ทำไมจึงว่าการศึกษาพระอภิธรรมเป็นความจริงอันประเสริฐสูงสุด

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย MOUNTAIN, 25 เมษายน 2006.

  1. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    คนตาบอด
    <HR SIZE=1><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#ff99cc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=white>


    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <DD>ท่านอาจารย์บันเกอิ เป็นพระเซ็นที่โด่งดังมากในญี่ปุ่น มีลูกศิษย์มากมายทุกระดับทุกประเภท รวมทั้งคนตาบอดในเรื่องนี้ด้วย คนตาบอดคนนี้ไปมาหาสู่ท่านอาจารย์เป็นประจำ คืนหนึ่งแกก็มาวัดตามปกติ และอยู่สนทนากับท่านอาจารย์จนดึก บังเอิญคืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด ตอนลากลับบ้านท่านอาจารย์จึงให้คนหาเทียนไข จุดใส่โคมกระดาษแบบญี่ปุ่น ให้แกเดินถือกลับบ้าน

    <DD>"ไม่ต้องหรอกครับ กลางคืนหรือกลางวัน สำหรับผมแล้วก็เหมือนกัน ผมกลับบ้านเองได้เพราะผมชินทางแล้ว" คนตาบอดบอกท่านอาจารย์

    <DD>"เอาไปเถอะ ถือไปนี่ไม่ได้สำหรับตัวเธอ แต่เผื่อไว้ให้คนอื่นเห็น จะได้ไม่มาเดินชนเพราะมันมืดออกอย่างนี้" ท่านอาจารย์แนะ

    </DD>
    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  2. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    <DD>แล้วคนตาบอดก็ถือโคมเดินกลับบ้าน ค่อยๆ เดินคลำทางไปช้าๆ พอไปได้สักพักใหญ่ แกก็ตกใจ เพราะได้ยินเสียงคนกำลังวิ่งสวบๆ สวนทางมาจะชนแก แกจึงเอ็ดตะโรขึ้นว่า

    <DD>"อะไรๆ จะรีบไปไหนกันล่ะพ่อคุณ ตามไฟส่องให้แล้วนะนี่ มองไม่เห็นเรอะ ?"

    <DD>"อะไรได้ เทียนของท่านมอดไหม้ดับหมดแล้ว" เสียงตอบมา

    <DD>ทันทีที่ได้ยินว่าหมดเชื้อไฟที่จะตามส่องได้อีกแล้ว ดวงตาภายในของแกก็สว่างโพลงขึ้นทันที ณ ที่แกยืนอยู่นั่นเอง ต่อจากนั้น แกก็เป็นคนตาบอดที่บอดแต่ดวงตาเท่านั้น ส่วนตาในของแกไม่ได้บอดไปด้วยอีกเลย

    <DD>ระหว่างคนตาดีและคนตาบอด ในแง่ของการหลุดพ้น ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะรู้จักโลกนี้ได้กว้างไกลพิศดารกว่าแล้วจะจบก่อน แต่อยู่ที่ว่าสิ่งที่ตนว่ารู้นั้นรู้แจ้งหรือไม่ต่างหากขณะนี้ตาท่านดีไม่บอด แต่ใจท่านบอดอยู่หรือเปล่า ?
    </DD>
     
  3. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    ผี
    <HR SIZE=1><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#ff99cc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=white>


    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>[​IMG]

    ผี</CENTER>

    <DD>นานมาแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่งรักกันมาก ต่อมาภรรยาเกิดล้มป่วยหนักจะไม่รอดแล้ว จึงได้ขอร้องสามีว่า ถ้านางตายจากไปแล้วขออย่าได้ไปมีหญิงอื่นอีก ถ้าไม่เชื่อนางก็จะเป็นผีมารบกวนไม่หยุด

    <DD>หลังจากภรรยาตายไปแล้ว ชายผู้นั้นก็ได้ปฏิบัติตามคำขอร้องด้วยดี จนเวลาล่วงเลยไปกว่า 3 เดือน ก็ได้พบรักกับหญิงคนใหม่จนถึงกับทำการหมั้นหมายกัน

    <DD>เมื่อเป็นเช่นนั้น พอตกกลางคืนผีภรรยาเดิม ก็มาตัดพ้อต่อว่าต่างๆ นานา แม้ชายผู้นั้นจะชี้แจงอย่างไร ผีภรรยาเดิมก็ไม่ยอม เขาไปทำอะไรๆ มาแม้จะลับอย่างไรผีภรรยาก็รู้หมด เป็นเช่นนี้ทุกคืน เขาจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบผอม ญาติมิตรก็ได้แต่ปลอบโยน แต่ก็ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้

    <DD>จนสุดที่จะทน ชายผู้นั้นจึงได้ไปหารือกับอาจารย์เซ็น ซึ่งอยู่วัดใกล้ๆ บนเขา ท่านอาจารย์นั่งฟังอย่างเห็นใจ ท่านรู้อยู่เต็มอกว่าผีภรรยาที่มาหาเขาทุกคืนนั้นคืออะไร แต่จะอธิบายให้เขาฟังคงยาก
    </DD>
    [/FONT]​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  4. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<DD>"โอ ผีเมียเจ้านี่ช่างรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเลยรึ ตอนนี้ถ้ามันมาอีกเจ้าลองให้มันทายปัญหาดู และสัญญาไว้เลยว่า ถ้าหากผีตอบปัญหาได้ เจ้าจะยอมถอนหมั้นและอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต"หลวงพ่อแนะ

    <DD>"จะให้ผมถามอะไรล่ะครับ ?" ชายผู้นั้นสงสัย

    <DD>""เจ้าจงหาเมล็ดถั่วไว้กำมือใหญ่ แล้วให้ผีทายว่ามีกี่เมล็ด หากผีทายไม่ได้ เจ้าจะได้รู้เสียที ว่าผีที่เจ้ารู้เห็นนั้นคืออะไร"

    <DD>ตกคืนนั้นผีก็มาอีก ชายผู้นั้นก็กล่าวยกย่องว่าผีฉลาด รู้อะไรไปเสียหมดทุกอย่าง

    <DD>"แน่ละซี วันนี้เธอไปหาอาจารย์บนเขาฉันยังรู้เลย" ผีรับคำ

    <DD>ชายผู้นั้นจึงรีบถามคำถามที่หลวงพ่อแนะนำมา

    <DD>"เธอรู้ดีอย่างนั้น ลองบอกมาซิว่า ถั่วในกำมือนี้มีกี่เมล็ด ?"

    <DD>"ในที่สุด ชายผู้นั้นก็ทราบว่า "ผี" ที่มาหลอกทุกคืนนั้นคืออะไร ผีตอบไม่ได้ เพราะตัวเขาเองไม่ได้นับถั่วไว้ก่อนนั่นเอง

    </DD>
    [/FONT]
     
  5. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    [​IMG]

    [​IMG]
    เนื่องในวันฉัตรมงคล
     
  6. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    มรรค ๘
    <HR SIZE=1><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#ff99cc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=white>


    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>[​IMG]
    [​IMG]</CENTER>

    โพชฌงค์ ๗

    <CENTER>มรรค ๘</CENTER>

    <DD>มรรค แปลว่า ทาง

    คำมคธเป็น มคฺค
    คำสันสกฤต เป็น มารฺค
    แต่ในภาษาไทยก็คงรูปศัพท์สํสกฤตไว้ เช่น ชลมารค = ทางน้ำ, สถลมารค = ทางบก

    <DD>มรรคเป็นคำเรียกย่อ ๆ คำเต็มเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา แปลว่า ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสอธิบายว่า มีอยู่ ๓ ทาง คือ

    <DD>๑. หย่อนเกินไป เรียก กามสุขัลลิกานุโยค แปลว่า การประกอบตนให้ชุ่มอยู่ในกามสุข

    <DD>๒. ตึงเกินไป เรียก อัตตกิลมถานุโยค แปลว่า การประกอบตนไว้ในความลำบากหรือการทรมานตนด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุสิ่งที่ประสงค์

    <DD>๓. ทางสายกลาง เรียก มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า การปฏิบัติเพื่อทำลายอภิชฌาและโทมนัส (ความยินดีติดใจและความทุกข์ต่าง ๆ)

    </DD>
    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  7. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<DD>การที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงทางและทรงชี้ทางแก่บรรพชิตเพราะต้องการให้ผู้ที่มุ่งออกจากทุกข์ซึ่งบวชอยู่ตระหนักว่า การที่ตนออกบวชก็เพื่อออกจากกาม หากยังเดินทางสุดคือกามสุขัลลิกานุโยค แม้กายจะออกจากกามแล้ว แต่ถ้าใจติดอยู่ก็ไม่ผิดอะไรกับไม้สดที่เปียกยาง ถึงจะไม่เปียกน้ำ ก็สีให้เกิดไฟไม่ได้, หรือถ้าหากยังเดินทางสุดคืออัตตกิลมถานุโยค ด้วยการทรมานตนให้ลำบาก ก็เป็นการเปล่าประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำให้ใจพ้นจากกิเลสได้เลย

    <DD>หนทางสายกลาง มีข้อปฏิบัติ ๘ ประการ แบ่งส่วนย่อ ๆ ในการอบรมหรือขัดเกลาเป็น ๓ พวก คือ

    <DD>๑. ส่วนที่อบรมกายกับวาจา เรียกว่า ศีล มี ๓ ข้อ
    <DD>๒. ส่วนที่อบรมจิตเรียกว่า สมาธิ มี ๓ ข้อ
    <DD>๓. ส่วนที่อบรมทิฏฐิคือความเห็น เรียกว่า ปัญญา มี ๒ ข้อ

    <DD>แสดงให้เห็นว่า ทางสายกลางนั้น มี มรรค ๘ เป็นทางสมบูรณ์ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา

    <DD>มรรค ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ปัญญาอันเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ สัมมาวาจา เจรจาชอบ สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ จัดเข้าในศีล สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายามะ พยายามชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ จัดเข้าในสมาธิ สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นชอบ </DD><DD>

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<DD>ก่อนอื่นในเบื้องแรกเอาเรื่องปัญญา อันเป็นส่วนอบรมทิฎฐิ ความเห็นมาพูดก่อน เพราะต้องการให้มีเข็มทิศ คือ ความเห็น หรือความดำริ ให้มีระเบียบก่อน แล้วจึงค่อยพูดถึงเรื่องอื่นเหมือนการออกเรือ ถ้าไม่รู้ว่าจะไปทางไหนก่อน พายไปโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย ก็ไร้ประโยชน์ ต่อจากนั้นก็พูดถึงการอบรมวาจา และอบรมจิตเป็นลำดับไป ตามทางมรรค ๘

    <DD>๑. สัมมาทิฏฐิ ปัญญาอันเห็นชอบ หมายเอาเห็นอริยสัจ ๔

    <DD>๒. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ แบ่งออกเป็น ๓ คือ

    <DD>ก. ดำริออกจากกามคุณ ที่เรียกว่า เนกขัมมะ
    <DD>ข. ดำริไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น
    <DD>ค. ดำริไม่เบียดเบียนผู้อื่น </DD><DD> </DD><DD>

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2]<DD>[SIZE=4][COLOR=#669966]๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ แบ่งออกเป็น ๔ คือ

    <DD>[COLOR=#663333]ก. เว้นจากการพูดปด
    <DD>[COLOR=#663333]ข. เว้นจากการพูดส่อเสียด คือยุยงให้เขาแตกร้าวกัน
    <DD>[COLOR=#663333]ค. เว้นจากการพูดหยาบคาย
    <DD>[COLOR=#663333]ง. เว้นจากการพูดจาเหลวไหลไม่เป็นสาระ

    <DD>[COLOR=#999900]๔. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ แบ่งออกเป็น ๓ คือ

    <DD>[COLOR=#990099]ก. เว้นจากการฆ่าหรือเบียดเบียนสัตว์
    <DD>[COLOR=#990099]ข. เว้นจากการลักฉ้อ หรือคดโกง หรือแกล้งทำลายของของผู้อื่น
    <DD>[COLOR=#990099]ค. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
    [/COLOR]
    </DD>[/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/SIZE]​
    [SIZE=4][COLOR=#669966][COLOR=#663333][COLOR=#663333][COLOR=#663333][COLOR=#663333][COLOR=#999900][COLOR=#990099][COLOR=#990099][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2]<DD>[SIZE=4][COLOR=#cc6699]๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ หมายถึงละจากมิจฉาชีพทั้งปวง

    <DD>[COLOR=#ff6699]๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ แบ่งออกเป็น ๔ คือ

    <DD>[COLOR=#008866]ก. เพียรระวังมิให้ความชั่วเกิดขึ้น
    <DD>ข. เพียรละความชั่วที่เกิดขึ้นมาแล้ว
    <DD>ค. เพียรทำความดีให้เกิดขึ้น
    <DD>ง. เพียรรักษาความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่

    <DD>[COLOR=#9966ff]๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ แบ่งออกเป็น ๔ คือ

    <DD>[COLOR=#999933]ก. ระลึกรู้สึกตัว ในเรื่องกาย และอิริยาบถของกาย
    <DD>[COLOR=#999933]ข. ระลึกรู้ตัวเมื่อรู้สึกสบายหรือไม่สบายหรือเฉย ๆ
    <DD>[COLOR=#999933]ค. ระลึกรู้ตัวว่าจิตกำลังเศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว มีกิเลสหรือไม่มี
    <DD>[COLOR=#999933]ง. ระลึกรู้ตัวว่ามีอารมณ์อะไรผ่านเข้ามาในใจ
    [/COLOR]
    </DD>[/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/SIZE]​
    [SIZE=4][COLOR=#cc6699][COLOR=#ff6699][COLOR=#008866][COLOR=#9966ff][COLOR=#999933][COLOR=#999933][COLOR=#999933][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/FONT]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2]<DD>[SIZE=4][COLOR=#336699]๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ คือทำจิตใจให้แน่วแน่ ด้วยการหาอารมณ์จับที่ไม่มีโทษเพื่อให้จิตใจยึด จะได้ไม่พร่า ไปหลายทาง อารมณ์นั้นต้องเป็นอารมณ์หยาบ

    <DD>[COLOR=#660066]มรรค ๘ ข้อนั้น ควรทำให้เกิด ให้มีขึ้น เมื่อทำได้บริบูรณ์ ย่อมเป็นเหตุให้ถึงนิโรธ

    <DD>[COLOR=#008866]คำว่ามรรค ๘ ไม่ใช่ว่าเป็นทาง ๘ สาย ความจริงเป็นทางสายเดียว แต่มีส่วนประกอบแปดอย่าง เหมือนเชือกเส้นเดียวแต่มี ๘ เกลียว หรือแก้วถ้วยเดียว แต่มีเครื่องประกอบ ๘ อย่าง

    <DD>[COLOR=#0000ff]ดังนั้นพระองค์จึงประกาศความสำคัญของอริยสัจ ๔ ไว้ว่า [B]“เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง จึงท่องเที่ยวไปชาตินั้น ๆ ตลอดกาลนาน”[/B]

    <CENTER>[IMG]http://abhidhamonline.org/line.gif[/IMG]
    [/COLOR]
    </DD>[/COLOR][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/SIZE]​
    [SIZE=4][COLOR=#336699][COLOR=#660066][COLOR=#008866]</CENTER>[/COLOR][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/FONT]

    </DD>
    [/FONT]
    </DD><DD>

    </DD>
    [/FONT]
     
  8. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    <CENTER>[​IMG]

    ผู้รับฟัง</CENTER>

    <DD>ท่านอาจารย์บันไก เป็นอาจารย์เซ็นที่มีชื่อเสียงมากองค์หนึ่งในญี่ปุ่น การสอนของท่าน จะไม่กล่าวอ้างคัมภีร์หรือพระสูตรใดๆ เลย แต่จะใช้วิธีการสอนแบบตรง จากใจสู่ใจเลยทีเดียว ซึ่งแปลกจากพระนิกายอื่น จึงทำให้มีผู้ติดตามคอยรับฟังคำสอนเป็นจำนวนมาก

    <DD>ทางนิกายนิชิเรนเห็นว่า ถ้าปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้ นิกายนิชิเรนต้องเสื่อมความนับถือและดับสูญแน่ จึงส่งพระที่มีสติปัญญาเยี่ยมของตน ไปปะทะคารมกับท่านอาจารย์บันไกเพื่อให้รู้แพ้รู้ชนะกันเลย ขณะที่พระนิชิเรนไปถึง ท่านอาจารย์บันไกกำลังแสดงธรรมอยู่พอดี พระนิชิเรนจึงไปปรากฏตัวท่ามกลางที่ประชุมแล้วร้องท้าทาย

    <DD>"เฮ้! อาจารย์เซ็น หยุดสักประเดี๋ยวได้ไหม ท่านน่ะมีความสามารถแต่ทำให้ชาวบ้านหลงเชื่อท่านเท่านั้น แต่คนอย่างข้าพเจ้าไม่เคยเชื่อท่านเลย ถ้าท่านแน่จริงก็ลองออกคำสั่งให้ข้าพเจ้าทำตามซิ"</DD>

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<DD>ท่านอาจารย์บันไกยิ้มอย่างเยือกเย็น แล้วพูดเรียบๆ ขึ้นว่า

    "เอาซิ แต่ตอนนี้ท่านมายืนทางด้านซ้ายของข้าพเจ้าก่อนซิ"

    <DD>พระนิกายนิชิเรนก้าวไปยืนทางด้านซ้ายของท่าน อาจารย์บันไกอย่างไม่หวั่น แต่ท่านอาจารย์กลับพูดอีกว่า

    ""โอ! ไม่ใช่ๆ มายืนทางด้านขวาดีกว่า จะได้พูดกันถนัดๆ"

    <DD>พระนิชิเรน ก็ก้าวไปยืนทางด้านขวาอย่างไม่สะทกสะท้าน ท่านอาจารย์บันไกจึงว่า

    """เห็นหรือยังล่ะ! ว่าท่านกำลังทำตามคำสั่งของข้าพเจ้าอยู่ และข้าพเจ้าก็เชื่อว่า ท่านเป็นคนที่สอนได้เสียด้วย นั่งลงเถอะแล้วฟังข้าพเจ้าสอนดีกว่า"

    <DD>การสอนแบบเซ็นเต็มไปด้วยอุบายและปริศนาให้ขบคิด สำหรับผู้ที่ไม่รู้แล้วยอมรับว่าไม่รู้ ก็คงยังเป็นผู้ที่สอนได้อยู่ ส่วนคนโง่ที่คิดว่าตัวฉลาดนั้น ก็คงต้องปล่อยไปตามยถากรรม</DD><DD> </DD><DD> นิทานเซ็น</DD><DD>

    </DD>
    [/FONT]
     
  9. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    ใครโง่กว่า


    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>[​IMG]</CENTER>

    มีพระอยู่องค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ...

    วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...
    ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน...ก่อนทอดกฐิน...ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา...

    หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา...บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย...
    หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา...ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา...

    หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ...
    พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี...เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...
    ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว...โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...
    น่าสงสารหมามาก...

    หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...
    ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ... หัวเราะเยาะหมา...
    ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้...ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทันตลอดชีวิต...
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]หลวงพ่อ...มองดูญาติโยมที่กำลังสนุกสนานกับการดูหมาจนหนำใจแล้ว...
    ก็แก้เชือกออกจากหลังหมา...แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...

    มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม...
    ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...

    เราอยากสวย...อยากทันสมัย...
    ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่..
    ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า...

    อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่... ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...
    ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด... ๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...

    ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก... ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...
    ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย...

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวันทั้งคืน...หาเงินมา...เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย...
    ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่...
    เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส...เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...

    ปัจจุบัน...เรากำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน..
    ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน...น่าสงสารไหมโยม...

    คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น...ด่าว่า...หมามันโง่...
    ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...ไม่รู้ว่า...
    กำลังสงสารหมา...หรือ...กำลังทบทวนความโง่...ตัวเอง
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]โดย Mail ฟอร์เวิร์ด
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
     
  10. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    <CENTER>[​IMG]

    เด็กวัดเซ็น</CENTER>

    <DD>มีวัดอยู่ 2 วัดอยู่ไม่ห่างไกลกันนัก เด็กจากวัดหนึ่งมีหน้าที่ต้องไปเอาผักในหมู่บ้านทุกเช้า และต้องเดินสวนกับเด็กอีกวัดหนึ่งเป็นประจำ พอเดินสวนกัน เด็กวัดแรกก็จะถามเด็กอีกวัดว่า

    "เธอจะไปไหน ?"
    "ไปยังที่ๆ เท้าของฉันจะพาไปนั่นแหละ" เด็กอีกวัดตอบ

    <DD>เด็กวัดแรกมึนงง แต่ก็พอจะรู้ว่า นี่ไม่ใช่การตอบแบบธรรมดา เมื่อกลับไปถึงวัด จึงเล่าเรื่องให้อาจารย์ของตนฟัง

    <DD>"พรุ่งนี้ให้ถามเขาใหม่ ถ้าเขาตอบว่าจะไปยังที่เท้าพาไปอีก เจ้าจงสวนกลับไปเลยว่า ถ้าเธอไม่มีเท้าล่ะจะไปยังที่ใด ?" อาจารย์แนะนำ</DD><DD>

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<DD>วันรุ่งขึ้นเมื่อพบกัน เด็กคนแรกก็ถามด้วยคำถามเดิมอีก

    "เธอจะไปไหน ?" พร้อมเตรียมคำถามจะสวนกลับ
    ไปยังที่ๆ ลมจะพัดไป" เด็กอีกคนตอบ

    พอได้ยินคำตอบเปลี่ยนไป ที่อาจารย์สอนมาก็ใช้ไม่ได้อีกแล้ว เด็กคนแรกจึงกลับไปหาอาจารย์และเล่าเรื่องให้ฟังอีก ท่านอาจารย์พอได้ฟังก็ยิ้ม แล้วแนะว่า

    "พรุ่งนี้เจ้าถามเขาอีก ถ้าเขาตอบว่าไปยังที่ลมพัดไป ก็ให้ถามดักว่า ถ้าหากไม่มีลมล่ะ เจ้าจะไปยังที่ใด ?"

    <DD>รุ่งขึ้นพอเดินสวนกัน เด็กคนแรกก็ถามทันที

    "เธอจะไปไหน ?"
    "ฉันจะไปตลาดซื้อผัก" เด็กอีกคนตอบหน้าตาเฉย

    <DD>ก็คงต้องมึนกันอีกเช่นเคย
    </DD>
    [/FONT]</DD>
     
  11. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    ผู้อยู่เบื้องหลัง
    <HR SIZE=1><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#ff99cc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=white>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]ครูบาอาจารย์และบิดามารดาเป็นประหนึ่งแบบพิมพ์ หรือหุ่นสำหรับหลอมศิษย์และบุตรธิดา

    แต่ข้อเหล่านี้เป็นของลี้ลับอยู่ ผู้คนจึงมองไม่เห็น โดยมากมักจะเน้นชมกันเฉพาะกันเฉพาะที่ปรากฏประจักษ์ตา ไม่ค่อยมองให้ลึกสาวหาสาเหตุที่มาหรือสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง ดังคนที่เห็นพระพุทธรูปสวยงามนัก ก็มักจะชมแต่พระพุทธรูปนั้นเท่านั้น หาได้นึกไปถึงช่างปั้นช่างหล่อพระพุทธรูปองค์นั้นว่า มีความดีมีฝีมือไม่

    <DD>คนเราก็เช่นกัน มักจะชมแต่เจ้าตัวว่าประพฤติดีมีมารยาท มีความกตัญญูรู้คุณคน ไม่ค่อยนึกไปถึงครูอาจารย์หรือบิดามารดาที่ฝึกผู้นั้นให้เป็นอย่างที่เห็น.

    <CENTER>[​IMG] </CENTER>

    </DD>
    [/FONT]</TD></TR><TR><TD>[FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]โดย เทพธรรม...นำเสนอ [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  12. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    ความฝัน..โดยท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร (๑)
    <HR SIZE=1><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#ff99cc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=white>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>ความฝัน
    โดย..ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร </CENTER>

    <CENTER>ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับความฝัน</CENTER>
    ตามพจนานุกรมฉบับบาลีไทย “สุบิน” ได้แก่ “ความฝัน

    ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานแสดงไว้ว่า “ฝัน” หมายถึง “การนึกเห็นเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อเวลานอนหลับ” “นึกเห็น” และ “นึกเห็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”

    ความว่า “ฝัน” นั้นเป็นคำไทย แปลมาจากมคธว่า “สุปิน” บางทีเราพูดกันว่า “สุบิน”

    ความฝัน เป็นเรื่องที่รู้จักกันดีของคนทั้งหลาย เพราะไม่ว่าใครๆ เกือบทุกคนย่อมจะเคยฝันกันมาแล้วทั้งนั้น มากบ้าง น้อยบ้าง จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง

    ความฝันเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ยากแก่การอธิบาย จึงเป็นเรื่องที่ติดข้องกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะว่า ความฝันนั้นแปลกประหลาดน่าอัศจรรย์ เป็นเรื่องปรากฏขึ้นมาจริงๆที่แจ่มใส เหมือนภาพยนตร์ที่ฉายอยู่ต่อหน้าในเวลานอนหลับ เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไปโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่เลือกว่าเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย ร่างกายสบายหรือทุพพลภาพ

    ความฝันจะเกิดขึ้นได้ทั้งในเรื่องเล็กน้อยกระจ้อยร่อย หรือในเรื่องใหญ่โตมโหฬาร เป็นเรื่องทุกข์ระทมขมขื่นแสนสาหัส หรือเป็นเรื่องของความสุขสนุกสนานเบิกบานอย่างสุดเหวี่ยงอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น จะเป็นเรื่องที่มีอยู่โลกนี้ หรือนอกโลกนี้ก็เคยมีฝันกันบ่อยๆ เราจึงได้พูดกันทั่วไปว่า ฝันถึงโลกหน้าหรือปรโลก

    นอกจากนี้ แม้ในเรื่องความเป็นหรือความตายก็เอามาฝันได้ ตลอดทั้งความฝันที่บางทีบังเกิดเป็นความจริงขึ้นได้ในเวลาต่อมาก็มี หรือบางทีความฝันที่มิได้เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย ก็อาจปรากฏขึ้นได้เสมอๆเหมือนกัน

    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]แม้ความฝันจะเกิดขึ้นมาอยู่ต่อหน้าต่อตา แล้วเกิดขึ้นมาจนนับครั้งไม่ไหว และความฝันจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดน่าอัศจรรย์ใจปราการใดก็ตาม แต่ก็หามีผู้ใดทราบไม่ว่าความฝันนั้นคืออะไร เหตุใดความฝันจึงเกิดขึ้นมาได้ ทั้งในขณะที่กำลังฝันอยู่นั้น จิตใจและร่างกายมันทำอะไรกัน ทำไมขณะที่กำลังฝันอยู่นั้น จึงไม่มีความรู้สึกสำนึกตัว และในบางครั้งความฝันเกิดเป็นความจริงขึ้นมาได้ เป็นเพราะเหตุใด

    มนุษย์มีความสนใจในเรื่องของความฝันมาเป็นเวลานานนับด้วยพันปี มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยต่างก็กระตือรือร้นอยากจะทราบว่า ความฝันนั้นคืออะไร ทั้งได้พากเพียรพยายามค้นคว้าหาความจริงมามากมายและยาวนานอย่างไร ก็ยังอธิบายถึงเรื่องของความฝันไม่ได้อยู่ นั่นเอง แม้ในกระทั้งถึงในปัจจุบันนี้ อันเป็นยุคสมัยท่องอวกาศ ยุคสมัยจรวดและดาวเทียมและการลงเหยียบบนดวงจันทร์

    เรื่องลึกซึ้งอย่างเหลือเกินถึงเพียงนี้ จะมีผู้ใดใครที่ไหนเหล่าจะสามารถให้อรรถาธิบายจนคนทั้งหลายเห็นเป็นความจริงขึ้นมาได้ แม้เวลาจะเนิ่นนานออกไปอีกสักกี่ร้อยกี่พันปีก็ตาม เรื่องของความฝันนั้น มิใช่วิสัยของปุถุชนทั้งหลายที่จะค้นคว้าหาความจริงเอาเองได้ หากแต่จะต้องอาศัยสัพพัญญุตญาณ ความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ซึ่งไม่มีกิเลสอันเป็นเครื่องเศร้าหมองดองอยู่ภายในจิตใจเลยแม้แต่น้อย
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]อย่างไรก็ดี ก็พูดกันถึงเรื่องของความฝันแล้ว ก็จำเป็นจะต้องพูดกันถึงเรื่องของการหลับนอนให้บังเกิดความเข้าใจเสียก่อน ว่าการนอนหลับนั้นคืออะไร ในขณะนอนหลับนั้น จิตใจกับร่างกายมันทำงานอะไรกัน

    แต่เมื่อพูดถึงการนอนหลับแล้ว ก็จะเข้าถึงความลึกซึ้งของเรื่องการนอนหลับไม่ได้ จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องของจิตใจเสียก่อน ว่าจิตนั้นคืออะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีความสามารถอย่างไรบ้าง

    เมื่อได้ศึกษาเรื่องของจิตใจมีความเข้าใจดีแล้ว ก็จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องของกรรม คือ การกระทำด้วย เพราะความฝันเกิดจากกรรมก็ได้ แล้วจะเรียนรู้ไปถึงเรื่องของการจุติปฏิสนธิ คือคนตายแล้วเกิดขึ้นมาได้ แม้จะเกิดเป็นผีสางเทวดาก็ได้ และจะต้องเรียนรู้ตลอดไปจนเรื่องของรูป คือ รูปอันละเอียดเป็นปรมาณู ที่มีแสดงอยู่ในพระพุทธศาสนาว่ารูปปรมาณูที่มาประชุมกันเป็นผีสางเทวดาได้อย่างไร

    เพราะว่าความฝันนั้น บางครั้งก็เกี่ยวข้องพัวพันกับผู้ที่ได้ตายไปแล้ว ที่เราเรียกว่า เป็นผีสางเทวดา
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]ด้วยเหตุดังนี้เอง ผู้ที่จะมีความเข้าใจในเรื่องของความฝันเป็นอย่างดี ก็จำเป็นจะต้องหาความรู้หลายเรื่อง ซึ่งล้วนแต่สำคัญทั้งนั้น ผมจึงได้กล่าวว่า ปุถุชนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต หรือนักวิทยาศาสตร์ขั้นใด ก็ไม่มีหวังที่จะค้นคว้าหาความจริงในเรื่องของความฝันให้กระจ่างแจ้งออกมา จนสามารถทำให้ผู้ศึกษาหายสงสัยได้

    [COLOR=#3300ff]ผมก็จะได้แสดงเรื่องสำคัญเหล่านี้โดยย่อพอให้เป็นแนวทาง เพื่อให้เป็นบันไดรองรับเบื้องต้น สำหรับท่านทั้งหลายจะได้เดินขึ้นไปสู่ความจริงอันยิ่งใหญ่ในเรื่องของความฝันต่อไป แต่ถ้าท่านผู้ใดปรารถนาที่จะสร้างพื้นฐานให้แน่นแฟ้นเพิ่มขึ้น หรือเพื่อจะให้มีความเข้าใจในเรื่องของความฝันแจ่มกระจ่างยิ่งขึ้น ผมก็เชิญอ่านเรื่องเหล่านี้เสียก่อน คือ ความมหัศจรรย์ของจิต การนอนหลับคืออะไร เมื่อนอนไม่หลับจะแก้อย่างไร กับเรื่องชีวิตภายหลังความตาย หรือตายแล้วเกิดได้อย่างไร ของอภิธรรมมูลนิธิ
    [/COLOR]

    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
     
  13. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>ทัศนคติของบุคคลต่างๆ ในเรื่องของความฝัน</CENTER>
    อริสโตเติล ปราชญ์กรีกที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องของความฝันเอาไว้ว่า “ความฝันก็คือนิมิตร้าย ไม่มีนิมิตดีอะไรเลย” และยังกล่าวต่อไปว่า “คนที่มีนิมิตนั้น เป็นคนที่มีโรคร้ายมาแทรกแซงอยู่ภายในร่างกาย”

    ในข้อนี้ก็มาขัดกับความคิดเห็นของปลาโต ปลาโตเป็นนักปราชญ์ใหญ่ปรมาจารย์ของอริสโตเติลเอง ได้แสดงความคิดเห็นขัดแย้งตรงกันข้ามเอาไว้ว่า “ความฝันเป็นสิ่งที่บอกเหตุการณ์ภายหน้าได้” ในเรื่องนี้ คนทั้งหลายก็คงจะพากันยอมรับ เพราะความจริงก็ปรากฏอยู่โดยทั่วไป

    ดร. คิมมิน ได้บรรยายไว้ในหนังสือชื่อ “ชิลเดรนส์สตรีม” ว่า “เด็กๆ มับจะฝันถึงการเป็นเจ้าของในสิ่งต่างๆ ที่ตนมีความปรารถนาอยากจะได้บ่อยๆ”

    มิสเตอร์ จ. ดับบลิว ดันน์ ได้แสดงว่า “ความฝันคือกระแสบอกเหตุร้ายหรือดีแก่บุคคลและประเทศชาติ”

    ลินคอล์น ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา มีทัศนะในเรื่องความฝันเอาไว้ว่า “ความฝันเป็นการแสดงถึงเหตุการณ์ทั้งในทางดีในทางร้ายที่จะเกิดขึ้นมาในอนาคต”

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]ศาสตราจารย์ซิคมันฟรอยด์ นักจิตวิทยาแห่งออสเตรีย ที่มีชื่อเสียงก้องไปทั่วโลก กล่าวเรื่องความฝันเอาไว้ว่า “เป็นเรื่องไร้สาระ ความฝันจะเป็นความจริงไม่ได้เป็นอันขาด”

    ฟรอยด์ได้ให้อรรถาธิบายในเรื่องของความฝันเอาไว้ว่า เกิดจากความต้องการของจิตใจในขณะที่กำลังหลับ และไม่ยอมเชื่อว่า ความฝันจะเป็นความจริงไปได้ในอนาคต เพราะมีความเชื่อมั่นว่า มูลเหตุของความฝันนั้นมาจากผู้ฝันได้พบเห็นและมีความผูกพันมาก่อน

    ลัทธิโยคีบางลัทธิให้ความเห็นได้ว่า “ความฝันก็คือ อาการที่เจตภูตท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ อาจจะไปที่ไหนๆ หรือในโลกใด หรือจะเกี่ยวข้องพัวพันกับวิญญาณของบุคคลผู้ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ หรือได้ตายไปแล้วก็ได้”

    [COLOR=#9966ff]นักจิตวิทยาหลายท่าน ให้ความเห็นเอาไว้ว่า “ความฝัน เป็นอาการแสดงออกของจิตไร้สำนึก” ท่านมีแต่ความเห็นในเรื่องของความฝัน แต่จิตคืออะไร ท่านไม่เคยอธิบาย

    [SIZE=4][COLOR=#663300]มีบุคคลเป็นอันมาก มีความคิดเห็นว่า “ความฝันนั้นเป็นความคิดของบุคคลในขณะนอนหลับ” ทั้งๆ ที่การนอนหลับคืออะไรก็ยังไม่เข้าใจ แล้วยังได้สาธยายต่อไปอีกว่า “มีวิญญาณออกจากร่างกายแล้วท่องเที่ยวไป ไม่ว่าในดินแดนของนรก หรือสวรรค์ในที่ทุกหนทุกแห่ง ที่วิญญาณทั้งหลายสิงสถิตอยู่ วิญญาณได้ประสบอะไรมาก็สามารถปรากฏได้ในความฝัน”
    [/COLOR][/SIZE][/COLOR]
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][COLOR=#9966ff][SIZE=4][COLOR=#663300][FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#3366ff]มนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ไม่ว่าจะเจริญก้าวหน้าในอารยธรรมและวัฒนธรรมไปไกล หรือยังล้าหลังอยู่ก็ตาม ต่างก็ประสบกับเรื่องที่แปลกประหลาดน่าอัศจรรย์ของความฝันด้วยกันทั้งนั้น อาจเกิดกับตัวเองหรือของญาติมิตร ที่บอกถึงเรื่องราวในอดีต และแสดงความจริงที่จะเกิดขึ้นอนาคตทั้งในด้านดีและด้านร้าย แล้วผลก็ปรากฏว่าความฝันเหล่านั้นถูกต้องอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย

    [SIZE=4][COLOR=#666699]บรรดานักจิตวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ในสาขาวิชาต่างๆ พยายามค้นคว้าหาความจริงในเรื่องของความฝันกันเป็นเวลานานมาแล้ว จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีผู้ใดที่จะเสนอความจริงอันเร้นลับดำมืดดังกล่าวออกมาสู่มหาชนได้

    [SIZE=4][COLOR=#663300]อย่างไรก็ดี ความฝันนั้นย่อมจะเกี่ยวข้องพัวพันกับการนอนหลับอย่างใกล้ชิด เมื่อยังไม่ทราบว่า การนอนหลับคืออะไรเสียแล้ว จะอธิบายในเรื่องของความฝันได้อย่างไรเล่า (เชิญอ่านเรื่อง “การนอนหลับคืออะไร เมื่อนอนไม่หลับจะแก้ไขอย่างไร” ของอภิธรรมมูลนิธิ)

    [SIZE=4][COLOR=#3300ff]คำกล่าว ที่มีแต่คำกล่าว แต่หาหลักฐานข้อเท็จจริงไม่ได้เลย ก็คือคำว่า “วิญญาณ” และคำว่า “เจตภูต” วิญญาณและเจตภูตคืออะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ตั้งอยู่ตรงส่วนไหนของร่างกาย ก็ยังไม่มีคำอธิบาย
    [/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#3366ff][SIZE=4][COLOR=#666699][SIZE=4][COLOR=#663300][SIZE=4][COLOR=#3300ff]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#663300]ในวิชาจิตวิทยา แสดงให้เราทราบว่ามนุษย์นั้นมี จิต และ “จิตไร้สำนึก” (Subconcious) ซึ่งถือว่าเป็นคลังเป็นพัสดุสารพัดอย่าง เช่นในเรื่องความรู้ในสรรพวิทยาการต่างๆ ความทรงจำในเรื่องราวทุกอย่าง ความชำนาญในงานหรือการเล่น ฯลฯ แต่ท่านก็มิได้บอกให้เราทราบเลยว่า “จิตไร้สำนึกนั้นคืออะไร ? แล้วมันทำให้เกิดความฝันขึ้นมาได้อย่างไร ?”

    [SIZE=4][COLOR=#336600]นักจิตวิทยาสมัยใหม่ ได้อธิบายเรื่องของความฝันว่า เป็น “จิตเหนือสำนึก” (Super Conscious mind) และในบางท่านก็ว่า เป็นประสาทที่ ๖ (The Sixth Sense) เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์ เพราะมันมิได้ทำงานตามธรรมดาในขณะที่จิตเป็นสามัญสำนึก หรือเป็นจิตไร้สำนึก แต่มันควบคุมจิตเหนือสำนึกอีกทีหนึ่ง

    [SIZE=4][COLOR=#666699]ไม่ว่าเราจะศึกษาหาความรู้ในเรื่องความฝันจากที่แห่งใด จากใคร หรือหนังสือเล่มไหน เราก็พบแต่คำอธิบายที่คลุมเครือไม่มีความสว่างไสวในหัวใจได้

    [SIZE=4][COLOR=#3300ff]บรรดานักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา นักศาสนา ตลอดจนนักจิตวิทยา แม้จะได้ค้นคว้าหาความจริงในเรื่องของความฝันมามากมาย และเป็นเวลาช้านานสักเท่าใด ก็หาได้รับคำอธิบายให้หายสงสัยได้ไม่ว่า ความฝันนั้นคืออะไร ความฝันนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ในขณะที่กำลังฝันอยู่นั้นจิตใจทำอะไรกัน และความฝันที่เป็นความจริงขึ้นมาได้ด้วยเหตุผลกลใด

    [SIZE=4][COLOR=#993366]ก่อนที่ผมจะได้แสดงเรื่องความฝันโดยพิสดาร ผมก็จะขอยกความฝันของบุคคลต่างๆ มาเสนอให้ท่านได้พิจารณาประกอบไปด้วย.

    <CENTER>[SIZE=4][COLOR=#006633]โปรดติดตามตอนต่อไป </CENTER>[/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE][/COLOR]
    [/FONT]
    [/FONT]
     
  14. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    ความฝัน..โดยท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร (๒)
    <HR SIZE=1><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#ff99cc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=white>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>ความฝัน
    โดย. ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร </CENTER>

    ตอนที่ (๑) อ่านที่นี่

    <CENTER>เรื่องที่ ๑
    พระสุบินนิมิตของพระมหามายาราชเทวี</CENTER>

    ในกาลครั้งนั้น พระนครกบิลพัสดุ์กำลังมีงานพิธีเดือน ๘ มหาชนต่างพากันเล่นนักษัตรตั้งแต่วันเพ็ญเดือนอาสาฬหะไปเจ็ดวัน พระมหามายาราชเทวี ก็ทรงเล่นนักษัตรที่ปราศจากสุรา แต่สมบูรณ์ด้วยเครื่องประดับ มีดอกไม้และของหอม ในวันที่เจ็ดตั้งแต่เช้าก็ทรงสรงน้ำหอม พระราชทานทรัพย์เป็นมหาทาน ประดับพระองค์ด้วยสรรพาภรณ์วิภูสิต เสวยโภชนาหารสุทธารส ทรงอธิษฐานองค์อุโบสถ ประทับ ณ ห้องสิริไสยาสน์อันประดับและตกแต่งแล้ว ณ แท่นสิริไสยาสน์เสด็จสู่พระบรรทม

    ครั้นเมื่อพระนางมหามายาราชเทวีบรรทมแล้ว ก็บังเกิดพระสุบินนิมิตว่า ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ยกพระองค์ พร้อมด้วยแท่นบรรทมเข้าไปยังป่าหิมพานต์ แล้ววางไว้บนพื้นศิลาประมาณ ๖๐ โยชน์ ภายใต้ต้นสาละ มีปริมาณมณฑลประมาณ ๗ โยชน์ แล้วยืนเฝ้าอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง จากนั้นก็มีพระนางเทพีของท้าวมหาราชเหล่านั้นได้นำพระนางมายังสระอโนดาด ช่วยกันสรงเพื่อชำระมลทินมนุษย์ให้หมดจด แล้วให้ทรงภูษาทิพย์ ลูบไล้ด้วยทิพย์คันธชาติ ประดับด้วยดอกไม้ทิพย์ จากที่นั้นไม่ไกลนัก มีวิมานทองตั้งอยู่ที่ภูเขาเงินทางด้านปราจีน ลาดด้วยทิพยไสยาสน์สูงหน่อยหนึ่ง แล้วให้บรรทม ณ ที่นั้น

    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>​

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]ในขณะนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระยาช้างเศวตกุญชร เที่ยวอยู่ที่ภูเขาทอง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ลงจากภูเขาทอง แล้วมาขึ้นภูเขาเงินทางด้านอุตตรทิศ ถือดอกประทุมด้วย หางมีสีเหมือนพวงเงิน บรรลือโกญจนาทแล้วเข้ามายังวิมานทอง ทำประทักษิณสามรอบ ณ มาตุไสยาสน์ เหมือนกับทำลายพระปรัศว์เบื้องขวา เข้าอยู่ในพระกุจฉิประเทศ พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิ ณ วันนักษัตร เดือนอุตตราบาท ในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ (เดือน ๘)

    ครั้นวันรุ่งขึ้น พระมหามายาราชเทวี ได้กราบทูลพระสุบินนิมิตนั้นแก่พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระองค์ได้โปรดเชิญพราหมณ์ผู้มีความสามารถหลายท่านให้ทำนายพระสุบิน พราหมณ์ทั้งหลายทำนายว่า พระราชเทวีทรงพระครรภ์ และมหาบพิตรจะได้พระโอรส และพระราชโอรสพระองค์นี้ ถ้าอยู่ครองฆราวาสจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเสด็จออกผนวชจักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>เรื่องที่ ๒
    การบำเพ็ญทุกรกิริยาของพระบรมโพธิสัตว์ก่อนตรัสรู้</CENTER>

    พระบรมโพธิสัตว์ ได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างแรงกล้า ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ (กัดฟันด้วยฟัน) กดพระตาลุด้วยพระชิวหา (กดเพดานด้วยลิ้น) ทรงข่มจิตใจบีบให้แน่น ร้อนจัด เหงื่อไหลออกจากรักแร้ จนกระทั้งได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ก็ยังไม่สามารถตรัสรู้ได้

    หลังจากนั้น พระองค์จึงได้บำเพ็ญเพียรอย่างแรงกล้ายิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการกลั้นลมหายใจออกและลมหายใจเข้า ทั้งทางปาก ทางจมูก จนกระทั้งลมดันออกทางช่องหูทั้งสอง ก็ยังไม่อาจตรัสรู้ได้ จึงกลั้นลมให้สูงขึ้นมาอีกทั้งทางปากและทางจมูก และทางช่องหู จนกระทั้งลมเสียดแทงขึ้นบนศีรษะ ได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า ดุจว่าศีรษะถูกเชือดด้วยมีดโกนคมกริบฉะนั้น

    [COLOR=#3300ff]พระบรมโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาให้กล้าแข็งยิ่งขึ้นไปอีก โดยทรงยับยั้งพระกระยาหารทีละน้อยๆ จนในที่สุดอดพระกระยาหารโดยเด็ดขาด พระวรกายถึงซึ่งความซูบผอม ผิวพรรณที่เปล่งปลั่งดังสีทอง ก็กลายเป็นผิงดำคล้ำ มหาปุริสลักษณะทั้ง ๓๒ ประการก็ไม่ปรากฏ ถูกเวทนาครอบงำจนถึงแก่วิสัญญีภาพ และล้มลง ณ ที่นั้น

    [SIZE=4][COLOR=#666699]อวัยวะน้อยใหญ่ของพระบรมโพธิสัตว์ เหมือนเถาวัลย์ที่มีข้อมาก ตะโพกปรากฏเหมือนเท้าอูฐ กระดูกสันหลังผุดขึ้นมาเหมือนเถาวัฏฏนาวีฬ ซี่โครงนูนขึ้นเป็นร่องๆ ดุจดังกลอนศาลาเก่าที่เครื่องมุงหล่นโทรมอยู่ ฉะนั้น ดวงตาลุ่มลึกเข้าไปในเบ้าตา ประดุจดวงดาวในบ่อน้ำลึก ผิวบนศีรษะเหี่ยวแห้งดุจผลน้ำเต้าที่ถูกแสงแดดอันแรงกล้าแผดเผา ผิวหนังท้องแห้งติดกระดูกสันหลัง เมื่อลุกขึ้นถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ก็ซวนเซล้มลง เมื่อเอาฝ่ามือลูบตามพระวรกาย ขนทั้งหลานมีรากเน่าหล่นออกมา แต่ก็หาสามารถตรัสรู้ได้ไม่
    [/COLOR][/SIZE]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#336600]พระบรมโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยวิธีการต่างๆ อยู่ถึง ๖ ปี ก็ไม่สามารถตรัสรู้ได้ จึงได้ทรงเปลี่ยนพระหทัยออกบิณฑบาต ครั้นเสวยพระกระยาหารแล้ว ต่อจากนั้นมาไม่ช้านัก มหาปุริสลักษณะทั้ง ๓๒ ประการก็ปรากฏขึ้นตามเดิม พระวรกายกลับมีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่งดั่งในอดีต

    [SIZE=4][COLOR=#9966ff]ในครั้งนั้น มีหญิงผู้หนึ่งชื่อนางสุชาดา เกิดในเรือนของเสนะกฎุมพี ในเสนานิคมอุรุเวลาประเทศ เติบโตเป็นรุ่นสาว นางทำความปรารถนาไว้ที่ต้นไทรแห่งหนึ่งว่า ถ้าข้าพเจ้าได้สามีที่มีสกุลสมกันแล้ว ขอให้ได้ลูกชายคนหัวปี จะสละทรัพย์ประมาณแสนหนึ่งทำพลีกรรมแก่ท่านทุกๆ ปี ความปรารถนาของนางก็ได้สำเร็จสมความประสงค์ จึงได้ทำพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน ๖ อันเป็นวันที่พระบรมโพธิสัตว์บำเพ็ญทุกรกิริยาครบ ๖ ปีพอดี นางได้ถวายข้าวปายาสเพื่อกระทำพลีกรรมแก่เทวดา
    [/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#336600][SIZE=4][COLOR=#9966ff][INDENT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2]<CENTER>[SIZE=4][COLOR=#8c0074]พระบรมโพธิสัตว์ทรงสุบิน ๕ ประการ</CENTER>

    [SIZE=4][COLOR=#663300]ณ ราตรีนั้น พระบรมโพธิสัตว์ทรงบรรทมแล้วเกิดเป็นพระสุบินนิมิต ซึ่งทรงตรัสเล่าด้วยพระองค์เอง ในสุปินสูตร อังคุตตรนิกายปัญจกนิบาต คือ

    [SIZE=4][COLOR=#993366]๑. อยํ มหาปฐวี มหาสยํ อโหสิ
    [SIZE=4][COLOR=#0000ff]พระองค์เสด็จบรรทมเหนือปฐพี เป็นแท่นที่พระบวรสิริมหาไสยาสน์

    [SIZE=4][COLOR=#993366]หิมวา ปพฺพตราชา พิมฺโพหนํ อโหสิ
    [SIZE=4][COLOR=#0000ff]พระยาเขาหิมพานต์เป็นพระเขนย บ่ายพระเศียรไปทางทิศอุดร

    [SIZE=4][COLOR=#993366]ปุรตฺถิเม สมุทฺเท วาโม หตฺโถ โอหิโต อโหสิ
    [SIZE=4][COLOR=#0000ff]พระหัตถ์ซ้ายเหยียดยาวไป หย่อนลงในมหาสมุทร ด้านปุริมทิศ (ทิศตะวันออก)

    [SIZE=4][COLOR=#993366]ปุจฺฉิเม สมุทฺเท ทกฺขิโน หตฺโถ โอหิโต อโหสิ
    [SIZE=4][COLOR=#0000ff]พระหัตถ์ขวาเหยียดพาดหย่อนไปในมหาสมุทร ด้านปัจฉิม (ทิศตะวันตก)

    [SIZE=4][COLOR=#993366]ทกฺขิเณ สมุทฺเท อุโภ ปาทา โอหิโต อเหสํ
    [SIZE=4][COLOR=#0000ff]พระบาททั้งสองเหยียดพาดหย่อนลงไปในมหาสมุทร ด้านทิศทักษิณ (ทิศใต้)
    [/COLOR][/SIZE]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#993366]๒. ติณฺชาติ นาภิยา อคฺคนฺตวา นภํ อาหจฺจ ฐิตา อโหสิ
    [SIZE=4][COLOR=#336600]หญ้าคางอกขึ้นมาแต่พระนาภีแล้วสูงขึ้นจนจรดนภากาศ

    [SIZE=4][COLOR=#993366]๓. เสตา กิมี กณฺหสีสา ปาเทหิ อุสฺสกฺกิตฺวา ยาว ชานุมณฺฑลา ปฏิจฺฉาเทสํ
    [SIZE=4][COLOR=#cc6666]กิมิชาติ หมู่หนอนทั้งหลาย ตัวสีขาว ศีรษะดำ ไต่ขึ้นมาแต่พระบาททั้งสอง (ปกปิดพระบาทและพระชงฆ์) ตลอดจนถึงชานุมณฑล (เข่า)

    [SIZE=4][COLOR=#993366]๔. จตฺตาโร สกุณา นานาวณฺณา จตูหิ ทิสาหิ อาคนฺตวา ปาหมูเล นิปติติตฺวา สพฺพเสตา สมฺปชฺชีสุ
    [SIZE=4][COLOR=#3366ff]นกทั้งหลายสี่จำพวก มีสีต่างๆ กัน (เป็นสี่สี) บินมาจากทิศทั้ง ๔ แล้วมาหมอบอยู่ใกล้พระบาทแห่งพระองค์ แล้วก็กลับกลายสรีระเป็นสีขาวเหมือนกันหมดทั้ง ๔ จำพวก

    [SIZE=4][COLOR=#993366]๕. สมาโน มหโต มิฬฺฆปพฺพตสฺส อุปรูปริ จงฺกมติ อลิปฺปมาโน มิฬฺเหน
    [SIZE=4][COLOR=#501400]พระองค์ทรงเสด็จจงกรมไปมาในเบื้องบนแห่งภูเขาใหญ่อันเต็มไปด้วยคูถ แต่พระบาทจะได้แปดเปื้อนด้วยคูถแม้แต่น้อยหนึ่งก็หามิได้
    [/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#993366][SIZE=4][COLOR=#336600][SIZE=4][COLOR=#993366][SIZE=4][COLOR=#cc6666][SIZE=4][COLOR=#993366][SIZE=4][COLOR=#3366ff][SIZE=4][COLOR=#993366][SIZE=4][COLOR=#501400][INDENT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2]<CENTER>[SIZE=4][COLOR=#8c0074]พระบรมโพธิสัตว์ทำนายพระสุบิน</CENTER>

    [SIZE=4][COLOR=#ff6633]๑. พระสุบินนิมิตข้อที่หนึ่งนั้น ทรงพยากรณ์ว่า พระองค์จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างแน่นอน

    [SIZE=4][COLOR=#336600]๒. พระสุบินนิมิตข้อที่สองนั้น ทรงพยากรณ์ว่า พระองค์จะได้ตรัสรู้อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ แล้วประกาศให้ปรากฏแจ่มแจ้งในสันดานแห่งเทวดาและมนุษย์ ตลอดจนอินทร์ พรหมทั้งปวง

    [SIZE=4][COLOR=#cc6666]๓. พระสุบินนิมิตข้อที่สามนั้น ทรงพยากรณ์ว่า คฤหัสถ์ผู้นุ่งขาวห่มขาวเป็นจำนวนมาก ได้ถึงตถาคตเป็นสรณะตลอดชีวิต

    [SIZE=4][COLOR=#3366ff]๔. พระสุบินนิมิตข้อที่สี่นั้น ทรงพยากรณ์ว่า วรรณะทั้ง ๔ เหล่าคือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ทำให้แจ้งซึ่งนิมิตอันยอดเยี่ยม

    [SIZE=4][COLOR=#501400]๕. พระสุบินนิมิตข้อที่ห้านั้น ทรงพยากรณ์ว่า ตถาคตได้จตุปัจจัยลาภ มีจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัชบริวาร แต่มิได้ลุ่มหลง ไม่หมกมุ่น ไม่พัวพัน มีปรกติเห็นโทษ มีปัญญาเปลื้องตนออก
    [/COLOR][/SIZE]

    [/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/INDENT][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#8c0074][SIZE=4][COLOR=#ff6633][SIZE=4][COLOR=#336600][SIZE=4][COLOR=#cc6666][SIZE=4][COLOR=#3366ff][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/INDENT][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#8c0074][SIZE=4][COLOR=#663300][SIZE=4][COLOR=#993366][SIZE=4][COLOR=#0000ff][SIZE=4][COLOR=#993366][SIZE=4][COLOR=#0000ff][SIZE=4][COLOR=#993366][SIZE=4][COLOR=#0000ff][SIZE=4][COLOR=#993366][SIZE=4][COLOR=#0000ff][SIZE=4][COLOR=#993366][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [/FONT]
    [/FONT]
     
  15. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]ครั้นรุ่งสว่างแล้ว พระบรมโพธิสัตว์ทรงทำการปฏิบัติในสรีรกิจแล้ว เมื่อกำลังรอภิกขาจารได้เสด็จมาประทับยังควงไม้แต่เช้าตรู่ ยังควงไม้ทั่วบริเวณนั้นให้สว่างไสวด้วยรัศมีของพระองค์

    นางปุณณทาสีมาเห็นพระบรมโพธิสัตว์ นางก็เกิดความคิดว่า วันนี้เทวดาของพวกเราเห็นจะลงมาจากต้นไม้คอยรับพลีกรรมด้วยมือของตนเอง จึงได้รีบนำความนั้นแจ้งแก่นางสุชาดา

    นางสุชาดาได้ยินเช่นนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก รีบจัดแจง ถาดทองใส่ข้าวมธุปายาสจนเต็ม แล้วปิดด้วยถาดทองห่อด้วยผ้าขาว ทูนถาดไว้เหนือศีรษะเดินทางไปยังควงไม้ไทรใหญ่นั้น ครั้นได้เห็นพระบรมโพธิสัตว์ ก็บังเกิดความโสมนัสเป็นกำลัง ย่อกายเข้าคารวะด้วยคิดว่าเป็นรุกขเทวดา นางลดถาดทองลงจากศีรษะเปิดถาดแล้วถือถาดน้ำที่อบด้วยของหอมอย่างดี ด้วยคณโฑทอง น้อมเข้าไปถวายพระบรมโพธิสัตว์

    นางสุชาดาวางถาดทองที่รองข้าวปายาสลงที่พระหัตถ์ของพระโพธิสัตว์ พระบรมโพธิสัตว์มองดูนางสุชาดา นางกำหนดอาการนั้นไหว้แล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าขา ขอท่านจงรับข้าวปายาส พร้อมกับถาดที่ดิฉันนำมาเพื่อท่านแล้วตามชอบใจเถิด แล้วกล่าวอีกว่า ความสำเร็จของดิฉันสำเร็จลงแล้วอย่างไร ขอจงสำเร็จแก่ท่านเหมือนฉะนั้นเถิด
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]ในเวลาต่อจากนั้นมา พระบรมโพธิสัตว์ก็หันพระปฤษฎางค์ทางต้นโพธิ์ ผินพระพักตร์มาทางด้านทิศบูรพา ตั้งพระทัยมั่นคงทรงอธิษฐานความเพียรว่า

    <CENTER>กามํ ตโจ นหารู จ.............อฏฺฐิ จ อวสิสฺสตุ
    สพฺพํปิ หิทํ สรีเร...............มํสโลหิตํ อุปสุสฺสตุ</CENTER>

    จะเหลือแต่ หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที เนื้อและเลือดในร่างกายนี้ จะเหือดแห้งไปให้หมดเถิด ตราบใดเรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จักไม่ทำบัลลังก์นี้เป็นอันขาด เสด็จประทับคู้อปราชิตบัลลังก์ ถึงแม้สายฟ้าตั้งร้อยครั้งรวมกันฟาดลงมา ก็ไม่อาจทำให้แยกออกได้

    พระองค์ทรงบรรลุถึงซึ่งความตรัสรู้ในปัจฉิมยามแห่งราตรีนั้น จิตหลุดพ้นแล้วจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ทรงรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอย่างอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.


    <CENTER>[COLOR=#006633]โปรดติดตามตอนต่อไป </CENTER>[/COLOR]
    [/FONT]

    [/FONT]
     
  16. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาพระอภิธรรม
    <HR SIZE=1><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#ff99cc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=white>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]
    <CENTER><MARQUEE width=216 height=41>ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาพระอภิธรรม</MARQUEE></CENTER>

    <CENTER>
    มีอยู่มากมายหลายประการ แต่ที่สำคัญมี โดยสังเขปดังนี้
    ๑ การศึกษาพระอภิธรรมจะทำให้เข้าถึงแก่นของพระพุทธศาสนา เพราะพระอภิธรรมเกิดจากพระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธองค์ การเข้าถึงพระอภิธรรมจึงเท่ากับเข้าถึงพระปัญญาคุณของ พระพุทธองค์อย่างแท้จริง
    ๒ การศึกษาพระอภิธรรม ก็คือศึกษาธรรมชาติการทำงานของกายและใจซึ่งเป็นธรรมชาติ ที่มีอยู่ในตัวเราและสัตว์ทั้งหลายเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องจิต (วิญญาณ)
    เรื่องเจตสิก เรื่องอำนาจจิต เรื่องวิถีจิต เรื่องกรรมและการส่งผลของกรรม เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องสัตว์ใน ภพภูมิต่างๆ และเรื่องกลไกการทำงานของกิเลส ทำให้รู้ว่าชีวิตของเราในชาติปัจจุบันนี้มาจากไหนและ มาได้อย่างไร มีอะไรเป็นเหตุมีอะไรเป็นปัจจัย เมื่อได้คำตอบชัดเจนดีแล้วก็จะรู้ว่าตายแล้วไปไหนและ ไปได้อย่างไร อะไรเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างชาตินี้กับชาติหน้า ทำให้หมดความสงสัยแล้วเกิดอีกหรือไม่ นรก สวรรค์ มีจริงไหม ทำให้มีความเข้าใจเรื่องกรรม และการส่งผลของกรรม (วิบาก) อย่างละเอียด ลึกซึ้ง



    ๓ ผู้ศึกษา พระอภิธรรมจะเข้าใจเรื่องของปรมัตถธรรม หรือสภาวธรรมอันจริงแท้ตาม ธรรมชาติ ในพระอภิธรรมจะแยกสภาวะออกให้เห็นว่าทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลอะไร ทั้งนั้น คงมีแต่สภาวธรรมคือ จิต เจตสิก รูป ที่วนเวียนอยู่ในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยอาศัยเหตุอาศัยปัจจัยอุดหนุนซึ่งกันและกัน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นใหม่แล้วก็ดับไปอีก มีสภาพเกิดดับอยู่เช่นนี้ โดยไม่รู้จักจบจักสิ้น แม้ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาวธรรมทั้ง ๓ นี้ก็ทำงานอยู่เช่นนี้โดยไม่มีเวลาหยุด พักเลย สภาวธรรมหรือธรรมชาติเหล่านี้มิใช่เกิดขึ้นจากพระผู้เป็นเจ้า พระพรหมพระอินทร์ หรือสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ เป็นผู้บันดาลหรือเป็นผู้สร้าง แต่สภาวธรรมเหล่านี้เป็นผลอันเกิดมาจากเหตุ คือ กิเลสตัณหานั่นเองที่เป็นผู้สร้าง

    </CENTER>
    [/FONT]​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ๔ การศึกษาพระอภิธรรม จะทำให้เข้าใจสภาวธรรมอีกประการหนึ่ง อันเป็นจุดมุ่งหมาย สูงสุดในพระพุทธศาสนาที่ต้องการให้เข้าถึงนั่นก็คือนิพพาน นิพพาน หมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา ผู้ที่ปราศจากกิเลสตัณหาแล้วนั้น เมื่อหมดอายุขัย ก็จะไม่มีการสืบต่อของ จิต + เจตสิก และรูป อีกต่อไป ไม่มีการสืบต่อภพชาติ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง จึงกล่าวว่านิพพานเป็นธรรมชาติที่ปราศจากกิเลสตัณหา เป็นธรรมชาติที่ดับทุกข์โดยสิ้นเชิงและเป็นธรรมชาติที่ พ้นจากจิต เจตสิก รูป นิพพานมิใช่เป็นแดนสุขาวดีที่เป็นอมตะและเพียบพร้อมด้วยความสุขล้วน ๆ ตลอดนิรันดร์กาลตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ



    ๕ การศึกษาพระอภิธรรมจะทำให้เข้าใจคำสอนที่มีคุณค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะ แค่การทำทาน รักษาศีล และการทำสมาธิก็ยังมิใช่คำสอนที่มีค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นเหตุให้ต้องเกิดมารับผลของกุศลเหล่านั้นอีก ท่านเรียกว่า วัฎฎกุศล เพราะกุศลชนิดนี้ยังไม่ทำให้พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด คำสอนที่มีค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฎฐาน ๔ เพื่อให้เห็นว่าทั้งนามธรรม (จิต + เจตสิก) และรูปธรรม (รูป) มีสภาพที่ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ มีการเกิดดับ เกิดดับ ตลอดเวลา หาแก่นสาร หาตัวตน หาเจ้าของไม่ได้เลย เมื่อมีปัญญาเห็นแจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงเช่นนี้แล้วก็จะนำไปสู่ การประหาณกิเลสและเข้าถึงพระนิพพานได้ในที่สุด

    ๖ การศึกษาพระอภิธรรม จะทำให้เข้าใจเรื่องอารมณ์ของวิปัสสนาซึ่งต้องใช้นามธรรม
    (จิต + เจตสิก) และรูปปรมัตถ์เป็นอารมณ์ เมื่อกำหนดรู้อารมณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ ถูกต้อง การปฏิบัติก็ย่อมได้ผลตามที่ต้องการ
    ๗ การศึกษาพระอภิธรรม เป็นการสั่งสมปัญญาบารมีที่ประเสริฐที่สุดไม่มีวิทยาการใด ๆ ในโลกที่ศึกษาแล้วจะทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งโลกเท่ากับการศึกษาพระอภิธรรม


    ๘ การศึกษาพระอภิธรรม เป็นการช่วยกันรักษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ ให้อนุชนรุ่นหลังและเป็นการช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรตลอดไป
    พระอภิธรรมเป็นคำสอนขั้นสูงที่มีเนื้อหาละเอียดลึกซึ้ง เกี่ยวกับปรมัตถธรรม ๔ ประการ หากนำมาแสดงในงานบำเพ็ญกุศลให้แก่ผู้วายชนม์แล้ว ผู้วายชนม์จะได้บุญมากการสวดพระอภิธรรมก็คือการนำเอาคำบาลีขึ้นต้นสั้น ๆ ในแต่ละคัมภีร์ของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์มาเรียงต่อกัน การสวดพระอภิธรรมนี้บางทีเรียกว่า สวดมาติกา ถ้าเป็นงานพระศพบุคคลสำคัญในราชวงศ์เรียกว่า พิธีสดับปกรณ์ ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า สัตตปกรณ์ อันหมายถึง พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ นั่นเอง (สัตต = เจ็ด ปกรณ์ = คัมภีร์ ตำรา)
    ในคัมภีร์พระอภิธรรมมีสาระที่สำคัญก็คือ

    ปรมัตถธรรมหรือ ความจริงแท้มีตามธรรมชาติแล้ว จะมีส่วนประกอบอยู่ ๓ ส่วนเท่านั้น คือ
    ๑ จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์
    ๒ เจตสิก คือ ธรรมชาติที่ประกอบปรุงแต่งจิตมี ๕๒ ลักษณะ
    ๓ รูป คือ องค์ประกอบ ๒๘ ชนิดที่รวมกันขึ้นเป็นกาย
    จะเห็นได้ว่า คนเราทุกคนและสัตว์ทั้งหลายนั้น มีส่วนประกอบเหมือนกันคือ
    เราก็มี จิต เจตสิก รูป
    เขาก็มี จิต เจตสิก รูป
    สัตว์ทั้งหลายก็มี จิต เจตสิก รูป
    จะมีความแตกต่างกันก็ตรงที่รูปร่างหน้าตาผิวพรรณ ซึ่งถูกจำแนกให้แตกต่างกันด้วยอำนาจของกรรมที่กระทำไว้ในอดีต จิต + เจตสิก และรูป มีลักษณะเฉพาะตามธรรมชาติ (สามัญลักษณะ) อยู่ ๓ ประการคือ


    ๑ อนิจจลักษณะ คือ มีลักษณะที่ไม่เที่ยง ไม่คงที่ ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
    ๒ ทุกขลักษณะ คือ มีลักษณะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ เกิดขึ้นแล้วต้องดับไปอยู่ตลอดเวลา
    ๓ อนัตตลักษณะ คือ มีลักษณะที่มิใช่ตัว มิใช่ตน ไม่สามารถบังคับบัญชาได้
    สามัญลักษณะทั้ง ๓ นี้ เป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน เป็นกฎธรรมชาติเรียกว่า ไตรลักษณ์
    นี่เป็นสัจจะอันมี ๔ คือ ๑. ทุกข์ ๒. ทุกขสมุทัย ๓. ทุกขนิโรธ ๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
    โดยสรุปแล้ว จิต + เจตสิก และรูป ที่ประกอบขึ้นเป็นบุคคลหรือเป็นสัตว์ใด ๆ ก็ตามนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มีแก่นสาระอะไรเลย เป็นเพียงการประชุมกันของส่วนประกอบที่มีความไม่เที่ยง เกิดดับ เกิดดับอยู่ตลอดเวลาอย่างรวดเร็ว
    (ชั่วลัดนิ้วมือ จิตมีการเกิดดับแสนโกฏิขณะ )


     
  17. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    เป็นสภาพที่หาเจ้าของมิได้ ไม่เป็นของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของผู้ใด ว่างเปล่าจากความเป็นคนนั้นคนนี้ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน ว่างเปล่าจากความเป็นนั่นเป็นนี่ตามที่สมมุติกันขึ้นมา แต่เป็นสภาวธรรมอันเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ขึ้นกับเหตุ ขึ้นกับปัจจัย พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม ปรมัตถธรรมเหล่านี้ก็คงมีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว พระพุทธองค็เป็นแต่เพียงผู้ทรงค้นพบ และนำมาเปิดเผยให้เราทั้งหลายได้ทราบเท่านั้น หากต้องการทราบเนื้อหาอันลึกซึ้งของปรมัตถธรรมทั้ง ๔
    ก็ต้องศึกษาพระอภิธรรมโดยละเอียดและเป็นคนโยงเนื้อธรรมได้ดีและหมั่นพิจารณาก็จะทำให้เป็นผู้เรียนรู้ธรรมะนี้ได้อย่างดี

    โดย ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี (tvb)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2006
  18. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087
    ความฝัน..โดยท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร (๓)
    <HR SIZE=1><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#ff99cc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=white>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>ความฝัน
    โดย. ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร </CENTER>

    ตอนที่ (๒) อ่านที่นี่

    <CENTER>เรื่องที่ ๓
    ความฝันของ ยอซ เบอร์นาร์ดชอว์</CENTER>

    ใครๆ คงจะไม่ลืม ยอซ เบอร์นาร์ดชอว์ ปรัชญาเมธีผู้มีนามอุโฆษของประเทศอังกฤษ ทั้งเป็นนักประพันธ์ผู้เรืองนามแห่งโลกละคร

    ความรุ่งโรจน์โชตนาการในปรัชญาและการประพันธ์ของท่านปรากฏขึ้นมา ท่านก็ได้ทราบล่วงหน้าเอาไว้ก่อนแล้ว จากความฝันอันประหลาดของท่านเอง เป็นการบ่งบอกถึงอนาคตของท่านเอาไว้ เสมือนมีสิ่งดลใจให้เป็นการประกาศเอาไว้ล่วงหน้าซึ่งมาในรูปของความฝัน

    ท่านได้ฝันไปว่า “ท่านได้เดินมาในเวทีโรงละคร” ทั้งๆ ที่ในเวลานั้นท่านไม่ทราบอะไรในเรื่องละครเลย แม้แต่เพลงอะไรท่านก็ไม่ทราบเลยสักนิด

    ความจริงก็ได้ปรากฏออกมา เพราะว่าในเวลาไม่ช้านัก ท่านเบอร์นาร์ดชอว์ก็มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในการประพันธ์บทละคร ในเวลานี้เมื่อใครเอ่ยถึงชื่อของท่าน ก็รู้จักกันอยู่ทั่วไป เพราะบทละครที่ท่านประพันธ์นั้น เป็นบทประพันธ์ที่ไม่ตาย.

    [/FONT]</TD></TR></TBODY></TABLE>​

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>เรื่องที่ ๔
    บุตรชายที่ตายมาเข้าฝัน</CENTER>

    ท่านซิกมันฟรอยด์ ผู้มีชื่อเสียง และเป็นผู้ที่ใครๆ รู้จักกันดี ได้วิพากษ์วิจารณ์ความฝันรายหนึ่ง ซึ่งเรื่องราวที่ฝันนั้นมีดังนี้

    ชายผู้หนึ่งได้พยาบาลบุตรชายซึ่งกำลังป่วยมาก เขาได้ดูแลบุตรชายของเขามาหลายวันแล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ ในที่สุดบุตรชายของเขาได้ถึงแก่กรรมลงในคืนวันหนึ่ง

    เมื่อบุตรชายได้ตายลงแล้ว เขาก็ได้เอาผ้ามาคลุมศพลูกชายไว้ แล้วได้ใช้เทียนจุดไว้รอบๆ ศพ แล้วหมอบหมายให้ชายแก่คนหนึ่งเฝ้าศพเอาไว้ ส่วนตัวของเขาเองนั้นรู้สึกอ่อนเพลียเพราะพยาบาลบุตรชายมาหลายวัน จึงได้เข้าไปนอนพักอยู่อีกห้องหนึ่ง

    เขานอนหลับไปได้หลายชั่งโมง ก็เกิดความฝันขึ้นมาว่า บุตรชายของเขาที่ได้ตายไปแล้วนั้น ได้เดินเข้ามาหา แล้วพูดด้วยความไม่สบายใจว่า “พ่อไม่เห็นดอกหรือว่าไฟกำลังไหม้ตัวลูกอยู่”

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]ในทันใดนั้นเอง เขาก็ตกใจตื่นขึ้นมา แล้วรีบเข้าไปยังห้องที่ไว้ศพของลูกโดยเร็ว เห็นชายแก่ที่สั่งให้เฝ้าศพกำลังนั่งหลับอยู่ แต่น่าอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น เทียนหนึ่งดวงกำลังไหม้ผ้าที่คลุมศพอยู่ และในขณะนั้นได้ลามไปถึงแขนของศพแล้ว

    ในเรื่องนี้ ซิกมันฟรอยด์ วิจารณ์ว่า ความฝันนี้เป็นด้วยอำนาจความห่วงใยของบิดา แล้วในขณะที่เทียนล้มลงไหม้ผ้าคลุมศพนั้น เป็นด้วยประสาท “จิตไร้สำนึก” กำลังทำงานอยู่ อาจได้ยินเสียงกระทบพื้นก็ได้ แต่ ‘จิตไร้สำนึก” ไม่มีความสามารถที่จะสั่งการอะไรได้ เหตุนี้เองจึงได้แสดงให้เกิดเป็นความฝัน “จิตสามัญสำนึก” รับทราบแล้วจึงได้กลายเป็นความฝันขึ้นมา

    อย่างไรก็ดี อังรี วิดาร์ ปราชญ์ชาวฝรั่งเศส ผู้มีความสนใจในเรื่องของความฝันเป็นพิเศษ ไม่ยอมรับความคิดเห็นของ ซิกมันฟรอยด์ เขาแย้งว่า “วิญญาณของเด็กที่ตายมาบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้บิดาของตนทราบต่างหาก”
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]
    [/FONT]
    [/FONT]
     
  19. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>เรื่องที่ ๕
    ความฝันของสตรีผู้เสียลูกไป</CENTER>

    สุภาพสตรีผู้หนึ่ง มีความโศกเศร้าเสียใจอย่างลึกซึ้ง ที่ต้องเสียบุตรสาวสุดที่รักคนสุดท้องของเธอไป ทั้งๆ ที่อายุยังไม่ได้กี่ขวบ เธอมีความรักความอาลัยในบุตรสาวคนนี้อย่างสุดแสน เธอต้องหลั่งน้ำตาให้ไปกับการสูญเสียในครั้งนี้มากมาย จนแทบว่าอยากจะตายตามลูกอันเป็นสุดที่รักนี้ไปให้ได้

    แต่น่าแปลกประหลาดใจอะไรเช่นนั้น ความโศกเศร้าของเธอยังมิได้เสื่อมคลาย เพียง ๓ วันเท่านั้นเอง เธอได้พบบุตรสาวของเธอในความฝัน

    เธอได้เห็นลูกหญิงคนเล็กที่เธอใฝ่ฝันถึงอยู่ทุกเวลานาทีเข้ามาหา แล้วพูดกับเธอว่า “แม่จ๋า หนูสงสารแม่อย่างเหลือเกิน แม่อย่าร้องห่มร้องไห้ไปนักเลย จงเลิกร้องไห้เสียทีเถิด แม่จ๋า หนูคิดถึงแม่อย่างที่สุด หนูจะกลับมาอยู่กับแม่อีกในเร็วๆ นี้แหละ หนูจะทิ้งแม่ไปจริงๆ ไม่ได้ดอก น้ำตาของแม่ทำให้หนูปวดร้าวในหัวใจยิ่งนัก หนูขอลาจากไปก่อน แล้วจะมาพบกับแม่อีก”

    ความฝันที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เธอมิได้เชื่อถือว่าจะเป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย แล้งมันจะเป็นความจริงไปได้อย่างไรเล่า เธอเข้าใจไปว่า ความฝันของเธอในครั้งนี้ เกิดขึ้นมาจากความครุ่นคิดคำนึงถึงบุตรสาวที่ได้จากไปเท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างไรเธอก็อยากให้ความฝันดังกล่าวเกิดขึ้นมาอีกบ่อยๆ

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]แต่แล้วเหตุการณ์อันมีได้คาดหมายเอาไว้ก็บังเกิดขึ้นอีกในคืนวันหนึ่ง หลังจากความฝันครั้งแรกได้ ๓ วันเท่านั้น ความฝันที่บังเกิดขึ้นในครั้งนี้ก็คล้ายๆกับในครั้งแรก เธอได้เห็นบุตรสาวคนเล็กของเธอที่จากไปได้กลับมาใหม่พร้อมกับยืนยันหนักแน่นอีกว่า จะมาอยู่กับเธออีก

    ความฝันในครั้งที่ ๒ นี้ เธอชักจะบังเกิดความสงสัยขึ้นมาเสียแล้ว จะเห็นว่าเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ ไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ลูกสาวจะกลับมาอยู่กับเธอได้อย่างไรเล่า

    [SIZE=4][COLOR=#9966ff]อย่างไรก็ดี หลังจากความฝันในครั้งที่ ๒ ผ่านไปแล้วไม่กี่วัน บุตรสาวผู้สุดสวาทขาดใจของเธอก็มาหาเธออีกในความฝัน คราวนี้พูดผิดไปกว่าเดิมบ้าง โดยกล่าวว่า “แม่จ๋า หนูคิดถึงแม่เหลือเกิน ขอให้แม่เลิกเศร้าโคกเสียใจได้แล้ว เพราะหนูจะมาอยู่กับแม่อีกในไม่ช้านี้ [B]หนูจะมาอยู่กับแม่ก่อนจะถึงวันคริสต์มาสนี่แหละ หนูจะพาน้องมาอยู่กับแม่ด้วยอีกคนหนึ่ง ขอให้แม่รักน้องของหนูให้มากๆ ด้วยนะ หนูขอลาไปก่อน[/B]” [/COLOR][/SIZE]

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][COLOR=#9966ff][/COLOR][/FONT]
    [/FONT]​
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][COLOR=#9966ff][FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#336600]ความฝันอันเป็นครั้งที่ ๓ เป็นความฝันที่ชัดเจนแจ่มใส เธอได้พบกับลูกในความฝันก็ชุ่มชื่นหัวใจ แล้วยังจะให้น้องคนใหม่อีกคนหนึ่งด้วย แต่เรื่องนี้มันจะเป็นไปได้หรือ ถ้าเป็นไม่ได้ มันก็แสนที่จะน่าอัศจรรย์ใจ เธอเฝ้าแต่ครุ่นคิดอยู่ไม่รู้วาย และมีความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น เพราะเป็นความฝันครั้งที่ ๓ เธอได้บนบานศาลกล่าวต่อพระผู้เป็นเจ้า ขอให้เป็นจริงตามความฝันนั้นด้วนเถิด “ลูกจ๋า แม่ดีใจอย่างเหลือเกิน ที่ลูกจะมาอยู่กับแม่อีก แม่จะรักน้องที่ลูกจะเอามาฝากแม่ให้มากเท่าๆกับลูกเอง และเท่ากับตัวของแม่ด้วย”

    [SIZE=4][COLOR=#0000ff]น่าอัศจรรย์ใจอะไรเช่นนั้น เธอตั้งครรภ์ แล้วในไม่ช้าเธอก็คลอดลูกออกมาเป็นหญิง ๒ คน คนหนึ่งเหมือนเจนีลูกของเธอที่ได้ตายจากไป แม้ปานที่ตาซ้าย และหูข้างขวา ก็เหมือนกับเจนีไม่มีผิด แต่น่าแปลกสำหรับลูกแฝดที่คนน้องเพราะไม่มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับเจนีเลย.
    [/COLOR][/SIZE]
    [/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT]

    [/COLOR]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
     
  20. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,087

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]<CENTER>เรื่องที่ ๖
    ความฝันของท่านอับราฮัม ลินคอล์น</CENTER>

    รัฐบุรุษ คนสำคัญๆ นั้น มีไม่มากนักในโลกนี้ แต่ท่านหนึ่งในจำนวนน้อยดังกล่าวนี้ เกิดความฝันขึ้นมา ความฝันนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของชีวิต แล้วก็เป็นความจริงเสียด้วย นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อยู่มิใช่น้อย

    รัฐบุรุษนักการเมืองคนสำคัญผู้นี้ก็คือ อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ท่านเป็นผู้ที่ชาวโลกทั้งหลายรู้จักกันดี เพราะเป็นผู้ที่ประกอบด้วยมนุษยธรรม ได้ยกเลิกทาสในอเมริกา ปลดปล่อยเครื่องพันธนาการของมนุษย์ให้รับได้อิสรภาพ ท่ามกลางเสียงคัดค้านซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก

    จากการประกาศเลิกทาสคราวนี้ก่อให้เกิดการสงครามระหว่างอเมริกาเหนือกับอเมริกาใต้ เป็นสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานานถึง ๔ ปี แต่ในที่สุดท่านประธานาธิบดีก็สามารถทำลายล้างคู่ต่อสู้จนพ่ายแพ้ไป

    ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น นอกจากจะมีมนุษยธรรมอย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านยังมีอุดมคติ คือทัศนะแห่งการเมืองในระบอบประชาธิปไตย โดยประชาชนและเพื่อประชาชน แต่อย่างไรก็ดี ท่านก็ได้เสียชีวิตลงไปโดยศัตรูของท่านซึ่งเนื่องมาจากการเลิกทาสนั่นเอง เพราะเกิดเลิกทาสได้ก่อให้เกิดศัตรู ทำให้ผู้เสียหายที่ปราศจากมนุษยธรรม มีความเจ็บแค้นอย่างที่สุด แล้วจึงคอยหาโอกาสทำลายท่านประธานาธิบดีอยู่เสมอ จนกระทั้งกระทำการสำเร็จลง

    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma]น่าอัศจรรย์ใจอะไรเช่นนั้น ก่อนที่ท่านจะสิ้นชีวิตไปเพียง ๓ วันเท่านั้นเอง ท่านได้เกิดความฝันอันตื่นเต้นระทึกใจขึ้นมา นับได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าพิศวงมิใช่เล็กน้อยเลย

    ท่านฝันไปว่า ได้ยินเสียงประชาชนร้องไห้กันอื้ออึง ประธานาธิบดีมีความสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า ประชาชนต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญยกใหญ่ ด้วยเหตุผลอะไร ท่านจึงได้เดินออกไปยังห้องด้านตะวันออกของทำเนียบไวท์เฮ้าส์ เมื่อไปถึง ท่านก็ต้องตกตะลึง เพราะเห็นศพตั้งอยู่บนแท่นนั้น ใกล้ๆ กับศพมีทหารรักษาการณ์อยู่เพื่อเป็นเกียรติยศของศพนั้นด้วย ท่านจึงได้เข้าไปถามทหารที่ยืนรักษาการณ์ “ใครตาย ? ”

    ทหารผู้รักษาการณ์ตอบว่า “ศพของท่านประธานาธิบดี ลินคอล์น ท่านถูกคนร้ายลอบยิงถึงแก่ชีวิตในโรงละคร”

    [COLOR=#336600]ท่านสะดุ้งตื่นจากภวังค์ด้วยความตกใจในฝันอันประหลาดเช่นนี้
    [/COLOR]
    [/FONT]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][COLOR=#336600]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed,Tahoma][SIZE=2][SIZE=4][COLOR=#ff6666]หลังจากฝันแล้ว ๓ วัน ก็มีผู้มาเชิญท่านประธานาธิบดีให้ไปดูละคร ณ โรงละครแห่งหนึ่ง

    [SIZE=4][COLOR=#666699]คนร้ายก็ได้วางแผนการณ์ที่เข่นฆ่าท่านประธานาธิบดี

    [SIZE=4][COLOR=#cc3366]มีบุคคลบางคนที่ทราบข่าว ได้บอกท่านประธานาธิบดีว่าจะมีผู้ลอบทำร้าย ขอให้งดการมาดูละครเสีย

    [SIZE=4][COLOR=#0000ff]ท่านประธานาธิบดีมิได้ใส่ใจ ท่านมิได้เป็นคนขี้ขลาด ท่านก็เข้ามาดูละครจนได้ แม้ความฝันจะได้แสดงว่าความตายกำลังรออยู่ก็ตาม ถ้าท่านมิได้เป็นผู้มีความกล้าหาญจริงๆ แล้ว การประกาศเลิกทาสก็คงจะเกิดขึ้นมาไม่ได้

    [SIZE=4][COLOR=#ff3366]แล้วถ้าหากท่านไม่ได้มาดูละคร ความฝันของท่านก็คงจะล้มละลายไม่เป็นความจริงไป

    [SIZE=4][COLOR=#336600]ในค่ำคืนอันแสนเศร้านั้น ท่านประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น ได้ก้าวเข้ามาในโรงละครอย่างปราศจากความสะทกสะท้านหวั่นไหวต่อมฤตยูที่กำลังรออยู่ข้างหน้า แม้ขบวนคุ้มกันจะจัดกันมาอย่างหนาแน่น แต่ในทันใดนั้นเสียงปืนก็ได้คำรามลั่นขึ้น ท่านประธานาธิบดีถูกปืนล้มพับลงยังเก้าอี้ วิญญาณของนักประชาธิปไตยผู้ยิ่งใหญ่ได้หลุดลอยออกจากร่าง แล้วในที่สุดหีบศพของท่านก็ตั้งอยู่ ณ ที่ๆ ท่านฝันล่วงหน้ามาแล้วนั่นเอง พร้อมทั้งทหารที่ยืนเฝ้าเป็นเกียรติยศก็พร้อมเพรียงกันดังในความฝันทุกอย่างเช่นเดียวกัน.

    <CENTER>[SIZE=4][COLOR=#006633]โปรดติดตามตอนต่อไป [/COLOR][/SIZE]</CENTER><CENTER>[SIZE=4][COLOR=#006633] </CENTER>[/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR]
    [/FONT]
    [/FONT]
     

แชร์หน้านี้

Loading...