ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8817.JPG
    (Feb 4) บริษัทเทเลคอมยุโรป'ตัดสินใจลำบากจะใช้'หัวเว่ย'หรือถูกทิ้งล้าหลังเรื่อง'5G' : บรรดาบริษัทเทเลคอมในยุโรปกำลังอยู่ในอาการอิหลักอิเหลื่อ เมื่อจะ ต้องตัดสินใจว่าพวกเขาควรจะรีบเร่งฉวยคว้าโอกาสแซงหน้าเหล่าคู่แข่ง และ นำเอาเครือข่ายสื่อสารไร้สายเจเนอเรชันหน้ายุค 5จี ออกมาให้บริการอย่างฉับไวด้วยการใช้อุปกรณ์จากซัปพลายเออร์ระดับท็อปอย่าง หัวเว่ย?



    หรือว่าพวกเขาควรเดินตามแคมเปญที่มีสหรัฐฯเป็นหัวเรือใหญ่ซึ่งกำลังป่าวร้องตักเตือนเรื่องภัยคุกคามด้านความมั่นคง และอยู่เฉยๆ เฝ้ารอคอย โดย ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกทอดทิ้งเอาไว้ข้างหลัง?



    การตัดสินใจเลือกได้อย่างถูกต้องจะส่งผลพวงต่อเนื่องอย่างกว้างไกล ทีเดียว เนื่องจากเครือข่าย 5จี นั้น คือหลักหมายหลักต่อไปในการปฏิวัติ ทางดิจิทัล เป็นสะพานนำไปสู่การต่อเชื่อมกันว่องไวชนิดเกือบจะฉับพลัน โดยมีศักยภาพที่จะถ่ายโอนข้อมูลอย่างมากมายมหาศาล และรองรับเทคโนโลยีต่างๆ แห่งอนาคต



    ไม่มีผู้ให้บริการรายไหนหรอกที่ต้องการถูกทอดทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง รัฐบาลไหนซึ่งมองเห็นแล้วว่าเทคโนโลยี 5จี คือผู้ขับดันตัวหลักตัวหนึ่งใน อนาคตสำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ก็ไม่ปรารถนาที่จะล้าหลังในเรื่องนี้ เช่นเดียวกัน



    หัวเว่ย บริษัทสัญชาติจีนเติบโตขึ้นมาอย่างเงียบๆ จนกำลังกลายเป็น ซัปพลายเออร์ชั้นนำของอุปกรณ์รากฐานสำหรับเครือข่ายสื่อสารไร้สาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดพวกประเทศกำลังพัฒนา ด้วยปัจจัยด้านราคา ที่ถูกกว่า


    การเป็นหัวหอกนำหน้าใครเพื่อนในเรื่องอุปกรณ์ 5 จี ที่ล้ำสมัย ยังกำลังทำให้ หัวเว่ย สามารถบุกเข้าไปในตลาดพวกชาติพัฒนาแล้ว



    อย่างไรก็ดี มีชาติตะวันตกจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การชักชวนของสหรัฐฯ กำลังหันหลังไม่ต้อนรับหัวเว่ย ด้วยความหวาดกลัวว่าอุปกรณ์ต่างๆ ของบริษัทอาจกลายเป็น "ม้าไม้เมืองทรอย" สำหรับให้ปักกิ่งใช้เป็นเครื่องมือแอบล้วงความลับ



    ทั้งนี้ มีการหยิบยกเหตุผลข้ออ้างที่ว่า จีนมีกฎหมายที่กำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องให้ความร่วมมือกับพวกหน่วยงานข่าวกรองของรัฐ แต่อันที่จริงแล้วความระแวงเช่นนี้ยังอาจจะมาจากการที่ชาติตะวันตกต่างก็ดูเหมือนตระหนักว่า เมื่อตอนที่ทั่วโลกยังต้องพึ่งพาอาศัยแต่ซัปพลายเออร์ของโลกตะวันตกนั้น พวกเครื่องมือสื่อสารทั้งหลายก็มี "ประตูหลัง" สำหรับการทำจารกรรมของ หน่วยข่าวกรองมาแล้ว ดังข้อมูลเรื่องราวซึ่ง เอดเวิร์ด สโนว์เดน เปิดโปงโครงการของหน่วยข่าวกรองอเมริกัน และอังกฤษที่เข้าสอดแนมข้อมูลโทรศัพท์จำนวนมากมายมหาศาล



    ขณะที่รัฐบาลยุโรปกำลังอยู่ในกระบวนการของการตัดสินใจว่า จะเอาอย่างไรดี พวกผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือก็จะต้องตัดสินใจเลือกเช่นเดียวกัน และแน่นอนทีเดียวว่าเป็นการเลือกที่ทำให้รู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง



    มีผู้ให้บริการหลายรายเริ่มดำเนินการทดสอบโดยใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยแล้ว เป็นต้นว่า บุยเก เทเลคอม และ เอสเอฟอาร์ ที่กระทำอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ หลายแห่งของฝรั่งเศส



    "หัวเว่ยในทุกวันนี้มีราคาแพงกว่าพวกคู่แข่งด้วยซ้ำ แต่มันก็ดีกว่า มากด้วย พวกเขาสามารถแซงหน้าไปได้แล้วจริงๆ ในเรื่องคุณภาพของอุปกรณ์เครือข่าย เมื่อเปรียบเทียบกับของพวกคู่แข่งชาวยุโรป" นี่เป็นคำพูดของผู้บริหารรายหนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในยุโรปรายหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ โดยขอให้สงวนนาม



    พวกผู้เชี่ยวชาญกล่าวกันว่า หัวเว่ยนั้นนำหน้า อิริคสันแห่งสวีเดนไปแล้วราว 6 เดือนจนถึง 1 ปี ในเรื่องคุณภาพของอุปกรณ์ 5 จีของบริษัท



    ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับ โนเกียแห่งฟินแลนด์ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเครือข่ายไร้สายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกด้วยแล้ว หัวเว่ยก็ทิ้งห่างไปไกลยิ่งกว่านั้น เสียอีก



    ผู้นำเรื่อง 5จี



    "หลายๆ คนหลายๆ ฝ่ายต้องการหลีกเลี่ยงไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจีนรายนี้ แต่ปัจจุบันพวกเขาคือผู้ที่นำหน้าที่สุดในเรื่องนี้" เป็นความเห็นของ วิกตอร์ มาร์เก ผู้ชำนาญการด้านเทเลคอมและสื่อ แห่งบริษัทที่ปรึกษา โรแลนด์ เบอร์เกอร์



    "ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้ก้าวจากการเป็นทางเลือก 'ราคาต่ำ' กลายเป็นมาผู้นำด้าน 5จี ไปแล้ว"



    แหล่งข่าวหลายๆ รายระบุว่า หัวเว่ยถึงกับไปช่วยเหลือโนเกียในการวิจัยและพัฒนาด้วยซ้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องเผชิญหน้าเพียงลำพังในการสู้กับ อิริคสันในเรื่อง 5จี



    ทางด้าน หัวเว่ย เองกล่าวเพียงแค่ว่าบริษัทมี "ความเป็นหุ้นส่วนระยะยาว" กับคู่แข่งขันของตนจำนวนมากในด้านต่างๆ เป็นต้นว่า วิธีการในการผลิต, มาตรฐานด้านต่างๆ , และด้านสิทธิบัตร



    "เราพิทักษ์ปกป้องหลักการเรื่องนวัตกรรมแบบเปิดกว้าง และความร่วมมือกันเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การพัฒนาของอุตสาหกรรมเทเลคอมเสมอมา" โฆษกผู้หนึ่งของหัวเว่ยบอกกับเอเอฟพี



    หลังจากปักหลักสถาปนาตนเองเป็นผู้เล่นรายหนึ่งบนเครือข่าย 4จี ได้สำเร็จแล้ว กลุ่มกิจการที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเซินเจิ้น มณฑล กวางตุ้ง ทางภาคใต้ของจีนรายนี้ ก็มุ่งมั่นแข็งขันที่จะขึ้นเป็นผู้ทรงอิทธิพล ในเรื่อง 5จี



    ในแต่ละปี หัวเว่ยจะนำเอารายรับจากยอดขายระหว่าง 10 ถึง 15% มาลงทุนในเรื่องการวิจัย และพัฒนา (อาร์แอนด์ดี) โดยที่เมื่อปี 2017 บริษัท ใช้จ่ายในเรื่องอาร์แอนด์ดีคิดเป็นเงิน 13,800 ล้านดอลลาร์ และปี 2018 เพิ่มเป็น 15,000 ล้านดอลลาร์



    ยุทธศาสตร์เช่นนี้กำลังผลิดอกออกผลที่สดสวยงดงามในปี 2017 หัวเว่ยกลายเป็นซัปพลายเออร์อันดับ 1 ชนิดนำหน้าไปไกลในเรื่องอุปกรณ์สำหรับเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคม โดยมีส่วนแบ่งตลาด 22% ทั้งนี้ตามตัวเลขข้อมูลของ ไอเอชเอส มาร์คิต ขณะที่อันดับ 2 คือ โนเกีย มีส่วนแบ่ง 13% แล้วจึงเป็นอิริคสันที่ได้ 11%



    ช่วงห่างนี้น่าจะขยายกว้างออกไปอีก ในเมื่อมีผู้ให้บริการจำนวนมากขึ้นในทั่วทั้งโลกพัฒนาให้บริการเครือข่าย 5จี ถึงแม้ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน กำลังก่อให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นว่า หัวเว่ยจะสามารถฉวยใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของตนได้หรือไม่



    ความทะเยอทะยานของยุโรป



    ชาติต่างๆ ในยุโรป ก็เฉกเช่นเดียวกับประเทศทั้งหลายในเอเชียตลอดจนสหรัฐอเมริกา นั่นคือต้องการนำเอา 5จี ออกมาใช้ให้เร็วๆ โดยที่คาดหมายกันว่าบริการแรกๆ จะดำเนินการได้ในปีหน้า ทว่านี่เป็นเป้าหมายซึ่งยากที่จะไปให้ถึง ถ้าหากไม่ใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ย



    "ทั้งพวกหน่วยงานกำกับตรวจสอบและรัฐบาลทั้งหลาย ต่างก็มีตารางเวลาที่แสนจะทะเยอทะยาน ขณะเดียวกันพวกผู้ให้บริการก็มอง 5จี เป็นหนทาง ที่จะลดต้นทุนต่อกิกะไบต์ ขณะที่ปริมาณข้อมูลจะต้องมีการถ่ายโอนกันอย่างมากมายมหาศาลระเบิดระเบ้อ" มาร์เก แห่ง โรแลนด์ เบอร์เกอร์ ชี้



    "อย่างไรก็ตาม เรากำลังมองเห็นกัน ตัวอย่างเช่นในเยอรมนี พวกเขาต่างไม่พอใจเลยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่กำลังประกอบเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา (ในเรื่องเครือข่าย 5จี)"



    ดอยต์เชอ เทเลคอม ผู้ให้บริการรายยักษ์ของเยอรมนี ระบุในเอกสารภายในฉบับหนึ่งซึ่งทางสำนักข่าวบลูมเบิร์กได้รับมา เตือนภัยว่ายุโรปอาจจะถูกทอดทิ้งจนล้าหลังจีนและสหรัฐฯถึง 2 ปีทีเดียว ถ้าหากต้องโยนทิ้งไม่ใช้ อุปกรณ์ 5จี ของหัวเว่ย .(เก็บความและปรับปรุงเพิ่มเติมจากเรื่อง European telecoms' dilemma: Huawei or the highway? ของสำนักข่าวเอเอฟพี)


    คอลัมน์ นอกหน้าต่าง


    Source: ผู้จัดการรายวัน


    เพิ่มเติม

    - Deutsche Telekom Warns Huawei Ban Would Hurt Europe 5G

    https://www.bloomberg.com/news/arti...-said-to-warn-huawei-ban-would-hurt-europe-5g


    - Mobile network operator's body GSMA considers crisis meeting over Huawei

    https://www.straitstimes.com/world/...ody-gsma-considers-crisis-meeting-over-huawei
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    2073A3FD-8E92-4019-9A68-A03CE2352430.jpeg
    (Feb 4) รายงานพิเศษ: เปิดเกมรุก ชิงน้ำมัน-ดุลอำนาจ : หากกางแผนที่โลกออกดูในเวลานี้ จะพบว่าโลกของเราแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือฝ่ายที่สนับสนุน นิโกลัส มาดูโร เป็นประธานาธิบดีเวเนซุเอลาอย่างชอบธรรม ฝ่ายที่สนับสนุน ฮวน กวัยโด ให้เป็นประธานาธิบดี และฝ่ายที่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะรับรองใครดี ในบรรดาประเทศเหล่านี้ จีนกับรัสเซียอยู่ในกลุ่มแรก สหรัฐกับสหภาพยุโรปและประเทศละตินอเมริกาส่วนใหญ่อยู่กลุ่มหลัง ส่วนกลุ่มสุดท้าย มีประเทศไทยเป็นอาทิ



    หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชิงตำแหน่งผู้นำมาครองได้ จะมีผลอย่างมาก ต่อภูมิรัฐศาสตร์โลก เช่น หากมาดูโรยังยื้อตำแหน่งเอาไว้ได้ และกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามจนหมดพิษสง รัสเซียกับจีนก็ยังจะมีพันธมิตรในภูมิภาคนี้ต่อไป แต่หากกวัยโดก้าวขึ้นมากุมอำนาจในที่สุด สหรัฐและสหภาพยุโรปก็จะสามารถถอนหมุดอิทธิพลของรัสเซียกับจีนออกไปจากภูมิภาคนี้โดยสิ้นเชิง ดังนั้น การช่วงชิงอำนาจจึงมีบทบาทสำคัญมาก



    แต่ล่าสุด กวัยโดเลือกที่จะไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า เมื่อหนังสือพิมพ์ Sunday Morning Post รายงานว่า กวัยโดที่ไม่ได้รับการสนับสนุน จากจีน กลับเป็นฝ่ายเข้าหาจีนเอง โดยเขาเผยว่า พร้อมที่จะเจรจากับเจ้าหน้าที่จีนโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ยังประโยชน์ร่วมกัน และให้คำมั่นสัญญาว่า หากเขากลายเป็นประธานาธิบดีโดยไร้ผู้ต่อต้าน จีนจะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อไปในการพัฒนาเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา ส่วนข้อตกลงต่างๆ ที่จีนทำไว้สมัยมาดูโร ก็จะยังคงอยู่ต่อไป ตราบใด ที่ฝ่ายจีนดำเนินการตามหลักกระบวนการอันควรแห่งกฎหมาย



    ไม่เพียงเท่านั้น กวัยโดยังหวังที่จะให้จีนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา ซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะอภิมหาเงินเฟ้อ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนทรุดลงอย่างหนักเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจ และย้ำว่า เขาต้องการการสนับสนุนจากจีน เพื่อช่วยส่งเสริมภารกิจแรกของเขาหากได้อำนาจมาอยู่ในมือ นั่นคือ ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ



    ท่าทีของกวัยโดเป็นการส่งสัญญาณไปยังจีนว่า จีนจะไม่ถูกทอดทิ้งหากเลือกถูกฝ่าย แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจีนแล้วว่าจะเปลี่ยนท่าที หรือไม่ เพราะเวเนซุเอลามีสิ่งที่จีนต้องการ นั่นคือ น้ำมันปริมาณมหาศาล โดยประเทศนี้มีน้ำมันสำรองในปริมาณสูงสุดของโลก และมากกว่าซาอุดีอาระเบียด้วยซ้ำ



    เป้าหมายสำคัญของรัสเซียไม่น่าจะอยู่ที่น้ำมัน เพราะรัสเซียเองมีน้ำมันสำรองมากเป็นอันดับที่ 8 ของโลก แต่เวเนซุเอลามีความสำคัญในฐานะพันธมิตรทางการเมืองในละตินอเมริกาและยังเป็นลูกหนี้สำคัญ ดังนั้น รัสเซียจะต้องใคร่ครวญอย่างระมัดระวังกับการเปลี่ยนท่าทีมาสนับสนุน กวัยโด ที่มีผู้หนุนหลังเป็นสหรัฐและยุโรป อันเป็น ไม้เบื่อไม้เมาของรัสเซียในเวลานี้



    อย่างไรก็ตาม กวัยโดได้ส่งสารไปยังรัสเซีย เพื่อยืนยันว่าจะไม่ "เบี้ยวหนี้" และยังโน้มน้าวว่ารัสเซียจะเป็นฝ่ายได้ประโยชน์หากมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำ พร้อมกับย้ำว่า สิ่งที่รัสเซียกับจีนต้องการคือเสถียรภาพของประเทศ มาดูโรไม่ได้ช่วยปกป้องการลงทุนของใคร และไม่ใช่ "ดีล" ที่ดีสำหรับทั้งสองประเทศ


    Source: M2F


    ความคืบหน้า

    - European nations recognize Juan Guaido as Venezuela's interim president

    https://edition.cnn.com/2019/02/04/americas/europe-guaido-venezuela-president-intl/index.html


    - นายกฯอังกฤษขู่คว่ำบาตรเวเนซุเอลา กดดันมาดูโรพ้นอำนาจ

    : https://www.ryt9.com/s/iq37/2949654


    - วิกฤตเวเนซุเอลา : มาดูโรเตือนอาจมีสงครามกลางเมือง: https://www.bbc.com/thai/international-47117069
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8820.JPG
    (Feb 4) รัสเซียชี้สหรัฐถอนตัวจากสนธิสัญญา INF ไม่ทำให้เกิดสงครามเย็น: นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า การที่สหรัฐถอนตัวจากสนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (INF) จะไม่เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดสงครามเย็นครั้งใหม่


    "ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดสงครามเย็น" นายลาฟรอฟกล่าว


    ทั้งนี้ รัสเซียประกาศระงับการบังคับใช้สนธิสัญญา INF เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หลังจากที่สหรัฐประกาศว่าจะถอนตัวจากสนธิสัญญาดังกล่าว เพื่อตอบโต้ต่อการที่รัสเซียละเมิดสนธิสัญญา โดยสหรัฐจะถอนตัวจากสนธิสัญญา INF ภายในเวลา 6 เดือน นอกจากว่ารัสเซียจะยุติการละเมิดสนธิสัญญา ด้วยการทำลายขีปนาวุธ, แท่นยิงขีปนาวุธ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด


    source -อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ


    https://www.cnbc.com/2019/02/04/col...ite-breakdown-of-arms-treaty-russia-says.html
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8821.JPG
    (Feb 4) คนกรุงอ่วม! 25จุดเสี่ยงพบฝุ่นละอองเกินเกณฑ์ : เมื่อวันที่ 6 ม.ค.62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองจัดการคุณภาพอากาศ และเสียง กทม.รายงานคุณภาพอากาศในพื้นที่ กทม.พบว่า ในพื้นที่กทม.ยังคงมีปัญหาเรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินเกณฑ์จำนวน 25 จุด โดยพื้นที่กทม.ยังคงต้องเฝ้าระวังตลอดช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.62



    ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า สำหรับพื้นที่ที่มีปริมาณฝุ่น PM 2.5 เกินเกณฑ์อยู่ในระดับอันตราย มีอยู่ 2 จุดและระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพจำนวน 23 จุด โดยระดับที่เป็นอันตรายมีอยู่ 2 จุด ได้แก่ เขตบางคอแหลม บริเวณป้อมตำรวจสี่แยกถนนตก 94 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และเขตจตุจักร บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 9 3 ไมโครกรัมฯ



    ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ส่วนระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพมี 23 จุดได้แก่ เขตสัมพันธวงศ์ บริเวณหัวมุมวงเวียนโอเดียน 76 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เขตพญาไทหน้าแฟลตทหารบกใกล้ รพ.วิชัยยุทธ 68 ไมโครกรัมฯ เขตวังทองหลาง หน้าปั๊มเอสโซ่ซอยลาดพร้าว 95 อยู่ที่ 84 ไมโครกรัมฯเขตปทุมวัน ริมถนนจามจุรีสแควร์ 73 ไมโครกรัมฯ เขตบางรัก ข้างป้อมตำรวจหน้าลานบางรักฯ 74 ไมโครกรัมฯ เขตสาทร สี่แยกหน้าสำนักงานเขตสาทร77 ไมโครกรัมฯ เขตยานนาวา ใกล้สำนักงานใหญ่ ธ.กรุงศรีฯ 76 ไมโครกรัมฯ เขตลาดกระบัง หน้า รพ.ลาดกระบัง 65 ไมโครกรัมฯ เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์แยกมไหสวรรย์ 85 ไมโครกรัมฯ เขตบางกอกน้อย หน้าสถานีตำรวจรถไฟบางกอกน้อย 71 ไมโครกรัมฯเขตภาษีเจริญ หน้า ม.สยาม 76 ไมโครกรัมฯ เขตพระนคร บริเวณภายใน สนง.เขต 77 ไมโครกรัมฯ เขตคลองเตย บริเวณภายใน สนง.เขต 53 ไมโครกรัมฯเขตบางซื่อ บริเวณภายใน สนง.เขต76 ไมโครกรัมฯ



    เขตหลักสี่ บริเวณภาย ใน สนง.เขต 73 ไมโครกรัมฯ เขตบางเขนบริเวณภายใน สนง.เขต 78 ไมโครกรัมฯเขต บึงกุ่ม บริเวณภายในสนง.เขต70 ไมโครกรัมฯ เขตบางขุนเทียน บริเวณภายในสนง.เขต 70 ไมโครกรัมฯเขตดุสิต 77 ไมโครกรัมฯ เขตดินแดงบริเวณโรงควบคุมคุณภาพน้ำดินแดง77 ไมโครกรัมฯเขตลาดพร้าว บริเวณสวนบึงน้ำลาดพร้าว 71 อยู่ที่ 69 ไมโครกรัมฯ



    ทั้งนี้ มี 2 เขตที่มีปริมาณฝุ่นPM10 (ใหญ่กว่า PM2.5) เกินเกณฑ์มาตรฐานอยู่ในระดับต้องเฝ้าระวังคือที่เขตประเวศ บริเวณหน้าห้างซีคอนสแควร์ อยู่ที่ 122 ไมโครกรัมฯ และเขตหนองแขม บริเวณสามแยกข้างป้อมตำรวจถนนมาเจริญ 127 ไมโครกรัม



    ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงเช้าที่ผ่านมา บรรยากาศในพื้นที่ต่างๆ ของ กทม. ได้เกิดท้องฟ้ายังคงปิดและมีเมฆบางส่วน โดยสาเหตุมาจากผลกระทบจากพายุปาบึก ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยารายงานไว้


    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8822.JPG
    (Feb 4) จับตา กนง. คงดอกเบี้ย 1.75% รอการส่งผ่าน'นโยบายการเงิน' : คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) จะประชุมร่วมกัน ในวันที่ 6 ก.พ.นี้ ซึ่งถือเป็นการประชุม นัดแรกของปี 2562 โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ประเมินว่า การประชุมในครั้งนี้ กนง. จะ "คง" ดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% หลังจากปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 7 ปีไปเมื่อการประชุมครั้งที่ผ่านมา



    "พิพัฒน์ เหลือนฤมิตชัย" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร ประเมินว่า ด้วยภาวะเศรษฐกิจโลก ที่มีแนวโน้มชะลอลง เงินเฟ้ออยู่ในระดับ ที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย จึงเชื่อว่าการประชุม กนง. รอบนี้ ที่ประชุมน่าจะยังคงดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ที่ 1.75%



    "ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง ของเราเองตอนนี้เงินเฟ้อ ก็ยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ดังนั้นถ้า กนง. จะขยับดอกเบี้ยวัตถุประสงค์ก็คงเพื่อรักษาเสถียรภาพ หรือเพิ่ม policy space (ขีดความสามารถของนโยบาย) แต่เรา มองว่าการประชุมรอบนี้ยังไม่ปรับขึ้น"



    พิพัฒน์ บอกว่า ที่ผ่านมา กนง. ส่งสัญญาณมาตลอดว่า หากจะขึ้นดอกเบี้ยไม่จำเป็นจะต้องขึ้นต่อเนื่อง สามารถ ขึ้นแล้วหยุดเพื่อรอดูผลกระทบต่างๆ ได้ จึงเชื่อว่าการประชุมรอบนี้ กนง. น่าจะหยุดเพื่อรอดูผลของการขึ้นดอกเบี้ยใน รอบที่ผ่านมาก่อน รอบนี้จึงน่าจะคงและ คะแนนเสียงน่าจะออกมา 6 ต่อ 1 เสียง



    "เชาว์ เก่งชน" กรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การประชุม กนง. รอบนี้ คาดว่าที่ประชุมจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% เพราะถ้าดู ข้อมูลเศรษฐกิจโลกในเวลานี้ ถือว่ามี ความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็เริ่มระมัดระวังการ ส่งสัญญาณการปรับดอกเบี้ยที่มากขึ้น



    "สถานการณ์ต่างประเทศในช่วงนี้ มีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก ประธานเฟดเอง ก็บอกว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยคงไม่เร็ว อีกทั้ง อีซีบี (ธนาคารกลางยุโรป) ระบุว่า การขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นไปตามสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจจีนเอง ก็เริ่มชะลอตัวลง หลายๆ อย่างบ่งชี้ถึง ความไม่แน่นอนที่มากขึ้นในเศรษฐกิจโลก"



    เชาว์ ระบุว่า ที่ประชุม กนง. คงหยิบยกประเด็นเศรษฐกิจโลกขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญในการพิจารณาเรื่องดอกเบี้ย และเชื่อว่าการประชุมรอบนี้จะคงเอาไว้ก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ในระยะข้างหน้า โดยหากจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งไปแล้ว เพราะ ถึงตอนนั้นภาพเศรษฐกิจต่างๆ คงมี ความชัดเจนที่มากขึ้น



    สำหรับศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในปีนี้มีโอกาสที่ กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง แต่การปรับขึ้นคงจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี



    "สมประวิณ มันประเสริฐ" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา คาดว่า การประชุมรอบนี้ กนง. จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ที่ 1.75% แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่คะแนนโหวตที่ออกมา ในรอบนี้เป็นอย่างไร เพราะจะมีผลต่อ การประชุมในครั้งถัดไป คือ วันที่ 20 มี.ค.2562



    "สิ่งที่ต้องติดตามดูในการประชุม รอบนี้ คือ คะแนนเสียงของที่ประชุม ซึ่งเราเชื่อว่าหากคะแนนเสียงออกมา 6 ต่อ 1 ให้คงดอกเบี้ย ทางเราก็เชื่อว่าในการประชุมครั้งถัดไปคือเดือนมี.ค. ทาง กนง. ก็น่าจะคงดอกเบี้ยเอาไว้ต่อเนื่อง แต่หากคะแนนเสียง ในที่ประชุมรอบนี้ออกมา 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงดอกเบี้ย กรณีนี้มีความเป็นไปได้ เช่นกันที่การประชุมเดือนมี.ค. ที่ประชุมอาจโหวตให้ขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งก็เป็นได้"



    "นริศ สถาผลเดชา" หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ระบุว่า แรงจูงใจในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายน้อยลงมาก หลังจากที่ กนง. ปรับขึ้น ดอกเบี้ยมาแล้ว 1 ครั้ง แต่ไม่สามารถส่งผ่านนโยบายการเงินได้เต็มที่นัก สะท้อนผ่านการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปรับขึ้นเฉพาะดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยออมทรัพย์ แถมยังขึ้น เฉพาะบางธนาคารพาณิชย์เท่านั้น จึงเชื่อว่าในปีนี้ กนง. หากจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก ก็คงแค่ครั้งเดียวในช่วงปลายปี



    "ทิม ลีฬหะพันธุ์" นักเศรษฐศาสตร์ ประจำธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ระบุว่า ต้องติดตามดูคะแนนเสียงของ กนง. ว่าจะออกมาอย่างไร หากมีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เสียง อาจเป็นสัญญาณว่า กนง. จะยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย แต่หากการลงมติ ของ กนง. รอบนี้ เสียงแตกโดยมี 1-2 เสียง ให้ลงมติขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจเป็นสัญญา ให้ตลาดรับทราบว่า โอกาสขึ้นดอกเบี้ย ในระยะข้างหน้ายังมีอยู่



    อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสที่ดอกเบี้ย กนง. จะขึ้นได้จาก 2 เหตุผล คือ กนง. ส่งสัญญาณมาโดยตลอดเกี่ยวกับ ความกังวลด้านเสถียรภาพระบบการเงิน จากการที่ดอกเบี้ยต่ำมานาน ซึ่งอาจทำให้เกิดพฤติกรรมการเก็งกำไร จนทำให้เกิด การขาดเสถียรภาพทางการเงินได้ อีกเหตุผลคือ โอกาสในการขึ้นดอกเบี้ย เพื่อเพิ่ม Policy Space หรือเพิ่มขีดความสามารถใน การดำเนินนโยบายการเงิน หากในอนาคตกนง.ต้องปรับดอกเบี้ยลงเพื่อดูแลเศรษฐกิจให้สามารถมีเครื่องมือที่พร้อม



    "อมรเทพ จาวะลา" ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย ประเมินว่า กนง.น่าจะมีมติคงดอกเบี้ยที่ 1.75% โดยเชื่อว่า กนง. จะรอดูภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาส 4 ก่อน ตามหลักการ การดู Data Dependent ให้ครบองค์ประกอบ ทุกด้าน ดังนั้นในด้านตัวเลขที่อิงเศรษฐกิจ ที่ยังไม่ออกมา ก็อาจทำให้กนง.ยังไม่มีข้อมูล ด้านนี้ในการตัดสินใจอยากรอบด้าน จึงเชื่อว่า การประชุมรอบนี้จะเป็นการคงดอกเบี้ย เพื่อรอสถานการณ์ต่างๆ ให้ชัดเจน ทั้งการเมืองภายในประเทศ ปัจจัยต่างประเทศ ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ


    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8823.JPG
    (Feb 4) จ่อควบคุมค่ายา-ค่ารักษาตั้งโรงพยาบาลโตต่อ137% -ธุรกิจโรงพยาบาลอู้ฟู่ ยอดจดทะเบียนตั้งปี'61 เอกชนเทงบฯลงทุนพุ่ง 137% ขณะที่ร้านค้าปลีกซบยอดจดทะเบียนหด 31% "พาณิชย์" ถกคณะอนุกรรมการควบคุมยา-ค่ารักษาพยาบาลนัดแรก ตั้งคณะทำงานดูต้นทุนโครงสร้างยา ขีดเส้น 60 วัน เคาะมาตรการดูแล พร้อมกับออกประกาศให้ปิดป้ายแสดงราคายา ส่งไม้ต่อ สธ.ศึกษาแนวทางแก้ กม.ให้ผู้ป่วยซื้อยานอก รพ.ได้



    รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า สถานการณ์การประกอบธุรกิจกลุ่มร้านค้าปลีกยาและเวชภัณฑ์ ปรับลดลงอย่างมาก โดยแม้ว่าภาพรวมจะมีจำนวนร้านขายปลีกยาและเวชภัณฑ์รวม 5,473 แห่ง มีทุนจดทะเบียนรวม 26,796.57 ล้านบาท แต่ยอดการจดทะเบียนจัดตั้งร้านค้าปลีกยาฯในช่วงปี 2561 ที่ผ่านมา มีเพียง 592 แห่ง ลดลง 31% จากปี 2560 ทุนจดทะเบียน 792 ล้านบาท ลดลง 37% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะใช้ยาที่ซื้อจากโรงพยาบาลโดยตรงมากขึ้น ขณะที่ยอดการจัดตั้งธุรกิจโรงพยาบาลปี 2561 มีจำนวน 74 แห่ง เพิ่มขึ้น 7.25% ขณะที่มูลค่าเม็ดเงินลงทุน 1,863 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 137% จากปี 2560 ซึ่งโดยรวมยอดจำนวนนิติบุคคลที่ทำโรงพยาบาลปัจจุบันมี 656 แห่ง ทุนจดทะเบียน 103,735.91 ล้านบาท



    นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณากำหนดมาตรการยาและเวชภัณฑ์ บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาล กล่าวภายหลังการประชุมครั้งที่ 1/2562 ว่า ที่ประชุมเห็นชอบตั้งคณะทำงานพิจารณาโครงสร้างต้นทุนยา เวชภัณฑ์ บริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาล โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นประธานคณะทำงานพิจารณาโครงสร้างต้นทุน โดยให้สรุปได้ภายใน 60 วัน ปลายเดือน มีนาคม 2562



    พร้อมกันนี้ ในสัปดาห์หน้ากรมการค้าภายใน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) จะออกประกาศ กกร.กำหนดให้โรงพยาบาลเอกชนปิดป้ายแสดงราคายาและเวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ป่วยรับรู้ราคา โดยเบื้องต้นจะดูแลยา 1,000 รายการ นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังขอให้สมาคมโรงพยาบาลเอกชนแจ้งสมาชิกให้แจกแจงค่าบริการทางการแพทย์อย่างละเอียด โดยแบ่งออกเป็นค่ารักษาพยาบาล และค่าบริการที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วย เช่น ค่าห้อง ค่าบริการอื่น ๆ ให้ประชาชนรับรู้ก่อนตัดสินใจ สำหรับการพิจารณาโครงสร้างต้นทุนค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลแต่ละแห่งแตกต่างกัน อาจพิจารณาแบ่งระดับความต่างตั้งแต่ 5 ดาว 4 ดาว 3 ดาว ตามความเหมาะสม



    พร้อมกันนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้รับจะดำเนินการศึกษาแนวทางซึ่งที่ประชุมเสนอให้ผู้ป่วยมีสิทธิร้องขอ ใบสั่งยา เพื่อเป็นทางเลือกในการซื้อยานอกสถานพยาบาลได้ ซึ่งประเด็นนี้ยังมีข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงกรณีการคิดค่าบริการสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินซึ่งเดิมกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า ผู้ป่วยฉุกเฉินจะสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ในทุกโรงพยาบาลใน 72 ชั่วโมงแรก โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินในระดับสีแดงเท่านั้น มีผลทำให้ผู้ป่วยในระดับสีเหลือง หรือสีเขียวมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพราะโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งไม่รับรักษา หรือรักษา และมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ซึ่งจะแก้ไขเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม



    นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า การคิดค่ารักษาพยาบาลกับผู้ป่วยควรมีข้อมูลอ้างอิงด้วยว่าคิดค่ารักษา ค่าบริการอย่างไร พร้อมกับการคิดค่ารักษากับผู้ป่วยฉุกเฉิน ไม่ฉุกเฉินด้วยเพื่อสร้างความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย หากจำเป็นควรมีการใช้มาตรา 29 พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ดูแลต่อไป


    Source: ประชาชาติธุรกิจ
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8824.JPG
    (Feb 4) กรอบวินัยการคลัง แกร่งรับ ศก.โต : กระทรวงการคลัง ได้กำหนดกรอบ ความยั่งยืนทางการคลังเป็นแนวทางในการดำเนินนโยบายทางการคลังที่สอดคล้องกับสถานะเศรษฐกิจการเงินและการคลังของประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านการคลังในระยะปานกลางและระยะยาว ซึ่งกรอบความยั่งยืนทางการคลังประกอบด้วยตัวชี้วัดและเป้าหมาย คือ 60-15-0-25



    หมายถึงสัดส่วนหนี้สาธารณะ คงค้างต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ไม่เกิน 60% ภาระหนี้ต่อ งบประมาณไม่เกิน 15% การจัดทำงบประมาณสมดุล สัดส่วนรายจ่ายลงทุนต่องบประมาณรายจ่ายไม่ต่ำกว่า 25%



    ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้จัดทำการวิเคราะห์ความยั่งยืนทางการคลังในระยะปานกลาง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการประเมินและรักษาความยั่งยืนทางการคลัง โดยมีผลการวิเคราะห์ระหว่างปีงบประมาณ 2561-2565



    สรุปได้ดังนี้คือ สัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อจีดีพี ในปีงบประมาณ 2561 อยู่ที่ 42.4% และเพิ่มขึ้นเป็น 46% ในปีงบประมาณ 2565



    สำหรับภาระหนี้ต่องบประมาณอยู่ในที่ระดับ 8.6% ในปีงบประมาณ 2561 และเพิ่มขึ้นเป็น 10.4% ในปีงบประมาณ 2565 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะปานกลางยังคงได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก



    ดังนั้น รัฐบาลจึงยังมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลเพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ



    อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไปหากภาวะเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยังคงมีนโยบายมุ่งเน้นการจัดทำงบประมาณสมดุลเพื่อเป็นการรักษากรอบวินัยการเงินการคลัง



    นอกจากนี้ สัดส่วนรายจ่ายลงทุนต่องบประมาณรายจ่าย คาดว่าจะอยู่ในระดับเฉลี่ย 21.5% ของงบประมาณ รายจ่ายตลอดช่วงปีงบประมาณ 2561-2565 ซึ่งต่ำกว่าระดับที่กำหนดไว้ เนื่องจากรายจ่ายประจำมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น



    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายผลักดันการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในปี 2560-2562 ผ่านมาตรการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พีพีพี) และการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์) เพื่อเป็นการทดแทน



    นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนโดยรัฐวิสาหกิจเองอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการคลังของรัฐบาลในการระดมทุนเพื่อลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และทำให้ภาพรวมการลงทุนของภาครัฐสอดคล้องตามกรอบความยั่งยืนทางการคลัง



    สำหรับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้แล้ว เพื่อให้มีแนวทางในการรักษาวินัยทางการคลังของประเทศอย่างชัดเจน เช่น มีการกำหนดสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการ รายได้ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการชำระหนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด รวมทั้งได้เพิ่มการวิเคราะห์สัดส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้



    รวมทั้งให้ครอบคลุมนวัตกรรมการคลังใหม่ๆ สามารถวิเคราะห์ภาพรวมสถานการณ์การคลังของทั้งประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


    Source: Posttoday
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Feb 4) ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ชะลอตัว/ถดถอย มากน้อยเพียงใด - ดังที่ผมได้เขียนถึงในครั้งที่แล้วตอนปลายปี 2018 ราคาหุ้นปรับตัวลดลงรุนแรงทั่วโลก เพราะกลัวการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก

    แต่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วในเดือน ม.ค. ส่วนสำคัญน่าจะเกิดจากการที่นาย Jerome Powell ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณว่าจะ patient (อดทน รอดู ใจเย็น) เกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายและพร้อมรับฟังสัญญาณจากตลาดทุน

    ประเด็นสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาต่อไปสำหรับนักลงทุนน่าจะเป็นดังนี้คือ

    - ในเมื่อธนาคารกลางสหรัฐให้คำมั่นกับตลาดทุนดังกล่าวข้างต้นแล้ว ก็น่าจะวางใจได้ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะ “ดูแล” นักลงทุน (Powell put)ดังนั้น จึงน่าจะซื้อหุ้นเพิ่มได้และหุ้นน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี

    - ประเด็นที่เป็นห่วงอีกประเด็นหนึ่งคือการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนนั้นก็ดูเหมือนว่าจะหาข้อตกลงเพื่อสงบศึกได้ เพราะมีข่าวว่าประธานาธิบดีทรัมพ์อยากให้การเจรจาประสบผลสำเร็จ (เพราะที่ผ่านมามีผลงานน้อยมากหลังจากการลดภาษี) ซึ่งนาย Robert Lighthizer ผู้แทนการค้าสหรัฐ ก็ได้เจรจากับนาย Liu He ไปแล้วรอบหนึ่งในวันที่ 30-31 มกราคมที่ผ่านมา และประธานาธิบดีทรัมพ์ ให้ความหวังว่า จะมีข่าวดี เมื่อเขาพบปะและเจรจากับประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้

    - กรณีปัญหา Brexitนั้น นักลงทุนเชื่อว่าหากหาข้อสรุปไม่ได้ อังกฤษก็จะขอชะลอการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งศาลยุโรปได้ตีความเปิดทางเอาไว้ให้ ทำให้ตลาดเชื่อว่ากรณีที่อังกฤษจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปโดยไม่มีข้อตกลงรองรับ (hard Brexit) จะไม่เกิดขึ้น

    หากทุกอย่างพัฒนาไปด้วยดีดังกล่าวข้างต้น การปรับขึ้นของราคาหุ้นในเดือน ม.ค.ก็จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวของตลาดหุ้น และความกังวลในปลายปีที่แล้วว่าเศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวอย่างรุนแรง โดยมีความเสี่ยงว่าจะเกิดภาวะถดถอยขึ้นมาได้นั้น ก็จะเป็นเพียงความเชื่อที่ขัดกับข้อเท็จจริง ทั้งนี้หลายคนจะอาศัยตลาดหุ้นเป็นเครื่องมือในการคาดการณ์อนาคตของเศรษฐกิจ เพราะผู้ที่ลงทุนในตลาดหุ้นนั้นคือผู้ที่พยายามซื้ออนาคต (คาดการณ์ผลกำไรของบริษัทในอนาคต) นั่นเอง การปรับขึ้นของราคาหุ้นในเดือน ม.ค.จึงเป็นเรื่องที่ดีและหากนักลงทุนคาดการณ์ถูกต้อง ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจก็จะถูกทดแทนโดยตัวเลขเศรษฐกิจที่จะปรับตัวดีขึ้นใน 3-6 เดือนข้างหน้า ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการชะลอตัวลงหมดสิ้นไปในที่สุด

    แต่การมองในแง่ดีดังกล่าวดูจะ “ง่าย” เกินไป กล่าวคือเพียงธนาคารกลางสหรัฐยุติการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะพลิกผันจากภัยกลายเป็นดี ผมคิดว่าประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ ข้อแม้ที่นาย Jerome Powell กล่าวเอาไว้เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมาดังนี้

    “As always, there is no pre-set path for policy. And particularly with muted inflation readings that we’ve seen coming in, we will be patient as we watch to see how the economy evolves”

    คำพูดที่ตลาดทุนพึงพอใจมากที่สุดคือส่วนที่นาย Powell กล่าวว่า “We will be patient” (จะไม่เร่งรีบขึ้นดอกเบี้ย) และ “there is no pre-set path for policy” (ไม่ได้กำหนดขั้นตอนการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างตายตัวเอาไว้แล้ว) เพราะ “We watch to see how the economy evolves” (จะต้องพิจารณาดูพัฒนาการของเศรษฐกิจพร้อมกันไปด้วย) แต่ประเด็นที่ผมจะให้ความสำคัญสูงสุดใน 3-6 เดือนข้างหน้าคือ แนวโน้มของเงินเฟ้อในสหรัฐ เพราะนาย Powell ตั้งข้อแม้เอาไว้อย่างชัดเจนว่าจะสามารถชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และรอสังเกตการณ์ภาวะเศรษฐกิจอย่างระมัดระวังได้ ก็เพราะว่าข้อมูลเงินเฟ้อที่เข้ามานั้นอยู่ที่ระดับต่ำ กล่าวคือ “with muted inflation readings…, we will be patient.

    แปลว่าเมื่อใดที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐน่าจะต้องถูกกดดันในทันที่ให้ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ทั้งนี้ปัจจุบันเงินเฟ้อสหรัฐอยู่ที่ระดับ 1.8-2.0% ในขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายนั้นปัจจุบันอยู่ที่ 2.5% แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจสหรัฐได้ขยายตัวเต็มที่แล้ว (จีดีพีโต 2% และอัตราการว่างงานต่ำกว่า 5% - ปัจจุบันอยู่ที่ 3.8%) ดอกเบี้ยนโยบายควรจะปรับขึ้นไปที่ 3% แปลว่าธนาคารกลางสหรัฐยังมีเป้าหมาย “ในใจ” ว่าน่าจะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งจึงจะบรรลุถึงเป้าหมาย แต่ก็สามารถจะรีรอได้ตราบใดที่เงินเฟ้อยังอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2% อย่างไรก็ดีหากเงินเฟ้อ เร่งปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.5-3.0% ผมเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐจะไม่มีทางเลือกและต้องรีบปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ต้องการให้เข้าไปอยู่ในสภาวะที่จะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อไล่ตามเงินเฟ้อ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงให้ดอกเบี้ยต้องปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะเป็นภัยอันตรายต่อเศรษฐกิจอย่างมาก

    ดังนั้นจึงจะต้องคาดหวังกันว่าเงินเฟ้อจะไม่ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงในปี 2019 ครับ

    โดย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

    คอลัมนิสต์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเศรษฐกิจ คอลัมน์ "เศรษฐศาสตร์จานร้อน"


    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/646495
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    B548A24D-9090-473A-80DF-7213897B1061.jpeg
    (Feb 3) ดีลอยท์เผยผู้บริโภคจีนเปลี่ยนสมาร์ทโฟนบ่อยสุด : ผลการสำรวจของบริษัทดีลอยท์พบว่า ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในจีนเปลี่ยนเครื่องบ่อยที่สุดในโลกในปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับผู้ใช้ในประเทศอื่น



    ผลการสำรวจพบว่า ในปีที่แล้ว ผู้ใช้ โทรศัพท์มือถือในจีนเกือบ 80% ได้ซื้อโทรศัพท์ ที่มีการใช้ในปัจจุบัน หลังจากที่เพิ่งมีการซื้อ เครื่องโทรศัพท์ในปี 2560 เมื่อเทียบกับ 58% ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั่วโลก และผู้ใช้ โทรศัพท์ของจีนไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ต่อตลาดโทรศัพท์มือถือมือสอง หรือ การให้บริการซื้อเครื่องใหม่โดยแลกเครื่องเก่า



    ดีลอยท์ ระบุว่า การมีฟังก์ชันใหม่ๆ และ การเพิ่มขึ้นของโทรศัพท์มือถือที่เป็นแบรนด์ในประเทศ และมีราคาถูก ได้ช่วย กระตุ้นความต้องการซื้อโทรศัพท์ และทำให้ช่วงการเปลี่ยนโทรศัพท์สั้นลง



    ข้อมูลของดีลอยท์ อาจสัมพันธ์กับ การที่ปัจจุบัน รัฐบาลจีนได้ให้การสนับสนุนการค้าผ่านช่องทางครอส-บอร์เดอร์ อี-คอมเมิร์ซ เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น เห็นได้จากการลดขั้นตอนความยุ่งยากต่างๆ ในการนำเข้าของสินค้าจากต่างชาติ เช่น ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบและยื่นขอใบอนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐของจีน ที่สำคัญรัฐบาลจีนอนุญาตให้คนจีนสามารถซื้อสินค้าผ่านช่องทางครอสบอร์เดอร์ อี-คอมเมิร์ซได้ไม่เกินคนละ 20,000 หยวน/ปี ทำให้การค้ารูปแบบนี้มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง



    ยิ่งไปกว่านั้น การประชาสัมพันธ์สินค้า และบริการผ่านคีย์ โอพีเนียน ลีดเดอร์ (เคโอแอล) ก็ช่วยให้เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ผู้บริโภคจีนยังนิยมซื้อสินค้าออนไลน์ตามช่วงเทศกาลลดราคา เช่น เทศกาลคนโสด หรือ 11.11 สังเกตได้จาก ยอดขายในวันเดียวของบริษัทอาลีบาบาที่สูงถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อปี 2560



    ขณะที่มีการทำวิจัยในประเทศจีนโดย เน้นสำรวจพฤติกรรมของผู้ใช้สมาร์ทโฟน แต่ละค่ายพบว่า ผู้ใช้ไอโฟนในประเทศจีน ส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาและฐานะใน ครอบครัวน้อยกว่าผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนหัวเว่ย และเสี่ยวหมี่ และผู้ใช้ไอโฟนจะเป็นผู้หญิง ไม่แต่งงาน อายุระหว่าง 18-34 ปี การศึกษา ชั้นมัธยม และมีรายได้เดือนละ 3,000 หยวน



    ส่วนผู้ใช้สมาร์ทโฟนของหัวเว่ยและเสี่ยวหมี่จะเป็นผู้ชายที่แต่งงานแล้ว อายุระหว่าง 25-34 ปี มีแฟลตและรถยนต์เป็นของตนเอง และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน อยู่ที่ 5,000-20,000 หยวน


    Source: กรุงเทพธุรกิจ


    - Chinese users replace mobile phones more often than global peers: survey: http://www.xinhuanet.com/english/2019-01/24/c_137771215.htm
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8829.JPG
    (Feb 3) ชาวเวเนซุเอลานับหมื่นแห่ชุมนุมไล่รัฐบาล มาดูโรดิ้นรักษาอำนาจเสนอเลือกตั้งรัฐสภา : มาดูโรพยายามประคับประคองรัฐบาลที่กำลังซวนเซอย่างหนักด้วยการเสนอเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาก่อนกำหนด หลังนายพลอาวุโสแปรพักตร์ไปอยู่ข้างฝ่ายค้านและประชาชนชาวเวเนซุเอลานับหมื่นคนทั่วประเทศชุมนุมประท้วงรัฐบาลเมื่อวันเสาร์ (2 ก.พ.) ขณะที่ฝ่ายค้านระบุคำประกาศเป็นดังกล่าวเป็นแค่การยั่วยุของผู้นำเผด็จการ นอกจากนั้นตำรวจปราบจลาจลในอย่างน้อย 3 เมืองยังยกเลิกแผนสกัดผู้ชุมนุม


    ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ปราศรัยกับผู้สนับสนุนเนื่องในวาระครบรอบ 20 ปีการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกของ ฮูโก ชาเวซ ผู้นำสังคมนิยมที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยระบุว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญที่ควบคุมโดยรัฐบาล จะอภิปรายเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสมัชชาแห่งชาติหรือรัฐสภาที่อยู่ในความควบคุมของฝ่ายค้านภายในปีนี้


    ทั้งนี้ ฮวน กวยโด ประธานสมัชชาแห่งชาติที่ประกาศตนเป็นประธานาธิบดีเฉพาะกาลเมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา เรียกร้องให้จัดเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม หลังจากการเลือกตั้งปีที่แล้วที่มาดูโรชนะถูกวิจารณ์จากทั้งในและนอกประเทศว่าโกง


    อาร์มานโด อาร์มาส สมาชิกฝ่ายค้านแถลงว่า การเสนอเลือกตั้งรัฐสภาก่อนกำหนดจากเดิมที่จะจัดขึ้นในปีหน้า เป็นเพียงการยั่วยุของมาดูโร รวมทั้งยังบอกว่า มาดูโรไม่ได้อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว และสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ขาดความชอบธรรมเช่นเดียวกัน


    แม้ช่วงหลายเดือนมานี้มีนายทหารกลุ่มเล็กๆ แปรพักตร์จากมาดูโร แต่กองทัพโดยรวมยังคงสนับสนุนผู้นำเผด็จการผู้นี้ ถึงกระนั้นเมื่อวันเสาร์ พล.อ.ฟรานซิสโก ยาเนซ จากกองบัญชาการสูงสุดของกองทัพอากาศ เป็นนายทหารระดับนายพลคนแรกที่ประกาศยอมรับกวยโดในตำแหน่งประธานาธิบดี เช่นเดียวกับทูตทหารเวเนซุเอลาประจำวอชิงตันก่อนหน้านี้


    ยาเนซกล่าวในคลิปที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ว่า ทหาร 90% ไม่ได้สนับสนุนเผด็จการ แต่อยู่ข้างประชาชน และสำทับว่า การผ่องถ่ายสู่ระบอบประชาธิปไตยกำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งในเวลาต่อมา กองบัญชาการสูงสุดของกองทัพอากาศทวิตกล่าวหาว่ายาเนซทรยศ


    ทางด้านกวยโดกล่าวกับผู้สนับสนุนระหว่างการชุมนุมในกรุงคารากัสว่า เขาคาดจะมีทหารจำนวนมากเดินตามรอยยาเนซ โดยก่อนหน้านี้ กวยโดประกาศอภัยโทษให้แก่ทหารที่แปรพักตร์จากรัฐบาลมาดูโร และนอกจากในกรุงคารากัส ชาวเวเนซุเอลายังชุมนุมประท้วงรัฐบาลในอีกหลายเมืองทั่วประเทศ


    อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ว่า การสนับสนุนมาดูโรเริ่มคลอนแคลนลงคือ ตำรวจปราบจลาจลที่เดิมเตรียมสกัดผู้ประท้วงไม่ให้เข้าถึงสถานที่ชุมนุม กลับยกเลิกแผนการดังกล่าวและปล่อยให้มีการชุมนุมในอย่างน้อย 3 เมือง ทั้งนี้ จากการเปิดเผยของกวยโดและผู้สื่อข่าวรอยเตอร์


    ขณะเดียวกัน ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากแนวร่วมระหว่างประเทศกำลังจะหลั่งไหลไปถึงเวเนซุเอลาที่กำลังเผชิญการขาดแคลนอาหารและยาอย่างหนัก โดยความช่วยเหลือเหล่านี้มาจากจุดรวบรวมในบราซิล โคลอมเบีย และเกาะหนึ่งในแคริบเบียน


    อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่ชัดเจนกรณีรัฐบาลมาดูโรที่ปฏิเสธว่าประเทศไม่ได้เผชิญวิกฤตมนุษยธรรม จะยอมให้มีการแจกจ่ายความช่วยเหลือจากต่างชาติหรือไม่


    กวยโดเรียกร้องให้ทหารช่วยเหลือเพื่อให้สามารถแจกจ่ายความช่วยเหลือแก่ประชาชน ประธานาธิบดีเฉพาะกาลผู้นี้ที่ไม่มีอำนาจควบคุมสถาบันรัฐหรือหน่วยงานใดๆ สำทับว่า ฝ่ายค้านจะไม่ยอมยุติการประท้วงจนกว่ามาดูโรจะลงจากอำนาจและเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรี


    ฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาว่า มาดูโรทำลายสถาบันประชาธิปไตยและเศรษฐกิจที่เคยเฟื่องฟูผ่านระบบควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสงสัยว่ามีการทุจริต รวมทั้งโอนกิจการต่างๆ เป็นของรัฐตามอำเภอใจ


    อเมริกา แคนาดา และหลายประเทศในละตินอเมริกายอมรับกวยโดเป็นประธานาธิบดีที่ชอบธรรมของเวเนซุเอลา ขณะที่คาดว่า สมาชิกบางชาติของสหภาพยุโรป (อียู) จะประกาศยอมรับกวยโดอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า ส่วนประเทศอื่นๆ มีแนวโน้มให้การสนับสนุนอย่างระมัดระวัง ส่วนมาดูโรนั้นยังคงได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและจีน


    วอชิงตันพยายามกดดันมาดูโรด้วยการแซงก์ชันพีดีวีเอสเอ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจน้ำมันของเวเนซุเอลา แม้การดำเนินการนี้เสี่ยงทำให้ชะตากรรมของพลเมืองเวเนซุเอลาเลวร้ายหนักเนื่องจากเป็นการตัดขาดการเข้าถึงเงินดอลลาร์ที่จำเป็นสำหรับการนำเข้าก็ตาม


    Source: ผู้จัดการออนไลน์


    - France to recognize Guaido if Venezuela’s Maduro does not call vote on Sunday: https://www.cnbc.com/2019/02/03/fra...elas-maduro-does-not-call-vote-on-sunday.html
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8830.JPG
    (Feb 3) เศรษฐกิจจีนปี 2019 ความท้าทายจากนโยบายการค้าสหรัฐ : ในขณะที่ประเทศจีนพยายามทำให้ ประชาคมโลกเห็นความเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น ความร่วมมือ RCEP และโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) เป็นต้น ซึ่งทำให้จีนมีอิทธิพลกับประเทศขนาดเล็กต่าง ๆ มากขึ้นในฐานะคู่ค้า หรือผู้ลงทุนรายใหญ่นั้น จีนเองกลับโดนท้าทายอย่างมากจากนโยบายการค้าของสหรัฐ ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของตน สงครามการค้าได้เกิดขึ้นระหว่างเศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งกับอันดับสองของโลก และส่งผลให้เศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลงอย่างชัดเจนนับตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2018 เป็นต้นมา คำถามที่ตามมาคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนครั้งนี้มีลักษณะอย่างไร และธุรกิจไทยควรเตรียมรับมืออย่างไร



    ในมุมมองของผู้เขียน การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนครั้งนี้มีองค์ประกอบสำคัญ คือ ความเชื่อมั่น ทั้งความเชื่อมั่น ของภาคธุรกิจที่จะขยายการลงทุน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่จะจับจ่ายใช้สอย สาเหตุที่มองไปที่เรื่องความเชื่อมั่น เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่จีนต้องเจอกับการท้าทายจากคู่ค้าที่อาจมีอำนาจต่อรอง มากกว่า และอาจมีความได้เปรียบมากกว่าในบางมิติ เช่น มูลค่าการนำเข้า สินค้าจีนของสหรัฐที่สูงถึงราว 5 แสนล้าน ดอลลาร์ ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าสหรัฐของจีน มีไม่ถึง 2 แสนล้าน ดอลลาร์ ซึ่งเป็นข้อจำกัดของจีนที่จะตอบโต้สหรัฐโดยใช้ภาษี เป็นต้น



    นอกจากนี้ ลักษณะของสินค้าที่จีนส่งไปสหรัฐเป็นสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งการชะลอลงของการส่งออกจะส่งผลโดยตรงต่อการลงทุนของเอกชนและการจ้างงาน ต่างจากสินค้าที่สหรัฐส่งไปจีนที่เป็นสินค้าเกษตร ซึ่งการชะลอลงน่าจะมีผลกระทบการลงทุนเอกชนและ การจ้างงานค่อนข้างน้อย ด้วยความแตกต่างเหล่านี้ ผู้บริโภคและนักธุรกิจของจีนจึงมีความกังวลค่อนข้างมากเกี่ยวกับความมั่นคงในหน้าที่การงานและอนาคตของรายได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็น ในการลดลงของดัชนีความเชื่อมั่น ของผู้บริโภค (China Consumer Confidence Index) และของภาคธุรกิจ (IHS Markit China Business Outlook)



    สำหรับผู้บริโภค ความกังวลเกี่ยวกับ รายได้ในอนาคตเริ่มมีผลต่อการใช้จ่ายในสินค้าที่มีมูลค่าสูง หรือต้องใช้สินเชื่อ เช่น รถยนต์ และบ้าน เป็นต้น โดยช่วง 4 เดือนสุดท้ายปี 2018 ยอดขายรถยนต์ในจีนลดลงกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียว กันของปี 2017 และเนื่องจากยอดขาย รถยนต์มีสัดส่วนเกือบ 30% ในยอดค้าปลีก ในประเทศทั้งหมด จึงเป็นเหตุให้การ เติบโตของยอดค้าปลีกลดลงเหลือแค่ 8% จากที่เคยเติบโตได้ 9-10% ตอนต้นปี



    ในส่วนของภาคธุรกิจ ภาคการผลิตชะลอตัวลงอย่างชัดเจนตั้งแต่ช่วงกลางปี 2018 โดยสิ่งที่มีผลกระทบกับประเทศไทยค่อนข้างมากคือ การลดการนำเข้าสินค้าเพื่อภาคการผลิต ซึ่งน่าจะ เป็นการที่ผู้ประกอบการในจีนเตรียมรับมือ กับยอดการส่งออกที่จะลดลงในระยะต่อไป ซึ่งเป็นการคาดการณ์ที่ถูกต้องเพราะยอดส่งออกโดยรวมของจีนหดตัว ในเดือนธันวาคม 2018



    ผู้เขียนมองว่าสำหรับไตรมาสแรกของ ปี 2019 นี้ ยังมีความเสี่ยงที่ความตึงเครียด เกี่ยวกับสงครามการค้าจะกดดันความเชื่อมั่นของภาคเอกชนจีนต่อไป แม้ผู้นำของทั้งสองประเทศได้หารือกันระหว่างการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินา เมื่อ 1 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา ทำให้ทั้งสองฝ่ายหยุดตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้า นำเข้าระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน เพื่อหันมาเจรจาและหาข้อสรุปร่วมกันให้ได้ภายใน 1 มีนาคม 2019 ก็ตาม



    เป้าหมายที่ทางสหรัฐกำหนดไว้สำหรับช่วง 90 วันนี้ คือ การบรรลุข้อตกลงที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ทั้งในด้านการค้าและการลงทุน ที่จะทำให้สหรัฐลดการขาดดุลการค้าจากจีนได้ และสามารถเข้าไปลงทุนในจีนได้โดยเสรีมากขึ้น โดยไม่มีข้อกำหนดให้ต้องเปิดเผยเทคโนโลยี เป็นต้น ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่ เห็นตรงกันว่า คงไม่สามารถเป็นไปได้ในระยะเวลาอันสั้น



    สิ่งที่อาจคาดหวังได้มากกว่า คือ การเพิ่มระยะเวลาการเจรจา โดยทางการจีน มีทีท่าอ่อนลงเล็กน้อย หลังเริ่มเข้าซื้อผลผลิตเกษตรสำคัญอย่างถั่วเหลืองในช่วงเดือนธันวาคม รวมทั้งลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐมาอยู่ที่ระดับ 15% จาก 40% และล่าสุดหลังการเจรจาเจ้าหน้าที่ระดับสูงนัดแรกในช่วง 7-9 มกราคม 2019 ตัวแทนสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ระบุว่า การเจรจามีความ คืบหน้า โดยจีนได้ให้สัญญาว่าจะซื้อสินค้าจำนวนมากจากสหรัฐทั้งในกลุ่มสินค้าเกษตร พลังงาน รวมถึงสินค้าในภาคการผลิตและบริการ แต่ทั้งหมดนี้ยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก



    ในกรณีที่ไม่สามารถตกลงกันได้ สหรัฐอาจปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีน มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ จาก 10% เป็น 25% และในกรณีแย่กว่านั้นคือการประกาศเก็บภาษีกับสินค้านำเข้าจีนอีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์ โดยสินค้าที่สำคัญ ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะเป็นชนวนให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ต่ำกว่ากรอบ 6.0-6.5% ที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินได้



    การชะลอตัวของกำลังซื้อจากจีนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจไทยควรเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้าในปีนี้ ในปัจจุบันตลาดจีนมีความสำคัญมาก โดยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นประมาณ 12% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดมูลค่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี และมีนักท่องเที่ยวมาไทยเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 28% ของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศทั้งหมดปีละเกือบ 40 ล้านคน นอกจากนี้ ชาวจีนเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในระยะหลังอีกด้วย



    ในส่วนของภาคการส่งออก หากปัจจัยที่กระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวจีน ยังมีอยู่ต่อไป ยอด retail sales ในจีน ก็มีโอกาสที่จะชะลอตัวลงเพิ่มเติม โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย ทั้งนี้ สินค้าฟุ่มเฟือยที่ไทยส่งออกไปจีนส่วนใหญ่ คือ สินค้าในกลุ่มเครื่องสำอางและอัญมณี ส่วนยอดขายรถยนต์ก็มีความเสี่ยงที่จะหดตัว ต่อไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในสินค้าที่เกี่ยวข้อง อาทิ ยางรถยนต์ รวมถึงรถยนต์และส่วนประกอบ เป็นต้น นอกจากนี้ สินค้าส่งออกที่เป็นสินค้าขั้นกลางใน supply chain ของ ผู้ผลิตจีน เช่น ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์และแผงวงจร ของใช้ในบ้านและออฟฟิศ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ ก็มีแนวโน้มชะลอตัวต่อไปเช่นกัน



    สำหรับการท่องเที่ยว จากการสำรวจเรื่องการท่องเที่ยวโดยความร่วมมือกันระหว่าง Nielsen และ Alipay ในปี 2017 ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นที่ที่ให้ความ คุ้มค่ากับนักท่องเที่ยว (excellent value for overseas travel) จึงน่าจะยังดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนได้ อย่างไรก็ดี หากคนจีน ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยลง ก็อาจลดการ ช็อปปิ้งในต่างประเทศได้ ซึ่งจากการสำรวจของ Nielsen และ Alipay ชาวจีน ใช้จ่ายเกี่ยวกับการช็อปปิ้งมากถึง 762 ดอลลาร์ หรือราว 25% ของงบประมาณในการท่องเที่ยว สูงกว่านักท่องเที่ยวชาติอื่นที่ใช้แค่ 486 ดอลลาร์ หรือ 15% โดยชาวจีนนิยมการซื้อของในร้าน duty-free เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะใน ประเทศไทย ทั้งนี้ สินค้าที่คนจีนนิยมซื้อ ได้แก่ สินค้าเกี่ยวกับความงามและการดูแล ผิวพรรณ สินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น และของฝากทั่วไป ตามลำดับ



    ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในที่ที่ชาวจีนนิยมซื้อบ้านในต่างประเทศ จากรายงานของ FT Confidential Research ชาวจีนนิยมซื้อที่ราคาประมาณ 1 ล้านหยวน หรือราว 5 ล้านบาท อยู่ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และชลบุรี ตามลำดับ ซึ่งความเชื่อมั่นที่ลดลง ย่อมน่าจะส่งผลให้ชาวจีนชะลอการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ความเสี่ยงนี้เป็นประเด็นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญเช่นกัน โดยมีการเปิดเผยข้อมูลว่าในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2018 ที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยพึ่งพาอุปสงค์จากต่างชาติถึง 31% หรือเป็นมูลค่าการซื้อขายเกือบ 7 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์คงต้องปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับอุปสงค์จากต่างชาติที่อาจชะลอลงได้



    ความท้าทายทางเศรษฐกิจที่จีน กำลังเผชิญได้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและ กำลังซื้อของชาวจีน ซึ่งเป็นหนึ่งใน ประเด็นที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้อง ติดตามอย่างใกล้ชิดในปี 2019 เพื่อให้ สามารถปรับเปลี่ยนแผนการตลาดและ การลงทุนได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ดี ประเทศจีนไม่ใช่ประเทศเดียวที่เศรษฐกิจ ที่ชะลอตัวลงหลายฝ่ายประเมินว่าประเทศใหญ่อื่น ๆ ทั่วโลกก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน



    ดังนั้น ด้วยความไม่แน่นอนที่เพิ่มมากขึ้น ผู้เขียนมองว่าการบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะด้านสภาพคล่อง ควรเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญมากขึ้นเป็นพิเศษในปีนี้


    คอลัมน์ ช่วยกันคิด: โดย ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ

    Global Business Development and Strategy

    ธนาคารกรุงไทย


    Source: ประชาชาติธุรกิจ
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_8831.JPG
    (Feb 3) พิษศึกการค้า'สหรัฐ-จีน' '395บริษัท'ขาดทุนหนัก: บริษัทจีนจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้น 395 แห่ง จ่อขาดทุนสุทธิมากสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 61 ผลพวงจากการทำสงครามการค้า ขณะ"ทรัมป์"รับปากปธ.ฟ็อกซ์คอนน์ สหรัฐจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีนเร็วๆนี้ ด้านบริษัทจีนเซ็นสัญญาซื้อถั่วเหลือง 1 ล้านตัน หลังการเจรจาการค้าสองฝ่ายคืบหน้า



    การทำสงครามการค้าที่ยืดเยื้อยาวนานระหว่างสหรัฐและจีน ปรากฏผลชัดเจนกับบริษัทจีนจำนวนมากที่รายได้ทรุดลงอย่างหนัก แบกรับต้นทุนดำเนินธุรกิจสูงขึ้น และต้องเร่งระบายสินค้าคงคลัง



    ล่าสุด วินด์ บริษัทรวบรวมข้อมูลทางธุรกิจระบุว่า บริษัทเอกชนของจีนจำนวน 395 แห่งที่จดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้นคาดการณ์ว่าปี2561 เป็นปีที่บริษัทประสบภาวะขาดทุนสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถือเป็นการขาดทุนรายปีมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 และเมื่อรวมกันแล้วจะมีมูลค่าระหว่าง289,000 ล้านหยวน และ 335,000 ล้านหยวน เทียบกับปีก่อนหน้านี้ ที่มีบริษัท 224 แห่งประสบภาวะขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 125,000 ล้านหยวน



    ทั้งนี้ บริษัทจีนประสบปัญหาหลายด้านทั้งรายได้ทรุดลง อย่างมาก แบกรับต้นทุนในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้นและต้องเร่งระบายสินค้าคงคลังและขายสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่ออกไป เพื่อเสริมสภาพคล่อง ที่สำคัญกระแสการกว้านซื้อกิจการที่เคยเฟื่องฟูและยุติลงในช่วงกลางปี 2558 เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่สำหรับบริษัทจีน



    "บริษัทจีนจำนวนมากเสียเงินซื้อกิจการเป้าหมายในราคาที่สูงเกินจริงในยุคที่กระแสการกว้านซื้อกิจการกำลัง มาแรง และถึงตอนนี้มูลค่าสินทรัพย์เหล่านั้นลดลงไปมาก จึงทำให้บริษัทจีน ขาดทุนกับการขายทิ้งสินทรัพย์เหล่านี้ ด้วย" เติ้ง เหวินหยวน นักวิเคราะห์จากซูโชว์ ซิเคียวริตีส์ โค กล่าว



    บรรดานักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่า เหตุผลที่ทำให้บริษัทจีนเกือบ400 แห่งคาดการณ์ว่าจะขาดทุนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์เพราะภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว ความตึงเครียดทางการค้า ระหว่างสหรัฐและจีน



    จีนซื้อถั่วเหลืองสหรัฐ1ล้านตัน



    บริษัทจีนสั่งซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐในปริมาณขั้นต่ำ 1 ล้านตัน เมื่อวันศุกร์ (1ก.พ.) หลังเจรจาของคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูง เพื่อผ่าทางตันกรณีพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีความคืบหน้า นอกจากนี้ จีน ยังให้คำมั่นว่าจะสั่งซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐเพิ่มอีก ซึ่งการลงนามในคำสั่งซื้อถั่วเหลือง จากสหรัฐครั้งนี้มีกำหนดส่งมอบในเดือนเม.ย.และเดือนก.ค.



    คำสั่งซื้อถั่วเหลืองครั้งนี้ เกิดขึ้น หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐได้หารือกับนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีนและที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ทำเนียบขาว เมื่อวันพฤหัสบดี (31ม.ค.)ที่ผ่านมา โดยนายหลิว ได้มอบจดหมายจากผู้นำจีนให้แก่นายทรัมป์ ซึ่งทำเนียบขาวเปิดเผยเนื้อหาในเวลาต่อมาว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศอยู่ในช่วงเวลาสำคัญและรัฐบาลปักกิ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการให้เกียรติกันและกันจากสหรัฐ



    นายทรัมป์ กล่าวว่า เขาหวังว่าจะได้มีโอกาสพบกับผู้นำจีนก่อนที่ข้อตกลงสงบศึกจะครบกำหนด 90 วัน ภายในวันที่ 1 มี.ค. นี้ แม้นายหลิว ไม่ได้แสดงท่าทีต่อคำกล่าวของผู้นำสหรัฐ แต่นายโรเบิร์ต ไลธิเซอร์ ผู้แทนเจรจาการค้าของรัฐบาลวอชิงตัน และนายสตีเว่น มนูชิน รมว.กระทรวงคลัง สหรัฐจะเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งช่วงต้นเดือนนี้ จากนั้นทรัมป์ กล่าวว่า รัฐบาลปักกิ่งจะกลับมารับซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐในปริมาณ5 ล้านตันต่อวัน



    สหรัฐจ่อยุติสงครามการค้ากับจีน



    นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ กล่าวว่า หากจีนมีข้อเสนอทางการค้าที่เหมาะสมให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็มีโอกาส ที่รัฐบาลสหรัฐจะยกเลิกกำแพงภาษีทุกอย่างให้กับจีน พร้อมทั้งแสดงความหวังด้วยว่าจะมีความคืบหน้าในการหารือร่วมกันระหว่างผู้นำสหรัฐและจีนเกี่ยวกับประเด็นการค้า ซึ่งการหารือครั้งล่าสุดระหว่างสองประเทศ มีขึ้นในขณะที่เหลือเวลาอีกราว 1 เดือน ที่ทั้งสองฝ่ายจะสามารถหาทางออกเรื่องความขัดแย้งทางการค้าร่วมกัน ตามที่ปธน.ทรัมป์ และ ปธน.สี จิ้นผิง ตกลงกันไว้ระหว่างการประชุมจี20 ที่ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อปลายปีที่แล้ว ก่อนที่สหรัฐจะใช้นโยบายทางภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์



    "ทรัมป์"ยันใกล้บรรลุข้อตกลงการค้า



    นายเทอรี กั๊วะ ประธานกลุ่มบริษัท ฟ็อกซ์คอนน์ เทคโนโลยี เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐทางโทรศัพท์ และประธานาธิบดียืนยันว่ารัฐบาลจีนและสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันในเร็วๆ วันนี้



    "ท่านประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยืนยันกับผมทางโทรศัพท์ว่าสหรัฐและจีนจะบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันในเร็ววันนี้ และผมเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้าง และไม่ว่าผลของสงครามการค้าจะออกมาในรูปแบบใด ตลาดตะวันตกยังคงมีสหรัฐเป็นผู้นำ และตลาดเอเชีย ยังคงมีจีนเป็นผู้นำ ในฐานะที่จีนมีประชากรมากถึง 1.4 พันล้านคน" นายกั๊วะ กล่าวและว่า ถือเป็นเรื่องโชคดีที่ฟ็อกซ์คอนน์มีการลงทุนในทั้ง2 ประเทศ



    บริษัท ฟ็อกซ์คอนน์ เทคโนโลยี ได้ปรับเปลี่ยนแผนการก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่ในรัฐวิสคอนซิน สหรัฐ ให้กลายเป็นศูนย์วิจัยขนาดใหญ่แทน แต่ยังคงตั้งเป้าว่าจะจ้างงานที่โรงงานดังกล่าวจำนวน 13,000 คนตามแผนเดิม



    ฟ็อกซ์คอนน์ เป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้แก่หลายบริษัท รวมทั้งแอ๊ปเปิ้ล โดยบริษัทระบุว่า สภาพแวดล้อมของตลาดโลกทำให้ทางบริษัทต้องปรับเปลี่ยนแผนดังกล่าว จากเดิมที่ประกาศไว้เมื่อ 2 ปีก่อน ว่าจะก่อสร้างโรงงานด้วยเงินลงทุน 10,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทรัมป์ กล่าวยกย่องว่าเปรียบเสมือนการเกิดใหม่ของ ภาคอุตสาหกรรมในสหรัฐ และรัฐบาลรัฐวิสคอนซินได้เสนอผลประโยชน์จูงใจมูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการก่อสร้างโรงงานดังกล่าว



    ที่ผ่านมาประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ)ของฟ็อกซ์คอนน์ เคยกล่าวว่าจะย้ายโรงงานผลิตไปสหรัฐมา หลายปีแล้ว เมื่อปี 2556 ฟ็อกซ์คอนน์ ประกาศแผนที่จะสร้างโรงงานในรัฐเพนซิลเวเนีย แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งยังมีแผนที่จะสร้างโรงงานในรัฐโอไฮโอและมิชิแกนด้วยแต่สุดท้ายก็มาสร้างศูนย์วิจัยในรัฐวิสคอนซิน


    Source: กรุงเทพธุรกิจ


    เพิ่มเติม

    - Chinese markets’ 2018 performance was their worst in a decade: https://www.cnbc.com/2018/12/31/china-markets-2018-performance-was-worst-in-a-decade.html
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มูฮัมหมัดคาร ฮารุดีน

    IMG_8832.JPG
    เผยแผนการปิตุฆาตของ บินซาลมาน


    -=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-


    อำนาจไม่เข้าใครออกใคร Mujtahid เปิดเผยจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และเชื่อมโยงกันอย่างดีกับพระราชวงศ์เปิดเผยว่า บินซาลมาน สั่งให้แพทย์ตรวจสอบสภาพสุขภาพของกษัตริย์อีกครั้งเพื่อวางแผนเร่งเวลาความเร็วในความตายของกษัตริย์ให้เร็วขึ้น


    " บินซาลมาน ปรนเปรอทุกสิ่งทุกอย่างให้พ่อของ ทั้งการพนั้น ของมึนเมา ยาเสพติด และสั่งให้ทีมแพทย์เพิ่มขนาดของยาให้มากขึ้น เพื่อให้เขาสามารถขึ้นสู่บัลลังก์หลังจากพ่อของเขาตายเพราะยาเกินขนาด" Mujtahid เขียน หน้าทวิตเตอร์ของเขาในวันจันทร์


    "บินซาลมานตั้งใจที่จะปฏิบัติต่อพ่อของเขาในลักษณะเดียวกับที่เคยทำ กับอดีตเจ้าชายมงกุฎราชกุมาร และโมฮาเหม็ดบินเนย์ลูกพี่ลูกน้องของเขา" สุลต่าน al-Abdoli al-Qamedi กล่าว


    เขาเสริมอีกว่ากษัตริย์ซัลมานเริ่มอ่อนแอและไม่สามารถต่อต้านแผนการของลูกชาย ที่เพื่อจะควบคุมพระราชวังและเปลี่ยนทหารยามเก่าที่จงรักภัคดี


    “ บินซาลมานจะไม่รอให้พ่อของเขาโดนบังคับลาออก ซึ่งจะทำให้เขาหมดอำนาจไปด้วย เขาจึงเร่งปิตุฆาตก่อนเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เพื่อเขาจะขึ้นสู่อำนาจอย่างเต็มที่ ” อัล - คาเมดีกล่าว


    BY>>>>>Giant Khan<<<<<


    http://en.farsnews.com/newstext.aspx?nn=13971115000845
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Watchers


    #สภาพอากาศโลก

    เมื่อ 04/02/19

    สภาพทะเลสาบ ที่ Boston หิมะไม่ตกแต่อากาศหนาว น้ำในทะเลสาบเป็นน้ำแข็ง คนมาเล่นฮอกกี้ ไอซ์สเก็ต และเจาะรูตกปลากันเยอะ

    ขอบคุณภาพจาก :mad: Starryyy0123

    #Watchers


     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Wudhichai Maitreesophone


    วันนี้มีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ ระหว่างชาติอาหรับ กับชาติยุโรป ที่กรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยม เรื่องซีเรีย หลังการประชุม นาย Adel Al-Jubeir รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดิอาระเบีย ได้ให้สัมภาษณ์ Al-Arabiya TV ว่า ซาอุดิอาระเบีย หวังว่าจะได้เห็นผลลัพธ์ในการรักษาความเป็นอิสระภาพของซีเรีย และซาอุดิอาระเบียจะร่วมมือกับชาติอาหรับ เพื่อถอนกองกำลังของต่างชาติออกจากซีเรีย "เราจะสนับสนุนชาติอาหรับในเรื่องนี้ และมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 2254"


    การสงครามในซีเรีย การดำเนินการด้านการทูตของรัสเซีย เพื่อช่วยซีเรีย การรุกรบของรัฐบาลซีเรียต่อผู้ก่อการร้ายในเครือของซอุดิอาระเบีย สอดคล้องกับการประชุมนี้ ผู้บริหารประเทศต้องทำความเข้าใจเรื่องสงครามให้ดี เขาไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตา ยิง ยิง กันอย่างเดียว มีการดำเนินการด้านการทูตก่อน รัสเซีย-ตุรกี เจรจาตกลงกันในเบื้องต้นว่า ตุรกีจะให้ผู้ก่อการร้ายในเครือ ช่วยรัฐบาลซีเรียทางอ้อม เพื่อกำจัดผู้ก่อการร้าย Jihadism ในเครือของซาอุดิอาระเบีย ในเมือง Idlib ทั้งหมด และก่อนการประชุมนี้ 1 วัน กองทัพรัฐบาลซีเรียบุกเข้าใส่ที่ตั้งผู้ก่อการร้าย Jihadism ในเครือของซาอุดิอาระเบีย แบบชนิดไม่ให้เหลือซาก เป็นการกดดันไปถึงการประชุมให้ซาอุดิอาระเบียต้องยอมรับต่อที่ประชุมว่าจะดำเนินการตามมติของ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 2254 ซึ่งเป็นชัยชนะของ ประธานาธิบดี บาซาร์ อัล อัสซาด อย่างขาวสะอาด จะบริหารประเทศ ต้องเรียนรู้เรื่องนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ อีก 2-3 วัน การรุกรบของทหารรัฐบาลซีเรียคงจะหยุด เพราะเป้าหมายด้านการทูตชนะไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะเอาชีวิตทหารไปเสี่ยงอีก


     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจนจิรา จันทรเสนา


    กรณี "ฮาคีม" นักฟุตบอลชาว"บาห์เรน" ดูเหมือนจะเป็นความผิดพลาดทางธุรการของอินเตอร์โพล ที่ไม่"ปลดหมายแดง" จนเขาเดินทางเข้าประเทศอื่นไปแล้วและโดนจับตามหมายแดงของอินเตอร์โพล พอเขาถูกจับแล้วค่อยมาปลด แต่มันก็ไม่ทันแล้ว บาห์เรน ก็รู้เรื่องนี้แต่ก็กัดไม่ยอมปล่อย แต่บาห์เรน ไม่ค่อยจะกล้ายุ่งกับออสเตรเลีย


    ตลอดหลายปีที่เขาอาศัย และเล่นบอลอาชีพในลีกของออสเตรเลีย บาห์เรนไม่แตะ แต่พอฮาคิมมาเที่ยวเมืองไทยกับครอบครัว บาห์เรนยื่นคำร้องให้ไทยกักตัว และส่งผู้ร้ายข้ามแดนในทันที


    เรื่องนี้หากไม่มีคนแจ้งมา เจ้าหน้าที่ไทยจะรู้มั้ยว่าใครเดินทางมาเมื่อไหร่ ซึ่งทางออสเตรเลียก็โทษตำรวจตัวเอง ทำผิดพลาดได้ไง สรุปว่าตอนนี้ไทยส่งตัวไปไหนก็โดนโจมตีทั้งนั้นค่ะ


    ตำรวจไทยไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างเหรอ?บัตร HCR จะมีหมายจับได้ไง ตกลงว่าเกิดผิดพลาดทางเทคนิคหรือ? งานนี้ไทยรับไปเต็มๆ คือถ้า IOC และ FIFA จะลงโทษไทยจริงๆ ถือว่าเป็นคราวเคราะห์ พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก


    สรุปละกัน ..หมายจับถูกยกเลิกแล้ว แต่ไทยเลือกข้างที่จะยืนตามคำร้องขอส่งส่งผู้ร้ายข้ามแดนของบาห์เรน


     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Michael DiFato

    IMG_8834.JPG
    ? ช่วงเวลา 05:20 - 06:20 น. (ไทย)

    22:20 - 23:20 UTC ...


    ?

    22:20 - 23:20 UTC...

    ~ 8:20 - 9:20pm NYDT.


     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    เหตุการณ์ Magnetosphere ครั้วที่ 31 และ 32 ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2562
    ลูกบอลพลังงานขนาดใหญ่ออกมา อยู่ด้านหลังของโลก

    การโก่งของแม่เหล็ก

    ความเร็วลมเกิน 1,000 km / s เวลา 05:51:05 UTC เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2562 (22:51:05 UTC เมื่อ 2/3/2019) ความเร็วที่ 1131 km / s
    ระยะเวลา 12 นาที

    ความเร็วลมเกิน 1,000 km / s เวลา 07:27:05 UTC เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2562 (00:27:05 UTC เมื่อ 2/4/2019) ความเร็วที่ 1032 km / s
    ระยะเวลา 12 นาที
    FB_IMG_1549336106119.jpg FB_IMG_1549336108946.jpg FB_IMG_1549336111854.jpg FB_IMG_1549336114574.jpg FB_IMG_1549336117304.jpg FB_IMG_1549336122679.jpg
    Magnetosphere Events 31 and 32 since January 5, 2019.
    Huge balls of energy come out behind the Earth.
    Magnetopause buckling.

    Broke 1000 km/s at 22:51:05 UTC on 2/3/2019 at 1131 km/s
    Duration 12 minutes.

    Broke 1000 km/s at 00:27:05 UTC on 2/4/2019 at 1032 km/s
    Duration 12 minutes.

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    ตีพิมพ์ในวารสารดาราศาสตร์ (The Astronomical Journal) เล่มที่ 96. หมายเลข 4 ตุลาคม 1988
    FB_IMG_1549337722021.jpg FB_IMG_1549337724990.jpg FB_IMG_1549337728104.jpg
    ที่ตั้งของดาวเคราะห์ X
    DR R.S. HARRINGTON

    Published in The Astronomical Journal.
    Volume 96. Number 4. October 1988.

    THE LOCATION OF PLANET X
    DR. R.S. HARRINGTON.

    http://articles.adsabs.harvard.edu/...GH&whole_paper=YES&type=PRINTER&filetype=.pdf
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทรัมป์เซ็ง! วุฒิสภาหนุนแปรญัตติคัดค้านแผนถอนทหารออกจาก ‘ซีเรีย-อัฟกานิสถาน’
    เผยแพร่: 5 ก.พ. 2562 09:48 ปรับปรุง: 5 ก.พ. 2562 10:07 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001282901.jpg

    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ

    รอยเตอร์ - วุฒิสภาสหรัฐฯ โหวตสนับสนุนคำแปรญัตติคัดค้านแผนการถอนทหารออกจากซีเรียและอัฟกานิสถานอย่างปัจจุบันทันด่วนของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวานนี้ (4 ก.พ.)

    คำแปรญัตติซึ่งถูกเสนอโดย มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำ ส.ว.รีพับลิกันเสียงข้างมากในวุฒิสภา ได้รับการโหวตสนับสนุน 70-26 เสียง โดยมีใจความสำคัญว่า วุฒิสภาเห็นว่ากลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ทั้งในอัฟกานิสถานและซีเรียยังคงเป็น “ภัยคุกคามร้ายแรง” ต่อสหรัฐอเมริกา

    คำแปรญัตตินี้ยอมรับว่า ปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) และอัลกออิดะห์ในซีเรียและอัฟกานิสถานคืบหน้าไปมาก ทว่า“การถอนทหารอย่างเร่งรีบ” อาจจะกระทบต่อความมั่นคงของภูมิภาคดังกล่าว และก่อให้เกิดสุญญากาศที่อิหร่านหรือรัสเซียอาจเข้าแทรกแซงได้

    วุฒิสภาเรียกร้องให้รัฐบาล ทรัมป์ แสดงหลักฐานรับรองว่ากลุ่มติดอาวุธเหล่านี้ “พ่ายแพ้อย่างถาวร” ก่อนจะสั่งถอนทหารอเมริกันส่วนใหญ่ออกจากซีเรียและอัฟกานิสถาน

    แมคคอนเนลล์ ชี้แจงก่อนที่วุฒิสภาจะทำการโหวตว่า ตนเสนอคำแปรญัตตินี้ขึ้นมาเพื่อให้วุฒิสภา “สามารถกล่าวอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา” เกี่ยวกับความสำคัญของภารกิจในอัฟกานิสถานและซีเรีย

    คำแปรญัตตินี้จะถูกนำไปรวมกับกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงของอเมริกาในตะวันออกกลาง (America's Security in the Middle East) ซึ่งกำลังเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาคองเกรส

    วุฒิสภายังลงมติผ่านร่างกฎหมายทั้งฉบับด้วยคะแนน 72-24 เสียงในการโหวตขั้นต้น (procedural vote) เมื่อวานนี้ (4) หลังจากที่ได้รับรองคำแปรญัตติแล้ว

    อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้ยังต้องถูกส่งไปยังสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคเดโมแครตกุมเสียงข้างมาก และคาดว่าจะถูกแก้ไขอีกพอสมควรในบทบัญญัติที่ว่าด้วยการตอบโต้ขบวนการ “บอยค็อตต์, ถอนทุน และคว่ำบาตร” (Boycott, Divest and Sanction) ซึ่งมุ่งลงโทษอิสราเอลจากการกดขี่ข่มเหงชาวปาเลสไตน์

    นับเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 เดือนที่วุฒิสภาสหรัฐฯ โหวตสนับสนุนมาตรการที่ตรงกันข้ามกับนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ ทว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการออกกฎหมายที่จะบังคับให้ ทรัมป์ ปรับเปลี่ยนนโยบายได้จริง

    สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนไม่เห็นด้วยที่ ทรัมป์ สรุปเอาเองว่ากลุ่มไอเอส “ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป” เพื่อที่จะถอนทหาร 2,000 นายออกจากซีเรีย

    https://m.mgronline.com/around/detail/9620000012431
     

แชร์หน้านี้

Loading...