นิพพาน คือ เหมือนในหนัง ไซอิ๋ว ใช่ไหม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย pakung, 17 เมษายน 2008.

  1. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    ความจริง ที่สุดก็คือเรากลายเป็นความจริงนั่นแหละ
    ในเมื่อทุกสพรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็น รูป นาม มีสภาพ
    เป็นพลวัต คือเคลื่อนที่ไปเรี่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่จิตเรา
    เอง เมื่อใดที่หยุด เมื่อนั้นเราก็จะสัมผัส ความจริง
    เพราะความจริง เป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่ เคลื่อน ไม่แปร
    เปลี่ยน เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกับความจริง ไอ้คำว่ารู้
    รึว่าเข้าใจ ก็ไม่มีความหมาย
     
  2. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    มันไม่แตกต่างกับวิทยาศาสตร์ แต่ต้องมีการพิสูจน์เห็นผล และข้อเท็จจริง

    แต่ เมื่อ วิทยาศาสตร์ พิสูจน์ไมได้ บางเรื่อง คุณก็เอาศาสตร์ของคุณมา

    อธิบาย บอกว่าไม่มี ง่ายไหม
     
  3. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    รู้ก็รู้สิ รู้คำตอบ

    เข้าใจก็คือเข้าใจ เข้าใจ ต่างๆ จากการ วิเคราะห์ในแต่ละจุด ให้เข้าใจ ว่า มาจากไหน อย่างไร



    ความจริง ทุกอย่างก็จริง
     
  4. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    ตอบแบบนี้ก็เหมือนเด็กตอบน่ะปะคุง
     
  5. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    ไอ้ตอบแบบนี้นะสู้เงียบไปเลยดีกว่ามั้ง ไม่ได้แสดง
    เหตุและผลอันใดทั้งสิ้น เหมือนคนที่เฃื่ออะไรอย่าง
    งมงาย แล้วคิดว่าคนอื่นงมงาย
     
  6. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    อะไร แล้วให้ทำไง รู้กับเข้าใจก้ต่างกันอยู่แล้ว

    คุณจะมาบอก ให้เข้าใจ มัน ต่างกับรู้


    เรียน รู้ เข้าใจ
     
  7. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    มีเหตุ ย่อมมีผล

    มีผล ก็ย่อมมีเหตุ

    มนุษย์ที่เกิดมาเป็นผล

    คำตอบ ก็คือเหตุว่ามนุษย์ มาจากไหน
     
  8. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    ถ้ามีผู้ไม่รู้ในสิ่งหนึ่ง วันหนึ่งผู้ไม่รู้กลายเป็น
    สิ่งที่ไม่รู้นั้น ถามว่าผู้ไม่รู้นั้น เขาจะ"รู้"รึว่า
    "เข้า"ใจในสิ่งที่เขาเคยไม่รู้ในสิ่งนั้น
     
  9. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    รู้อะไร รู้ สิ่งที่อยู่ในตัวเอง หรือ สิ่งนอกตัว

    ข้างในเรามีอะไร เรามาจากไหนเรา ยังไม่รู้เลย

    สิ่งต่างๆ มันก็คงไม่มีใครรู้
     
  10. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    รู้ซิคะ เพราะว่า ท้ายที่สุดเขาก็จะรู้ว่า เขาไม่รู้อะไรเลย

    นั้น คือ รู้ตนเอง
     
  11. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    เหตุที่เราต้องใช้คำว่ารู้ รึว่า เข้าใจ เพราะเรารู้สึก
    แปลกแยกไปจากสิ่งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นรูป
    รึว่า เป็น นาม แต่ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด
    อุปมาน้ำในแก้ว กับน้ำใน อ่าง ต่างก็รู้สึกสงสัย
    ซึ่งกันและกัน แต่ถ้าเทน้ำทั้งใน แก้ว และในอ่าง
    ลงในมหาสมุทร ความแปลกแยกแตกต่างก็จะหมดไป
    แล้วจะให้รู้ รึว่า เข้าใจ ดีล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2008
  12. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    อีกและรู้ว่า ไม่รู้ ก็คือไม่รู้

    พูดให้ยืดยาวก็ไม่รู้




    มีเหตุ มีผล

    รู้คำตอบคือผล ในอนาคต

    รู้เหตุก็คือรู้จากผลว่า อะไรเป็นเหตุ
     
  13. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    เหตุที่เราต้องใช้คำว่า รู้ รึว่า เข้าใจ เพราะ

    เรารู้สึกแปลกแยก

    ไปจากสิ่งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น รูป รึว่า เป็น นาม

    แต่ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวทั้งหมด

    อุปมาน้ำในแก้ว

    กับน้ำใน อ่าง

    ต่างก็รู้สึกสงสัย

    ซึ่งกันและกัน

    แต่ถ้าเทน้ำทั้งใน แก้ว และในอ่างลงในมหาสมุทร

    แปลกแยกแตกต่างก็จะหมดไปแล้วจะให้รู้ รึว่า เข้าใจ ดีล่ะ
     
  14. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    เมื่อรู้ว่า ไม่รู้ คือ รู้
     
  15. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ลองหาที่ยึด

    ไม่ใช่ ลอยๆ ออกมา ไม่มีอะไร
     
  16. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ผม จะเอารู้คำตอบ
     
  17. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    คำตอบผมก็รวมทุกสิ่งไว้ในนั้นแล้ว ถ้าอธิบายอย่างงี้
    ไม่เข้าใจ ก็จะพยายามหาคำอธิบายที่มันเหมาะกับปะคุง
    ก็แล้วกัน แต่ขอไปคิดก่อน เพราะจะอธิบายปะคุงต้อง
    ชัดเจน ง่ายๆ ถ้าผมมีความสามารถทางคณิตศาสตร์
    แบบไอสไตร์ ผมกะจะเขียนเป็นสมการให้ปะคุงไปแก้
    ไปค้นคว้าเอา แต่ในเมื่อทำไม่ได้ก็ธิบายแบบอภิปรัชญา
    แต่ปะคุงก็ไม่เข้าใจ ไว้ไปหาคำอธิบายที่มันง่ายพอที่
    ปะคุงเข้าใจแล้วกัน
     
  18. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    รู้อะไร?

    ปัญญาสนองความต้องการรู้

    หรือ ปัญญาสนองกิเลส?
     
  19. Surapon

    Surapon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2008
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +39
    ก่อนอื่นขอสวัสดีทุกท่านครับ ผมเป็นสมาชิกใหม่ เมื่อกี้ตามๆอ่านมา เห็นคุณพาคุง กำลังต้องการคำตอบ แล้วค้นหาจักรวาล
    ที่นี้
    สิ่งต่างๆที่เราสัมผัสได้มีอยู่จริงหรือสมมุติหละ ผมเองคิดว่า เรานั่นแหละที่กำลังสัมผัสสิ่งที่สมมุตินั้นแหละจริง
    2+2 = 4 ความจริงของสิ่งสมมุติคือค่า 4 แล้ว 2 กับ 4 คืออะไร มันเป็นจริงหรือเปล่า 2 ก็เกิดจากการสมมุติเรื่องของจำนวนที่ปรากฏแก่เรา ถ้า 2 มันเป็นของจริงมิใช่สมมุติ ทำไมถึงมีการเรียกหลายแบบ สัญลักษณ์ที่ใช้ก็ต่างกัน แต่ความหมายโดยรวมเราสมมุติให้มาเข้าใจตรงกัน ถึงบอกว่าเราสัมผัสสิ่งที่สมมุติจริง มันมีอยู่จริง ถึงแม้จะบอกว่า 2+2 = 3 เราจะบอกว่าผิด เพราะสมมุติกันมาว่า ถ้าเป็นลักษณะนี้รวมกัน มันต้องเกิดผลอย่างนี้

    ทีนี้มาต่อเรื่องที่ พาคุง ถามว่าเราเกิดมาจากไหน วิทยาศาสตร์ก็บอกถึงเหตุปัจจัยต่างๆให้เกิดมาเป็นเรา วิทยาศาสตร์ได้อธิบายไว้ถึงเหตุที่ มนุษย์เกิดมามีกระบวนการอย่างไร เท่าที่จับต้องได้ ตามเหตุตามผลที่เกิดขึ้นในขณะนั้น วิทยาศาสตร์ได้ให้คำตอบหลายๆอย่าง ว่าทำไมเราถึงจดจำ ทำไมเราถึงนึกคิด ซึงอธิบายไปในเรื่องของ สมอง อธิบายว่า อาการตายเป็นอย่างไร มันก็จะย้อนกลับมาว่า ตายแล้วไปไหนหละ แล้วก่อนเกิดกระบวนการเกิด เรามีอยู่จริงไหมหละ ซึ่งอย่างที่พาคุงบอก มันอาจจะมีคำตอบโดยกระบวนการวิทยาศาสตร์ อธิบายได้ แต่ตอนนี้ไม่รุ้ พอไม่รู้ก็อย่างที่พาคุงบอก ศาสนาเกิดมาจากความไม่รู้ ก็มาอธิบายเรื่องหลังจากที่วิทยาศาสตร์ยังไม่พบคำตอบ ว่ามีภพ ภูมิ ซึ่งบางคนก็เกิดความเชื่อว่าเป็นจริง อย่างพาคุงก็ยังไม่เชื่อ เพราะเชื่อมั่นว่ายังมีคำตอบที่น่าอธิบายได้ ที่นี้ศาสนาก็ดันมีคำบอกว่า อันไหนเป็นประโยชน์ก็สนใจ ไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ต้องสนใจ หลายคนก็เชื่อมั่นว่า ไหนๆก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ค้นหาไปก็ยังไม่รู้จะได้ประโยชร์อะไร เดี๋ยวพาคุงก็จะบอกว่า งั้นพวกคุณก็นิ่งเฉยๆไม่ค้นหาอะไร เห็นแกตัว นักวิทยาศาสตร์จะค้นคว้าเพื่ออะไร ก็ต้องนึกถึงว่า เขาเชื่อมั่นว่า การค้นคว้าของเขา จะพบอะไร แล้วมันสามารถนำมาทำอะไรได้อย่างไร ก้เหมือนกัน สิ่งที่พาคุง กำลังค้นหา มันจะมีประโยชน์อันใด สำหรับพาคุง หลายคนกำลังอธิบายให้พาคุงฟัง แต่ก้เป้นสิ่งที่เขาเชื่อมั่นว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ใช่สิง่ที่พาคุงค้นคว้าเอง พาคุงต้องการรู้นิพพาน รุ้คำตอบจักรวาล พาคุงก็ต้องค้นคว้าหาทางเอง ถ้าพาคุงมาถามคนอื่น อย่างไรซะพาคุงก็คงไม่เชื่อ
     
  20. Surapon

    Surapon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2008
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +39
    แล้วที่หลายคนบอกว่า มันไม่มีอะไร แล้ว พาคุงก็บอกว่า มันไม่อะไรได้ไง ก็ ชั้นเนี่ยสัมผัสมันอยุ่ ก็มันมีอยู่นั่นแหละ จากการสมมุตินั่นแหละ อย่าง รถยนต์มันไม่มีอะไร ไม่มีได้ไงอะ ก็ชั้นเห็นมันวิ่ง รถยนต์ มันถูกประกอบมาจาก ชิ้นส่วนหลาย พอมันนำมาใช้ได้ในลักษณะนี้ เราก็บอกว่าเนี่ย รถยนต์ ล้อเป็นรถยนต์ไหม พวงมาลัยหละ เครื่องยนต์หละ มันถูกนำมารวมกันต่างหาก แล้วพอเราแยกชิ้น ของแต่หละชิ้นก็ประกอบจากโมเลกุล และอื่นๆมากมาย วิทยาศาสตร์ก็อธิบายถึงเรื่อง โมเลกุล อะตอม แล้วศาสนาที่เกิดจากความไม่รู้นี่แหละ ก็มีผู้ค้นพบ ว่า สิ่งต่างๆมันประกอบแบบนี้ แยกชิ้นแบบนี้ ก็บอกว่า มันไม่มีอยู่จริงเป้นสิ่งสมมุติ แล้วก็ค้นพบไปอีกว่า พอเราเนี่ย ไปสัมผัสกับสิ่งที่สมมุติเนี่ย มันก็ไปยึดติดว่าเป้นเจ้าของแล้วเกิด ภาวะต่างๆทางร่ายกาย ไม่ว่าจะเป็นอุณภูมิ ที่วิทยาศาสตร์มีคำตอบว่า พฤติกรรมแบบนี้ร่างกายจะเป็นอย่างไร มีความผิดปกติอย่างไร ศาสนาก็ย้อนกลับไปอธิบายถึงตัวต้นที่แท้จริงของมัน เราก็จะรู้เพราะได้ฟังมา แต่จะเข้าใจหรือเปล่า ก็ต้องพิจารณาเอง ทีนี้สมมุติว่าเราเข้าใจเหตุและผลของมัน ทำให้ร่างกายของเรามีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดภาวะปกติของร่างกาย จึงใช้คำว่าดับทุกข์ เป้นสุข หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่จะใช้สื่อความหมาย ของพฤติกรรมที่เกิดอยู่ตอนนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...