ทำไมคำอธิบายถึงนรก-สวรรค์ ของไทย จีน ฝรั่ง จึงแตกต่างกัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 26 สิงหาคม 2005.

  1. naei

    naei Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +94
    ถ้าจะบอกว่า เป็นมโนมยอัตตา ของแต่ละคนที่ แต่ละคนจะปั้น ไปตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อ และยึดมั่น จะเชื่อไหมเนี่ย?

    เอาง่าย ๆ คนที่ชอบนั่งสมาธิ แบบ ฤษี หลับดา แล้วเข้าภวังค์ ไปพบพระพุทธเจ้า

    แต่ ขอโทษจริง ๆ ที่ต้องกล่าว ว่า มันไม่ใช่ไปพบพระพุทธเจ้าจริง ๆ หรอก

    ถ้าพบพระพุทธเจ้า จริง ๆ ทำไม บางคนบอก พระองค์ใส่จีวร สี ชมพูบ้าง สีเหลืองบ้าง หัวแหลมแบบพระพุทธรูปบ้าง หัวไม่แหลมบ้าง

    มันแล้วแต่จะปรุงแต่ง ของใครก็ของมัน ไม่เหมือนกันเลย ต่างคนต่างปั้น

    เพราะฉนั้น มันไม่จริงอะไรเลย

    ไม่มีพระพุทธเจ้า ที่จะนั่งสมาธิไปเห็นหรอก ปั้นเอาเองทั้งนั้น

    นรกสวรรค์ ก็ เหมือนกัน ต่างคนต่างปั้นกันไป

    แต่ กรรม เป็น ปรมัตสัจจะ มีจริง นับถือ ศาสนาไหน ก็ไม่เว้น ไม่เฉพาะพุทธ
     
  2. มโนปุพพังคมา

    มโนปุพพังคมา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +92
    แม่นแล้วขอรับ......
    มะโนปุพังคะมา ธัมมา =ธรรมทั้งหลาย(สิ่งทั้งทลาย)มีใจเป็นหัวหน้า
     
  3. O๐.AnGle.๐O

    O๐.AnGle.๐O เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    974
    ค่าพลัง:
    +861
    เอา ง่ายๆ เลย

    เทวดา นางฟ้า ของแต่ละชาติ รู้จัก กัน รึ ป่าว เป็น เพื่อน กัน หรอ รึ เป็น ญาติห่างๆกัน

    ???
     
  4. bkgolf1999

    bkgolf1999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +98
    ลองคิดตามดูนะครับ อย่ายึดติดว่า เราเป็นพุทธ หรือเป็นคริสต์ หรือเป็นศาสนาใดๆ

    ลองนึกแบบใจเป็นกลางดู...

    ก่อนที่จะมีศาสนาใดๆ เกิดขึ้น คนทำดี หรือทำชั่ว ขึ้นสวรรค์นรกของศาสนาใด???


    มนุษย์ ทุกคน ล้วนเหมือนกัน ในแง่ความเป็นมนุษย์... ลึกๆ แล้ว เราแต่ละคนคืออะไร... มันไม่ใช่ร่างกายนี้ ไม่ใช่หรือ... แต่ เราแต่ละคน คือ ดวงจิต คือพลังงานที่มีชีวิต... แล้วเราก็มาใช้ร่างกายนี้ที่ต่างกันออกไป ตามเชื้อชาติ ... แต่เมื่อตายไปแล้ว ทุกคนล้วนเหมือนกัน คนไทย ก็สามารถไปเกิดใหม่เป็นฝรั่งได้ ตามกรรมของตน ใช่มั้ยครับ...

    ฉะนั้น ไม่ถูกต้องอย่างยิ่งที่เราจะมาแบ่งสวรรค์นรก ด้วยเชื้อชาติ หรือแม้กระทั่งศาสนาต่างๆ บนโลกนี้... เพราะ ศาสนา เกิดขึ้นภายหลังมนุษย์ ใช่มั๊ยครับ... แ้ล้วก่อนหน้าที่จะมีศาสนาหละ???

    ถ้าสวรรค์นรกมีอยู่จริง... มันย่อมเป็นสัจธรรม มันต้องเคยมีมาของมันอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ก็ยังมีอยู่ และจะมีอยู่ตลอดไป... เหมือนเครื่องหมาย infinity ที่ไม่มีจุดเริ่ม และไม่มีจุดจบ

    ผมเชื่อส่วนตัวว่า ... สวรรค์นรก ไม่มีจริง... ที่เห็นกันต่างๆ นานาๆ เป็นเพราะเราเห็นกันตามที่เชื่อ... หรือเห็นในสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ...

    พอ บอกว่า ไม่มีสวรรค์นรก... คนส่วนใหญ่ก็จะถามว่า ตายแล้วสูญหรือ??? แล้วจะทำดีไปทำไม???


    แต่เราก็เห็นกันแล้วไม่ใช่หรือครับ ว่าเราแต่ละคนเกิดมาต่างกัน... นี่แหละผลของการกระทำ ทำดีก็ได้เกิดในที่ที่ดี มีร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี มีทรัพย์สินเงินทองสมบูรณ์พูนสุข... ทำไม่ดี ก็เกิดมาในที่ไม่ดี ที่เราก็เห็นกันได้ทั่วไป...

    มันก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมีสวรรค์นรก เลย จริงมั๊ยครับ... เราทุกคนจะได้ัรับผลตามการกระทำของตนเองอยู่แล้ว ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า หรือชาติถัดๆ ไป

    ... เราจำเป็นต้องเข้าใจว่า... สัจจะ หรือความจริง มีอยู่หนึ่งเดียว...
    สมมติศาสนานึงสอนว่า ไม่มีการเกิดใหม่
    อีกศาสนานึงสอนว่า มีการเกิดใหม่
    แล้วก่อนหน้าจะมีทั้งสองศาสนาหละ??? คนที่ตายแล้วเกิดใหม่หรือไม่???
    แน่นอน มันมีความจริงอยู่หนึ่งอย่าง แต่คืออะไร เราอาจจะไม่รู้
    ถ้าคำสอนของศาสนานึงถูก อีกศาสนาก็ย่อมผิด ตามหลัก ใช่มั๊ยครับ...
    ผมไม่ได้กำลังให้เกิดความขัดแย้งนะ... แต่เราต้องยอมรับว่า ความจริงมีอยู่หนึ่งเดียว... แต่คืออะไร เราอาจจะไม่รู้
    แต่แม้ว่า เราจะไม่รู้ หรือไม่เชื่อ ในความจริงนั้น... เราก็ต้องดำเนินไปตามนั้น...
    เหมือนกับสมัยหนึ่ง ที่คนทั้งโลกเชื่อว่าโลกแบน แต่ความจริงคือมันกลม...
    ไม่ว่าเราจะไม่รู้ และไ่ม่เชื่อว่ามันกลม... แต่มันก็กลมของมันอยู่อย่างนั้น...


    แล้วความจริงเรื่องการเกิดใหม่ และสวรรค์นรก คืออะไรหละ???...

    ??? ???? ??? ???

    -------------------------------------------------
    คุยกันได้นะครับ เรื่องพวกนี้ bkgolf1999@msn.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2008
  5. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    no coment
    ไม่รู้ไม่ชี้ -*-
     
  6. naei

    naei Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +94
    พอดีพึ่งมาอ่าน โพสของคนดีที่โลกลืม ไม่ทราบว่า จะเข้ามาอ่านหรือเปล่า เพราะถูกแบนไปแล้วแต่อยากจะขอ ตอบ คำค้าน ดังนี้

    "- ถ้าอย่างนั้นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็ปั้นเรื่องเอาเองซิที่พบพระพุทธเจ้า ผมจะบอกคุณนะ พระพุทธเจ้าจะปรากฏรูปร่างเป็นอะไรก็ได้ตามภาพนิมิตที่คนผู้นั้นเก็บเอาไว่ในจิต คนที่พบพระพุทธเจ้าเป็นรูปพระพุทธราชก็มี เป็นรูปอื่นใส่ชุดอื่นก็มี เรายังสรุปไม่ได้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่?

    แต่ในกรณี หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเข้าถึงอรหันต์แล้ว ท่านย่อมเห็นของจริง ธรรมกายของพระพุทธเจ้าก็คือพุทธนิมิต ที่พระพุทธเจ้าที่เป็นวิมุติแสดงออกเป็นสมมุติให้หลวงปู่มั่นเห็น"

    ผมก็อยากจะเรียนตอบว่า มันไม่มีทางหรอกครับ ที่จะไปเจอ พระพุทธเจ้า ที่ไหน ๆ อีก อยากจะตั้งข้อสังเกต ว่า ทำไม ต้องไปพบพระพุทธเจ้า สมณโคดม องค์เดียว ถ้ามีจริงนะ ทำไมไม่ไปพบ พระพุทธเ้จ้า องค์อื่น ๆ ด้วย ก็ พระพุทธเจ้า ตั้งเยอะ เราเกิดมา ไม่ว่าใครก็แล้วแต่
    ไม่ได้เกิดมาในยุคของ พระสมณโคดมเจ้า ยุคเดียวเท่านั้นนะ เกิดมาไม่ถ้วน แต่พอบอกไปพบพระพุทธเจ้า กลับเป็นสมณโคดมเจ้า องค์เดียว แล้ว องค์อื่น ๆ หายไปไหนหมด
    และพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสเองว่า พระพุทธเจ้านะ มีมากกว่า เม็ดทรายบนหาดทรายซะอีก ลองคิดดูแล้วกันว่า เราเกิดมากี่ชาติ นับไม่ถูกเลยล่ะ

    แล้วลองสมมุติดูว่า ถ้านิพพานไปแล้ว ยังไปเจอกันอีก ไม่ว่าที่ใดที่หนึ่ง ทำไมต้องมีธรรมเนียมปฏิบัติกับพระอรหันต์ ที่จะ นิพพาน ต้องไปบอก อำลา พระพุทธเจ้าก่อน ก็คือ พูดภาษาง่าย ๆ คือ ไปลา ก่อนตาย มีเยอะในพระไตรปิฏก ก็เพราะว่า มันนิพพานไปแล้ว จะไม่มีทางเจอกันแล้ว ถ้าไม่ต่อภพต่อภูมิ มาเกิดอีก ก็จะไม่มีทางเจอกันอีกเลย ถ้าเจอกันอีก จะมาล่ำมาลาทำไม

    ไฟที่ดับแล้ว จะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ก็ทำนองเดียวกัน

    "- ไม่ใช่อย่างนั้นครับ นรกสวรรค์นั้นมีจริง ถ้าไม่มีจริงทุกศาสนาแม้แต่ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าก็หลอกลวงพวกเราซิ"

    อย่าพูดเอง เออเองซิ ผมไม่ได้บอกพระพุทธเจ้าหลอกลวงเราเลย คุณเขียนเองนะเนี่ย
    นรก สวรรค์ นะมีจริง ครับ จริงแท้แน่นอนด้วย แต่ไม่ใช่ที่ นั่งหลับตาไปเห็น เป็น มโนมยอัตตาที่ปั้นเอา

    สิ่งที่บอกว่าไม่จริง คือ สิ่งที่ปั้นเอา สวรรค์ของ คริสต์ มีเทวดา มีปีก มีวงแหวน อยู่บนหัว ของไทย ใส่ชฏา แหลม ๆ มันก็ปั้นเอาเองทั้งนั้นนะครับ ลองคนฝรั่ง มานั่งสมาธิ เห็นสวรรค์ เห็นเทวดา ผมว่า เค้าคงไม่เห็นเทวดาของเค้าใส่ ชฏาแน่ ๆ

    นรก สวรรค์ มีจริง ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ก็เจอได้ครับ เวลาเราทำผิด กระวนกระวายใจ กลัวคนอื่นจะรู้ความผิดของเรา ทุกข์ร้อน อันนั้นแหละนรก อยากสูบบุหรี่ ไม่ได้สูบ กระวนกระวาย นั่้นแหละนรก พอตายไป ความอยากมันติดวิญญาณไปนะ พออยากขึ้นมา อ้าว ขันธ์ไม่มีแล้วนี่ จะไปหาสูบที่ไหน ละ คราวนี้แหละ ยิ่งกว่านรก มันก็ต้องดิ้นไปหาที่เกิดจนได้ ก็แล้วแต่กรรมจะพาเป็นพาเกิด

    ผมถึงบอกว่า กรรมนี่แหละของจริง ไม่ว่า ชนชาติใด ส่วนนรก สวรรค์ที่ปั้นเอานั้น ก็แล้วแต่ความเชื่อของชนชาตินั้น ๆ

    ศาสนาพุทธเป็น วิทยศาสตร์ ที่ไม่แบ่งว่า ถ้าเป็นชนชาตินี้ ต้องเป็นแบบนี้ ชนชาตินั้นต้องเป็นแบบนั้น มันเป็นสัจธรรม เหมือนโยนหินขึ้นไปบนฟ้า มันก็ต้องตกเพราะแรงดึงดูดของโลก ไม่แบ่งว่าเป็นคนไทยแล้วไม่ตก เป็นฝรั่ง เป็นจีนแล้วตก

    และขอขอบคุณนะที่แย้งมาให้ผมได้อธิบาย หวังว่าเราคงได้สนธนาธรรมกันอีกในหลาย ๆ คราว
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,933
    หลักสัจจธรรม...เป็นความจริง เป็นธรรมเที่ยง
    การกระทำ....ที่ทำไปแล้ว เป็นตัวตนที่ไม่ตาย
    เป็น ตัวกระทำ...ที่ติดตัวไปตลอด เหมือนเงาตามติดตัว

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  8. ผู้นอบน้อมสุดใจ

    ผู้นอบน้อมสุดใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,094
    ส่วนตัวผมคิดว่า สวรรค์เดียวกันหมด แต่จะแบ่งการรับรู้ให้เข้ากับแต่ละชาติ
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ที่แตกต่างกัน นั้น เพราะสัญญา ของคนต่างกัน
    แต่นรกนั้นไม่ต่างกัน

    อุปมาเหมือน สัญญาณไฟฟ้า เหมือนกัน ส่งผ่านคอมพิวเตอร์เหมือนกัน แต่ภาพที่เห็นนั้นดีชั่ว ละเอียดหยาบต่างกัน ตามโปรแกรมที่มี ตามการประมวลผลที่แตกต่างกัน

    สัญญาคนเราที่ไม่เที่ยง แรกๆ ก็จะเห็นอย่างหนึ่งไปเรื่อยๆ ก็เห็นอย่างหนึ่ง

    คนเราพูดภาษาเดียวกัน คนหนึ่งฟังเข้าใจอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งฟังเข้าใจอย่างหนึ่ง ก็นั่นแหละ แต่ปรมัตธรรมอันเดียวกันคือ จิต ที่ร้อนรน เหมือนกัน อายตนะ ภพ สัมผัสเหมือนกันหากอยู่ภพเดียวกัน

    บ้านหลังเดียวกัน คนหนึ่งอยู่สบาย คนหนึ่งอยู่แล้วร้อน

    ทีนี้ คนหนึ่งเคยเป็นคนจีน เห็นอะไรก็เป็นแบบจีน คนหนึ่งเป็นคนไทยเห็นอะไรก็เป็นแบบไทยๆ เรื่องมันก็เท่านี้
     
  10. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,236
    มันก็เหมือน รสอาหารนั้นแหละคุณ

    อาหารบางอย่างไปให้คนต่างชาติกิน เค้าก็ว่านี้มันนรกชัดๆ
    แต่คนในท้องถิ่นที่นิยม ก็ว่านี้มันอาหารทิพย์ชัดๆ

    ถ้าคนเราชอบไม่เหมือนกัน บางทีเค้าก็อยู่ให้ห่างๆกันไว้
    เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ถึงจะปลายเหตุ แต่ได้ผล

    จะว่าไปแล้วเหมือนการโดนกักบริเวณ
    แต่คนที่ชอบ มีความสุขกับที่ตรงนั้น จะไม่รู้สึกถึงมัน
     
  11. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,236
    พระพุทธองค์ จึงตรัส อเสวนา จะ พาลนัง
    เป็นมงคลข้อแรก ก่อนอย่างอื่นเลย

    ถ้าบังเอิ้น... รสนิยมของเราตรงข้ามกับบัณฑิต
    และไปพ้องกับคนพาล
    มันจึงเกิดการ บังเอิ้น... ตามๆกันไป

    ผมตามๆไปบ่อย เลยพอจะรู้บ้าง เล็กน้อย
     
  12. ninetanat

    ninetanat สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    งั้นคงต้องไปโทษปู่ ย่า ตา ยาย ที่ปลูกฝังไอ่เรื่องพวกนี้ให้แก่เรา~!
     
  13. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ไม่จริงครับ เป็นความเข้าใจผิดของพระอาจารย์คุณเอง เรื่องนรกสวรรค์นี้พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เองอย่างมากมายนับไม่ถ้วน ไตรภูมิพระร่วงก็เรียบเรียงจากพระสูตรอีกทีให้เข้าใจง่ายขึ้น มาลองว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไรจากต้นฉบับในพระไตรปิฎก ดูว่าพระพุทธองค์ตรัสไว้อย่างไร

    --------------------------------------------------------------------
    [๕๑๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านิรยบาลจะให้สัตว์นั้นกระทำเหตุชื่อการจองจำ ๕ ประการ คือ ตรึงตะปูเหล็กแดงที่มือข้างที่ ๑ ข้างที่ ๒ ที่เท้าข้างที่ ๑ ข้างที่ ๒ และที่ทรวงอกตรงกลาง สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกนั้น และยังไม่ตายทราบเท่าบาปรรมยังไม่สิ้นสุด.
    [๕๑๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านิรยบาลจะจับสัตว์นั้นขึงพืดแล้วเอาผึ่งถาก... จะจับสัตว์นั้นเอาเท้าขึ้นข้างบน เอาหัวลงข้างล่างแล้วถากด้วยพร้า... จะเอาสัตว์นั้นเทียมรถแล้วให้วิ่งกลับไปกลับมาบนแผ่นดินที่มีไฟติดทั่วลุกโพลงโชติช่วง... จะให้สัตว์นั้นปีนขึ้นปีนลงซึ่งภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่ที่มิไฟ ติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง... จะจับสัตว์นั้นเอาเท้าขึ้นข้างบนเอาหัวลงข้างล่าง
    แล้วพุ่งลงไปในหม้อทองแดง ที่มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง สัตว์นั้นจะเดือดพล่านเป็นฟองอยู่ในหม้อทองแดงนั้น เขาเมื่อเดือดเป็นฟองอยู่ จะพล่านขึ้นข้างบนครั้งหนึ่งบ้าง พล่านลงข้างล่างครั้งหนึ่งบ้าง พล่านไปด้านขวางครั้งหนึ่งบ้าง จะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในหม้อทองแดงนั้นและยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด.
    ว่าด้วยมหานรก
    [๕๑๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรก ก็มหานรกนั้นแล มีสี่มุม สี่ประตู แบ่งไว้โดยส่วนเท่ากัน มีกำแพงเหล็กล้อมรอบ ครอบไว้ด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกใหญ่นั้นล้วนแล้วด้วยเหล็ก ลุกโพลง แผ่ไปตลอดร้อยโยชน์รอบด้านประดิษฐานอยู่ทุกเมื่อ.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และมหานรกนั้น มีเปลวไฟพลุ่งจากฝาด้านหน้าจดฝาด้านหลัง พลุ่งจากฝาด้านหลังจดฝาด้านหน้า พลุ่งจากฝาด้านเหนือจดฝาด้านใต้ พลุ่งจากฝาด้านใต้จดฝาด้านเหนือ พลุ่งขึ้นจากข้างล่างจดข้างบน พลุ่งจากข้างบนจดข้างล่าง สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด.
    [๕๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกเปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูปเดิมทันที และในขณะที่สัตว์นั้น ใกล้จะถึงประตู ประตูนั้นจะปิด สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด.
    [๕๑๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหลังของมหานรกนั้นเปิด ฯลฯ ประตูด้านเหนือเปิด ฯลฯ ประตูด้านใต้เปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูด้านนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบแต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้วจะกลับคงรูปเดิมทันที และในขณะที่สัตว์นั้นใกล้จะถึงประตู ประตูนั้นจะปิด สัตว์นั่นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด.
    [๕๑๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกนั้นเปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูปเดิมทันที สัตว์นั้นจะออกทางประตูนั้นได้ แต่ว่ามหานรกนั้นแล มีนรกเต็มด้วยคูถใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงในนรกคูถนั้น และในนรกคูถนั้นแล มีหมู่สัตว์ปากดังเข็มคอยเฉือดเฉือนผิว แล้วเฉือดเฉือนหนัง แล้วเฉือดเฉือนเนื้อ แล้วเฉือดเฉือนเอ็น แล้วเฉือดเฉือนกระดูก แล้วกินเยื่อในกระดูก สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในนรกคูถนั้นและยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด.
    ว่าด้วยกุกกุลนรก
    [๕๑๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และนรกคูถนั้น มีนรกเต็มด้วยเถ้ารึงใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงไปในนรกเถ้ารึงนั้น สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในนรกเถ้ารึงนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด.
    [๕๑๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และนรกเถ้ารึงนั้น มีป่างิ้วใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน ต้นสูงชลูดขึ้นไปโยชน์หนึ่ง มีหนามยาว ๑๖ องคุลี มีไฟติดทั่วลุกโพลง โชติช่วง เหล่านายนิรยบาลจะบังคับให้สัตว์นั้นขึ้น ๆ ลง ๆ ที่ต้นงิ้วนั้น สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ที่ต้นงิ้วนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด.
    [๕๒๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และป่างิ้วนั้น มีป่าต้นไม้ใบเป็นดาบใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะเข้าไปในป่านั้น จะถูกใบไม้ที่ลมพัดตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดทั้งมือและเท้าบ้าง และตัดใบหูบ้าง ตัดจมูกบ้างตัดทั้งใบหูและจมูกบ้าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ที่ป่าต้นไม้ที่มีใบเป็นดาบนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด.
    [๕๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และป่าไม้ที่มีใบเป็นดาบนั้น มีแม่น้ำใหญ่น้ำเป็นด่าง ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงไปในแม่น้ำนั้น จะลอยอยู่ในแม่น้ำนั้น ตามกระแสบ้าง ทวนกระแสบ้าง ทั้งตามและทวนกระแสบ้าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในแม่น้ำนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด.
    [๕๒๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลพากันเอาเบ็ดเกี่ยวสัตว์นั้นขึ้นวางบนบก แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ เจ้าต้องการ อะไร สัตว์นั้นบอกอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าหิว เจ้าข้า เหล่านายนิรยบาลจึงเอาขอเหล็กร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง เปิดปากออก แล้วใส่ก้อนโลหะร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง เข้าในปาก ก้อนโลหะนั้นจะไหม้ริมฝีปากบ้าง ปากบ้าง คอบ้าง ท้องบ้าง ของสัตว์นั้น พาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้างออกมาทางส่วนเบื้องล่าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ ณ ที่นั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด.
    [๕๒๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลกล่าวกะสัตว์นั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ เจ้าต้องการอะไร สัตว์นั้นบอกอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าระหาย เจ้าข้า เหล่านายนิรยบาลจึงเอาขอเหล็กร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลงโชติช่วง เปิดปากออกแล้วเอาน้ำทองแดงร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วงกรอกเข้าไปในปาก น้ำทองแดงนั้นจะไหม้ริมฝีปากบ้าง ปากบ้าง คอบ้างท้องบ้าง ของสัตว์นั้น พาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้าง ออกมาทางส่วนเบื้องล่าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ ณ ที่นั้นและยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรกอีก.

    ที่มา เทวทูตสูตร พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
    ----------------------------------------------------------


    กรณีนี้คุณบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยสอน แต่จริงๆแล้วตรัสไว้อย่างชัดเจน ก็เป็นบทพิสูจน์ที่เพียงพอแล้วถึงความเข้าใจผิดของคุณแล้ว จึงควรแก้ไขความเห็นให้ถูกจึงจะควร
    เรื่องนรกสวรรค์นี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างพิสดารมากมาย ควรเชื่อตามที่พระพุทธองค์ตรัส ไม่ควรเชื่อคนชั้นหลังที่กล่าวคัดค้าน หรือถ้าไม่เชื่อจริงๆก็มีหนทางพิสูจน์ได้ คือดำเนินจิตตามหลักอริยมรรคที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ก็จะไปรู้จริงเห็นจริงด้วยตัวเอง
    ปัจจุบันนักคิดสมัยใหม่ไม่ยอมปฏิบัติทางจิต กลับไปใช้กลวิธีทางโลกที่เน้นการวิเคราะห์ วิจารณ์ ซึ่งเปล่าประโยชน์ ไม่ใช่หนทางตรัสรู้ การคิดมักถูกชักนำไปด้วยสัญญาเก่าๆที่ฝังในดวงจิตมาหลายภพชาติ เมื่อถูกนำมาปรุงแต่งจนตนเองเชื่อมั่นกลายเป็นมิจฉาทิษฐิ ก็นำมาสั่งสอนให้คนอื่นเชื่อตามตนอีก ทำให้ศาสนาเรียวลงเรื่อยๆ ถ้าอย่างไรพึงยึดตามหลักกาลามสูตร อย่าพึงเชื่อเพราะเป็นครูอาจารย์ของเรา หรือต้องด้วยความเห็นของเรา ควรศึกษาค้นคว้าให้ถี่ถ้วนก่อนปักใจเชื่อสิ่งใดๆ
     
  14. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    จะเอาแบบที่คิด หรือจะเอาแบบที่เป็นจริงละครับ การที่จะทราบเรื่องนรกสวรรค์ ถ้าไม่เชื่อตามที่พระพุทธองค์แสดงไว้ ก็มีอีกหนทางคือต้องทำสมาธิภาวนาจนจิตมีความละเอียดเท่ากับภพภูมินั้นๆจึงจะเห็นได้ หรือไม่ก็ต้องตายไปก่อนจึงรู้ว่ามีจริง
    สิ่งที่คุณรู้จากอาจารย์ท่านนั้น ผมอ่านแล้วก็ตลกดี ก็อย่างที่คุณบอก พอนำความรู้นั้นมาตรองอีกชั้น คุณก็พบเองว่ามันไม่สมบูรณ์ ขัดแย้งในตัวเอง จริงๆแล้วผมว่าถ้าคุณพิจารณาอีกนิด คุณก็จะรู้เองว่าสมควรยึดถือหรือทิ้งความเห็นนั้นไป ความรู้ที่เกิดจากการตรึกนึก มันทนต่อการพิสูจน์ไปไม่ตลอดรอดฝั่งหรอก ไม่เหมือนความรู้จากพระพุทธเจ้าที่สมบูรณ์พร้อม

    ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าสวรรค์เองก็ไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์พร้อม เป็นอายตนะที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับผลบุญของคนที่ทำความดี เรื่องสวรรค์ที่คุณสงสัยว่ามีของไทย ของจีน ของฝรั่ง หรือของชาติใดหรือไม่ คำตอบก็คือมีครับ แต่ว่าเป็นระดับของภุมมเทวา ซึ่งเป็นภพที่ใกล้กับมนุษย์ เทวดาที่มาเกิดที่นี่ บุญไม่มากเท่าไร และตอนตายก็มักมีใจจะเหนี่ยวเอาสิ่งที่คุ้นเคย พอไปเกิดก็มักเกิดเป็นเทวดาประจำถิ่นที่ตนเองเคยอยู่ ความเป็นอยู่ก็คล้ายๆมนุษย์มีสังคมคล้ายๆกับที่ตนเองอยู่ก่อนตาย แต่เป็นอยู่ด้วยทิพย์เท่านั้น
    ส่วนสวรรค์ของศาสนิกของศาสนาต่างๆ ก็มีครับ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า "ทำดีได้ดี ทืชั่วได้ชั่ว" เป็นหลักสากล ไม่จำกัดว่าต้องเป็นศาสนาไหนถึงจะทำดีได้ ศาสนาอื่นทำดีไม่ได้ ดังนั้นนรกสวรรค์ก้เป็นของกลาง ที่ทุกคนทุกศาสนามีสิทธิ์ไปอยู่ได้ทั้งนั้น ถ้าทำดีก็ไปสวรรค์ได้ ถ้าทำชั่วก็ตกนรก ชาวพุทธก็ดี ชาวคริสต์ก็ดี ชาวอิสลามก็ดี ถ้าทำชั่วเหมือนกันก็ไปตกนรกเหมือนกัน ถ้าทำดีก็ไปสวรรค์ได้ทั้งนั้น เวลาที่ศาสนิกใดก็ตามที่ทำความดีมามาก เวลาใกล้ตาย บุญก็จะเป็นชนกกรรมนำไปสู่สววรค์ชั้นใดๆตามแต่กำลังบุญของตน แต่ศาสนิกชนที่เคร่งครัด จิตก่อนตายก็มักหน่วงเอาความเชื่อในศาสนาตนไปด้วย จึงไปเกิดในเทพกลุ่มที่มีความเชื่อคล้ายๆกับตน จึงมีสวรรค์ของศาสนิกของศาสนาต่างๆ แต่ว่าสวรรค์ของศาสนาต่างๆทั้งหมดอยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาเท่านั้น (ยกเว้นผู้ที่ปฏิบัติทางจิตจนได้ฌาณที่ไปเกิดในพรหมโลกแทน) ซึ่งกลุ่มของชาวสวรรค์เหล่านั้นก็จะยังติดความเชื่อเมื่อตอนเป็นมนุษย์ไปด้วย เข้าใจว่าที่ตนเองมาอยู่ที่นี่เพราะพระเจ้าพามา แต่ว่าพออยู่ไปนานๆก็จะสังเกตเห็นเทวดาที่มีศักดิ์ใหญ่กว่าตนมากมาย และก็ทราบว่าเป็นเพราะผลบุญอะไร ความเชื่อเดิมก็จะค่อยๆเลือนไป ก็จะมีความรู้เรื่องบุญบาปตามแบบของชาวสวรรค์มากขึ้น


    ขอตอบนะครับ คุณคิดว่าสวรรค์นี่กว้างหรือแคบครับ วิมานของเทวดาองค์เดียวนี่ก็เป็นสิบเป็นร้อยโยชน์แล้วนะครับ แถมเวลาบนโลกมนุษย์เร็วกว่าสวรรค์อีก คุยไม่กี่คำก็ต้องรีบกลับแล้ว แค่วิมานเดียวยังดูไม่ทั่ว นับประสาอะไรก็บสวรรค์ทั้งชั้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ใครจะไปท่องเที่ยวได้ทั่ว
    อีกอย่างเวลาที่หลวงปู่หลวงตาท่านไปสวรรค์แล้วกลับมาเล่าแต่เทวดาไทยๆก็ไม่แปลกหรอกครับ นอกจากความกว้างใหญ่ของสวรรค์แล้ว อีกเหตุผลก็คือเวลาที่หลวงปู่หลวงตาไปสวรรค์ ท่านก็ต้องมีจุดมุ่งหมายมาก่อนว่าจะไปหาใคร เหมือนตัวคุณครับ เวลาไปไหนก็ต้องมีจุดมุ่งหมาย ไม่ใช่อยากเที่ยวก็ออกไปแบบสะเปะสะปะ ไม่รู้ว่าจะไปไหน ซึ่งจุดมุ่งหมายของพระก็มุ่งที่คุณธรรมอยู่แล้ว ลองสมมติว่าคุณเป็นคนต่างจังหวัด พอถึงสงกรานต์หรือปีใหม่ คนแรกที่จะไปหาก็คือ พ่อแม่ ใช่ไหมครับ หลวงปู่หลวงตาก็เหมือนกัน พอได้ฤทธิ์ทางใจ สิ่งแรกที่มักทำก็คือไปหาว่าพ่อแม่อยู่ในนรกหรือสวรรค์ เพื่อไปโปรดแทนคุณท่าน จากนั้นก็ค่อยไปโปรดหมู่ญาติที่ห่างออกไป นึกถึงตัวคุณเองสิครับ คุณจะเลือกไปพบพ่อแม่หรือบินไปที่เมืองจีนเพื่อหาคนที่คนที่คุณไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักไหมครับ หรือว่าสัมภเวสีต่างๆที่มาพบกับหลวงปู่หลวงตาก็ต้องเคยเกี่ยวพันเป็นญาติกันมาก่อนไม่ภพนี้ก็ภพก่อน เหมือนคุณที่เวลาเดือดร้อนอะไรก็ต้องพึ่งหมู่ญาติ เรื่องที่หลวงปู่หลวงตานำมาเล่าก็จึงอยู่ในแวดวงที่ท่านเกี่ยวพันด้วย จึงมีแต่เทวดาแบบไทยๆ คนในชาติอื่นที่ได้ธรรมะก็มีพฤติกรรมเหมือนกัน เรื่องเล่าก็ต้องต่างออกไปเป็นแบบของชาตินั้นๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2009
  15. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    คุณคิดว่าเทวดาคืออะไร คิดว่าเทวดาทำอะไรก็ได้หรือ ความจริงก็คือเทวดาไม่ได้มีฤทธิ์เดชที่จะยับยั้งกรรมให้ใครได้ เพราะเทวดาเองก็ตกอยู่ใต้กฎแห่งกรรมเหมือนกัน อีกประการ เป็นธรรมดาในภพของเทวดาที่เป็นที่รองรับผลของบุญ เทวดาจึงมีทัศนคติว่า มนุษย์ตกอยู่ใต้กฎแห่งกรรม ที่ประสบกับวิบากก็เพราะกรรมที่ตนทำไว้เอง ไม่มีใครช่วยใครให้พ้นกรรมได้ เพราะขนาดพระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเลิศในทางฤทธิ์ยังต้องถูกโจรทุบจนตายเมื่อกรรมมาถึง

    เทวดาจะเตือนมนุษย์ไหม ก็พยายามเตือน แต่ว่าติดต่อกันไม่ได้ ขนาดมนุษย์กันเองยังพุดกันไม่ค่อยรู้เรื่องเลย เทวดาอยู่คนละภพยิ่งไปกันใหญ่ อีกประการหนึ่งการที่เทวดาจะเตือนใครได้ ก็ต้องมีอายตนะที่ใกล้เคียงกัน ถ้าไม่ได้ปฏิบัติสมาธิ ใจไม่ละเอียดพอ ก็ไม่รุ้ไม่เห็นเทวดา อยากเติอนก็เตือนกันไม่ได้ บางทีตอนหลับสนิท เทวดาก็อาจเตือนเราในความฝันซึ่งก็เป็นจังหวะที่บังเอิญอายตนะตรงกันพอดี ก็พอทำได้ อีกประการที่สำคัญที่สุดก็คือเทวดาจะเตือนคุณได้ คุณก็ต้องมีบุญที่เคยเตือนภัยผู้อื่นมาส่งผล ถ้าคุณไม่เคยเตือนใครก็อย่าหวังว่าเทวดาจะมาเตือนภัยให้คุณ

    เรื่องฃองภพภูมิ หรือเรื่องที่ลึกซึ้งขึ้นไปกว่านั้นอีก มันไม่ง่ายที่จะทำความเข้าใจด้วยความรู้สึกของมนุษย์ ต้องนั่งสมาธิจนใจละเอียดพอ จึงจะพอรู้ได้ตามความละเอียดของจิต ถึงอธิบายไป ก็ตรองตามได้ยาก เอาเวลาไปนั่งสมาธิให้ดีก่อนดีกว่า
     
  16. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +2,696
    ปรุงแต่งอย่างไร เจอจริงก็เป็นไปอย่างนั้น จริงๆแล้วก็เพียงว่างเปล่าเท่านั้นเอง
     
  17. lamb of god

    lamb of god เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    543
    ค่าพลัง:
    +436
    ตามสัญญาที่จดจำในจิตและความเชื่อนั้นๆ
     
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ตอนนี้ผมคิดว่าผมได้คำตอบแล้วหละครับ
    ถ้าใครสนใจลองไปอ่านดูในกระทู้นี้นะครั


    "ข้อความจากต่างมิติ-หรือว่านี่จะคือนรกและสวรรค์ตามความเชื่อของบางศาสนานะ"

    http://palungjit.org/posts/8059189

    ..........................
     
  19. thanathama

    thanathama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +129
    มันน่าตลกตรงที่ คนที่มายืนยันเสียงแข็งกลับไม่รู้จริง(จากของจริง)
    แต่รู้มาจากคำบอกเล่า หรือ ตัวหนังสือทั้งนั้น 555
    ปล. แล้วจะรู้ได้ไงที่แต่ละ อ. บอกมาเป็นเรื่องจริง(จริงๆนะ) ไม่ใช่แค่จินตนาการ อิอิ
     
  20. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    น่าสนใจครับ

    ก่อนอื่น คล้อยตามคุณ demonicus ใช่ครับ ตัวที่กำหนด นรก สวรรค์ก็คือ ขันธ์ 5 ที่พระพุทธศาสนาสอนไว้นั่นเอง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ด้วยเหตุนี้แม้จะไปตามชาติพันธ์ไหนด้วยลักษณะทางวัฒนธรรมที่เป็นหลักในการดำรงชีวิต ก็จะกำหนดลักษณะขันธ์ 5 ตามมา

    ยกตัวอย่างเช่น คนที่เกิดประเทศจีนมีวัฒนธรรมจีนหล่อเลี้ยงก็ย่อมจะมี สัญญา (ความทรงจำหมายรู้) ตามวัฒนธรรมจีน ซึ่งจะส่งผลต่อวิญญาณ (การรับรู้) จึงกำหนด รูป ตามวัฒนธรรมจีน เรื่องนี้ต้องอธิบายยาว ผมเข้าใจหมดสิ้นแล้ว ไม่ติดใจสงสัยในเรื่องนี้แต่อย่างไรครับ พระพุทธศาสนาอธิบายได้หมด และผมก็เข้าใจเรียบร้อยแล้วครับ ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ อีกนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...