จิตกับวิญญาณขันธ์แตกต่างกันอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Paravatee, 13 กันยายน 2012.

  1. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ทำเวทนาให้สิ้นแต่สิ้นตอนไหน
    ก็เจอจิต

    ทำจิตให้สิ้นสิ้นตอนไหนเหลือธรรม

    รู้ธรรมไม่กล้าขอรับยังไม่รู้เที่ยง
    เที่ยงตอนไหน

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้ว
     
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เข้าใจครับ เข้าใจแล้วว่าคุณเป็นอย่างนี้เอง เตือนไปก็เหนื่อยเปล่า

    สาธุครับ
     
  3. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    ขอตรวจสอบความเข้าใจของตนเองว่าใช่มั๊ย หากไม่ใช่โปรดชี้แนะด้วยนะคะ

    จากที่ได้อ่านจากบทความของคุณ oatthidet กล่าวไว้ว่า จิต กับ ใจ คนละสิ่งกัน

    ถ้าจะตอบว่า
    วิญญาณ(หรือจิต) คือ ใจ ในบทความของคุณ oatthidet
    สัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ คือ จิต ในบทความของคุณ oatthidet

    ที่เรียกวิญญาณว่าจิต เพราะเหตุว่าจิตเข้าไปยึดเข้าไปหลงวิญญาณ ในวิญญาณจึงมีทั้งจิตและวิญญาณ เปรียบเหมือนน้ำใสผสมอยู่กับน้ำสี
    ถ้าในบทความของคุณ oatthidet ก็คือจะมีจิตกับใจอยู่ด้วยกัน

    ใช่หรือปล่าว อิๆๆ คุณ oatthidet
     
  4. Paravatee

    Paravatee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,391
    ค่าพลัง:
    +2,978
    คือ ว่าจิตเป็นสภาวะที่มีมาตั้งแต่ต้นครับ จิตไม่ใช่ขันธ์ แต่จิตสร้างขันธ์เพื่อทำหน้าที่บางอย่าง ถ้าชาติหน้าเกิดเป็นพรหมชั้นเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะ ท่านก็มีขันธ์แค่สี่ จิตสรัางขันธ์ตามบุญกรรมที่กระทำ มันเป็นเช่นนั้นของมันเองครับ และพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้พูดว่าท่านค้นพบธรรมะครับ ใครพูดแบบนี้กำลังกล่าวร้ายพระพุทธเจ้าอย่างรุนแรง มหาศาล

    รบกวนช่วยกันอ่านจากพระไตรปิฏกหน่อยครับ ผมขอยกมาบ้าง

    # วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ข้อที่ ๑๗

    พระผู้มีพระภาคตรัสกับสุภูติภิกษุว่า
    ดูกรสุภูติ เธอมีความคิดเห็นเป็นไฉน เมื่อตถาคตอยู่ในสำนักแห่งพระทีปังกรพุทธเจ้ามีธรรมอันใดที่เราพึงบรรลุ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิฤา”
    สุภูติตอบ “ ไม่มีเลย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ตามความเข้าใจของข้าพระองค์ในธรรมอรรถของพระสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งพระองค์อยู่ในสำนักพระทีปังกรพุทธเจ้า ปราศจากธรรมอันพึงบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิเลย”
    “ อย่างนั้นอย่างนั้น สุภูติ โดยความจริงแล้ว ย่อมไม่มีธรรมใดซึ่งตถาคตจักบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิเลย ดูกรสุภูติ หากพึงมีธรรมใดซึ่งตถาคตบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิไซร้ พระทีปังกรพุทธเจ้าก็จักไม่พยากรณ์แก่เราว่า “ในอนาคตกาลท่านจักได้เป็นพระพุทธเจ้ามีนามกรว่า พระศากยมุนี “ แต่ที่แท้ย่อมไม่มีธรรมใดซึ่งจักบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ฉะนั้น พระทีปังกรพุทธเจ้าจึงตรัสพยากรณ์แก่เราว่า“ในอนาคตกาลท่านจักได้เป็น พระพุทธเจ้ามีนามกรว่า พระศากยมุนี “ ข้อนั้นเพราะเหตุใด ก็เพราะว่า “ตถาคต” นั้น คือสภาพความเป็นอย่างนั้นแห่งธรรมดาทั้งปวง ถ้ามีผู้กล่าวว่า ตถาคตบรรลุแก่พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิไซร้ สุภูติ โดยความจริงแล้วก็ไม่มีสภาวะธรรมใดเลย ซึ่งพระพุทธเจ้าจักบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิ สุภูติเอย โดยความจริงแล้วพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิอันตถาคตบรรลุนั้น ในพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ย่อมไม่มีสภาวะความมีอยู่และไม่มีอสภาวะความไม่มีอยู่เลย และด้วยเหตุดังกล่าวนั้นแล ตถาคตจึงกล่าวว่าธรรมทั้งหลายล้วนเป็นพระพุทธธรรม อนึ่ง สุภูติ ตามที่เรากล่าวว่าธรรมทั้งหลายล้วนเป็นพระพุทธธรรมนั้น โดยความจริงแล้ว ก็ไม่มีสภาวะแห่งธรรมทั้งหลายเลย เป็นสักแต่เรียกว่าธรรมทั้งหลายเท่านั้น

    ผมคิดว่า สรรพสิ่งเกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกัน เพราะมีกิเลสจึงมีนิพพาน เพราะมีคนผิวขาวจึงเห็นว่ามีคนผิวดำ สมมติถ้าโลกนี้มีแต่ขาว ก็ไม่รู้ว่าอะไรคือดำ การนิพพานก็ต้องเคารพสรรพสิ่งที่ไม่ใช่นิพพานธาตุด้วย จึงเกิดปัจจัยให้บรรลุจิตอันเลิศสู่อนุตตรสัมมาสัมโพธิ คำว่าอสังขตธรรม เกิดขึ้นได้เพราะมีคำว่า สังขตธรรมนั่นเอง

    ----
    # วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ข้อที่ ๑๘

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัส “ดูกร สุภูติ ไม่ว่าสรรพสัตว์จะมีมากมายเท่าใดในโลกธาตุเหล่านั้น ไม่ว่าปวงสัตว์เหล่านั้นจะมีอารมณ์ที่เกิดกับใจแตกต่างกันอย่างไร ตถาคตย่อมเห็นแจ้งในสัตว์ทั้งปวงนั้น เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้ สุภูติ เพราะสิ่งที่ตถาคตเรียกอารมณ์ที่เกิดกับใจที่แตกต่างกันนั้น แท้จริงมิใช่อารมณ์ที่เกิดกับใจที่แตกต่างกันเลย ดังนี้จึงได้ชื่อว่าอารมณ์ที่เกิดกับใจที่แตกต่างกัน

    * “ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติ ก็เพราะว่าจิตในอดีตเป็นสิ่งที่ไม่อาจติดตามยึดถือ จิตปัจจุบันและจิตในอนาคตก็ไม่อาจติดตามยึดถือได้เช่นกัน”

    *ผมคิดว่า: อดีต อนาคต ปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งที่พระโพธิ์สัตว์ควรยึดถือไว้ เพราะสิ่งหล่านี้ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พระโพธิ์สัตว์ควรเกิดปัญญาหยั่งรู้ อยู่แบบรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวและปรับปรุง แก้ไขอนุโลมตนตามการเปลี่ยนแปลงนั้น ในโลกที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบยั่งยืนทุกอย่างล้วนอนิจจัง คือไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าความแน่นอน อดีตก็ผ่านพ้นไปแล้วหาอะไรไม่ได้ ปัจจุบันก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อนาคตก็ยังมาไม่ถึงอย่าไปคิดกังวล นี่คือหลักการบำเพ็ญธรรมแท้ ความแน่นอนที่แท้จริงคือการทำตัวให้อยู่บนโลกของความเปลี่ยนแปลง ธรรมะทั้งปวงล้วนไม่ใช่ธรรมะ เพราะมีอดีต และมีอนาคต จึงบังเกิดเป็นปัจจุบันที่ไม่ใช่ตัวตน คำว่า ปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ปัจจุบัน เพราะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ดวงอาทิตย์ในปัจจุบันตอนเช้า ยังเดินไปตรงหัวเมื่อถึงปัจจุบันตอนกลางวัน และเป็นอนาคตเมื่อปัจจุบันกลางคืน ฉะนั้นปัจจุบันจึงไม่ใช่ปัจจุบัน แต่ที่เรียกปัจจุบัน เพราะมีช่องว่างของการมีอดีต และ อนาคต คอยเคลื่อนตัวอยู่ เราจึงเรียกปัจจุบันได้ นั่นคือ ปัจจุบันที่เคลื่อนตัวนั่นเอง ฉะนั้นเราควรปล่อยว่างจากตัวตน แล้วจึงปล่อยวางจากความว่าง

    ผมขอนำพุทธโอวาทก่อนปรินิพพานตอนหนึ่งว่า

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือ ความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตนเสีย ด้วยประการฉะนี้ เธอจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวล ไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม"
    ----

    หมายเหตุ ทุกท่านครับ ทีปัญหาง่ายๆ ไม่รู้จะมาเถียงกันทำไม ทีปัญหายากๆเรื่องสัตว์กำเนิดที่ผมถามอยู่กระทู้หน้าที่ ๒ ทำไมไม่ยอมตอบกันเลย งง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2012
  5. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    วิญญาณ เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งด้วย ใจ จากการรับรู้ของ จิต

    เมื่อ จิตกับใจ อยู่ด้วยกัน จะเกิดเป็นการปรุงแต่ง จึงเกิดเป็นวิญญาณครับ

    วิญญาณเป็น กายละเอียด ที่อยู่ภายใน ที่เกิดจากการปรุงแต่งด้วยการรับรู้

    หวังว่าคงจะเข้าใจในคำอธิบายนะครับ

    สาธุครับ
     
  6. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    พระธรรมมีอยู่แล้วในโลก พระพุทธองค์ทรงค้าพบ หาได้กำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาเอง

    การปฎิบัตินี้ มีมานานมากแล้ว ก่อนที่จะมีพระพุทธศาสนาเสียอีก แต่ไม่สามารถหลุดพ้นได้

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบวิถีทางแห่งการหลุดพ้นที่มีอยู่แล้วบนโลกโดยพระองค์เอง

    สาธุครับ
     
  7. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    -กาย มีหน้าที่ กระทบ กระทำ ที่อยู่อาศัย

    -ใจ มีหน้าที่ รู้สึก นึกคิด ปรุงแต่ง

    -จิต มีหน้าที่ รับรู้ จดจำ

    สาธุครับ
     
  8. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อายตนะ เปรียบดั่งประตู และ หน้าต่าง เจ้าของบ้านอยู่ภายในบ้าน

    สิ่งใดเป็นเครื่องรับรู้ สิ่งใดเป็นผู้รู้ คงชัดเจนนะครับ

    สาธุครับ
     
  9. Paravatee

    Paravatee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,391
    ค่าพลัง:
    +2,978
    สรรพสิ่งเป็นเช่นนั้นเองครับ ปล่อยวางจากตัวตนละอัสมิมานะ แล้วจึงปล่อยวางจากความว่าง สภาวะนิพพานมีได้เพราะอาศัยธาตุที่ไม่ใช่นิพพานครับ คำที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะ แท้จริงคือท่านตรัสรู้ความว่างเปล่าจากตัวตน คำว่า อสังขตธรรม อันเป็นบ่อเกิดอริยะ ที่แท้มีได้เพราะมีคำว่า สังขตธรรมครับ ถ้าโลกนี้ทุกคนขาวหมดก็ไม่มีใครรู้เลยว่าอะไรคือดำ คำว่าขาวมีได้เพราะมีคำว่าดำครับ ปลาอยู่ในน้ำถามว่าน้ำอยู่ไหน คนอยู่ในอากาศมาถามว่าอากาศอยู่ใน เพราะคนมองไม่เห็นความว่างครับ
     
  10. พระคุณากร

    พระคุณากร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +72
    จิตรับรู้สิ่งต่างๆ
    วิญญาณ ตัวที่ให้จิตไปรับรู้
     
  11. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    ขอบคุณค่ะ เข้าใจค่ะ
     
  12. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    จิต (มีสองความหมาย) ในทางพุทธศาสนา หมายถึง ใจและสมอง เป็นตัวรับรู้อารมณ์ เป็นความคิด ฯ อันเกิดจากการได้รับการสัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย

    วิญญาณ เป็นส่วนย่อยของ จิต เป็นตัวจำแนกที่ต่อเนื่องจากจิต คือเป็นความรู้แจ้งในอารมณ์ที่ได้รับรู้ ต่อเนื่องจากจิต ยกตัวอย่างเฃ่น เรามองเห็นได้ เพราะมี แสง ภาพ ฯลฯ (เป็นจิต) แสงและภาพเหล่านั้น ทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่เรามองเห็นคือ ต้นไม้ คน หรือสิ่งของต่างๆ (เป็นวิญญาณ) อย่างนี้เป็นต้น


    จิต และ วิญญาณ เป็นคนละอย่างกัน แต่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ต่อเนื่องกัน

    ส่วนคำว่า "จิต เจตสิก รูป นิพพาน"นั้น เป็นรายละเอียดที่ปลีกย่อยแยกแยะลงลึก
    เช่น "จิต"หมายถึง อวัยวะต่างๆของร่างกาย มี หัวใจ และสมองเป็นต้น และจิต ยังแยกแยะออกไปอีก เป็น วิญญาณ เพราะ วิญญาณ ก็คือ จิตในส่วนปลีกย่อยอย่างหนึ่ง จึงมักเรียกรวมกันว่า จิตวิญญาณ

    เจตสิก หมายถึง ธรรม อันประกอบอยู่ในจิต โดยรวมได้แก่ กุศล ,อกุศล,อัพยากตะ และยังหมายรวมถึงความรู้ต่างๆที่มนุษย์พึงมี พึงจดจำอยู่ในสมองและใจ

    รูป หมายรวม ตั้งแต่ มหาภูตรูป(ธาตุทั้งสี่) ไปจนถึง รูปแห่งสรรพสิ่ง นับตั้งแต่ร่างกายของตัวเราเป็นต้นไป ซึ่ง เป็นต้นเหตุ เป้นต้นตอ แห่ง สัญญา เวทนา สังขาร

    นิพพาน ไม่อธิบายขอรับ เพราะรู้กันอยู่แล้ว
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เมื่อ telwada บอกว่า จิตหมายถึงอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
    ดังนั้น ร่างกายสังขารของ telwada ในปัจจุบันนี้ ที่มันเสื่อมไปตามสภาพอายุแล้ว เรียกว่า "จิตเสื่อม" ได้ไหมครับ?
     
  14. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
     
  15. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    จิตใจมัวแต่หมกมุ่นอยู่แต่สิ่งที่เป็นของต่ำ จึงแสดงด้วยสิ่งที่ต่ำทรามเป็นนิสัย

    ทำจิตของตัวคุณเองให้ปกติเถอะครับ ไม่ต้องห่วงผู้อื่น ห่วงตัวคุณเองดีกว่าครับ

    สาธุครับ
     
  16. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320

    http://palungjit.org/posts/6772599

    telwada แสดงธรรมขัดกับหลวงปู่เทสก์ แย่เลยแบบนี้ จะเชื่อใครดีนะ ระหว่าง telwada กับ หลวงปู่เทสก์???
     
  17. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมเห็นคุณกล่าวหาผมหลายครั้งแล้วเรื่องผมนับถือศาสนาอื่น ไม่ทราบว่าผมนับถือศาสนาอะไรครับ

    ทุกครั้งผมก็บอกว่าผมนับถือศาสนาพุทธ ปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์

    ศัทธาใน พระพุทธ พระธรรม พระสงค์ ตรงไหนที่เป็นการบ่งบอกว่าผมนับถือศาสนาอื่นครับ

    สาธุครับ
     
  18. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    สามสิบสองประการของมหาบุรุษ
    วงกลมมีสี่วง
    ที่เห็นอยู่มีสามวงเท่านั้นคือการมองจากด้านบนลงล่าง
    วงที่สี่ไปไม่ถึง
    ใครไปถึงมรณามาบ้างหรือไม่อย่างไรขอรับ
    มรณาไปกี่รอบ
    รอบเดียวอย่าคุยมีเยอะท่านไม่อวดอุจจริ...........หวาดเสียวนึกว่าพิมพ์ผิด

    อะไรคือกายอะไรคือกลางอะไรคือข้างล่างข้างบน
    ท่านอยู่ตรงไหนมองขอรับ

    คงไม่บอกว่าอยู่หน้ากระจกดูตัวเองชกคู่ต่อสู้นะ

    เราพูดถึงพุทธคือศาสนาที่เป็นกลาง

    กลางหรือไม่อย่างไร

    แล้วตรงกลางคืออะไร

    เอาอะไรมาสื่อ

    ทุกภาษาสื่อไปทางเดียวกันเลยหรือไม่ขอรับ

    สื่อกลาง

    วงกลมที่เหลือสามวงคืออะไร
    ทำไมมีสามวงที่ลดและเพิ่มขนาดสองเท่ากันพอดีและเป็นกลางของกันและกันโดยตลอด

    อะไรคือกลาง

    เล่นเป็นก็คงดีแหละขอรับอย่าเอาตัวตนเข้าไปเล่นนะขอรับ

    เอาความว่างไปเล่นดู


    ไปดูอาดัมกับอีวาห์บ้างสิขอรับ
    เถียงกันจนมีลูก
    อะไรเป็นพ่อเป็นแม่...........เป็น
    มาร.....ดา
    บิ.....ดา
    อะไรเป็นแอปเปิ้ล
    เดี๋ยวถามหาพระเจ้าอีกมาเป็นกลางด้วยข้าแด่พระองค์

    บอกแล้วว่าระวังการปฏิสนธิ
    แล้วที่สัปยุทธกันอยู่ละ
    ต้องคะวะยะหุยอยู่ในฝัก
    คะวะยะหุยของภาษาอารบิคแปรว่า.......ดี
    ความดีอยู่ในฝัก............ไม่ลากหางแล้วขอรับ
    เพราะคนไม่มีหางลืมหางตัวเอง
    เลยไม่ไวต่อการสัมผัส
    แม้..........ท่านเล่นซ่อนหางตั้งแต่ผสมไข่แล้ว

    ทำเท่ากันสองอย่าง

    ทำสามอย่างอนิจังทุกขังอนัตา

    ทำหนึ่งอย่างเฉยแล้วรู้หรือรู้เฉยๆ

    รู้แล้วบอก อะตอมัค ด้วยขอรับ

    เลขงวดหน้าขอโปรดลูกฮอนกฮูกด้วย

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้ว
     
  19. Enjjoy

    Enjjoy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +184
    เอามาจากไหนครับ...วิญญาณเป็นอัตตา
    เคยได้ยินแต่...วิฺาณ อนตฺตา.....(ภาษาบาลี ฉบับบาลีสยามรัฐ)

    เคยได้ยินคำนี้หรือไม่ครับ.....สัพเพ ธัมมา อนัตตา
    ธรรมทั้งหลาย เป็น อนัตตา
    ธรรมทั้งหลายนั้นคืออะไร คือ ธรรมฝ่ายสังขตะทั้งหมด
    ธรรมฝ่ายสังขตะคืออะไร คือ พรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก นรก กำเนิดเดียรฉาน เปรตวิสัย ก็คือขันธ์ ๕ ใช่หรือไม่
    ขันธ์ ๕ คืออะไร ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    เหล่านี้คือ....สัพเพ ธัมมา

    อนัตตา ใช้อธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่มีการเกิดปรากฏ ขันธ์ ทั้ง ๕ มีการเกิดปรากฏมีการเสื่อมและมีการดับ
    รูป เป็น อนัตตา
    เวทนา เป็น อนัตตา
    สัญญา เป็น อนัตตา
    สังขาร เป็น อนัตตา
    วิญญาณ เป็น อนัตตา

    อนัตตา...พระพุทธเจ้าพูดจากอะไร พูดจาก อนิจจัง ทุกขัง มาเป็น อนัตตา
    อนิจเจทุกขสัญญา...ใครเห็นอนิจจังมากจะเห็นทุกขัง คือ เห็นความเสื่อม
    ทุกเขอนัตตสัญญา...ใครเห็นทุกข์คือความดับมากๆ คนนั้นจะเห็น อนัตตา

    ธรรมชาติที่มีความเสื่อมได้ ดับได้ ธรรมชาตินั้นจะเรียกว่า อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนจริง ตัวตนชัวคราว)

    (จากพระไตรปิฏก ไทย-บาลีสยามรัฐ)
    ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง


    (ข้อความจากพระไตรปิฏกจะให้ผมคิดว่าเป็นคนล่ะสิ่งกันได้ยังไงครับ)

    คำว่า บ้าง จะให้คิดยังไงครับ เช่น เรียก หมาบ้าง, สนัขบ้าง, มะหมาบ้าง, น้องหมาบ้าง
     
  20. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    เอาเป็นว่าผมขอเป็นนำแข็งนะขอรับจะได้เย็นลงหน่อย

    อย่าพิจารณาอย่างเดียวในธรรม

    เพราะธรรมเหลี่ยมคมกลมลื่นและไม่มีอะไรเลยขอรับ

    หากเอามาอย่างเดียวข้างเดียว
    หรือเลือกข้างจะเป็นสองข้าง

    หากพิจารณาคำว่าบ้างนี้
    ลากสามเหลี่ยมด้านเท่าเลยครับบ้างแล้วครับ
    จะกี่บ้างก็ต้องให้เท่ากันเพราะคำว่าบ้างทุกคำเท่ากัน

    ควรพิจารณาว่าเป็นอนิจัง
    ทุกขัง
    อนัตา
    นี่พูดเรื่องบัว

    หากพูดเรื่องจักรที่เอาไว้ขว้างใส่กันนี้
    อตม
    นิวเคลียส
    ปรม.......และมหาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆปรม........ไม่สิ้นสุด

    หากพิจารณาแนวพุทธคือทำให้สิ้นไม่ได้ทำให้เกิดขอรับ

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...