ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    สัจธรรมเรียบง่ายแต่ใจคนติดชินนาน "อุบายธรรม" จึงจำเป็น


    แม้สัจธรรมความจริงจะเรียบง่ายเพียงใดก็ตาม แต่ใจคนเรานั้นติดชินมานาน กลายเป็นนิสัย เป็นพฤติจิต พฤติกรรม ยากแก่การคลาย ยากแก่การปล่อยวาง ดังนั้น จึงต้องใช้ "อุบายธรรม" เพื่อช่วยให้คลายความเคยชิน ติดชินของคนผู้นั้น เช่น พระภิกษุรูปหนึ่งเคยชินกับ "ราคะจริต" พระสมณโคดม จึงให้เพ่งดอกบัวทอง ขณะกำลังมีสมาธิดีนั้น จึงทรงให้ดอกบัวนั้นเหี่ยวลง ภิกษุนั้นเห็นดอกบัวเหี่ยวเป็นอนิจจัง จึงบรรลุธรรม นี่คือ "กรรมฐานแบบพุทธ" ที่แท้จริงคือ เป็นแค่ "อุบายคลายความยึดติด" เท่านั้นเอง ไม่เหมือนของพวกพราหมณ์ที่เขาไม่ได้ใช้เป็นแค่อุบาย แต่เขาหวังผล ให้ได้มรรคผล เป็นฌาน, ญาณ จริงๆ เช่น ฌานสี่, ญาณหยั่งรู้อดีต, อนาคต ฯลฯ

    ดังนั้น พระโพธิสัตว์ที่โปรดสัตว์อยู่จึงต้องชำนาญในอุบาย เพืื่อจะช่วยให้ปวงสัตว์คลายจากความติดชินนานนั้น ทำให้ง่าย, ลัด, สั้นลง กรรมฐานสารพัดวิธีจึงถูกสร้างขึ้นใน "นิกายตันตระ" และอุบายมองทุกอย่างเป็นความว่างเปล่าที่เรียกว่า "สุญตา" นั้น จึงถูกใช้ในปรัชญาปารมิตสูตร สิ่งเหล่านี้ "ไม่ใช่สัจธรรม" แต่เป็นอุบายธรรม นี่ต้องเข้าใจด้วย ไม่ใช่ไปยึดเป็นสัจธรรมว่าทุกอย่างเป็นความว่างไปหมด หรือไปฝึกกรรมฐานของตันตระมา บางอย่างให้ระลึกถึงรูปพุทธะอยู่ในตัวเรา ก็ไปหลงว่าตัวเองเป็นพุทธะทั้งๆ ที่ยังไม่สำเร็จ นี่ไม่ใช่นะ ทั้งหมดคือ "อุบาย" อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน ยังไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า "สัจธรรม" สัจธรรมนั้นเป็นของที่อยู่นอกเหนือภาษาใดๆ จะกล่าวได้ ต้องชิมเอง เกลือเค็มอย่างไรต้องชิมเอง ไปฟังใครเขาอธิบายเอาไม่ได้ ดังนี้ ไม่ต้องมาเสียเวลาเถียงกันเรื่องความหมายของคำศัพท์บาลีหรือมคธอะไรก็ไร้สาระ สัจธรรมอยู่นอกเหนือนั้น

    ส่วน "สัทธรรม" ใน "สัทธรรมปุณฑริกสูตร" นั้น ก็ยังไม่ใช่สัจธรรม เขาจึงใช้คำว่าสัทธรรมแทน ซึ่งแปลว่า "ธรรมอัศจรรย์" เพราะมันมีผลปัจจุบันเลย คุณสามารถพิสูจน์ได้จริง ณ ปัจจุบันเลย ไม่ต้องรอชาติหน้า ไม่เหมือนคำสอนที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ต้องรอในชาติหน้าอะไรแบบนั้น สัทธรรมปุณฑริกสูตร พิสูจน์ความจริงได้ในชาตินี้เลย เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมไม่แบ่งแยกกัน ก็เป็นจริงเลย และจะได้รับการเปิดเผยและใช้หลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป ก็จริงเลย พิสูจน์ได้เลย ส่วนธรรมตามพระสูตรปรัชญาปารมิตสูตร (สุญตา) และอวตังสกสูตร (ความบริบูรณ์พร้อม) ก็จะค่อยๆ ถูกเลิกใช้ไป เพราะหมดยุคในการโปรดสัตว์ด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว

    อุบายธรรมที่ถูกใช้มานาน ย่อมไม่ได้ผล จึงต้องปรับเปลี่ยนไปครับ
     
  2. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505

    เขียน ๑๘.๑๑

    ถึงจะได้ แต่ก็ไม่ได้ครับ ขอเถียงคำไม่ตกฟาก ๕๕๕
    เอาเฉพาะเรื่องจีนนะ ว่ายังไม่ได้รบกันง่ายแน่ๆ
    เมกาต้องรบผ่านปินส์ ยุ่น และก็เกาหลีนะ
    ยุโรปก็ยังวุ่นวาย เริ่มแตกกันบ้างแล้ว
    โดน"สมาคมแม่มดไหม้เกรียม"
    ที่ใครปลุกมาป่วน ถอนแค้น

    อังกฤษก็เพิ่งสารภาพผิด เรื่องถล่มอิรัก
    ไอ้เศษฝรั่งก็ยังจะโดนอีก เป็นระยะ
    ประเทศอื่นก็ฮึ่มๆ จะแยกอีก
    เยอรมันกะอิตาลี่ก็ปอด
    เมกาบุกเดี่ยวไม่ได้
    คนในบ้านค้าน
    สรุปว่าไม่รบ

    แล้วเรื่องแค่น่านน้ำเนี่ยนะ จีนยังพลิ้วได้อีกแยะ
    มีท่าหลบหลีก เลี่ยง หรือเบี่ยงได้หลายท่า
    คู่กรณีโดยตรง ก็ไม่มีใครอยากรบอ่ะ
    ฟันธงโดยมโน ว่าอีกเกินสิบปี


    กระต่ายป่า ข้างวัด / น็อต ตรามนุษย์
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2016
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722


    ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเอาบารมีของตนไปทำอะไรนะฮะ
    ถ้าเอาไปทำให้สงครามช้าลง เพื่อตนได้เสพสุขนานขึ้น

    เขาก็ต้องเป็นผู้จ่าย เพราะของฟรี ไม่มีในโลก แล้วแต่ ตามสบายฮะ
     
  4. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394

    ผมว่า 30 บาทต้องอยู่ต่อไปเรื่อยๆ นะครับ สำหรับคนป่วยแล้วจนสุดๆ จริงๆ ทำให้เห็นคุณค่าเงินแต่ละบาทเลยนะครับ ไม่งั้นก็ได้เห็นข่าวอนาถอีกแหละ นับวันคนโหดเพราะโรคไม่มีทางรักษานี่แหละ จะหาก็ต้องปล้นอย่างเดียวแล้วม้าง
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722


    ไม่เกี่ยวว่ารวยหรือจนหรอก
    คนรวยก็ต้องมีสิทธิ์ได้ไม่ต่างกัน


    ทำแบบนั้น นอกจาก จะทำให้งานระบบราชการรวนแล้ว
    ยังเป็นการแก้แบบยุ่งเหยิง ไม่ใช่การแก้เหมือนผ่าตัดเล็กๆ
    ที่ไม่ส่งผลกระทบต่ออะไรมากมาย แก้แบบนี้ จะเปิดช่องให้
    ศัตรูจู่โจมเล่นงานได้ โดยพุ่งเป้าไปที่การล้ม รธน. ทั้งฉบับได้
    ง่ายยิ่งขึ้น เพราะจะได้กำลังจากทั้งคนรวยและจนเข้ามาเยอะมาก
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ผมรู้ว่าคนอย่างพวกคุณอีโก้เกินร้อย
    แล้วคุณจะได้เห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้น

    อยากทำอะไรก็ทำไปครับ ผมไม่ส่งเสริม
    แต่คงห้ามคนที่ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจจนเคยตัวไม่ได้

    บอกแล้วเตือนแล้ว ที่เหลือก็ตัวใครตัวมันแล้วละครับ
     
  7. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    ยุคสละชีพเพื่อใครเนี่ย ผู้นำแต่ละคน ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหมดหลอก
    ผมยิ่งใช้ชีวิตไม่ถูกด้วย หวังพึ่งใครไม่ได้เลย โลกต้องการเมพขนาดนั้นเลยเหรอ
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    มูลปณิธานตามสัทธรรมปุณฑริกสูตร


    "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนของตนอันเราจะไปยึดมั่นถือมั่น แม้แต่นิพพานเราก็ไม่อาจยึดมั่นถือมั่น การตื่นแจ้งในนิพพาน ไม่ได้ให้เราไปยึดว่านิพพานเป็นตัวเราของเรา แต่อย่างใด แต่เมื่อบุคคลไม่เข้าใจนัยยะแห่ง "อนัตตาธรรม" นี้ พวกเขาก็จะไปยึดนิพพานเป็นตัวเรา ของเรา เมื่อยึดมั่นเช่นนั้นแล้วก็จะหลงคิดไปว่าตัวเราเป็นนิพพาน นิพพานเป็นของเรา แล้วคิดอีกว่าเราจะไม่เกิดอีกเหมือนนิพพานที่ไม่เกิด ไม่ดับนั้น แท้แล้ว การเกิดและการตายเป็นธรรมะ ธรรมดาของสมมุติธรรมอยู่แล้ว เรียกว่า "อนิจจัง" เมื่อเรามีสัมมาทิฏฐิอยู่ ใจเราจะเป็นกลาง มองเห็นธรรมเหล่านี้เป็นธรรมะ ธรรมดา กลางๆ เราจะไม่มีอคติต่อการเกิดหรือการดับ ไม่มีความคิดหลงไปว่าจะต้องไม่เกิด จะต้องไม่ดับ ก็หาไม่ เพราะระดับวิมุติธรรมนั้น ไม่เกิด ไม่ดับอยู่แล้ว เราทั้งหลายบริบูรณ์ในธรรมทั้งวิมุติธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ และสมมุติธรรมที่เกิดดับ ไม่เที่ยงทั้งสองส่วน ไม่มีสิ่งใดขาดหายไปเลย ธรรมล้วนบริบูรณ์เต็มรอบ เป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีเพิ่ม ไม่มีลด ไม่มีขาดหาย ซึ่งพระสมณโคดมได้ตรัสรู้และแสดงไว้หมดแล้ว ท่านได้บอกว่า "เจ้าชายสิทธัตถะผู้อ่อนต่อโลกนั้น ได้ตายจากโลกไปแล้ว" แลวันนั้น พระสมณโคดมได้เกิดขึ้นบนโลกแทน อย่ายึดติดเจ้าชายสิทธัตถะที่หลงคิดว่าการเกิดเป็นสิ่งเลวร้าย จนต้องแสวงหาทางที่จะไม่เกิดอีกนั้น

    เมื่่อเห็นการเกิดเป็นธรรมดาได้อย่างนี้ ก็ก้าวข้ามผ่านความหลงในนิพพาน ยึดนิพพานเป็นตัวตนของตนได้ (ยึดนิพพานเป็นอัตตา) ก็จะเห็น "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" ได้มองเห็นชัดว่าสัจธรรมนั้นไม่อาจอธิบายด้วยคำพูด หรือภาษาใดๆ ภาษาบาลีหรือมคธก็ไม่ใช่ ดังที่พระสมณโคดมชูดอกบัวบานขึ้นดอกหนึ่งโดยไม่กล่าวอะไร นั่นคือ สัจธรรมไม่อาจกล่าวได้ เกลือเค็มเป็นอย่างไรต้องชิมเอง ดังนั้น ที่มีธรรมะทั้งหลายก็เป็นเพียง "อุบาย" เท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะไปยึดติดในธรรมใดๆ ทีนี้อุบายนั้นใช้ได้บางยุคบางสมัยไม่ใช่ทุกยุคทุกสมัย ในยุคสมัยแรกๆ ท่านใช้อุบาย "สุญตา" ในปรัชญาปารมิตาสูตร ในยุคต่อมาใช้อุบาย "ความบริบูรณ์พร้อมในธรรม" ตามอวตังสกสูตร ซึ่งพระสูตรทั้งสองใช้ในช่วงแรกจนถึงกึ่งกลางพุทธกาล ส่วนพระสูตรที่สามจะใช้หลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เรียกว่า "สัทธรรมปุณฑริกสูตร" ซึ่งเป็นธรรมอัศจรรย์ เป็น "อุบายที่ไร้อุบาย" คนโง่ก็ใช้ได้ ไม่ต้องกลัวว่าเราใช้อุบายหลอกล่อคนให้ทำความดีไม่ได้ ก็เพราะคนอื่นฉลาดมีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าเรา เราเป็นคนโง่ ก็หาไม่ นี่ สัทธรรมปุณฑริกสูตรนั้นเป็นธรรมอัศจรรย์ เป็นอุบายที่ไร้อุบาย จึงเป็นไปเอง เช่นนั้น ตามธรรมะ ธรรมชาติเองเลย และเป็นจริงในยุคปัจจุบันนี้เลย เป็น "ธรรมปัจจุบัน" ที่แท้จริงที่ไม่ผูกติดปัจจุบันขณะ เป็น "ธรรมอกาลลิโก" ไม่จำกัดกาลที่แท้จริง

    ซึ่งจะได้รับการเปิดเผยธรรมตั้งแต่กึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไปครับ
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    คนคิดหรือจะเท่า "ฟ้ากำหนด"

    เดี๋ยวนี้มีคนพวกหนึ่งชอบคิดว่าคิดอะไรก็จะได้อย่างคิด
    คิดเชิงบวก คิดดีๆ เอาไว้ แล้วจะได้ตามใจคิดหมด
    ถือเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ เป็นสำคัญครับ

    ที่แย่กว่านั้นคือ คนพวกนี้มีอีโก้สูงมาก มานะทิฐิสูงมาก
    พอคิดอะไรแล้วจะต้องให้ได้อย่างคิด เผด็จการทางความคิด
    แถมไม่ยอมฟังคำเตือนอะไรจากใคร กลัวจะเสียหน้าอะไรแบบนั้น

    ~~~ คนคิดหรือจะเท่าฟ้าลิขิต ~~~

    ชายไม่ได้ชอบให้ฟ้าลิขิตหรอก และต่อให้ชายมีกำลังวิริยบารมี
    ชายก็ไม่ได้คิดว่าเราจะต้องปฏิเสธลิขิตฟ้าไปเสียหมด เช่น
    ถ้าชายรู้ว่าฟ้าลิขิตให้คนต้องอดอยากเพราะความแล้ง
    จากนั้นผู้คนจะไปประท้วงเข่นฆ่ากันตายเสียมากมาย
    ชายก็ใช้วิริยบารมีช่วยระดับหนึ่ง ให้ฝนตกตามปกติ
    นี่ชายก็ทำต่างจากฟ้าลิขิต แต่ไม่ใช่เปลี่ยนหมด
    ที่เหลือคนจะไปประท้วงฆ่ากันตายเพราะอะไร
    อันนั้น ชายก็ต้องปล่อยวางบ้างแล้วละครับ

    ไม่ใช่ดื้อรั้นดันทุรังจะเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ครับ
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    สัมมาอาชีวะ คือ การมีอาชีพสุจริตหรือ?


    มนุษย์ต้องทำงานหนักหรือเปล่า? จริงๆ แล้วไม่ต้อง มนุษย์ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานที่ก้มหน้าหากินไปวันๆ มนุษย์ถูกธรรมชาติสร้างมาให้ยืดหลังตรง มองไปข้างหน้า มองเห็นอนาคตตัวเอง ไม่ใช่ก้มจมอยู่แต่ "ขณะนี้" ไม่ใช่ เราสามารถเหลียวหลัง แลหน้า มองเห็นได้ตลอดทั้งอดีตและอนาคต และไม่ยึดติดในสามกาล แต่ไม่ใช่จมปลักอยู่ในกาลใดกาลหนึ่ง เช่น ปัจจุบันขณะ ซึ่งก็ไม่ได้มีอยู่จริง ที่เราเห็นมนุษย์ทำงานหนักทั้งวันนั้น เพราะเขาได้ทำสิ่งผิด ผิดศีล มนุษย์ที่มีศีลจึงไม่ต้องทำงานหนักเช่นนั้น (พระจึงไม่ต้องทำอะไร) แต่มนุษย์จำนวนมากไม่เข้าใจนัยนี้ คิดว่าการทำการงานหนักคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แท้แล้วมนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานขนาดนั้น ยกตัวอย่างเช่น พระอาจารย์ของพระนาคเสน มีกิจเพียงสอนพระนาคเสนเท่านั้น หมดกิจแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรอีก, พระอุปคุตมีกิจก็เพียงแค่โปรดพระเจ้าอโศกเท่านั้น หมดกิจแล้วก็จบกัน หลายคนไปด่าว่า ตำหนิ คนที่ไม่ทำงาน หาว่าเขาเกาะคนอื่นกินบ้างอะไร จริงๆ แล้วไม่ถูก เพราะเขาอาจมีกิจน้อย เนื่องจากไม่ผิดศีลอะไร

    เมื่อใดที่มนุษย์ขายตัว ขายวิญญาณเข้าสู่ระบบการทำงานเพื่อแลกเงิน มนุษย์จะกลายสภาพเป็นเหมือนสัตว์เหมือนสุนัขที่น้ำลายไหล เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง มนุษย์เริ่มสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป เพราะถูกหลอกล่อด้วยกลไกลที่เรียกว่า Conditional behavior เงินกลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์แล้วค่อยๆ กลายเป็นสัตว์ที่เรียกว่า "มนุษย์เงินเดือน" จนกว่าพวกเขาจะได้ศึกษาในหลักสูตร MBA (ปริญญาโทบริหารธุรกิจ) พวกเขาจึงจะรู้ว่าตัวเองนั้นโง่ เป็นแค่ขี้ข้าชั้นดีมาตลอด แล้วจึงคิดที่จะเป็นผู้ประกอบการบ้าง แต่การเป็นผู้ประกอบการของพวกเขา ก็ไม่ต่างจากเจ้านายคนเดิมของเขาที่หลงความเป็นเจ้า ขายตัว ขายวิญญาณ เพื่อให้ได้มี ได้เป็นเจ้า (เจ้านาย) นี่คือ "แอกที่มองไม่เห็น" มนุษย์ทั้งหลายถูกพันธนาการด้วยแอกเหล่านี้ ให้กลายเป็นเจ้านายบ้าง ขี้ข้าชั้นดีบ้าง พวกเขาไม่ได้หลุดพ้น ไม่ได้มีอิสระที่แท้จริง พวกเขาหลงโลกและเสื่อมลงไปเหมือนสัตว์เดรัจฉานนั้น จนคิดไปว่า "สัมมาอาชีวะ" ก็คือ การมีอาชีพสุจริต แท้แล้วมันไม่ใช่ สัมมาอาชีวะ คือ การทำกิจตามหน้าที่ของตนด้วยใจเป็นกลาง อย่างพอดี มนุษย์ไม่จำเป็นจะต้องมีอาชีพอะไร เพราะมนุษย์มีหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ที่ต้องทำอยู่แล้ว หากมนุษย์ไม่หลงลืมหน้าที่ของตน อาชีพก็ไม่จำเป็น!

    พระก็ไม่มีอาชีพอะไร แล้วมีมรรคแปด มีสัมมาอาชีวะได้ยังไง?
     
  11. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    หน้าที่ของมนุษย์เพียงแค่มองดูตัวเองมองดูรอบๆตัวให้ดี ตัวเรามีค่ามากเกินกว่าที่เราคิดไม่มีใครมาแทนเราได้หรอกครับ เมื่อใดที่รักตัวเองมากพอ เราจะเห็นความอบอุ่นมากมายรอบๆตัวเราซึ่งพร้อมจะเติมเต็มกันและกันอยู่เสมอ
     
  12. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    วิธีใช้ "พลังงานเก่า" เคล็ด "กระทำโดยไม่กระทำ"


    หลัก "วัวใครเข้าคอกคนนั้น" มาใช้อธิบายเรื่องพลังงานเก่าได้ครับ
    กล่าวคือ พลังงานเก่าของเราจะหวนคืนกลับมาสู่ตัวเรา ในรูปวิบาก
    กรรมก็ได้ หรือรูป "กระทำซ้ำ" ก็ได้เช่น ถ้านายก. ทำบุญสร้างวัด
    พลังงานเก่าอันนี้อาจเข้ามาสู่ตัวนายก. อีกครั้งทำให้เกิดการกระทำ
    ซ้ำก็ครั้ง อีกชาติก็ได้ หรืออาจเป็นวิบากกรรมเล่นงานนายก. โดยมี
    คนทำบุญสร้างวัดให้นายก. เป็นต้น พลังงานเก่าตัวนี้ มันสะท้อนไป
    มาได้ ถ้าเรากระทำซ้ำไปอีก หนี้กรรมยิ่งทบต้นทบดอก เหมือนแรง
    เหมือนพลังงานที่อัดแน่นยิ่งขึ้น ด้วยการก่อกรรมของเรา พอเราต้อง
    รับกรรม มันจะหนักครับ แต่ถ้าเรายอมรับกรรมโดยดี มันจะเบาได้นะ
    ครับ และมันจะค่อยๆ ลดหย่อนผ่อนหนี้ลงไปได้ ค่อยๆ จางเบาบาง

    ทีนี้ "การกระทำโดยไม่กระทำ" เกี่ยวข้องอย่างไรกับพลังงานเก่า?
    ง่ายๆ คือ ถ้าเราไม่ทำเสีย เรากระทำโดยการไม่กระทำ ผลคือ มันก็
    จะไปลงที่คนอื่นเป็นตัวกระทำแทนเรา เช่น ถ้านายก. ไม่สร้างวัดละ
    ชาตินี้ ผลคือ จะมีคนอื่นมาสร้างวัดให้นายก. แทน เพราะพลังงานนี้
    มันไม่สูญหายไปไหน สสารและพลังงานไม่สูญหายไปได้ มันเพียง
    แค่เปลี่ยนแปลงไปเฉยๆ เท่านั้น นี่คือ พอนายก. ไม่กระทำคนอื่นก็
    จะกระทำแทนนายก. หากนายก. อยากช่วยคนจริงๆ ต้องช่วยให้เขา
    ได้บุญบารมี ได้ฝึกจิต ได้พัฒนาจิตใจตัวเอง โดยการสร้างบุญบารมี
    อย่างนายก. จริงไหม? ไม่ใช่นายก. แย่งคนอื่นทำเสียหมด แล้วคน
    อื่นก็ไม่มีบุญบารมีเลย เพราะไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วนายก. ก็สงสาร
    ที่พวกเขาไม่มีบุญบารมียืนหยัดได้ด้วยตนเอง เลยเอาของไปแจก??
    นี่มันไม่ใช่ละ มันเป็นแค่ Moral masturbation แค่สนองอารมณ์
    ของความอยากเป็นคนดี อยากทำความดีในคนอื่นเห็นหรือตัวเองเห็น
    มันไม่ได้ช่วยใครได้จริง การที่เราจะช่วยใครได้จริง เราต้องไม่กระทำ
    ก่อน เพื่อให้เขาเป็นผู้กระทำแทนเรา เรียกว่า "กระทำโดยไม่กระทำ"

    ซึ่งเข้าหลักสัทธรรมปุณฑริกสูตร โปรดโดยไม่โปรด รักโดยไม่รักครับ
     
  13. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    กระทำโดยไม่กระทำ
    ใช้คนโดยไม่ต้องใช้
    สั่งโดยไม่ต้องมีคำสั่ง
    ปกครองโดยไม่ปกครอง
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นธรรมะ แลทุกที่ก็เป็นพุทธเกษตร


    โอ้ อานนท์ เธอไม่ต้องแสวงหาธรรมะจากที่ใดเลย หรือในตำราใดๆ ก็ไม่ต้อง เพราะธรรมะนั้นมีอยู่แล้วในทุกสรรพสิ่ง เพียงแต่ปวงสัตว์ทั้งหลายไม่อาจตื่นแจ้งในธรรมเหล่านั้น ตถาคตเพียงใช้อุบายเป็นเครื่องช่วยให้สัตว์เหล่านั้นตื่นแจ้งขึ้นเท่านั้นเอง แลเมื่อสัตว์ทั้งหลายตื่นแจ้งแล้ว ย่อมเห็นธรรมแห่งตถาคตเป็นอนัตตา มิใช่เครื่องยึดมั่นถือมั่น มิใช่จะต้องพากเพียร ร่ำเรียน หรือท่องจำ ด้วยธรรมนั้นมีอยู่แล้วโดยบริบูรณ์ แม้ว่าจะกล่าวหรือไม่กล่าวธรรมใดก็ตาม ด้วยสัจธรรมทั้งหลายนั้นอยู่นอกเหนือการกล่าว แลสมมุติภาษาใดๆ ไม่ต้องหาความหมาย ไม่ต้องแปล แลมิใช่ในภาษาบาลี หรือมคธอะไรทั้งนั้น ดุจเกลือที่ต้องชิมเอง มิต้องอธิบาย ตถาคตแสดงธรรมงดงามในเบื้องต้น งดงามในท่ามกลาง แลงดงามในบั้นปลายนั้น เพียงเพื่อเป็นอุบายโปรดสัตว์ ให้สัตว์ทั้งหลายชิมเกลือ เมื่อสัตว์ทั้งหลายได้ชิมเกลือนั้นด้วยตัวเอง ย่อมรู้ได้เอง เป็น "ปัจจัตตัง เว ทิ ตัพโพ วิญญูหิติ" ดังนี้แล ตถาคตจึงได้แสดงปริศนาธรรม "ชูดอกบัวบานขึ้น โดยไม่กล่าวธรรมใดๆ" ปริศนาธรรมนี้ เหมาะสมกับยุคสมัย พึงกระทำให้แจ้งเถิด

    แลทุกที่ล้วนเป็นพุทธเกษตร ไม่มีที่ใดเลย ที่ไม่อาจบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุพุทธสภาวะ แม้แต่ในนรกภูมิ ก็ยังมีพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ ทรงลงไปโปรดสัตว์ แลยังความเจริญแห่งพุทธะให้งอกงามขึ้นได้แก่ตน เช่นนี้แล ทุกที่ ทุกภพภูมิ จึงเป็นดังแปลงเกษตรแห่งพุทธะ หรือพุทธเกษตรโดยพลัน มิต้องแสวงหา มิต้องมา มิต้องไป ปวงสัตว์ทั้งหลายมิได้หลง พวกเขาเพียงอยู่ในจุดที่ต่างกัน บนวิถีทางแห่งการบำเพ็ญ เพื่อกลับคืนสู่พุทธสภาวะเพียงเท่านั้น สัตว์บางเหล่าเป็นผู้พร้อม กลับคืนสู่พุทธสภาวะเร็ว ย่อมหลุดพ้นไปก่อน สัตว์บางเหล่าเป็นผู้ยังศึกษา แลเป็นอนาคตแห่งพุทธวงศ์ ย่อมกลับคืนสู่พุทธสภาวะช้ากว่า แลย่อมประจำอยู่ ณ จุดต่างๆ อันยังประโยชน์ให้แก่อนันตจักรวาลนี้อย่างแน่นอน แลไม่มีที่ใดที่ไม่สำคัญ ทุกที่ ทุกคน ล้วนสำคัญ "เท่าเทียมกันทั้งหมด" เมื่อเห็นได้เช่นนี้ ย่อมเห็นนัยยะแห่ง "ความเสมอภาคในธรรม" เห็นความเรียบไร้ ไม่มีสูง ไม่มีต่ำ ไปกว่ากันเลย อานนท์เอ๋ย เธอจงกระทำธรรมนี้ให้แจ้งเถิด แลพุทธเกษตรจะบังเกิดขึ้นแก่เธอในทุกๆ ที่ ที่เธอได้ย่างก้าวไป แท้แล้วทุกๆ ที่นั้นเป็นพุทธเกษตรอยู่แล้ว เพียงแต่เธอได้ "ตื่นแจ้ง" หรือยัง? เมื่อใดที่เธอได้ตื่นแจ้งแล้ว นิพพานก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องค้นหา หรือไขว่คว้ามาครอบครองแต่อย่างใด เธอย่อมไม่กังวลว่าเมื่อละสังขารแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อีกต่อไปเลย

    แลเมื่อนั้นกำลังจิตแห่งมหากรุณาย่อมบังเกิดขึ้นแก่เธอโดยพลัน!
     
  15. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ความหมายที่แท้จริงของ "มหายาน" (ยานใหญ่)


    ในความเป็นจริง สรรพสัตว์ที่บรรลุธรรมได้มีเพียงน้อยเท่านั้น ดั่งดอกบัวสี่เหล่า พระพุทธองค์จึงทรงต้องเลือกดอกบัวเหล่าบนไปโปรดก่อน ทว่า แล้วบัวเหล่าอื่นเล่าจะทำเช่นไร? พระองค์ก็ทรงใช้ "ธรรมอนุโลม" โปรดสัตว์เหล่านั้น กล่าวคือ แม้ฟังธรรมแล้วไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไร แต่ก็ยังมีบุญวาสนาได้ฟังธรรมอยู่บ้างในชาตินี้ อันจะยังผลไปสู่ชาติข้างหน้าสืบไป ดังนั้น จึงทรงเทศนาธรรมให้แก่ผู้ฟังจำนวนมาก แม้จะมีผู้บรรลุน้อยเพียงหนึ่งคน ที่เหลืออาจไม่บรรลุเลยก็ตาม เรียกว่า "มหายาน" หรือ "ยานใหญ่" ธรรมบางส่วนจึงไม่เน้นสัจธรรม ไม่เน้นการบรรลุ แต่เป็นไปในเชิง "สรรเสริญ" ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาของชนหมู่มาก ซึ่งอาจแต่งขึ้นเพื่อใช้เป็น "อุบาย" ทำให้ปวงสัตว์มีใจโน้มเอียงมาทางสิ่งดีงามก็ได้ แม้ว่าจะไม่จริง ไม่ได้มาจาก "พระโอษฐ์" ก็ตาม ซึ่งก็ไม่จำเป็น แต่จะต้องระวังไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดเพี้ยนจนกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิเอาได้ เท่านั้นเอง และด้วยการทำกิจ "อนุโลม" เพื่อปวงสัตว์เช่นนี้ จึงมี "พระโพธิสัตว์" อาสามาช่วยปวงสัตว์ที่ไม่พร้อมจะบรรลุธรรม แต่ให้ได้มี "บุญสัมพันธ์" กับธรรม เอาไว้ก่อน เป็นจำนวนมากมาย โดยไม่เน้นการบรรลุ ที่เรียกว่า "มหายาน"

    หรือกล่าวง่ายๆ ได้ว่า หลักการของมหายานคือ การโปรดสัตว์ของพระโพธิสัตว์ ที่จะโปรดกลุ่มที่ยังไม่ถึงวาระจะหลุดพ้นในยุคนี้ เพื่อให้ได้มีบุญวาสนาสัมพันธ์กับตนไว้ก่อน มิใช่ธรรมของพระพุทธเจ้าโดยตรงและมิอาจคาดหวังผลเป็นการบรรลุธรรมก็ได้ บางธรรมนั้นจะมีผู้บรรลุได้เพียง "หนึ่งเดียว" ผู้ฟังที่เหลือจะไม่ได้บรรลุในธรรมนั้น โกอานหรือปริศนาธรรมที่พระพุทธองค์ทรงให้นั้น หากมีผู้แจ้งแล้ว ก็จะบรรลุได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่เหลือต้องรอ "โกอาน" อื่นๆ ต่อไป ธรรมะที่ทำให้บรรลุได้จริงนั้น "อธิบายไม่ได้" ดังนั้น ที่อ้างอิงตำราว่าเป็นพุทธวจนะแท้ก็ดี จึงไม่ได้ช่วยอะไร เพราะธรรมเหล่านี้เป็นธรรมที่อธิบายได้ทั้งนั้น ส่วนธรรมะที่ทำให้บรรลุได้นั้น ล้วนแต่ "อธิบายไม่ได้" (ปัจจัต ตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ) เกลือเค็มอย่างไรต้องชิมเอง แต่อาศัยธรรมะเป็นอุบายไปชิมเกลือ อุบายนี้เรียกว่า "ปริศนาธรรม" หรือ "โกอาน" นั่นเอง ปริศนาธรรมนี้ จะไม่อธิบายเพราะอธิบายไม่ได้ แสดงแล้วจะเกิดความงุนงง สนเท่ห์? และทำให้ชวนขบคิดพิจารณาจนแจ้งในธรรมนั้นๆ ด้วยตนเอง ซึ่งจะมีแต่พระพุทธองค์เท่านั้นที่ทรงให้ได้ ส่วนพระโพธิสัตว์จะให้ไม่ได้ แต่แสดงธรรมเพื่ออนุโลมโปรดสัตว์ที่ยังไม่ถึงวาระหลุดพ้น จะได้มีบุญสัมพันธ์ร่วมกันไปนั้น "ทำได้" ส่วนหลังนี้ เรียกว่า มหายาน ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย

    สัทธรรมปุณฑริกสูตรก็มีผู้บรรลุเพียงหนึ่ง ที่เหลือได้แค่ "มหายาน"
     
  16. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ถึงแม้บาปบุญจะไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมายกับคนที่เข้าใจแล้วแต่สมมุติธรรมและจารีตประเพณีอันดีงามจึงต้องสืบสานดำรงค์อยู่เพื่อให้สัตว์ทั้งปวงได้ใกล้ได้เข้าใกล้มากน้อยตามแต่กำลังของเขาครับลองไม่มีสิ่งเหล่านี้ปวงสัตว์ทั้งหลายย่อมหลุดออกจากวงโคจรนี้ สมมุติธรรมทั้งหลายจึงมีความสำคัญทั้งรู้และเข้าใจแล้วแต่ก็ยังคงปฏิบัติตนเสมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ไม่ได้แสดงตัวพิเศษว่าเราเข้าใจแล้วสมมุติทั้งหมดเราไม่เอาเราไม่สนครับดังนั้นอย่าให้คำว่ารู้มาแยกเราออกจากความธรรมดาเลย มันจะกลายเป็นหลงรู้ไปนะครับ
     
  17. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ธรรมะอุปปายะ คือ อะไร?


    คือ ธรรมะที่เป็นอุบายในการโปรดสัตว์ ฉุดช่วยปวงสัตว์ นั่นเอง ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า "สัจธรรมแท้ ไม่อาจอธิบายได้" อยู่นอกเหนือคำ, ภาษา, สมมุติบัญญัติใดๆ ดังนั้น พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจึงต้องใช้อุบายธรรม เพื่อให้สรรพสัตว์สร้างคุณงามความดี สร้างบารมี หรือไปสู่ความหลุดพ้นร่วมกัน อุบายธรรมนี้ จึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ผิด ก็หาไม่ ถูกก็ไม่มีสาระ ผิดก็ไม่มีสาระเพราะเป็นเพียงอุบายในการโปรดสัตว์เท่านั้น มิใช่สัจธรรมแท้จริง พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จะต้องมีกิเลสตัณหา เพื่อที่จะได้เข้าใจจริตของสัตว์ ได้เข้าใจว่าสัตว์ทั้งหลายมีกิเลสตัณหาอะไร และสามารถใช้กิเลสตัณหาเหล่านี้ เป็นเครื่องนำทางปวงสัตว์ไปสู่โพธิมรรค โพธิธรรมได้ ดังคำที่กล่าว่า "กิเลสเป็นโพธิ" นั่นเอง หากพระโพธิสัตว์ไม่มีกิเลสตัณหาเลย ก็จะไม่เข้าใจจริต ไม่เข้าใจจิตใจของปวงสัตว์ทั้งหลาย ที่ยังมีกิเลสอยู่ ดังนั้น กิเลสตัณหา จึงเป็นเพียงธรรมะ ธรรมดา เรื่องปกติของมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องที่ผิด หรือเรื่องที่ถูกแต่ประการใดเลย

    พระโพธิสัตว์จึงต้องมีปัญญามากที่จะใช้ธรรมะอุปปายะเหล่านั้น ที่จะฉุดช่วยดึงเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ได้เข้ามาสู่โพธิมรรคดังกล่าว แลธรรมะอุปปายะเหล่านั้น จะต้องมีลักษณะอันเป็นกุศล ไม่เป็นไปเพื่อการทำสิ่งเลวร้ายแต่ประการใด แม้ไม่อาจยังผลให้ปวงสัตว์บรรลุธรรม ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเป็นวิถีแห่งมหายาน เป็นยานใหญ่ รื้อขนสรรพสัตว์กลุ่มที่ยังไม่ถึงวาระจะหลุดพ้นไป นั่นเอง ซึ่งสรรพสัตว์เหล่านั้น จะมีวาระไปดำรงอยู่ในจุดที่แตกต่างกัน เรียกว่า "วงบุญ" ที่แตกต่างกันก็ได้ เช่น วงบุญของพระยามาราธิราช ก็จะไปเกิดในสวรรค์ชั้นหกกันมากมาย, วงบุญของพระรามเจ้า ก็จะไปเกิดในพรหมโลกกันมากมาย เป็นต้น พระโพธิสัตว์เหล่านี้ นำทางปวงสัตว์ไปสู่ภพภูมิที่ต่างกัน ไม่มีผิด ไม่มีถูก แต่ละที่ล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ดังที่กล่าวแล้วว่าไม่มีที่ใดที่ไม่ใช่พุทธเกษตร ทุกที่ล้วนเป็นพุทธเกษตร นั่นเอง แม้แต่ในนรกภูมิ ก็มีพระโพธิสัตว์ที่นำพาปวงสัตว์ลงไปในนรกภูมิ แลที่นั้น ก็คือ พุทธเกษตร ด้วยยังมีการบำเพ็ญเพียรไปสู่พุทธะ นั่นเอง สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงอาศัย "บุญสัมพันธ์" ที่มีต่อพระโพธิสัตว์ ในการบำเพ็ญในวัฏฏะสงสารไปยังภพภูมิต่างๆ แตกต่างกันไป ยังผลเป็น "พุทธเกษตร" และการกลับคืนสู่ "พุทธะ" เป็นที่สุดแห่งการบำเพ็ญ

    พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญมหายานจึงจำเป็นต้องใช้ธรรมอุปปายะดังนี้
     
  18. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ปฏิรูปอย่างไรจาก "ประชานิยม" ไปสู่ "ประชารัฐ" ?


    จากนโยบายประชานิยมแม้มีข้อดีคือ ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับผลประโยชน์ ทว่า ก็มีข้อเสียคือ ประชาชนเสพติดการช่วยเหลือจากรัฐ, กลายเป็นการซื้อเสียงทางอ้อม และการแบกรับภาระของรัฐมากเกินไป รัฐบาลชุดปัจจุบันจึงถูกผลักดันให้ต้องทำการปฏิรูปโดยมิได้ต้องการทำจริง (ผู้มีอำนาจเบื้องหลังบงการอยู่) ผลคือ ผู้มีอำนาจเบื้องหลังใช้อำนาจตั้งคณะร่าง รธน. ขึ้นมาเพื่อแก้ไขงานนี้เอง และทำให้ได้ รธน. ที่ "กลายพันธุ์" ไม่มีความเป็น ปชต. ทำระบบงานราชการพังเละเทะ เปลี่ยนแปลงระบบการทำงาน ซึ่งกระทบต่อข้าราชการที่ต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจกับระบบการทำงานแบบใหม่อีก กว่าจะเข้าที่เข้าทางก็เสียเวลา และต้องยุ่งยากมากมาย ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย อีกประการ การแบ่งแยกคนเป็นกลุ่มเช่น คนอนาถานั้น ไม่มีใครในโลกเขาทำกัน เพราะไม่มีใครในโลกเขาดูถูกคน ว่าเป็นคนอนาถาเช่นนี้มาก่อน มีแต่จะให้ความสำคัญ และมองเห็น "คุณค่าของคนทุกคนเท่าเทียมกัน" ดังนั้น รธน. ฉบับแก้ไขใหม่นั้น จึงกลายเป็น "ชนวนปัญหา" ที่รอเวลาปะทุเท่านั้นเอง ไม่ใช่ทางออกอะไรให้ประเทศได้แท้จริงเลย

    การปฏิรูปประเทศจาก "ประชานิยม" ไปสู่ "ประชารัฐ" เป็นแนวคิดที่ถูกต้องแล้ว แต่ในทางปฏิบัติ "ผิดทั้งหมด" และจะนำประเทศไปสู่หายนะแน่นอน คนปฏิรูปจะต้องปฏิรูปให้เป็น ปฏิรูปไม่เป็น ประเทศก็พังกัน เพราะการปฏิรูปไม่ใช่ของง่าย ยากกว่าการพัฒนาประเทศเสียอีก การพัฒนาประเทศไม่ได้คิดอะไรใหม่ ก็แค่ต่อยอดจากเดิมให้มากขึ้น ก้าวหน้ามากขึ้น ได้มากขึ้นเติบโตมากขึ้นก็นับว่าพัฒนาแล้ว แต่การปฏิรูปต้องเอา "ของใหม่" มาแทนที่ "ของเก่า" จึงจะเรียกได้ว่าปฏิรูปที่แท้จริง ทีนี้ ถ้าจะปฏิรูปประชานิยมไปสู่ประชารัฐ มันก็ไม่ยาก อย่างแรก ต้องเข้าใจก่อนว่าอะไรคือ ประชานิยม อะไรคือประชารัฐ มันไม่เหมือนกัน ประชานิยม คือ สร้างความนิยมในหมู่ประชาชนด้วยนโยบายต่างๆ โดยไม่สนผลกระทบต่อการคลัง เช่น การแจกเงิน กรณีน้ำท่วมที่นา เป็นต้น เปิดช่องให้คอรัปชั่นได้ทางนโยบาย คือ ซื้อเสียงทางอ้อม นั่นเอง ส่วนประชารัฐนั้นไม่ใช่ประชานิยม เพราะไม่เน้นที่ "ความนิยม" แต่เน้นที่ "รัฐ" หรือภาพรวม เรียกว่า "เห็นแก่ส่วนรวมมาก่อน ไม่ใช่เอาคะแนนนิยม คะแนนเสียงเป็นสำคัญ" เช่น การให้ประชาชนแบกรับภาระ "โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค" ด้วยตัวเองแต่ไม่ใช่ไปทำลายโครงการของเขา เพราะการปฏิรูปไม่ใช่การทำลายล้างครับ เราต้องเปลี่ยนจากการที่รัฐบาลโอบอุ้มโครงการนี้ ไปให้ "ประชาชน" ร่วมรับผิดชอบ" ร่วมกันแบกรับภาระเอง ดังเช่นใน ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด เขาก็ให้ประชาชนดูแลกองทุนต่างๆ เองครับ

    เมื่อประชาชนดูแลรัฐเอง (ประชารัฐ) พวกเขาก็จะเข้มแข็งขึ้นครับ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2016
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    มหาอุปปายะ อุบายที่ไร้อุบาย


    พระธรรมที่กล่าวไว้ใน "สัทธรรมปุณฑริกสูตร" นี้เป็นธรรมอัศจรรย์ เป็นธรรมะมหาอุปปายะ เป็นอุบายที่ไร้อุบาย อันอุบายอื่นนั้นจำจะต้องหลอกล่อให้ปวงสัตว์กระทำ เหมือนหลอกล่อให้ชิมเกลือ ก็จะรู้เองกว่าเกลือเค็มเป็นอย่างไร? สัจธรรมแท้จริงเป็นอย่างไร? โดยไม่ต้องอธิบาย ก็จะทราบด้วยตนเอง (ปัจจัตตัง เว ทิตัพโพ วิญญูหิติ) ทว่า สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ กลับไม่ต้องหลอกล่อ แม้พูดตรงไปตรงมา ไม่มีโกหก ไม่มีหลอกลวง ก็บังเกิดความอัศจรรย์เหมือนมีเทพเทวดามาดลบันดาลให้เป็นไปได้ อาจเรียกได้ว่าเป็น "คัมภีร์เทวดา" เลยก็ได้ แลผู้ที่มีธรรมนี้ ก็เป็นดั่ง "ลูกเทวดา" เลยทีเดียว ที่กล่าวมานี้ ถามว่าอุปมาอุปมัยไหม? ไม่เลย ท่านสามารถไปดูได้จริงเลย ณ ปัจจุบันนี้ (ค.ศ. 2016) ว่าในสังคมของท่านมีผู้ที่ทำตนเป็นดั่ง "ลูกเทวดา" อยู่หรือไม่? พวกเขาทำไมมีอภิสิทธิ์พิเศษกว่าผู้อื่น? นี่แหละ เพราะพวกเขามีพลังธรรมตามสัทธรรมปุณฑริกสูตรอยู่ เป็นพลังธรรมที่มาจากจักรวาลอันไกลโพ้นมาสู่โลกใบนี้ ในยุคนี้ อันเป็นยุคบุกเบิก "ธรรมบัวบาน" หรือธรรมตามสัทธรรมปุณฑริกสูตร ทว่า พลังธรรมนี้ สามารถเคลื่อนย้ายถ่ายเทได้ แม้พวกเขาจะมี จะได้รับ แต่หาก "หมดวาระผลบุญ" ที่จะได้รับแล้ว พลังธรรมก็จะเคลื่อนจากเขาไปสู่ผู้อื่นได้ ถามว่าแล้วใครจะได้รับ? ก็คือ คนที่มีวาระบุญ สร้างบารมีมาพร้อมแล้ว นั่นเอง

    ดังนั้น เราจึงเห็นเหล่า "ลูกเทวดา" ลองผิดลองถูก เรียนรู้อยู่ในโลกนี้ เสมือนหนึ่งว่าไม่มีใครจะทำอะไรพวกเขาได้ เช่น กรณีเด็กแว๊นซ์รุมฆ่าชายพิการ เป็นต้น ทว่า เมื่อใดที่พวกเขาหมดบุญแล้ว ธรรมนี้ก็จะเคลื่อนจากพวกเขาไป ไปสู่ผู้อื่นแทนเหมือนดอกบัวตูมอันเป็นปริศนาธรรม ไม่ถูกทำให้บานออกโดยพวกเขาก็จะเคลื่อนไปหาคนใหม่ เจ้านายใหม่ นั่นเอง ดอกบัวตูมทั้งหลายนี้มีอยู่มากมายยิ่งกว่าดอกบัวในบึงใดๆ ในโลก เป็นพลังทิพย์ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มีพลังบุญเยอะมาก ผู้ใดได้ครอบครอง ก็จะเหมือนลูกเทวดา อยู่ในโลกได้ดั่งเทวดา ไม่ต้องทำงานการอะไร วันๆ แค่ศึกษา, ปฏิบัติในธรรมบัวบานนี้ให้ได้ ทำให้บัวตูมนี้บานออกให้ได้ ก็พอแล้ว จะมีคนดูแล จะมีพ่อแม่ ทั้งที่พ่อแม่จริง และไม่จริง แต่อาสามาทำหน้าที่ให้เราเอง เพราะการเผยแพร่สัทธรรมปุณฑริกสูตรนั้น "เป็นงานที่สำคัญที่สุดกว่างานใดในโลก" ดังนั้น พวกเขาที่ทำงานนี้อยู่แล้วจึงไม่ต้องทำงานใดๆ ในโลกอีกเลย ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพใดอีกเลย เพราะมี "ภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า" ทำอยู่แล้ว ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลยเสียหน่อย เอาละ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับมัน คนที่มีอดีตชาติ "พลีชีพเพื่อชาติ ตายในสนามรบ" มา จะถูกคัดเลือกให้ได้รับธรรมนี้ครับ (เช่น บริวารของพระนเรศวร)

    รอจนกว่าพวกเขาหมดบุญแล้ว เราจึงรับช่วงต่อจากเขาได้ครับ
     
  20. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พระนเรศวรกับเล้งหูชงก็ "อาตมัน" เดียวกัน

    เล้งหูชง เป็นคนที่รักอิสระเสรี ไม่ขึ้นกับสำนักใดๆ
    พระนเรศวร มานำพาบริวาร บำเพ็ญเพื่อให้ได้บุญบารมี
    ให้ได้มีอิสระเสรี ไม่ต้องทำงานอะไร ก็อยู่ได้ ไม่ต้องบวช
    เหมือนเด็กแว๊นซ์, เด็กแนว, ลูกเทวดา ฯลฯ ที่อยู่ในยุคนี้ไงฮะ

    ซึ่งจะเป็น "ธรรมภาคฆราวาส" ที่จะปรากฏในกึ่งกลางพุทธกาลนี้


    [​IMG][​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...