นอกตำราไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 14 เมษายน 2013.

  1. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318
    ไม่ว่ายุคไหนสัทธรรมก็คงอยู่ตลอดนั้นแหละ ไม่มีวันสลาย เพียงแต่จะมีใครมองเหนมันหรือเปล่า อีกอย่างขึ้นชื่อว่าสัทธรรมก็ต้องเปนของแท้ ถ้าเปนของปลอมก็ไม่ใช่สัทธรรมเรียกสัทธรรมไม่ได้ และเราบอกหรอว่าไม่เชื่อตำรา เราบอกคำสอนของพุทธเจ้ามันไม่ได้อยู่แค่ตำราในตำราเป็นเพียงเเค่ใบไม่ใบเดียวที่พุทธเจ้านำมาสอนเอง ถ้าหากสามารถเห็นแจ้งด้วยจิตของตนเองอะไรจริงอะไรลวงก็จะรู้ได้ (ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต) แล้วที่บอกว่าเชื่อจิตตัวเองมากเกินไปคุณคงคิดไปเองแล้วนะเพราะเราก็ไม่ได้เชื่อทุกอย่างที่จิตรับรู้บางเรื่องเราก็ยังชั่งใจอยู่ และคุณรู้หรอกว่าพญามารแท้จริงคืออะไรถ้าคิดว่าพญามารเป็นสิ่งเลวร้ายก็คิดผิดแล้วหล่ะ หากมองกลับคุณนั้นแหละที่เชื่อจิตตัวเองมากเกินไป ไม่ใช่แค่เราหรอกนะ ตำราไว้เป็นแนวทาง สิ่งที่ควรตรวจสอบคือตัวเราเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2013
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ไม่พบเจอนาน ปัญญากว้างขึ้น

    น่านับถือครับ สติปัญญามาจากการฝึกฝนที่ดีพร้อมแล้ว

    สาธุครับ
     
  3. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318
    เหอๆๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งคับ บางอย่างก็ยังลูบๆคล่ำอยู่
     
  4. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    คนปัญญาทราม มีความเห็นผิด ติเตียนคำสอน
    ของเหล่าพระอริยะผู้อรหันต์ ผู้มีชีวิตอยู่โดยธรรม
    เขาย่อมเกิดมาเพื่อฆ่าตัวเขาเอง
    เหมือนขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่
    เหมือนลูกกล้วยฆ่าต้นกล้วยฉะนั้น
    เพราะเกิดมามืดแล้วก็ไปมืด
    ไม่พบแสงสว่างจึงเดินไม่ตรงทาง
    เหมือนผู้บอดมาแต่กำเหนิด
     
  5. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    เราจะเชื่อจิตเราเองได้อย่างไร เราตรวจสอบกับตำราตลอด ขนาดสิ่งที่เราเห็นนั้นเราก็ตรวจทานตลอดเพราะเรากลัวพลาดโอกาสไม่ค่อยมีนัก ชาตินี้เจอแล้วก็อยากจะให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด วิหกก็อย่าลืมตรวจทานนะ
     
  6. วิหคอิสระ

    วิหคอิสระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    758
    ค่าพลัง:
    +1,318
    รับทราบบบบบบบบบ
     
  7. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    โดยส่วยตัวแล้วเห็นด้วยกับ จขกท บางส่วนนะครับ

    จากมะก่อนที่ผมมีความคิดว่าอะไรๆมันก็ขึ้นอยู่ที่ใจ ขึ้นอยู่ที่เจตนา อะไรแบบนี้

    พอผมมาศึกษาอ่านเรียนรู้พระไตรปิฏก บางอย่างมันหักล้างขัดแย้งกับประเพณี วัฒนธรรม พิธีกรรม คำสอนหลายๆอย่างในปัจจุบันเลยครับ

    และจากที่เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดจะเพ่งโทษพระภิกษุ เลยซักนิด แม้ว่าท่านจะทำผิดก็ตาม
    พออ่านศึกษาไปนี้ ผมเพ่งโทษใหญ่เลยครับ (ซึ่งก็ดูตามหลักธรรม ขนาดคนสมัยก่อนในพระไตรปิฏก บางคนยังติเตือนพระสงฆ์เลยก็ยังมี ถึงขนาดร่วมกันไปถวายอาหารตอนพระมาบิณฑบาตก็ยังมี)
    จากพระภิกษุบางรูปที่ผมเคยนับถือๆ หรือเคยสนใจอ่านประวัติความเป็นมา กลายเป็นแบบว่า สุนัขไม่รับประทานเยอะเลยอะไรแบบนี้เลยครับ คือดูไปดูมาทั้งคำพูดและการกระทำ ขัดแย้งผิดธรรม ผิดวินัย ไปหมด (โดยสรรหาข้ออ้างไปหมด ไม่ว่าบอกว่าทุกสิ่งอยู่ที่เจตนามั้งหละ หรือพูดแบบๆว่าอย่าตรงตำรามากเกินไป ให้เน้นปฏิบัติ) ประมาณว่าสิ่งไหนที่ขัดแย้งกับธรรม แต่เป็นประโยชน์กับตนหรือผู้อื่น ก็ละเลยไป ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ เอาผู้คน สังคม ประเทศ หรือโลกมาเป็นข้ออ้าง สิ่งไหนที่ตนเองทำได้ก็เชื่อ ไม่สามารถทำตามได้ก็ทำเป็นไม่เชื่อไม่ก็หาขออ้างไปนู้น

    ถ้าจะคิดง่ายๆก็คิดได้ว่า ระหว่างสาวก กับ พระพุทธเจ้า ควรจะเชื่อใคร ใครปัญญามากกว่ากันก็จบ (แต่ถ้าใครจะคิดไปว่า พระไตรปิฏก จะเชื่อได้หรอก็ช่วยไม่ได้ครับ )

    แต่ส่วนมากเรื่องที่เห็นขัดแย้งๆกัน ก็คงไม่พ้นเรื่อง การที่พระรับเงิน การสร้างเสกเป่าวัตถุมงคลต่างๆ แล้วก็ นิพพานเป็นยังไงเป็น เป็นเมืองวิมาน หรือเป็นตามในพระไตรปิฏกเขียนไว้

    แต่ก็นะ ถ้าสมมุติง่ายๆว่า มีคนติดอยู่ในคุก อยากจะแหกออกจากคุก เขาก็ต้อง ทำการวางแผน ศึกษา ให้รอบคอบก่อน การที่ศึกษาวางแผนเล็กๆน้อยไม่ถี่ถ้วนก็อาจจะทำให้หลงทางได้ ถูกจับได้ติดนานกว่าเก่า
    แล้วจะนับประสาอะไรกับคุกวัฏสงสาร ซึ่งพระพุทธเจ้าทำให้แจ้งแล้ว บอกทางให้แล้ว เหมือนมีแผนที่นำทางให้แล้ว เราก็แค่เดินตามไปแล้วตรวจดูว่าเดินไปถูกหรือผิดเป็นระยะๆ

    ผมว่าทุกคนเกิดมา ก็ต้องเจอกับความทุกข์เข้ามาในชีวิตกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย แล้วอาจจะเป็นเหตุปัจจัยให้มาสนใจศึกษาธรรม พอมาศึกษาแล้วยังไงกันต่อละทีนี้

    เพราะถ้าจะให้พูดง่ายๆก็คือหลักๆในศาสนา และเป็น ความจริงที่แท้จริง ที่ทุกชีวิตต้องพบเจอก็คือ ความทุกข์ เราก็ต้องเรียนรู้ทุกข์ รู้จักทุกข์ เข้าใจทุกข์ เพื่อที่จะดับทุกข์

    ผมว่าทุกคนก็รู้แหละว่าอริยสัจ 4 รู้ไตรลักษณ์ ว่ามีอะไรบ้าง และเราก็สามารถมองเห็นและพิจารณาได้จากตัวเองหรือสิ่งรอบๆตัวเรา
    แล้วยังไงต่อหละ ? แล้วดำเนินชีวิตยังไงกันต่อ หรือบางคนเจอปัญหาชีวิตต่างๆมาเรียนรู้ธรรม กินใจในธรรม แล้วยังไงกันต่อหละ

    อย่างผมก็สนใจพวกธรรมมะๆอยู่มั้ง พอประสบปัญหาต่างๆ มาค้นหาอ่านก็ทำให้เรียนรู้ถึงความเป็นจริงไปเรื่อยๆ
    ตอนที่ยังศึกษาน้อยๆ ก็มีตั้งแต่ กราบอ้อนวอน ร้องขอ สวดมนต์อ้อนวอนมั้ง บางบทเขาบอกว่าสวดกี่จบๆแล้วจะสำเร็จดังใจปรารถนา (ตอนนั้นผมก็สวดไปโง่ๆแบบไม่เกิดปัญญาไม่รู้ความหมายแหละ) ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เกิดความทุกข์ เจอสิ่งที่ไม่พอใจก็เป็นทุกข์

    ตอนหลังก็ฉลาดขึ้นมานิดๆก็สวดแบบสรรเสริญในคุณธรรมของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ทำให้ฉลาดขึ้นมาอีกหน่อยๆให้จำและรู้ความหมายได้ด้วย
    แล้วก็ไปหลงพวกสิ่งของวัตถุต่างๆที่คิดว่าดี วิเศษ และก็พยายามที่จะสรรหาของเหล่านี้ที่เขาว่าดี (และยังพิศูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ ตรวจออร่า ไรพวกนี้)ประมาณว่าสิ่งไหนที่เขาบอกว่าดีๆๆๆๆ ที่มีอยู่ในโลกธาตุนี้ หลายๆอย่างที่พอกับกำลังทรัพย์ หรือแม้แต่ความเชื่อต่างๆ เทพเจ้าต่างๆ ก็สรรหาที่จะครอบครอง
    ไม่พอบางอย่างยังต้องมาหยิบ สวด อาราธนง อาราธนา บลาๆให้สิ่งเหล่านั้นช่วยเหลือคุ้มครอง

    และก็ยังมีหลายครั้งที่ดีอกดีใจไปกับการทำบุญ เอาเงินใส่ซองตามโอกาสต่างๆ หรือถวายแก่พระ ไม่ว่าจะยินดีที่พระรับเงินจากเรา และเราได้ถวายแก่พระ

    ขนาดฝึกนั่งสมาธิหรืออะไรก็แล้วแต่ พอเรารู้สึกว่าเราไม่เป็นเหมือนอย่างเดิม อาจจะไม่สงบ ไม่สุข เหมือนเดิม พอไปเปรียบเทียบกับสัญญาเดิม ก็เป็นทุกข์อีก ก็ต้องพยายามทำให้ได้ให้เป็นอย่างเดิม
    แต่ถ้ามีสติแล้วคิดให้เกิดปัญญาก็จะเออ มันไม่เที่ยง มันไม่เป็นตามเราต้องการ

    คร่าวๆแค่นี้ละกันครับ โดยส่วนตัวแล้วไม่รู้จะเป็นยังไง ถ้าไม่ได้อ่านศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฏก ไว้คอยเทียบเคียง คงหลงไปไกล คงเกาะคงพึ่งสิ่งนั่นนี้หลากหลายอย่างในโลกนี้ ที่เขาบอกว่าดี หรือยิ่งใหญ่มีอำนาจ มาพึ่งไปทั่ว


    โดยรวมๆแล้ว ส่วนมากผมเห็นคนทั่วๆไปจะบอกโชคดีๆที่ได้เจอพระพุทธศาสนา เจอวัดนี้ พระองค์นี้ ไม่รู้โชคดีแบบหนอนกินขี้หรือเปล่าก็ไม่รู้
    บางคนพูดซะสวยหรู ว่าโชคดีได้เจอคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่ยังเรียนรู้ไปนิดๆหรือไม่ได้สนใจจริงกับธรรมคำสอน ทั้งที่พระพุทธเจ้าก็บอกให้มีธรรมเป็นที่พึ่ง ให้มีตนเป็นที่พึ่ง ไปควบคู่กัน ก็คือ นำธรรมมาปฏิบัติให้เกิดกับตัวเราเองตามลำดับๆไป

    ปล.เล่าสู่กันฟัง พูดรวมเบาๆๆไม่ได้เจาะจงว่าใครเป็นพิเศษ แต่ถ้าเจาะจงคงหนักกว่านี้
     
  8. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ขอขอบคุณครับ...
    ผมอ่านหลายรอบครับไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ แต่รู้ว่าที่ท่านพูดมามันโดนใจ
    มันตรงกับผมเลยที่เดียวโดยไม่ต้องตัดทอนตรงไหนเลย
    สาเหตุที่เป็นเช่น เพราะเรายังทำศรัทธากับปัญญาไม่สม่ำเสมอกัน คือไม่ควบคู่กันไป
    เมื่อก่อนเราใช้ศรัทธานำหน้า ปัญญาเลยตามไม่ทัน
    เมื่อเป็นเช่นนั้นใครเขาบอกอะไรว่าดีก็จะเชื่อเขาไปหมดเพราะศรัทธานำหน้า
    ข้อเสียของศรัทธามันมากเกินไปก็จะทำให้หลงงมงายเกิดขึ้น แม้จะมีผู้รู้มาทักท้วงก็ไม่เชื่อ

    แต่ถ้าหากว่า เรียนรู้มากเกินไปปัญญาจะนำหน้า
    ศรัทธาก็ตามไม่ทัน ศรัทธามันก็จะเริ่มถอย ที่นี้การทำบุญมันจะทำได้ยาก
    ปัญญามันจะสุดโต่งการบริจาคทานมันจะเริ่มลดน้อยลง เพราะมันจะไม่ค่อยเห็นประโยชน์ของการบริจาคทานเท่าไหร่
    ฉะนั้นปัญญากับศรัทธาเราต้องควรปรับมันให้ควบคู่กันไป ถ้าเราปรับไม่ได้มันก็ได้อย่างเสียอย่าง
    บางท่านพูดว่าพอปัญญากล้าศรัทธาจะถอย พอศรัทธากล้าปัญญาจะถอย ครับ

    และอีกอย่างพวกปัญญากล้าจะหาพวกที่สนทนาได้ยากมาก สำหรับพวกศรัทธากล้านี่พวกเยอะใครๆเขาชอบครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 เมษายน 2013
  9. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    พยายามอย่าเพ่งโทษนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...