น่าสงสาร หยุด อย่าดิ้นรนกันอีกเลย

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย คนเมืองเว้, 18 พฤศจิกายน 2011.

  1. คนเมืองเว้

    คนเมืองเว้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +8
    หลักการปล่อยวางอย่างผู้มีปัญญา

    หลายคนคงอาจคิดว่าหนทางที่จะเดินไปสู่ความสุขที่แท้จริง คือ การสะสมสมวัตถุเงินทองให้ได้มากที่สุด และการทำอะไรก็ได้ตามความพอใจของตนเอง จึงต้องเหนื่อยยากกับการแสวงหาให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ แต่เราทราบไหมว่าสิ่งต่างๆที่เราทำมาทั้งหมดแท้จริงแล้วเพื่ออะไรกัน
    ดังนั้นความสุขที่แท้จริงไม่ใช่จากการสะสมสมวัตถุสิ่งของ แต่ความจริงคือการสละทิ้งและปล่อยวาง เพราะว่ายิ่งเราปล่อยวางได้มากเท่าไร เราก็จะรู้สึกว่าเราปลอดโปร่งและสบายใจได้มากขึ้น แล้วเราจะเป็นอิสระอย่างแท้จริง และการปล่อยวางไม่ได้จำกัดอยู่ที่วัตถุและสิ่งของเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการปล่อยวางความโลภ ความโกธร ความหลง ที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของเราด้วย ดังนั้นเรามาปล่อยวางความรู้สึกเหล่านี้ ให้เสมือนกับโยนก้อนหินที่หนักลงในน้ำ และปลดปล่อยความรู้สึกของเราให้เป็นอิสระจากการยึดมั่นถือมันในสิ่งต่างๆ ที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ แล้วเราจะมีความสุขอย่างแท้จริง
     
  2. ตะหลิว

    ตะหลิว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2007
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +96
    เข้าใจได้ว่า ไม่ไขว่คว้าหาที่อยู่ใหม่เพื่อหนีให้พ้นภัยพิบัติ แต่ฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบัน มีหน้าที่ก็ทำไป ไม่หนี ไม่ผลักไส และไม่ไขว่คว้า ปลดปลงลงวางให้ได้ เมื่อถึงเวลา ปัญญามีต้องผ่านไปได้ด้วยดี เตรียมพร้อมถ้าต้องตาย แต่ไม่ใช่อยู่อย่างคนอยากตาย???
     
  3. AUTO11

    AUTO11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +105
    โลกล้วนเป็นเช่นนี้หนอ.
    ธรมทุกข้อล้วนเกื้อกูล.
    ศีลทั้งหลายล้วนส่งเสริม.
    หากทว่า.
    รู้ศีล รู้ธรรม แต่เข้าไม่ถึง.
    แล้วเมื่อใดจักข้ามไปสู่ความว่างได้กันเล่า.
    คงอีกหลายพันชาติภพเป็นแน่.
     
  4. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    ขออนุโมทนาค่ะ :cool:
     
  5. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    ขออนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ :cool:
     
  6. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    ขออนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ รวมไปถึงคุณบุญญสิกขาด้วยนะเจ้าคะ :cool:
     
  7. ภูทยานฌาน

    ภูทยานฌาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +188
    โมทนาสาธุธรรมะกับทุกๆท่านนะครับ ลึกซึ้งจริงๆ สุดท้ายแล้วจิตที่รู้จริงก็คือ จิตละเอียดและเข้าสู่ความว่าง คือสุญญตา ตราบใดที่มนุษย์ยังมีการเกิดอยู่ ต่างดิ้นรนหาทางหลุดพ้นด้วยกันทั้งนั้น แต่จะแตกต่างกันไปบ้างก็ด้วยจิต สุดท้ายมีคุณแม่(แห่งธรรม)ฝากถาคาไว้ว่า "อุเบกขา" เพราะจิตในจิตตนเท่านั้นที่เข้าใจ เพราะธรรมะเป็นปัจจัตตัง มิอาจสั่งสอนใครได้(แค่แนะนำ)
    (รู้แค่ว่าอย่าไปสนใจจิตคนอื่นดีหรือเลว แต่พยายามดูจิตตนอย่าให้เลวพอ ตามที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา)
     
  8. ต้นที่สาม

    ต้นที่สาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +1,074

    ขอบคุณที่เมตตาสั่งสอนสัตว์โลก
    เปิดช่องแสงให้สามารถเห็นทางเดิน
    ที่แตกต่างๆ ให้เป็นทางเลือกที่จะก้าวเดิน
    ต่อไป
     
  9. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +80
    แม้จะทรงคุณธรรมถึงเพียงใด ทุกคนก็ล้วนมีหน้าที่ที่ต้องทำ

    ต้องเลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย เลี้ยงบุพการี หนี้สินก็มากมาย

    ข้อธรรมที่จดจำกันมาป่าวร้อง จะด้อยค่าเพียงใด หากว่าเราไม่เคยตระหนักถึงมันอย่างจริงๆจังๆ สักที

    บางคนเอ่ยอ้างหลักธรรมได้อย่างลึกซึ้ง จนพระสงฆ์บางรูปสะเทิ้นอาย

    หากแม้นรู้ซึ้งถ้วนทั่วถึงปานนั้น เหตุใดหนอ ไม่ออกบวชกันเสียที ศาสนาจะมีเพชรน้ำดีมาช่วยจรรโลงให้ชื่นใจ

    ทำงาน ใช้หนี้กันเถอะพวกเรา น้ำท่วมบ้านมาจะสองเดือนแล้ว
    น้ำลดเมื่อใด ค่อยว่ากันใหม่
     
  10. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    คนเราเกิดมาเพื่ออะไร ถ้ายังหาคำตอบไม่ได้ ก็อยู่ๆไปเถอะ หาเงินหาทอง กันให้เต็มที่

    ไม่เกินร้อยปีก็ตายกันหมดแล้ว แล้วสิ่งที่หาที่สะสมมา เงินทอง บ้านช่อง เอาติดตัวไปได้หรือ??

    มีแต่บุญกุศลเท่านั้น ที่ติดตัวไปได้

    มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ อย่าลืมศักยภาพข้อนี้ เราแตกต่างจากสัตว์อื่นๆ ทุกชนิด เพราะอะไร

    หาเป้าหมายของชีวิตให้เจอ ว่า คนเราเกิดมาเพื่ออะไร แล้วใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤศจิกายน 2011
  11. สายธารคนดี

    สายธารคนดี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +5
    ตะลึง! เด็กอินเดียวัย เจ็ดขวบ ร้องไห้เป็น เม็ดหิน ออกจากน้ำตา
    Mthainews: สื่อท้องถิ่นของอินเดีย รายงานความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับเด็กหญิง คูรา นิทยา วัย 7 ขวบ ที่ร้องไห้ออกมาเป็นเม็ดหิน มานานกว่า 2 สัปดาห์แล้ว โดยจะมีเม็ดหินออกจากน้ำตา 12-25 เม็ดต่อวัน ซึ่งแพทย์ก็ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า สาเหตุของอาการเกิดจากอะไร
    อย่างไรก็ตาม หนูน้อยนิทยากล่าวว่า ปกติไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด แต่เมื่อตาข้างขวามีอาการขึ้นมา ก็จะมีเม็ดหินออกมาจากน้ำตา สร้างความประหลาดใจให้กับคุณปู่ของเธอ ที่ตอนแรกคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องของอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงได้สวดมนต์ขอให้หลานสาวหายจากอาการ แต่ก็ยังมีอาการเช่นเดิม
    ทั้งนี้ แพทย์จำนวนมากที่ครอบครัวพาเธอไปพบ ต่างก็มึนงงกับอาการดังกล่าว ไม่มีใครที่จะให้คำอธิบายได้ แต่เบื้องต้นมีการเก็บเม็ดหินที่ออกมาจากน้ำตาเพื่อทำการศึกษาต่อไป
     
  12. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ...มีคำกล่าวโบราณ ของท่านอาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้ให้ไว้เป็นหลักในการทำกัมมัฏฐานทั่วไป เพื่อเอาไว้พิจารณาแก่นักปฏิบัติว่า คนมีปัญญา ยืนหยัดมั่นคงอยู่บนผืนแผ่นดิน ฉวยจับอาวุธที่คมด้วยมือ ลับที่หินแล้วมีความเพียร ถางป่าที่รกให้เตียนไปได้ ถ้อยคำโบราณดังกล่าวนี้ ถ้าพิจารณาให้ดี ดูจะเป็นหัวใจสำคัญของผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐานทั้งหลาย เราลองมาพิจารณาค้นหาถ้อยคำความหมาย ที่ซ่อนเร้นอยู่ในกลบทเหล่านี้ดูกัน ว่าจะมีความสำคัญประการใด………….

    ท่านได้ให้คำอธิบาย คนมีปัญญา ไว้ว่า ปัญญาในที่นี้หมายถึง ปัญญาดั้งเดิมที่ติดตัวตนเองมาแต่อดีตชาติ ที่เรียกว่า “สหชาติปัญญา” แต่ยังเป็นปัญญาดิบ ที่ยังมิได้รับการพัฒนาขัดเกลา สร้างเสริมให้งอกงามสมบูรณ์ จึงยังไม่ควรเรียกว่า “วิปัสสนาปัญญา” รวมความว่า ผู้ที่จักทำกัมมัฏฐาน จำเป็นต้องมีสติปัญญาเดิม เป็นพื้นฐานพอสมควร แต่ถ้าเป็นคนโง่ คือคนขาดปัญญา หมดปัญญา ไม่มีปัญญา หรือมีก็มีเฉพาะสติปัญญาที่เอาไว้ใช้หากิน หาอยู่ ของอัตภาพตนไปวันๆ และถ้าเผอิญ นึกอยากจะปฏิบัติธรรม หรือมีผู้มาชวนให้ปฏิบัติธรรม ก็ทำได้แต่เพียงตามๆเขาไป หรือถ้าไม่ตาม จักแสวงหาด้วยตนเอง ก็เป็นการแสวงหาและปฏิบัติตามแต่ที่ตนเชื่อ โดยมิได้พิจารณาว่า การกระทำเช่นนี้ การปฏิบัติอย่างนี้ จะทำให้ตนฉลาด สะอาด สว่างขึ้นมาบ้างหรือไม่ หรือทำเพราะอาศัยอำนาจแห่งความพอใจ ถูกใจ ชอบใจเป็นพอแล้ว………

    ถึงแม้จักมีปัญญา ติดตามตัวมามากมายปานใดก็ตามที แต่ก็ยังต้อง ยืนหยัดให้มั่นคงบนแผ่นดิน แผ่นดิน ในที่นี้ ท่านอุปมาดัง ศีล ซึ่งเป็นเครื่องรักษา ส่งเสริมปัญญาให้มั่นคง ศีลเป็นรากฐานของชีวิต ศีลทำให้เราอยู่ห่างไกลความเลวร้าย ชั่วผิดบาปหยาบช้าทั้งปวง ศีลทำให้เราตั้งมั่น และอาจหาญคงที่ ศีลทำชีวิตให้อยู่ดีมีสุข ท่านจึงเปรียบศีล เป็นดั่งแผ่นดินที่หนักแน่น มั่นคง และพร้อมที่จะก่อเกิด สรรพชีวิต สรรพวัตถุได้มากมาย ทั้งยังสามารถให้สรรพชีวิตทั้งหลาย ได้ยืนหยัดอยู่อาศัย อย่างมิต้องหวาดผวาหรือหวั่นไหว ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน จะต้องชำระศีลของตนให้บริสุทธิ์สะอาด เหมือนดังบุคคล ชำระแผ่นดินให้หมดจด เหมาะสำหรับที่จะใช้ยืน หรือทำการทั้งปวง………

    แม้จักมีศีล เป็นเครื่องประคับประคองปัญญาแล้วก็ตาม แต่ยังวางใจไม่ได้ว่า ปัญญาที่มี จะมากพอที่จะพึ่งพิงอิงอาศัย นำพาไปสู่สาระอันยิ่งใหญ่ในชีวิตได้ ท่านจึงกล่าวว่า ฉวยจับ อุปมาดั่งการค้นหาเพิ่มเติมสะสม อาวุธที่คม คือ”ปัญญาภายนอก”รอบๆกายตน ได้แก่ การศึกษาเล่าเรียน สดับตรับฟัง พิจารณา………..

    ด้วยมือ หมายถึง การทดลองทำด้วยตนเอง เพื่อให้แน่ใจว่า สิ่งที่ได้ศึกษาเล่าเรียน รับฟังมานั้น มีผลเป็นประการใด ถึงแม้ว่าจะมีปัญญาที่ได้มาจากการสะสมเพิ่มเติมแล้วก็ตามที แต่ก็ยังแน่ใจวางใจไม่ได้ว่า ปัญญาชนิดนี้จะพาตัวรอด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคัดเลือก ชำระล้าง ขัดเกลา พัฒนาปัญญาที่ได้ ซึ่งท่านเรียกว่า โลกียปัญญา ให้อยู่ในสถานะ อันเป็นที่พึ่งอาศัยได้อย่างแท้จริง และด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องพัฒนาลับปัญญา เครื่องลับนั้นท่านเรียกว่า หิน หมายถึง การมีสติอย่างจดจ่อจับจ้อง จริงจัง ตั้งมั่น จนกลายเป็นสมาธิ สองสิ่งนี้ถือได้ว่า มีคุณสมบัติในการขจัดขัดเกลา ชำระล้าง เกาะแกะ สรรพกิเลสทั้งปวง สรรพมลทินทั้งหลายที่แอบแฝงอยู่ในโลกียปัญญา ให้กลายเป็น โลกุตรปัญญาในทันทีทันใด ทำเดี๋ยวนี้ เห็นผลเดี๋ยวนี้ ทำเวลานี้ได้ผลทันที ได้ผลขณะที่ลงมือกระทำ จะดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด ใช้ได้หรือไม่ได้ วิธีนี้เราจะรับรู้ได้ด้วยตนเองในทันที วิธีนี้ดูจะเป็นเครื่องหนุนนำให้ผู้ปฏิบัติ เป็นคนหนักแน่นมั่นคงในความรู้ที่ตนได้รับ จากการกระทำแล้วเห็นผลเช่นนี้ จึงถือว่า เป็นปัญญารู้จริง มิใช่รู้จำ อีกทั้งยังทำให้ตนพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า ความรู้ที่มีหรือได้รับนี้ เป็นความรู้ที่ทำให้ตนเข้าถึงประโยชน์สูงสุดของการมีชีวิตหรือไม่ เช่นนี้จึงเป็น ปาริหาริกปัญญา คือปัญญาที่ทำให้ตนแน่ใจว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุดและได้ประโยชน์สูงสุด สำหรับสัตว์ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร……….

    แล้วมีความ เพียร หมายถึง การมีความรัก ความพอใจในสิ่งที่ตนกำลังกระทำ ถ้ายังไม่มี แต่คิดที่จะกระทำ จะด้วยความจำเป็นหรือจำยอมก็ตาม จักต้องพยายามสร้างความรัก ความพอใจในกิจกรรมการงานนั้นให้ได้เสียก่อน แล้วลงมือกระทำด้วยความเพียรพยายามอย่างจดจ่อ จริงจัง จับจ้อง ตั้งใจ พร้อมกับใช้วิจารณญาณ ปัญญา ใคร่ครวญ พิจารณา ด้วยความละเอียดถี่ถ้วนให้ถ่องแท้ เหล่านี้คือ อิทธิบาททั้ง 4 อันได้แก่ ฉันทะ(ความพอใจ) วิริยะ(ความเพียร) จิตตะ(ความเอาใจจดจ่อ) วิมังสา(การใช้ปัญญาใคร่ครวญพิจารณา)อันเป็นแม่บทในการกระทำ เป็นหัวใจของความสำเร็จทั้งปวง……….
    ประโยคที่ว่า ถางป่าที่รก ให้เตียนไป หมายถึง สรรพกิเลสทั้งปวง สรรพทุกข์ทั้งปวง สรรพภัยทั้งปวง จะขจัดชำระล้างทำลายลงไปได้ ด้วยอาศัยความเพียรพยายามอย่างยิ่ง และท้ายที่สุด ต้องมี อริยปัญญาอันยิ่ง จึงจะสามารถทำลายสรรพกิเลสทั้งปวง ที่ติดแน่นนอนเนื่องอยู่ในสันดานมาเนิ่นนานยาวไกลลงได้……….

    สรุป เมื่อเรามีปัญญาติดตัวมาแต่ปางก่อน ควรที่จักทำให้ปัญญานั้น ตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐาน คือ ศีลอันสมบูรณ์ อย่างไม่หวั่นไหว พร้อมทั้งเพิ่มเติม สะสม ปัญญานอกกาย แม้จะเป็น “โลกียปัญญา”ก็ตาม ถ้าผ่านกรรมวิธีในการตรวจสอบ ชำระล้าง ขัดเกลา พัฒนาอย่างละเอียดถี่ถ้วนสมบูรณ์ด้วย”สติ”และ”สมาธิ”(ลับด้วยหิน) โลกียปัญญานั้น ก็จักกลับกลายเป็น “โลกุตรปัญญา”ในฉับพลัน แต่ทั้งนี้กรรมทุกชนิด กิจทุกอย่าง ต้องกระทำด้วยความรัก ความพอใจ เพียรพยายาม
    บากบั่น อดทน อดกลั้น ด้วยความจับจ่อ จับจ้อง จริงจัง ตั้งใจ ด้วยการใช้”สติปัญญา”ใคร่ครวญ พินิจ พิจารณ์ อย่างถ่องแท้ และละเอียดถี่ถ้วน จึงจะประสบผลอันควรแก่การปฏิบัติ………

    ที่มา http://sites.google.com/site/snimnon/suksa-laea-ptibati-mha-sti-pat-than4-dwy-withi-thrrmchati-1
     
  13. กรรมบัลดาล

    กรรมบัลดาล สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +13
    อภิญญาญานนั้น
    ยิ่งไขว้คว้าแสวงหายิ่งห่างไกล
    ยิ่งวางยิ่งละทิ้งยิ่งเพิ่มขึ้น
    ยิ่งปราถนากลับเป็นกิเลสให้เกิดขึ้นในจิต
    วางลงเสีย ก็จะยิ่งบังเกิดขึ้น
    วางลงแม้กายหรือจิตที่เป็นอัตตานั้น
    จนละทิ้งอัตตาได้ พลังอันเกิดแก่อัตตาที่จะพยายามผูกเหนี่ยวรั้ง
    เช่นญานต่างๆกลับบังเกิดขึ้นเพื่อให้คนหลงในความเป็นอัตตานั้น

    ถ้าไม่สามารถก้าวไปถึงความรู้บรรทัดสุดท้ายที่พระองค์ได้สอนไว้ถึงญานที่
    จะกำจัดซึ่งกิเลสนั้น ก็จะติดหลงในญานต่างๆที่บังเกิด

    ยิ่งแสวงหายิ่งห่างไกล
    ยิ่งไม่ต้องการยิ่งกลับอยู่ไกล้แค่ปลายลมหายใจ
    อย่าท้อที่จะปฏิบัติเพียงแต่อย่าไปโลภให้บังเกิด
     
  14. กรรมบัลดาล

    กรรมบัลดาล สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +13


    ถือว่าสับสนทางจิตนั้น
    แม่ท่านกล่าวเกินไป

    พื้นฐานของการก้าวไปคือละทิ้ง
    ไม่สับสน ไม่ดื้อดึง ยอมรับ
    ถ้ามีปัญญาน้อย
     
  15. nai_tung

    nai_tung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +9
    เรื่องเล่าของฝรั่งเขาว่า
    ต้องช่วยเหลือตัวเองก่อน
    แล้วพระเจ้าจะช่วยท่าน

    ท่านที่ไม่พร้อมที่จะขับเคลื่อนก็ขออนุโมทนา
    ที่จะเตรียมจิตอย่างเดียว
    อย่าประเมินว่า คนที่เตรียมการทางด้านร่างกายภาพนั้น
    จะไม่ได้เตรียมทางจิตเลยนะครับ
    เหมือนหินตกลงมากและคำนวนวิถีทางการตกลงมา
    การขยับออกไปเพื่อพ้นทาง
    กับการอยู่เฉยๆแล้วบอกว่าไม่เป็นไร
    อย่างไงเด่ยวก็ตายทุกคน
    ผมไม่เห็นด้วยครับ
     
  16. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    คนที่เขาปฏิบัติธรรม เขาก็เตรียมตัวทางโลกเช่นกัน เตรียมตัวให้พอเหมาะพอควร

    โดยไม่ไปวิตกกังวลจนเกินไป จนเกินแก่เหตุ... เพราะทุกอย่างไม่เที่ยงทั้งนั้น

    เตรียมตัวให้พร้อมอย่างไร เมื่อถึงเวลาก็ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกัน หนีไม่พ้น

    สู้เตรียมตัวทางธรรมกันให้มากๆจะดีกว่า เพราะมีเพียงบุญกุศลเท่านั้น

    ที่จะติดตัวเรา และเป็นที่พึ่งของเราได้ตลอดไป...สาธุกับทุกๆท่าน ผู้ปฏิบัติธรรม


    หมายเหตุ เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธองค์ทรงสอนไว้แล้ว ตนเป็นที่พึ่ง แห่งตน ....ไม่ต้องรอให้ผู้หนึ่งผู้ใดมาช่วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 พฤศจิกายน 2011
  17. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ความกลัวตายของคนเราไม่เท่ากันนะ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามธรรม

    แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การทำใจให้ยอมรับความเป็นจริงให้ได้ว่า

    ความตาย ไม่มีใครหลบหนีได้พ้น ถ้าทำใจไม่ได้ ก็เป็นทุกข์...

    การเตรียมการให้พร้อมในทางโลก เพื่อรับภัยพิบัติที่จะมาถึง

    ผมก็เห็นดีด้วย เป็นการไม่ประมาท(แต่ควรทำให้พอเหมาะพอควร)

    และอยากบอกว่า อย่าลืมทางธรรมนะ ให้เตรียมพร้อมทางนี้ไว้ด้วย

    ส่วนใครเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ ก็ไม่เป็นไร นะครับ

    ขอให้ทุกท่านโชคดี...
     

แชร์หน้านี้

Loading...