ซูกระแท้ว....แซวกระทู้....

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 14 เมษายน 2014.

  1. tumdidi

    tumdidi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +419
    ท่าทางเราจะหลงตัวลืมตายไปเหมือนกัน อ่านแล้วได้สติต้องไม่ลืมตาย
     
  2. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สมัยก่อน พี่ชายผมเคยเล่ากึ่งวิจารณ์ให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องราวในพระพุทธศาสนา ตามประสาคนที่ยังลูบๆคลำๆพระพุทธศาสนา...
    เรื่องหนึ่งที่จำได้ดีคือ ยุคสมัยแห่งองค์สมเด็จพระสมณโคดม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ที่ทรงบำเพ็ญบารมีในด้าน ปัญญาธิกะ...

    พวกเราเห็นว่า ยุคสมัยปัจจุบันนั้น คนมีอายุขัยสั้นกว่า ยุคอื่นๆ คือเพียง 100 ปีโดยประมาณ และจะลดลงไปเรื่อยๆ ทุกๆ100ปี จะลดลงไป 1 ปี จนปัจจุบันมนุษย์จึงมีอายุขัยเฉลี่ยที่ประมาณ 75 ปี
    การปฏิบัติธรรมในยุคพระบารมีปัญญาธิกะนี้ ผู้คนจะฉลาดมาก บรรลุธรรมได้รวดเร็ว เป็นผู้มีปัญญามาก เมื่อบรรลุธรรมแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ให้นานไป เพราะแม้จะบรรลุธรรมแล้ว ร่างกายที่ยังประกอบด้วยเลือดเนื้อเมื่อใด ยังต้องกิน ต้องดื่ม ยังต้องมีทุกขเวทนาทางกายอย่างนี้แล้วย่อมไม่ดีแน่...บรรลุธรรมแล้วรีบๆตายเข้าพระนิพพานไปน่าจะดีกว่า...

    เฮียผมยังกล่าวเอาไว้อีกว่า ในยุคปัญญาธิกะนี้ ก็มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ คนที่ฉลาดมาก ก็จะพากันดัดแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เข้ากับฑิฐิตนได้อย่างแนบเนียน นักปฏิบัติก็จะหาทางเลี่ยงบาลี หรือตีความพระคัมภีร์ให้ไปในฑิฐิที่ตนเชื่อ แล้วใช้ปัญญาที่มีพูดจาหว่านล้อมให้ผู้คนหลงเชื่อตามได้เป็นอย่างดี...
    หรือจะเรียกอีกอย่างว่า เป็นยุคของคนเจ้าเล่ห์ที่มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว แม้เมื่อครั้งพุทธกาลก็มีจำนวนมาก ดังจะเห็นได้จากพระวินัยที่ทรงบัญญัติขึ้นอันเนื่องจากสงฆ์ในยุคนั้นกระทำผิด โดยอาศัยการเลี่ยงคำสั่งสอน หรือบิดเบือนให้เข้ากับฑิฐิตน จนมีพระวินัยถึง 227 ข้อ ยังไม่รวมเสขียวัตรอีกพันกว่าข้อ...

    ภายหลังมานี่ผมลองพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่ามีส่วนจริงอยู่ด้วยเหมือนกัน ทุกวันนี้มีการบัญญัติศัพท์แปลกๆใหม่ๆ เพื่อเรี่ยไรเงินทำบุญก็มาก มีการนำคำสอนมาบิดเบือนก็มาก มีการเอามาถกเถียงกัน คัดง้างกัน เพื่อเอาชนะกัน หรือแข่งขันกันว่าใครจะเหนือกว่ากัน บ้างก็เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาใช้ด่าคนอื่นก็มี หรือเอาคำพูดคำสอนครูบาอาจารย์มาใช้เพื่อตัวเองทำชั่วแต่ห้ามคนอื่นมาด่านี่ก็มี อย่างเช่นคำพูดหลวงปู่ดู่ที่ว่า "คนดี ไม่ตีใคร" อย่างนี้เป็นต้น...
    บางครั้งก็ตีความคำว่า "ใบไม้นอกกำมือ" ไปเป็นเรื่องความรู้ในอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ จักรวาล ฯลฯ

    ยุคสมัยแห่งปัญญาธิกะนี้มีข้อดีที่ผู้คนฉลาด ต่างพากันบรรลุธรรมได้เร็ว แต่ข้อเสียก็คือมีโอกาสจะกลายเป็นคนฉลาดแกมโกง จนกระทั่งหลงตัวเอง แล้วพากันลงอบายภูมิกันเสียหมด...ทางแก้ไขคงไม่มี แต่ทางป้องกันที่ดีนั้น คือควรอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสุปฏิปันโน แล้วทำตามที่ท่านสอนทุกอย่าง ไม่คัดง้าง โต้เถียง หากสงสัย ไม่แน่ใจก็สามารถสอบถามได้ เพื่อจะได้ปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง เช่นนี้แล้วก็จะทำให้ชาตินี้ เป็นชาติที่บำเพ็ญบารมีกันได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
     
  3. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ทำบุญแล้วต่างพากันหวังว่าจะไปเกิดในยุคพระศรีอาริย์
    เพราะยุคนั้นคนจะมีอายุยืน 80,000-100,000 ปี ผู้คนหน้าตาสวยงาม นิสัยดี อยากได้อะไรก็มีต้นไม้งอกสิ่งนั้นมาให้ อยากได้ ไอโฟน8S ก็งอกมาให้ พร้อมแอพฯฟรี ทุกประการ ผู้คนมีความสุขมาก สัญญาณไฮสปรีดมีให้ใช้ฟรี ความเร็วขนาด 10G อย่างนี้เป็นต้น...

    มีบ้างเช่นกันหวังจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ได้ครองโลกทั้งใบ เหาะไปไหนก็ได้ ร่ำรวยทั้งทรัพย์สิน หญิงงาม สารพัดจะแสนดี มีความสุข ต้องการอะไรมี ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว ลูกแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว เครื่องบินแก้ว จานบินแก้ว ถ้วยแก้วบิน...และอะไรที่มันแก้วๆมากมายไปหมด...

    ผมมีมโนไปเองนะครับว่า ในยุคพระศรีอาริย์นั้น คนยังต้องกินข้าว ถ้ายังต้องกินข้าวก็แสดงว่าต้องหิวข้าว เมื่อกินข้าวแล้วก็ต้องขับถ่าย จะขับถ่ายมันก็ต้องปวด กลางวันทำกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ กลางคืนก็ต้องนอน จะนอนมันก็ต้องง่วง...คืออาการหิว ปวดท้อง ง่วงนอน ทั้งหลายเหล่านี้ผมเรียกว่าเป็นทุกข์อย่างหนึ่งจะได้ไหม คือมันคงไม่ใช่สุขกระมัง...แล้วการที่ต้องมีอายุ20,000 ปี ถึงจะบรรลุธรรม กว่าจะตายเข้านิพพานได้คือ 80,000 ปี ระยะเวลายาวนานขนาดนั้น ไม่รู้ว่ามันจะทุกข์ขนาดไหนเหมือนกันนะครับ ถึงเวลานั้นแล้วคนอาจจะไม่รู้สึก เพราะเหมือนๆกันไปหมด...

    นี่ขนาดให้ปฏิบัติธรรมกัน 100 ปีแล้วเข้านิพพาน ยุคนี้ยังร้องโอยกันเลยนะ แล้วยุคนั้นที่ต้องปฏิบัติกันยาวนานขนาดเป็นหลายหมื่นปี นี่จะทำยังไง จะดีอย่างที่ว่าจริงหรือนี่
    ส่วนที่ต้องการเกิดมาสวยงามมีความสุขแบบนั้น ทำไมไม่ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ จะไม่ดีกว่าเกิดในยุคพระศรีอาริย์หรอกหรือ แล้วทุกวันธรรมสวนะก็ยังได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จที่พระจุฬามณีอีกด้วย ไม่ต้องปวดท้อง ไม่ต้องหิว ไม่ต้องง่วงนอน อยากได้อะไรก็เนรมิตเอา อยากได้นางฟ้าก็มีให้เยอะแยะ มันน่าจะดีกว่าไปเกิดในยุคพระศรีอาริย์อีกนะ....

    ส่วนพระเจ้าจักรพรรดิ์นั้น เห็นอยากเป็นกันจังเลยครับ...
    ผมเอาว่าเป็นพระเจ้าอยู่หัวก็พอ ประชาชนเดือดร้อน ฝนไม่ตกก็ไปหาฝนหลวงมาให้ น้ำท่วมก็ต้องออกไปช่วย ทะเลาะกันตีกันก็ต้องไปห้าม ต้องเข่นฆ่าผู้คนจำนวนมาก จะด้วยตั้งใจก็ดีไม่ตั้งใจก็ดี เนื่องเพราะคนเหล่านั้นต้องอาญาแผ่นดิน หนีไม่พ้น พระเจ้าแผ่นดินต้องรับวิบากกรรม...
    แล้วพระเจ้าจักรพรรดิ์นี่เป็นหัวหน้าของพระเจ้าแผ่นดินอีกทีหนึ่ง นี่มันจะทุกข์ขนาดไหน จะสร้างบาปสร้างกรรมได้อีกมากมายเพียงใด จะมีภาระมากมายขนาดไหน จนกระทั่งไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมเสียกระมัง...
    ผมว่าเกิดเป็นคนธรรมดา มีเหลือกินเหลือใช้ ได้ทำบุญ ใส่บาตร ไหว้พระสวดมนต์ เจริญภาวนา มันวิเศษกว่าเป็นไหนๆ จะเป็นไปทำไมกัน พระเจ้าจักรพรรดิ์ หรือว่าอยากมีอำนาจ อยากจะบ้าอำนาจ แบบว่าทุบโต๊ะปัง ทุกคนเงียบหมด สั่งให้ทำอะไรไปทำหมด สั่งใครให้มีความสุขก็สามารถสั่งได้หมด...
    จะอยากใหญ่ อยากวิเศษกันไปถึงไหนนะ ตายไปฟันที่อมในปากยังเอาไปไม่ได้ซักซี่เดียว ที่เอาไปได้มีแต่บุญกับบาป เท่านั้นแหละ อย่างอื่นเอาไปไม่ได้หรอกนะ...
     
  4. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สมัยเรียนอยู่ปี1 ผมเคยได้ยินเจ้าอาวาสวัดหนึ่ง บอกว่าจะขอเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย บำเพ็ญบารมี 5000 อสงไขยกัปป์ เพื่อจะรื้อขนสัตว์ทั้งหมดให้เข้านิพพานทั้งหมด ส่วนปลาที่ไม่มีขนอันนี้ไม่ทราบว่าจะอยู่ในข่ายที่ท่านจะช่วยรื้อด้วยหรือเปล่า อันนี้ผมก็ไม่กล้าถาม...

    ว่าแต่ก็มีลูกศิษย์จำนวนมาก ที่บริจาคเงินกันทีละมากๆ อยากจะขอตามติด และติดตามท่านไป จนชาติสุดท้าย ซึ่งในจำนวนนั้นไม่มีผมรวมอยู่ด้วย เพราะว่านานเกินไป ลำพัง16อสงไขย กำไรอีกแสนกัปป์ นี่ก็นานมากแล้วนะ ทั้งๆที่จริงๆผมก็ไม่ได้อยากได้กำไรหรอกนะครับ ผมขอแค่เท่าทุนก็พอ กำไรมาทำไมอีกตั้งแสนกัปป์ ไม่อยากได้หรอก...เหมือนรถเมล์ต้องการจะแถมให้อีก2ป้าย ยังไงก็มิรุ

    คำถามดีกว่า...ผมสงสัยว่า พระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายจะมีหรือเปล่า?
    ถ้ามีพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย แสดงว่าดวงจิต ดวงวิญญาณทุกดวง บรรลุอรหัตผลจนหมดสิ้น สัตว์นรก ไม่มี แม่มด พระยามาร ซาตาน ไปจนพระพรหม พระศิวะ พระอิศวร ฯลฯ ไปนิพพานกันหมด ไม่มีเหลือ ไม่มีแม้แต่แพลงตอนในทะเล

    ถ้าทำได้เช่นนั้นจริงมันก็ต้องไปทำลายรากเง้าของการเกิดของดวงจิตดวงวิญญาณเหล่านี้ให้หมดไปด้วย แล้วรากเง้าของดวงจิตดวงวิญญาณเหล่านี้เกิดมาจากไหน?
    แทนที่จะตอบว่าไม่รู้ ก็จะเสียฟอร์ม ท่านก็จะเลี่ยงไปตอบว่า มันเป็นอจินตรัย ห้ามถาม คนถามจะเป็นบ้า .... เป็นแนวทางคำตอบที่ดูจะคลาสิกที่สุดแล้วนะเนี่ย...แต่จริงๆคือ "ไม่รู้" นั่นเอง...

    เพราะถ้ารู้แล้วว่า ดวงจิตดวงวิญญาณเหล่านี้ มีกำเนิดมาจากไหนแล้ว ผมว่าคงจะไม่มีใครกล้าอธิษฐานว่าขอเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายหรอกครับ...เพราะจะไม่มีพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายแน่ๆ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2014
  5. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    เมื่อนักปฏิบัติธรรม เกิดสภาวะจิตตก.. แต่หาหนทางเก็บกู้คืนไม่ได้

    นั้นแสนจะทุกข์...มืดมึนตึ๊บ!!! เคว้งคว้างเหมือนขยะอวกาศ..หาจุดจบไม่เจอ


    อันนี้ก็น่าสนุกนะป๋ามิงค์..ช่วยเล่าประสบการณ์หน่อยครับ

    หนู..อยากรู้


    เชื่อว่า..หลายท่านอยากฟัง
     
  6. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    เรื่องของคนโง่ถามผู้เชี่ยวชาญทักษะ.ทางจิตวิญญาณ จากป๋าระมิงต์
    ผมพร้อมเข้าน้อมรับเรียนรู้ไว้ ถือว่าเป็น 1 ใน 38 มงคลชีวิต


    พระท่านสอนไว้...ครับ...

    ใครอยากเรียนด้วย..ก็เฮเข้ามา
     
  7. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ดิฉันยกมือขอเรียนด้วยคนค่ะ อารมณ์มันถอยจนเกือบสุดแล้ว พยุงยังไงก็ไม่ค่อยอยู่ บางวันตั้งนะโมฯ ในใจ 3 จบ แทบจะไม่ค่อยรอด อะไรจะเวอร์ปานนั้น. ขอส่งสัญญาณ SOS ด้วยคนค่ะ
    ขอบคุณท่าน toplus ที่ถาม
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    จิตตก....เบื่อหน่ายในธรรม....กรรมฐานเสื่อม...


    เกิดขึ้นได้อย่างไร?
    เกิดขึ้นแล้วจะดำรงอยู่อย่างไร?
    สุดท้ายแล้วเราจะแก้ไขได้อย่างไร?

    เรื่องนี้จะเล่าแล้วยาวพอสมควร และคงต้องเท้าความกันไกล แต่คิดๆดูแล้ว ก็เห็นว่าเล่าเอาไว้ ให้เป็นอุทธาหรณ์ เกิดแง่คิดมุมมองใหม่ๆก็น่าจะดีกว่าเก็บไว้เงียบๆคนเดียว...

    หลายๆคนเมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นแล้ว ก็เที่ยววิ่งวุ่นหาครูบาอาจารย์ให้ช่วย บ้างก็เปลี่ยนศาสนาไปเลย และมีจำนวนไม่น้อยที่หันหน้าไปพึ่งร่างทรงองค์เทพทั้งหลายให้ช่วย เพราะเหตุว่าทางธรรมก็วิบัติ ทางโลกก็วิบัติ มันหาทางไปต่อไม่ได้ จนหนทางแล้วจริงๆ...

    ความจริงนั้น หนทางมันไม่ได้จน ที่เราจนกันมากๆ คือ จนปัญญา อันนี้คือความยากจนที่น่าสมเพชที่สุด อย่างหนึ่ง คนโดยมากทุกวันนี้ ที่ยากจนก็จนด้วยปัญญานี้เอง ผมเป็นคนหนึ่งที่รักประชาธิปไตย ถือเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก เมื่อคนส่วนใหญ่จนปัญญา ผมก็ต้องว่าไปตามกันครับ ไม่งั้นจะไม่เป็นประชาธิปไตย...แต่ถึงแม้จะเป็นพวกเดียวกับคนส่วนใหญ่ ผมก็ยังให้ความเคารพในเสียงส่วนน้อย ต้องรับฟัง เพราะเสียงข้างมากก็ไม่ใช่จะถูกต้องเสมอไป...

    เรื่องที่จะเล่าต่อไป อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตเราๆท่านๆทั้งทางโลก และทางธรรม จึงจะได้เท้าความกันไปไกลสักหน่อย เพื่อปรับวิสัยทัศน์ ก่อนจะมอบความสุขให้กับทุกท่าน อันนี้แอบขบเล็กๆน้อยๆ พอให้เข้ากับยุคสมัยซะหน่อยนึง...
    ค่ำๆจะมาเริ่มเล่าให้ฟังนะครับ...
     
  9. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    บางที่สิ่งที่ว่าจน กันนี้ ก็เป็นปัญญาให้กับคนกลุ่มเล็กๆบางกลุ่มได้มองเห็น

    อะไรบางอย่างได้ ความที่คนหมู่มากแสดงความคิดเห็น ไปในทางใดทางหนึ่ง มันก็เป็นภาพสะท้อนให้คนหมู่น้อยได้คิด ถ้าหากมีภาวะพอ ที่จะย้อนทวนตัวตนทวนสังคมชีวิตความเป็นอยู่ได้

    แล้วก็จะพอมองเห็นว่า สังคมมันจะพาคนทั้งหมด ไปทางไหน อยู่ที่คุณเลือกจะเดินตามหมู่ หรือจะเดินทางอื่น

    ถ้าคิดจะเป็น นายเขาก็จงเดินนำหน้า ถ้าคิดจะเป็นผู้ตาม ก็จงฟังเจ้านาย
    ถ้าคิดจะเดินปะปนไปกับเขาก็ดูกระแส ให้เขาพาไป

    หากคิดจะออกจากหมู่ ก็จงเดินออกมา ฟังเสียงตัวเอง แล้วก็ตัดสินใจว่าทำได้อย่างที่คิดหรือไม่

    บ่นไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไร ไม่ได้มาทักทายกันนานครับ
     
  10. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ดูงาน..รับดอกไม้จากใจครับ(f)
     
  11. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ดิฉันก็ขอยกมือด้วยคนค่ะ...(ไปต่อไม่ได้แล้วค่ะ ไม่รู้จะไปทางไหนดี?:p)
     
  12. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ดิฉันพูดจริงๆนะคะ ไม่ได้มีเลศนัยซ่อนเร้น(สังเกตุได้จากรูปแทนตัว อิๆ)
    พวกเราต้องช่วยกันค่ะ อย่ามัวแต่อคติ หรือเฟคใส่กัน ควรมีใจเปิดโล่ง จะได้โปร่งสบายไงคะ?
    ปล.ดิฉันสังเกตมาซักระยะนึงแระ มีบางท่านเฟคโครตๆเลยล่ะค่ะ:VO
     
  13. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    แสดงความเห็นแค่นี้ก่อนค่ะ(คิดบวกเยอะๆนะคะ เป็นกำลังใจด้วยกันค่ะqsqu)
     
  14. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    แต่เล็กมานั้น ผมรู้ตัวเองดีว่า ไม่ใช่คนเก่ง ไม่มีคุณสมบัติอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษ เป็นเด็กธรรมดาๆ ขี้อาย ขี้กลัว และขี้สงสัย...
    บางครั้งก็หยุดมองอะไรนานๆ คล้ายเหม่อลอย จนหลายคนคิดว่าผมซื้อบื่อ แต่จริงๆผมหยุดคิด เพื่อหาคำตอบในสิ่งที่ผมสงสัย
    ในส่วนของการปฏิบัติธรรมนั้น แม้ผมจะฝึกมาตั้งแต่เล็ก ก็เป็นการฝึกจากนิสสัยเก่าที่เคยมีมา คงเป็นเรื่องค้างคากันมานาน ที่ฝึกไม่สำเร็จสักที ก็คงเนื่องจากไม่ใช่คนเก่ง ไม่มีบุญญาบารมีมาก่อนเก่า ส่วนวิบากกรรมคงทำมามากโข เพราะผมฝึกด้วยความยากลำบาก ความก้าวหน้าก็ช้าอย่างยิ่ง และคงเพราะความขี้สงสัยของผมด้วย ที่สงสัยแล้วก็ต้องค้นคว้าหาคำตอบให้ได้ จึงดูจะเสียเวลามาก....
    อย่างที่ป๋าToplus99 รู้สึกเหนื่อยกับความขี้สงสัยของผมนี่แหละครับ ผมก็เหนื่อยเหมือนกัน...
    และด้วยความคิดที่แปลกประหลาด ไม่เหมือนคนอื่นเขา จึงเกิดมุมมองต่างๆที่คนดีๆทั่วไปเขาไม่สนใจกัน ฟังๆไปแล้ว คุณรุ้งดาว อาจจะรู้สึกว่า ป๋าระมิงค์ นี่กากกว่าฉันซะอีกนะเนี่ย...

    ผมเริ่มต้นจากการเพ่งแสงสว่าง จากนั้นจึงมาเพ่งไฟ ตามมาด้วยบริกรรมพุทโธ จับลมหายใจ มาฝึกสติตามแนวหลวงพ่อใหญ่วัดไทรงาม ฝึกวิชชาธรรมกาย มโนมยิทธิ อสุภะกรรมฐาน และกลับมาฝึกสติปัฏฐาน4 กับพระธุดงค์ หลวงพ่อพิทักษ์ ปริสุทโธ...
    ปัญหาของผมคือ ผมไม่เข้าใจความหมายของนามธรรม เช่น คำว่า “รู้ลมหายใจเข้า หายใจออก”
    คำว่ารู้ลมหายใจ ที่ผมกำลังรู้อยู่นี้ จะตรงกับรู้ของครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้หรือเปล่า อันนี้ผมไม่รู้ หรือรู้ของผมมันคือการบังคับ หรือการเพ่ง ซึ่งมันรู้เหมือนกัน แต่เป็นการรู้แบบบังคับกดข่มไว้ หรือที่ผมรู้มันคือรู้โดยสัญชาตญาณ ผมไม่เข้าใจความหมายของคำว่า”รู้” ของครูบาอาจารย์ที่ท่านอธิบายมาครับ แม้จะได้ซักถามอย่างไรผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี จนในที่สุดทุกท่านก็เอือมระอา ส่วนผมเองเมื่อไม่ได้คำตอบที่ตรงกับใจ ก็ได้แต่เงียบเอาไว้แล้วก้มหน้าฝึกไปทั้งผิดๆถูกๆ ทำไปก็คอยสังเกตไปว่ามันต่างกันอย่างไร และถ้ามันต่างกันอย่างนี้แล้ว เวลาเราอธิบายความหมายเราจะอธิบายอย่างไรให้คนอื่นเขาเข้าใจ...

    ในที่สุดผมก็จะค้นพบวิธีการที่คล้ายๆกับการอธิบายความเปรี้ยว ผมก็จะหาวิธีเอามะนาวมาให้ลองชิม เอามะขามเปียกมาให้ลองชิม เอาน้ำส้มสายชูมาให้ลองชิม แล้วบอกเอาว่า เปรี้ยว คือแบบนี้...

    ดังนั้นในการฝึกกรรมฐานของผมจึงมีกุศโลบายมากมายหลากหลายวิธี เพื่อให้สิ้นสงสัย

    วันเวลาผ่านไปยาวนาน จนผมพบว่า สิ่งที่ครูบาอาจารย์สอนไว้นั้น ถูกต้องหมดทุกประการ แต่ผมมองข้ามสิ่งที่ท่านสอนไป ทั้งๆที่เป็นสิ่งสุดยอดทั้งนั้น จะกล่าวสิ่งนั้นออกมาได้ ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยากลำบากยาวนานเต็มทน จึงจะพูดคำสอนแบบนี้ออกมาสั้นๆง่ายๆได้ แต่พวกเรากลับดูเบา มองข้ามกันไป...
    คำสอนเหล่านี้ได้แก่...
    “มันไม่แน่”
    “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป”
    “ทุกข์เท่านั้นที่เกิด ทุกข์เท่านั้นที่ดับ นอกจากทุกข์แล้วไม่มีสิ่งใดเกิด นอกจากทุกข์แล้วไม่มีสิ่งใดที่ต้องดับ”
    “การเจริญกรรมฐานนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อ ชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญ ให้ผู้ที่จากไปคิดถึง แต่เป็นไปเพื่อความลด ละ เบื่อหน่าย คลายกำหนัด ออกจากกาม เพื่อทำพรหมจรรย์ของเราให้ยิ่งๆขึ้นไป”
    ...................................................................................................................................................

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2014
  15. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    คนที่ฝึกกรรมฐานมา จะต้องเคยเจอว่า บางวันทำได้ดี จิตรวมเร็ว สงบ สงัด อารมณ์นิ่งดิ่งเป็นหนึ่งเดียว มาอีกวันนึง มันวุ่นวาย รวมไม่ลง จะสวดมนต์ก็แล้ว อ่านหนังสือธรรมะก็แล้ว นั่งมององค์พระก็แล้ว ทำหมดทุกอย่างแล้ว จิตมันไม่รวม ลมหายใจจับไม่ได้มันหงุดหงิด งุ่นง่าน ไม่สบายใจยังไงชอบกล
    ก็ในเมื่อกรรมฐานเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ประเสริฐ แล้วทำไมเราก็ทำดีแล้ว เข้าถึงความสงบได้แล้ว พอมาอีกวันมันไม่สงบเสียแล้ว บางครั้งภายในวันเดียวกัน เวลาหนึ่งเกิดสงบดี อีกเวลาหนึ่งเกิดไม่สงบเสียแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ผมสงสัย...ผมสงสัยว่า กรรมฐานที่ฝึกอยู่นี้ มันจะไม่แน่เสียแล้ว กรรมฐานที่ว่าเป็นสิ่งประเสริฐนี้ เวลานี้ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่แน่เสียแล้ว ก็ในเมื่อคนๆเดียวกัน ฝึกแบบเดิมแบบเดียว ทำไมเดี๋ยวมันสงบ เดี๋ยวมันก็ไม่สงบ...ผมสงสัยอีกแล้วว่า ความสงบนี้ ก็ไม่แน่เสียแล้ว ที่ว่าสุขอื่นเสมอด้วยความสงบไม่มีนี้ ความสงบนี้มันไม่แน่เสียแล้ว...

    ผมย้อนไปในอดีตชาติ หลายๆชาติ ผมฝึกกรรมฐานจนได้อภิญญา แทบทุกชาติ แต่กลับชาติมาเกิดใหม่ทุกที อภิญญาก็ดี กรรมฐานก็ดี หายไปหมด ผมจำไม่ได้ ผมทำไม่ได้ ผมต้องมาฝึกใหม่หมด เริ่มต้นใหม่ทุกชาติไป นี่ถ้าชาตินี้ผมฝึกจนสำเร็จอีก ตายไปชาติหน้าผมก็ต้องมาฝึกใหม่อย่างนี้อีก นี่มันแสดงว่า กรรมฐานก็ดี อภิญญาก็ดี มันไม่แน่... แล้วอะไรที่มันแน่ๆ มันเที่ยงแท้แน่นอนบ้าง...ท่านผู้รู้บอกว่าความไม่แน่นี่แหละคือความแน่นอนที่สุด...แล้วนี่จะบอกว่าให้ผมฝึกอยู่บนความไม่แน่อย่างนี้ไปตลอดใช่ไหม...คำตอบก็คือ “มันก็ไม่แน่” ไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่นะ...แต่คำนี้คำเดียว คุณทำกันไปได้จนสุดถึงพระนิพพาน....
    ................................................................................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2014
  16. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป”
    สิ่งใดก็ตาม ที่เกิดขึ้นแล้ว ขึ้นชื่อว่าไม่ดับไป ย่อมไม่มี หรือจะพูดให้ฟังกันง่ายๆอีกอย่างหนึ่งว่า
    “สรรพสิ่งใดๆในโลกนี้ ทั้งรูปธรรม นามธรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว จะต้องดับไปอย่างแน่นอน”
    นี่แหละครับ กรรมฐานเสื่อม....
    แต่เล็กแต่น้อยมาเราไม่เคยรู้จัก ไม่เคยฝึกฝน ในด้านภาวนา ทั้งด้านสมถะหรือวิปัสสนาก็ดี เมื่อเริ่มรู้ความจึงได้เริ่มต้นฝึกกรรมฐานเหล่านี้ จะเริ่มต้นด้วยการจับลมหายใจเข้าออกก็ดี อาศัยคำบริกรรมก็ดี ใช้การพิจารณาก็ดี ทั้งนี้ก็เพื่อให้จิตรวมตัว เมื่อรวมตัวลงแล้ว ได้พบเห็นความสงบ ได้เห็นจิต เห็นอาการของจิต เห็นนิมิต พิจารณาสังขาร ใคร่ครวญในอริยสัจ4 ตลอดจนไตรลักษณ์ สิ่งเหล่านี้รวมๆกันเรียกว่า การภาวนา ภาวนา ท่านแปลว่า ทำให้เกิด...อ่านให้ดีนะครับ ภาวนา ท่านแปลว่า “ทำให้เกิด” ผมพึ่งจะบอกไปว่า “สรรพสิ่งใดๆในโลกนี้ ทั้งรูปธรรม นามธรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว จะต้องดับไปอย่างแน่นอน”
    ดังนั้นกรรมฐานที่ท่านพากเพียรทำมาแทบล้มประดาตายนั้น มันเสื่อม นี้ถูกต้องแล้ว
    เคยท่องกันมาใช่ไหมครับ “สัพเพ ธัมมา อนัตตา”
    ตอนนี้ยังสงสัยอีกไหมครับว่า ทำไมกรรมฐานถึงเสื่อม...
    ................................................................................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2014
  17. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    กรรมฐานเสื่อม จิตก็ตกตามเป็นธรรมดา ความฉิบหายแห่งนักปฏิบัติธรรมก็บังเกิดในเวลาเดียวกัน
    ที่ผมรู้เพราะเกิดขึ้นกับผมมาก่อน ผมเห็นมาตลอดในกระบวนการเสื่อม จนวิบัติฉิบหาย ติดลบ ทะรูดทะราด บรรยายไม่จบ....
    ผมจึงเปรียบการปฏิบัติธรรมเหมือนการเข็นครกขึ้นเขา จากตีนเขาเราเข็นขึ้นไป หนักก็หนัก ต้องระมัดระวังมือตีน ค่อยขยับ ค่อยประคองมันขึ้นไป ทีละนิด ทีละนิด ช้าๆ เนิ่นนาน จนมองเห็นยอดเขาอยู่ข้างหน้าแล้ว จู่ๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย ครกมันก็กลิ้งลงมา ทับเอาตัวเราติดไปกับครก กลิ้งมาถึงตีนเขาไม่พอ มันกลิ้งเลยต่อไปเข้ารกเข้าพก ตกน้ำ ตกเหว ไปไกล....มันไกลกว่าปุถุชนที่เขาอาศัยอยู่ตีนเขา ที่ไม่ได้เข็นครกขึ้นเขา เขาเหล่านี้ใช้ชีวิตคลุกอยู่กับโลกีย์วิสัย สภาพนักปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน สภาพมันดูไม่ได้เลยครับ มันเลวกว่าปุถุชนคนทั้งหลายเสียอีก นี่เวลามันเสื่อม เสื่อมให้เห็นถึงแบบนี้....

    ทำให้เห็นอะไรบ้าง...
    ผมเห็นว่าธรรมนี้เป็นของคู่โลก ธรรมที่คู่กับโลกนี้ มีทั้งธรรมดำ ธรรมขาว ทั้งธรรมไม่ดำไม่ขาว ทั้งธรรมที่ดำด้วยขาวด้วย เป็นของคู่โลกนี้มาแต่ก่อนนานแล้ว องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงค้นพบธรรมทั้งหลายทั้งปวงนี้ แล้วทรงรวบรวมมาตรัสสอน ให้อาศัยธรรมอันไม่เที่ยงนี้ ไปสู่ที่อันเที่ยง ....
    เราทั้งหลายเกิดจากกรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงใช้กรรมนี้เอง เพื่อทำให้เราทั้งหลายพากันพ้นกรรม เพราะกรรมนี้เองก็ไม่เที่ยง ก็อาศัยกรรมอันไม่เที่ยงนี้เอง นำไปสู่สภาวะอันเที่ยง นี้จึงเป็นที่มาของ”กรรมฐาน” คือพื้นฐานของการกระทำ ทำอะไร ทำบนความไม่เที่ยง เพื่อไปให้พ้นจากความไม่เที่ยง เป็นแบบนี้....
    ........................................................................................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2014
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    อยากจะขอให้จดจำ เยี่ยงอย่างของพระอัสสชิเอาไว้ครับ ผมอ่านเรื่องของพระอัสสชิที่หลวงพ่อฤษีท่านเล่าให้ฟังแล้ว มีเรื่องให้สะดุดใจในการปฏิบัติธรรมทั้งหลายที่ผ่านๆมาครับ
    ขณะที่พระอัสสชิกำลังจะดับขันธุ์นั้น ทุกขเวทนาเกิดขึ้นมาก กำลังสมาธิก็ดี กำลังสติก็ดี กรรมฐานทั้งหลายที่เคยทำมา เอาไม่อยู่แล้ว เสื่อมไปหมดแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปถึง พระอัสสชิก็กราบทูลให้ทรงทราบ และถามว่า ความเป็นอรหัตผลของข้าพระพุทธเจ้าเสื่อมลงเสียแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามพระอัสสชิว่า เธอเห็นว่าร่างกายนี้มีในเราหรือเรามีในร่างกายนี้หรือ? พระอัสสชิตอบว่า ไม่ พระพุทธเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสถามต่อว่า เธอเห็นว่าการเกิดเป็นสิ่งที่ดีอยู่หรือ? พระอัสสชิตอบว่า ไม่ พระพุทธเจ้าข้า ฯลฯ มีอีกหลายคำถาม พระอัสสชิท่านยืนยันคุณธรรมที่ท่านบรรลุได้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสยืนยันว่า ความเป็นอรหัตผลของพระอัสสชิ นี้ไม่เสื่อม....
    อ่านถึงตรงนี้แล้วขอให้เข้าใจว่า พระอัสสชินี้เป็นพระอรหันต์ยุกต้น เป็น1ใน5ปัจจวัคคีย์ที่สำเร็จอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ เป็นพระอรหันต์ที่มีกำลังมาก องค์หนึ่ง ในบั้นปลายก่อนจะดับขันธุ์ กรรมฐานทั้งหมดของท่านเสื่อม แต่คุณธรรมที่ท่านได้บรรลุแล้วเพื่อความเป็นอรหัตตผลของท่านไม่เสื่อม สังโยชน์ทั้ง10ประการที่ท่านแจ้งแล้ว สลัดหลุดแล้ว ไม่หวนคืนอีกแล้วนั้น ไม่เสื่อม...
    นี่เองทำให้ผมเห็นว่า กรรมฐาน เป็นเครื่องมือในการบรรลุธรรม เมื่อบรรลุธรรมแล้ว ก็อาศัยธรรมนั้น มาชำระธรรมให้สิ้นไป จนในที่สุดแล้ว กรรมฐานก็ยังคงอยู่กับโลกนี้ ธรรมก็ยังคงอยู่กับโลกนี้ จิตเดิมแท้ของพระอัสสชิเท่านั้นที่กลับเข้าสู่สภาวะนิพพาน ซึ่งกรรมฐานที่ท่านทำมาก็ดี ธรรมที่ท่านบรรลุแล้วก็ดี และอื่นๆทั้งหลายรวมๆกันแล้วนี้ หลวงปู่ดู่ท่านให้นิยามว่า เป็นพลังงาน ท่านเรียกสิ่งนี้ว่า ภูติพระพุทธเจ้า นี่คือสิ่งที่ไม่ได้เข้านิพพาน เปรียบไปจะคล้ายๆกับเรือข้ามฟากก็ได้ จะบอกว่าพลังงานหรือภูติพระพุทธเจ้านี้ มาปรากฎเป็นรูปเป็นร่างเพื่อสอนกรรมฐานพุทธบริษัทฯอยู่จนถึงทุกวันนี้ ก็ว่าได้ ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2014
  19. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    นี้คือที่ผมจะบอกเรื่องกรรมฐานเสื่อม การที่กรรมฐานเสื่อมคือการแสดงสภาวะธรรมให้ปรากฎแก่จิต เพื่อให้เห็นความจริงของการเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป นี่เป็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน แต่พวกเราดูเบา เห็นว่าไม่มีความหมายสำคัญมากนัก เป็นเรื่องธรรมดาพื้นๆ ตรงนี้แล้วก็ขอให้เข้าใจเสียใหม่....

    คนมีปัญญา เมื่อจิตสงบอยู่ ก็เกิดปัญญา...เมื่อจิตไม่สงบอยู่ ก็ยังเกิดปัญญา...
    เมื่อกรรมฐานเจริญดีอยู่ ก็เกิดปัญญา...เมื่อกรรมฐานเสื่อมไป ก็ยังเกิดปัญญา...
    ปัญญาที่เกิดขึ้นนี่หมายความว่ายังไง? ผมเคยสงสัย...
    เมื่อจิตสงบดีแล้ว ปัญญาที่เกิดขึ้นก็คือเห็นว่า”มันไม่แน่”
    เมื่อจิตไม่สงบก็เกิดปัญญา เห็นว่า “มันไม่แน่”
    เมื่อกรรมฐานเจริญดีอยู่แล้ว ปัญญาที่เกิดขึ้นก็คือเห็นว่า “มันไม่แน่”
    เมื่อกรรมฐานเสื่อมทรามลงไปแล้ว ก็เกิดปัญญา เห็นว่า “มันไม่แน่”
    นี่เรื่องจริง ผมไม่ได้ตั้งใจจะกวน หรือพิมพ์ให้มันวกวนเสียเวลา ผมถึงได้บอกว่า คำๆนี้ เราทำกันไปจนสุดถึงนิพพาน อันนี้เรื่องจริง ... พอเล่ามาแบบนี้แล้วก็จะมีคนมาหาว่าผมบรรลุอรหัตผลแล้ว ถ้าคิดแบบนี้ผมว่าคนนั้นกวนแล้วล่ะครับ ขออย่าได้คิดอย่างนั้น ผมฝึกมา ผมก็ฝึกเหมือนคนอื่นๆเขา แต่ก่อนฝึกมา จนทุกวันนี้ก็ยังต้องฝึกอยู่ จะสำเร็จไหม บรรลุอะไรหรือไม่อย่างไรนั้น ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับผม ผมมีหน้าที่เพียงฝึกฝนไป ค้นหาค้นคว้าคำตอบในสิ่งที่ผมยังสงสัยอยู่ เมื่อพอจะได้คำตอบแล้ว ตรวจทานดีแล้ว ก็เอามาเล่าสู่กันฟังในหมู่ เพื่อนพ้องน้องพี่ ที่คิดจะหนีภัยในวัฎฎะสงสารนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะไปอวดรู้อวดเก่ง หรือจะไปย่ำยีคุณธรรมของท่านใดๆเลยครับ....
    เดี๋ยวค่อยมาว่ากันต่อว่า...กรรมฐานเสื่อมแล้ว จิตตก แต่ยังไม่บรรลุธรรม จะต้องทำยังไง...
    อยากจะเล่าให้ผ่อนคลาย แต่ก็ดูจะหนักไปหน่อยนะครับ ข้อเสียของผมอีกข้อนึงคือ ผมผ่อนไม่เป็น เบาก็ไม่เป็น คงเพราะโดนครูบาอาจารย์อัดมาเยอะว่าไม่เอาไหน เวลาทำจริงๆจึงต้องอัดเต็มสูบ นานวันเข้าก็เลยไม่รู้วิธีผ่อน ไม่รู้ว่าจะต้องเบาเครื่องทำยังไง นี่ก็ปัญหาอย่างนึงที่ยังไม่ได้แก้ครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2014
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ขอบคุณ คุณโชติกะ ที่เป็นห่วงครับ ... เรื่องเฟค เรื่องวีน ผมไม่ค่อยรู้สึกเท่าไร คือรู้สึกตัวค่อนข้างช้าครับ ต้องมีคนคอยบอกอีกทีนึง ผมนี่ก็น่าจะไปยืนเคียงคู่กับหนูพายุได้เลยนะ รู้สึกตัวช้าพอๆกัน...
    คุณ ดูงาน นี่ก็กากีนั้งกันทั้งนั้นครับ ไม่ได้มีอะไร คิดยังไงก็ว่ากันไปอย่างงั้น อย่างป๋า Topls99 เวลาเหนื่อยกายเหนื่อยใจจัดๆเข้าก็มีวีนสักทีนึง แต่จริงๆแล้วในใจไม่ได้มีอะไรหรอกครับ บางทีอาการเครียดทางกายมันบีบมา พอหายเหนื่อยผ่อนคลายแล้วก็จะกลับมาต๊องเหมือนเดิมครับ...

    กระทู้นี้เดิมตั้งใจไว้ให้เป็นกระทู้บ้าๆบอๆนะครับ ซึ่งจะเหมาะกับผมมากกว่า มีเพื่อนพ้องน้องพี่มาช่วยกันต๊องๆ ก็สนุกดี บ่นบ้าง บ้าๆบอๆบ้าง ไม่อยากจะแวะเข้าเรื่องธรรมะ เพราะจะต้องใช้อารมณ์หนัก....อย่างกระทู้หลงทาง กว่าจะจบกระทู้ได้ ทำเอาเหงื่อกาฬแตกท่วม...เหงือกเหี่ยว เหงือกแห้ง กันทีเดียวเชียว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...