ดูจิตต้องรู้จักจิตด้วยศีล สมาธิ ปัญญา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 สิงหาคม 2013.

  1. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    อุเบกขาเชิงบวกเนาะหลวงพี่เนาะ
     
  2. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ถึงเพื่อนๆ

    ให้เข้าใช้งานด้วยชื่อและพาสเวิร์ดเดิมจะเข้าได้ ถ้าลืมพาสเวิร์ดให้เข้าไปค้นดูในMSN หรือพยายามนึกให้ออก หรืออีกวิธีหนึ่งติดต่อเว็บมาสเตอร์ทางอีเมล์หรือทางโทรศัพท์ เพื่อให้ค้นชื่อและพาสเวิร์ดให้ ฟางว่านกลับมาแล้ว...
     
  3. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    มันทำได้เพราะมันเป็นมาร และไปทำศัลยกรรมมา
     
  4. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ให้ฟังหลวงพี่จิตสิงห์และธรรมภูติ
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เฮ้อ!!!....

    ทั้งที่ความคิดเห็นอันได้แสดงไปนั้น

    ไม่ได้เจาะจงถึงใครคนใดคนหนึ่งเลย

    เราพูดถึงเรื่อง "ศีล๕" ว่าใครที่ไม่มี "ศีล๕"นั้น

    ไม่ว่า "นักบวช" หรือ "นักปฏิบัติธรรม"ทุกคน

    ย่อมต้องเจอเครื่องกั้นความดีแบบถาวรไปจังเบ้อเร่อ


    ไม่จำเป็นต้องเห็น ไม่เห็น หรือ"เพ่งโทษ" เพราะไม่ได้คิดจะเจื...ไปจับ"ผิดใคร"

    ของแบบนี้ มีกรรมเป็นตัวกำหนดอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ใครรู้เห็นเป็นพยานหรือ"เพ่งโทษ"ก็ได้

    ทั้งที่มีหลักฐานสำคัญจากพระบาลี ที่เป็นพระพุทธพจน์ มันยังเถียงให้ได้เลย

    คนเราลองได้ละเมิด"ศีล"เป็นอาจินต์ ติดเป็นสันดาน มีหรือจะละอายต่อบาป

    ทั้งที่ "ศีล" เป็นข้อธรรมอันงดงามในเบื้องต้น สำหรับทุกศาสนา

    และที่เป็นรากฐานสำคัญที่ต้องมีในตน มันกลับกล้าละเมิด

    ส่วนสมาธิที่มี "ศีลอบรมดีแล้ว" ย่อมให้ผลใหญ่ มีอนิสงส์ใหญ่ฯ

    การสนทนาที่ดีนั้น ควรยืนอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลที่ตริตรองตามความเป็นจริงได้

    ไม่ใช่เอาอคิตส่วนตัวมาเป็นที่ตั้ง แม้บางครั้งยกตัวอย่างไปอาจใกล้ใครบ้าง

    ก็ไม่ใช่คิดจะเจาะจงไปถึงบุคคลนั้นใดเลย. แต่กลับร้อนตัวกันไปเอง

    เพราะปัจจุบันนี้ ชาวพุทธอ่อนแอ จึงตกเป็นเครื่องมีของ"คนชั่ว"ได้ง่าย ก็เท่านั้น

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว"ต้องขยาย" ให้ซาบซึ้งถึงแก่นกันเลย

    ทุกศาสนานั้นล้วน ให้รักษาศีลเป็นพื้นฐานทั้งสิ้น

    ศาสนอื่นนั้น มีแค่ศีลและปัญญา(ทางโลก)

    ส่วนพุทธศาสนานั้น มีศีล สมาธิ และปัญญาทางธรรม

    ย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

    เมื่อมีปัญญาทางโลก ย่อมสรรหาวิธีหลบหลีกไม่ให้ "รู้ว่าผิดศีล" โดยมีข้อแก้ตัว

    หรือทำไปไม่ให้คนอื่นจับได้ รู้จักใช้ปัญญาทางโลกเป็นตัวช่วย

    ส่วนปัญญาที่เกิดจากสมาธินั้น คือปัญญาที่รู้เห็นตามความเป็นจริง

    ลองได้"ทำผิดศีลเป็นอาจินต์"แล้ว จิตก็ย่อมกวัดส่งออกควบคุมยาก

    และอย่าได้หวังเลยว่าจิตจะมีสติสงบตั้งมั่น(สมาธิ)ลงตัวได้

    เมื่อไม่มี"สมาธิ"เป็นบาทฐานสำคัญ เพื่อให้จิตรู้เห็นตามความจริงแล้ว

    เอาปัญญาเพื่อความหลุดพ้นมาจากไหน(มีพระพุทธพจน์รับรองไว้)

    เมื่อพูดถึง"นักบวช" มีคำโบราณว่าไว้ บวชหนีสงสาร บวชผลาญข้าวสุก

    บวชสนุกตามเพื่อน บวชเลื่อนตำแหน่ง บวชแข่งวาสนา บวชรอเวลาฯลฯ

    จึงได้บอกว่า "นักบวช" นั้นหาได้ง่ายมาก ส่วน "พระ" ที่บวชเพื่อพ้นทุกข์นั้น

    ปัจจุบันคงหายากแล้ว เพราะ"พระพุทธองค์ทรงบัญญัติวิธีเข้าถึงความเป็นพระ"ไว้

    ไปหาดูได้เลยว่า "มีนักบวชสักเท่าไหร่ที่เดินตามพระโอวาท" ที่ทรงบัญญัติไว้

    ถ้าใครที่ชอบอ่านคำสอนของท่านพระอาจารย์หลวงพ่อฤาษี ก็คงจะรู้มาบ้างว่า

    "พวกที่ตกนรกได้ง่ายที่สุดและมีมากด้วยนั้น" คือพวก"นักบวช"(ไม่ได้เจาะจงนะ)

    แต่ที่ต้องพูดเพราะเดี๋ยวนี้คนอ่อนแอทางด้านจิตใจมากขึ้น

    เนื่องจากขาดศีล สมาธิ ปัญญามากำกับนั่นเอง

    ยิ่งปัจจุบันกลับมองเมินเรื่อง"ศีล๕" กันมากขึ้น

    มักชอบละเมิดโดยไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมที่ตนได้กระทำลงไปเพราะ"ไม่มีใครรู้"

    พระพุทธองค์จึงได้วางหลักเกณฑ์ ค่อนข้างรัดกุมมาก แต่คนเดี๋ยวนี้มันด้านเสียแล้ว

    ยังไม่ต้องลงมือเลย แค่มีไถยจิตคิดไปเท่านั้น และมีคนสามารถรับรู้ได้

    แค่นี้จริงๆ"สำเร็จเสร็จกิจ" จบบริบูรณ์ขาดจากความเป็นภิกษุแน่นอน

    แล้วขออย่าได้แอบอ้าง"ท่านเทวทัต"เพื่อจะทำ"ผิดได้"อีกเลย

    เพราะกว่าจะกลับลำได้นั้น ขอบอก ไม่รู้ว่ายาวนานแค่ไหน(กี่ภพกี่ชาติกี่อสงไข)

    โบราณว่าไว้ไม่เคย"ผิด" อัน"นักบวช" ไม่มีศีล ก็สิ้นดี

    อย่าได้คิดว่า พอสึกออกไปแล้วจะกลับลำได้ในชาตินี้ ไม่มีทางเป็นไปได้

    ทุกข์มีจริง ผู้เสวยทุกข์ก็จริง ที่ตอนที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญ"ทุกข์กรกริยา"อยู่นั้น

    พระพุทธองค์เอง ทรงได้เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เห็นว่าไม่มีทางพ้นทุกข์

    แต่ปัจจุบันเก่งเกินกว่าพระบรมครูกันแล้ว "ทุกข์มีจริง แต่ผู้เสวยทุกข์กลับไม่มี"เมื่อกล้าพูดออกมาแบบนี้

    เมื่อมีคนมาถามว่า"แล้วพระพุทธองค์ที่ทรงได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส"ได้อย่างไร?

    เฮ้อ!!! กรรมใดใครก่อ ก็ต้องยอมรับด้วยใจที่ทำลงไป

    เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน


     
  7. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    ผู้บวชเพราะศรัทธา และปราถนาประพฤติที่สุดพรหมจรรย์ก็มี

    ทุกวันนี้เรารับข่าวสารด้านเดียว ตามสื่อมักกล่าวแต่สิ่งไม่ดี ทั้งที่จริงที่ดีก็มีอยู่มาก

    ทีนี้กล่าวว่า ไม่เจาะจงผู้ใด เป็นการพูดตีวงกว้าง ถือเหมารวมสังฆมณฑลได้

    ไม่ว่าจะทิฏฐิใดที่ตนถืออยู่ก็ดี ว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้

    ถือว่าตัดช่องตน เมื่อมีทิฏฐิเช่นนี้ ย่อมเกิดภาวะเลือกปฏิบัติ เพ่งโลกที่สุดด้านเดียว

    เมื่อเลือกปฏืบัติ ย่อมเกิดความเคลือบแครง สังสัยตามมา ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เหตุคือตั้งศรัทธาไว้ผิด ทืฏฐิย่มผิดเป็นเงาตามตัวได้ .


    ขยายประโยค ที่ธรรมภูติติดใจ

    คำว่า ทุกข์ มีการเบียดเบียนเป็นลักษณะ

    มีอันทำให้เร่าร้อนเป็นกิจ

    มีความเป็นไปไม่สิ้นสุดเป็นผล

    มีสมุทัยเป็นเหตุใกล้

    คำว่า ทุกข์ ท่านยังหมายเอา ความเกิด ความหยั่งลงสู่ครรภ์ ความแก่ ความชรา

    ความร้อน ความหิวความเสียใจ คับแค้นใจ โรคภัย ฯลฯ ด้วย

    จะเห็นได้ว่า สภาวะเหล่านี้ เป็นเพียงนามรูป ที่เกิดขึ้นมาให้ยึดมั่นชั่วคราวแล้วดับไป

    ไม่เว้นแม้สุขเวทนา ที่เกิดอยู่ ขณะนั้นก็มีลักษณะของทุกขปรากฏอยู่

    ทีนี้ เมื่อปัญญาหยั่งถึงสภาวะธรรม ความยึดยือก็คลายไปชั่วขณะ

    เห็นสภวะธรรมที่เคยยึดมั่นเป็นเรา เป็นเพียงนามรู้เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่ขาดสาย ไม่หมดซะที.

    ปัญญาเห็นภัยการเกิดการดับ เป็นสิ่งหน้ากลัว เพราะอายตนะกระทบ วิญญาณเกิด ตัณหาเกิด อุปทานเกิด ชาติภพเกิดไม่จบสิ้น

    และส่วนมากไหลลงอกุศลมากกว่ากุศล


    คำว่า ผู้เสวยทุกข์ ซึ่งหมายถึง ความยึดมั่นว่าเป็นเรา ตัวเรา เราโกรธ เราเสียใจ เราสุข

    เราทุกข์ เราได้ทรัพย์ ทรัพย์นั้นของเรา

    สภาวะธรรมพวกนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดจากการปรุงแต่งทั้งสิ้น แล้วตัวเข้าไปยึดสภาวะธรรมเหล่านั้นเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

    เรียกว่า อุปทาน เหตุเพราะความไม่รู้สัจจะ

    เหมือน บุรุษเห็นพยับแดด หลงภาพความคิดอันเป็นมายา

    ทีนี้กระบวนการนี้ ต้องใช้วิปัสสนา คือสติสัมปชัญยะเข้าไประลึกสภาพธรรมตามจริง

    เมื่อสิ่งที่ถูกรู้เป็นอนัตตา สิ่งที่รู้ก็พลอยเป็นอนัตตาไปด้วย

    เพระาจิตที่แยกนามรูป ประจักษ์แล้ว นี้รูปขันธ์ นี้เวทนาขันธ์ นี้สัญญาขันธ์ นี้สังขารขันธ์

    ไม่ใช่ตัวตนที่จะไปบังคับอะไรได้เลย

    ส่วนจิตที่ไปรู้นั้น ก็มีสภาพธรรมโดยลักษณะ คือรู้ หรือผู้รู้

    ภายใต้รู้นั้น ก็เป็นวิญญาณขันธ์ ไม่ใช่ตัวตนเลย

    เพราะสำคัญผิดยึดมั่นเป็นเรา ของเรา ไม่แตกฆนะสัญญาออกไป อุปทานจึงเกิด ผู้ยึดมั่นในทุกข์จึงปรากฏ

    ผลก็ยึดมั่น ว่า รูปเป็นเรา เวทนาเป็นเรา สัญญาเป็นเรา สังขารเป็นเรา วิญญาณเป็นเรา

    เราเป็นรูป เราเป็นเวทนา เราเป็นสัญญา เราเป็นสังขาร เราเป็นวิญญาณ



    สรุป "ทุกข์มีจริง แต่ผู้เสวยทุกข์กลับไม่มี"

    ทุกข์มีโดยสภาวะ เป็นทุกขสัจ เหตุเกิดเป็นสมุทัย เหตุดับเป็นนิโรธ ทางควรทำให้แจ้วคือมรรค

    เมื่อประจักษ์สภาวะนามรูป โดยสภาวะ ความยึดมั่นในอุปทานขันธ์ก็จางไป คลายไป หมดไป ทีละขณะที่สติปัฏฐานเกิด

    เมื่อนั้น ผู้รับทุกข์จึงไม่มี ไม่ได้หมายความว่าทุกข์จะไม่มี มันก็มีอยู่ทำกิจหน้าที่อยู่ปกติ

    เวทนาก็ยังให้รสเวทนาเช่นเดิม แต่อัตตาผู้เข้าไปยึดเวทนาเป็นเรา ไม่มี

    มองไปที่ไหน ก็ไม่มีผู้ยึด มีแต่สภาวะที่ถูกรู้ และสภาวะที่รู้

    สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง ว่าขาดสูญ ว่าเป็นอัตตาก็คลายไป


    ทีนี้การจะเข้าถึงกระบวนการเหล่านี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกล่าว นามรูปเกิดดับ

    และอาศัยการเข้าไประลึกรู้อย่างถูกต้องเนืองๆ ไม่ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม . ^^
     
  8. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    ต้องถามว่า ก่อนตรัสรู้ หรือว่า ก่อนปรินิพพาน .

    จะนำมาเป็นสถานการณ์เดียวเหมือนกันหมดไม่ได้

    เพราะ กามจิต มหันคตจิต ผลจิต มรรคจิต กิริยาจิต ย่อมแตกต่างกัน

    ได้ยก เรื่องอื่นให้ดูแล้ว เรื่องลักทัพย์ทุกวัน แล้วได้ฟังธรรม บรรลุพระโสดาบัน

    อีกอย่าเรื่องพระเทวทัตนั้น ไม่ได้หมายที่ตกนรกหลายกัปป์ เพราะกระทำอนันตริยกรรม ย่อมรับผลแน่นอนอยู่แล้ว

    แต่ในที่นี้หมายเอาเฉพาะหน้าเลย คือระหว่างถูกธรณีสูบ ได้ถวายกระดูกคงและลมหายใจเป็นพุทธบูชา

    ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย การพลีกรรมเช่นนั้นยังให้ผลถึงพระปัจเจกเจ้า

    นี้ก็ชี้ให้เห็น ธรรมเป็นไตรลักษณ์

    ไม่เช่นนั้น ผู้ทำความชั่ว ย่อมไม่อาจปฏิบัติดีได้ อย่างนั้นหรือ

    ย่อมปราวณา สมาทานธรรม สูญเปล่าอย่างนั้นหรือ

    สัตว์เดรัจฉานไม่สามารถเกิดเป็นมนุษญ์ได้อย่างนั้นหรือ

    ปุถุชนธรรมดา ผู้เสพกาม ข้องกิเลส ไม่สามารถเพียรตน ให้ถึงความหมดจรดได้อย่างนั้หรือ

    ทิฏฐิเช่นนี้ ตรงสายกลางแล้วหรือ.


    คำว่า เพื่อจะทำ"ผิดได้"อีกเลย

    ช่วยชี้แนะด้วย ว่าเห็นสิ่งใดอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2013
  9. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เรื่องสติระลึกได้ นี่สำคัญมาก ต้องฝึกๆ ครับหลวงพี่
    ถึงจะพอเห็นได้ แต่ไม่หมายว่าจะรอได้
     
  10. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    ธรรมทั้งปวงมีลักษณะ ให้กำหนด ให้หมายรู้ ให้แทงตลอด ให้แจ้งได้ ^^
     
  11. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เห็นหลวงพี่กล่าวแบบนี้มาหลายครั้ง แรกๆก็สงสัยและเห็นแย้ง
    เพราะขณะที่รู้ไม่ทราบความหมาย อธิบายไม่ได้ หากแต่มีกำหนดตั้งขึ้นก่อน หมายรู้แทงตลอด แจ้ง ตรงนี้ปรากฏรสคลายสงสัยสลัดออกได้เบาบางลง
    หากออกมาก็เรียกไม่ถูกอธิบายไม่ได้อยู่ดี
    เลยแย้งหลวงพี่เรื่อยมา หากพอได้สดับเรื่อยๆ ก็พอรู้จักลักษณะอินทรีย์
    ก็เลยต้องกล่าวว่า แล้วแต่อินทรีย์ภาวนา
    หากที่รู้ได้เช่นเดียวกันคือรสที่ปรากฏ เท่านั้นเอง
     
  12. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    เมื่อหยั่งรู้ความจริงปรมัตถ์แล้ว

    การหวนคืนสู่ความจริงสมมุติจะเป็นเรื่องของการทำหน้าที่

    เป็นการกลับมาสู่ความทุกข์โดยไม่ทุกข์

    ทุกข์ที่เผชิญคือสภาพธรรมชาติ ไม่ใช่ความรู้สึกยึดติด
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    http://www.fungdham.com

    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่


    จิตรู้แจ้งที่ปัจจุบัน 28 ก.ค 28 - อาจารโปฏฐะ
    ************************************************
    ^
    ^
    ผู้ที่ยังสงสัยกาปฏิบัติธรรมเริ่มยังไง? จงฟัง
    เมื่อยังมีความสงสัยว่า "จิตกับวิญญาณ" เป็นสิ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่?
    ท่านพระอาจารย์หลวงปู่สิมเทศน์ไว้ชัดเจนว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น
    คืออาการของจิต ไม่ใชจิต ตรงกับพระพุทธพจน์ที่ว่า "นั่นไม่ใช่เรา(จิต)"
    และศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอัญญะมัญญะปัจจัยเกื้อกูลกันให้สำเร็จ...

    เจริญในธรรมอันสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...