ติดตามกิจกรรมพระกรรมฐาน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย มุ่งเต็มใจ, 2 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    พวกเราจะพาท่านนั่งรถปิคอัพทั้งคิวล่างและคิวบนชมวิวทิวทัศน์ในป่าเขาและเดินขึ้นเขาคิชฌกูฏ เพื่อไปกราบสักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ในงานนมัสการปิดทองรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ เริ่มงานวันที่ ๒๔ ม.ค.ถึง ๒๔ มี.ค.๒๕๕๕

    คุณธนู บ้านเรือนไทย และน้องเนมประธานชมรมพุทธกัลยาณรวมทั้งน้องๆ จะพาท่านนั่งรถและเดินขึ้นเขาคิชฌกูฏ เพื่อไปกราบสักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้ประทานจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) โดยทางเราได้เป็นผู้จัดนิทรรศการกราบสักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ถวายรูปเหมือนหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสพระอริยะสงฆ์๙องค์ ถวายแผ่นยันต์พระอริยะสงฆ์ ทอง๒๔k (ขนาด A4 A3 A2) ปั๊มนูน และเคลือบ spot uv ไม่ลอกไม่ดำจำนำไม่ได้ กระดาษหนาอย่างดี มี2แบบ ขนาดA4 จำนวน 10,000 แผ่น ในงานนมัสการปิดทองรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ เริ่มงานตั้งแต่วันที่ ๒๔ ม.ค.-๒๔ มี.ค.๒๕๕๕

    ผมไปแต่ตัวล้วนๆ ไม่ได้นำกล้องส่วนตัวไปด้วย ความจริงแล้วผมถูกเจ้าน้องเนมประธานชมรมพุทธกัลยาณ ร่วมมือกับน้องแหม่มที่เป็นพี่สาวของน้องเนม และเฮียซ้งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและส่วนใจของน้องแหม่มลักพาตัวไปน่ะครับ (มันทำงานกันเป็นทีม) พอตอนขึ้นจะเขาคิชฌกูฏ ถูกเอาใจว่าพี่ธนูจะนั่งเสลียงไหมครับ...เดี๋ยวน้องจัดให้...ดูถูกเราเสียแล้ว ผมเลยบอกไปว่าไม่ต้อง...พี่เดินเองได้ แต่ตอนขึ้นเกือบถึงบนเขาเราดันหน้ามืดเสียได้...เสียฟอร์มหมด ตั้งแต่เช้ายันบ่ายแก่ๆ ดื่มกาแฟร้อนไปถ้วยเดียวเอง ข้าวก็ยังไม่ได้กิน แต่จริงๆ แล้วเจ้าน้องกลุ่มนี้ (ที่ลักพาตัวผม) มันเอาใจพี่มันน่าดูเลยครับ เจ้าน้องเนมมันบอกว่าพี่ธนูไม่ต้องทำอะไรเลย อยากได้อะไรเดี๋ยวจัดให้ทุกอย่าง มันนึกว่าพี่มันเป็นง้อยหรือไงหว่า ก่อนขึ้นรถที่กรุงเทพฯ น้องเนมมันบอกว่าอุตส่าห์ออกรถตู้ใหม่ป้ายแดงมาให้โดยเฉพาะ เห็นพี่ธนูบอกว่าเดินทางไกลเกิน3ชั่วโมงไม่ชอบหนั่งรถเบนซ์ซีคลาสของน้องเนม...มันอึดอัด ถึงเบนซ์คันจะใหญ่แค่ไหนแต่ก็ยังเล็กกว่ารถตู้อยู่ดีน่ะครับ

    รูปภาพที่นำเสนอทั้งหมดนี้ได้จากกล้อง3ตัวของน้องๆ ภาพอาจจะไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควรอาจจะต่างช่วงต่างเวลาที่ถ่ายภาพกันบ้าง รูปภาพเกือบ100ภาพหายไป เพราะมีการสลับการ์ดระหว่างกล้องอยู่หลายครั้งแล้วเผลอลบทิ้งไป ภาพจากในรถข้างคนขับเป็นการถ่ายภาพของผมเอง จะมีของน้องๆ บางช่วงบางเวลาบางภาพเอามาเสริมให้ได้มุมมองที่มากขึ้นครับ

    หมายเหตุ : รูปภาพทั้งหมด (เดี๋ยวโพสต์อีก) ชมเพื่อความบันเทิงภายในครอบครัวเท่านั้น อย่าไปใส่ใจอะไรมากนัก เดี๋ยวจะเป็นโรคประสาทเพราะพวกเรานะครับ ที่มีคำว่ามันอย่างโน้นมันอย่างนี้ก็เพราะว่าเราสนิทกันพอสมควร พี่เอ็นดูน้องและน้องรักพี่ก็ต้องมีคำว่ามันเป็นธรรดาน่ะครับ หากผิดพลาดประการใด กราบขออภัยแทนน้องๆ ทั้งหมดด้วยนะครับ

    รูปภาพเต็มๆ และคำบรรยายต่างๆ อยู่ในกระทู้นี้ทั้งหมดครับ



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2012
  2. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    [​IMG]
    หลวงปู่หมุน จิตสีโล ปูชนียบุคล แห่งวัดป่าหนองหล่ม

     
  3. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    ในหลวงสนทนาธรรมกับหลวงพ่อฤาษี

    ปรารถนาพระโพธิญาณ

    ท่านก็ถามถึงธรรมมะไปหลายๆอย่าง เรียกว่าหลายอย่างน่ะละเอียดมาก แล้วก็ย้อนกันไปย้อนกันมา แต่ละจุดนี่ท่านถามละเอียดแบบนักเทศก์ก็ไม่เคยถามแบบนั้น ถามถึงเรื่องฌาน ถามถึงเรื่องอารมณ์วิปัสสนาญาณ
    ไปๆมาๆท่านก็... ท่านพูดมาคำ

    บอกว่า “เขาพูดกันว่าผมปรารถนาพุทธภูมิ เป็นความจริงไหมครับ...?”

    ก็เลยถวายพระพรบอกว่า

    “เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ปรารถนามานาน เท่าที่ทราบพระองค์ปรารถนามานาน แต่เวลานี้บารมีก็เป็นปรมัตถบารมีแล้ว ก็เหลืออีกเพียง ๕ ชาติ ก็จะไปจบกิจ”

    นั่งเฉย...นั่งเฉยไปประเดี๋ยว

    บอก “โอ้โฮ! ต้อง ๕ ชาติหรือนี่” ชักหนักใจ!

    ท่านเลยบอกว่า “เอ๊ะ! นี่ผมนึกว่าชาติเดียวนี้ก็เต็มทีแล้วนะครับ ชาตินี้ชาติเดียวก็เต็มที”

    หมอเขาดูผม ผมให้หมอดู หมอเขาพยากรณ์บอกว่าจะต้องเหน็ดเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา และต่อไป ๓-๔ ปี บ้านเมืองก็จะอยู่ในเกณฑ์สงบเรียบร้อย ก็เป็นการดี

    ผมก็เลยถามเขาว่าถ้าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยแล้วก็ได้อยู่เป็นสุขเสียที ไม่เหน็ดเหนื่อยแล้วใช่ไหม หมอเขาตอบว่าไม่ใช่

    ท่านก็เลยถามหมอต่อไปอีกว่า ฉันต้องเหนื่อยจนตายใช่ไหม หมอเขานิ่ง ท่านบอกหมอเขานิ่ง

    แล้วท่านก็เลยหันมาถามว่า หลวงพ่อเห็นว่ายังไง ก็เลยตอบไปว่า ถ้าหมอเขาไม่ตอบอาตมาก็ตอบ ตอบว่าเหนื่อยยันตาย ท่านก็เลยหัวเราะ ก็เหนื่อยยันตาย! แต่วันนี้รู้สึกว่าท่านรื่นเริงมาก เห็นพวกชาววังเขาบอกว่า ตั้งแต่เสด็จไปภูพิงค์ฯนี่ท่านไม่เคยยิ้มกับใครเลย รู้สึกว่าพระพักตร์ท่านจะเครียดอยู่ตลอดเวลา แต่วันนั้นคุยกันท่านยิ้มอยู่ตลอดเวลา บางทีก็หัวเราะ ก็เล่นมวยวัดกันแล้วนี้น่ะ ท่านหัวเราะ ท่านก็เลยถามต่อ
    บอกว่า “ถ้าอย่างผมนี่...”

    แต่ความจริงเคยถามมาแล้วตั้งแต่ที่ดอยอ่างขาง
    “ถ้าทำไปนี่จะสำเร็จไหม...?”


    “ที่พระองค์ปฏิบัติมานี่มันเลยแล้ว ไม่ใช่ไม่สำเร็จ พุทธภูมินี่ต้องบำเพ็ญบารมีกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเป็นวิริยาธิกะ วิริยาธิกะนี่ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่บำเพ็ญบารมีมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว ไอ้แสนกัปอาจจะยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ นี่หากว่าถ้าปรารถนาเป็นสาวกภูมิเฉยๆ ไม่ใช่อัครสาวก ก็บำเพ็ญบารมีเพียง ๑ อสงไขยกำไรแสนกัป อัครสาวกก็แค่ ๒ อสงไขยกำไรแสนกัป ทีนี้พระองค์ว่ามาตั้ง ๑๖ อสงไขยแล้ว ถ้าจะเป็นอรหันต์ชาตินี้ก็ควรจะได้ ถ้ากลับ”

    ท่านยิ้ม ท่านบอกว่า

    “ผมเบื่อเต็มที ไอ้โลกนี้มันเต็มไปด้วยความน่าเบื่อ แต่ไอ้ที่ทำไปนี่ทำไปด้วยความเมตตา”

    ความจริงท่านมีเมตตาสูงนะ...
    ท่านก็เลยถามถึงเรื่องการปฏิบัติ ตั้งแต่พระโสดาบันขั้นต้นถึงเอกพิชี แล้วก็ไปสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ท่านถามตามลำดับ ก็เลยถวายพระพรไปตามลำดับ แล้วท่านก็ไล่ไปไล่มา บอกคนที่จะเป็นอรหันต์นี่ ต้องเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ตามลำดับหรือเปล่า

    ก็เลยบอกว่า ตามที่อ่านในพระสูตรหรือในชาติปัจจุบันนี่ เท่าที่เคยพบมาหลายองค์ บางองค์ก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เมื่อไร เพราะว่าอารมณ์จิตมีความแรง มารู้ตัวกันจริงๆ เอาเมื่อจิตเข้าถึงอรหัตตผล นั่นก็หมายความจิตมันตัดกิเลสเวลาเดียวกัน ก็หมายความถึงว่าเรานั่งสมาธิเพียงแค่ ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที นี่จิตมันตัดเร็ว ตัดจนกระทั่งตัวเองไม่รู้ว่าเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เมื่อไร มันเข้าไปจนอรหันต์ทันที อย่างนี้ในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีเยอะ หลังมาก็มีเยอะ ในสมัยที่อาตมาบวชแล้วก็มีเยอะ พระที่ได้ระดับนี้ก็ไม่รู้ตัว





    ฆราวาสเป็นอรหันต์

    ท่านถามว่า “อย่างท่านหญิงวิภาวดีนี่ เรียกว่าพระอรหันต์ได้ไหม...?”

    ก็เลยถวายพระพรบอกว่า

    “พระสาวกไม่มีสิทธิ์พยากรณ์ พระที่จะพยากรณ์ได้ มีสิทธิ์พยากรณ์ก็คือพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว เพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะพยากรณ์ใครว่าเป็นพระอรหันต์หรือไม่ แต่ว่าพระสาวกรู้ได้ เพราะตัวเองเป็นถึงอรหันต์ก็รู้ว่าคนอื่นเป็นอรหันต์ได้ แต่ว่าไม่มีสิทธิ์พยากรณ์”
    แล้วท่านก็เลยถามว่า “จะเรียกว่าอะไรดี”

    ก็เลยบอกท่านว่า

    “เรียกว่า คนมีอารมณ์เต็มถึงพระนิพพาน”

    ท่านก็บอก “เอ๊ะ! ก็เต็มพระนิพพานก็เป็นอรหันต์”

    บอกว่า “นี่เป็นเรื่องของพระองค์จะทรงทราบเอาเอง” (หัวเราะ) ไอ้เราไม่มีสิทธิ์นี่ คำว่าอารมณ์เต็มพระนิพพานนี่จะเป็นอะไรให้รู้ไป ก็เลยกราบทูลให้

    ทรงทราบ บอกว่า
    “ถ้าฆราวาสเป็นพระอรหันต์ก็คือต้องบวชในวันนั้น ถ้าไม่ได้บวชในวันนั้น วันรุ่งขึ้นไม่ทันสิ้นแสงอาทิตย์ตกก็ต้องตาย การตายประเภทนี้เรื่องอื่นมาทำไม่ทัน ก็ต้องตายด้วยอุบัติเหตุ”

    อย่างสมัยพระพุทธเจ้า ก็มีนางยักษิณีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย นี้เขาเรียกว่าตายแล้วไปพระนิพพาน นี่อย่างสมัยนี้ก็ไม่ต้องไปรอนางยักษิณี รถยนต์มีเยอะแยะไป ไปเดินไปเผลอรถยนต์ก็ชนตาย นี้ก็พูดกันถึงเรื่องท่านหญิงวิภาวดี

    ท่านก็เลยบอกว่า “ผมไม่นึกเลย ท่านหญิงวิภาวดีนี่จะมีอารมณ์เข้มข้นแบบนี้”

    แต่ก็รู้เหมือนกันว่าท่านมีกำลังใจเข้มแข็ง และไม่ย่อท้อต่อการงาน และเวลาฝึกพระกรรมฐานของท่านรู้สึกว่าจะน้อยมาก ใช้เวลาจริงๆ เพียง ๘ เดือน ๘ เดือนนี่ก็ไม่ได้มานั่งอยู่กับพวกเรา รับฟังนิดหน่อยท่านก็ไปประพฤติปฏิบัติ

    ก็เลยถามท่านบอกว่า

    “ท่านหญิงวิภาวดีทำความดีมาตั้งแต่เมื่อไหร่...?”

    ท่านบอกว่า

    “สิบปีกว่าที่สงเคราะห์ประชาชนไปนั่นก็ท่านทำ กว่าพระเจ้าแผ่นดินจะช่วย ท่านทำมาถึง ๘ ปี ใช้ทรัพย์ส่วนพระองค์หรือใช้ทรัพย์ของท่านหญิงเอง และต่อมาภายหลังพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงช่วย ท่านแต่งหนังสือเก่ง ท่านแปลหนังสือได้ รายได้จากค่าซื้อลิขสิทธิ์ได้มาหนึ่งแสนสองแสนท่านก็มาใช้ ท่านชายให้ท่านบ้าง ท่านก็มาใช้ การใช้ของท่านสงเคราะห์คนทั้งหมด สงเคราะห์คนจนต่างๆ ให้ประกอบอาชีพจักสานบ้าง ทำทุกอย่างที่เขาทำได้ แกะสลักก็ตาม แล้วท่านก็มาขายให้ มาขายให้เมื่อได้สตางค์ก็ไปให้เขา แล้วเอาทุนทรัพย์นี่ไปสร้างโรงเรียน จ้างครูสอน เอาใช้เป็นส่วนสำหรับตรงนั้นของท่านหญิงเองทำอย่างนี้มา ๑๐ ปีกว่า”

    ก็เลยถามพระองค์ว่า

    “ทำอย่างนี้ถ้าจิตไม่เข้มแข็งทำได้ไหม...?”

    ท่านบอกว่า “ทำไม่ได้”

    “ในเมื่อมีความเข้มแข็งในด้านนี้แล้ว เขาเรียกว่าอะไร..?”

    ถามท่านบ้าง ต่างคนต่างถาม เรามีสิทธิ์ถามเหมือนกันนี่ ใช่ไหม ไม่ใช่มานั่งมีสิทธิ์ถามคนเดียวนะ

    ท่านก็เลยบอกว่า
    “ต้องมีอารมณ์ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔”

    “นี่หมายความว่าพรหมวิหาร ๔ นี่เป็นแกนใหญ่”

    ท่านถาม “แกนใหญ่อะไร...?”

    บอก “ศีลบริสุทธิ์ได้ก็เพราะพรหมวิหาร ๔ สมาธิจะทรงตัวได้ก็เพราะพรหมวิหาร ๔ วิปัสสนาจะทรงได้เพราะพรหมวิหาร ๔ ในเมื่อมีพรหมวิหาร ๔ อารมณ์จิตมันเย็น ไอ้คนที่มีพรหมวิหาร ๔ เป็นปกตินี่ อารมณ์ใจเขาเย็นไม่ร้อน เพราะอะไร เพราะมีความเมตตาความรักใช่ไหม ไอ้ตัวรักไม่ใช่รักในราคะ รักด้วยความปรานี กรุณา มีความสงสาร อารมณ์นี้มันไม่ร้อน มุทิตา ไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นชาวบ้านเขาได้ดีพลอยยินดีด้วย อุเบกขา ถ้าสิ่งใดเป็นกฎธรรมดามันเข้ามาถึงเรา เช่น พ่อตายแม่ตาย ลูกตาย หลานตาย ตัวป่วยไข้ไม่สบายจวนจะตาย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีอารมณ์ไม่หวั่นไหว อันนี้มันก็มีอารมณ์เย็น”

    ก็กราบทูลท่านบอกว่า

    “การรู้ท่านหญิงวิภาวดีทำแบบนี้ ก็เป็นการเจริญพระกรรมฐานมาโดยตรง แต่ไม่รู้ตัวว่าตัวทำ คือไม่เข้าใจว่าเป็นการปฏิบัติพระกรรมฐาน แต่จิตแบบนี้เขาถือว่าทรงฌาณในพรหมวิหาร ๔ เพราะการทรงฌานนี่ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาส่ง ไอ้คนที่นั่งหลับตาส่งมันไม่ใช่คนดี คือมันยังไม่ได้ดี ถ้าดีจริงๆมันต้องจิตทรงอยู่ตลอดวัน จิตเราคุมอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ตลอดวัน เราไม่คิดจะเป็นศัตรูกับใคร เราจะมีความเมตตาปรานีสงสารสงเคราะห์เขา เราไม่อิจฉาริษยาเขา พลอยยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดี และกรรมใดที่เป็นอกุศลกรรมมาสนองเราไม่หนักใจ อย่างนี้ชื่อว่าเราเป็นผู้ทรงฌาณในพรหมวิหาร ๔”

    ท่านก็เลยตรัสบอกว่า

    “ผมก็เคยแนะนำเขาไปยังงั้นเหมือนกัน”

    เคยพูดถึงพระราชินีกับลูกสาวท่าน ท่านหญิงสิรินธร
    “หรือลูกสิรินธรของผมก็เหมือนกัน เขาก็ทำอยู่ทุกวันในด้านเมตตาปรานี ปรารถนาการสงเคราะห์คนอื่น เมื่อคืนเขาต้องการพบหลวงพ่อ ผมจึงให้ฆราวาสเขาไปนิมนต์”

    แหม...คุยกันตอนดึกก็ดีเหมือนกัน

    ถาม “ทำไมถึงต้องการพบตอนดึก...?”

    บอก “เช้าเขาต้องรีบไปเข้าโรงเรียน”

    คือท่านสอนเจ้าฟ้าหญิง ตอนเช้าท่านต้องไปเข้าโรงเรียน ไปถึงมหาวิทยาลัย ๒ โมงเช้า เมื่อท่านต้องไปเข้ามหาวิทยาลัย ๒ โมงเช้าก็อยากจะพบกลางคืน

    ก็เลยบอกว่า “คืออาตมารู้เหมือนกัน ว่าพระองค์จะไปนิมนต์ตอนดึก อาตมาก็เลยรีบนอนซะตอน ๔ ทุ่มครึ่ง”

    ท่านถามว่า “ทำไม เป็นเพราะอะไร...?”

    ก็เลยบอก “ตอนดึกหนักๆ เข้าก็คุยไปคุยมาก็จะหลับคุยกัน หลับคุยกันก็ต้องฝันคุยกัน เพราะทราบอยู่แล้วว่า ถ้ามาก็ถึงสว่าง”

    ท่านก็เลยหัวเราะ ท่านเลยคุยถึงเรื่องการเจริญกรรมฐาน บอก ผมเวลาเมื่อป่วยหมอเขาห้ามออกกำลังกาย ผมก็เอาเทปอันนี้ ไอ้เทปที่ไม่มี ที่ยาวๆ ของท่านล่ะนะ ตอนนั้นท่านขอบันทึกเสียง ผมขออนุญาตบันทึกเสียงครับ บอก เอ้า! อนุญาต บันทึกไปก็ได้คุยกันเยอะ ท่านก็บันทึกเสียงไว้ด้วย

    บอกว่า “เวลาผมเดินๆ ไปรอบๆ ที่อยู่ ผมก็เอาเทปสะพาย แล้วก็คาสเซทของหลวงพ่อใส่ไปด้วย ผมเดินไปผมก็ฟังเรื่อยไป”

    เป็นอันว่าในวังเวลานี้ ทั้งข้าหลวงทั้งพระราชินี ทั้งเจ้าฟ้าหญิงทั้งในหลวง เห็นเขาบอกว่าได้ยินเสียงฉันอยู่เสมอ ถ้าว่างเป็นเปิดฟัง

    ท่านบอกว่า “เมื่อก่อนนี้ผมชอบฟังเพลง เดี๋ยวนี้ผมไม่เอา ฟังธรรมะดีกว่า”
    เปลี่ยนเป็นฟังธรรมะไป ท่านก็ปรารภ บางทีหลวงพ่อบอกว่าไม่รู้ใครมาเอาเทปไปถวาย เทปที่เราสอนๆ กันอยู่นี่ มีคนส่งไปถวาย ท่านฟังหมวดท้าย
    ถามว่า “มหาบพิตรมีเทปเท่าไร...?”

    บอกว่า “เทปของหลวงพ่อมากที่สุด เทปของคนอื่นมีอยู่บ้าง ทั้งหมดเห็นจะมีอยู่ ๑๐๐ คาสเซทได้มั้ง”

    โอ้โฮ! ไม่ใช่ก้อยเลยนะ ถามว่า ร้อยฟังหมด บอกว่า ฟังหมดครับ ท่านบอก ฟังซ้ำๆ ของหลวงพ่อ ถาม ทำไม บอก เข้าใจง่ายดี ท่านมีของหลวงปู่ฝั้น ถวายท่านมา ท่านบอกท่านฟังๆแล้วท่านก็ไม่เข้าใจ หลวงปู่ฝั้นบอกทำจิตให้สบาย ก่อนหน้าที่หลวงปู่ฟั่นท่านตายสักสองเดือน ท่านบอกเพิ่งเข้าใจตอนนั้น ท่านฟังมาตั้งหลายหน คืออารมณ์เข้าถึงในการฟังธรรมปฏิบัตินี่ ถ้าอารมณ์มันไม่ถึง มันฟังไม่รู้เรื่อง

    ก็คุยกันไปสักพักก็พอดีพระราชินีท่านเสด็จ เสด็จมาท่านก็บอกว่า
    “ฉันไม่ค่อยมีเวลาปฏิบัติธรรม เพราะทำไม่ค่อยได้ ได้แต่สวดมนต์”

    “แต่พระราชินีนี่ไม่ใช่เล่นนะ สวดมนต์เป็นชั่วโมงเลย และก็ชอบให้ทาน และก็ชอบฟังพระสูตร ขอหลวงพ่อบันทึกคาสเซทมาให้ฟังได้ไหม”

    บอกว่า “ได้ ไม่เป็นไร”

    ขอพระสูตร ในหลวงขอจริต ๖ จริต ๖ ท่านบอกว่าต้องการยังงี้ จริตละเทป หมายความคาสเซทหนึ่งชั่วโมงนี่สองด้านจริตละหนึ่งเทป เพราะอะไร เพราะว่าเพื่อนๆของท่าน เพื่อนที่ปฏิบัติร่วมกัน ถ้าเขาเห็นว่าเขามีจริตยังงี้ ก็เอาเทปนี่ให้เขาไป ให้เขาไปฟัง ถ้ามีจริตบวกเอาเทปบวกเข้าไป
    ท่านบอกว่า

    “ลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งหมด ผมวินิจฉัยแล้ว เข้าใจว่าเป็นคนที่มีศรัทธาจริตเป็นส่วนใหญ่ เห็นจะเป็นทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านหญิงวิภาวดีนี่ มีศรัทธาจริตอย่างแรงกล้า”

    ทั้งนี้ก็เลยถวายพระพร บอกว่า

    “คนที่มีศรัทธาจริตแรงกล้านี่ หรือหนักไปในศรัทธาจริตนี่ เขาได้กำไร”
    ท่านถามว่า “ได้กำไรยังไง”

    บอก “ตัวนี้บรรลุง่าย เพราะว่าสอนแล้วก็จำ แล้วก็เชื่อ แต่ว่าผลก็มีอยู่ว่า แต่ต้องคนนำไปในทางที่ถูก ถ้านำไปในทางที่ผิด กลุ่มคนประเภทนี้ก็เลยหลงไปเลย พัง! สำหรับท่านหญิงวิภาวดี อาตมาว่าไม่ใช่ศรัทธาจริตอย่างเดียว เพราะเป็นพุทธจริตด้วย”

    ท่านบอกว่า “ใช่...ใช่...”

    เลยบอกท่านว่า
    “อย่างนี้เขาเรียกจริตบวก คือมีกำลังกล้า จริตความจริงมันมีด้วยกัน ๖ อย่าง และว่าท่านหญิงวิภาวดีมีทั้งศรัทธาจริตและก็พุทธจริต และพุทธจริตนี่เป็นคนฉลาด ศรัทธาจริตที่มีขึ้นก็เป็นคนไม่ใช่คนหัวดื้อ ลักษณะคนหัวดื้อนี่มันเป็นพวกโมหะจริตกับวิตกจริต คนพวกนี้เอาดีไม่ได้ ให้สอนจนตายก็เอาดีไม่ได้ เพราะเป็นปทปรมะ บวชอยู่สักกี่พันพรรษาก็ตาม ตายแล้วก็มีหวังลงอเวจี เพราะว่ามีสันดานหยาบไม่รับคำสอน

    นักปฏิบัติก็เหมือนกัน ฆราวาสก็เหมือนกัน ถ้าเป็นโมหะจริตกับวิตกจริต อันนี้ไม่มีทางได้ดี เพราะพวกนี้มีสันดานหยาบ มักจะไม่รู้จักความเลวของตัว คอยจะไปมองดูคนอื่นแต่ตัวไม่ดู นี่เขาเรียกโมหะจริต ไอ้โมหะมันแปลว่าหลง หลงเข้าใจว่าตัวดี แต่ไอ้ที่ทำเลวไม่รู้ ถ้าคนมีอารมณ์ประเภทนี้ก็แสดงว่าเป็นเหยื่อของอเวจีมหานรก ทำไมรู้ไหม ก็มันไม่เอาดีก็ลงอเวจี เพราะรักษาเอาแต่ความชั่วเป็นอาจิณกรรม ได้แต่มองคนอื่นเขาว่าเขาชั่ว

    ไอ้การที่ไปมองคนอื่นว่าชั่วนี่ แต่ความจริงตัวนี่ชั่วมาก ถ้าตัวเองไม่ชั่วล่ะมันไม่มองความชั่วของคนอื่น เพราะการมองและเห็นว่าเขาชั่ว มุ่งจะดูความชั่วมันเป็นคนที่ขาดพรหมวิหาร ๔ มันเป็นความเลวของจิต แต่คนที่เขามีพรหมวิหาร ๔ ประจำใจนี่ เขามองเพื่อนด้วยความเมตตา และกรุณามุทิตาพร้อมๆกันไป เพราะอะไร เพราะถ้าเห็นว่าเพื่อนทำผิด เขาจะเตือนด้วยดีใช่ไหม นี่ต้องวินิจฉัยศัพท์ให้เข้าใจ ก็มีการตักเตือนกันด้วยความหวังดี ไม่ใช่คอยจะจับผิดคิดประทุษร้าย”

    นี่ก็เลยกราบทูลบอก

    “ท่านหญิงวิภาวดีก็ทรงตัวอยู่ได้ดีแบบนี้ เพราะอาศัยที่มีพรหมวิหาร ๔ มา ท่านเวลาปฏิบัติจึงใช้เวลาน้อยที่สุด ที่ ๘ เดือนนี่ ไม่ใช่มานั่งรับฟังทั้ง ๘ เดือน มานั่ง...แต่ไม่ใช่มานั่งรับฟังทุกวัน คือฟังครั้งสองครั้ง อาศัยศรัทธาจริต ศรัทธามีความเชื่อ ฟังแล้วก็เชื่อทันที พอเชื่อแล้วก็อาศัยความฉลาด พุทธจริตนี่เขาเป็นคนฉลาด พอเชื่อแล้วก็เอาไปคิด คิดแล้วก็ปฏิบัติตาม”

    เป็นอันว่าประวัติของท่านหญิงวิภาวดีนี่ รู้สึกลูกเต้าเข้าหน้าไม่ค่อยติดตามปกติ นี่ขอเล่าประวัติเก่านี่ พระเจ้าแผ่นดินท่านก็บอกเหมือนกัน บอก
    “ท่านหญิงวิภาวดีเป็นคนเจี๊ยวจ๊าว หมายความโมโหง่าย คนโมโหร้ายแสดงถึงว่าเป็นคนมีอารมณ์จิตรวดเร็ว เพียงแต่พอเริ่มไปปฏิบัติกับหลวงพ่อไม่ถึงเดือนผมเห็นแปลกไปถนัด ไอ้เรื่องเหตุที่ต้องว่าต้องดุต้องด่าใครหายไปหมด มีแต่อารมณ์ยิ้ม และก็คอยจะสงเคราะห์ คอยมองดูพวกชาววังก็ตามพวกข้างนอกก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกในวัง ถ้าใครเขาทำอะไรผิดพลาดไปนิดนึง บางทีท่านก็ไม่เตือนก่อน เรียกมากินขนมบ้างมาให้ของแจกบ้าง เขาคนนั้นรู้สึกว่าจะจิตน้อมลงมาถึง ๖ เดือน นี่เป็นลักษณะของพรหมวิหาร ๔ เตือนด้วยความหวังดี”

    และท่านก็เลย ตอนนี้พระราชินียิ้มออกมา

    พระราชินีท่านก็บอกว่า

    “ท่านไม่ถนัดในการนั่งสมาธิ มีอารมณ์ชอบรักษาศีลและก็สวดมนต์ และก็ชอบในการให้ทาน”

    เรื่องทานบารมีของท่านนี่หนักมาก พระเจ้าแผ่นดินท่านบอกไม่ใช่เท่านั้นอย่างเดียว

    ถาม “อะไรอีก...?”

    บอก “บางทีได้จังหวะเปรี๊ยวปร๊าวๆ”

    นี่ขัดคอกันตอนนี้น่ะ พระราชินีท่านก็ยอมรับ ท่านบอกว่าบางทีมันเผลอเอาเหมือนกัน แต่ส่วนอื่นของท่านก็ส่วนใหญ่ ไม่ใช่โมโหโทโสคนภายใน ถ้าเรื่องของคนรักชาตินี่ แหม...พอจะช่วยชาติขึ้นมาก็ต้องตั้งท่าจะเอาอย่างโน้นตั้งท่าจะเอาอย่างนี้ ทำท่าใหญ่โตต้องลงทุนมากมาย อีตอนนี้ท่านก็เลยบอกมันอดโมโหไม่ได้ คนจะช่วยชาติมันไม่ต้องทำใหญ่ ทำคนละเล็กละน้อย ทุกคนต่างคนต่างทำมันก็มากไปเอง อีตอนนี้ท่านก็หวังดีนั่นเอง ท่านก็เปรี๊ยวปร๊าวตอนนี้ นี่ท่านก็ยอมรับ
    พระเจ้าแผ่นดินท่านก็ตรัสว่า

    “นี่เขาไม่รู้หรอกว่าเขาทำดี”

    พระราชินีตรัสถามว่า

    “พระองค์เห็นหม่อมฉันทำดียังไง...?”

    ท่านบอก “ที่เธอนั่งสวดมนต์น่ะ เธอรู้เรื่องไหม รู้คำสวดไหม...?”

    พระราชินีบอก “ถ้าหม่อมฉันไม่รู้ หม่อมฉันนั่งสวดไปยังไง” บอก “รู้ทุกคำ”
    ท่านบอก “รู้ทุกคำนี่มันเป็นสมาธิ”

    แน่ะ! นี่ว่ากันเองนะตอนนี้น่ะ

    ท่านบอก “นี่มันเป็นสมาธิ”

    ท่านเลยถามว่า “เวลาที่จะสวดมนต์น่ะ นึกเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไหม...?”

    พระราชินีบอก “ถ้าไม่เคารพล่ะก็ จะสวดทำไมล่ะ เพราะเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงสวด”

    บอก “นี่ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำไมจึงว่าไม่ชอบทำสมาธิ การนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นการทำสมาธิ การติดใจในการสวดมนต์ก็เป็นการทำสมาธิ นั่นก็เป็นบุญเป็นกุศล และการให้ทาน เรื่องทานนี่ให้มาก เขาไม่มีเรื่องอื่น วันๆหนึ่งเขาก็นั่งนึก ถ้าเขาว่างจะทำอาหารไปถวายพระที่ไหน จะทำขนมถวายพระที่ไหน จะไปทำบุญที่ไหน จะสงเคราะห์ใคร ก็นั่งนึกชาวบ้านชาวช่องที่ไปเยี่ยม ไอ้คนหมู่บ้านนั้นก็ลำบาก คนหมู่บ้านนี้ก็ยากจน จะหาอะไรไปช่วย หาเงินที่ไหน หาของไปช่วยเขา อะไรเป็นที่ถูกใจของเขา นั่งนึกแบบนี้ ผมก็ว่านี่เขาก็ทำกรรมฐานอยู่เรื่อย”

    ท่านหันมาพูดนี่นะ! ก็เลยบอกว่า

    “อาตมาเห็นด้วย ว่านักเจริญกรรมฐานที่ดีเขาก็ไม่มุ่งในขั้นหลับตา ถ้าหลับตาดีก็ถือว่าดีไม่ได้ ทีนี้ถ้าอารมณ์จิตคิดอยู่เป็นปกติ อย่างนี้นะจึงชื่อว่าเป็นผู้ทรงฌานในด้านกรรมฐาน เพราะว่าฌานแปลว่าการเพ่ง เพ่งก็คือนึกไว้นั่นเอง นึกว่าเราจะทำความดีส่วนโน้นส่วนนี้”

    ยังมีต่ออีก...

    จากหนังสือชื่อ ธรรมปฏิบัติ ๒๖ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
    หน้าที่ ๓๓-๖๔

    ภาพจากการ search ใน google
    [​IMG]

    https://www.facebook.com/photo.php?...64799915.60574.136416773100452&type=1&theater
     
  4. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    วันพรุ่งนี้ 22 เมษายน 2555

    เวลาประมาณ9โมงเช้า เคลื่อนร่าง หลวงปู่ประจวบ พระกรรมฐานชั้นสูง แห่งวัดราชสิทธาราม ไปยังวัดเครือวัลย์วรวิหาร กทม. ใกล้เคียงกับวัดราชสิทธาราม (วัดเีดียวกับที่พระราชทานเพลิงศพ คุณเฉลียว อยู่วิทยา แห่งกระทิงแดง )
    โดยจะมีการถวายภัตตาหารพระทั้งวัดเวลา 7.00น.เช้า วัดราชสิทธาราม

    เย็นประมาณ18.30น มีสวดพระอภิธรรมทำนองปกติ

    หลังจากนั้น 23-28 เมษายน มีสวดพระอภิธรรมทำนองหลวง เย็นประมาณ18.30น

    อาทิตย์ที่29 เมษายน พระราชทานเพลิงศพ คาดว่าประมาณเวลา 17.00น. ณ วัดเครือวัลย์วรวิหาร กทม.
     
  5. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    สาธุๆๆ อนุโมทามิครับ:cool::cool::cool:
     
  6. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
     
  7. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    [​IMG]

    https://www.facebook.com/media/set/?set=a.381670771883470.109980.100001216522700&type=3

    เทศน์กัณฑ์สุดท้าย หลวงปู่เนย สมจิตฺโต สมณะผู้ตั้งจิตไว้ตรง
    กำหนดวันประชุมเพลิงตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕
    เวลา ๐๗.๐๐น. - พระภิกษุสงฆ์ สามเณรออกรับบิณฑบาต
    เวลา ๑๔.๐๐น. - พระเถระแสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์
    เวลา ๑๕.๐๐น. - สวดมาติกา บังสุกุล ทอดผ้าไตรบนเมรุ อ่านประวัติ
    เวลา ๑๖.๐๐น. - ประชุมเพลิง
    หลวงปู่เนย สมจิตฺโต ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เอาจริงเอาจังปฏิบัติธรรมขั้นอุกฤษ์ ถือธุดงควัตร องค์ท่านเป็นศิษย์ หลวงปู่ดี ฉันโน และได้ไปศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่คำ สุมังคโล ,หลวงปู่กงแก้ว ขันติโก ซึ่งครูบาอาจารย์ทั้ง ๓ ท่านนี้เป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่เนย ได้ถือเอาโอวาทธรรมของหลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร เป็นหลักการปฏิบัติของท่านคือ เอาตายเข้าสู้ โดยจะอดนอน เร่งความเพียร เมื่ออาพาธก็จะใช้ธรรมโอสถ ท่านได้ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ถ้าจะตายขอให้ตายไปเลย อย่าได้เดือดร้อนญาติโยมหรือโรงพยาบาลเลย ท่านปรารถนาจะไม่ให้ใครเดือดร้อนลำบากด้วยเรื่องของสังขารของท่าน แม้ในปัจจุบันท่านก็รักษาร่างกายด้วยตัวท่านเอง หลวงปู่เนย สมจิตฺโต ละสังขารลงด้วยโรคไตวาย ที่กุฏิท่านด้วยอาการสงบเมื่อเวลา ๑๖.๓๒ น. ของวันศุกร์ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ สิริอายุ ๗๔ ปี ๗ เดือน ๑๗ วัน พรรษา ๕๔ ตามพินัยกรรม หลวงปู่เนย สมจิตฺโต ท่านสั่งห้ามไม่ให้มีการกระตุ้นหัวใจ หรือต่อเครื่องช่วยหายใจ เมื่อมรณภาพแล้ว ท่านห้ามไม่ให้ฉีดยาฟอร์มาลีน ห้ามไม่ให้เก็บสรีระไว้ที่หีบแช่เย็น และห้ามไม่ให้จุดธูปเทียนบูชา สำหรับการจัดงานประชุมเพลิง ท่านสั่งห้ามไม่ให้ขอพระราชทานเพลิง ให้ทำพิธีภายใน ๗ วัน หรืออย่างช้า ไม่เกิน ๕๐ วัน ให้จัดงานให้เรียบง่ายที่สุด หลวงปู่เนย ท่านสอนว่า “..เรียนรู้เรื่องทางโลกมันไม่รู้จบรู้สิ้น เรียนอันนั้นเหลืออันนี้อยู่ตลอดไป คนทั้งหลายไม่สนใจจิตใจตนเอง สนใจแต่เรื่องที่ก่อให้เกิดความทุกข์วิปโยควังเวง เรียนทางโลกไม่เหมือนเรียนทางธรรม เรียนทางธรรมไปสิ้นสุดที่นิพพาน ใครไปถึงนิพพานก็จบ..” การสวดอภิธรรมจะเริ่มตั้งแต่วันที่ ๕ พฤษภาคม จนถึงวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ เวลา ๑๙.๐๐น. วันศุกร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ (วันเคลื่อนสรีระสังขาร) เวลา ๐๗.๐๐น. - พระภิกษุสงฆ์ สามเณรออกรับบิณฑบาต เวลา ๐๙.๐๐น. - พระภิกษุสงฆ์ สามเณร สวดมาติกา บังสุกุล กราบขอขมาสรีระ และเคลื่อนหีบไม้บรรจุสรีระสังขารหลวงปู่เนย สมจิตฺโต ขึ้นสู่จิตกาธาน เจ้าหน้าที่ประดับตกแต่งจิตกาธานให้เรียบร้อย เปิดโอกาสให้ผู้มีจิตศรัทธาทอดผ้าบังสุกุลที่หน้าหีบศพ เวลา ๑๙.๐๐น. - พระสงฆ์ ๔ รูป สวดพระอภิธรรมพระเถระ แสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ กำหนดวันประชุมเพลิงตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ เวลา ๐๗.๐๐น. - พระภิกษุสงฆ์ สามเณรออกรับบิณฑบาต เวลา ๑๔.๐๐น. - พระเถระแสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ เวลา ๑๕.๐๐น. - สวดมาติกา บังสุกุล ทอดผ้าไตรบนเมรุ อ่านประวัติ เวลา ๑๖.๐๐น. - ประชุมเพลิง วันอาทิตย์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ (วันเก็บอัฐิ) เวลา ๐๖.๓๐น. พระสงฆ์ ๓ รูป บังสุกุลอัฐิบนเมรุ เชิญโกศอัฐิไปตั้งบำเพ็ญกุศลต่อที่ศาลาการเปรียญวัดป่าโนนแสนคำ เวลา ๐๗๐๐น. พระสงฆ์ สามเณร ออกรับบิณฑบาตภายในบริเวณวัด เวลา ๐๗.๓๐น. ไหว้พระ สมาทานศีล พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ เจ้าภาพทอดผ้าบังสุกุล – พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล เป็นอันเสร็จพิธีครับ
    โดย: ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน
     
  8. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    [​IMG]
    "ถ้าบุคคลพึงรู้ว่าตนเป็นที่รัก ไม่พึงประกอบด้วยบาป เพราะว่าความสุขนั้นไม่เป็นผลที่บุคคลผู้ทำชั่วจะพึงได้โดยง่าย ฯ" (๑๕/๓๓๖) #ธรรมะ

    https://www.facebook.com/photo.php?...53515730.41539.165327033522752&type=1&theater
     
  9. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
  10. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    ช่วงนี้ไปกราบหลวงพ่อวิริยังค์ได้ที่วัดธรรมมงคล ซ.สุขุมวิท ๑๐๑
    ใส่บาตรประมาณ ๖ โมงเช้า ที่ศาลา ๘๔ ปี แล้วฟังธรรม
    ก่อนไปโทรเช็คที่ 02-332-4145

    ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นโดยตรง ปกติท่านอยู่ที่แคนาดา ช่วงนี้ท่านมาอยู่กรุงเทพฯชั่วคราว

    :: — กับ Natthapol Pathomkasikul และ 2 อื่นๆ
     
  11. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    [​IMG]

    มี ธรรมชาติ สามอย่าง อยู่ ในโลก
    คือ ชาติ ชรา มรณะ พระพุทธ องค์จึง ทรงบัง เกิดขึ้นในโลก และ พระธรรม วินัยที่ พระพุทธองค์ทรง ประกาศแล้ว ก็ รุ่งเรือง ขื้น ในโลก
    ภาพนี้ ประกอบ ด้วยเหตุการณ์ ที่ปรากฏ ชัดอยู่ สามเหตุการณ์ คือ ตอนประสูติ ตรัสรู้ และ ปรินิพพาน
    ภาพประสูติ เมื่อพระโพธิสัตว์ ออกมาจาก พระครรภ์ของมารดา ในกาลนั้น “เทวดา ทั้งหลายย่อม เข้ารับก่อน ส่วน มนุษย์ ทั้งหลาย ย่อม เข้ารับ ต่อภายหลัง” หมายถึง ธรรมะของ พระพุทธองค์ นักปราชญ์จะเป็น ผู้ที่รับรู้ เข้าใจ ได้ก่อน เมื้อ พระโพธิ สัตว์คลอดแล้วเช่นนี้ ก้าวไป ๗ ก้าว หมายถึง ข้อ ปฏิบัติ ๗ ขั้น ที่จะทำให้ คนตรัสรู้ (เช่นโพชฌงค์ ๗) ในภาพนี้เบื้อง หน้าจะเป็นรูปหุบเหว ที่ดักปวงสัตว์ผู้มืดบอดให้ตกลงไป อุป มาเช่นสิ่งกั้น ขวางจิต มิให้ปวงสัตว์รู้ธรรม แต่พระพุทธ องค์ทรงข้าม พ้น ตอน ตรัสรู้ เบื้องหน้ามีน้ำวน หมายถึง วัฏฏะที่ พระพุทธองค์ มองเห็น เมื่อตรัสรู้ ความจริงอัน ประเสริฐคือ อริยสัตย์ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แต่ไม่ว่า พระพุทธองค์ จะเกิดขึ้น หรือ ไม่ก็ตาม ความจริงนี้ก็ มีปรากฏ ของมันอยู่แล้ว เป็นไป ตามกฎ ของมัน อิทัปปัจยตา หรือ ตถตา จึงเขียนคำ”ตถตา” ไว้ใน รูป บึงบัว เพื่อบอกว่า ทุกสิ่ง ทุกอย่าง มันก็เป็น เช่นนั้นเอง
    ค้นหา ความว่าง ใน จิตให้เจอ พุทธะ ก็จะ ปรากฏ นิพพาน เกิดจาก พุทธะ เพราะ พุทธะ ก็คือ ความว่างนั่นเอง

    https://www.facebook.com/photo.php?...3289229.113196.166387296709841&type=1&theater
     
  12. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=12&p=7
    ๗. เรื่องท้าวสักกะ [๒๑]
    ข้อความเบื้องต้น
    พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยเมืองเวสาลี ประทับอยู่ในกูฏาคารศาลา๑- ทรงปรารภท้าวสักกเทวราช ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “อปฺปมาเทน มฆวา” เป็นต้น.
    ____________________________
    ๑- ศาลาดุจเรือนยอด.

    เหตุที่ท้าวสักกะได้พระนามต่างๆ
    ความพิสดารว่า เจ้าลิจฉวีนามว่า มหาลิ อยู่ในเมืองเวสาลี. พระองค์ทรงสดับเทศนาในสักกปัญหสูตร๑- ของพระตถาคตแล้ว ทรงดำริว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมตรัสสมบัติของท้าวสักกะไว้มากมาย, พระองค์ทรงเห็นแล้วจึงตรัส หรือไม่ทรงเห็นแล้วตรัสหนอแล? ทรงรู้จักท้าวสักกะหรือไม่หนอ? เราจักทูลถามพระองค์.”
    ____________________________
    ๑- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๒๔๗.

    ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีนามว่า มหาลิ เข้าไปเฝ้าถึงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่, ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. เจ้ามหาลิลิจฉวี ครั้นนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท้าวสักกะผู้จอมแห่งเทพทั้งหลาย พระองค์ทรงเห็นแล้วแลหรือ?”
    พระผู้มีพระภาคเจ้า. มหาลิ ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย อาตมภาพเห็นแล้วแล.”
    มหาลิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ท้าวสักกะนั้นจักเป็นท้าวสักกะปลอมเป็นแน่, เพราะว่า ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย บุคคลเห็นได้โดยยาก พระเจ้าข้า.
    พระผู้มีพระภาคเจ้า. มหาลิ อาตมภาพรู้จักทั้งตัวท้าวสักกะ ทั้งธรรมที่ทำให้เป็นท้าวสักกะ ก็ท้าวสักกะถึงความเป็นท้าวสักกะ เพราะสมาทานธรรมเหล่าใด, อาตมภาพก็รู้จักธรรมเหล่านั้นแล.
    มหาลิ ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย ในกาลก่อนเป็นมนุษย์ ได้เป็นมาณพชื่อมฆะ, เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกว่า ‘ท้าวมฆวา’;
    มหาลิ ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย ในกาลก่อนเป็นมนุษย์ ได้ให้ทานก่อน (เขา), เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกว่า ‘ท้าวปุรินททะ’;
    มหาลิ ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย ในกาลก่อนเป็นมนุษย์ ได้ให้ทานโดยเคารพ, เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกว่า ‘ท้าวสักกะ’;
    มหาลิ ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย ในกาลก่อนเป็นมนุษย์ ได้ให้ที่พักอาศัย, เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกว่า ‘ท้าววาสวะ’;
    มหาลิ ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย ทรงดำริข้อความตั้งพันได้โดยครู่เดียว, เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกว่า ‘สหัสสักขะ’๑-;
    มหาลิ นางอสุรกัญญาชื่อสุชาดา เป็นพระปชาบดีของท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย, เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกว่า ‘ท้าวสุชัมบดี’;
    มหาลิ ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งจอมเทพทั้งหลาย เสวยราชสมบัติเป็นอิสริยาธิปัตย์แห่งเทพทั้งหลายชั้นดาวดึงส์, เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกว่า ‘เทวานมินทะ’;
    มหาลิ ท้าวสักกะถึงความเป็นท้าวสักกะแล้ว เพราะได้สมาทานวัตตบท ๗ ใด, วัตตบท ๗ นั้นได้เป็นอันท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย ซึ่ง (ครั้ง) เป็นมนุษย์ในกาลก่อน สมาทานให้บริบูรณ์แล้ว;
    วัตตบท ๗ ประการเป็นไฉน? คือ
    เราพึงเป็นผู้เลี้ยงมารดาบิดาตลอดชีวิต;
    พึงเป็นผู้มีปกติประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต;
    พึงเป็นผู้พูดอ่อนหวานตลอดชีวิต; พึงเป็นผู้ไม่พูดส่อเสียดตลอดชีวิต;
    พึงมีจิตปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่ มีเครื่องบริจาคอันสละแล้ว มีฝ่ามืออันล้างแล้ว๒- ยินดีแล้วในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน พึงอยู่ครอบครองเรือนตลอดชีวิต;
    พึงเป็นผู้กล่าวคำสัตย์ตลอดชีวิต;
    พึงเป็นผู้ไม่โกรธตลอดชีวิต;
    ถ้าความโกรธพึงเกิดแก่เราไซร้ เราพึงหักห้ามมันเสียพลันทีเดียว ดังนี้,
    มหาลิ ท้าวสักกะถึงความเป็นท้าวสักกะ เพราะได้สมาทานวัตตบท ๗ ใด, วัตตบท ๗ นั้น ได้เป็นของท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย (ครั้ง) เกิดเป็นมนุษย์ในกาลก่อน สมาทานให้บริบูรณ์แล้ว ฉะนี้แล.
    ____________________________
    ๑- สหสฺสกฺโข แปลว่า ผู้เห็นอรรถตั้งพัน.
    ๒- หมายความว่า เตรียมหยิบสิ่งของให้ทาน.

    (พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสคำไวยากรณ์นี้แล้ว, ได้ตรัสพระพุทธพจน์ภายหลังว่า)
    ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ เรียกนรชนผู้เลี้ยงมารดาบิดา
    มีปกติประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล กล่าวถ้อยคำ
    ไพเราะ อ่อนหวาน ละวาจาส่อเสียด ประกอบในอันกำจัด
    ความตระหนี่ มีวาจาสัตย์ ข่มความโกรธได้ นั้นแลว่า
    สัปบุรุษ.๓-
    ____________________________
    ๓- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๙๑๒-๙๑๕.
     
  13. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
  14. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
  15. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    [​IMG]

    “เรานั่งภาวนา อย่างน้อยได้สัก ๕ นาที ให้นั่งนึกอยู่กับ พุทโธ พุทโธ ทีนี้เวลานอนลงไปก็ให้นึก พุทโธ พุทโธ....จนกระทั่งหลับ นี่ จิตใจเราก็แช่มชื่นเบิกบานหลับฝันไปก็ไม่ฝันร้ายฝันน่ากลัวต่าง ๆ จิตใจก็มีพลัง..."
    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
     
  16. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    [​IMG]

    ไม่มีอะไรเก่งกล้าสามารถยิ่งกว่าสตินะการฆ่ากิเลส กิเลสกลัวสติ ใครสติดีแล้วผู้นั้นจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    https://www.facebook.com/photo.php?...483134119.6878.100003076035999&type=1&theater
     
  17. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    วิธีเพิ่มพลังบุญทวีคูณให้กับชีวิตอย่างง่ายๆ(สายหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ)
    >1. การเพิ่มพลังบุญแบบไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว
    เคล็ดวิชานี้ เป็นของท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านสอนไว้ว่า
    -เวลาตื่นเช้ามาขณะล้างหน้าหรือดื่มน้ำให้ท่องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อชีวิตในวันใหม่
    -ก่อนกินข้าว ก็ให้นึกถวายข้าวแด่พระพุทธเจ้า
    -ออกจากบ้าน เห็นคนอื่นเค้ากระทำความดี เป็นต้นว่าเห็นเค้าใส่บาตรพระ จูงคนแก่ข้ามถนน ก็ให้นึกอนุโมทนากับเขาด้วย
    -เดินผ่านเห็นดอกไม้บูชาพระวางขายอยู่ ก็ให้เอาจิตนึกอธิษฐานขอถวายดอกไม้เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ แล้วอย่าลืมอุทิศบุญให้พ่อค้า แม่ค้าดอกไม้นั้นด้วย
    -เวลาไปไหนมาไหน เห็นไฟข้างทางก็ให้นึกน้อมถวายไฟเหล่านั้นบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆบูชา
    >2. การเพิ่มพลังบุญด้วยเงินน้อย แต่ได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่
    -การสร้างบุญที่เป็นมหากุศล อาทิเช่น การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระมหาเจดีย์ สร้างยอดฉัตรหรือสร้างศาสนสถานอื่นใดก็ตาม รวมถึงธรรมทานด้วย เพื่อลดวิบากกรรมหนักๆ สามารถทำได้ แม้แต่ผู้ที่มีเงินน้อย การทำบุญนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมาก เหมือนที่หลายๆคนในปัจจุบันเข้าใจและติดเป็นค่านิยมกัน การทำบุญทุกอย่าง ไม่ว่าจะบุญเล็ก บุญใหญ่
    ให้ทำตามแต่กำลังของเราที่สามารถจะทำได้ และต้องไม่เดือดร้อนตัวเอง
    แม้แต่เงินสลึงเดียวก็สามารถสร้างมหากุศลได้ ขอให้เพียงเงินนั้นบริสุทธิ์
    ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมาก็พอ และที่สำคัญเจตนาตอนที่ทำ ต้องบริสุทธิ์
    มีความยินดีในบุญที่ทำ เกิดความสุขและความอิ่มเอมใจ
    นั่นแหละมหากุศลทั้งสิ้น
    -แต่ถ้าไม่มีเงินจริงๆ ก็ยังสร้างมหากุศลได้ โดยการใช้แรงกายแรงใจในการช่วยก่อสร้าง หรือแม้แต่การไปชักชวน ป่าวประกาศให้คนมาร่วมสร้างบุญ และขออนุโมทนาบุญกับคนเหล่านั้นด้วยทุกครั้ง ก็จะได้บุญมากเช่นเดียวกัน อยู่ที่เจตนาและความตั้งใจเป็นที่ตั้ง สรุปสั้นๆ ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใดก็ได้บุญเช่นกัน
    ยิ่งการทำบุญใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมากมากหรือสังคม
    บุญนั้นก็จะมากขึ้นทวีคูณ ไม่มีวันหมด อาทิเช่น สังฆทาน สร้าง โรงทาน
    วิหาร อุโบสถ ถนน เป็นต้น
    จนกว่าสิ่งก่อสร้างหรือศาสนสถานนั้นๆที่ร่วมสร้างจะพังทลายไป
    >3. การสวดภาวนา ให้ได้บุญมากขึ้น
    -การสวดภาวนา คาถาศักดิ์สิทธิ์ หรือมนตราอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าได้ทำอย่างถูกวิธีนั้น จะเป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเอง เพราะพลังบุญ พลังอำนาจของพระคาถาและมนตรานั้น จะถูกดึงเข้าสู่ตัวผู้สวดด้วย
    -เคล็ดวิธีมีอยู่ว่า โดยก่อนสวดนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิที่พร้อมจะสวดแล้ว ขอให้ตั้งจิตให้มั่นแล้วอุทิศบุญทั้งหมดที่ตนเคยทำมานั้น ส่งให้แด่ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นเจ้าของคาถาหรือมนตรานั้นๆด้วย ซึ่งเป็นการเชื่อมบุญรูปแบบหนึ่ง และหลังจากนั้น ก็อธิษฐานขอมีส่วนร่วมในบุญของท่าน
    และขอมีส่วนร่วมในบุญของผู้อื่นที่ได้สวดคาถาและมนตราศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย
    เมื่อใดตามที่มีคนอื่นสวดและกระทำเหมือนกับเรา เราก็ได้บุญเพิ่มทุกครั้ง
    >4.การทำบุญด้วยการต่อชีวิตสัตว์ ให้ได้บุญมากขึ้น
    -การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์หรือต่อชีวิตสัตว์นั้น หลายคนเรียกว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์ ซึ่งก็แล้วแต่จิตจะพาไป แต่ในความเป็นจริงก็คือ เป็นการทำบุญใหญ่ เป็นการช่วยต่อชีวิต ต่อโชคชะตา ให้เวลากับสัตว์ที่กำลังจะถึงตายให้ได้มีชีวิตอีกครั้ง และเคล็ดลับสำคัญก็คือ ก่อนที่จะปล่อยสัตว์นั้นๆ เมื่อได้ซื้อมาหรือเจอ ณ ที่ใดก็ตาม
    ให้นำไปถวายกับพระสงฆ์เสียก่อน เพื่อเพิ่มบุญให้มากขึ้น
    เหตุเพราะว่าพระสงฆ์ที่รับนั้นท่านบริสุทธิ์ และมีศีลมากกว่าเรา
    ท่านย่อมมีบุญมากกว่าเรา ยิ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญมากแล้ว
    บุญนั้นจะเพิ่มเป็นหลายเท่า
    จากนั้นก็ขอผาติกรรมชำระหนี้สงฆ์ซื้อคืนมาจากท่าน
    ด้วยเงินเท่ากับจำนวนที่เราซื้อสัตว์นั้นๆมา
    วิธีนี้เป็นการเพิ่มบุญอีกเท่าตัว
    ได้ทั้งทำบุญต่อชีวิตสัตว์ และชำระหนี้สงฆ์ด้วย
    หลังจากนั้นก็นำไปปล่อยในที่อันสมควร
    -อานิสงส์ของการทำบุญด้วยวิธีนี้ ถ้าใครที่ทำได้ตามนี้ บุญที่ได้จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า จากการที่ไปซื้อมาแล้วก็ไปปล่อยตามยถากรรม วิธีนี้นอกจากได้บุญน้อยแล้ว แถมยังได้บาปกลับมาด้วย ดังนั้นจะทำบุญทั้งที ควรฉลาดในการทำบุญด้วย
    >5. การทำสังฆทานให้ได้อานิสงส์บุญมากขึ้น
    -การทำสังฆทานควรทำให้ครบทั้งปัจจัยสี่ มีอาหาร( คาว-หวาน-ผลไม้-น้ำ ) ,เครื่องนุ่งห่ม ( ผ้าไตรจีวร หรือ ผ้าขนหนูสีสุภาพ ) , ยารักษาโรค , ที่อยู่อาศัย ( บ้านหลังเล็กๆ ซื้อได้ตามร้านสังฆภัณฑ์ เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยทิพย์ให้กับเจ้ากรรมนายเวร เค้าจะได้มีที่พักพิง ไม่มารบกวนเราอีก )
    และควรเพิ่มหนังสือธรรมะเข้าไปด้วยเพื่อให้จิตใจของเจ้ากรรมนายเวรซึ้งในรส
    พระธรรม มีจิตใจที่เย็นสบายพ้นทุกข์
    -เคล็ดลับสำคัญ เครื่องสังฆทานและอาหารเหล่านี้ เราควรที่จะต้องไปถวายแด่พระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญสูง แต่ถ้าหาไม่ได้หรือไม่ทราบ ให้เรานั้นตั้งจิตอธิฐานถวายแด่พระพุทธเจ้าโดยตรงและ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ เพื่อให้อานิสงส์ของบุญจะได้มากขึ้นทบทวี
    และหลังจากนั้นก็ให้อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งหมด
    และควรกรวดน้ำหลังทำบุญทุกครั้งเพื่อให้พระแม่ธรณีและเทพเทวาทั้งปวงท่าน
    เป็นพยานในการทำบุญครั้งนี้
    >สรุป
    -เมื่อท่านได้ทราบว่า ทำบุญอะไร แล้วได้รับอานิสงส์ของการทำบุญเป็นอย่างไร สมควรช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เพราะเป็นการให้คนได้รู้ถึงอานิสงส์ของทำบุญในแต่ละอย่าง จะได้จำสืบต่อกันไปอย่างถูกต้อง
    -ดังนั้น จึงสรุปว่า การทำบุญอะไรก็ตาม เมื่อได้ทำบุญแล้ว ก็ได้รับผลบุญในทันที กล่าวคือ ขณะที่ทำบุญนั้น สภาพจิตของเราตรงนั้นเป็นอย่างไร สุขใจไหม สบายใจไหม ภูมิใจไหม ตรงนี้ไม่ต้องถาม หวังว่า ท่านที่เคยทำบุญมาแล้วก็จะตอบตนเองได้อย่างแจ่มแจ้งทีเดียว
    -เมื่อเราได้ทำบุญ ผลของการทำบุญ จะให้อานิสงส์ไม่เหมือนกัน บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยตรง แต่บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยอ้อมไม่ตรงทีเดียว ในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า อานิสงส์แห่งการทำบุญนั้นไม่เหมือนกัน และผลบุญที่เราได้ทำนั้น รอให้ผลอยู่ตลอดเวลาแก่ผู้ที่ได้ทำบุญไว้ ตราบเท่าที่ยังมีผลบุญอยู่ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำบุญไว้ ถ้าไม่ประมาท
    ถึงแม้ไม่มีอะไรจะทำบุญ เพียงแต่เห็นคนอื่นเขาทำบุญ แล้วทำใจให้เลื่อมใส
    ก็เป็นอันได้ทำบุญเหมือนกัน บุญชนิดนี้ เรียกว่า บุญด้านปัตตานุโมทนามัย
    ( บุญจากการอนุโมทนาบุญ )
    >ขออนุโมทนาบุญผู้ที่เผยแพร่ ธรรมทานครั้งนี้ ได้รับจาก Email ญาติธรรม สาธุ
     
  18. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
  19. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    ร่วมทำบุญกับพ่อแม่ครูอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิชอบ
    ในวันที่ ๑๔-๑๕ กรกฏาคม ๒๕๕๕ นี้ ณ วัดบรมนิวาส รายละเอียดดังนี้ครับ...

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    กำหนดการ
    งานบำเพ็ญกุศลอายุวัฒนมงคล ๖ รอบ
    พระวิมลศีลาจารย์ (อำนวย ภูริสุนฺทโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสราชวรวิหาร
    ณ วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร ถ.พระราม ๖ ซ. ๑๕ รองเมือง ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
    วันเสาร์-อาทิตย์ที่ ๑๔-๑๕ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๕๕ (ณ ศาลาสนิทวงศ์-ชยางกูร)

    วันเสาร์ที่ ๑๔กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ( แรม ๑๑ ค่ำเดือน ๘ )

    เวลา ๑๗.๐๐ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๗๓ รูปสวดทักษิณา
    เวลา ๑๙.๑๙ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ทรงเจริญพระพุทธมนต์ ๑๒ รูป
    เวลา ๒๐.๑๙ น. แสดงพระธรรมเทศน์นา โดย พระราชสุเมธี

    วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ( แรม ๑๑ ค่ำเดือน ๘ )

    เวลา ๐๗.๑๙ น. ใส่บาตรพระสงฆ์ พระกัมัฎฐาน ๑๙ รูป
    เวลา ๐๘.๑๙ น. ถวายภัตตาหารพระกัมัฎฐาน ๑๙ รูป
    เวลา ๑๐.๑๙ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ทรงเจริญพระพุทธมนต์ ๑๐ รูป
    เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพล ๑๐๐ รูป

    จึงขอเรียนเชิญ ศิษยานุศิษย์และท่านที่เคารพนับถือมาร่วมพิธี
    ในวันแวลาดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน
    ร่วมบริจาคทำบุญได้ที่ บัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่บัญชี ๑๔๙-๐๙๙๒๙๒-๐
    ธนาคารกรุงเทพ สาขาอุรุพงษ์
    ท่านที่ประสงค์ร่วมจัดตั้งโรงทานอาหาร และรับเป็นเจ้าภาพถวายพระกัมมัฎฐาน
    ติดต่อได้ที่ ๐๒-๒๑๖-๘๑๗๖ ๐๘๑-๘๓๑-๕๓๕๒ ๐๘๙-๗๘๒-๒๒๕๑

    ขอเชิญร่วมงานบำเพ็ญกุศลอายุวัฒนมงคล ๖ รอบพระวิมลศีลาจารย์ (อำนวย ภูริสุนฺทโร)
     
  20. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    [​IMG]

    พระอริยเจ้าสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ
    ศิษย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    หลวงปู่บุญมา ปุญฺญวนฺโต
    ประวัติ หลวงปู่บุญมา ปุญฺญวนฺโต (พระคุณบวรคณานุรักษ์) เจ้าอาวาสวัดป่าภูหันบรรพต อ.ชนบท จ.ขอนเเก่น โดยย่อ

    ชาติภูมิ หลวงปู่ฯ เกิดที่บ้านเหล่ากกหุ่งสว่าง อ.มัญจาคีรี จ.ขอนเก่น อุปสมบทเมื่อ พ.ศ. 2496 โดยพระเดชพระคุณพระมุนีวรานุวัตร เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดศรีบุญเรือง อ.ชนบท จ.ขอนแก่น มีลำดับการจำพรรษา ดังนี้
    พ.ศ. 2496 วัดอรัญญิกาวาส (กุดโง้ง) อำเภอชนบท จังหวัดขอนเเก่น
    พ.ศ. 2497 วัดดูนบ้านโคกสูง อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนเเก่น
    พ.ศ. 2498 วัดกลางบ้านพู่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
    พ.ศ. 2499 วัดถ้ำขาม อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
    พ.ศ. 2500 - 2503 วัดอรัญญิกาวาส อำเภอชนบท จังหวัดขอนเเก่น
    พ.ศ. 2504 วัดถ้ำพระธาตุ นิคมซอย 3 จังหวัดลพบุรี
    พ.ศ. 2505 วัดอัมพวันบ้านไร่ม่วง อำเภอเมือง จังหวัดเลย
    พ.ศ. 2506 อำเภอเเม่ทะ จังหวัดลำปาง
    พ.ศ. 2507 วัดภูสิง อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย
    พ.ศ. 2509 วัดป่ากระโสม อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา
    พ.ศ. 2510 บ้านหนองผือนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
    พ.ศ. 2511 วัดถ้ำขาม อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
    พ.ศ. 2512 วัดป่าบ้านต้าย อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
    พ.ศ. 2513 วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
    พ.ศ. 2514 - ปัจจุบัน วัดป่าภูหันบรรพต อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น

    หลวงปู่ฯ เป็นผู้ใฝ่ใจทางด้านการปฏิบัติมาตั้งแต่ต้น ท่านได้แสวงหาครูบาอาจารย์ที่จะให้การอบรมสั่งสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานมาโดยตลอด ในปี พ.ศ.2498 - 2499 ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดถ้ำขาม อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร พระรุ่นเดียวกับหลวงปู่ฯ ที่มาปฎิบัติศึกษากับหลวงปู่ฝั้น ในสมัยนั้น มี หลวงปู่เขี่ยม วัดถ้ำขาม จ.สกลนคร (ภายหลังท่านจำพรรษาและได้มรณภาพที่วัดป่าขุมดิน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น) หลวงปู่มหาโส วัดป่าคำแคน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น และอีกหลาย ๆ ท่านด้วยกัน

    หลวงปู่ฯ ได้อยู่ที่วัดถ้ำขามปฏิบัติครูบาอาจารย์ อบรมวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นเวลาหลายปี จนมั่นใจในข้อวัตรปฏิบัติพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ท่านก็ออกธุดงค์หาที่วิเวกปฏิบัติฝึกหัดตนตามแบบอย่างครูบาอาจารย์ หลวงปู่ฯ ได้ออกธุดงค์ไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง อิสานและข้ามไปถึงฝั่งประเทศลาวด้วย หลวงปู่ฯ มีปฏิปทาในการปฏิบัติ ออกธุดงค์โลดโผนตื่นเต้นยิ่งนัก ท่านได้ประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ มาทุกรูปแบบในป่าเขาลำเนาไพร ผจญภัยในป่าดงดิบจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดก็หลายครั้ง

    สมัยที่ท่านปฏิบัติอุปัฏฐากหลวงปู่ฝั้นอยู่นั้น หลวงปู่ฝั้นได้เล่าประสบการณ์ในการออกธุดงค์ให้ฟังว่า ท่านได้เคยมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่ภูระงำ ซึ่งในสมัยนั้นยังขึ้นอยู่กับอำเภอบ้านไผ่ ท่านบอกว่า บนภูระงำนั้น อากาศเย็นสบาย สงบ สงัดและวิเวกยิ่งนัก เหมาะแก่การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานมาก นัยว่าท่านได้ดวงตาเห็นธรรมที่ภูระงำนี้เอง ถ้าท่านเคยอ่านหนังสือประวัติหลวงปู่ฝั้น ท่านจะพบข้อความที่เขียนยืนยันในเรื่องนี้ ภูระงำจึงเป็นสถานที่ที่หลวงปู่บุญมามุ่งมั่น ตั้งใจเสมอมาว่าจะต้องขึ้นไปอยู่ปฏิบัติธรรมตามที่ครูบาอาจารย์เคยอยู่มาสักครั้ง

    ในปี พ.ศ.2505 ท่านได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่คำดี ปภาโส แห่งวัดถ้ำผาปู่ จังหวัดเลย หลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ฯ ก็ได้ธุดงค์เรื่อยมาเพื่อที่จะมาอยู่ปฏิบัติธรรมที่ภูระงำตามความตั้งใจเดิม มาถึงบ้านหูลิงโนนศิลาก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ชาวบ้านได้นิมนต์หลวงปู่ฯ อยู่โปรดสัตว์ที่บ้านนี้ก่อน เพราะภูระงำก็อยู่ห่างจากนี้ไปเพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้น หลวงปู่พร้อมกับพระอีกรูปหนึ่งที่เดินทางร่วมมาด้วย ได้ไปปักกลดที่ภูหันน้อย ซึ่งอยู่ติดกับภูหันทางด้านทิศใต้ วันต่อๆมา หลวงปู่จึงได้สำรวจดูภูหันจนทั่ว ท่านเห็นว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การปฏิบัติอย่างยิ่ง

    ในหลักทางพระพุทธศาสนานั้น สถานที่ที่เหมาะสมในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้น จะต้องประกอบด้วยสัปปายะ 4 ประการ คือ
    1.เสนาสนะสัปปายะ คือสถานที่เป็นที่เหมาะสม เป็นที่สงัด สงบ วิเวก ปราศจากผู้คนรบกวน ภูมิอากาศเหมาะสม อยู่ห่างจากหมูบ้านพอสมควร ไม่ใกล้หรือไกลเกินไป พอที่จะเดินทางรับบิณฑบาตรจากญาติโยมได้สะดวก
    2.ปุคคลสัปปายะ มีบุคคลเป็นที่สบาย คือ หมายถึงญาติโยมที่จะให้การอุปถัมภ์บำรุงด้วยปัจจัย 4 มีพร้อมมูล มีศรัทธาปสาทะในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง พร้อมที่จะให้การบำรุงด้วยดีและเต็มใจ
    3.อาหารสัปปายะ มีอาหารเป็นที่สบาย การเป็นอยู่ด้วยอาหารบิณฑบาตรไม่เดือดร้อน
    4.ธรรมสัปปายะ มีธรรมเป็นที่สบาย

    เมื่อสถานที่เหมาสม ผู้อุปถัมภ์บำรุงพร้อม อาหารบิณฑบาตรไม่เดือดร้อน และมีธรรมที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ดี เหมาะกับจริตของตนแล้ว การปฏิบัติธรรมก็ก้าวหน้าตามลำดับอย่างเเน่นอน ประกอบกับในระยะนั้น หลวงปู่ฯ ได้ทราบว่ามีพระในท้องถิ่นได้ขึ้นไปปฏิบัติอยู่บ้างเเล้ว หลวงปู่ฯ คิดว่า ดีเหมือนกันเเม้ไม่ได้อยู่ที่ภูระงำตามที่ได้ตั้งใจไว้เเต่เดิม เเต่อยู่ที่นี่ก็สามารถที่จะน้อมนำมาเป็นอนุสสติเตือนใจได้เสมอ เหมือนหนึ่งครูบาอาจารย์คอยนั่งเฝ้า ตักเตือน พร่ำสอนอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ประมาท

    ก่อนจะเข้าพรรษาในปี พ.ศ. 2506 หลวงปู่ฯ ได้กลับไปรับใช้หลวงปู่ฝั้นที่วัดถ้ำขามอีกครั้งหนึ่ง ก่อนไป ท่านมอบหมายให้พระภิกษุสามเณรรูปอื่นมาอยู่เเทน ตั้งเเต่ปี พ.ศ. 2506 - 2513 ที่วัดป่าภูหันบรรพตเเห่งนี้ มีพระเณรอยู่จำพรรษาตลอดไตรมาส ไม่เคยขาด หลังจากออกพรรษาเเต่ละปี หลวงปู่ฯ ก็มาเเวะเวียนมาเยี่ยมอยู่ประจำ จนในปี พ.ศ. 2514 หลวงปู่ฯ ได้กลับมาอยู่ที่วัดป่าภูหันบรรพตอีกครั้งจนบัดนี้ หลวงปู่ฯ เป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เคร่งครัดพระธรรมวินัย มักน้อย สันโดษ ไม่สะสมทรัพย์สิน เงินทอง

    เนื่องจาก..... เมื่อ 7 ปีที่แล้ว วันหนึ่ง.... มีฝนตกหนักมาก หลวงปู่ฯ ได้ประสบอุบัติเหตุ ลื่น หกล้ม จนทำให้หลวงปู่ฯ อาพาธ (อัมพาต) เดินไม่ได้มาจนถึงปัจจุบันนี้

    https://www.facebook.com/photo.php?...00001663798221.100000623944205&type=1&theater
     

แชร์หน้านี้

Loading...