เรื่องเด่น ช่วงชีวิตที่หายไปของพระเยซู...ไปศึกษาพุทธศาสนาที่อินเดีย

ขอบคุณครับที่ชี้แนะ พึ่งเห็นเหมือนกัน ลิงค์โหลดจะอยู่ข้างล่างสุด โหลดมาแล้วเป็นไฟล์ htm ใช่ไหมครับ ผมก็พึ่งไปเจอมาอันนี้เป็นไฟล์ pdf เจอที่นี่Deposit Files หนังสือมันเก่าแล้วนี่เองถึงหาโหลดยากหน่อย เจอกี่ที่ไฟล์ก็หายไปหมดแล้วทุกทีเลย

 

มุสา วาทา เวรมณี สิกขาประทัง สมาทิยามิ

 

มุสาวาทา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

 

พระเยซู น่าจะมาจาก เยโซฟัต ไม่มีคำแปล แต่เพี้ยนเสียงมาจากโพธิสัตว

หากแปลว่ามาจาก โคตมะ มันห่างกันตั้ง543ปีนะครับ

เคยใด้ยินมาว่า ท่านมาตามหา3นักปราชญตะวันออก หรือมาตามหาญาติทาง

อินเดีย ซึ่งแถบนั้นมีพุทธที่แยกนิกาย นับถือเทพ แลบำเพ็ญบารมีโพธิสัตว ท่าน

คงยอมรับนับถือ เปลือกนอกพระศาสนา ที่เน้นฝึกฤทธิ์เดชกัน สังเกตุว่าท่านแส

ดงฤทธ์ใว้หลายครั้ง ก็ไม่แปลกครับ พระหลวงพ่อหลวงตาก็ทำใด้มากอยู่

ในเทนคอมมอมอน ก็คือกุศลกรรมบท10ดีๆนี่เอง

คริสมาส คำว่า มาส แปลว่าเดือน เป็นภาษาบาลี ครับ

 

เดี๋ยวเย็นนี้ (ถ้าไม่มีอะไร error)
ผมจะมาโพสต์ข้อความจากต่างมิติอีกข้อความหนึ่ง
ที่พูดถึงเรื่องเดียวกันนี้เหมือนกันครับ..แหม..ช่างบังเอิญจริงๆ

รูปธรรมชีวิตต่างมิติที่ผมกล่าวถึงนี้ก็คือ นายแมทธิว วาร์ดนั่นเอง
สื่อสารมาวันที่ 11/9/10 นี้เอง

เท่าที่ผ่านๆมา ที่ผมได้แปลและโพสต์ข้อความของนายคนนี้ไปเยอะแล้วนี่
โดยส่วนตัวผม ผมก็ว่ามีความน่าเชื่อถืออยู่นะครับ

ข้อความเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูของนายแมทธิวในครั้งนี้
ทำเอาผมอึ้งไปเลยนะเนี่ย..อึ้งจริงๆ..

เพราะนายแมทธิวก็พูดถึงพระเยซูช่วงตอนเป็นหนุ่มว่า
ได้เคยมาที่ดินแดนตะวันออก และมาร่ำเรียนวิชาความรู้
กับครูบาอาจารย์หลายๆคนทางนี้เหมือนกัน
ก่อนที่จะกลับไปสอนคนทางโน้นให้รู้ตาม

มันเป็นเนื้อความที่ขัดแย้งกับข้อความในหนังสือ
เล่มที่ผมอ้างอิงถึงไปแล้วนั้นอย่างหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะเนี่ย

แต่อย่างไรก็ตาม..ด้วยความที่ผมเป็นเพียงผู้นำสาส์นคนหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้น..สาส์นไหนๆที่มีมา..ผมก็จะต้องนำส่งไปให้ถึงมือผู้รับหมดนั่นแหละครับ

และมันก็จะเป็นการไม่บังควรเลย..หากจะเอาความถูกใจหรือไม่ถูกใจตัวเอง
มาเป็นเกณฑ์ หรือมาเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจว่าจะนำส่งสาส์นนั้นๆหรือไม่

ก็ดูเอาเถิด..ขนาดนางซูซาน วาร์ด ผู้ที่รับการสื่อสารทางจิตจากนายแมทธิว
ซึ่งนางเอง ก็เป็นอีกผู้หนึ่ง ที่เคร่งครัดในศาสนาคริสนิกายหนึ่งเป็นอย่างมาก
นางยังกล้า และยอมที่จะสื่อสารเรื่องนี้ต่อเลยครับ
เพราะว่าปกติแล้ว เรื่องที่ขัดกับความเชื่อเดิมของเธอแบบนี้
คนทั่วๆไป ก็คงทำใจลำบากน่าดูเหมือนกันนะเนี่ย

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวเย็นนี้ ค่อยเข้ามาอ่านนะครับ
และท่านทั้งหลายก็ต้องใช้วิจารณญาณกันเอาเองนะครับ

เป็นงงหละ...งานนี้...

.......................................................

 

The 10 commandment หรือบัญญัติ 10 ประการ
รูปธรรมชีวิตชั้นสูงจากมิติที่ 6 กลุ่มที่ชื่อ RA
สื่อสารลงมาตั้งแต่ประมาณปี 1980 บอกว่า

มันมาจากรูปธรรมชีวิตต่างมิติในมิติที่ 5 อีกกลุ่มหนึ่ง
คือพวกกลุ่มดาว Orion ที่เป็นฝ่ายมืด แต่แสร้งเป็นฝ่ายดี
และแสร้งสอดแทรกคำสอนมืด ลงไปในคำสอนสว่าง
และตั้งใจสื่อสารลงมาถึงโมสาสในสมัยนั้น
เพื่อวัตถุประสงค์อันไม่บริสุทธิ์บางอย่าง
แม้ว่าโมสาสเองจะเป็นคนดีและอยู่ฝ่ายแสงสว่างก็ตาม

อันนี้อ่านแล้วก็อย่าโกรธผู้นำสาส์นนะครับ
เพราะผมก็อ่านเขามาอีกทีเหมือนกัน
และท่านเองก้สามารถเข้าไปอ่านได้ด้วยตัวเองได้
ในหนังสือชุด The Law of One ได้ที่นี่ครับ

Section Seventh - หัวข้อที่ 47

Section Seven


ส่วนเรื่องบัญญัติ 10 ประการนั้น ลองพิจารณาเอาเองนะครับ
ว่ามันน่าจะมืดหรือสว่าง...

บัญญัติ 10 ประการ - วิกิพีเดีย


1. เจ้าจงอย่ามีพระเจ้าอื่นต่อหน้าเรา

2. เจ้าจงอย่าสร้างรูปเคารพสำหรับคนเป็นสัณฐานรูปใด ๆ ซึ่งมีอยู่ในท้องฟ้า อากาศเบื้องบน
หรือแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้ ปฏิบัติรูปนั้น ๆ
ด้วยเราคือ ยะโฮวาฮพระเจ้าเบื้องบน ของเจ้า เป็นผู้หวงแหน ให้โทษของบิดา
ซึ่งชังเราติดถึงลูกหลาน กระทั่ง ๓-๔ ชั่วอายุคน แต่แสดงกรุณาต่อผู้ที่รักเรา
และรักษาบัญญัติของเราหลายพันชั่วอายุคน

3. อย่าออกนาม ยะโฮวาฮ พระเจ้าของเจ้าเปล่า ๆ ด้วยผู้ที่ออกนามของพระองค์ท่านเล่นเปล่า ๆ นั้น
พระเจ้าจะไม่ปรับโทษก็หามิได้

4. จงนับถือวันสะบาโต (Sabbath day) คือ วันอาทิตย์เป็นวันบริสุทธิ์ จงทำงานของเจ้าให้เสร็จใน ๖ วัน
(ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์) แต่วันที่ ๗ เป็นวันสะบาโตของพระยะโฮวาฮพระเจ้าของเจ้า
ในวันนั้นจงอย่าทำงานใด ๆ คือเจ้าเองหรือบุตรธิดาของเจ้า หรือทาสของเจ้า หรือบรรดาสัตว์ใช้งานของเจ้า
หรือแขกผู้อาศัยอยู่ข้างในประตูเมืองของเจ้า ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าได้สร้างฟ้าแผ่นดิน และทะเล
และทุกสิ่งที่มีอยู่ในที่ทั้งปวงนั้น พระองค์ทรงเหนื่อยมาก จึงทรงพักในวันที่ ๗ ฉะนั้น
พระเจ้าจึงทรงอวยพรแต่วันสัปปาโต และทรงถือว่าเป็นวันบริสุทธิ์

5. จงนับถือพ่อแม่ของตน เพื่อเจ้าจะได้มีชีวิตยืนนานอยู่บนแผ่นดินที่พระยะโฮวาฮพระเจ้าของเจ้า ประทานแก่เจ้า

6. อย่าฆ่าคน

7. อย่าล่วงประเวณีในลูกเมียของเขา

8. อย่าขโมย

9. อย่าเป็นพยานเท็จต่อเพื่อนบ้านของเจ้า

10. อย่าโลภอยากได้เรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภมากอยากได้เมียของเพื่อนบ้าน หรือทาสของเขา
โค ลา ของเขา หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดของเพื่อนบ้านนั้น

..........................................

 

จากตรงนี้นะครับ - หัวข้อที่ 9

September 11, 2010


สรุปใจความสื่อสารจากนายแมทธิว..นายแมทธิวบอกว่า

- พระเยซู อันที่จริงแล้วก็เกิดมาเหมือนอย่างคนปกตินั่นแหละ
คือเกิดจากพ่อและแม่ ไม่ใช่เกิดจากหญิงพรหมจารีย์แต่อย่างใด
และพ่อแม่ของท่านก็เป็นตระกูลสูงศักดิ์ในสังคมชาวยิวสมัยนั้นด้วย

- แต่ที่พระเยซูถูกลดระดับลงมาเป็นแค่ลูกคนจนคนหนึ่ง
และแถมยังเกิดในคอกม้าด้วยนี่ ก็เพราะว่ากลุ่มพระนักบวชชาวยิวสมัยนั้น
ต้องการจะลดบทบาทความสำคัญ และความน่าเชื่อถือของท่านลง
จึงได้แต่งเรื่องขึ้นมาในภายหลัง ตามที่ผู้คนทั้งหลาย ถูกสอนให้เชื่อต่อๆกันมานั่นแหละ

มิหนำซ้ำ ท่านก็ยังมีภรรยาด้วยนะ ชื่อนางแมรี่ แมกดาเลน ซึ่งนางเอง
ก็ถูกกลุ่มพระนักบวชกลุ่มนี้ ใส่ร้ายว่าเป็นโสเภณีซะอีก
แม้ว่านางจะเป็นลูกของครอบครัวที่สุงศักดิ์เช่นเดียวกันกับพระเยซูก็ตาม

- ตอนเป็นหนุ่ม พระเยซูเคยเดินทางมาที่ดินแดนตะวันออก
เพื่อมาศึกษาวิชาความรู้จากครูบาอาจารย์หลายคนในแถบนี้อยู่หลายปี
พระองค์จึงได้เรียนรู้ถึงความเชื่อมโยงของทุกสรรพจิตวิญญาณที่มีต่อกัน
และที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วย และพระองค์ก็ได้เรียนรู้กฎของจักรวาล
พระองค์จึงนำมาใช้เพื่อการบำบัดรักษา, เพื่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ
หรือทำให้สิ่งต่างๆมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น, เพื่อการทำให้สิ่งของหายไป
หรือปรากฏขึ้นมาใหม่ได้ และอะไรทำนองนั้น
ซึ่งอาจจะเรียกโดยรวมว่า "อภิญญา" หรือ "ปาฏิหาริย์" ก็ได้

พระองค์รู้ว่าความสามารถในการการแสดงอภิญญา-ปาฏิหาริย์ได้นี้
มันเป็นคุณสมบัติที่มีแต่กำเนิดของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว
นี่คือสิ่งที่พระองค์นำไปสอนผู้คน
(คือสอนให้รู้กฎของจักรวาล สอนให้รู้ว่ามนุษย์ทุกคนมีคุณค่า
มีศักยภาพมากมายอยู่ในตัวเองอยู่แล้วเกินกว่าจะนึกถึง อะไรแบบนั้น)

ซึ่งคำสอนแบบนี้มันเป็นอันตราย และไปสั่นคลอนอำนาจของพวกนักบวชชาวยิว
ที่ปกครองศาสนาและอาณาจักรในสมัยนั้นอยู่ ที่เรียกว่าสภา Sanhedrin
ดังนั้นพวกเขาจึงจัดการ-ลงโทษกับผู้ที่เชื่อตามพระเยซูหนักมาก
และพวกเขาเมื่อเห็นว่าพระเยซูทรงแสดงปาฏิหาริย์ได้จริง
พวกเขาจึงแสร้งยกยอพระองค์ว่าเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า
เพื่อที่จะเป็นนัยยะว่า จะไม่มีมนุษย์คนไหนที่มีความสามารถเสมอเหมือนพระองค์ได้
(แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ทุกคนล้วนมีความเป็นพระเจ้าอยุ่ในตนเองทั้งนั้น
และมีศักยภาพที่จะทำได้เหมือนกับพระองค์ทั้งนั้น - อะไรทำนองนั้นครับ)

- พระเยซูไม่เคยถูกตรึงกางเขนเลย แต่พระองค์ถูกโบยและถูกเนรเทศ
โดยกลุ่มพระนักบวชนั่นต่างหาก พระองค์จึงหนีมาหลบอยู่ทางดินแดนตะวันออก
อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับภรรยาของพระองค์ที่กำลังตั้งท้องอยู่

ที่พวกเขาไม่ยอมฆ่าพระองค์ก็เพราะว่า พวกเขาไม่อยากให้พระองค์ได้ชื่อว่า
พระผู้ไถ่บาป เพราะนั่นยิ่งจะทำให้มีผู้ศรัทธาพระองค์มากขึ้นไปอีก

.....................................................................

อ่านดูแล้ว โดยส่วนตัวผม ผมว่ามันแปลกประหลาด และไม่น่าเชื่อถือ
และก็ไม่รู้ว่าจะจริงเท็จประการใด..แต่ก็เอาเถอะครับ แค่เอามาเล่าต่อหนะครับ

และทุกๆท่าน ก็มีสิทธิืที่จะแสดงความคิดเห็น..ว่าเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย
"กับข้อความที่ผมโพสต์ไปนี้" ได้เต็มที่เลยนะครับ

เพราะว่ามันไม่ได้หมายความว่า ท่าน "เห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย กับตัวผม" แต่อย่างใด
ดังนั้น ผมจึงไม่มีอะไรต้องเดือดร้อนหนะครับ

...........................................................

 

ไหนๆก็ได้พูดถึงทั้งสองแง่มุมของข้อมูลตรงนี้ไปแล้ว
ผมก็อยากจะขอตบท้ายด้วยคำบอกเล่าของอาจารย์ OSHO อีกสักคน

ที่มา: Osho on Jesus Lived in India Jesus Christ unknown Life in India




สรุปคร่าวๆนะครับว่า..ท่านอาจารย์ Osho ท่านนี้
ท่านก็เคยเดินทางไปดูหลุมฝังศพของพระเยซูที่แคว้นแคชเมียร์
ในประเทศอินเดียด้วยตัวท่านเองมาแล้ว

ท่านบอกว่าที่แคว้นนั้น มีหลุมศพของโมเสสและพระเยซูอยู่ข้างๆกัน
หลุมศพอื่นๆของคนอื่นๆในแคว้นนี้ จะหันหัวไปทางกรุงเมกกะหมด
เพราะว่าแคว้นนี้นับถือศาสนาอิสลาม ยกเว้นสองหลุมศพนี้เท่านั้น

และเพราะว่ามันมีชื่อเขียนเอาไว้บนหลุมศพชัดเจนเป็นภาษาฮิบรูว่า "เจซัวร์"
ซึ่งเป็นชื่อภาษาฮิบรูของพระเยซูจริงๆ

ท่าน Osho บอกว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่พระเยซูจะเสียชีวิตบนกางเขน
เพียงเพราะว่าถูกตอกมือ ตอกเท้าด้วยตะปูแขวนไว้แค่ไม่กี่ชั่วโมง
ในตอนบ่ายแก่ๆของวันก่อนที่จะถึงวันสปาโตเท่านั้น

เพราะว่าพวกเขาต้องรีบเอาพระองค์ลงมา เพราะจะปล่อยให้มีการทำโทษใคร
ล่วงเลยมาถึงวันสปาโตไม่ได้ ดังนั้น อาจารย์ Osho จึงเห็นว่าท่านจึงยังไม่น่าจะตาย

ประกอบกับที่แคว้นแคชเมียร์นั้น เป็นชาวยิวทั้งหมด
จึงไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว
ที่พระองค์จะอพยพไปอยู่ หลังจากหนีไปได้แล้ว

ตรงหลุมศพของทั้งสองท่านนั้น มีครอบครัวชาวยิว
ที่น่าจะสืบเชื้อสายมาจากพระเยซูเองนั่นแหละ
เป็นคนเฝ้าดูแลอยู่ และดูแลมาหลายชั่วคนแล้ว


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในลิงค์ที่ให้ไปนั่นแหละนะครับ
.............................................

 

เท่าที่รู้พระเยซูสำเร็จฌาน 4 และเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง (พระเกจิที่มีชื่อเสียงท่านบอกไว้แต่ไม่ขอเอ่ยนาม) ก็เหมือนกันกับเจ้าแม่กวนอิมนั่นแหละ ทำสำคัญอินเดียเป็นที่รวมของศาสตร์แต่ละแขนงตั้งแต่โบราณมาแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีการเดินทางไปศึกษากันที่อินเดีย ในยุคโบราณวิชาที่สำคัญทั้งโหรศาสตร์ การแพทย์ ไสยศาสตร์ พ่อมดแม่มด หมอผี ยิปชี ช่างทอง เป็นต้น ที่อินเดียนับว่าเป็นศูนย์กลางของหลายสิ่งทั้งดีและไม่ดี ทั้งในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เก่ง ก็อยู่อินเดียเสียส่วนมาก โปรแกรมคอมพ์ต่างๆก็มาจาอินเดียกว่า90%

 

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

 

ผมชอบอันนี้นะ มันดูเป็น ธรรมชาติ มีเหตุ มีผล มีผลประโยชน์ และ ดูเป็นเรื่องของ "คนเหมือนกัน" ดีครับ

 

แหม กระทู้นี้ดุเดือดจังเลยอ่ะ

 

ถ้าผมจะบอกถึงสิ่งที่ผมรู้มา
คือว่าท่าน ได้เป็นพระที่มีอภินิหาร ได้อภิญญา จนมาช่วยเหลือคนที่ตกทุกได้ยากเพื่อ บำเพ็ญ
บารมี และได้โดนลงทัณ เนื่องมาจากท่านต้องรับเคราะ กรรมที่ได้ช่วยผู้อื่นไว้นั่นเอง

 

..........ยังโง่อยู่.....

 

ขออนุโมทนากับคำพูดของท่าน ท่านพูดได้ถูกต้องมากก โดยส่วนตัวรู้สึกเบื่อเวลาเห็นคนในเว็บโต้แย้งกัน แต่คำพูดของท่าน ฟังแล้ว"สะใจ"ดีจริงๆ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมรับความจริง มีแต่อคติส่วนตัวกันแทบทั้งนั้น...

 

ถกเถียงไปก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดเลย ดันทุรังจะต้องมาทะเลาะกันอีก

สุขภาพจิตเสียเปล่าวๆ แถมยังต้องมาเครียดกันอีก

เอาเป็นว่า กลับบ้านไป กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่องค์หน้าพระประธาน

สวดมนต์ ภาวนา รักษาศีล แล้วอย่าไปคิดอะไรมาก ทำจิตใจให้สบาย

นึกถึงองค์พระพุทธเจ้าท่านฯ เอาไว้ พร้อมๆ กับปฏิบัติตามคำสอน

ที่พระองค์พระพุทธเจ้าท่านฯ ได้สอนมาทั้งหมด

และให้นึกอยู่เสมอว่า "ชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ ไม่มีอะไรที่แน่นอน"

"จะตายวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือวันไหนๆ เวลาอะไรก็ไม่มีใครรู้"

ให้ภาวนา พุทโธ หรืออะไรก็ได้ แล้วระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

"รู้แต่เพียงว่า ตายจากร่างนี้เมื่อไร ขอไปนิพพาน"

"พุทธนิพพาน โธนิพพาน ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ................."

 

อ่านคำโพสผมไห้ละอียดนะครับ ผมไม่ได้บอกว่า พระเยูเป็นพระเจ้า

แต่ผมบอกว่าพระเยซูกล่าวถึงพระนามของพระเจ้า (กล่าวถึงบุคคลที่สอง)

พระเยซูกล่าวถึงพระนาม ของพระผู้เป็นเจ้า ก็คือGod(ซึ่งพี่น้องชาว คริสต์

มีคตินิยม หรือมีความเชื่อว่า พระเจ้าสร้่างโลก สร้างทุกอย่าง)

พระเยซูเป็นพระบุตร เป็นผู็นำสารน์ ของพระเจ้าอีกที

ก็อย่าง โตะอีมาม ของศาสนาอิสลาม ได้อ่านคำภีร์อัลกุรอาน

กล่าวถึงพระนามของพระเจ้าของศาสนาอิสลาม ก็คือ พระอาเราะห์...........

โตะอีมาม คัมภีร์กุอาน ไม่ไช่ศาสดา ศาสดาคือ อาเราะห์..........

อาเราะห์ก็คือพระเจ้าของศาสนาอิสลาม

คงเข้าใจนะครับ..... (การศึกษามาอีกมุมหนึ่ง คำเต็มของ Godก็คืิอ

Godhama หรือ โคตะมะ หรือ โคดม )

อนุโมทนาครับผม

 

ยินดีกลับความรู้ ที่ได้รับ ได้เปิดหู เปิดตา กว้างไกลขึ้น

ผู้มาไหม่ ("_")

 

ฉันก็คิดเหมือนท่าน ได้รับความรู้ ได้เปิดหู เปิดตา สายตากว้างไกล ไม่แคบอยู่ในกะลา ยินดีต้อนรับ"ผู้มาใหม่"

 

เรื่องนี้ พอจะทราบานานแล้ว จากพระที่ท่าน ระลึกชาติได้ ท่านบอกว่า ส่วนนึ่งเกิดจากคำอธิฐาน ว่าขอให้ได้เกิดมาแล้ว มีคนเคารพนับถือทั่วโลก
( ด้วยบุญที่เคยอุปทากฤษี จนฤษี ท่านนี้ หมดอายุขัย ) และด้วยบุญ ที่เคยดูแลอุปทาก ผู้มีศีลจึงทำให้ได้เกิดมาเป็น ... ที่มีคนให้ความคารพและนับถือ