เรื่องเด่น ช่วงชีวิตที่หายไปของพระเยซู...ไปศึกษาพุทธศาสนาที่อินเดีย

Srijun · 25 กรกฎาคม 2011

pathawut333 said: ↑

ในฐานะที่นับถือคริสตร์ศาสนา (นิกายโปรเตสแตนส์) ได้ศึกษาพระคัมภีร์มาบ้าง
และอยู่ในสังคมพุทธ ได้สัมผัสทั้ง 2 ศาสนา ส่วนตัวผมก็เชื่อว่า มีคำสอนบางประการ
ที่ใช้ร่วมกัน และได้รับอิทธิพลจากคำสอนของพุทธศาสนา ถ้ามองในด้านกายภาพ
ประเทศอิสราเอล กับอินเดียทางเหนือ ก็ไม่ได้ไกลเกินไปที่จะเดินทางเพื่อศึกษาหาความรู้
และด้วยระยะเวลาห่างกัน 500 ปี ก็ไม่ได้ไกลเกินจินตนาการที่จะมีการถ่ายโยงองค์ความรู้จากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง
นอกจากนี้ การผสมผสานความเชื่อเดิมคือ ศาสนายูดาย ซึ่งเป็นศาสนาดั้งเดิมก่อนที่พระเยซูเกิด ที่เชื่อเรื่องพระเจ้าองค์เดียว และการกลับไปรวมกับพระองค์ ก็คล้ายกับคำสอนของศาสนาพรามห์ ที่เชื่อเรื่ององค์ปรมาตมัน ที่สร้างทุก ๆ อย่างในจักรวาล และทุกชีวิตต้องกับไปสู่ ปรมาตมัน ถ้าศึกษาศาสนาเปรียบเทียบจะพบว่าศาสนาคริสต์และพราห์ม มีหลักความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่มีข้อกังขาเหมือนกัน และมีการบูชาพระผู้เป็นเจ้าเหมือนกัน แต่วิธีการต่างกันไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการถ่ายโยงความเชื่อซึ่งกันและกัน
อย่าไปยึดติดกับศาสนามากเกินไปครับ เชื่อมาก ๆ ก็งมงาย พยายามเผยแพร่ความเชื่อของตนเอง ใครไม่เชื่อตามก็คิดว่าคนนั้นผิด ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง จึงเป็นสาเหตุของสงครามศาสนา ซึ่งเป็นสงครามที่ร้ายแรงกว่าสงครามใด ๆ เพราะทุกคนจะสู้ในสิ่งที่ตนเองเชื่อ และยอมตายเพื่อสิ่งที่คนเองเชื่อ และเชื่อว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งทำลายชีวิตคนอื่น ฆ่าคนอื่น ยอมแม้กระทั่งพลีชีพตนเอง เพื่อทำลายล้างศัตรู อย่างที่เราเห็น ๆ กันในทุกวันนี้แหละครับ เพราะคนสอนบิดเบือนแก่นแท้ของศาสนาเพื่อสร้างประโยชน์ อำนาจให้ตนเอง
ความดีเป็นสากล ทำไปเถอะครับ ถ้าเป็นคนดี มีเมตตากรุณา กตัญญู ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เคียดแค้นอาคาต ไม่ผูกพยาบาท ไม่ลักทรัพย์ เล่นการพนัน ไม่ผิดลูกผิดเมีย
จะเป็นศีล 5 ศีล 8 บัญญัติ 10 ประการ ก็ถือปฏิบัติไปเถอะครับ ไม่เสียหาย ถ้าเป็นคนดี ทำดีในศาสนานี้ แล้วจะไปตกนรกในศาสนาอื่น พระเจ้าคงใจร้ายไปหน่อยมั้งครับ แต่อย่างน้อยก็ไม่เสียชาติเกิดที่เป็นมนุษย์ ใช่ไหมครับ
Click to expand...

ตอบได้กินใจครับ

obs2553 · 25 กรกฎาคม 2011

ได้อ่านบ้างแล้ว ไม่กล้าวิจารณ์เลยค่ะ ภูมิความรู้ยังไม่ถึง

แต่จะดีใจมาก ถ้าในความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ก่อเกิดเพื่อนำไปสู่จุดหมายเดียวกัน จะได้ไม่มีความแตกแยกจนเป็นสงครามศาสนาอีก มันน่าหดหู่

สัจธรรมคือของกลาง ขอให้มนุษย์เราผ่านพ้น "ยุคมืด" เหล่านี้ไปเสียที

pathawut333 said: ↑

ในฐานะที่นับถือคริสตร์ศาสนา (นิกายโปรเตสแตนส์) ได้ศึกษาพระคัมภีร์มาบ้าง
และอยู่ในสังคมพุทธ ได้สัมผัสทั้ง 2 ศาสนา ส่วนตัวผมก็เชื่อว่า มีคำสอนบางประการ
ที่ใช้ร่วมกัน และได้รับอิทธิพลจากคำสอนของพุทธศาสนา ถ้ามองในด้านกายภาพ
ประเทศอิสราเอล กับอินเดียทางเหนือ ก็ไม่ได้ไกลเกินไปที่จะเดินทางเพื่อศึกษาหาความรู้
และด้วยระยะเวลาห่างกัน 500 ปี ก็ไม่ได้ไกลเกินจินตนาการที่จะมีการถ่ายโยงองค์ความรู้จากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง
นอกจากนี้ การผสมผสานความเชื่อเดิมคือ ศาสนายูดาย ซึ่งเป็นศาสนาดั้งเดิมก่อนที่พระเยซูเกิด ที่เชื่อเรื่องพระเจ้าองค์เดียว และการกลับไปรวมกับพระองค์ ก็คล้ายกับคำสอนของศาสนาพรามห์ ที่เชื่อเรื่ององค์ปรมาตมัน ที่สร้างทุก ๆ อย่างในจักรวาล และทุกชีวิตต้องกับไปสู่ ปรมาตมัน ถ้าศึกษาศาสนาเปรียบเทียบจะพบว่าศาสนาคริสต์และพราห์ม มีหลักความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่มีข้อกังขาเหมือนกัน และมีการบูชาพระผู้เป็นเจ้าเหมือนกัน แต่วิธีการต่างกันไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการถ่ายโยงความเชื่อซึ่งกันและกัน
อย่าไปยึดติดกับศาสนามากเกินไปครับ เชื่อมาก ๆ ก็งมงาย พยายามเผยแพร่ความเชื่อของตนเอง ใครไม่เชื่อตามก็คิดว่าคนนั้นผิด ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง จึงเป็นสาเหตุของสงครามศาสนา ซึ่งเป็นสงครามที่ร้ายแรงกว่าสงครามใด ๆ เพราะทุกคนจะสู้ในสิ่งที่ตนเองเชื่อ และยอมตายเพื่อสิ่งที่คนเองเชื่อ และเชื่อว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งทำลายชีวิตคนอื่น ฆ่าคนอื่น ยอมแม้กระทั่งพลีชีพตนเอง เพื่อทำลายล้างศัตรู อย่างที่เราเห็น ๆ กันในทุกวันนี้แหละครับ เพราะคนสอนบิดเบือนแก่นแท้ของศาสนาเพื่อสร้างประโยชน์ อำนาจให้ตนเอง
ความดีเป็นสากล ทำไปเถอะครับ ถ้าเป็นคนดี มีเมตตากรุณา กตัญญู ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เคียดแค้นอาคาต ไม่ผูกพยาบาท ไม่ลักทรัพย์ เล่นการพนัน ไม่ผิดลูกผิดเมีย
จะเป็นศีล 5 ศีล 8 บัญญัติ 10 ประการ ก็ถือปฏิบัติไปเถอะครับ ไม่เสียหาย ถ้าเป็นคนดี ทำดีในศาสนานี้ แล้วจะไปตกนรกในศาสนาอื่น พระเจ้าคงใจร้ายไปหน่อยมั้งครับ แต่อย่างน้อยก็ไม่เสียชาติเกิดที่เป็นมนุษย์ ใช่ไหมครับ
Click to expand...

เห็นด้วยกับคุณ Srijun
คำตอบของคุณ pathawut333

kt984 · 1 มกราคม 2013

ดันครับ

brotherpray · 1 มกราคม 2013

Chayutt said: ↑

จากตรงนี้นะครับ - หัวข้อที่ 9

September 11, 2010

สรุปใจความสื่อสารจากนายแมทธิว..นายแมทธิวบอกว่า

- พระเยซู อันที่จริงแล้วก็เกิดมาเหมือนอย่างคนปกตินั่นแหละ
คือเกิดจากพ่อและแม่ ไม่ใช่เกิดจากหญิงพรหมจารีย์แต่อย่างใด
และพ่อแม่ของท่านก็เป็นตระกูลสูงศักดิ์ในสังคมชาวยิวสมัยนั้นด้วย

- แต่ที่พระเยซูถูกลดระดับลงมาเป็นแค่ลูกคนจนคนหนึ่ง
และแถมยังเกิดในคอกม้าด้วยนี่ ก็เพราะว่ากลุ่มพระนักบวชชาวยิวสมัยนั้น
ต้องการจะลดบทบาทความสำคัญ และความน่าเชื่อถือของท่านลง
จึงได้แต่งเรื่องขึ้นมาในภายหลัง ตามที่ผู้คนทั้งหลาย ถูกสอนให้เชื่อต่อๆกันมานั่นแหละ

มิหนำซ้ำ ท่านก็ยังมีภรรยาด้วยนะ ชื่อนางแมรี่ แมกดาเลน ซึ่งนางเอง
ก็ถูกกลุ่มพระนักบวชกลุ่มนี้ ใส่ร้ายว่าเป็นโสเภณีซะอีก
แม้ว่านางจะเป็นลูกของครอบครัวที่สุงศักดิ์เช่นเดียวกันกับพระเยซูก็ตาม

- ตอนเป็นหนุ่ม พระเยซูเคยเดินทางมาที่ดินแดนตะวันออก
เพื่อมาศึกษาวิชาความรู้จากครูบาอาจารย์หลายคนในแถบนี้อยู่หลายปี
พระองค์จึงได้เรียนรู้ถึงความเชื่อมโยงของทุกสรรพจิตวิญญาณที่มีต่อกัน
และที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วย และพระองค์ก็ได้เรียนรู้กฎของจักรวาล
พระองค์จึงนำมาใช้เพื่อการบำบัดรักษา, เพื่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ
หรือทำให้สิ่งต่างๆมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น, เพื่อการทำให้สิ่งของหายไป
หรือปรากฏขึ้นมาใหม่ได้ และอะไรทำนองนั้น
ซึ่งอาจจะเรียกโดยรวมว่า "อภิญญา" หรือ "ปาฏิหาริย์" ก็ได้

พระองค์รู้ว่าความสามารถในการการแสดงอภิญญา-ปาฏิหาริย์ได้นี้
มันเป็นคุณสมบัติที่มีแต่กำเนิดของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว
นี่คือสิ่งที่พระองค์นำไปสอนผู้คน
(คือสอนให้รู้กฎของจักรวาล สอนให้รู้ว่ามนุษย์ทุกคนมีคุณค่า
มีศักยภาพมากมายอยู่ในตัวเองอยู่แล้วเกินกว่าจะนึกถึง อะไรแบบนั้น)

ซึ่งคำสอนแบบนี้มันเป็นอันตราย และไปสั่นคลอนอำนาจของพวกนักบวชชาวยิว
ที่ปกครองศาสนาและอาณาจักรในสมัยนั้นอยู่ ที่เรียกว่าสภา Sanhedrin
ดังนั้นพวกเขาจึงจัดการ-ลงโทษกับผู้ที่เชื่อตามพระเยซูหนักมาก
และพวกเขาเมื่อเห็นว่าพระเยซูทรงแสดงปาฏิหาริย์ได้จริง
พวกเขาจึงแสร้งยกยอพระองค์ว่าเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า
เพื่อที่จะเป็นนัยยะว่า จะไม่มีมนุษย์คนไหนที่มีความสามารถเสมอเหมือนพระองค์ได้
(แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ทุกคนล้วนมีความเป็นพระเจ้าอยุ่ในตนเองทั้งนั้น
และมีศักยภาพที่จะทำได้เหมือนกับพระองค์ทั้งนั้น - อะไรทำนองนั้นครับ)

- พระเยซูไม่เคยถูกตรึงกางเขนเลย แต่พระองค์ถูกโบยและถูกเนรเทศ
โดยกลุ่มพระนักบวชนั่นต่างหาก พระองค์จึงหนีมาหลบอยู่ทางดินแดนตะวันออก
อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับภรรยาของพระองค์ที่กำลังตั้งท้องอยู่

ที่พวกเขาไม่ยอมฆ่าพระองค์ก็เพราะว่า พวกเขาไม่อยากให้พระองค์ได้ชื่อว่า
พระผู้ไถ่บาป เพราะนั่นยิ่งจะทำให้มีผู้ศรัทธาพระองค์มากขึ้นไปอีก

.....................................................................

อ่านดูแล้ว โดยส่วนตัวผม ผมว่ามันแปลกประหลาด และไม่น่าเชื่อถือ
และก็ไม่รู้ว่าจะจริงเท็จประการใด..แต่ก็เอาเถอะครับ แค่เอามาเล่าต่อหนะครับ

และทุกๆท่าน ก็มีสิทธิืที่จะแสดงความคิดเห็น..ว่าเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย
"กับข้อความที่ผมโพสต์ไปนี้" ได้เต็มที่เลยนะครับ

เพราะว่ามันไม่ได้หมายความว่า ท่าน "เห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย กับตัวผม" แต่อย่างใด
ดังนั้น ผมจึงไม่มีอะไรต้องเดือดร้อนหนะครับ

...........................................................
Click to expand...

:boo: ดีนะนี่ที่เราหลงเข้ามา ว่าจะไปเปิดงานแปลคุณชยุตอยู่พอดี เกือบเปิดข้ามห้วข้อนี้ไปแล้ว มันชัดเจนปัจุบันดี แม้มันจะไม่ได้มาจากปากที่เป็นเนื้อหนังก็ตาม
ผมก็ศึกษามามาก พันธสัญญาเดิม พันธสัญญาใหม่ มอร์มอน
เห็นข้อความนี้แล้วอยากไปบอกคนที่โบสถ์ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็โดน คำว่าศรัทธาครอบงำไปแล้ว

เพราะในคัมภีร์ทุกคัมภีร์ที่ศึกษามา จะมีข้อความ คำทำนาย ประมาณว่า

ในกาลภาคหน้า จะมีศาสนา คำสอน มาร ล่อล่วง ผู้ที่ศรัทธาในพระเจ้าไปจำนวนมาก

ทำให้ผู้เชื่ออย่างตาบอดถูกครอบงำต่อไป

ขอบคุณเจ้าของกระทู้ และผู้สำสารทุกท่าน

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

เรื่องเด่น ช่วงชีวิตที่หายไปของพระเยซู...ไปศึกษาพุทธศาสนาที่อินเดีย

Srijun Active Member

obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

kt984 Active Member

brotherpray เป็นที่รู้จักกันดี

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

เรื่องเด่น ช่วงชีวิตที่หายไปของพระเยซู...ไปศึกษาพุทธศาสนาที่อินเดีย

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา