นิพพาน ในอุดมคติของคุณเป็นอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นายเมธี12, 28 พฤษภาคม 2009.

  1. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    อนุโมทนาครับ แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ลองขอบารมีพระท่านเวลาวาดภาพหรือจินตนาการออกมาด้วยซิครับ

    เพราะว่าแค่เห็นแว้บเดียว ความรู้สึกจะได้แทรกซึมลงสู่จิตของผู้ที่เห็นภาพจ้า ไม่ต้องฝึกสมาธิหรอก

    แค่คนทั่วไปๆ เห็นก็สะท้านแล้วจ้า
     
  2. บุคคลไปทั่ว

    บุคคลไปทั่ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +106
    เหตุผลนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำ ลุยเลยครับอนุโมทนาด้วย ข้อความที่ผมเคยโพสไปผมไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ ท้วงติงท่านมาโกโต๊ะเลยนะครับ ผมก็พล่ามไปตามการตกผลึกของอวิชชา เหอ เหอ...ก็ท่านมาโกโต๊ะถามสภาวะนั้นในอุดมคตินี่ ( แซวเล่น )

    ถ้าภาพนิพพาน ยังทำได้ยากหรือมีฟีดแบ็กกลับมาเยอะ เพราะขึ้นรูปแล้วค่อนๆ ไปในทางสวรรค์ ก็เอาเป็นเสียงพากย์ก็ได้นี่ครับ ชี้ให้เห็นความยาวนานของสังสารวัฎ ชี้ให้เห็นคุณโทษของสุขคติ และ ทุกคติ ซี้งทั้งสุขคติและทุกคติ สลับเปลี่ยนกันตลอดหาความปลอดภัยอะไรได้ไม่ ถ้ามีความประมาทเหตุจากความไม่รุ้หยั่งลงไปถึง ก็ว่ากันไป ลุยเลยนะครับ เฉพาะผลตอบรับที่ทำให้ผู้ชมเกิดความละอายต่อบาปนี่ก็สุดยอดแล้วนะครับ สุดยอด สุดยอด..........เสร็จแล้วอัพโหลดมาให้ชมบ้างเน้อ
     
  3. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อ่อ เปล่าหรอกคับ คือ ผมก็ไม่ได้ว่า คุณ บุคคลทั่วไปว่า ปรามาสหรอกนะครับ ต่างคนต่างความคิด ดีซะอีกข้อติติงนั้นมันทำให้เราปรับปรุงตัวได้ดีขึ้น เป็นแรงส่งและผลักดันได้ดีไม่แพ้กำลังใจเลยทีเดียว เผอิญผมเป็นคนที่มีความคิดที่ผมเองบางครั้งยังตามไม่ทัน คือ สื่อออกมาให้คนอื่นเข้าใจได้ยาก หรือผมสื่อออกมาให้คนอื่นเข้าใจแต่เข้าใจไปอีกแบบนึง ต้องมาขยายความต่ออีกที ขนาดตัวผมเองบางทียังไม่เข้าใจตัวเองเลยครับ ^^; อ่อ ส่วนเรื่องทำหนังหรือ เกมส์นั้น พอดีผมเป็นพวกกราฟิก ออกแบบดีไซด์ และ ทำด้าน 3d ชอบด้านนี้อยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากเลย ครับ ^^;
    ขอบคุณมากๆครับและอนุโมทนาครับผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤษภาคม 2009
  4. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=wowPTS16kHg"]YouTube - vdotank1[/ame] นี่เป็นผลงานผมเองไม่ค่อยเอามาโชว์ให้ใครดูเท่าไหร่คับ เพราะมันดูราวกับว่าผมขี้โม้โอ้อวดสรรพคุณ หรือบางท่านอาจจะปรามาสผมหรือว่าผมเป็นคนขี้โม้ (โดนว่าเป็นประจำ ^^;) ก็เลยเป็นคนเฉยๆ ^^; แต่ที่เว็บพลังจิตนี้เป็นที่ๆผมคุ้นเคยก็เลยนำมาให้ดูกันครับ ผมก็ลองออกแบบดู เป็นรองเท้าของเด็กๆ น่าจะเป็นของเด็กผู้ชายๆนะ ที่ชอบอะไรประมาณทหาร รถถัง อะไรยังงี้ครับ เผื่อเด็กๆที่ใสแล้วพอโตขึ้นกลับมามองดูรองเท้าคู่นี้ นึกถึงความฝันในวัยเด็กแล้วอยากเป็นทหารช่วยชาติบ้านเมืองและก็ศาสนาในอนาคตก็เป็นได้คับ อิอิ ^^;

    (ภาพอาจจะไม่ชัดนะครับเพราะต้นฉบับคมชัดสวยมากแต่มันไฟล์ใหญ่ครับอัพลงไม่ไหว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤษภาคม 2009
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    สวยคับสวย
     
  6. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96

    ...ขอข้อมูลอ้างอิงหน่อยได้ไหมครับ..

     
  7. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    เป้าหมายกับ แนวทางการปฏิบัติมันขัดแย้งกันคับ ตอนนี้ผมพอจะรู้ช่องโหว่จุดที่มันไม่ใช่ คือ สิ่งที่ผมคิดอยู่นี่ ผมบ่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ผมก็คงต้อง งดการทำพระนิพพานที่เป็นรูปธรรม ให้พวกเราๆท่านๆปฏิบัติกันต่อไปเอง กระผมขอแค่เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ผุ้คนหันมาปฏิบัติธรรมส่วนอีกครึ่งทางควรจะปฏิบัติและพบเห็นด้วยตัวเอง แบบนี้ จะดีกว่าครับ เพราะ มันจะขัดแย้งกันมากไป เจตนาผม กับ ขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คืออยากให้ทุกคนพ้นทุก เป้าหมายเดียวกัน แม้กระทั้งผมก็อยากจะพ้นทุข แต่ผมก็น้อมรับ ^^; ที่จะรับฟัง ว่า ควรมิควร ขอรับ เอาเป็นว่า ทำแค่ ที่สูงที่สุดสวรรค์ชั้นพรม เท่านั้น และที่ล่างสุดก็มหาขุมนรก พอก็แล้วกันครับ เพราะ เจตนาผมอยากให้คนมาปฏิบัติธรรมเยอะๆ แต่คงจะขัดกับความเป็นจริงมากไป ขอบคุณคับ สำหรับคำแนะนำดีๆ

    ขออภัยที่ผมเอยถึงท่านองค์พระพุทธเจ้า ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ข้าพจ้าทำสำเร็จทีเถิ๊ดดดดด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤษภาคม 2009
  8. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96





    ..มหาสติปัฏฐานสูตร ..



    [๖๘๗] พ. ดูกรภิกษุ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอจงยังเบื้องต้นในกุศลธรรมให้บริสุทธิ์ก่อน
    เบื้องต้นของกุศลธรรมคืออะไร?
    คือ ศีลที่บริสุทธิ์ดี และความเห็นตรง
    เมื่อใด ศีลของเธอจักบริสุทธิ์ดี และความเห็นของเธอจักตรง
    เมื่อนั้น เธออาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ โดยส่วน ๓





    [๒๗๓]
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ ชื่อว่า
    กัมมาสทัมมะ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาค
    ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อ
    ความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญ
    แห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
    หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ๔ ประการ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
    มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
    มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
    พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ
    โทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
    มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ






    [๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
    อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
    พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ ปี
    ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๖ ปี ... ๕ ปี ... ๔ ปี ... ๓ ปี ...
    ๒ ปี ... ๑ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลใน
    ปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๑ ปียกไว้ ผู้ใดผู้
    หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
    อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่
    เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ เดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้
    ตลอด ๖ เดือน ... ๕ เดือน ... ๔ เดือน ... ๓ เดือน ... ๒ เดือน ... ๑ เดือน ... กึ่ง
    เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน
    ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง
    พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใด
    อย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็น
    พระอนาคามี ๑ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่า
    สัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส เพื่อ
    บรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔
    ประการ ฉะนี้แล คำที่เรากล่าว ดังพรรณนามาฉะนี้ เราอาศัยเอกายนมรรคกล่าว
    แล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ยินดี ชื่นชมภาษิต
    ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนี้แล ฯ


    <CENTER>จบมหาสติปัฏฐานสูตร ที่ ๙</CENTER>











    ...ใช่พระสุตรที่ยกขึ้นมาหรือเปล่าครับ..

    ...ในนี้ทรงกล่าวกับภิกษุนี่ครับ..

    ...แล้ว ฌาณ4 นี่มาจากไหนครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2009
  9. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96

    ...บิดเบือนคำสอนพระพุทธเจ้า..


    ...ล่วงเกินพระอรหันต์..


    ...กรรมหนักเหลือเกิน..


    ...ขอขมาพระรัตนไตรด้วยนะครับ..


    ...ทางผมจะช่วยแผ่เมตตาไปให้..สัตว์โลกผู้หลงผิด..


    <TABLE id=AutoNumber1 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top><CENTER><TABLE id=AutoNumber2 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">
    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE width="75%" border=1><TBODY><TR><TD>



    คำขอขมาพระรัตนตรัย


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ



    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง


    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ


    (ถ้าหลายคนว่า.....ขะมะตุ โน ภันเต, ฯลฯ....


    ขะมะตุ โน ภันเต , อุกาสะ ขะมามะ ภันเต ฯ )





    หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ


    พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้


    ก็ดี ด้วยทางกายหรือวาจาก็ดี และด้วยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จ-


    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย


    และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ ฯ


    จากหนังสือสวดมนต์แปล

    วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี



    .</B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  10. ธาตุ 4

    ธาตุ 4 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2009
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +110
    ที่ผมอ่านในคำสอนในพระไตรปิฏกนะ
    นิพพานคือ การไม่มีการมาการไปต่อไป
     
  11. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ถ้าอย่างนั้นผมก็บิดเบือนคำสอนเหรอครับเนี๊ยะ T^T เดี๋ยวนี้เห็นเจ้าอาวาส พกมือถือกันเยอะแยะ เพื่อสะดวกในการติดต่อ ตามโลกทันเทคโนโลยี ผมจะผิดและบิดเบือนรึเปล่าล่ะคับเนี่ย T^T
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 พฤษภาคม 2009
  12. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ผมฝึกมโนอยู่ครับ (ฤทธิ์ทางใจ) แต่ เราเห็นผ่านทางจิตแต่เจตนาผมจะสื่อให้คนที่มีความชั่วกิเลสยังมีมากมาบดบังทำให้มองไม่เห็นในสิ่งที่สวยงามที่ดีงามเมื่อทำตัวดีและที่ๆหมองมัวน่าเกลียดน่ากลัวเมื่อได้ทำความชั่ว และทำให้ผู้คนนั้นๆได้เห็นและก็จะตระหนักถึงกรรมที่ได้ทำไปไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว
     
  13. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96



    จาก หนังสือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน

    คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    อุปสมานุสติกรรมฐาน อุปสมานุสสติแปลว่า ระลึกคุณพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตามศัพท์ ท่านน่าจะแปลว่า ระลึกถึงคุณของความเข้าใจ ไปสงบระงับจิต จากกิเลสและตัญหา ก็คือการเข้าถึงพระนิพพานนั่นเอง ท่านแปลว่า ระลึกถึงคุณพระนิพพานนั้น เป็นการแปลโดยอรรถ ท่านแปลของท่านถูกต้องและเหมาะสมแล้วที่เขียนแล้ว ที่เขียนถึงคำว่าสงบระงับไว้ด้วยก็เพื่อให้เต็มความประสงค์ของนักคิดเท่านั้นเอง
    ระลึกตามแบบ
    ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านเป็นพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ (ใครไม่ทราบว่าปฏิสัมภิทาญาณเป็นอย่างไรโปรดไปดูที่สายการปฏิบัติทั้ง ๔ นะครับ) ท่านอธิบายถึงการระลึกถึงคุณพระนิพพาน โดยท่านยกบาลี ๘ ข้อไว้เป็นแนวเครื่องระลึก ดังจะนำมาเขียนไว้เพื่อเป็นเครื่องอุปกรณ์ในการระลึกดังต่อไปนี้

    บาลีปรารภพระนิพพาน ๘




    ๑. มทนิมฺมทโน แปลว่า พระนิพพานย่ำยีเสียซึ่งความเมา มีความเมาในความเป็น คนหนุ่ม และเมาในชีวิต โดยคิดว่าตนจะไม่ตายเป็นต้น ให้สิ้นไปจากอารมณ์ คือคิดเป็นปกติเสมอว่า ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน โลกนี้ทั้งสิ้น มีความฉิบหายเป็นที่สุด

    ๒. ปิปาสวินโย แปลว่า พระนิพพาน บรรเทาซึ่งความกระหาย คือความใคร่กำหนัด ยินดีในกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และการถูกต้องสัมผัส

    ๓. อาลยสมุคฺฆาโต แปลว่า พระนิพพาน ถอนเสียซึ่งอาลัยในกามคุณ ๕ หมายความ ว่า ท่านที่เข้าถึงพระนิพพาน คือมีกิเลสสิ้นแล้ว ย่อมไม่ผูกพันในกามคุณ ๕ เห็นกามคุณ ๕ เสมือน เห็นซากศพ

    ๔. วัฏฏปัจเฉโท แปลว่า พระนิพพาน ตัดเสียซึ่งวนสาม คือ กิเลสวัฏได้แก่ ตัดกิเลส ได้สิ้นเชิง ไม่มีความมัวเมาในกิเลสเหลืออยู่แม้แต่น้อย กรรมวัฏ ตัดกรรม อันเป็นบาปอกุศล วิปากวัฏ คือตัดผลกรรมที่เป็นอกุศลได้สิ้นเชิง

    ๕. ตัณหักขโย, วิราโค, นิโรโธ แปลว่า นิพพานธรรมนั้น ถึงความสิ้นไปแห่ง ตัณหา ตัณหาไม่กำเริบอีก มีความหน่ายในตัณหา ไม่มีความพอใจในตัณหาอีก ดับตัณหาเสียได้สนิท ตัณหาไม่กำเริบขึ้นอีกได้แม้แต่น้อย

    ๖. นิพพานัง แปลว่า ดับสนิทแห่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรมอำนาจทั้ง ๔ นี้ ไม่มี โอกาสจะให้ผลแก่ท่านที่มีจิตเข้าถึงพระนิพพานแล้วได้อีก

    ตามข้อปรากฏว่ามีเพียง ๖ ข้อ ความจริงข้อที่ ๕ ท่านรวมไว้ ๓ อย่าง คือ ตัณหักขโย ๑ วิราโค ๑ นิโรโธ ๑ ข้อนี้รวมกันไว้เสีย ๓ ข้อแล้ว ทั้งหมดจึงเป็น ๘ ข้อพอดี ท่านลงในแบบว่า ๘ ก็เขียนว่า ๘ ตามท่าน ความจริงเมื่อท่านจะรวมกัน ท่านน่าจะเขียนว่า ๖ ข้อก็จะสิ้นเรื่อง
    เมื่อท่าน เขียนเป็นแบบมาอย่างนี้ ก็เขียนตามท่าน
    ท่านสอนให้ตั้งจิตกำหนดความดีของพระนิพพานตามในบาลีทั้ง ๘ แม้ข้อใด ข้อหนึ่งก็ได้ ตามความพอใจ แต่ท่านก็แนะไว้ในที่เดียวกันว่า

    บริกรรมภาวนาว่า "นิพพานัง" นั่นแหละดีอย่างยิ่ง ภาวนาไปจนกว่าจิตจะเข้าสู่อุปจารฌาน โดยที่จิตระงับนิวรณ์ ๕ ได้สงบแล้วเข้าถึงอุปจารฌานเป็นที่สุด กรรมฐานนี้ ที่ท่านกล่าวว่าได้ถึงที่สุดเพียงอุปจารฌานก็เพราะเป็นกรรมฐานละเอียดสุขุม และใช้ อารมณ์ใคร่ครวญเป็นปกติ กรรมฐานนี้จึงมีกำลังไม่ถึงฌาน


    ที่มา

     
  14. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    <quote>...สิ่ง สิ่งหนึ่งอันบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ นั้นมีอยู่ ในสิ่งนั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ ในสิ่งนั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่สามารถหยั่งลงได้ ในสิ่งนั้นแหละ นามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ นามรูปดับสนิทในสิ่งนี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ ดังนี้แล</quote>

    ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๙/๔๖๖/๔๓๑ เกวัฏฏสูตร

    <quote>ภิกษุทั้งหลาย สิ่งนั้นมีอยู่ เป็นสิ่งซึ่งในนั้นไม่มีดิน ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีลม ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญานัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น ไม่ใช่ดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์</quote>
    ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีอันเดียวกับสิ่งนั้น เราไม่กล่าวว่ามีการมา เราไม่กล่าวว่ามีการไป ไม่กล่าวว่ามีการหยุด ไม่กล่าวว่ามีการจุติ ไม่กล่าวว่ามีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นมิได้ตั้งอยู่ สิ่งนั้นมิได้ดับไป และสิ่งนั้นมิใช่อารมณ์ นั่นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์

    ขุททกนิกาย อุทาน ๒๕/๗๑/๒๔๒-๒๔๓ ปฐมนิพพานปฏิสังยุตตสูตร

    “สิ่งนั้น”

    <quote>โอ้ สิ่งนี้ช่างประเสริฐจริงหนอ
    ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือแตกแยก
    นอกเหนือจากกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
    ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยกาละเวลา
    ไม่มีใครหรือธรรมชาติอันใด
    ที่จะเข้าไปเกี่ยวและยึดถือ
    ช่างไม่รู้จะสรรหาสิ่งใดเข้าไปเปรียบเทียบ
    ทั้งไม่สามารถบรรยายเป็นภาษาพูดได้
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
    แม้กาละเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนไป
    ตราบนาน เท่านาน แสนนาน
    ทว่าสิ่งนี้ก็หาได้แปรเปลี่ยนไปตามไม่
    ไม่มีใครที่จะอาจเอื้อมเข้าไปแตะต้องได้แม้แต่น้อย
    ถึงขุนเขาจะละลาย แม่น้ำจะเหือดแห้งไป
    แต่สิ่งนี้ก็ยังคงดำรงสภาพของมันอยู่
    คงฟ้า คงดิน คงจักรวาล
    ไม่มีใครจะร้องเรียกหรือตั้งชื่อมันได้
    ไม่มีคนที่จะเข้าไปรู้เห็นมัน
    ไม่อาจที่จะเข้าไปยึดถือว่าเป็นของคนนั้นคนนี้
    โอ้ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้
    ถึงแม้กฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติจะไหลเรื่อยไป
    ทุกขณะของกงล้อแห่งกาละ
    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย
    อยู่แล้วๆ เล่าๆ
    แต่สิ่งนี้ก็ยังคงสภาพเดิมของมัน
    ช่างไม่รู้ร้อน รู้หนาว รู้เปลี่ยนแปลงจริง
    ฉันไม่รู้จะร้องเรียกสิ่งนั้นว่าอย่างไร
    เพราะมันมิได้อยู่ใต้กฎแห่งธรรมชาติและสมมุติบัญญัติ
    หรือกฎเกณฑ์ขอบข่ายของอะไรทั้งสิ้นในอนันตจักรวาลนี้</quote>

    รัตน์ รตนญาโณ
    ๑ กันยายน ๒๕๑๕


    สิ่งนั้น | gumara
     
  15. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมไม่แน่ใจนักนะครับ แต่คาดว่าสภาวะที่ว่านิพพานนี้ไม่ควรจะมีรูป อารมณ์ ไม่น่าจะมีการปรุงแต่งใดๆเกิดขึ้นได้ เพราะว่าไม่มีเหตุอันใดหรือความจำเป็นใดต้องมีรูป หรืออาจจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้แต่ไม่ยึดติด แต่ถ้าเป็นดังแบบหลังไม่มีเลยน่าจะดีกว่าตามความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ลองไล่ดูตามลำดับการอาสวะกิเลส รูป นาม สัญญา อะไรต่อมิอะไร ก็ถูกกำจัดสิ้น ไม่รู้สิครับลองพิจารณาต่อกันดู
     
  16. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    นิพพาน เหรอนั่น??....ฮื่อ
    อ่านแล้วก็สะท้อนได้หลายๆด้านอย่างหลายๆท่านตอบมาในกระทู้นี้
    แต่ถ้าคิดในแหง่ดีเป็นกุศลก็ถือว่าเป็นการให้ทานธรรม แต่ก็อีกนั่นแหละ
    หากผู้ให้ธรรมทานนั้นให้ในทางที่ผิดก็ย่อมเป็นเหตุก่อให้เกิดผลซึ่งจะตามมานั้นผิดไปด้วย
    ในที่นี้ไม่ได้เอาแต่ ถูกกับผิด หรือ ชอบ หรือ ไม่ชอบ นะครับ

    คำที่ขีดเส้นใต้ไว้นั้น ประโยคอยู่ในสังโยชน์3 ข้อแรกเลย..
    การบรรลุธรรมไม่จำเป็นต้องให้ใครๆมาการันตี หรือ ยืนยัน รับรอง อะไรเลย
    มันอยู่ที่ว่าเรารู้ด้วยตัวเราเอง หมดข้อสงสัยแล้ว
    ความรุ่มหลงงมงายจนปัญญานั้นขาดหายหรือเจือจางลงบ้างหรือยัง เราก็รู้
    ความถือเนื้อถือตัวความทรงหยิ่งยะโสล่ะเป็นอย่างไรบ้าง เราก็รู้
    ความลังเลสงสัยในอะไรๆ มันสดใสมั่นใจแน่วแน่ขึ้นหรือไม่อย่างไร เราก็รู้

    ฉนั้นควรตัดสิ่ง(ถ้าเป็นไปได้นะครับ)ที่เกิดจากความคิด คาดเดา อุปทาน ออกได้ก็จะยิ่งเข้าใกล้มากขึ้นๆ
    เหมือนดังแก๊สน่ะ แก๊สมันหมดไฟมันก็ไม่ติด เพราะมันไม่มีเชื้อให้ติด หรือ เมื่อเหตุที่จะก่อให้ไฟอีก มันไม่มีแล้ว จึงเรียกว่าหมดไฟแล้ว หมดทุกข์แล้ว

    เราทุกคนก็ทำในสิ่งที่เอนไปในทางดับ (ไม่ใช่ตายนะ)
    ก็ควรลองพิจารณาว่ากิเลส ตัณหา อุปาทาน ความเขลาอวิชชา ของเราน่ะ เราทำมันให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้น ?

    อริยะสัจ4 มันมีอะไรบ้าง

    อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา มันเป็นยังไงกันแน่ ควรพิจารณาตรงนี้ให้มากๆ
    เพราะบางท่านยังติดที่กรรมฐานหลวงไปกับ กิเลส ที่ส่งขึ้นมาจากก้นเหวของจิตใต้สำนึกพร้อมกับสภาวะธรรมที่พิศดารในสมาธิ จนหลงเผลอ หลุดออกไปติดอยู่กับอีกโลกนึงซะส่วนใหญ่
    จากนั้นมันก็จะมากับ ตัวกู ของๆกู ตามลำดับ..

    การปฏิบัติธรรมเราก็ปฏิบัติเพื่อยกระดับสติปัญญา ก็ควรใช้ปัญญานี่เปิดทางให้หลุดออกจาก ความถือเนื้อถือตัว ความลังเล ความโง่งมงาย ทั้งหลายทั้งปวงนี้ให้สิ้นซากเฉียบขาด หมดเยื่อใย เพื่อสู่กระแสแห่งพระนิพพานด้วยเถิด
    จงอย่าหลงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่จริงอยู่อีกต่อไปเลย


    อนุโมทนาครับ
     
  17. สกลพล

    สกลพล สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +0
    น่าจะเป็นภาวะที่มีอาการรับรู้เหมื่อนตื่นอยู่เสมอไม่มีการหลับและไม่มีสิ่งที่รบกวนเป็นตัวเองได้แม้แต่วัญตสงสารและโอขสงสารไม่มีดีไม่มีชั่วแหมือนข้อมูลที่ไม่มีวันลบ
     
  18. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ตอบจขกท.นะครับ

    ถ้านิพพานมันง่ายขนาดที่วาดแล้วเข้าใจเนี่ย คงไม่ต้องรอพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้หรอกมั้งครับ ขนาดพระพุทธเจ้ายังต้องเลือกคนที่จะเทศน์ให้ฟังเลย แล้วนับประสาอะไรกับพวกเรา

    ส่วนเรื่องนรกสวรรค์ก็ยังโอเค วาดได้ ง่ายหน่อย

    เรื่องวาดรูปนิพพาน ไ่ม่ได้ว่านะครับ เอาเวลาไปปฏิบัติธรรมะก่อนไหม แล้วค่อยเหลือผู้อื่น เพราะหากเราก็ยังหลงทาง แล้วยัง พาคนอื่นหลงทาง นี่ ยิ่งบาปนะครับ แม้หวังดีคิดจะช่วยก็ตามเถอะ แต่สุดท้ายคุณก็พาเขากับเราไปหลงทางด้วยกัน ก็ไม่ช่วยจะดีซะกว่่า เพราะ ยังมีคนอื่น ที่ช่วยเขาได้อยู่ ถ้ารู้ไม่จริง วางอุเบกขาดีกว่าไหม

    เอาเวลาไปปฏิบัติสติปัฎฐานก่อนดีไหม จนตัวเองได้ค้นพบทางสว่าง แล้ว จะมาช่วยคนอื่นก็ไม่สายนะครับ

    อย่าคิดว่ามีเวลามากนะครับ ในการปฏิบัติ มันช่างสั้นนักนะครับ ที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเจอพระพุทธศาสนา

    ต่างคนต่างเดา ก็ไม่ต่างอะไรกับ เตี้ยอุ้มค่อม หรือ ตาบอดคลำช้างหรอกครับ
     
  19. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257

    ก็ไอ้ที่คุณเห็น ไม่ใช่พระรัตนตรัย ยังไงละครับ

    คำว่า พระรัตนตรัย ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คือ พระพุทธ(พระพุทธเจ้า)
    พระธรรม และ พระสงฆ์

    คำว่าพระสงฆ์ ที่บัญญัติจริงๆ หมายถึง พระอริยสงฆ์เท่านั้นนะครับ ไม่ได้หมายถึง พระสมมุติสงฆ์ ที่เราเห็นเกลื่อนกลาดทั่วไป

    ที่เราเห็นเกลื่อนกลาด ทำผิดพระวินัย ไม่ใช่สงฆ์นะครับ เป็นแค่สมมุติสงฆ์
    (ส่วนที่หุ้มจีวรสีเหลือง แล้วทำผิดพระวิันัยร้ายแรง มันก็ไม่ใช่แม้แต่สมมุติสงฆ์ เพราะ มันปราชิก ตั้งแต่มันทำผิดข้อบัญญัติพระวินัยแล้ว เพียงแต่ยังแต่งตัวคล้ายสงฆ์เท่านั้น

    การเป็นชาวพุทธที่ดี ควรเริ่มศึกษา แก่นของศาสนา และ เข้าใจศาสนา

    มิฉะนั้น คุณก็ไ่ม่ต่าง อะไร กับ เจ้าอาวาส ถือมือถือ ที่คุณยกตัวอย่างหรอกครับ

    ก็คือ ไม่เข้าใจ ถึงแก่นของศาสนาที่แท้ จริง และ ก็ทำผิด มีความเชื่อผิด

    ก็คิดแบบนี้แหละ ศาสนาถึงแย่ลงทุกวัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2009
  20. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ส่วนที่บอกว่า ปฏิบัติ ฝึก มโน ละก็ บอกได้เลย ถ้าทำแบบนี้ไม่มีทางชาตินี้ จะได้นิพพาน เพราะแค่คิดจะฝึก มันก็เป็นกิเลสแล้ว แต่คุณก็ยังไม่รู้

    ไ่ม่ได้พูดแรง คุณเป็นศิษย์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กรุณาใช้ปัญญาพิจารณานิดนึงนะครับ

    หลวงพ่อฝึก มโน ก็จริง ได้ อภิญญาก็จริง แต่กรณีของหลวงพ่อเป็นกรณียกเว้นนะครับ ที่ท่านบรรลุอรหันต์ได้เพราะ สมเด็จองค์ปฐมท่านสอนหลวงพ่อ เป็นกรณีพิเศษ เนื่องจาก เป็นสัญญาที่หลวงพ่อให้ไว้ กับ องค์ปฐม ก่อนจะมาเกิด เป็นข้อแลกเปลี่ยกัน

    ก็คิดดูขนาดบารมีอย่างหลวงพ่อยังต้องให้องค์ปฐมมาสอนเลย แล้วนับประสาอะไรกับพวกเรา

    ถ้าคุณเป็นศิษย์หลวงพ่อจริง น่าจะรู้ประวัติตรงนี้นะครับ หรือว่าไม่เคยทราบ

    ส่วนตัวผมไม่ได้แอนตี้หลวงพ่อ เลย ตรงกันข้ามเคารพดังเช่นพระอริยเจ้า (ในบ้านมีหนังสือหลวงพ่อเต็มไปหมด) แต่ ควรจะใช้ปัญญาพิจารณา ด้วยสิครับ อย่าสักแต่ว่า ทำทำ ไม่มีเหตุผล

    ดังนั้นศิษย์หลวงพ่อรุ่นหลัง นำคำสอนของหลวงพ่อมาแปลผิดๆ เยอะมาก เพราะสักแต่ว่าทำๆ ไม่คิดหาเหตุผล

    อย่างไร ซะ ก็ต้องอ้างอิง พระไตรปิฎก ซึ่งเป็นพุทธวัจนะโดยตรงของพระพุทธเจ้า อันไหนไม่ตรงกับพระไตรปิฏก ก็ต้องไตร่ตรองดูแล้ว ว่าจริงหรือไม่

    ถึงแม้ว่าหลวงพ่อจะมีบารมีมากมาย แ่ต่ก็ยังไม่เท่าพระพุทธเจ้า ปัญญาไม่เท่าพระพุทธเจ้า

    อย่างไรก็ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าก่อน

    พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกเลยว่า ให้ปฏิบัติจนได้ฌานก่อน ได้อภิญญาก่อน ถึงจะบรรลุนิพพานได้ ไม่มีเลย
    ถึงทำได้ฌาน ก็ใช้แค่ ฌาน 2 ก็พอ

    มัคคสูตร ว่าด้วยทางไปอันเอก
    อ้างอิง
    [๘๒๐] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งหนึ่ง เมื่อแรกตรัสรู้ เราอยู่ที่ควงไม้
    อชปาลนิโครธ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลา เมื่อเราหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ ได้เกิดความ
    ปริวิตกขึ้นในใจอย่างนี้ว่า:-
    [๘๒๑] ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความ
    โศกและความร่ำไร เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำนิพพาน
    ให้แจ้ง ทางนี้ คือ สติปัฏฐาน 4
    <!--QuoteBegin--><!--QuoteEBegin-->

    ยังพอจะเข้าใจใช่ไหมครับ ว่าทางเอก แปลว่าอะไร เป็นทางหนึ่งไม่มีสอง จึงเป็นทางเดียวเท่านั้นในการถึงนิพพาน

    ไม่แปลก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศาสนาพระองค์จะเสื่อมลง เรื่อยๆ

    (ที่เสื่อมไม่ได้เพราะ ไม่มีคนนับถือศาสนาพุทธหรอกครับ ยังมีคนนับถือศาสนาพุทธอยู่ แต่สักๆแต่ว่านับถือแต่ชื่อ ไม่ได้เข้าใจถึงแ่ก่น จนแก่นของศาสนาไ่ม่มีผู้รู้ต่างหาก คราวนั้นจึงเป็นจุดวิบัติของศาสนาพุทธ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...