ธรณีสูบยักษ์สูบ มหันตภัยล้างโลก–พยากรณ์โลก-กับหลักฐานสำคัญ-พระจักรพรรดิ 30 กย 53

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ออร์กะ, 2 มิถุนายน 2010.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เกือบจะออกไปทางพราหมณ์อาบน้ำในพระแม่คงไปเสียแล้ว

    จะบอกให้เอาบุญฯสักอย่างหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนทางพ้นทุกข์ ไม่ใช่สอนทางไปหาสุขแบบโลกียะสุขแบบมนุษย์และสุคติโลกสวรรค์ ท่านสอนให้หนีออกจากบ่วงของมาร

    สิ่งก่อสร้างทั้งหลายเป็นเทวรูป รูปปั้นรูปเคารพใดๆก็ดี จะไม่มีทางที่จะข้ามไปกัปป์อื่นได้ ต้องสลายไปหมด สิ่งที่อยู่ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆจะไม่ข้ามมาองค์ปัจจุบัน มีแต่พระธรรมเพียงเท่านั้นที่ยังอยู่ข้ามกาลและเวลาเสมอ ต่อให้ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นก็ตาม พระธรรมนี้ก็ยังคงอยู่

    ฉนั้นผู้สร้าง ต้องคิดถึงอานิสงส์โดยตรงจากการเห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้าก็ควรต้องเห็นธรรมนั้นด้วย ไม่เห็นธรรมก็ไม่ได้ชื่อว่า ได้เห็นพระพุทธเจ้า

    เอาแค่นี้พอ ที่เหลือคิดเอาเอง!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2015
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    งั้นสิ่งนี้ในพระพุทธศาสนา ก็ยิ่งไปกว่านักวิทย์

    ปเทสญาณ (ญาณเครื่องกำหนดเวลา)
    บทว่า อิทมหํ ความว่า เราตถาคตย่อมกล่าวสิ่งนี้ คือการกำหนดหมายอย่างนี้.
    บทว่า สมฺโมหวิหารสฺมึ วทามิ มีอธิบายว่า เราตถาคตย่อมกล่าว (การกำหนดหมาย) ว่า เป็นการอยู่ที่นับเนื่อง คือจัดอยู่ภายในการอยู่อย่างงมงาย ได้แก่กล่าวว่าเป็นการอยู่อย่างงมงายอย่างใดอย่างหนึ่ง.
    บทว่า อหํ โข ปน พฺราหฺมณ ฯลฯ สญฺชานามิ ความว่า การกำหนดเวลากลางคืนกลางวันของพระโพธิสัตว์ปรากฏแล้ว แม้ในเวลาที่ฝนตกพรำตลอด ๗ วัน ถึงพระจันทร์และพระอาทิตย์จะไม่ส่องแสง พระโพธิสัตว์ก็ย่อมรู้ได้เองทีเดียวว่า ระยะเวลาเท่านี้ถึงเวลาอาหารเช้า ระยะเวลาเท่านี้ถึงเวลาหลังอาหาร ระยะเวลาเท่านี้ถึงปฐมยาม ระยะเวลาเท่านี้ถึงมัชฌิมยาม เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้แล้วอย่างนั้น และก็ไม่น่าอัศจรรย์เลยที่พระโพธิสัตว์ผู้มีบารมีได้บำเพ็ญมาแล้วจะรู้อย่างนี้.


    แม้เหล่าพระอริยสาวกที่ดำรงอยู่ในปเทสญาณ ก็ปรากฏว่ากำหนดเวลากลางคืนและกลางวันได้. มีเรื่องเล่าว่า พระโคทัตตเถระในกัลยาณิมหาวิหารรับภัตรในเวลา ๒ องคุลี แล้วฉันในเวลา ๒ องคุลี (นั้นเอง) เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่ปรากฏดวง ก็เข้าเสนาสนะแต่เช้าๆ ออกมาในเวลา (เดียวกัน) นั้น. วันหนึ่งพวกคนวัดคิดกันว่า พวกเราจะพบท่านได้ในเวลาที่ท่านออกมาตอนพรุ่งนี้ จึงจัดแจงภัตรแล้วนั่ง (คอย) อยู่ที่ใกล้หลักบอกเวลา (หลักวัดเงาแดด). พระเถระออกมาในเวลา ๒ องคุลีเหมือนเดิม. ทราบมาว่า ตั้งแต่นั้นมาแม้พระอาทิตย์จะยังไม่ปรากฏดวง พวกคนวัดก็จะตีกลองด้วยสัญญาณที่พระเถระออกมา.


    แม้ในธชาครวิหาร พระกาลิเทวเถระเคาะระฆังบอกยามภายในพรรษา การเคาะระฆังบอกยามนั้นเป็นกิจวัตรประจำวันของพระเถระ แต่ว่าพระเถระไม่ยอมใช้นาฬิกาเครื่องจักร. ส่วนภิกษุพวกอื่นใช้. ครั้นต่อมาเมื่อปฐมยามล่วงเลยไป พอพระเถระถือไม้เคาะ (ระฆัง) ยืนอยู่ หรือเคาะได้ครั้ง ๒ ครั้งเท่านั้น นาฬิกาเครื่องจักรก็ตี. เมื่อเป็นอย่างนี้ พระเถระจึงบำเพ็ญสมณธรรมในยามทั้ง ๓ แล้วเข้าไปบ้านแต่เช้าตรู่ รับบิณฑบาตกลับมาวัด ในเวลาจะฉันก็ถือบาตรไปยังที่พักกลางวัน บำเพ็ญสมณธรรม. ภิกษุทั้งหลายเห็นหลักบอกเวลาแล้วได้ส่งภิกษุไปเพื่อต้องการ (ในการกราบเรียน) ให้พระเถระมา. ภิกษุ (รูปที่ไป) นั้นได้พบพระเถระ (ขณะ) กำลังออกมาจากที่พักกลางวันบ้าง ในระหว่างทางบ้าง. แม้เหล่าพระสาวกที่ดำรงอยู่ในปเทส
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    คิดได้ดี
     
  4. Wizard Destroyer

    Wizard Destroyer Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +75
    ไม่เคยเจอใครมันบ้าได้ขนาดนี้เลยเห้ย แถเข้าไป ไม่เถียงด้วยละกับคนบ้า
    พูดไปไม่เกิดประโยชน์ เชิญเพ้อเจ้อต่อไปตามสบาย ถ้าคิดจะดิสเครดิตเรา
    ล่ะคิดผิด อยากทำห่าอัลไลเชิญตามสบายแล้วรับผลกรรมเอาแทนแล้วกัน
    บิดเบือนความจริงกันเข้าไป แล้วความพยายามเขียนข้อความว่าเราลบหลู่
    พระพุทธเจ้านี่สงสัยจะบ้า ที่ลบหลู่ก็มีแค่ผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้วิเศษสอนคนอื่นไปทั่ว
    เอาสัทธรรรมปฏิรูปมาเผยแพร่เป็นว่านี่ล่ะดั่งผู้วิเศษเช่นเอ็งนี่ล่ะรู้ไว้ซะด้วย
    อย่ามาหาเรื่องกัน เรากล่าวถึงคำนายผู้วิเศษอย่างเดียวแต่นี่เล่นเชื่อมโยงไป
    ถึงพระศาสดาระวังให้ดีป้ายสีให้ร้ายผู้อื่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 พฤษภาคม 2015
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ชี้ชัดที่สุดของ{พระสัพพัญญู}คือผู้รอบรู้ทุกสิ่ง


    ผู้ที่ไม่รู้จักไม่เข้าใจในศาสนา แต่อยากจะอภิปรายให้ความเห็นที่ไปที่มาของศาสนา เป็นคนพาลพาโลหาใช่เป็นบัณฑิต




    "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ทรงเป็นพระสัพพัญญูคือเป็นผู้รอบรู้อย่างยิ่ง ทรงล่วงรู้ทั้งหมดแม้แต่เหตุเกิดของทุกศาสนา ทรงทราบที่มาและที่ไปจุดมุ่งหมายสูงสุดของทุกคำสอน รู้กรรม รู้เผ่า รู้พันธุ์ รู้ชาติ รู้ตำรา คำสั่งสอนของทุกศาสนาทั้งในที่ลับปกปิดสูญหายและที่แจ้งเปิดเผยไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งไปกว่ามายาคติที่สร้างภพสร้างชาติ ของผู้เป็นเจ้าลัทธิศาสนาชนชาตินั้นๆ พระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาเป็นทางสายเอกเพียงทางเดียว เป็นทางตรงไม่มีสอง ไม่มีสองสถานะคือทำลายและสาปแช่งกล่าวให้ร้ายผู้อื่นผู้ใดและมีความอ่อนโยนเมตตารักอ่อนโยนอย่างบริสุทธิ์ใจ อุปมาดั่งเหรียญสองด้านนั้นด้วย นั่นมิใช่ฐานะ!ไม่ใช่ความหมายของคำว่า"ศาสนา"

    " ศาสนาที่แท้จริงเมื่อปฎิบัติตามย่อมส่งผลให้มีความเจริญเพียงอย่างเดียว ไม่มีตกต่ำเลย และเมื่อไม่รู้ไม่ปฎิบัติตาม ศาสนาที่แท้จริงนั้นก็ไม่ได้ ส่งผลลงโทษสาปแช่งดูหมิ่นให้ใครเสียหาย นี่จึงเรียกว่าได้ศาสนาอันเป็นที่พึ่งอย่างจริงแท้ "

    ฉนั้น "ศาสนาใดที่เป็นอยู่อย่างนั้น หรือไม่มีศาสนาไว้เป็นที่พึ่งนับถือเลย หรือเขาจะนับถือตนเองเป็นที่สุด ก็ช่างเขาเถิด" ใครชอบแบบนั้นก็ถือเอาตามกันไป

    แต่#อสัทธรรม#และ*สัทธรรมปฎิรูป* อย่าได้มา กล้ำกรายแผ่นดิน[พระสัทธรรม] ดินแดนนี้

    พระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาไม่ได้มีบัญญัติการลงโทษและสาปแช่ง กับผู้ที่ไม่ได้เห็นตามชอบใจตามเอาไว้ อย่างเดียรถีย์เข้าใจ

    ศาสนาพุทธซึ่งเป็นพระศาสนาของ"พระธรรมราชา" คือราชาแห่งธรรมทั้งมวล ธรรมที่เป็นทางสายกลางและหลุดพ้นเพียงหนึ่งเดียวในสหโลกธาตุในอนันตริยะจักรวาล นอกจากนั้นไม่มีธรรมที่หลุดพ้นจากความทุกข์ได้


    ฉนั้นคำสั่งสอนของความเชื่อใด ที่ยังหวังให้ผู้อื่นเสวยความสุขสบาย ในสรวงสวรรค์นั้นอยู่ เป็นผู้สั่งสอนผู้อื่น ให้แสวงหาความทุกข์ในรูปแห่งความสุขนั้นด้วย จึงไม่รู้จักความสุขความทุกข์อย่างแท้จริง เมื่อไม่รู้จักทุกข์ และทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ย่อมไม่ได้พบกับความสุขอันเป็นบรมสุขที่แท้จริงมีแต่ในพระนิพพานเพียงเท่านั้น เป็นความสุขอันแท้จริงที่ไม่ใช่มายาคติปรุงแต่งสร้างเสริมกันขึ้นมา เชื่อเถิดว่า " ความเบื่อหน่าย เกิดขึ้นได้ในทุกๆที่ทุกๆสถานะ ยกเว้นเพียงสถานะเดียว "คือรสแห่ง[วิมุติสุข]อันเป็นบรมสุขของ[พระนิพพาน] เป็นยอดโอชารส เหนือสภาวะปรุงแต่งทำเทียมทั้งมวล


    วาทีสูตรนี้ แม้ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด ด้วยอรรถพยัญชนะ เสียง รูป ถูกต้องเพียงไร เหล่าเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลายผู้ห่างไกลพระธรรม ต่อให้พบพระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางได้ประโยชน์อะไร?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2015
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ขอโต้แย้งเรื่องการทำลายสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิตอื่น ไม่ว่าจะอยู่ภายนอกหรือภายในพระพุทธศาสนาก็ตาม เรื่องการทำลายอสัทธรรม หรือ สัทธรรมปฎิรูปใดๆ การฆ่าล้างทำลายผู้อื่นให้เหลือแต่พระพุทธศาสนานั้น ไม่เป็นความจริง
    อริยะวินัยนี้ทำลาย ความทุจริตและมิจฉาทิฎฐิ เพียงเท่านั้น! ไม่มีอำนาจดลบันดาลให้ผู้อื่นต้องทนทุกข์ทรมาน นี่ไม่ใช่วิสัยของหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ขอให้เข้าใจเสียใหม่ สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นสิ่งมีค่าเกินกว่าจะประหัตประหาร ล่วงเกินเอาชีวิตของเขา ไม่ควรพิจารณาให้เป็นอื่น นอกจากการเห็นใจและเข้าใจ เหล่าพุทธบริษัทที่ปฎิบัติตามธรรมดีแล้วด้วยกันตามองค์คุณกัลยาณมิตร เมื่อมีฐานะธรรมอันสมบูรณ์บ้างแล้วก็ควรหาโอกาส ทำหน้าที่อนุเคราะห์เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์สาธุชน ทั้งหลายฯตลอดจน สรรพสัตว์นั้นด้วย จึงจะเป็นการดี


    "ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง อันละเอียดอ่อนแห่งกระแสธรรม จะมีสำหรับผู้มีความเคารพรักและศรัทธาอย่างแรงกล้า"


    "พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทรงส่งเสริมและคาดหวังปราถนาให้เกิดวิบากกรรมกับผู้ใด" ปถุชนและท่านสาธุชนเหล่าพุทธบริษัท๔ทั้งหลายนั้นต้องเข้าใจตามและต้องพึ่งตนเองเข้าสู่รสพระธรรม เพราะเหตุแห่งการเกิดทุกข์ทั้งหลายนั้นแล ที่ตนได้กระทำผิดพลาดไป บุญส่วนบุญ กรรมก็ส่วนกรรม (อนัตริยกรรมที่พลาดพลั้งทำไปแล้ว ไม่สามารถเจริญในธรรมชั้นโลกุตระได้ แต่สามารถเพียรพยามยามศึกษาหาความเจริญ สร้างกุศลเพื่อเกื้อหนุนชาติภพใหม่ได้ เป็นฐานะที่ต้องยอมรับสภาพในผลกรรมที่สร้าง เช่น กรณี พระเจ้าอชาตศัตรู) แต่หากได้ที่พึ่งที่ดีปฎิบัติตนดีเพื่อ - เพิ่ม, เลิก, เจริญ ในการ [ทำความดี ไม่ทำความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส] ไปจนถึงคราสำเร็จธรรมนั่นแล้ว ถึงแม้มีกรรม รออยู่เบื้องหน้าให้หนักหนาสักปานใด ก็สามารถหลีกเร้นหนีพ้นผลกรรมนั้นได้

    "แต่ในที่นี้หมายถึงการยอมรับผลของการกระทำ ด้วยใจทรนงซื่อตรงอ่อนโยนเชื่อมั่น ในการสำนึกผิดบาปตามเหตุผลอันควร ประดุจเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวกที่ทรงยึดมั่นแสดงไว้เป็นตัวอย่าง เพราะรู้และสำนึก แม้มีฤทธิ์หนีทำลายพ้นเหตุและการณ์ร้ายใดๆได้ ก็ไม่ฉวยโอกาสทอดทิ้งภาระกรรม นี่คือองค์คุณของพระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์คุณ"



    อภิณหปัจจเวกขณ์ ๕

    ชราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะติโต

    เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้

    พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต

    เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้

    มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต

    เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้

    สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว

    เราจักพลัดพรากจากของที่รัก ของชอบใจทั้งหลาย

    กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท

    เรามีกรรมเป็นของๆตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

    กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ

    เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์

    กัมมะปะฏิสะระโน ยัง กัมมัง กะริสสามิ

    เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้

    กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา

    เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม

    ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ

    เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น

    เอวัง อัมเหหิ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง

    เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนืองๆอย่างนี้แล.


    "ในหมู่พุทธบริษัทสาธุชนใด ที่ขัดเกลาตนมีจิตใจอ่อนโยน ซื่อตรงบริสุทธิ์ปฎิบัติดีแล้ว ย่อมเป็นผู้ได้รับผลก่อน"

    บัณฑิตย่อมฝึกตน อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา ...

    ผู้ฝึกตนได้เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ทนฺ โต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ ...

    ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2015
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    อย่าเหยียบย่ำสาปแช่งนรก

    นรกก็มีหน้าที่ของนรก นรกไม่ดีตรงไหน สรรพสัตว์ทั้งหลายฯ ล้วนแต่เคยเป็นพ่อแม่พี่น้องผองเพื่อน ญาติทั้งนั้นที่เวียนว่ายตายเกิด มีแต่ท่านเมตตาสงสารฉุดช่วย เราไม่เคยเห็น คำสอนใดๆของพระรัตนตรัย ที่จะทรงกระทำย่ำยีแดนนรกเลย มีแต่โปรดและฉุดช่วย และเกรงกลัวหวาดกลัวว่าตนเอง และผู้อื่นจะได้รับผลกรรมอย่างนั้น

    น่าสงสารจริงๆ ที่เข้าใจนรกผิดๆ แบบนี้ก็เท่ากับ สาปแช่งรากเหง้าบรรพบุรุษตระกูลของตนเองและผู้อื่นไปด้วย ช่างน่าเวทนา ทั้งที่อยู่ในนั้นมีผู้มีบุญจะมาเกิดแล้วพ้นทุกข์มากมายเป็นพ่อแม่พี่น้อง ผองเพื่อนญาติ มิตร ของตนเองมาก่อนก็มี อริยบุคคลเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าตั้งมากมาย




    จิตใจคนเรานี่ช่างดื้อด้านจริงแท้ นรกยังไม่อยากต้อนรับนี่สิ ต้องไปที่ไหน? ขุมพิเศษสงสัยจะมี แบบนรกไม่ต้องการ พวกอมีบ้า แบคทีเรีย สัตว์เซลล์เดียว เชื้อโรค กลากเกลื้อน ตัวเสนียด ฯลฯ อืม เข้าใจละ แบบนี้ น่ากลัวจัง! เป็นคนดีๆไม่ชอบ ชอบแบบไม่เป็นผู้เป็นคน กรรมแท้ๆ น่าสงสารจริงๆ ช่างน่าเวทนา อาดูร

    ส่วนเราหมดโอกาสไปซะแล้ว นรก ไม่ใช่ฐานะ ไปในที่นี้คือไปเสวยทุกขเวทนา ไม่เกี่ยวกับการไปโปรดสัตว์ ต้องอธิบายไว้ เดี๋ยวตัวที่จะเป็นแบคทีเรียฯลฯคิดไม่ทัน

    ทุกข์ของเราหมดไปตั้งแต่ได้เจอพระพุทธเจ้าแล้ว ทุกข์ใหม่ไม่มีอีก


    ฝากไว้หนึ่งเรื่อง เปลี่ยนความคิดซะในเรื่องนี้ ถ้าอยากจะเจริญในรสพระธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • icmy26.jpg
      icmy26.jpg
      ขนาดไฟล์:
      370.2 KB
      เปิดดู:
      36
  8. Faithfully

    Faithfully เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    656
    ค่าพลัง:
    +2,459
    สาธุ อนุโมทนาในวิทยาทานและธรรมทานด้วยค่ะ

    ขอทุกท่านจงตั้งจิตอยู่บนความไม่ประมาท ตามที่พุทธองค์ตรงตรัสไว้ก่อนจะดับขันธ์ปรินิพพานนะคะ สาธุค่ะ


    พุทโธ เม นาโถ
    ___________
    ลมหายใจสุดท้าย..ขอถวายเป็นพุทธบูชา
     

แชร์หน้านี้

Loading...