ความรู้สึกผิดก็เกิดขึ้นมาในจิตใจทันที ตั้งแต่นั้นมาผมก็พยายามที่จะแสดงคห.โดยใ้ช้เหตุใช้ผลมากกว่า และยอมรับว่า
    คนเรานั้นความคิดเห็นไม่ตรงกันนั้นเป็นเรื่องธรรมดาครับ

    (เป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ อาจไม่ถูกใจใครบ้างก็ขออภัยด้วย)
     
  5. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    เมื่อคนเราเอาความคิดตัวเองมาคิดแบบวิทย์ก็เลยเกิดความผิดพลาดกันใหญ่
    พุทธศานานั้นก็ต้องทำให้ได้ก่อนถึงจะไปสอนคนได้ แบบอ่านๆมาแล้วนึกเอาคิดเอาก็ไปสอนนั้นก็เลยไปกันใหญ่ก็ต้องมองเป็นอนิจจัง ธรรมของพระพุทธองค์นั้นดีแล้วแต่คนทำให้มันเปลี่ยนไปเพราะคนสอนธรรมไม่เข้าถึงธรรมจะสอนไปมันก็ผิดเหมือนทำไม่ได้ท่องไปสอนมันก็ไม่รู้จริง
    ก็จงให้อภัยเขาเถิด คนที่อธิษฐานมาดีแล้วย่อมหาทางเข้าถึงธรรมที่แท้จริงได้
    หากแต่กรรมแต่ชาติก่อนปิดตาเอาไว้เลยมัวเมากับความคิดตัวเองว่าถูก เลยคิดไปเองแบบนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2008
  6. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    อิทัปปัจจยตา 'กฎ' เหนือ 'กฏ'
    กฏแบบ unified ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อ 2500 กว่าปีที่แล้วคือ 'กฎ' ที่เหนือ 'กฏ' ทั้งปวง
    กฏนี้มีสูตรที่ง่ายมาก (กฏที่จะเป็นกฏ unified ควรจะเรียบง่ายอย่างนี้)
    "สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี"
    "สิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี"
    พระพุทธเจ้าอธิบายถึงสิ่งที่เป็น 'กฏ' หรือ 'ธรรม' ซึ่งมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผู้สร้างขึ้น พระองค์เป็นเพียงผู้หงายถ้วยที่คว่ำอยู่ขึ้นมาให้เรารู้จัก
    'กฏ' หรือ 'ธรรม' มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เหมือนกับฟังก์ชั่นคอมพิวเตอร์ที่มีผู้เขียนเอาไว้แล้ว เมื่อมีปัจจัย 1 หรือ 2 หรือมากกว่าสองเกิดขึ้นเป็น input ให้กับ 'กฏ' แต่ละกฏ ก็จะเกิดผลเป็น output ซึ่งจะกลายเป็น input ให้กับกฏอีกกฏหนึ่ง ต่อๆ ไปเรื่อยๆ เป็นกระแสไหลวนอยู่อย่างนั้นไม่มีจุดเริ่มต้น และสิ้นสุด
    อิทัปปัจจยตาจึงเขียนอธิบายสำหรับให้คนยุคดิจิตอลแบบเราๆ เข้าใจได้ง่ายๆ ว่า
    เมื่อมี input นี้ จึงมี output นี้
    เมื่อไม่มี input นี้ จึงไม่มี output นี้
    จะเห็นว่ามีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอิทัปปัจจยตาอยู่ 3 ส่วนคือ
    1) กฏ หรือ Function ซึ่งมีนิยามตามธรรมชาติ (หน้าที่) ของมันอยู่แล้ว
    2) ปัจจัย หรือ Input ซึ่งเมือเกิดปัจจัยที่เหมาะสมกับ Function หรือกฏหนึ่งๆ กฏนั้นๆ ก็จะทำงานตามโปรแกรมของมันอย่างแม่นยำ
    3) ผลที่ได้จากการ execute กฏนั้นๆ ก็คือผล หรือ "ปรากฎ" หรือ 'เกิด' อีกสิ่งหนึ่งขึ้นมาตามที่โปรแกรมไว้ในข้อ 2)
    ปัจจัยที่ได้จากข้อ 3) ก็จะไปทำให้ 'กฏ' อันอื่นๆ execute อีกต่อๆ ไป
    Y = SquaRoot(X);
    เมื่อมี X=4 ฟังก์ชั่น SquaRoot ก็จะทำงานได้ Y = 2;
    เมื่อ output ที่ได้ไปเป็นปัจจัย Input ของฟังก์ชั่น Y = Double(X) ก็จะได้
    Y = Double(SquareRoot(X)) = 4;
    'กฏ' หรือ 'ธรรม' ทำให้โลกนี้เคลื่อนที่ไปไม่หยุดนิ่ง ก้อนหิน ต้นไม้ อากาศ พื้นดิน รถยนต์ แมว เด็กทารก ผู้หญิง ไฟฟ้า ล้วนแล้วแต่อยู่ในกระแสของอิทัปปัจจยตาทั้งสิ้น
    แล้วที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาเนี่ย จะเอามาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร????? มันช่างกว้างเสียเหลือเกิน
    ใช่แล้วครับ พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่ามันมี กฏ มากมายเหมือนจำนวนใบไม้ในป่าทั้งป่า เราเสียเวลาศึกษาทั้งชีวิตก็ไม่น่าจะหมด
    พระพุทธเจ้าท่านจึงหยิบเอาอิทัปปัจจยตาฉบับพิเศษขึ่นมาให้เรานำไปใช้งาน กฏที่ว่านั้นเปรียบเหมือนใบไม้เพียงไม่กีใบจากทั้งป่าเท่านั้น
    กฏดังกล่าวคือ ปฏิจจสมุปมาท นั่นเอง
    ปฏิจจสมุปมาท คือฟังก์ชั่น 11 ฟังก์ชั่นซึ่งก่อให้เกิดตัวเราและทุกข์ในชั่วขณะที่เราเกิดการสัมผัส (ผัสสะ) เรียงลำดับมาดังนี้
    อวิชชา -> สังขาร -> วิญญาณ -> นามรูป -> สฬายตนะ -> ผัสสะ -> เวทนา -> ตัณหา -> อุปาทาน -> ภพ -> ชาติ -> ทุกข์
    อวิชชา เป็นปัจจัย (Input) ให้เกิด สังขาร
    สังขาร เป็นปัจจัย (Input) ให้เกิด วิญญาณ
    วิญญาณ เป็นปัจจัย (Input) ให้เกิด นามรูป
    นามรูป เป็นปัจจัย (Input) ให้เกิด สฬายตนะ
    สฬายตนะ เป็นปัจจัย (Input) ให้เกิด ผัสสะ
    ผัสสะ เป็นปัจจัย (Input) ให้เกิด เวทนา
    เวทนา เป็นปัจจัย (Input) ให้เกิด ตัณหา
    ตัณหา เป็นปัจจัย (Input) ให้เกิด อุปาทาน
    อุปาทาน เป็นปัจจัย (Input) ให้เกิด ภพ
    ภพ เป็นปัจจัย (Input) ให้เกิด ชาติ
    ชาติ เป็นปัจจัย (Input) ให้เกิด ทุกข์ (ชรามณณะ)
    เมื่อเกิดการกระทบ (ผัสสะ) ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และทางใจทำให้เป็นปัจจัยที่สมบูรณ์ที่ฟังก์ชั่นทั้ง 11 จะทำงานครบรอบโดยมีอวิชชาเป็นตัวเริ่มต้น เมื่อมีอวิชชาก็เกิดปัจจัยต่างๆ ที่พร้อมสำหรับการมาสัมผัสกับปัจจัยภายนอกให้เกิดความทุกข์
    การดับทุกข์ก็คือการทำให้ฟังก์ชั่นใดฟังก์ชั่นหนึ่งเป็นหมัน ไปไม่ถึงจุดหมาย (output) สุดท้ายนั่นเอง
    หากเราสามารถควบคุมผัสสะของเราไม่ให้สร้าง output ต่อไปให้ฟังก์ชั่นถัดไป เราก็จะไม่เกิดความทุกข์ (นิพพานแบบ emulate) ทำได้โดยใช้สติ (ที่รวดเร็วมากในการจับการสัมผัสและหยุดการ execute ของฟังก์ชั่นนั้นเสีย)
    หากเราต้องการดับทุกข์แบบถาวร (นิพพานแบบ permanent) เราต้องขุดรากถอนโคนไม่ให้เกิดทั้ง 11 ฟังก์ชั่นเลย คือไม่ให้เกิดอวิชชา
    เมื่อไม่มีอวิชชา ฟังก์ชั่นแรกจึงไม่ execute จึงไม่มีสังขาร (และต่อๆ ไป) อันนี้ต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า 'ปัญญา'
    ทฤษฎีมันมีอยู่เพียงนี้ ที่เหลือคือการปฏิบัติ (ทำให้เครื่องของเราไม่ execute ฟังก์ชั่นทั้ง 11 ฟังก์ชั่น อย่างถาวร) อันนี้ผู้เขียนยังห่างไกลมากนัก ขอเชิญทุกท่านศึกษาเพิ่มเติม เริ่มจาก ศีล (การปฏิบัติให้ถูกต้อง เป็นเหมือนการกำหนด environment ของเราให้อยู่ในกรอบที่เอื้อต่อการมีสมาธิ) เมื่อมีศีล ก็จะเกิดสมาธิ และเมื่อมีสมาธิ ก็จะเกิด 'ปัญญา'
    สมาธิ = f(ศีล)
    ปัญญา = f(สมาธิ)
    เมื่อมีปัญญา เราจึงสามารถดับอวิชชา (การไม่รู้ในกฏปฏิจจสมุปมาท) ซึ่งเป็นการขุดรากถอนโคนของการเกิดทุกข์อย่างแท้จริง
    นั่นคือ ปฏิจจสมุปมาท หรือ อิทัปปัจจยตาเฉพาะสำหรับใช้กับสัตว์โลกที่มี 'เวทนา' ได้เท่านั้น ก้อนหินไม่มีเวทนาจึงไม่เกิดทุกข์ตามโปรแกรมปฏิจจสมุปมาท แต่ก้อนหินก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกฏและโปรแกรมของมัน และปฏิจจสมุปมาทเป็นกฏภายใต้กฏอิทัปปัจจยตาที่พระพุทธเจ้าหยิบมาหนึ่งกำมือเพื่อให้เราเอาไปใช้ประโยชน์ในการดับทุกข์ (ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายแรกเริ่มที่พระพุทธเจ้าออกบวช) ส่วนอิทัปปัจจยตาอื่นๆ ที่เหลืออีกเต็มป่าก็เอาไปใช้ประโยชน์ทางด้านอื่น
    ส่วนผู้ที่ยึดติดอยู่กับไตรปิฏกซึ่งผ่านการผสมผสานกับความเชื่อแบบพราหมณ์ ฮินดู หรือลัทธิอื่นๆ ของอินเดีย และเชื่อว่าเราต้องรอถึงชาติหน้าจึงจะไปถึงนิพพานนั้น ก็จงรอต่อไป พระพุทธเจ้าไม่ได้หงายถ้วยขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นสิ่งที่พราหมณ์ ฮินดูในยุคนั้นรู้อยู่แล้วแน่นอน พระพุทธเจ้าทรงประกาศการค้นพบกฏใหม่ซึ่งไม่เหมือนกับความเชื่อแบบพราหมณ์ ฮินดู หรือลัทธิบูชาผีในสมัยนั้นแน่นอนครับ (ไม่เช่นนั้น พระพุทธเจ้าจะเสียเวลาออกบวชทำไม จริงไหมครับ)
    ผู้ที่มีผงธุลีในดวงตาน้อย (บัวเหนือน้ำ) ย่อมเห็นคล้อยตามพระพุทธเจ้าได้โดยง่าย ที่เหลือคือการปฏิบัติ (ทดลอง) เพื่อพิสูจน์ว่าทฎษฤีที่พระพุทธเจ้ากล่าวมา เชื่อถือได้หรือไม่ (ตามหลักกาลมาสูตร)
    ผู้ที่มีผงธุลีในดวงตามาก (บัวใต้น้ำ) ย่อมเห็นว่ายากจะเชื่อ และไม่เห็นว่าจะสามารถนำเอากฏที่พระพุทธเจ้าทรงหงายขึ้นมาให้ดูไปใช้ประโยชน์ใดๆ ได้ และนั่งฝันถึงวิมานหลังความตายและปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างน่าเสียดาย
     
  7. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    ส่วนผู้ที่ยึดติดอยู่กับไตรปิฏกซึ่งผ่านการผสมผสานกับความเชื่อแบบพราหมณ์ ฮินดู หรือลัทธิอื่นๆ ของอินเดีย
    ----------------------------------------------------------------------------
    ท่าน dhammadasa มั่นใจมากเลยนะครับ ผมอยากถามว่า เพราะเหตุใดท่านถึงเชื่อเช่นนั้นครับ ?




    ----------------------------------------------------------------------------
    และนั่งฝันถึงวิมานหลังความตายและปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างน่าเสียดาย
    ----------------------------------------------------------------------------

    ยังคงตอบเหน็บแนมบุคคลอื่นๆอีกเช่นเดิม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2008
  8. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    รบกวนถามสำหรับท่านที่มีความเห็นว่า "ไม่ควรเชื่อพระไตรปิฏก" อยากทราบว่าแล้วท่านมีแนวทางการปฏิบัติอย่างไร? แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านถูก?
    (ช่วยตอบให้ผมได้หายสงสัยด้วยครับ)
     
  9. pipat_san

    pipat_san เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    8,276
    ค่าพลัง:
    +37,173
    รู้ที่มาของท่านแล้ว ...หลวงพี่

    หลวงพี่ หยุดเถิดครับเรารู้แล้วท่านมาจากที่ใด...พวกราต้องรวมใจเป็นหนึ่งขจัดอลัชชีที่ทำลายพระศาสนา อย่างเช่นหลวงพ่อของเรา ท่านยอมตายดีกว่าให้พวกอลัชชีมาทำลายพระศาสนา...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 001mail.jpg
      001mail.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83.6 KB
      เปิดดู:
      79
    • 002mail.jpg
      002mail.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.1 KB
      เปิดดู:
      38
    • 003mail.jpg
      003mail.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.6 KB
      เปิดดู:
      37
    • 004mail.jpg
      004mail.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.2 KB
      เปิดดู:
      37
    • 005mail.jpg
      005mail.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.9 KB
      เปิดดู:
      37
    • 006mail.jpg
      006mail.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.1 KB
      เปิดดู:
      37
  10. เสรีชน

    เสรีชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +727
    เห็นด้วยกับคุณเว็บ SNOW เพราะเด็กในวันนี้คืออนาคตของชาติในวันข้างหน้า ประเทศไทยและพระพุทธศาสนาต้องฝากไว้กับเด็กรุ่นต่อไป..
    ร่างกายสังขารหาใช่สิ่งคงทนถาวรไม่ หาใช่ของๆเราไม่ ข้าพเจ้าขอใช้ร่างกายสังขารอันนี้ให้เป็นไปเพื่อทำนุบำรุงปกป้องพระพุทธศาสนาและประเทศชาติรวมไปจนถึงทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ..ด้วยจุดยืนที่เข้มแข็งและชัดเจน..
     
  11. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    จุดมุ่งหมายเดียวของพระพุทธเจ้าที่ออกบวชคือ "แสวงหาความดับทุกข์"
    แล้วท่านผู้นี้กำลังจะเดินไปทางใด???
     
  12. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    รบกวนถามสำหรับท่านที่มีความเห็นว่า "ไม่ควรเชื่อพระไตรปิฏก" อยากทราบว่าแล้วท่านมีแนวทางการปฏิบัติอย่างไร? แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านถูก?
    (ช่วยตอบให้ผมได้หายสงสัยด้วยครับ)
    ------------------------------------------------<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    <o:p></o:p>
    พระไตรปิฎกคืออะไร? คือตำราใช่หรือไม่?<o:p></o:p>
    ถ้าเราเชื่อตำรา อย่างนั้นก็แสดงว่าตำราทุกเล่มเชื่อถือได้ใช่หรือไม่?<o:p></o:p>
    ถ้ายอมรับความจริงก็ช่วยตอบที? แต่ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่จำเป็นต้องตอบ<o:p></o:p>
    ส่วนที่ว่า<o:p></o:p>
    ---------------------------------------------<o:p></o:p>
    รู้ที่มาของท่านแล้ว ...หลวงพี่<o:p></o:p>



    <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>

    หลวงพี่หยุดเถิดครับเรารู้แล้วท่านมาจากที่ใด...พวกราต้องรวมใจเป็นหนึ่งขจัดอลัชชีที่ทำลายพระศาสนาอย่างเช่นหลวงพ่อของเรา ท่านยอมตายดีกว่าให้พวกอลัชชีมาทำลายพระศาสนา...
    ---------------------------------------------<o:p></o:p>

    <o:p></o:p>
    หลักการของอาตมาไม่ได้เชิดชูคำสอนศาสนาใดเลย ลองอ่านดูให้ดีก่อน<o:p></o:p>
    ถ้าตรงไหนทำลายพุทธศาสนาก็ไปแจ้งตำตรวจ<o:p></o:p>
    อย่าทำเป็นเรื่องการเมือง ที่ชอบเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมาเกี่ยวข้อง<o:p></o:p>
    ส่วนที่ว่า
    ------------------------------------------------<o:p></o:p>

    <o:p></o:p>
    อันนี้ผมเอาข้อค้นคว้าของท่าน มรว.เสริม สุขสวัสดิ์ที่ท่านอุตส่าห์ค้นคว้าข้อความในพระไตรปิฏกมาหากท่านเตชปัญโญเห็นค้านกับพระไตรปิฏกก็เห็นทีว่าอย่าบวชให้หนักพระศาสนาเลยครับขอร้องจริงๆผมเองเห็นศาสนาพุทธถูกปฏิรูปไปมากเลยเกิดผลเสียจึงขอนำมาลงไว้ ให้คำว่าสวรรค์ในอกนรกในใจ มันทำให้สังคมไทยเรามันวุ่นวายพอแล้ว สมัยก่อนคนทำชั่วน้อยเพราะอ่านไตรภูมิพระร่วงพระมาลัยคำฉันท์อ่านแล้วเชื่อนรกมีจริงก็เกิดการละอายเกรงกลัวต่อบาปสังคมก็เป็นสุขแล้วคิดดูการที่พระอ้วนทางใต้กลับมาพูดสวรรค์ในอกนรกในใจคนที่ไม่เคยศึกษาศาสนาก็เข้าใจว่าโลกหน้าไม่มีสังคมเลยวุ่นวายในความเห็นผมเป็นเพียงพวกแต่งหนังสือขายเลี้ยงชีวิตเท่านั้นฝรั่งมันยกย่องเพราะว่ามันไม่รู้แก่นแท้ศาสนาพุทธนะซิ.....น่าสงสารชาวพุทธ<o:p></o:p>
    --------------------------------------------------------------<o:p></o:p>
    อันนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรที่สร้างสรรค์เลย มีธรรมะตรงไหน? มีเหตุผลตรงไหน?<o:p></o:p>
    การที่คนจะทำดีหรือชั่วนั้นขึ้นอยู่กับอะไร?<o:p></o:p>
    คนที่ไม่นับถือพุทธศาสนาทำดีไม่ได้หรือ?<o:p></o:p>
    ถ้าอย่างนั้นคนที่ไม่นับถือพุทธศาสนาเขาก็เป็นคนชั่วกันหมดใช่หรือไม่?<o:p></o:p>
    เหมือนกับที่บางศาสนาเขาถือว่า คนที่ไม่นับถือศาสนาเขา นั้นเป็นพวกนอกรีด<o:p></o:p>
    ที่จะต้องตกนรกหมด <o:p></o:p>
    ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราทุกคนมิต้องตกนรกกันหมดหรือ?<o:p></o:p>
    ใช้ความคิดกันให้มาก อย่าจมอยู่กับตำราหรือครูอาจารย์จนมองไม่เห็นความจริง<o:p></o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2008
  13. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    พระไตรปิฎกคืออะไร?
    http://mahamakuta.inet.co.th/tipitaka/tipitaka.html ขอท่านลองศึกษาได้ที่เวปนี้ครับ
    คือตำราใช่หรือไม่?
    เป็นคัมภีร์หรือตำราทางพระพุทธศาสนา และเป็นสิ่งที่บุคคลที่ขึ้นชื่อว่าชาวพุทธควรยึดถือ เป็นหลักปฏิบัติ
    ชาวพุทธในที่นี้หมายถึงบุคคลที่ได้ชื่อว่านับถือศาสนาพุทธรวมถึงพระภิกษุสงฆ์ที่ได้บวชในพระพุทธศาสนา
    อันมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาสั่งสอนธรรมะที่ท่านทรงตรัสรู้
    คำสอนและธรรมะที่ท่านตรัสรู้ตอนนี้อยู่ไหน ? ขอตอบว่าอยู่ในพระไตรปิฏกทั้งหมด

    ถ้าเราเชื่อตำรา อย่างนั้นก็แสดงว่าตำราทุกเล่มเชื่อถือได้ใช่หรือไม่?
    มีทั้งเชื่อถือได้และเชื่อถือไม่ได้

    ผมขอเรียนถามท่านเตชปํญโญ ภิกขุ ดังนี้
    หากไม่มีพระไตรปิฏกตั้งแต่เริ่มแรกท่านคิดว่าปัจจุบันนี้จะปรากฏศาสนาพุทธอยู่หรือไม่?
    ถ้าหากปรากฏอยู่ ท่านว่าชาวพุทธจะนำหลักการปฏิบัติจากที่ไหนมายึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติ?
    <o></o>
    รวมถึงหลัก "กาลามสูตร" ที่ท่านชอบนำมาอ้างด้วยหากไม่มีพระไตรปิฏกท่านจะรู้ถึงหลักกาลามสูตรนั้นหรือไม่? หรือหากท่านรู้ก็อาจจะไม่ตรงกับที่ระบุอยู่ในพระไตรปิฏกก็ได้.
    ท่านพอจะเห็นคุณของพระไตรปิฏกหรือยังหนอ??
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2008
  14. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    ดังได้สดับมา พระโปฐิละนั้นเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป. พระศาสดาทรงดำริว่า "ภิกษุนี้ ย่อมไม่มีแม้ความคิดว่า "เราจักทำการสลัดออกจากทุกข์แก่ตน เราจักยังเธอให้สังเวช."
    จำเดิมแต่นั้นมา พระองค์ย่อมตรัสกะพระเถระนั้น ในเวลาที่พระเถระมาสู่ที่บำรุงของพระองค์ว่า "มาเถิด คุณใบลานเปล่า, นั่งเถิด คุณใบลานเปล่า, ไปเถิด คุณใบลานเปล่า แม้ในเวลาที่พระเถระลุกไป ก็ตรัสว่า "คุณใบลานเปล่าไปแล้ว."
    พระโปฐิละนั้นคิดว่า "เราย่อมทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถา บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ถึง ๑๘ คณะใหญ่ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดายังตรัสเรียกเราเนืองๆ ว่า "คุณใบลานเปล่า" พระศาสดาตรัสเรียกเราอย่างนี้ เพราะความไม่มีคุณวิเศษ มีฌานเป็นต้นแน่แท้."
     
  15. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    การที่คนจะทำดีหรือชั่วนั้นขึ้นอยู่กับอะไร?<o></o>
    คนที่ไม่นับถือพุทธศาสนาทำดีไม่ได้หรือ?<o></o>
    ถ้าอย่างนั้นคนที่ไม่นับถือพุทธศาสนาเขาก็เป็นคนชั่วกันหมดใช่หรือไม่?<o></o>>
    เหมือนกับที่บางศาสนาเขาถือว่า คนที่ไม่นับถือศาสนาเขา นั้นเป็นพวกนอกรีด<o></o>
    ที่จะต้องตกนรกหมด <o></o>
    ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราทุกคนมิต้องตกนรกกันหมดหรือ?
    --------------------------------------------------------------------------------------------------
    เท่าที่ผมอ่านมาก็ยังไม่เห็นมีใครโจมตีศาสนาอื่นตรงไหนนี่ครับ?
    จะเห็นก็มีแต่โจมตีและไม่เห็นด้วยกับท่านเตชปัญโญผู้เดียวนี่แหละครับ
     
  16. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    อยากจะบอกท่าน dhammadasa ว่าคนละประเด็นกันครับ กระทู้นี้แสดงความเห็นประเด็นของผู้ที่กล่าวบิดเบือนพระไตรปิฏก และสอนธรรมะไม่ตรงกับพระไตรปิฏกครับเช่น การเวียนว่ายตายเกิดมี เค้าบอกไ่ม่มี, บาปกรรมมีเค้าบอกไม่มี, นรก,สวรรค์,พรหม,อรูปพรหมมีเค้าบอกไ่ม่มี ฯ เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2008
  17. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ข้อสังเกต
    -มีหลายยุคหลายสมัยมีพวกเดียรถีย์มารนอกศาสนามีองค์กรที่ได้รับเงินจากต่างประเทศให้ทำลายศานาพุทธในไทย-มูลนิธิโกลมคีมทอง
    -มีพวกเดียรถีย์พยายามเข้าไปมีบทบาทในกระทรวงศึกษา เช่น บุญส้วม เมาตีน เป็นคริสต์ เข้าไปทำอะไรไว้เสียหายกับหลักสูตรศาสนาและศีลธรรมไว้เยอะพยายามเปลี่ยนแปลงบิดเบือนยกเลิกหลักสูตรอะไร ๆ ที่ดี ๆ แล้วก็เอาสัจธรรมปฏิรูปบวกกับปัญญาลวก ๆ ใส่เข้าไปแทน เพื่อทำให้คนรุ่นหลังอ่อนเอ ประเทศปัจจุบันถึงเป็นอย่างที่เห็น
    -พวกสัจธรรมปฏิรูป มาเทือกเดียวกันเลย เก่งกว่าพระไตรปิฎก นรกจะถามหา
    -มีความพยายามจะทำลายพระดี ๆ ที่มีแววแล้วระแทกข่าวให้สะเทื่อนเลื่อนลั่นให้เสียหายต่อศาสนา

    ทั้งหมดนี้เป็นส่วนที่ทำให้ศาสนาเสื่อม
     
  18. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    พระไตรปิฏกเป็นตำราที่รวบรวมคำสอนทุกหมวดหมู่พระอรหันต์ได้รวบรวมไว้เกรงว่าจะทำให้พระธรรมศูนย์หายสงฆ์ทะเลาะกันแบบศาสนาเชน การที่ท่านไม่เชื่อพระไตรปิฏกก็เท่ากับไม่เชื่อคำสอนพระพุทธเจ้า ผมถามว่าบุตรที่ปฏิเสธบิดาตน ยังสมควรเป็นบุตรของบิดานั้นได้หรือไม่ ผมย้ำอีกครั้งไอ้คำว่าสวรค์ในอกนรกในใจนี่แหล่ะทำให้สังคมไม่มีหิริโอตัปปะท่านมิควรคู่ที่จะมาเชิดหน้าชูคอใช้คำว่าภิกษุได้อีก เพราะท่านปฏิเสธแม้กระทั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านควรจะลาสิกขาไปได้แล้วอย่ามานั่งให้คนเขากราบไหว้อีกเลยคนที่อ้างว่าสืบทอดคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่กลับมาจาบจ้วงตำราที่รวบรวมคำสอน จะว่าเป็นพุทธบุตรได้อย่างไร เปลืองข้าวสุกชาวบ้าน
    พระโอวาทที่สั่งให้พระอานนท์ ว่าธรรมก็ดีพระวินัยก็ดีเป็นตัวแทนตถาคต ความหมายคืออะไรท่านบอกได้ไหม และการที่ท่านจาบจ้วงพระไตรปิฏกเล่าคืออะไร...... คิดเองนะครับ
     
  19. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    ความรู้เรื่องพระไตรปิฎก
    (ย่อความจาก “ความรู้เรื่องพระไตรปิฎก” โดย สุชีพ ปุญญานุภาพ จากหนังสือ “100 ปี มหามกุฏราชวิทยาลัย ๒๔๓๖-๒๕๓๖”)

    <HR width="50%" color=#800000 SIZE=1>พระไตรปิฎกคืออะไร ?

    ศาสนาทุกศาสนา ย่อมมีคัมภีร์หรือตำราทางศาสนาเป็นหลักในการสั่งสอน พระไตรปิฎก หรือที่เรียกในภาษาบาลีว่า ติปิฎกหรือเตปิฎกนั้น เป็นคัมภีร์หรือตำราทางพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับไตรเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ อัลกุรอานของ ศาสนาอิสลาม พระพุทธเจ้าประทานพระพุทธโอวาทไว้มากหลายต่างกาลเวลา ต่างสถานที่กัน พระสงฆ์สาวกซึ่งท่องจำไว้ได้ ได้จัดระเบียบเป็นหมวดหมู่ เป็นปิฎกต่างๆ หลังจากพระศาสดานิพพานแล้วเพื่อเป็นหลักพระพุทธศาสนา ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า “ธรรมและวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไป”
    มีหลักฐานกำหนดลงได้ว่าในสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำว่า “พระไตรปิฎก” มีแต่คำว่า “ธรรมวินัย” คำว่า พระไตรปิฎก หรือ ติปิฎก ในภาษาบาลีนั้นเกิดขึ้นมาภายหลังที่ทำสังคายนาแล้ว คำว่า พระไตรปิฎก กล่าวโดยรูปศัพท์ แปลว่า ๓ คัมภีร์ เมื่อแยกเป็นคำๆ ว่า พระ+ไตร+ ปิฎก คำว่า “พระ” เป็นคำแสดงความเคารพหรือยกย่อง คำว่า “ไตร” แปลว่า ๓ คำว่า “ปิฎก” แปลได้ ๒ อย่างคือ แปลว่าคัมภีร์หรือตำนานอย่างหนึ่ง แปลว่ากระจาดหรือตะกร้าอย่างหนึ่ง ที่ แปลว่ากระจาดหรือตะกร้า หมายความว่าเป็นที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวด หมู่ ไม่ให้กระจัดกระจาย คล้ายกระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะใส่ของ ฉะนั้น เมื่อทราบแล้วว่า คำว่าพระไตรปิฎกแปลว่า ๓ คัมภีร์ หรือ ๓ ปิฎก จึงควรทราบต่อไปว่า ๓ ปิฎกนั้นแบ่งออกดังนี้ (๑) วินัยปิฎก - ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี (๒) สุตตันตปิฎก - ว่าด้วยพระธรรม เทศนาทั่วๆ ไป (๓) อภิธัมมปิฎก - ว่าด้วยธรรมะล้วนๆ หรือธรรมะที่สำคัญ.
    ย่อความจาก “ความรู้เรื่องพระไตรปิฎก” โดย สุชีพ ปุญญานุภาพ จากหนังสือ “100 ปี มหามกุฏราชวิทยาลัย ๒๔๓๖-๒๕๓๖”)

    <HR width="50%" color=#800000 SIZE=1>ความเป็นมาของพระไตรปิฎก

    พระสาวก ๔ รูป ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก คือ
    ๑. พระอานนท์ เป็นโอรสของเจ้าชายสุกโกทนศากยะ ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดา ท่านออกบวชแล้วได้เป็นผู้ที่สงฆ์เลือกให้ทำหน้าที่เป็นพุทธอุปฐาก คือ ผู้รับใช้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า พระอานนท์ทรงจำพระพุทธวจนะได้มาก ท่านจึงมีส่วนสำคัญในการรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วจัดเป็นหมวดหมู่ต่างๆ สืบมาจนทุกวันนี้
    ๒. พระอุบาลี เคยเป็นพนักงานรักษาภูษามาลาอยู่ในราชสำนักแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ท่านออกบวช พร้อมกับพระอานนท์และราชกุมารอื่นๆ โดยได้รับเลือกจากเจ้าชายเหล่านั้นให้อุบาลีบวชก่อน พวกตนจะได้กราบไหว้อุบาลีตามพรรษาอายุเป็นการแก้ทิฐิมานะตั้งแต่เริ่มแรกในการออกบวช ท่านมีความสนใจกำหนดจดจำทางพระวินัยเป็นพิเศษ จนแม้พระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญท่านด้วย ท่านจึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับวินัยปิฎก จึงนับว่าท่านเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยตรงในการช่วยรวบรวมข้อพระวินัยต่างๆ ให้เป็นหมวดหมู่เป็นหลักฐานมาจนทุกวันนี้
    ๓. พระโสณกุฏิกัณณะ ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระไตรปิฎก แต่ประวัติของท่านมีส่วนเป็น หลักฐานในการท่องจำพระไตรปิฎก เรื่องของท่านมีปรากฎในพระสุตตันตปิฎกความว่า เดิมท่านเป็น อุบาสกคอยรับใช้พระมหากัจจานเถระ แล้วบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ ๓ ปี จึงได้อุปสมบทเป็นภิกษุ ต่อมา ท่านได้เดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ เชตวนาราม พระพุทธเจ้าตรัสเชิญให้พระโสณะกล่าวธรรม ซึ่งท่านได้กล่าวสูตรถึง ๑๖ สูตร อันปรากฏในอัฏฐกวัคค์จนจบ เมื่อจบแล้วพระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาสรรเสริญความทรงจำ และท่วงทำนองในการกล่าว เรื่องนี้เป็นตัวอย่างอันดีในเรื่องความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกว่าได้มีการท่องจำกันตั้งแต่ ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่
    ๔. พระมหากัสสป เป็นผู้บวชเมื่ออายุสูง แม้ท่านไม่ใคร่สั่งสอนใคร แต่ก็สั่งสอนคนในทางปฏิบัติ คือทำตัวเป็นแบบอย่าง เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว ท่านได้เป็นหัวหน้าชักชวนพระสงฆ์ให้ทำสังคายนาคือ ร้อยกรอง หรือจัดระเบียบพระวินัย นับว่าท่านเป็นผู้มีส่วนสำคัญยิ่งในการทำให้เกิด พระไตรปิฎก
    นอกจากพระไตรปิฎกจะเกิดขึ้นจากความปรารถนาของพระเถระ ๔ รูปนี้แล้ว พระพุทธเจ้า ยังได้เคยแนะให้รวบรวมธรรมภาษิตของพระองค์และทำสังคายนา เพื่อไม่ให้เกิดความแตกกัน เหมือนอย่างสาวกของนิครนถนาฏบุตร ที่แตกกันหลังจากผู้เป็นอาจารย์เจ้าลัทธิสำคัญคนหนึ่งสิ้นชีพ พระพุทธสุภาษิตที่แนะนำรวบรวมพุทธวจนะร้อยกรองจัดระเบียบหมวดหมู่นี้ ถือได้ว่าเป็นเริ่ม ต้นแห่งการแนะนำ เพื่อให้เกิดพระไตรปิฎกดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
    เมื่อกล่าวถึงความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก และกล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ ทำสังคายนาก็ดี ก็ต้องกล่าวถึงความปรารถนาดีของพระจุนทเถระ ครั้งแรกก็คือท่านได้เข้าพบพระอานนท์ เมื่อรู้เห็นเหตุการณ์ที่สาวกของนิครนถนาฏบุตร(ศาสนาเชน)แตกกัน ซึ่งพระอานนท์ชวนให้เข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า และพระผู้มีพระภาคทรงตรัสแนะให้ทำสังคายนาดังกล่าวแล้วข้างต้น ครั้งหลังคือ เมื่อสาวกนิครนถนาฏบุตรแตกกันยิ่งขึ้น ท่านก็เข้าหาพระอานนท์อีกขอให้กราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงโพธิปักขิยธรรมอันเป็นหลักของพระพุทธศาสนา แล้วทรงแสดงมูลเหตุ แห่งการทะเลาะวิวาท ๖ ประการ อธิกรณ์ ๔ ประการ วิธีระงับอธิกรณ์ ๗ ประการ กับประการ สุดท้ายทรงแสดงหลักธรรมสำหรับอยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก ๖ ประการ ที่เรียกว่า สาราณิยธรรม ซึ่งการเข้าหาพระอานนท์ทั้ง ๒ ครั้งของพระจุนทเถระนี้คือ ความปรารถนาดีของท่าน ที่ห่วงใยใน ความตั้งมั่นยั่งยืนแห่งพระพุทธศาสนา
    ท่านเตชปัญโญอ่านนะครับจะได้รู้ว่าพระไตรปิฏกคืออะไรหาย...เสียทีเน้อ
    ที่มา http://mahamakuta.inet.co.th/tipitaka/tipitaka2/tipi~224.html
     
  20. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    นับแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณทรงเผยแผ่คำสอนอยู่ 45 พรรษา และถ่ายทอด "ประตูอนุตตรธรรม" แก่พระมหากัสสปะเพื่อรักษาสายธรรมะอันสูงสุดเอาไว้แต่เพียงท่านเดียว ภายหลังที่พระพุทธองค์ทรงเข้าสู่ปรินิพพานแล้ว คำสั่งสอนได้เผยแผ่ออกไปทุกทิศานุทิศและแบ่งออกเป็นสองนิกายใหญ่ๆ โดยแผ่จากอินเดียทางเหนือเข้าสู่ประเทศจีนกลายเป็นมหายานและแตกออกเป็นนิกายต่างๆ อีกมากมาย ส่วนที่แผ่ลงมาทางใต้ของอินเดียนั้นล้วนเป็นภาษาบาลีและกลายมาเป็นหินยานซึ่งก็แบ่งออกเป็นหลายนิกายอีกเช่นกัน

    ทั้งสองนิกายใหญ่นี้มีจุดศูนย์รวมอยู่ที่การนับถือพระพุทธองค์เป็นพระศาสดาเหมือนกัน การสังคายนาคำสอนของพระพุทธองค์และจัดหมวดหมู่ให้เป็นระเบียบจนกลายมาเป็นพระไตรปิฎก แปลว่าคัมภีร์สามอย่างคือ พระวินัยปิฎก ว่าด้วยศีลของพระภิกษุ ภิกษุณี พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่วๆ ไป พระอธิธัมมปิฎก ว่าด้วยธรรมะล้วนๆ หรือธรรมะอันยิ่ง
    ในส่วนของพระวจนะของพระพุทธองค์ซึ่งกลายมาเป็นพระธรรมคำสอนนั้น มิใช่สภาวะแห่งการตรัสรู้แต่เป็นผลแห่งการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ "อนุตตรธรรม" เท่านั้น คำสอนในพระไตรปิฎกจึงเป็นเพียงความรู้ มิใช่ปัญญาอันแท้จริงที่ทำให้ตัดกิเลสทั้งปวงได้ ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น พระโปฐิละ อันเป็นฉายาที่ได้มาจากการเป็นผู้เชี่ยวชาญในคำสอนของพระพุทธองค์นำมาสั่งสอนผู้คนจนมีลูกศิษย์มากมาย แต่พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า "คุณใบลานเปล่า" และในที่สุดต้องไปหาศิษย์ซึ่งเป็นเณรอายุ 7 ขวบ ผู้บรรลุธรรมแล้วเพื่อปฏิบัติให้บรรลุธรรม

    คำสอนของพระพุทธองค์ที่ตกทอดกันมาแต่โบราณกาลจึงเป็นเพียงความรู้ ส่วนปัญญาตรัสรู้เป็นอีกสภาวะหนึ่งอันไม่สามารถบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรหรือวาจาใดๆ ได้เลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...