ท่านที่สวดพระคาถามหาจักรพรรดิ์ เป็นวัตร เชิงแบ่งบันความรู้ประสบการณ์ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย prom20, 3 กรกฎาคม 2012.

  1. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พิธีปลุกเสกวัตถุมงคล หลวงปู่ทวด รุ่นเปิดโลก

    ช่วงที่ ๒


    ในพิธีพุทธาภิเษกนี้ นอกจากหลวงพ่อหวล เจ้าอาวาส ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราชแล้ว ยังได้กราบอาราธนาพระผู้ทรงวิทยาคุณองค์อื่นๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ หลวงพ่อทิม วัดพระขาว หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา และอาจารย์แม้น วัดหน้าต่างนอก นอกจากนี้ก็ยังมีศิษย์ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ พระอาจารย์สุทิน วัดสะแก ศิษย์ของหลวงปู่ดู่ และหลวงพ่อมหาวีระ วัดท่าซุง ฯลฯ

    หลวงพ่อหวล ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของผู้เขียน ได้ให้ผู้เขียนกราบนิมนต์หลวงปู่ดู่ ซึ่งท่านรับจะร่วมอธิษฐานจิตตั้งแต่ ๑๘.๐๐ นาฬิกาของวันพิธี หลวงพ่อหวลได้เล่าให้ฟังว่า ขณะที่กำลังจุดเทียนที่ขันน้ำสาครและราวเทียนอยู่นั้น ท่านเห็นพระองค์หนึ่งมายืนข้างๆ ซึ่งท่านไม่รู้จัก ในแวบหนึ่งท่านฉุกคิดถึงหลวงปู่ดู่ เมื่อผู้เขียนนำภาพหลวงปู่ดู่ไปถวาย ท่านจึงบอกว่า "ฉันไม่ได้เพี้ยนแน่ เพราะคือองค์นี้เองที่เห็น" เมื่อผู้เขียนนำเรื่องราวไปเล่าให้หลวงปู่ดู่ฟัง ท่านตอบว่า "เดี๋ยวจะหาว่าฉันโกหก ใครตาดีก็ดูกันเอาเอง"
    ในวันพิธีเสกวัตถุมงคล หลวงปู่ทวด ผนตกลงมาอย่างหนัก ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจ เพราะเมื่อไปถึงวัด ผู้คนวันนั้นมีมากเกินกว่าที่คิดไว้ ของที่นำมาปลุกเสก ทั้งจากผู้สร้างและผู้นำมาเข้าร่วมพิธี สูงจนท่วมตัวหลวงปู่ ทุกคนที่มาในพิธีอาจจะคิดไม่ถึงก็ได้ว่า นี่เป็นวาระสุดท้ายที่หลวงปู่จะโปรดพวกลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งหลวงปู่ได้เป็นผู้กำหนดวันพิธีไว้ล่วงหน้าคือ วันอังคารที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๒
     
  2. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พิธีปลุกเสกวัตถุมงคล หลวงปู่ทวด รุ่นเปิดโลก

    ช่วงที่ ๓


    ก่อนจะเริ่มพิธีเมื่อกล่าวนำบูชาพระรัตนตรัย และขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยแล้ว ผู้เขียนได้กล่าวอาราธนาหลวงปู่ว่า "ขออาราธนาพระเดชพระคุณหลวงปู่ได้โปรดเมตตาอธิษฐานจิต ปลุกเสกรูปเหมือนหลวงปู่ทวด และวัตถุมงคลในพิธีที่คณะลูกศิษย์ได้ร่วมใจกันสร้างขึ้น เพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นเครื่องระลึกถึงพระไตรสรณคมน์และการนำไปปฏิบัติ ธรรมของเหล่าคณะศิษย์ของวัดสะแก ซึ่งมีหลวงปู่ทวดเป็นประธาน สืบต่อไป"

    หลังจากนั้น หลวงปู่ก็ได้ให้ผู้เขียนกล่าว ชุมนุมเทวดา เพื่อให้มาโมทนาและร่วมในพิธี ต่อไปนี้เป็นคำพูดของหลวงปู่ ที่กล่าวไว้เสมือนกับเป็นอมตะวาจา ที่ทิ้งไว้ให้ระลึกถึง เพื่อให้ลุกศิษย์เกิดศรัทธาปสาทะ มีกำลังใจที่จะสร้างคุณงามความดี จนในที่สุดกลายเป็น อจลศรัทธา สามารถพึ่งตนเองได้ วาจาของหลวงปู่มีดังนี้ "ตั้งใจกันทุกคน ภาวนาไตรสรณคมน์ นิมนต์ท่านด้วยทั้ง ๔ องค์" (ในวันนั้นมีพระสงฆ์อยู่ด้วย ๔ รูป)

    หลวงปู่ "เชิญพระมาทั้งหมดแสนโกฏจักรวาฬ เทวดาด้วย ขอให้ท่านมาช่วยกัน หลวงพ่อทวดมาหรือยัง"

    ผู้เขียน "มาแล้วครับ"

    หลวงปู่ "หลวงพ่อเกษม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ที่แปลพระไตรปิฎกฉบับลังกา หลวงพ่อบุดดามาแล้วใช่ไหม"

    ผู้เขียน "ครับ"

    หลวงปู่ "ตั้งจิตยกของทั้งหมดตามหลวงพ่อทวด ไปพุทธาภิเษกที่วิมานแก้วพระพุทธเจ้า ขอให้พระพุทธเจ้ารับ ท่านรับแล้วหรือยัง"

    ผู้เขียน "ครับ รับแล้ว" หลวงปู่ยกมือขวา ลูบพระทั้งหมดที่อยู่เบื้องหน้าท่าน ๒-๓ ครั้งอย่างช้าๆ

    หลวงปู่ "ตั้งจิตไว้ไปวิมานพระธรรม วิมานพระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ขอให้ท่านช่วยเสร็จแล้วใช่ไหม ตอนนี้สว่างไปหมด พรหมโลก เทวโลก มนุษโลก ดูพุทธนิมิตของหลวงพ่อทวดเต็มท้องฟ้าไปหมด ตั้งจิตนำของทั้งหมดไปนมัสการพระพุทธเจ้าที่ดอยสุเทพ ที่ดอยสุเทพมีพระธาตุพระพุทธเจ้าอยู่ ขอพระพุทธเจ้าให้ท่านประสิทธิ ดูซิของทั้งหมดสว่างหมดหรือยัง"

    ผู้เขียน "สว่างหมดแล้ว"

    หลวงปู่ "ยกของทั้งหมดมาที่วัดสะแก อย่าเพิ่งลง ทำทักษิณาวัตรรอบภูเขาบุญกว้าง ๑ เส้น สูง ๑ เส้นก่อน ๓ รอบ ตอนนี้หลวงพ่อทวดอยู่ที่ไหน ลอยอยู่ในอากาศเห็นหรือยัง อัญเชิญพุทธนิมิตหลวงพ่อทวดมาปฏิสนธิสถิตในของทั้งหมด ดูซิของทั้งหมดสว่างไสวไปหมด แสงแตกกระจายออกไปเหมือนไฟพะเนียงแตก ขอหลวงพ่อทวดคุ้มครองรักษา ฝากเทวดาช่วยปกป้องรักษาของทั้งหมดนี้ตลอดไป ปิดอันตรายทุกอย่าง ของสว่างใช้ได้แล้วหรือยัง ตั้งใจให้ดี อุทิศกุศลไปให้โดยรอบสุดขอบจักรวาฬ อนันตจักรวาฬ ฉันจะให้พรแทน"

    หลวงปู่ให้พรและกรวดน้ำแทนคณะศิษย์ทั้งหลาย เนื่องจากในวันนั้นเสียงหลวงปู่เบามาก จึงได้ยินกันไม่ค่อยทั่วถึง หลังจาดพิธีเสร็จแล้วในวันต่อมา ได้กราบเรียถามหลวงปู่ ท่านบอกว่า "เกือบจะปลุกเสกไม่ได้ เนื่องจากมีคนจัดยาให้ท่านฉันผิด จึงทำให้ท้องเสีย ถ่ายท้องหลายครั้ง แต่เมื่อถึงพิธีกลับทำได้" นับว่าหลวงปู่มีขันติธรรมอย่างยิ่ง และเป็นความเมตตาอนุเคราะห์แก่คณะศิษย์อย่างมาก
     
  3. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พิธีปลุกเสกวัตถุมงคล หลวงปู่ทวด รุ่นเปิดโลก

    ช่วงที่ ๔


    วัตถุมงคลต่างๆ ที่สร้างขึ้นในครั้งนี้ คณะของคุณวรวิทย์ได้แจกจ่ายให้กับศิษย์ที่ปฏิบัติธรรมโดยไม่ต้องเสียเงินใดๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นเหรียญชนิดเงินและทอง ซึ่งคิดเท่ากับต้นทุนตามที่มีผู้สั่งจอง เนื่องจากมีผู้ได้รับแจกมาก จึงทำให้บางคนที่ไม่รู้จักคุณค่านำไปแลกเปลี่ยนจำหน่ายในสนามพระ

    ปัจจุบันวัตถุมงคลดังกล่าว ยังมีเหลืออยู่บ้างในจำนวนไม่มากนัก ซึ่งต้องแล้วแต่กาลเวลา เพราะต้องดูโอกาสที่ควรจะเปิด ท่านที่อยากได้ก็จงอธิษฐาน ปฏิบัติธรรมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา นึกถึงหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ถ้าวาสนาของท่านดี คงมีโอกาสได้รับวัตถุมงคลรุ่นนี้ ที่เรียกกันว่า "รุ่นเปิดสามโลก" หรือที่เซียนพระเรียกว่า "รุ่นดัง" นั่นเอง

    มีเพื่อนของลูกศิษย์ผู้เขียนเคยนำหนังสือ พระผู้จุดประทีปในดวงใจ ซึ่งพิมพ์ครั้งพระราชทานเพลิงศพของพ่อผู้เขียน ไปถวายเพื่อนของเขาซึ่งบวชเป็นพระภิกษุ เมื่อเขาเห็นหนังสือ เขาได้บอกว่า "เพิ่งจะรู้ว่าหลวงพ่อดู่ที่หลวงพ่อเกษมกล่าวถึงคือองค์นี้เอง" จึงได้เกิดการซักถามกันขึ้น พระจึงเล่าให้ฟังว่า เคยไปนมัสการหลวงพ่อเกษม กับโยมมารดาของท่าน ตั้งแต่ยังไม่ได้บวช มารดาได้พาไปนมัสการหลวงพ่อเกษม เพื่อจะขอบารมีให้ลูกชายบวช หลวงพ่อเกษมท่านนั่งหลับตานิ่งอยู่ ได้เอ่ยถามมารดาของท่านว่า "รู้จักหลวงพ่อดู่ วัดสะแกไหม" ซึ่งมารดาเรียนตอบท่านว่า ไม่เคยรู้จัก หลวงพ่อเกษมท่านจึงพูดต่ออีกว่า "เคยได้ยิน เหรียญเปิดโลกไหม" เธอก็ตอบอีกว่า "ไม่เคยได้ยิน" หลวงพ่อเกษมจึงพูดขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า "ให้ไปหามาบูชา เหรียญนี้ดี กันนิวเคลียร์ได้" พระองค์นี้ก็ได้แต่สงสัยว่า หลวงพ่อดู่อยู่ที่ไหน และจะหาเหรียญได้ที่ใด เป็นเวลาเกือบปี จึงเกิดความกระจ่างจากหนังสือที่ได้รับ แสดงว่าหลวงพ่อเกษมท่านใช้ อนาคตังสญาณ คือ ความรู้เกี่ยวกับเรื่องอนาคต ที่ท่านและมารดาของท่าน จะต้องมาเกี่ยวข้องกับหลวงปู่อย่างแน่นอน
     
  4. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ๔.สุดยอดวิชาการฝึกอภิญญาจิตของหลวงปู่

    ช่วงที่ ๑

    หลวงปู่เภาเป็นศิษย์หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ เกจิอาจารย์ชื่อดังของเมืองกรุงเก่า หลวงปู่ดู่ได้ร่ำเรียนเกี่ยวกับการลบผง เรียนสูตรต่างๆ จากหลวงปู่เภา ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ท่านเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังถึง สุดยอดของการทำผงพระพุทธคุณ "มีอยู่คืนหนึ่งนอนฝันไป ว่า ได้เจอกับอาจารย์ที่เป็นต้นแบบของวิชา ไม่ได้เป็นพระ เป็นฆราวาส พอมาถึง ท่านก็เรียกอาจารย์ที่เป็นผู้สอนวิชาทำผงหลายท่าน พร้อมกับต่อว่าเกี่ยวกับการสอน เนื่องจากสอนไม่หมด มีการยักย้ายถ่ายเทอักขระคาถา อาจารย์เหล่านั้นท่านก็บอกว่า เคยเรียนมาแบบนี้ เพราะเป็นการบอกต่อๆ กันมา ในที่สุดอาจารย์ท่านนี้จึงบอกว่า จะสอนให้ถึงของจริง แล้วท่านใช้ดินสอพองเขียนลงไปบนกระดานชนวน เขียนไปลบไปจนตอนท้ายท่านบอกว่า ของจริงต้องเป็นอย่างนี้ ท่านตบลงไปที่กระดาน กระดานชนวนเกิดเป็นไฟลุกขึ้น แล้วท่านก็ให้ลองทำ ข้าพอทำได้ก็เลิก ไม่เอา กลัวบาป"
    ผู้เขียนจึงเรียนถามหลวงปู่ว่า ผงนี้ใช้ทำอะไรได้บ้าง หลวงปู่ท่านบอกว่า "อยู่ที่อธิษฐานได้ทั้งนั้น" เข้าใจว่าท่านคงไม่ต้องการข้องแวะกับสิ่งเหล่านี้ เพราะเป็นอิทธิฤทธิ์ สู้บุญฤทธิ์ไม่ได้ ถ้าติดอยู่จะทำให้หาหนทางไม่ได้
     
  5. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    สุดยอดวิชาการฝึกอภิญญาจิตของหลวงปู่

    ช่วงที่ ๒


    เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ เกิดสุริยคราส ผู้เขียนเกิดความรู้สึกว่า หลวงปู่ทวดบอกว่า "ถ้าอยากได้วิชาชาตรี ให้ไปหาอาจารย์ที่วัด" เมื่อไปถึงกราบเรียนหลวงปู่ ท่านยิ้มบอกว่า "หลวงปู่เข้าใจพูด ล่อแกให้มาวัดได้" สักพักหนึ่ง ท่านจึงอธิษฐานจิตเสกข้าวที่มีญาติโยมนำมาถวาย เสร็จแล้วท่านจึงบอกว่า "วิชา ชาตรียังติดอยู่ในโลก สุริยคราสเกิดวันนี้ แลยทำไปถึงผงสุริยคราส ผงจันทคราส โบราณเขาเรียกว่า ผงสูรย์-ผงจันทร์ ที่จริงพี่น้องเขามาพบกัน ดุมล้อ (ราชรถ) มาเกยกันทำให้เกิดเงา คนไม่รู้เลยยิงปืน ตีเกราะให้คลายจากกัน ควรจะภาวนาถึงจะถูกต้อง เอ้า แกดูนี่ทำ ต่อไปถึงผงนิพพานสูญ ว่างเปล่า ไม่มีอะไร เป็นอันหมดกัน"

    ผู้เขียนจึงเกิดความรู้สึกว่าหลวงปู่ท่านมีสรรพวิชาจริง แต่ท่านไม่ข้องแวะติดอยู่ แม้แต่วิชาชาตรีของหลวงปู่กลั่น ท่านบอกว่าเคยไปเรียนกับพระองค์หนึ่งโดยไปเป็นเพื่อน เนื่องจากการเรียนต้องเรียนเป็นคู่วิชานี้ เมื่อถึงเวลาทำพิธี อาจารย์จะมีหินคอยกำหนด โดยเมื่อบริกรรมไประยะหนึ่ง อาจารย์จะยกหินซึ่งมีน้ำหนักมาก ถ้ายังยกไม่ขึ้นแสดงว่า จิตของลูกศิษย์ยังใช้ไม่ได้ จนกระทั่งอาจารย์ยกได้จะทุ่มมาที่ลูกศิษย์ หลวงปู่ท่านบอกว่า ตอนที่ยกทุ่มมาเสียงดังมาก แม้แต่พระยังวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้เขียนถามความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง หลวงปู่ท่านบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าเป็นคงไม่มาอยู่ต่อหน้าแกเดี๋ยวนี้ วิชาชาตรีมีเค้าเงื่อนเดิมมาจากแขก ผู้ที่เรียนมักเกิดความฮึกเหิม เพราะวิชาคงกระพัน หมายถึงโดนแต่ไม่เข้า ส่วยชาตรี โดนแต่เบา ไม่เจ็บ จึงมักเรียกรวมว่าคงกระพันชาตรี ถ้าผู้เรียนไม่มีศีลธรรม มีที่ไปคือนรก ปัจจุบันคือคุกตะราง อนาคตคือนรกภูมิ หลวงปู่จึงไม่ให้ติดในสิ่งเหล่านี้ เพราะจิตไม่เกิดการพัฒนา ทำให้เนิ่นช้าต่อคุณธรรมที่ควรจะได้
     
  6. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พุทธนิมิต-ภูตพระพุทธเจ้า

    ช่วงที่ ๑

    คำว่าภูตนี้ มักใช้กับพวกภูตผีปีศาจ ตามที่โบราณบอกไว้ว่า เมื่อคนเราตายลงไป ก็จะมีภูติเกิดขึ้นคือ ภูตดิน ภูตน้ำ ภูตลม และภูตไฟ คนที่ไปเจอผี หลวงปู่บอกว่า บางทีก็ไปเจอภูตเหล่านี้ ตามความเห็นของผู้เขียน ภูตนี้หมายถึง พลังงานที่ยังหลงเหลืออยู่ของปุถุชนทั่วไป เสมือนไปที่เราก่อไว้ แม้ดับลงไปแล้ว เมื่อเราเอามือไปจับ จะรู้สึกว่ายังมีความร้อนสะสมอยู่ แล้วจะค่อยๆ เย็นตัวลงเป็นลำดับ แต่สำหรับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ พลังงานของท่านเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ ซึ่งท่านอธิษฐานไว้ เพื่อช่วยเหลือพระพุทธศาสนา อันเปรียบเสมือนตัวแทนของพระองค์ท่าน แม้จะทิ้งสังขารไปแล้ว สิ่งที่เราเรียกว่ารูปธรรมนั้น ก็น่าจะเป็นรูปธรรมละเอียด หรือจะเป็นนามธรรมก็ได้ เพราะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สามารถสัมผัสหรือรู้ได้ โดยลักษณาการทางจิตที่ปฏิบัติได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ

    การปฏิบัติให้จิตพ้นทุกข์นั้นมีหลายวิธีการ บางท่านก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่โลดโผน บางท่านมีนิสัยวาสนาในด้านความลึกลับ ซึ่งไปตามอัธยาศัยหรือความชอบ แต่จุดมุ่งหมายใหญ่คือ ความพ้นทุกข์ เพื่อให้ได้เข้าถึงธรรมคือ พระนิพพาน ที่กล่าวกันว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต" ถ้าเรามาตีความหมายในขั้นละเอียด คืออะไรเป็นตัวเห็น ตอบว่าจิต หมายถึงจิตเห็นเสมือนตาเห็นรูป เพราะไม่มีอำนาจใดจะเท่ากับอำนาจของจิตได้ ผู้ที่นั่งสมาธิและเห็นพระก็เช่นเดียวกัน แต่อยู่ในระดับที่ยังเอาพระเป็นที่พึ่งไม่ได้ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่การเห็นเหล่านี้ ก็อยู่ในขั้นที่เราได้สัมผัส กับพลังงานของพระที่มีอยู่ ทำให้ไม่สงสัยว่าจะมีจริงหรือไม่ ทางพุทธศาสนาเรียกว่าเป็น พุทธนิมิต ธัมมนิมิต สังฆนิมิต
     
  7. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า

    ช่วงที่ ๒


    แรงบันดาลใจที่ทำให้หลวงปู่ดู่ต้องการมาศึกษาเรื่องนี้ คือว่ามีชาวบ้านอยู่คนหนึ่ง กลืนพระวัดตระไกรลงไปในท้อง แล้วมาปรึกษาท่านว่า ควรจะทำอย่างไร ท่านก็บอกว่า ให้ลองเอาผ้าขาวปูเวลานอนหลับ พอตอนเช้าพระก็ออกมาที่ผ้าขาว ซึ่งหลวงปู่ก็คิดว่า การที่พระออกมาที่ผ้าขาวได้นั้น แสดงว่าพระจะต้องมีพลัง พลังอันนี้ก็คือ ภูตพระพุทธเจ้า ในเรื่องของการเคลื่อนที่ของพระยังมีอีกองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อใจ วัดเสด็จ ตะกรุดที่ท่านทำเขาเรียก "ตะกรุดโลกธาตุ" บางคนที่เผลอกลืนเข้าไป ท่านจะสั่งให้เอาผ้าขาวปู พอตอนกลางคืนเขาก็พยายามที่จะไปดูว่า ตะกรุดจะออกมาตอนไหน จนกระทั่งม่อยหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาปรากฎว่า ตะกรุดออกมาอยู่ที่ผ้าขาวแล้ว นี่แสดงถึงพลังงานของพระที่ยังมีอยู่ หลวงปู่จึงต้องการจะศึกษาว่า พลังงานของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปแล้ว ก็ยังมีพลังงานเหล่านี้อยู่ ส่วนในเรื่องข้อขัดแย้งระหว่างหลวงปู่กับอาจารย์เฮง (ไพรวัลย์) ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่สี วัดสะแก อาจารย์เฮงจะทำในด้านเกี่ยวกับพรหม คือจะเชื่อว่าพรหมยังมี แต่ในขณะเดียวกันจะถือว่า พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์พอเข้านิพพานแล้วก็สูญ ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีพลังเหลือ หลวงปู่จึงถามท่านว่า อาจารย์เคยไปพระปฐมเจดีย์แล้วเห็นพระธาตุเสด็จหรือเปล่า ท่านก็บอกว่า อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย คือ สมัยที่เป็นเสือป่าตามเสด็จรัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระบรมโอรสาธิราช ในคืนนั้น พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ได้เสด็จออกจากพระปฐมเจดีย์ ระยะ หนึ่งแล้วก็กลับมาโดยมีรัศมีสีเขียวเป็นลูกกลมเท่าผลส้มเกลี้ยง ซึ่งในการเห็นครั้งนี้ รัชกาลที่ ๖ พร้อมทั้งข้าราชบริพารที่ตามเสด็จก็เห็นโดยทั่วกัน

    พระองค์จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาไปถึงพระราชบิดา หรือพระพุทธเจ้าหลวง โดยทรงอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า "อาจจะเกิดจากสารเรืองแสง แต่ทรงมีข้อสงสัยว่า น่าจะต้องเกิดขึ้นหลังจากที่ฝนตก แต่การเสด็จของพระธาตุนั้น เกิดขึ้นในขณะที่ฟ้าโปร่ง" รัชกาลที่ ๕ ได้มีพระราชหัตถเลขาตอบมาว่า "ไม่ต้องสงสัยในเรื่องนี้ เพราะพระองค์พร้อมทั้งข้าราชบริพารได้เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของ พระพุทธานุภาพคือ เป็นบารมีของพระบรมสารีริกธาตุ นั่นเอง" ตรงนี้อาจารย์เฮงก็บอกว่า ตนเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น หลวงปู่จึงได้บอกว่า "ถ้า พระธาตุ หรือพระบรมสารีริกธาตุ เคลื่อนที่ไปได้ก็แปลว่า จะต้องมีพลังงานในการขับเคลื่อน ซึ่งพลังและบารมีนี้ก็แสดงว่าไม่ได้สูญหายไปไหน" หลวงปู่ยังกล่าวอีกว่า "กระดูกคนตายหลายร้อยหลายพันราย เห็นทิ้งกันให้เกลื่อนกลาดดาษดื่น ถ้าภูตพระพุทธเจ้าหมดไปแล้ว พระบรมธาตุจะเสด็จไปได้อย่างไร" อาจารย์เฮงเลยนั่งเงียบ ไม่สามารถจะหาข้อมาโต้แย้งกับท่านได้ เพราะการที่พระธาตุเสด็จ ก็เสด็จไปด้วยอำนาจของภูตเหล่านี้
     
  8. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า

    ช่วงที่ ๓


    เมื่อหลวงปู่กล่าวจบ ท่านได้เล่าความฝันให้ฟังต่อว่า มีพระองค์หนึ่งเป็นพระสงฆ์มีรูปร่างใหญ่ผิวดำมาบอกว่า "ถ้าท่านต้องการของดี ทำไมท่านไม่หา ภูตพระพุทธเจ้า ให้พบ" แล้วพระองค์เดียวกันนั้น ท่านได้มาเขียนคาถาใส่ธง ๓ ธง ขณะที่เขียน ท่านเอียงข้างเขียน จึงมองไม่เห็นว่าท่านเขียนอะไร เสร็จแล้วท่านเอามือตบที่ธง ๓ ครั้ง ธงก็ลอยขึ้นไปพะเยิบพะยาบ หลวงปู่จึงตื่นขึ้น อีกครั้งหลวงปู่ฝันเห็นพระองค์ท่านแบกใบลานเข้ามาบอกว่าจะเอามาให้กิน หลวงปู่บอกว่าผมจะกินเข้าไปได้ยังไง ใบลานตั้งแบก ท่านบอกว่ากินได้ ประเดี๋ยวท่านจะทำให้ ท่านก็เผาใบลาน พอดีหนูเจ้ากรรมกระโดดตกลงมาบนบาตร เลยตกใจตื่นไม่ทันได้กิน ซึ่งแสดงถึงว่าท่านต้องเคยได้มาแล้วในอดีต เมื่อเคยได้มาแล้วในอดีต ก็เกิดแรงบันดาลใจเกี่ยวกับความฝัน จึงทำให้หลวงปู่คิดจะค้นคว้าว่า ภูตพระพุทธเจ้า หรือพลังงานของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน มีจริงหรือไม่ สำหรับ พระสงฆ์องค์ที่หลวงปู่พบในฝัน ก็คือหลวงปู่ทวด นั่น เอง แสดงถึงบุญบารมีเก่าที่เคยสร้างมา ทำให้หลวงปู่จึงมาเกิดในนิมิตในเรื่องนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ พระภิกษุชาวอินเดียยุคหลังพระพุทธเจ้านิพพานประมาณ ๑ พันปี ได้เขียนไว้ในอรรถกถาธรรมบท ขุททกนิกาย ภาค ๖ เรื่องว่าด้วยตอนพระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์ เสด็จขึ้นไปแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดายังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงแสดงอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาติดต่อกันตลอด ๑ พรรษา ตามท้องเรื่องก็ว่า พระพุทธมารดาทรงฟังธรรมพระพุทธเจ้าอย่างต่อเนื่องตลอด ๑ พรรษา เวลาใดพระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาต เวลานั้นพระพุทธเจ้าจะทรงเนรมิตสิ่งที่เรียกว่า "พระพุทธนิมิต" ซึ่งเสมือนพระพุทธเจ้าทุกประการ ทำหน้าที่แสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา โดยพระพุทธเจ้าองค์จริงทรงแสดงธรรมถึงไหนแล้ว หยุดไว้ตรงใด เพราะต้องเสด็จไปบิณฑบาต พระพุทธนิมิตก็เข้าทำหน้าที่แสดงต่อจากตรงนั้นไป ครั้นพระพุทธเจ้าทรงฉันอาหารเสร็จแล้ว เสด็จมาแสดงธรรมต่อ ก็ทรงแสดงต่อจากพระพุทธนิมิตได้แสดงไว้ ส่วนพระพุทธนิมิตก็หายไปเป็นอย่างนี้ตลอดพรรษา ๓ เดือน
     
  9. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า

    ช่วงที่ ๔


    ภูตพระพุทธเจ้า จึงมีความหมายถึง พลังงานหรือความดีของพระที่ยังคงอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน มีผู้ไปเรียนถามหลวงปู่บุดดา ถาวโร ว่า การที่มีผู้ได้มโนมยิทธิ ในสายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือแม้แต่ในสายของหลวงปู่ดู่ก็ดี จะสามารถไปนมัสการพระจุฬามณี และไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้จริงหรือไม่ ในเรื่องนี้หลวงปู่บุดดาท่านบอกว่า "สิ่งเหล่านี้ เป็นพุทธนิมิตของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีศาสนาสิ่งเหล่านี้ก็สิ้นไป แม้แต่ในศาสนาพราหมณ์ ก็ยังมีการปฏิบัติจิต สามารถที่จะพบกับพระพรหม หรือเทวดาในศาสนาของตัวเองได้ หรือแม้แต่ในศาสนาอื่น ก็ยังมีการปฏิบัติทางจิต เช่น ศาสนาคริสต์ แล้วทำไมพุทธศาสนาซึ่งว่าด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ที่ปฏิบัติก็น่าที่จะไปพบพระพุทธเจ้าได้" การที่ไปพบพระพุทธเจ้าได้นั้น ก็แสดงว่าพลังงานและพลังจิตไม่ได้สูญหายไปไหน ยังคงมีอยู่ ท่านอธิษฐานไว้ถึง ๕,๐๐๐ ปี แม้ในปัจจุบันจากหนังสือ ที่พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เขียนถึงเรื่องพระอาจารย์มั่น ว่า แม้แต่พระอาจารย์มั่นก็ยังพบกับพระพุทธเจ้า หรือแม้แต่พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว ซึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนเชิงวิจารณ์ในเรื่องนี้ โดยอ้างตามบาลีว่า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เมื่อนิพพานแล้วย่อมมีสภาพสูญ แต่สูญในที่นี้หมายถึง สูญจากกิเลส ตัณหา อุปทาน ดังนั้น การที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พบนั้นก็คือ พุทธนิมิตที่พระพุทธองค์ หรือสังฆนิมิต ที่พระอรหันต์มาแสดงให้เห็น แม้แต่เมื่อพระอาจารย์มั่นนิพพานไปแล้ว ลูกศิษย์ของท่านอีกหลายองค์ เช่น หลวงปู่ขาวก็ดี หลวงปู่แหวนก็ดี เมื่อปฏิบัติถึงจุดหนึ่งแล้ว พระอาจารย์มั่น ก็จะมาโปรดในนิมิต ซึ่งแสดงว่าพระอาจารย์มั่นมิได้สูญหายหรือสูญเปล่าไป
     
  10. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า

    ช่วงที่ ๕


    การเสด็จโปรดสัตว์โลก ซึ่งเป็นพุทธกิจของพระพุทธเจ้า ปกติท่านจะเสด็จด้วยพระองค์เอง แต่บางโอกาสก็จะเสด็จโดยพุทธนิมิตในภาวนาก็ได้ ตามพระธรรมทัฏฐกถา กล่าวไว้หลานต่อหลายครั้งว่า พระสาวกของพระองค์กำลังพิจารณาธรรมอยู่ เกิดขัดข้องในการพิจารณาธรรม อันเป็นช่วงสำคัญด้วยประการใดก็ตาม พระพุทธเจ้าระหว่างประทับอยู่ในพระคันธกุฏิ จะทรงเปล่งพระโอภาสแสดงพุทธนิมิตปรากฎพระองค์อยู่ต่อหน้าพระสาวกองค์นั้นๆ ด้วยพระเมตตาธรรม ทรงตรัสแนะ ทรงเฉลยธรรม และเมื่อพระสาวกองค์นั้นพิจารณาตามไป ก็สามารถบรรลุมรรคผล อรหัตผลได้โดยไม่ยาก

    พุทธนิมิตจึงมิได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพาะสมัยนี้ หากแต่มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว ผู้รู้ท่านกล่าวว่าเกิดจากกระแสพระเมตตาธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแผ่สู่เวไนยสัตว์เป็นอัปปมาโณพุทโธ คือ ไม่มีประมาณ ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ที่สรรเสริญคุณความดีของพระพุทธเจ้านั้น จึงเปรียบเสมือนนกบินไปมาในอากาศ ผู้ที่เข้าถึงธรรมดังพระอริยสาวก จะเป็นผู้เข้าถึงพุทธนิมิต ธัมมนิมิต สังฆนิมิต ตามภูมิจิตภูมิธรรมของตน หลวงปู่เคยเล่าว่า แต่ครั้งพุทธกาล พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ที่มาประชุมกันในวันมาฆบูชา เพ็ญเดือน ๓ นั้น ท่านได้ภูตพระพุทธเจ้าหรือพุทธนิมิตนี้ ท่านจึงมีใจตรงกันที่จะมานมัสการพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าได้ประทาน "โอวาทปาฏิโมกข์" ซึ่งถือเป็นต้นบัญญัติในการเผยแพร่พระพทธศาสนาในครั้งนั้นว่า

    ขันติ ปะระมัง ตะโป ตีติกะขา
    ความอดทน คือความทนทาน เป็นตะบะอย่างยิ่ง

    นิพพานัง ปะระมัง ทันติ พุทธา
    ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ย่อมกล่าว พระนิพพานว่าเป็นเยี่ยม

    นหิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาติ
    บรรพชิต ผู้ฆ่าสัตว์อื่น เบียดเบียนสัตว์อื่น

    สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐยันโต
    ไม่ชื่อว่าสมณะเลย

    สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง
    การไม่ทำบาปทั้งปวง

    กุสสะละสู ปะสัมปะทา
    การบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม

    สะจิตตัง ปริโยทะปะนัง
    การทำจิตของตน ให้บริสุทธิ์แจ่มใส

    เอตัง พุทธานะ สาสะนัง
    สามอย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    อนูปวาโทความไม่เข้าไปว่าร้ายกันด้วย
    อนูปฆาโต
    ความไม่เข้าไปล้างผลาญกันด้วย

    ปฏิโมกเข จะ สังวโร
    ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ด้วย

    มัตตะญะญุตา จะ ภัตตสังสะมิง
    ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหารด้วย

    ปันตัญจะ สะยะนาสนัง
    ที่นอนที่นั่งอันสงัดด้วย

    อธิจิตเต จะ อาโยโค
    ประกอบความเพียรในอธิจิตด้วย

    เอตัง พุทธานะ สาสะนัง
    นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
     
  11. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า

    ช่วงที่ ๖


    ในสมัยปัจจุบันท่านธัมมวิตักโก (เจ้าคุณนรรัตน์) ท่านก็ยังเคยส่งกายทิพย์ไปรักษาฝรั่งที่สหรัฐอเมริกา ตามข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เมื่อมีคนไปเรียนถาม ท่านได้อธิบายว่า "พลังจิตเปรียบเสมือนคลื่นวิทยุ สามารถรับได้ทุกแห่งที่ส่งไป แต่การส่งมีมาแต่แหล่งใหญ่เพียงที่เดียว" ผู้เขียนเคยเรียนถามหลวงปู่อินทร์ วัดไทรงามเหนือ จังหวัดกำแพงเพชร เกี่ยวกับเรื่องนิพพานสูญ ท่านตอบสรุปได้ว่า "นิพพานัง ปรมัง สุญญัง สุญ คือ สูญจากกิเลสโลภ โกรธ หลง แต่ไม่ใช่สูญไปหมด เหลือแต่จิตอันบริสุทธิ์" ซึ่งหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านอธิบายว่าเป็นลักษณะของจิตที่เข้าสู่สุญญตาหรือความว่างของจักรวาลเดิม ทำให้จิตหมดความคิดปรุงแต่ง ดังที่หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง ท่านใช้คำว่า "ใจ" นั่นเอง หรืออย่างกับคำกล่าวของหลวงปู่เกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ที่ว่า "ความเห็นเป็นต้นเหตุแห่งความคิด ความคิดเป็นต้นเหตุแห่งความเห็น คิดดีก็เป็นทางเย็น คิดไม่เป็นก็เย็นสบาย"

    ดังนั้น คำว่า ภูตพระพุทธเจ้า ที่หลวงปู่กล่าวถึง ก็คือพลังงานบริสุทธิ์ที่ยังคงอยู่ ไม่ได้เสื่อมสูญหายไปไหน ขอให้นักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ได้โปรดเข้าใจ สิ่งใดก็ตาม ที่ทางโลกไม่รู้ไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า หรือยังพิสูจน์ไม่ได้ เขาจะพูดว่าไม่มี แต่สำหรับทางธรรมนั้น การเรียนรู้ถึงกิเลส เป็นสิ่งละเอียดเกินกว่าทางโลกจะเข้าไปสัมผัสได้ถึง จึงมิควรที่จะกล่าวว่าสิ่งนั้นไม่มี เหมือนกับเรามองไม่เห็นเชื้อจุลินทรีย์ได้ด้วยตาเปล่า แต่ถ้าใช้กล้องจุลทรรศน์ซึ่งทางโลกประดิษฐ์ขึ้น ก็สามารถจะรู้ได้เป็นลำดับ จนปัจจุบันมีการประดิษฐ์กล้องอิเล็กตรอน ทำให้เรามองเชื้อโรคเป็นสิ่งไม่ลึกลับอีกต่อไป

    ส่วนธรรมะของพระพุทธองค์นั้น มีอยู่สิ่งเดียวที่เราจะเข้าถึงได้คือ การเรียนรู้ถึงเรื่องของจิตใจ อันเป็นสิ่งที่ต้องประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง เรียกว่า "ปัจจัตตัง" ทำให้เราเป็นคนฉลาด คือมีกุศลกรรมบังเกิดขึ้นและจะไม่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการสบประมาทต่อสิ่ง ที่เราคิดว่าไม่มี เพื่อไม่ให้เกิดผลกรรมที่ตัวเองเป็นผู้กระทำโดยไม่ตั้งใจ
     
  12. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พุทธนิมิต - ภูตพระพุทธเจ้า

    ช่วงที่ ๗


    กล่าวโดยสรุป เมื่อประมาณปี ๒๕๒๘ ที่วัดสะแก ได้เกิด พุทธ นิมิตขึ้น คือ เกิดขึ้นที่พระพุทธรูป แก้วน้ำ หรือสิ่งต่างๆ ซึ่งการเกิดนี้มีลักษณะที่เป็นพระพุทธรูป เป็นวิมานแก้ว หรือเป็นรูปหลวงปู่เองก็ดี รูปพระสงฆ์องค์อื่นก็ดี มีพุทธศาสนิกชนมาดูกันมากมาย แล้วก็วิจารณ์ไปต่างๆ นาๆ ว่าจะเป็นการสะท้อนของแสงหรือไม่ แต่เมื่อพิสูจน์กันอย่างจริงจังแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเป็นภาพลวงตา หรือแม้แต่ภาพถ่ายซึ่งมีอยู่ปีหนึ่งถ่ายรูปหลวงปู่ในงานถวายกระทง รูปหลวงปู่ก็เกิดมีเส้นแสงของพลังเกิดขึ้น พลังนี้ไม่ใช่มีแต่เฉพาะหลวงปู่องค์เดียว หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ก็ดี หรือหลวงพ่ออีกหลายๆ องค์ก็ดี อย่างเช่น พระอาจารย์จวน ก็เกิดแสงสว่างแบบนี้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นตัวชี้ว่า พลังงาน พลังจิตนั้นเป็นของมีจริง และในเหตุการณ์ปัจจุบันที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ ในงานหล่อพระที่วัดพุทไธสวรรค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ เป็นพระพุทธรูปปางอู่ทอง ที่จะนำไปประดิษฐานที่ สำนักสงฆ์พุทธพรหมปัญโญ ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้สร้างให้หลวงปู่เป็นอนุสรณ์ ในเทปวิดีโอที่ปรากฎขึ้นมานั้นก็มี ลักษณะของวิมานแก้ว และลักษณะของพลังรัศมี ๖ ประการ เกิดขึ้น ในขณะที่กำลังเททองหล่อพระพุทธรูปองค์นี้ หรือแม้แต่ในถ้ำเมืองนะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์พุทธพรหมปัญโญ ก็ยังมีลักษณะของเส้นแสงเกิดขึ้นเช่นกัน

    ที่วัดพระพุทธฉาย จังหวัดสระบุรี มีรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฎอยู่บนหน้าผา ซึ่งรูปนี้มีประชาชนไปเคารพสักการะมาก หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เคยเดินธุดงค์ไปแล้ว ได้อธิษฐานและนั่งสมาธิ ท่านก็รับรองพระพุทธฉายนั้นเป็นของจริง มีจริง สำเร็จได้ด้วยพระพุทธบารมี หมายถึงพระพุทธองค์ถ่ายรูปเอาไว้ ณ ที่แห่งนี้ บารมีของพระพุทธองค์นั้น เป็นบารมีที่ยิ่งใหญ่ไพศาล ย่อมสามารถที่จะแสดงสิ่งที่เหนือมนุษย์ได้ สิ่งเหล่านี้ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "อภิญญา" คือ ความรู้ยิ่ง ดังนั้นในเรื่องที่เกี่ยวกับพุทธนิมิต สิ่งที่จะเป็นตัวเสริมว่า สิ่งเหล่านี้มีจริงนั้น ก็ต้องอยู่ที่จะต้องมีการประพฤติปฏิบัติ เพราะบุคคลที่จะประพฤติปฏิบัติแล้วไปพบพระพุทธเจ้า พบหลวงปู่ดู่ พบหลวงปู่ทวดได้ ก็จะเป็นเครื่องเจริญศรัทธา จะมีความก้าวหน้า เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

    สำหรับผู้มีปัญญาแล้ว การได้มานมัสการก็ดี ได้ชมพุทธนิมิตด้วยตนเองก็ดี จะเป็นภาพติดตาติดใจ เป็นพุทธานุสสติกรรมฐานอีกด้วย ดังคำหลวงปู่ที่ว่า

    ดูแล้วให้จำ จำแล้วเอาไปทำ (ปฏิบัติ) ที่บ้าน
    ถ้าเราทำเป็น ทำที่บ้านเราก็เห็น ไม่ต้องมาวัดหรอก
     
  13. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    การเกิดพระธรรมธาตุ

    ช่วงที่ ๑

    เมื่อมีการสร้างพระเครื่อง โดยมีผงพระพุทธคุณต่างๆ เช่น อิทธิเจ มหาราชปถมัง หรือสิ่งเป็นมงคลพวกดอกไม้ ขี้ไคลเสมา เป็นต้น มักจะมีการผสมเกศาของพระภิกษุผู้บรรลุคุณธรรมชั้นสูง เมื่อเวลานานไป จะมีการงอกในลักษณะพระธาตุขึ้นที่องค์พระ เช่น ในพระเครื่องของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี

    อาจมาจากสาเหตุที่ว่า ในพวกธาตุทรายและแร่บางตัวที่เป็นองค์ประกอบของกระดูก หรือที่รวมเรียกว่า ธาตุดิน ซึ่งในเกศาของพระอรหันต์ก็เป็นธาตุดินเช่นกัน แต่เป็นธาตุดินที่มีพลังงานในตัวเอง ทั้งนี้เกิดจากความบริสุทธิ์ของจิต ที่หมดจากความโลภ โกรธ หลง อย่างสิ้นเชิง พลังงานนี้อยู่ในรูปของความร้อน หรือที่เรียกว่า "เตโชธาตุ" ซึ่งเกิดจากความเป็นทิพย์ของอริยจิต สามารถเปลี่ยนเกศาให้เป็นพระธาตุได้ด้วยตัวเอง หรือเหนี่ยวนำกับธาตุดินที่เป็นส่วนประกอบของพระเครื่อง ได้แก่ พวกทรายหรือซิลิกอนให้กลายเป็นแก้วขึ้นมาได้ โดยมีลักษณะใสและมีผลึกเกิดขึ้น ซึ่งรวมเรียกว่า "พระธรรมธาตุ" นัยหนึ่งหมายถึง การเปลี่ยนแปลงธาตุดินให้เป็นพระธาตุ โดยอาศัยคุณธรรมของท่านผู้มีความบริสุทธิ์
     
  14. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    การเกิดพระธรรมธาตุ
    ช่วงที่ ๒



    เมื่อผู้เขียนได้รับมอบหมายจากหลวงปู่ให้สร้าง "ลูกแก้วสารพัดนึก" ท่านได้มอบเกศาให้มาผสมกับผงพุทธคุณเช่นกัน ได้เกิดเหตุของความอัศจรรย์ คือผงที่เหลือจากการทำส่วนหนึ่ง ได้เกิดเป็นพระธาตุขึ้นมา ผู้เขียนจึงกราบเรียนหลวงปู่ทวด เพื่อถามถึงสาเหตุว่ามีได้อย่างไร หลวงปู่ตอบว่า "เป็นของอาจารย์เธอ" เมื่อมีโอกาสจึงจะถามหลวงปู่เพื่อให้หายสงสัย แต่หลวงปู่ท่านตอบเสียก่อนว่า "ที่หลวงปู่ทวดบอกนั้นถูกต้องแล้ว ไม่ต้องสงสัย" และท่านยังกล่าวเสริมอีกว่า "เกศาของข้า มีคนเขานำไปบูชาเกิดเป็นพระธาตุขึ้นมาได้"


    ผู้เขียนจึงถามต่ออีกว่า "ยังไม่ตายก็เป็นได้หรือครับ" หลวงปู่พยักหน้ารับ และบอกลักษณะการเกิดขึ้นคือ "เกศาจะมารวมตัวกันเป็นร่างแหเสียก่อน จึงเกิดเป็นพระธาตุขึ้นมาได้" ทำให้ผู้เขียนคิดถึงเกศาหลวงปู่ที่ใส่ผอบไว้ เกิดลักษณะแบบเดียวกับที่ท่านอธิบาย แต่เพราะความไม่รู้ จึงจับแยกออกจากกัน หลังจากนั้นมา จึงไม่กล้าแยกเส้นเกศาเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

    การเกิดพระธาตุจากกระดูกพระอรหันต์
    กระดูกพระอรหันต์ ก็มาจากปุถุชนธรรมดา ซึ่งต้องอาศัย ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ จากของสากลเหมือนกับลมหายใจ ไม่มีการจำกัดลักษณะของผู้ใช้ว่าคนรวย คนจน สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ เพราะมีออกซิเจนประกอบทั้งสิ้น แต่ในพระอรหันต์เจ้า ย่อมมีความผิดแปลกไปจากเดิมคือ กระดูกจะเปลี่ยนเป็นพระธาตุ เพื่อแสดงถึงการเหนือโลก เหนือสมมติอย่างสิ้นเชิง เปรียบเสมือนกับของใช้ของพระเจ้าแผ่นดิน เช่น พระมหามงกุฎ ซึ่งบุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป ไม่สามารถนำมาใช้ได้ เพราะถือว่าเป็นของสูง ผู้มีบุญบารมีเท่านั้นจึงจะได้เป็นกษัตริย์ ในทำนองเดียวกัน ธาตุดินของพระอรหันต์ก็ต้องแสดงความพิเศษ คือบุคคลทั่วไปไม่สามารถนำมาประกอบเป็นธาตุดิน (รูปกาย) ขึ้นได้ ด้วยพลังงานแห่งความบริสุทธิ์ของจิต ส่งผลให้กระดูกซึ่งเป็นธาตุคาร์บอนกลายเป็นเพชรได้ โดยไม่ต้องอาศัยความร้อนสูง และใช้เวลาหลายร้อยปี
     
  15. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    การเกิดพระธรรมธาตุ
    ช่วงที่ ๓


    การเกิดพระธรรมธาตุนั้น ในพระของหลวงปู่ดู่ จะอัศจรรย์ก็คือ จะมี ลักษณะของผลึกที่มีความแวววาว มีลักษณะคล้ายเพชร ข้าพเจ้า ได้เคยนำไปให้นักธรณีวิทยาใช้กล้องส่อง เมื่อส่องออกมาแล้ว เขาได้อธิบายในแง่ของทางวิทยาศาสตร์ว่า เป็นผลึกของแคลเซี่ยมซัลเฟต หรือผลึกของหินปูนได้นั้น หินปูนก็น่าจะมาจากผง หรือดินสอพองที่หลวงปู่นำมาเขียนเป็นอักขระคาถา แล้วก็ลบมาเป็นผงต่างๆ อันเกิดเป็นผลึกขึ้นมาได้ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขาอธิบายไม่ได้ก็คือว่า ลักษณะของการเกิดผลึกเหล่านี้ จะต้องอาศัยความร้อนอย่างมาก ซึ่งเขาได้ถามผู้เขียนว่า ได้นำไปอบหรือไปเผาด้วยความร้อนสูงหรือไม่ ผู้เขียนก็ตอบว่า ใช้อุณหภูมิธรรมดา ดังนั้น จึงมีข้อสงสัยว่า แล้วความร้อนหรือเดลต้าฮีทนี้มาจากที่ไหน ซึ่งผู้เขียนบอกว่า ควรจะมาจากพลังจิตของหลวงปู่ได้ไหม เพราะพลังจิตนี้แสดงออกมาในรูปของดิน น้ำ ลม ไฟเอง สำหรับผู้ที่ได้อภิญญาแล้ว พลังเหล่านี้ก็มาเปลี่ยนธาตุปูน ที่มีอยู่ในองค์พระให้เป็นผลึกขึ้นมา เขาก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วก็แปลว่าหมดสงสัย ว่าความร้อนนี้เกิดมาจากไหน

    ส่วนในเรื่องเกศาหลวงปู่นั้น เมื่อนำมาส่องดูจะมี ลักษณะที่ใสตลอด ไม่มีความขุ่นมัวแม้แต่นิดเดียว สิ่งเหล่านี้แสดงถึงคุณธรรม ความบริสุทธิ์ หรือพลังของความบริสุทธิ์ สามารถเปลี่ยนธาตุ เปลี่ยนขันธ์ ให้กลายเป็นส่วนที่ใสขึ้นมาได้
     
  16. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    การเกิดพระธรรมธาตุ
    ช่วงที่ ๔


    ผู้เขียนโชคดี ที่ได้รับฟันของหลวงปู่ ซึ่งท่านมอบให้โดยกล่าวว่า "เก็บไว้ให้ดี ถ้าหายไปก็ไม่มีของแทนแล้ว ลองตรวจดูซิว่าใช้ประโยชน์ทางไหนได้บ้าง" ผู้เขียนตอบท่านว่า "ไม่หรอกครับ เสกมาไม่รู้กี่ปีแล้ว" หลวงปู่กล่าวว่า "ไม่ใช่ อยากรู้เคล็ดลับว่ามีอะไร" ผู้เขียนจึงตอบท่านว่า "ที่รู้ๆ ก็คือ พระธาตุ" หลวงปู่สรุปว่า "เรื่องพระธาตุน่ะ แน่นอนอยู่แล้ว" ฟันที่ได้มาครั้งแรก เมื่อดูด้วยสายตายังแสดงการเป็นพระธาตุไม่ชัดเจน แต่หลังจากที่นำมาบูชาได้ ๒ ปี จึงมีลักษณะมัน สีเหลืองสวย ส่วนขาวของฟัน มีความแวววาวเหมือนมุก ส่วนรากฟันเกิดความสดใสสวยงามมาก ผู้เขียนเคยให้ทันตแพทย์และนายแพทย์ที่ชำนาญทางกระดูกตรวจดู ต่างลงความเห็นว่าฟันของหลวงปู่มีลักษณะเหมือนกับมีชีวิต หลวงปู่เพิ่งจะมาบอกกับผู้เขียนก่อนที่ท่านจะมรณภาพว่า "แกรู้ไหมว่าข้าเสกเป็นอะไร ข้าอธิษฐานขอให้เป็นพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้า" ซึ่งแสดงถึงสัจจธรรมในความเป็นพระอริยะผู้บรรลุธรรมชั้นสูงของท่าน

    การเปลี่ยนจากกระดูกหรือธาตุดินของพระพุทธเจ้าหรือพระ อรหันต์ อย่างในปัจจุบัน กระดูกของพระอาจารย์มั่น หลวงปู่แหวน หรือแม้แต่อีกหลายๆ องค์นั้น จากอัฐิธาตุธรรมดา ก็สามารถที่จะกลายเป็นพระธาตุได้ ซึ่งมีลักษณะใส หรือลักษณะสีต่างๆ กัน ก็คงจะเปลี่ยนในแนวเดียวกับที่อธิบายไว้แล้ว กับการเกิดพระธรรมธาตุ ซึ่งพระธรรมธาตุนั้น ไม่มีส่วนของอัฐิธาตุปนอยู่ด้วย สิ่งที่แสดงถึงคุณธรรมอย่างเช่น พระอาจารย์มั่นนั้น จากอัฐิธาตุธรรมดา ใช้เวลาสักระยะหนึ่ง จึงกลายมาเป็นพระธาตุได้ สำหรับบางองค์อย่างเช่น พระอาจารย์ต่วน วัดกล้วย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อมีการนำท่านมาเผาแล้ว อัฐิธาตุของท่านก็กลายเป็นพระธาตุขึ้นมา มีสีทอง เงิน นาก แล้วก็มีลักษณะใส แวววาว ในวันรุ่งขึ้นนั้นด้วย สิ่งเหล่านี้ก็แสดงถึงว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้เป็นสิ่งที่โกหกหลอกลวง สามารถที่จะพิสูจน์ได้ในบุคคลที่มีความบริสุทธิ์อย่างเช่น พระอรหันต์ เป็นต้น
     
  17. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ

    ช่วงที่ ๑

    ในการปลุกเสกอธิษฐานของหลวงปู่แต่ละครั้ง จะไม่มีพิธีอะไรมาก บางครั้งท่านจะชุมนุมเทวดาก่อน แล้วจึงอธิษฐานปลุกเสกตามลำดับ ท่านบอกว่า "อาราธนามาหมด พระทั้งแสนโกฏิจักรวาล" พระพุทธเจ้าไม่ใช่มีแต่จักรวาลนี้ สมัยเมื่อพระโมคคัลลาน์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านท่องไปในจักรวาลต่างๆ ไปจักรวาลไหนก็เอาเม็ดถั่วเขียวทิ้งไว้ ไปจนหลงกลับไม่ถูก ไปพบพระพุทธเจ้าอีกจักรวาลหนึ่ง ท่านเลยบอกให้นึกถึงพระพุทธเจ้าที่พระโมคคัลลาน์เป็นอัครสาวกอยู่ เมื่อนึกแล้ว พระโมคคัลลาน์จึงกลับมาได้ การเสกของคนคนเดียวน่ะขลังยาก ต้องอาศัยบารมีพระ บารมีพรหม เทวดาช่วย คนเราต้องไหวดี เอาตัวเองเก่งคนเดียวนั้นยาก พระโมคคัลลาน์ท่านเก่งทางฤทธิ์ แต่อย่างไรก็สู้ทางปัญญาไม่ได้ ดังเช่นคราวหนึ่ง พระพุทธเจ้าให้พระโมคคัลลาน์นับเม็ดฝนที่ตกในจักรวาล
    พระโมคคัลลาน์ใช้ฤทธิ์เหาะไปนับ แต่พระสารีบุตรไม่ไป อยู่กับที่ใช้ปัญญาถามพระพุทธเจ้า ผลออกมาเหมือนกัน แต่เหนื่อยผิดกัน

    สำหรับคาถาที่ท่านใช้ปลุกเสกมีหลายบท แต่ท่านสรุปว่า "บรรดา มนต์ดลต่างๆ นั้น สู้บทสวดมนต์ไม่ได้ เพราะมีอานุภาพมากกว่ากัน บทไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้น ดีทั้งนั้น เมื่อก่อนข้าเรียนมาหมด เวทมนต์คาถาว่าเละไปด้วยกัน เดี๋ยวนี้ทิ้งหมดแล้ว เอาคุณพระดีกว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง น่ะยอดคาถาอยู่แล้ว ไม่ว่าบทไหนก็ตาม จะต้องมีการปลุกเสกด้วยบทมหาจักรพรรดิ์ทั้งสิ้น พระที่ข้าทำน่ะ ข้าก็ว่าทำดีแล้ว แต่คนที่ไปใช้จะทำดีตามหรือเปล่า บางคนก็กลัวว่าไปรอดราวตากผ้า ไปทำไม่ดี พระจะเสื่อมหรือไม่ ของดีน่ะไม่มีเสื่อม ไอ้ที่เสื่อมน่ะ ใจคนเสื่อม"
     
  18. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ
    ช่วงที่ ๒


    ที่หลวงปู่บอกว่า การสวดมนต์นั้นจะดีกว่าการใช้มนต์ดล การใช้มนต์ดลคือ คำหน้า ที่ใช้คำว่า "โอม" ก็ดี หรือคำที่ใช้คำกล่าวถึงเทพหรือฤาษีต่างๆ นั้น หลวงปู่บอกว่าใน ๗ ตำนาน หรือ ๑๒ ตำนานนั้น เป็นการแสดงถึงบารมีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ บารมีเหล่านี้เป็นสิ่งที่ซึ่งแสดงออกมาได้ และเมื่อท่านผู้หนึ่งผู้ใด สำเร็จในพลังจิตแล้ว มีแต่การนำเอาบทสวดมนต์ใน ๗ ตำนาน มาสวดในการปลุกเสก โดยยังไม่ทันเข้าสมาธิ ก็สามารถทำให้วัตถุนั้น เกิดเป็นพลังงาน พลังจิตขึ้นมาได้ อย่างเช่นหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง เจ้าคุณนรรัตน์ ราชวานิต เวลาท่านปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านจะสวดมนต์หลายบท ซึ่งมนต์หลายบทนั้นก็อยู่ใน ๗ ตำนาน หรือแม้แต่ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆัง การปลุกเสกพระสมเด็จ ท่านก็ใช้คาถาชินบัญชร ซึ่งแสดงว่าพระที่ท่านมีพลังจิตแล้ว แม้ท่านจะกล่าวอะไรขึ้นมาก็ตาม ก็ย่อมเกิดเป็นพลังงานได้ง่าย สำหรับการปลุกเสกพระของหลวงพ่อวัดประดู่ทรงธรรมนั้น จะต้องมีธาตุทั้ง ๕ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ อันนี้ก็หมายถึง ในคนเช่นมนุษย์ทั่วไป ก็จะมีธาตุเหล่านี้ประกอบอยู่ ดังนั้นวัตถุหรือรูปเปรียบ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งยังไม่มีการปลุกเสกก็เสมือนเป็นตุ๊กตาหรือเป็นรูปธรรม แต่เมื่อมีการปลุกเสกหรือการอธิษฐานแล้ว ก็เป็นการเชิญพลังงานเหล่านี้ มาสถิตอยู่ในองค์พระเหมือนกับบรรจุลงไป เมื่อบรรจุลงไปแล้ว ก็จะทำให้วัตถุนั้นเป็นวัตถุที่มีพลังขึ้นมาได้ หรือแม้แต่หลวง พ่อคล้าย วัดจันทร์ดี การปลุกเสกของท่าน ท่านก็อธิษฐานเอาความว่างเปล่าลงไปไว้ในวัตถุเหล่านั้น ความว่างเปล่านั้น ไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย มีแต่ความบริสุทธิ์ เมื่อมีความว่างเปล่าไปบรรจุในวัตถุ วัตถุนั้นก็ย่อมมีพลานุภาพขึ้นมาได้ จึงมีทั้งรูปธรรม และนามธรรมเกิดขึ้นในวัตถุมงคลเหล่า
     
  19. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ
    ช่วงที่ ๓


    ข้าพเจ้า "พระเครื่องที่ทำด้วยโลหะกับเนื้อผง เนื้อผงน่าจะแรงกว่าใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่ "ไม่จำเป็น ดูอย่างหลวงพ่อเกษม ท่านเสกก้านธูป คนเอาไปยิงไม่ออก อยู่ที่ผู้เสกหรือตัวอาจารย์นั่นแหละ"

    ข้าพเจ้า "แล้วพระที่มีการจารด้วยเหล็กจาร กับไม่จารนั้นต่างกันหรือไม่"

    หลวงปู่ "การจารนั้นก็คือ นำมาทำอีกครั้งหนึ่ง อธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง"

    ข้าพเจ้า "การปลุกเสกพระด้วยคณาจารย์หลายๆ องค์ กับองค์เดียวทำ หรืออธิษฐานจากที่หนึ่ง ไปช่วยอีกที่หนึ่งนั้นเป็นไปได้ไหม"

    หลวงปู่ "เป็นไปได้ อำนาจจิตน่ะเป็นของวิเศษ ไปได้เกินกว่าแสนโยชน์ แต่การที่เขาต้องมีพิธีปลุกเสก โดยให้มีคณาจารย์นั่งรวมกันหลายๆ องค์ ก็เพื่อประโยชน์ของผู้ที่จะนำไปใช้ คือเกิดกำลังใจดีกว่ากัน ที่จริงผลเหมือนกัน"

    ข้าพเจ้า "แล้วการที่ปลุกเสกหลายๆ วัน กับปลุกเสกช่วงระยะเวลาเดี๋ยวเดียว อย่างหลวงปู่แหวนปลุกเสกไม่เกิน ๑๕ นาที หรือหลวงปู่เสก ก็เห็นเต็มหมดแล้วนี่ครับ"

    หลวงปู่ "อยู่ที่เชื่อ หลวงพ่อเกษมท่านให้คนถือของหรือกล่องที่จะเสก เดินผ่านช่องกุฏิ ท่านเป่าพรวดเดียวก็ใช้ได้ การปลุกเสกนานๆ อย่างเช่น ในไตรมาส ก็เป็นการบังคับให้ต้องทำเสมอ เสกนานก็ทำให้เพิ่มเติมอะไรที่เห็นว่าขาดตกบกพร่อง ถ้าใครเชื่อข้า ข้าก็ไม่ต้องเสก หยิบให้แล้วนำไปใช้ได้เลย"

    ข้าพเจ้า "พระอรหันต์ประเภท สุกขวิปัสสโก ท่านจะมีความสามารถในการเสกพระหรือไม่ครับ"

    หลวงปู่ "สุกขวิปัสสโก ก็ประเภททำให้หมดทุกข์คนเดียว แต่แกเอ๋ย พระอรหันต์น่ะ ท่านทำอะไรก็ได้ เพียงแต่การอธิษฐานว่า ขอให้วัตถุเหล่านี้ จงศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำไปใช้จงมีความสำเร็จ เช่นเดียวกับข้าพเจ้าก็ใช้ได้แล้ว"
     
  20. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ปลุกเสกพระ ปลุกเสกใจ

    ช่วงที่ ๔


    หลวงปู่ยังได้เล่าถึง วิธีการปลุกเสกพระ ตามแบบฉบับของ วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดอยุธยา ดังนี้

    "การปลุกเสกพระจริงๆ แล้ว จะต้องมีผู้ทำอย่างน้อย ๔ คน หมายถึง ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ โดยมีตัวอาจารย์เป็นผู้ควบคุม และหมายถึงอากาศธาตุ ต้องทำให้สว่าง เวลาจะลงเป็นอย่างไหนต้องรับรองได้ การนำไปใช้จึงสัมฤทธิผล สมัยโบราณเขาต้องมีการยิงปืน ตีดาบให้ได้ยินเสียง เพื่อเป็นการปลุกจิตปลุกใจเพื่อเสก เพื่อให้เกิดความขลังได้ง่าย"

    ข้าพเจ้า "การที่หลวงปู่จะทำอะไรทุกครั้งเห็นต้องมีคนคุม คือคอยตรวจสอบดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเกิดไม่มีเขาเหล่านั้น แล้วหลวงปู่จะทำอย่างไร"

    หลวงปู่ "ไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะเราแน่ใจว่าเมื่อตั้งอธิษฐานอะไรแล้ว ต้องเป็นไปตามนั้น"

    ข้าพเจ้า (ยกมือขึ้นสาธุ) "แสดงว่าหลวงปู่ต้องการให้ผู้ที่นั่งอยู่เกิดบุญ เพราะจะได้โมทนาในสิ่งที่ตนรู้เห็น เป็นการช่วยให้เขาได้บุญน่ะครับ"

    หลวงปู่ท่านยิ้มอย่างมีเมตตา และทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า หลวงปู่ท่านมีกุศโลบายในการที่จะทำให้คนได้บุญ และท่านยังเสริมอีกว่า "บุญนั้นหมั่นทำไว้ ปฏิบัติไว้ คนไหนที่เขาว่าทำได้ดีได้เห็นอะไรก็ตาม โมทนาไปเลยไม่มีเสีย มีแต่ได้ อย่าไปขัดเขา เวลา เดินผ่านไปไหนเห็นดอกไม้เขาปลูกอยู่ เราก็นึกถวายพระแทนเขา ของอะไรก็ตามนึกถวายพระพุทธเจ้าได้บุญทั้งนั้น เวลาจะเปิดไฟ ถ้าอยากได้บุญก็ว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา ก็ได้แล้ว"

    ข้าพเจ้า "ถ้าเราถวายแทนเขาโดยไม่ขออนุญาตนี้ จะผิดศีลข้อ ๒ หรือไม่ครับ"

    หลวงปู่ "ก็แกแผ่เมตตาให้เจ้าของเขาหรือเปล่าล่ะ ถ้าแผ่เมตตาให้เขาก็ไม่บาป" (ผู้เขียนเข้าใจว่า ถ้าไม่แผ่เมตตาให้เจ้าของก็ไม่ผิดศีลข้อ ๒ แต่ที่หลวงปู่ว่าไม่บาป คงหมายถึงทำให้ใจเราไม่เศร้าหมอง)
     

แชร์หน้านี้

Loading...