ค้นพบหลักฐาน มนุษย์ต่างดาวคือผู้วาดภาพผาแต้ม อ.โขงเจียม อุบลราชธานี จริง! หรือ เท็จ!

จะเป็นได้มั้ย ผีตาโขน ก็คือเจ้าสิ่งนี้

 

ภาพเขียนจากถ้ำผีหัวโตครับ

อยากให้ท่านไปถอดรหัสที่ถ้ำนี้ด้วยจัง







น่าจะใช้สีชนิดเดียวกันด้วย

และน่าจะเป็นสีที่ใช้ในปิรามิด

ก็คือ สีเฮนนา หรือ สีจากต้นเฮนนา

 

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว
พบหลักฐานสำคัญ ผาแต้มนี้วาดโดยชาวเกรย์
จากดาวอังคารแน่นอน ไม่ใช่ชาวดาวลูกไก่ตาม
ที่เชื่อกันมาครับ โปรดดูรูปที่แนบมา...ชัดเจนมาก

 

มีถ้ำมากมายที่พบภาพเขียนแบบนี้ ในเมืองนอกก็มี ลักษณะรูปภาพก็คล้ายๆ กัน ก็แปลกๆ ดีนะ

เข้ามาอ่านคลายเครียด ไม่คิดอะไรมาก คงสุดแท้แต่จะจินตนาการกันไป ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าจริงๆ แล้วคืออะไร คิดตามมากไปปวดหัวเปล่าๆ เก็บหัวไว้สำหรับเรื่องที่ไม่เป็นอจินไตย์ดีกว่า

แต่ก็ขอบคุณที่เอามาลงนะคะ หาข้อมูลมาเยอะและน่าสนใจดี ถ้ามีโอกาสไปเห็นภาพในถ้ำที่ไหนในคราวต่อไปจะได้ลองพยายามผูกเรื่องดูอาจจะช่วยสร้างความเพลิดเพลิน (เฉพาะในขณะเดินชม) ได้บ้าง เพราะปกติค่อนข้างจะไม่ค่อยมีจินตนาการเท่าไหร่ บางทีกับสิ่งที่ตั้งอยู่แบบชัดๆ เช่น หินงอกหินย้อยในถ้ำ มัคคุเทศก์บอกเป็นพระ เป็นม้า เป็นดอกบัว ฯลฯ ยังมองไม่ค่อยออกเลย

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ (มาลงต่ออีกก็ได้นะคะ จะอ่าน)

 

การใช้หุ่นยนต์ จับปลาบึก เมื่อกว่า 4,000 ปี ที่ผ่านมา

ผู้วิจัย ยรรยง สินธุ์งาม

การใช้หุ่นยนต์ จับปลาบึก ในยุคสมัยมนุษย์ถ้ำ

เป็นเรื่องเหลือเชื่อว่า สมัย มนุษย์ ถ้ำ จะมีการใช้หุ่นยนต์ ลงไปจับปลาบึกในลำน้ำ พูดไปยังกะนิยายวิทยาศาสตร์ เรื่อง สตาร์วอร์ ยังไงยังงั้น ดูภาพจารึก บนภูผา ก่อนครับ



หมายเลข 1 2 3 เป็นหุ่นยนต์ ขายาว ซึ่ง นักโบราณคดี เรียกว่า ภาพปลากระเบนน้ำจืด
แท้จริงแล้ว เป็นหุ่นยนต์ ชนิดหนึ่ง ให้ดูภาพหมายเลข 3 ภาพแสดงให้เห็นการก้าวขาเดิน หุ่นยนต์ชนิดนี้ เคยปรากฎ ในหน้าการก่อจราจล ที่ผ่านมา ท่านจะเห็น การยิงอาวุธลำแสง เข้าใส่ บรรดา มนุษย์โลก มาแล้ว

ในภาพนี้ มี มนุษย์เข้าร่วมในการจับปลาบึกด้วย หมายเลข 4 เป็นภาพปลาบึก



นำภาพ หุ่นยนต์ขายาว จากหน้า การจราจล มาให้ดูประกอบคำอธิบายอีกครั้ง หมายเลข 1 เส้นสีเขียว เป็นลำแสง ที่ยิงออกจากบริเวณขา หมายเลข 2 เป็นภาพการก้าวขา ที่ผู้วาดตั้งใจ ให้เห็นการเคลื่อนไหว ในส่วนนี้ ซึ่งมีน้ำหนักมากพอที่จะเชื่อได้ว่า ภาพนี้ เป็น วัตถุที่ใช้ ขาเดิน

ชัดเจน ครับ ไม่ใช่ กระเบนน้ำจืด อย่างที่ นักโบราณคดี และ มัคคุเทศก์ ทั้งหลาย บรรยายให้นักท่องเที่ยวได้รับฟัง ที่กล่าวมาไม่ได้ตำหนิใครๆ นะครับ เป็นเรื่องปกติ ของการแสวงหาความรู้ ตามระบบธรรมชาติ เมื่อเทคโนโลยี เครื่องมือ อุปกรณ์ ต่างๆ ที่ยังไม่เหมาะสม หรือ ยังไม่พอเพียง ในการเก็บข้อมูล เราก็จะได้ ข้อมูลที่หยาบๆ ไปวิเคราะห์ ซึ่งนำไปสู่ผลสรุปที่หยาบๆ

ที่ผ่านมา เราอาจจะเก็บข้อมูล ด้วยตาเปล่า ด้วยกล้องถ่ายรูปที่ใช้ฟิล์ม ซึ่งมีอำนาจจำแนกข้อมูลต่างๆ ในขอบเขตที่จำกัด ทำให้เราได้ข้อมูลดังที่เข้าใจกัน

มาถึงวันนี้ มีกล้องดิจิตอล สามารถนำข้อมูลภาคสนาม มาวิเคราะห์ร่วมกับโปรแกรมจัดการรูปภาพ ในคอมพิวเตอร์ ทำให้เรา ปรับแสงเงา ย่อขยายภาพ ได้ตามต้องการ และมีความสะดวก ในการวิเคราะห์ภาพ โดยไม่ต้องวิ่งไปร้านถ่ายรูป ไม่ต้องไปคอยตรวจสอบที่ร้าน

แต่สิ่งที่ วิเคราะห์ได้ในวันนี้ ก็ยังไม่ใช่ข้อสรุปที่ชัดเจน 100 % เมื่อมีผู้มาศึกษาเจาะลึก และ พบข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้ ก็จะนำไปสู่ การสรุปที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่ ณ เวลานี้ ยืนยันตามรูปภาพได้เต็มที่ ว่า ศิลปะถ้ำผาแต้มโขงเจียม คือ ภูผาแห่งจารึก ประวัติศาสตร์โลก ในเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์จากต่างดวงดาวที่มีมาอย่างยาวนาน กับ ชาวโลก ของเรา เป็นเรื่องจริง !!

 

เห็นด้วยกับท่านเจ้าของกระทู้ครับ _/|\_

 

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่...!!

 

โอ้โหสุดยอด ~ เลยขอรับบบ

 

เขามาอยู่นานเเล้วครับ

 

สุดยอดครับ ผมคิดว่ามีหลักฐานมากมายที่ไม่น่าจะเป็นมนุษย์สร้างไว้ แต่หลายสิ่งหลายอย่างต้องมีคำตอบในที่สุด ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ต้องรอดูกันไป ผมเชื่อว่าไม่มีความลับในโลก ทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป

 

*** สีดึกดำบรรพ์...ติดทนนาน ****

ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ หาง่าย ไม่มีส่วนผสมของเคมี
ส่วนผสมสำคัญ คือ หิน และ พืช
เนื้อสีไม่คืนตัว หรือ ตกตะกอน คงสภาพเดิมได้นาน
ระดับความเข้มสี คงทนถาวร
นำไปใช้งานต่างๆได้ง่าย

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

ภาพมนุษย์ต่างดาว ในศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติผาแต้ม

พอทีมข่าวจากช่อง 3 มาถ่ายทอดบรรยากาศ ความฉ่ำเย็น ที่ผาแต้ม เมื่อ กลางเดือน มกราคม 2554 ที่ผ่านมา นำทีมโดย คุณสรยุทธ ยิ่งทำให้นักท่องเที่ยว จากทั่วประเทศ หลั่งไหล เข้าไปเยี่ยมชมอุทยานอย่างคึกคัก ทั้งในวันปกติ และยิ่งวันหยุด มีทั้ง ทัวร์ชาวไทยและชาวต่างประเทศ ต้องกราบขอบพระคุณ ทีมงานจากช่อง 3 ที่ทำให้ผู้คน ได้รู้จักอุทยานแห่งชาติผาแต้ม มากยิ่งขึ้น

ถ้าใครเข้ามาในเว็บวิชาการ.คอม ก็จะยิ่งรู้ลึก มากกว่าที่เห็นเพียงภาพ ที่เป็นข่าว เพราะเรื่องราวของภาพเขียน ได้ถูกทีมวิจัยนักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี กำลังถอดรหัส แปลผล โดยบางส่วนได้นำเสนอบนเว็บไซต์แห่งนี้ และอีกหลายเว็บ ที่เพื่อนสมาชิกนำได้ไปโพสต์ไว้ เพราะความน่าสนใจ ที่เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ


ภาพผาแต้ม หน้าผาสูง เมื่อมองลงไปจะพบความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ ในภาพมีกลุ่มนักท่องเที่ยว รอชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใคร ในสยาม
ผมนำภาพผาแต้มมาให้ดูประกอบ เผื่อท่านที่ยังไม่มีโอกาสมาเยือน ความแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่ง ก็อยู่ตรงความสูงนี่แหละ ภาพเขียนจะอยู่ในระดับที่สูง ผู้ที่จะวาด จะต้องสร้างนั่งร้าน ขึ้นไปวาด ในระยะทางเกือบ 3 กิโลเมตร

เป็นงานที่ยุ่งยากเอาการทีเดียว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า อะไรเป็นแรงจูงใจ ให้ทำเช่นนั้น หรือ ใครสั่งให้ทำ !?! ข้อสงสัยดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งมูลเหตุ ที่ทำให้ผมค้นคว้า วิจัย ในเรื่องดังกล่าว เพราะไม่เชื่อว่า มนุษย์ยุคถ้ำ จะเพียรพยายาม เสี่ยงตาย บนหน้าผา เพียงเพื่อเขียนภาพ เล่าเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ของตน ด้วย เทคนิคสีโมโนโครม ที่มีความคงทน ผ่านกาลเวลา ได้หลายพันปี





ภาพอรุณรุ่ง ที่ผาแต้ม ใครมาผาแต้ม แล้วไม่ได้ถ่ายภาพ คู่กับป้ายนี้ แสดงว่า มายังไม่ถึงผาแต้ม นะครับ

ผมไปพบภาพถ่าย ที่น่าสนใจซึ่งอยู่ใน ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวบนอุทยาน ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ถ่ายมาจากไหน อาจจะเป็นที่ มุกดาหาร หรือ สกลนคร อะไรประมาณนี้ ซึ่งผมจะหาโอกาสไปถ่ายภาพมาวิเคราะห์ ประกอบกับข้อมูลของผาแต้ม วันนี้ก็ดูจากภาพนี้ไปก่อนนะครับ

เป็นภาพคน ที่มีศีรษะกลมแป้น ตากลมใหญ่ บนหัวคล้ายจะสวมอะไรซักอย่าง


เมื่อลองเปรียบเทียบกับ ภาพศีรษะมนุษย์ซึ่งมากับยาน ที่ผาแต้ม จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันทีเดียว

ถ้ามาผาแต้ม ก็เข้าไปชมภาพดังกล่าวได้ ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว บนอุทยานนะครับ ตัวผมเองเคยบันทึกภาพจานบิน ได้ 2 ลำ เมื่อคราที่พานักเรียน ม.5 ไปวาดภาพ หลายปีมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะค้นเจอรึเปล่า ถ้าหาเจอ ก็จะนำมา ให้ท่านได้ชมกัน จำได้ว่า ลำหนึ่ง ลักษณะรูป จาน สีเทา อีกลำหนึ่ง รูปแท่งยาวรี เปล่งแสงสีเหลือง เคลื่อนที่ในแนวตั้ง ลักษณะกำลังพุ่งขึ้น

วันนี้ก็ถือโอกาส เปลี่ยนชื่อเรื่องงานเขียน เป็น มนุษย์ต่างดาวที่ผาแต้ม เต็มตัว เดี๋ยวไปชมภาพพระอาทิตย์ในยามอัศดง ที่ผาแต้ม พร้อมกันครับ


ตะวันตกก่อนใครในสยาม ที่อื่นยังมืด แต่อุบล ค่ำแล้ว ก่อนใครๆเค๊า


ถ่ายในวันเดียวกัน อาทิตย์เริ่มตก ดวงจันทร์รีบขึ้น ตั้งแต่ยังไม่มืด นี่แหละครับ ตะวันเพิ่งชิงพลบ จันทราหุนหัน
เปล่งแสงแข่งตะวัน หากแต่อยู่คนละฟากฟ้า นานได้เห็นที จึงเก็บภาพมาฝาก ครับ

 

จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้ ถ้าวิวัฒนาการสูงขนาดนั้นทำไม จึงเขียนภาพได้ห่วยนัก สู้พวกอียิปต์ไม่ได้เลย

 

ภาพทั้งหมดที่เขาเขียน บนภูผา ซึ่งดูให้เป็นเหมือน ฝีมือเด็กๆ นั้น เป็นการอำพราง เพื่ออนุรักษ์ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ไว้

 

รู้แหล่งกำเนิดของปลาบึกก็คราวนี้หล่ะ

 

ส่วนตัวผมคิดว่าโลกเราเองมีความเจริญถึงขีดสุดมาแล้วหลายต่อหลายครั้งและอาจจะเจริญกว่าปัจจุบันหลายเท่าก็เป็นได้เพราะผมไม่เชื่อว่าโลกซึ่งมีอายุไม่ร้จักกี่ล้านปีกี่จะมีความเจริญได้แค่นี้อาจจะเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันหรือเหตุการณ์ภัยพิบัติอะไรก็ตามแต่ล้านปีที่แล้วบนโลกอาจจะมีคนขับรถพลังงานสนามแม่เหล็กอยู่บนท้องฟ้ามาแล้วก็เป็นได้

 

ภาพเขียนผาหมอน อัศวินหุ้มเกราะ Pha Mhon paints : The Warior

ได้เข้าไปเก็บข้อมูล ที่ผาหมอนอีกครั้ง ( 21ม.ค.54 ) หลังจากในครั้งนั้นเข้าใกล้ภาพเขียนไม่ได้ เนื่องจากรังผึ้งหลวงขนาด ใหญ่ขวางเอาไว้ ก็ได้แต่ใช้กล้องซูมเอา ในมุมเอียงๆ ผาหมอน เป็นผาที่อยู่ชั้นกลาง ของ ผาแต้ม เป็นทางเดินแคบ ค่อนข้างอันตราย สำหรับคนที่กลัวความสูง ครับ



ผาหมอนชั้นบน ทางเดินแคบ ต้องระมัดระวังให้มาก


แต่วิวสวยๆ ของทิวเขา ลำน้ำโขง ดินแดนฝั่งลาว ดึงดูดใจได้เป็นอย่างดี


ภาพหน้าผา ในมุมมองที่ย้อนแสง มีเสน่ห์ อย่างลึกลับ

มีภาพเขียนหลายภาพ ที่ผาหมอน ภาพเด่นๆ นอกจากภาพมือ ก็จะมีภาพคน เป็นลักษณะของกิ่งไม้
ดังที่ท่านเห็นในภาพนี้



มองดูเหมือนภาพเด็กๆวาด เป็นโครงสร้างง่ายๆ คนใส่กระโปรง อะไรทำนองนี้ หลายท่านเห็นภาพนี้ ก็นำไปจินตนาการ แต่งนวนิยาย ได้อย่างหลากหลาย ...

ถ้าเป็นการบันทึกภาพโดยปกติ ผมเองก็คงลงความเห็นว่า คนใส่กระโปรง ไม่สิ ต้อง บอกว่า ผู้หญิงใส่กระโปรง ถึงจะถูก เพราะส่วนใหญ เราจะไม่ค่อยเห็นผู้ชายสวมกระโปรง เว้นแต่บรุษชาวสก๊อตแลนด์ และ นักร้องวงโปงลางสะออน

ครานี้ท่านลองดูภาพที่ผมสะกดรอย ประวัติศาสตร์ กว่า 4,000 ปี เปิดใจให้กว้าง อายุภาพเขียนขนาดนั้น จะไม่ให้สึกกร่อน คงเป็นไปไม่ได้


อัศวินหุ้มเกราะ The Warior not Lady in dress

ลายเส้นที่ได้ จะมีลักษณะ คนสวมหมวกที่เป็นเหมือนเกราะ ซามูไร เสื้อมีลักษณะคล้ายชุดเกราะ เพราะเป็นแผ่นๆซ้อน เรียงกัน เป็นชั้นๆ ชุดกระโปรง ก็มีลักษณะเป็นเกราะ บริเวณปลายกระโปรงข้างซ้ายและขวา มีลักษณะเป็นเหมือนปีกนก ยื่นออกมา รองเท้า ก็มีลักษณะเหมือนรองเท้า อัศวิน ของยุโรป


ครับ เห็นภาพนี้แล้ว รู้สึกยังไงบ้างครับ ยังมีเด็ดๆ อีกเยอะ ครับ ผมไปพบสัญลักษณ์ ที่สีลบเลือน มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นครับ ติดตามไปเรื่อยๆ นะครับ

เดี๋ยว ผมจะเอาภาพ ยานขนาดใหญ่ ที่ล่องหนอยู่ในบรรยากาศ ของโลก มาให้ท่าน ดู เป็นความตั้งใจ ของ เพื่อนต่างดาว ที่อยากให้ผมเห็น และนำเสนอภาพดังกล่าว ถ่ายจากผาแต้ม ช่วงตะวันตกดิน น่าทึ่งมากครับ

...เปิดเผยซะที มนุษย์ต่างดาว ผาแต้ม ..... อยู่มาตั้งหลายพันปี

 

ยานUFOล่องหน เหนือท้องฟ้า โขงเจียม


อย่างที่ได้เกริ่นไว้ในหน้าที่แล้ว ก็ถึงคราที่จะได้ยลโฉม ยานแม่ยูเอฟโอ ที่เขาเปิดเผยให้กล้องถ่ายวิญญาณของผม นำภาพกลับมาฝาก ท่านผู้อ่าน ถ่ายได้เมื่อเย็นวันที่ 21มกราคม 2554 เกือบ 6 โมงเย็น ผมยืนถ่ายอยู่บนผาแต้ม ขณะเดินกลับมาลานจอดรถ

ในขณะนั้นเห็นภาพ ตะวันลับฟ้าสวย ก็ถ่ายเก็บไว้


ตะวันลับฟ้า ถ่ายที่ ผาแต้ม 21มกราคม 54

ขณะบันทึกภาพไป ผมสังเกตเห็นแสงสะท้อนอยู่บนฟ้า ก็แปลกใจอยู่หน่อย ก็ตรงที่ ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วนี่นา ก็อาจจะเป็นแสงสะท้อนจากเครื่องบิน ผมนึกในขณะนั้น มือก็ซูม เก็บภาพไปเรื่อย หลายนาทีผ่านไป

แสงสะท้อน ก็ยังอยู่ตำแหน่งเดิม อ้าว ! ถ้าเป็นเครื่องบิน มันน่าจะลับตาไปแล้ว ว่าแล้วก็จัดแจง ขาตั้งกล้อง แต่สายไปซะแล้ว เมื่อเมฆก้อนใหญ่ เคลื่อนตัวมาปิดทับ พร้อมกับการสิ้นแสง ของดวงตะวัน โดยสมบูรณ์

แต่ก็ได้ภาพเด็ดๆ มา บอกกล่าวกัน ครับ ว่า

มนุษย์ต่างดาวผาแต้ม ยังอยู่กับเรา .... เสมอ


จุดสะท้อนแสงสีเหลืองทอง กลางภาพ เปรียบเทียบกับภาพที่ผมลงลายเส้นข้างล่าง


มีวัตถุที่มองแทบไม่เห็นเลย ถ้าไม่อาศัยเส้นนำ จากจุดสะท้อนแสง
ยอดเยี่ยมมาก สำหรับเทคโนโลยีการล่องหน ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ ไม่มีแสง ไม่มีกลิ่น


ส่วนสองภาพต่อไปนี้ ผมซูม ภาพแสงสะท้อนดังกล่าวเข้ามาใกล้ๆ

ท่านทราบไหมว่า เราได้พบกับอะไร !!

มันไม่ใช่ แสงสะท้อน ครับผม !!

แล้ว มันคืออะไร !!

......!! ? !! ? !!......


เป็น กลุ่มพลังงานสีเหลืองทอง !!

ครับ เป็นดวงวิญญาณ หรือ ดวงจิต เพียงดวงเดียว แต่มีพลัง อำพราง ซ่อนเร้น ผมไม่แนใจว่า เขาผู้นี้จะใช้พลังขับเคลื่อนยานด้วยหรือเปล่า จากการสังเกต ขณะบันทึกภาพ ไม่ปรากฏพลังของดวงจิตอื่น ในภาพเลย จึงอาจจะเป็นไปได้ว่า เขาผู้นี้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนยานไปพร้อมกับการพรางตัว

เทคโนโลยีที่ใช้ก็คือ พลังจิต ครับ !! สุดยอดพลังแห่งจักรวาล เฉกเช่น ที่ พระพุทธเจ้า ท่านสอนชาวโลกเอาไว้
มนุษย์จากดาวดวงอื่น ใช้พลังจากจิต ร่วมกับ วัตถุ ได้อย่างช่ำชอง ขณะที่มนุษย์โลก มุ่งไปพัฒนา เทคโนโลยีด้านวัตถุ อย่างจริงจัง โดยไม่สนใจพลังที่ยิ่งใหญ่ ในตนเอง..!!


ภาพนี้ผมลงลายเส้น ให้ท่านได้เห็นรูปร่าง ของ วิญญาณสีเหลืองทอง เส้นสีเขียว เป็นลายเส้นของ ยานUFOล่องหน
เส้นสีเหลือง และ ขาว เป็นเส้นที่เกี่ยวกับวิญญาณ

ต้องกราบขอบพระคุณ เพื่อนร่วมจักรวาล ที่ร่วมเปิดเผยข้อมูล ให้มนุษย์โลก ฅนค้นผี อย่างผมได้รับรู้

การถอดรหัส จารึกผาแต้ม อาจผิดบ้าง ถูกบ้าง ก็อย่าเพิ่งตำหนิ หากขัดใจ ขัดกับประสบการณ์เดิม ก็ขอให้ใจเย็นๆ คิดซะว่า อ่านเล่นๆ เป็น นิทาน อย่าเอามาเป็นอารมย์ จิตจะไม่แจ่มใส ใจก็จะไม่เป็นสุข

ผมจะเดินทาง สะพายกล้องถ่ายวิญญาณ ท่องโลก ไปเรื่อยๆ พร้อมกับการเล่าขาน บนเว็บ วิชาการ.คอม

เพื่อนสมาชิกท่านใด ที่นำไปโพสต์ต่อ ก็กราบขอบพระคุณ และขอให้ แนบ link และ อีเมล์ ผมไปด้วย เผื่อท่านผู้อ่านมีข้อสงสัย ให้สนทนากับผมได้ทางเมล์ ขอรับ ส่วนการรวมเล่มเป็นหนังสือ กำลังดำเนินการ ครับ


ทีมวิจัย

ยรรยง สินธุ์งาม ฅนค้นผี yanyong007@windowslive.com

ปรียากรณ์ ทะคำสอน

 

ยานแม่ขนาดใหญ่ ไร้เสียง ไร้ภาพ : การล่องหน เหนือเมืองอุบล

สะกดรอยยานล่องหน โดย ยรรยง สินธุ์งาม



6 กันยายน 2551 เวลา 19.10 น. โดยประมาณ บรรยากาศที่สวนสาธารณะ ทุ่งศรีเมือง กำลังคึกคัก ไปด้วยผู้คน ที่ออกกำลังกาย พาครอบครัวไปพักผ่อนหย่อนใจ ผมเดินเข้าที่ช่องทางด้านทิศตะวันออก ด้านมุมโรงเรียนอนุบาลอุบลฯ แล้วเล็งกล้อง ถ่ายภาพศาลหลักเมืองในมุมกว้าง ไปหลายสิบภาพ
เพื่อบันทึกภาพของวิญญาณ แต่เมื่อนำภาพมาวิเคราะห์ กลับพบว่า มีภาพวัตถุ ขนาดใหญ่ ลอยอยู่ระดับเดียวกับหลังคาของศาลหลักเมือง ซึ่งเป็นที่น่าประหลาด ผู้คนจำนวนมาก กลับมองไม่เห็นยานลำดังกล่าว ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ ไม่มีลมพัด ไม่มีกลิ่นผิดปกติใดๆ ซึ่งขณะบันทึกภาพผมเองก็ไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ ผู้คน สัตว์เลี้ยง คงดำเนินกิจกรรมไปอย่างปกติ



ภาพแรก มีการลดแสงลง ทำให้เห็น วัตถุที่อยู่ในความมืด มุมซ้ายเป็น ยอดช่อฟ้า ของศาลหลักเมือง



ภาพนี้ ปรับเพิ่มแสง ให้พอเหมาะ เพื่อให้เห็นรายละเอียด ของ ยานที่ลอย นิ่งบนท้องฟ้า





ภาพที่ 3 นี้ ลงลายเส้น สีแดง ตามแสงเงาของวัตถุ พบว่า ลักษณะเป็น ยานขนาดใหญ่
อาจจะเป็น ยานแม่ มีสีเทาเข้ม เกือบดำ มีขอบยานบางส่วนที่สะท้อน แสง เป็นสีทอง

ผมเองปล่อยข้อมูลชุดนี้ ให้นิ่งอยู่ตั้งนาน เพิ่งนำมาวิเคราะห์ อย่างละเอียด เท่าที่ความสามารถของเครื่องมือ จะแยกออกได้ จึงนำ มาเล่าสู่กันฟัง

ซึ่งการเข้ามาใกล้ชิด ชาวโลกขนาดนี้ แสดงว่า มนุษย์จากต่างดาว ก็ให้ความสนใจ ในวิถีชีวิต ของสัตว์โลก บนดาวดวงนี้เป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงเรื่องเล่า เฉพาะในนิยายวิทยาศาสตร์

ต้องกราบขอบพระคุณ ผู้บังคับการ ยานลำดังกล่าวเป็นอย่างสูง ที่ลดพลังเกราะล่องหน ให้มีกำลังอ่อนลง จนมีขนาดพอเหมาะที่ กล้องถ่ายวิญญาณ สามารถบันทึกภาพได้ ขอบพระคุณที่ให้เกียรติ ชาวโลกธรรมดาคนหนึ่งอย่างผม ให้ได้มีโอกาสบันทึกภาพ ยานแม่ ในระยะที่ใกล้ชิดขนาดนี้ โดยที่ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งสิ่งมีชีวิต บนโลก บริเวณใกล้เคียง ไม่ได้รับผลกระทบ ที่เป็นอันตราย ใดๆ

ขอให้มีการสถาปนาความสัมพันธุ์ ทางการฑูต ระหว่าง ดวงดาว ในเร็ววัน เพื่อร่วมสร้างสรร สันติสุข แก่มวลสรรพวิญญาณ ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ยังดวงดาวต่างๆ ในจักรวาล เทอญ

ผมเองก็จะขอเป็น สื่อกลาง ในการเผยแพร่ข่าวสาร อย่างกลางๆ ไม่งมงาย ไม่สร้างลัทธิ เป็นไปโดย ธรรมชาติ โดยผ่านช่องทาง เว็บวิชาการ.คอม นี่แหละครับ ถ้ามีอะไรใหม่ๆ ก็จะนำเสนอไปเรื่อยๆ

ขณะนี้ผมกำลัง วิเคราะห์ ภาพ ประตูมิติ อยู่นะครับ เก็บข้อมูลชุดนี้มาร่วม 3 ปี อีกไม่กี่อึดใจ ครับจะเอามาเล่าให้ท่านฟัง

 

หลักฐาน ยานล่องหน ของมนุษย์ต่างดาว

วิเคราะห์โดย ยรรยง สินธุ์งาม


ก็ถึงเวลาเล่าขานเกี่ยวกับ เพื่อนต่างดาว ที่เข้ามาศึกษา ทำวิจัย ณ ดาวโลก เรื่องนี้เชื่อมโยงมาจาก ฝูงจานผี ยูเอฟโอ โผล่ที่พิษณุโลก www.vcharkarn.com/vblog/64401 ที่ผมเคยเกริ่นเอาไว้ เกี่ยวกับ หลักฐานภาพถ่ายที่ได้จาก ภูน้อย จังหวัดมุกดาหาร

ภาพนี้ถ่ายได้โดยบังเอิญ จากการกดชัตเตอร์ซ้ำ ในที่เดียวกัน ระยะเวลาห่างกัน ประมาณ 5 วินาที
ความมุ่งหมายก็เพื่อถ่ายภาพวิญญาณ เมื่อนำภาพมาเปรียบเทียบทำให้เห็นความเชื่อมโยง ของภาพในฉากหลัง จึงไม่อาจมองข้ามข้อมูลชุดนี้ไปได้ ทำให้ต้องวิเคราะห์เจาะลึกลงไป และพบสิ่งที่น่าสังเกต อีกหลายประการ


ภาพ 1 ภาพ 2 ถ่ายหลังจากภาพแรก 5 วินาที

จากภาพ 1 ท่านจะสังเกตเห็นว่า มีจุดสีขาว คล้ายดวงไฟ 1 ดวง ภาพ 2 มีดวงไฟสีขาว 3 ดวง หลายคนอาจจะเข้าใจว่าเป็น ดวงวิญญาณ สำหรับผม แว๊บแรกที่เห็น ก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่ ภาพวิญญาณ
เพราะ มีความเข้มข้น ของการสะท้อนแสงมากกว่าปกติ ผมเองก็ไม่มีเครื่องมือมากพอที่บอกได้ว่า ความสว่างกี่ลักซ์ จึงจะเป็นวิญญาณ ที่รู้ได้เพราะประสบการณ์จากการสังเกตภาพ วิญญาญ มานับหมื่นภาพ
เดี๋ยวจะมีภาพอธิบายเปรียบเทียบให้ดูครับ ไปดูภาพข้างบนต่อดีกว่า สังเกตดูว่า ต้นหญ้าไม่เอนไหว กิ่งไม้ด้านบนภาพก็ไม่เอนไหว แสดงว่าขณะถ่ายภาพ ไม่มีลมพัด


ภาพเดียวกับภาพที่ 2 จุดที่ลูกศร สีแดง ชี้ 2 จุด คือตำแหน่ง ที่ต้นไม้พุ่ม 2 ต้น เอนไปทางด้านขวา แสดงว่ามี น้ำหนักบางอย่างกำลังกดทับ บนยอดไม้ดังกล่าว อาจจะตั้งข้อสงสัยว่า เป็นสัตว์ อะไรรึเปล่า ถ้าเป็นสัตว์ ก็จะต้องปรากฎตัว และก็ต้องมีรูปร่าง ใหญ่กว่ากิ่งก้าน ทรงพุ่ม ของต้นไม้ เพราะว่า จากภาพเราจะเห็น ต้นไม้เอนไปทั้งต้น ทุกกิ่ง บ่งบอกว่า ถูกน้ำหนักกดทับ ทั้งทรงพุ่ม ถ้าหากว่าจะเป็นสัตว์ ก็คงเป็น งู นก หนู แมว กระรอก ฯลฯ ก็คงจับยึด เฉพาะกิ่ง ไม่อาจครอบทับทั้งทรงพุ่มได้

จากข้อมูลข้างต้น สรุปได้ว่า มีบางสิ่งกดทับบนยอดพุ่มไม้ ที่ตามเปล่าของมนุษย์ ไม่อาจมองเห็นได้



ภาพนี้ ซูมเอาเฉพาะจุด ดวงไฟ 2 ดวง ในภาพที่ 2 มาทำการวิเคราะห์ ใครสังเกตดีๆ จะเห็นดวงตา ที่มีตาขาว ตาดำ เป็นคู่ๆ อยู่เยอะแยะ ผมยังหาคำอธิบายที่เหมาะสมกับเรื่องนี้ดังกล่าวยังไม่ได้ เราก็ข้ามไปก่อน เอาเรื่องที่ผมเห็นก่อน นะครับ

และลองปรับลดแสงสี เพื่อดูความเปลี่ยนแปลง ท่านสังเกตเห็นอะไรบ้างครับ นอกจากดวงไฟสองดวง บริเวณใต้ดวงไฟ กลางๆ ภาพ จะปรากฎสัญลักษณ์ ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่า หมายถึงอะไร

ซึ่งในข้อนี้ แสดงว่า ต้องไม่ใช่เรื่อง ของวิญญาณ แน่นอน ความคาบเกี่ยว เรื่อง สัญลักษณ์ อักขระ ตัวอักษร รูปภาพ เครื่องหมาย เป็นเรื่องของ สัตว์ ที่มีกายหยาบ จึงมีความจำเป็นที่ต้องอาศัย เครื่องมือหยาบๆ ดังกล่าว เป็นเครื่องมือ ในการสื่อความ หรือ กำหนดขอบเขต ความเป็นเจ้าของ

การกำหนดขอบเขตของสัตว์ เช่น การใช้เล็บข่วนต้นไม้ ของหมี การแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น อักษรของภาษาไทย ก็บ่งชี้ ว่าเป็นของ ชาติชนเผ่าไทย อักษรอังกฤษก็เป็นเผ่าพันธุ์ของยุโรป วิญญาณคงไม่จำเป็นต้องใช้ รึถ้าใช้ เราก็คง ไม่อาจจับภาพได้ ด้วยกล้องถ่ายวิญญาณธรรมดา เพราะความสามารถของกล้องที่ใช้อยู่ยังไม่อาจปรับสภาพดังกล่าวได้


เพื่อให้ท่านเห็นได้ชัด ผมจึงทำเครื่องหมาย สี่เหลี่ยมสีขาว ครอบ บริเวณที่บ่งชี้ว่า เป็น สัญลักษณ์ หรือ อักขระ ของผู้มาปรากฎกาย แบบล่องหน


ภาพนี้นำส่วนดังกล่าวมาขยายให้ดู จะเห็นสัญลักษณ์ หรือ อักขระดังกล่าว

จากข้อมูลชุดนี้ ทำให้สรุป แบบมองไม่เห็นนะ ว่า มียานพาหนะล่องหน ของเผ่าพันธุ์ ที่มีอารยะธรรมจากต่างดาว สัญชาติตามปรากฎดัง สัญลักษณ์ หรือ อักขระ ที่จารึกไว้บนยาน กดทับบนยอดพุ่มไม้ทั้งสอง

ทำไมถึงไม่ลงข้อสรุป ว่าเป็นวิญญาณ ก็เพราะจากการศึกษา วิญญาณมีน้ำหนักน้อยมากๆ


ต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่านะ ไม่อาจใช้กล้องไปถ่ายภาพมาให้ท่านชมได้ ผมโชคดีได้พบ 2 ผู้นำ ชายหญิง ของ ดาวที่เป็นเจ้าของยานล่องหน ลำดังกล่าว เหมือนมนุษย์เรา ความสูงก็เท่าๆกับมนุษย์ ผิวเหลือง ออกน้ำตาล หน้ารูปไข่ คางแหลมนิดๆ หน้าตา เหมือนชาวเอเชีย มี ตาขาว ตาดำ คิ้ว ขนตา สีดำ แต่เส้นผม ตรง สีขาว เส้นเล็ก ละเอียด สลวย ไม่ใช่ขาวแบบผมหงอก อย่างชาวโลก ซึ่งเป็นผมที่เซลล์เม็ดสี หมดอายุ แต่นี่ขาวขลับ เหมือนผมดำที่ดูแลดี ดำขลับเป็นประกายอะไรทำนองนั้น

เพราะที่เห็นผมขาวขลับ มัน เป็นประกาย เขาก็ไม่ได้บอก ว่า มาจากดาวอะไร ผมก็ไม่ได้ถาม เพราะมีความรู้สึกว่า ถ้าเขาอยากให้เรารู้เขาคงจะบอกเราเอง รู้แต่ว่า ผู้ชายเป็นจักรพรรดิ์ ผู้หญิงเป็นจักรพรรดิณี นำยานพร้อมนักวิทยาศาสตร์มาศึกษามนุษย์ที่อยู่ตามดาว ในจักรวาลอื่น ดูหน้าตาของ 2 ผู้นำ นะไม่น่าจะเกิน 30 ต้นๆ ถ้าเทียบกับร่างกายชาวโลก แต่ในความจริง ทั้งสองท่าน อายุ 800 ปีแล้ว ถ้าเทียบปีของมนุษย์

เขาไม่ได้ขยับปากนะครับ เวลาสนทนา ใช้พลังจิต ครับ ผมเคยกล่าวไว้ว่า เขามีการผสมผสานการทำงานระหว่างเครื่องจักรกล หรือเทคโนโลยี ต่างๆเข้ากับจิต ซึ่งก็ได้บัญญัติศัพท์ ขึ้นมาใช้เรียกว่า เทคโนโลจิต ผมกล่าวขอบคุณ ที่ท่านทั้งสอง เปิดเผยตัวตน ให้ผู้ต่ำต้อยอย่างกระผม ได้พบเห็น

พักแค่นี้ก่อนครับ (ขณะนี้กำลังวิเคราะห์ข้อมูล เดี๋ยวจะมา update ให้ได้ชม จะเป็นเรื่อง ของการทะลุมิติอวกาศ มาโผล่ที่โลกครับ ไม่อยากเชื่อนะว่าจะมีโอกาส ได้เห็นในยุคนี้ เพราะเห็นแต่เขาโม้กันในภาพยนตร์ อดใจรอนะครับ ผมก็ตื่นเต้นสุดๆเหมือนกัน ) พอพูดถึงเรื่องนี้ทำให้ระลึกถึงครูผมท่านหนึ่ง คือ รศ.ดร.สมาน อัศวภูมิ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง วิถีอมตะ มีหลายอย่างจากหนังสือเล่มนี้ ที่ได้จุดประกาย การค้นคว้า เกี่ยวกับทฤษฎีวิญญาณ ของกระผม และมีหลายประเด็นที่การศึกษาของผม ไปอธิบายทฤษฎีอมตะ ของ Professor ท่านนี้ แม้จะพูดคนละลักษณะ อธิบายด้วยศัพท์คนละตัว แต่สภาพธรรมชาติ ของสิ่งนั้น บ่งบอกว่าเป็นตัวเดียวกัน อย่างที่เราเห็น ไฟ เรียกว่า ไฟ ชาติอาหรับ ก็เห็น ไฟ และก็เรียก ไฟ แต่อาจจะไม่ออกเสียงเหมือนกับเรา อะไรทำนองนี้แหละครับ