คุณคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนามีความสัมพันธ์กันหรือไม่?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย khajornwan, 8 พฤศจิกายน 2010.

  1. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ในปี 2554 นี้ ดร.เมล กิลล์ จึงได้เปิดเผยความลับเหนือโลกผ่านประสบการณ์ตรงในหนังสือสุดยอดแห่งปี “สุดยอดเดอะซีเคร็ต” เพื่อให้คนทั่วโลกเข้าใจศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ และสามารถค้นพบความสุขที่แท้และยืนยงได้ ที่อธิบายให้เห็นกฎการทำงานระหว่างจิตใจมนุษย์กับกฎจักรวาลนั่นเอง ที่ผ่านมาเราเรียนรู้กฎแห่งวัตถุ รู้ว่าเมื่อโยนแอปเปิ้ลขึ้นบนอากาศ มันจะตกลงมาบนพื้นโลกตาม

    กฎของแรงโน้มถ่วง แต่น้อยคนจะรู้ว่า เพียงจิตเรา “คิด” ถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งทั้งในระดับจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึก เราก็จะ “ดึงดูด” เอาสิ่งนั้น ๆ เข้ามาหา ตามกฎแรงดึงดูด อันเป็นกฎแห่งจักรวาลข้อหนึ่ง

    [​IMG]

    แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้น การค้นคว้าของ ดร. เมล กิลล์ โดยผสานองค์ความรู้ของชาวอียิปต์โบราณ ผ่านกฎ 7 ข้อของเฮอร์เมส หรือปรัชญาเฮอร์เมติกที่จารึกอยู่ใน “จารึกมรกต” ซึ่งหายสาปสูญไป บวกกับประสบการณ์หลังความตายของตัวเอง กฎทางฟิสิกส์ หลักวิทยาศาสตร์ การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ จิตวิทยา แนวอภิปรัชญา ซึ่งกฎทั้ง 7 ประการนี้ ประกอบด้วย กฎแห่งมโนนิยม กฎแห่งการสั่นสะเทือน กฎแห่งขั้วตรงข้าม กฎแห่งจังหวะ กฎแห่งเพศ กฎแห่งเหตุและผล และกฎแห่งความสอดคล้องกัน จังหวะแห่งกฎนั้นสอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนในทางพุทธศาสนา ดังตัวอย่างข้อความในหนังสืออธิบายกฎของขั้วตรงข้ามไว้ว่า จิตวิญญาณของมนุษย์ต้องรับมือกับขั้วตรงข้ามที่ว่านี้ ตัวคุณกำเนิดขึ้นในโลกโดยเชื่อมโยงสัมพันธ์กับคนอื่น สิ่งอื่น พร้อมทั้งเชื่อมโยงสัมพันธ์กับตัวตนแท้จริงของคุณเอง แล้วคุณก็พัฒนาอัตตาขึ้นจากสัมผัสรับรู้เพื่อกลับไปสู่ตัวตนแท้จริง และสัมผัสกับความเป็น
    หนึ่งเดียวนั้นอีกครั้ง คุณต้องฝ่าฟันกับช่วงเวลาที่ต้องแสดงสิ่งต่าง ๆ ออกมาอีกครั้ง

    ในคำถามที่คุณอาจจะถามว่า ทำเพื่อผู้อื่นแล้วจะมีประโยชน์อะไรแค่นี้ชีวิตก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว ลำพังตัวเองก็แทบเอาไม่รอด นับประสาอะไรกับคนอื่น แต่การทำเพื่อผู้อื่นก็เป็นส่วนหนึ่งของกฎแห่งจักรวาลและเป็นการฝึกเรื่องขั้วตรงข้ามด้วย เมื่อคุณปล่อยวางตัวตนและลงมือทำเพื่อผู้อื่นจริง ๆ คุณก็จะพลิ้วไปตามกระแสชีวิตจนผ่อนคลายเข้าสู่ตัวตนอันแท้จริง เมื่อค้นพบตัวตนซึ่งเชื่อมต่อกับจักรวาลนั้นแล้วจะรู้สึกสงบสุข จากนั้นความสุข ความรัก ความรื่นรมย์ และสิ่งดีทั้งมวลในชีวิตก็จะบังเกิดแก่คุณง่ายขึ้น

    ในวันเปิดตัวหนังสือได้มีการเสวนา เปิดเผยเคล็ดลับแห่งความสำเร็จ 7 ประการ จาก 8 บุคคลที่ใช้พุทธศาสนาเป็นหลักชัยในการดำเนินชีวิต อาทิ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้อำนวยการโรงเรียนสัตยาไส จ.ลพบุรี ดร.สนอง วรอุไร ปราชญ์ด้านศาสนาและการปฏิบัติธรรม ดร.ดาราวรรณ เด่นอุดม ครูผู้ทรงคุณวุฒิปัญญาด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณี นพ.วิโรจน์ ตระการวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์โรงพยาบาลนครธน เป็นต้น

    ดร.สนอง บอกว่า ความสำเร็จอยู่ที่ใจของเราถ้าเราตั้งใจไว้ที่ถูกต้องมันก็เป็นตามนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้มีอะไรที่ทำให้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ทุกสิ่งที่เกิดจะต้องมีเหตุถ้าสร้างเหตุดีผลดีย่อมเกิดขึ้น

    เนื้อหาของหนังสือของ ดร.เมล กิลล์ ระบุเรื่องกฎแห่งมโนกรรมไว้ ดร.สนองได้ใช้ประสบการณ์ตรงของตัวเองอธิบายกฎข้อนี้ว่าได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษด้านเชื้อไวรัสมีทักษะด้านการใช้กล้องเชื้อไวรัสอิเล็กตรอน สามารถเห็นสิ่งเล็ก ๆ ทุกอย่างแต่มองไม่เห็นเทวดา เรียนจบกลับมาจึงอยากพิสูจน์เพราะในพุทธศาสนาบอกว่ามีเทวดา จึงพิสูจน์แค่ 7 วันก็เข้าสมาธิสูงสุดที่เรียกว่าเข้าฌาน แต่ออกจากฌานเห็นภพภูมิของตัวเอง แต่สิ่งที่เห็นไม่ได้เห็นด้วยตาแต่เห็นด้วยจิต พลังงานของจิตต้องคงที่จะเห็นนั้นจึงเป็นสาเหตุให้เปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เปลี่ยนพฤติกรรมในด้านดี คิด พูดทำไม่ผิดกฎหมายอยู่ในด้านดีตลอด

    “ทุกวันนี้ที่มีปัญหาอยู่ที่จิตถ้าคิดถูกหรือตามที่ฝรั่งพูดว่าเป็นการคิดบวกดีแน่นอน ทุกขณะตื่นต้องเอาสติมากำกับจิตด้วยที่เรียกว่าคิดดีจิตมีมโนธรรม”

    ด้าน ดร.อาจอง กล่าวว่า ความบังเอิญไม่มีในโลกเป็นเรื่องจริง ผลลัพธ์บนโลกใบนี้ล้วนเชื่อมโยงกัน สิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจ ต้องรู้ว่าเราคือใคร เมื่อมาย้อนดูร่างกายของเราเปลี่ยนแปลงไปตามอายุขัย ดังนั้นเราจะบอกว่าร่างกายเราเป็นความจริงไม่ได้ จึงต้องค้นกลับไปว่าความจริงวันนี้คือพรุ่งนี้ของเมื่อวาน แต่เมื่อย้อนกลับไปอีก 100 ปี ต้องเป็นความจริง เช่นอาคารที่เราอยู่อาศัย ย้อนไป 100 ปีไม่มีดังนั้นไม่ใช่ความจริง แต่คือความเปลี่ยนแปลงเปรียบดังโลกของเรามีอายุแค่ 4,500 ล้านปี ดังนั้นสรรพสิ่งที่อยู่ในจักรวาลไม่มีอะไรที่เป็นความจริง

    สรุปว่าสิ่งที่ไม่มีการตาย เกิด ดับมีอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เมื่อค้นไปจริง ๆ เหล่านั้นคือ “นิพพาน” นิพพานไม่มีการเกิด ไม่มีทุกข์ ไม่มีความสุข เป็นสภาพมั่นคงตลอดเวลา ดังนั้นสภาพที่แท้จริงของมนุษย์เราคือนิพพาน หรือนิพพานในศาสนาอื่นคือพระเจ้าเพราะก่อนมีศาสนามีพระเจ้าอยู่แล้วพระเจ้ามีก่อนจักรวาล เพราะจักรวาลมีอายุของมันจึงไม่ใช่ความจริง พระเจ้าคือนิพพาน นิพพานแต่ละศาสนา เราอาจเรียกกันคนละอย่าง

    “มนุษย์ค้นหาความจริงทั่วไปเราคิดว่าวิทยาศาสตร์ ยิ่งใหญ่ แต่จะยิ่งใหญ่ได้อย่างไรในเมื่อวิทยาศาสตร์ศึกษาสิ่งรอบตัวเราแต่ไม่ศึกษาตัวเรา เราจะค้นพบความมหัศจรรย์ทางจิตเมื่อเราหันมาศึกษาตัวเรา”

    ด้าน นพ.วิโรจน์ ได้อธิบายกฎแห่งการสั่นสะเทือนว่า วิทยาศาสตร์มีมา 200-300 ปี เรื่องของจิตวิทยาศาสตร์พยายามวัดแต่ไม่มีเครื่องวัด สังเกตไหมว่าบางครั้งเราอ่านหนังสือเยอะแต่ไม่เกิดอะไรไหลเข้าไป เกิดเพียงความทรงจำดีขึ้นแต่ถ้าเราลองปฏิบัติตามหนังสือสิ่งดี ๆ จะไหลซึมเข้าไปในเซลล์ หากจะบอกว่าร่างกายเราคือพลังงานจะทำอย่างไรที่จะเข้าสู่พลังงานตัวเราได้ สังเกตว่าเช้าไปทำงานเย็นหมดพลัง ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะใช้ชีวิตเร่งรีบ ถ้าช้าไม่ได้จะต้องเลือกใส่บางสิ่งในชีวิตเป็นที่มาของคำว่าพอเพียง เราต้องตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิตไป ชีวิตจะช้าลงเมื่อชีวิตช้าลงจะกลับไปสู่ตัวเองได้

    “ต่อไปรูปแบบการรักษาหมอจะไม่จ่ายยาให้แต่อาจให้ไปนั่งสมาธิ สวดจี้กง สวดพระอรหันต์ ส่งผลกระทบต่อกับจิตใจร่างกายและจิตวิญญาณสั่นสะเทือนอย่างเหมาะสมเพื่อเชื่อมโยงสรรพสิ่งในร่างกาย”

    ในฐานะผู้เขียนหนังสือ ดร.เมล กิลล์ หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุตกเขาเมื่อ 40 ปีก่อน จนเขาต้องตัดแขนซ้ายทิ้งเพื่อรักษาชีวิต สุดท้ายระหว่างผ่าตัดแพทย์ลงความเห็นว่า เขาเสียชีวิตไปแล้วเป็นเวลา 19 นาที จากการตายในครั้งนี้ทำให้เขาได้ล่วงรู้ถึง “ชีวิตหลังความตาย”

    แต่ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เมื่อแพทย์สามารถช่วยชีวิตเขากลับมาให้หายใจอีกครั้ง สิ่งหนึ่งที่เขาล่วงรู้จากมิติหลังความตาย กลายมาเป็น “ของขวัญล้ำค่าแห่งชีวิต” ที่ทำให้เขาเปลี่ยนวิธีคิดและการใช้ชีวิตหลังออกจากโรงพยาบาล เขาได้ใช้เวลาถึง 40 ปี ต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ ทั้งการเป็นคนพิการ สูญเสียทั้งครอบครัว เพื่อนและธุรกิจ เพื่อค้นคว้าและยืนยันคำตอบของความลับที่เขาได้ล่วงรู้ ผสานกับทุกองค์ความรู้ที่มีในโลก จากทั่วห้องสมุดใหญ่ ๆ และเดินทางไปยังดินแดนรกร้างห่างไกลทั่วทุกมุมโลก จนตกผลึกมาเป็น “7 ความลับเหนือโลก”
    Daily News Online > หน้าบทความ > จิตเหนืออารมณ์ > สุดยอดเดอะซีเคร็ต

     
  2. โดเรมี่

    โดเรมี่ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +9
    ได้ความรู้มากมาย ขอบคุณท่านจขกท.ที่เจตนาดีอย่างต่อเนื่อง (พักบ้างก็ได้นะ เป็นห่วงสุขภาพ)
     
  3. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ศาสนามีเพียงศาสนาเดียว

    [​IMG]

    มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าชาติใดภาษาใดหรือกำลังแสดงตนเป็นผู้นับถือศาสนาอะไร ล้วนแต่มีปัญหาอย่างเดียวกัน คือ เอาชนะบาปหรือกิเลสของตนไม่ได้ สิ่งที่เรียกว่า บาป หรือ กิเลส นั้น มีเหมือนกันทุกคน และไม่เป็นของศาสนาใด หรือขึ้นอยู่เฉพาะศาสนาไหน จึงมีเหมือนกันแก่คนทุกคนในโลก ดังนั้น สิ่งที่จะกำจัดบาปหรือกิเลสนั้นจะมีอยู่โดยแท้จริงเพียงอย่างเดียว ดังนั้น สิ่งที่จะกำจัดบาปหรือกิเลสนั้นจะมีอยู่โดยแท้จริงเพียงอย่างเดียว และใช้ได้แก่ทุกคน เมื่อเราเรียกสิ่งที่เป็นเครื่องมือกำจัดบาปว่า “ ศาสนา “ ดังนี้แล้ว ศาสนาโดยเนื้อแท้ย่อมมีอยู่เพียงศาสนาเดียวเท่านั้นและเป็นของสากลด้วย ถ้ามีหลายศาสนา ก็เป็นเพียงในสายตาของผู้ที่มองศาสนาแต่ส่วนเปลือกๆ หรือมองกันในแง่ของมนุษย์ มิได้มองกันในแง่ของพระเจ้า นั่นเอง ข้อนี้ทำให้เข้าถึงตัวแท้ของศาสนาไม่ได้ เมื่อเข้าไม่ได้ ก็ไม่อาจเอาชนะบาปหรือความทุกข์ของตนได้

    การที่จะตัดสินว่า ศาสนาไหนผิดถูก จริงหรือไม่จริงนั้น ตัดสินไม่ได้ด้วยการศึกษาหรือเหตุผล แต่ต้องตัดสินด้วย “ ผลที่ได้รับจริงๆ แก่ใจของตนจริงๆ “ เท่านั้นเอง ดังนั้นก่อนจะพูดกันถึงเรื่องผิดถูกแล้ว ต่างฝ่ายต่างควรจะพยายามให้เข้าถึงผลแห่งศาสนาที่ตนพอใจนั้นเสียก่อน แล้วปัญหาต่างๆ ก็จะหมดไปเองทันที และศาสนาทุกศาสนาในโลกจะปรากฏออกมาว่า มี “ หัวใจอย่างเดียวกัน “ ทำนองเดียวกับที่มนุษย์ทุกคนในโลก มีบาปและความทุกข์เหมือนกัน อย่างไม่ผิดกันเลยนั่นเอง
    <O:p
    ศาสนา คือ “ ระบบแห่งการสังเกตแล้วปฏิบัติ เพื่อทำมนุษย์ให้ผูกพันกันกับสิ่งสูงสุดที่มีไว้สำหรับมนุษย์ทุกคน “ นั่นเอง ความโง่หรือฉลาดของเราต่างหาก ที่ทำให้เราไม่รู้จักสิ่งสูงสุดที่แท้จริง ดังนั้นอย่าไปยกโทษให้แก่สิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นเลย จงพยายามเปิดหูเปิดตาหาวิธีที่จะรู้จักสิ่งสูงสุดอันแท้จริงเสียก่อนเถิด แล้วก็จะรู้จักว่ายน้ำเข้าไปหาสิ่งนั้นเองโดยไม่ต้องสงสัย การแสดงปาฐกถานี้ ก็หวังเพียงแจกแจงสิ่งที่จะช่วยให้ท่านรู้จักสิ่งสูงสุดให้ยิ่งขึ้นไป ไม่มากก็น้อยเท่านั้นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00995.jpg
      DSC00995.jpg
      ขนาดไฟล์:
      210.1 KB
      เปิดดู:
      78
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2011
  4. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ศาสนามีเพียงศาสนาเดียว

    [​IMG]
    พุทธทาส ภิกขุ
    วันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2514
    เดี๋ยวนี้เรากำลังมีศาสนามากมายจนมีการทะเลาะกันระหว่างศาสนา หรือว่าความที่มันมีศาสนาที่ขัดกันนั่นแหล่ะจึงเป็นมูลเหตุให้โลกนี้ระส่ำระสาย ยิ่งถ้าจะดูกันให้ลึกกว่านั้น ปัญหามันยังเนื่องไปถึงเรื่องที่ลึกไปกว่านั้น ซึ่งเราจะได้แบ่งออกเป็นปัญหาหลายกลุ่มด้วยกัน บรรดาปัญหาของโลกเป็นส่วนรวมนี้ มีเรื่องที่เราจะต้องพิจารณาดูกันให้เห็นก็คือว่า โลกกำลังประสบวิกฤตการณ์ กำลังจะฉิบหายแรงร้ายขึ้นทุกทีนี้มันมีมูลเหตุมาจากการที่ไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ระหว่างศาสนารวมอยู่ด้วยประการหนึ่ง

    ดังนั้นสิ่งที่เรามุ่งหวังก็คือว่า โลกมันจะรอดต่อไปได้ก็เพราะความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา คือแต่ละศาสนา หรือแต่ละบุคคล ผู้ที่นับถือศาสนาต่างๆ กันนั้น มีความเข้าใจกันดีแล้วก็เพราะเข้าใจศาสนาของตนๆ ดี และปฏิบัติถูกต้อง ทีนี้จะสำเร็จอย่างนั้นได้ก็ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าโดยที่แท้แล้วมีศาสนาเพียงศาสนาเดียวในหมื่นโลกธาตุ ส่วนที่ดูผิดแผกแตกต่างกันนั้นมันเป็นเพียงเปลือก เปลือกนอกของศาสนา ไม่ใช่เนื้อแท้ของศาสนา นี่แหล่ะคือปัญหาของโลกเป็นส่วนรวมกันทั้งโลก
    <O:p
    ที่นี้ ก็มาถึงปัญหาของชาวพุทธโดยเฉพาะ ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เรามีความเคารพนับถือตนเอง ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ เรามีความรับผิดชอบในหน้าที่ของเรา เราก็มองไปยังปัญหาที่กำลังมีอยู่ โดยทั่วไปเราจะพบว่าพระพุทธศาสนาของเรายังไม่เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ ตามที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ตถาคตเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ ธรรมวินัยของตถคตก็เพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ การเผยแผ่พรหมจรรย์หรือธรรมวินัยนี้ ก็เพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ อะไรๆ ก็ล้วนแต่เล็งถึงเทวดาและมนุษย์ แต่เดี๋ยวนี้พุทธศาสนาของเรายังไม่เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์
    <O:p
    มนุษย์ก็คือคนธรรมดาสามัญ ชนชั้นสามัญ เทวดาก็คือผู้คนชั้นพิเศษที่มันดีกว่าสามัญ โดยทั่วไปในโลกเราก็มีคนสามัญอาบเหงื่อต่างน้ำ ทีนี้ชนชั้นพิเศษ คือไม่ต้องเป็นอย่างนั้น มีความสะดวกสบายสนุกสนานอยู่ได้ มันไม่เหมือนกัน มันผิดกันเกือบจะตรงกันข้าม ดังนั้นแหล่ะ เราจึงเรียกว่าเป็นเทวดาพวกหนึ่ง เป็นมนุษย์สามัญอีกพวกหนึ่ง แม้ว่าเทวดากับมนุษย์จะต่างกันโดยสภาพความเป็นอยู่ แต่ก็ยังเหมือนกันโดยทางจิตใจ คือมีกิเลสและมีความทุกข์ พุทธศาสนาจะต้องเป็นประโยชน์ได้เท่ากัน ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์
    <O:p
    เดี๋ยวนี้ปัญหาของเรามีอยู่ว่า ศาสนาของเรายังไม่เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ ตามที่พระศาสดาทรงประสงค์ ตามที่มันควรจะเป็นโดยเหมาะสมแก่มนุษย์ เหล่านี้เรียกว่าเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับพวกเรา และเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่เรารับนับถือกันอยู่ เป็นปัญหาที่เราจะต้องช่วยกันแก้ให้ลุล่วงไป
    ( ยังมีต่อ )<O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00993.jpg
      DSC00993.jpg
      ขนาดไฟล์:
      267 KB
      เปิดดู:
      68
  5. โดเรมี่

    โดเรมี่ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +9
    ค่อยเข้ามาอ่านวันหลัง วันนี้ไม่มีอารมณ์อยากเสพซักเท่าไร
    (ท่านเผยแพร่ธรรมะแบบนี้ บ่งบอกว่าท่านเป็นผู้เสียสละมากๆเลยนะ ขอฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยคน ได้ป่ะ?)
     
  6. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ต้องขออนุญาตเรียนชี้แจงกับท่านผู้อ่านกระทู้นี้ก่อนนะคะว่า
    เนื่องจากขณะนี้ขจรวรรณกำลังอยู่ในสภาวะยิ่ง post ก็ยิ่งเกิดอาการ “ พูดไม่ออก บอกไม่ถูก “
    จึงต้องยกสิ่งที่ท่านอื่นเคยกล่าวไว้มาให้อ่าน.. แต่ทุกเรื่องที่ post ก็ได้มาด้วยความบังเอิญที่ไม่บังเอิญ
    นั่นก็หมายความว่า.. ทั้งท่านผู้อ่านและขจรวรรณเองก็กำลังได้รับการสอนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดไปพร้อมๆ กัน
    ซึ่งพระองค์ท่านสามารถที่จะสอนเราได้ในหลายรูปแบบ
    และผู้ที่อ่านกระทู้ก็จะถูกคัดกรองด้วยเนื้อหาและตัวของท่านเอง.. ว่าเลือกที่จะศึกษาต่อไปหรือไม่?
    ถ้าพูดถึงความเสียสละแล้ว.. ท่านพุทธทาสน่าจะเป็นผู้เสียสละยิ่งกว่า..
    เพราะท่านได้กล่าวเรื่องนี้มานานแล้วก่อนที่ขจรวรรณจะเกิดเสียอีก
    ซึ่งก็ไม่รู้ว่าในช่วงเวลานั้นจะมีสักกี่คนที่ฟังท่านแล้วจะเข้าใจทันที
    และก็ขอออกตัวว่า.. ขจรวรรณไม่ได้ทำหน้าที่เป็นครูผู้สอน
    เพียงแต่กำลังแสดงบทบาทเป็นผู้คอยประสานความเข้าใจกันระหว่างความเชื่อทุกๆ ความเชื่อ
    เมื่อก่อนเข้ามาเวปพลังจิต.. ก็เป็นเพียงผู้ตั้งคำถามพี่นักเขียนโนวา อนาลัยเพื่อเรียนรู้ทางจิตวิญญาณ
    ซึ่งแต่ละวันคำถามจะผุดขึ้นมาในความคิดของตนเอง..
    และพี่นักเขียนก็กล่าวว่าพี่เค้าได้รับคำถามก่อนที่จะเราจะถามอีก
    ต่อไปก็คงต้องฝึกที่จะตัดตัวรู้ออกไปเช่นกันค่ะ
    มนุษย์เรา เกิดจากความไม่รู้ เมื่อมาเรียนรู้แล้ว แล้วก็ต้องตัดตัวรู้ออกไปเสีย
    :z4:z4:z4
     
  7. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ศาสนามีเพียงศาสนาเดียว ( ต่อ )

    ปัญหาอีกกลุ่มหนึ่ง คือปัญหาของคนบางพวก แต่แล้วก็เป็นส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในโลกนี้ และมีปัญหาต่างๆ กันดังนี้

    พวกที่หนึ่ง เห็นว่าศาสนาไม่จำเป็นสำหรับโลกในสมัยนี้แล้ว มีคนพวกหนึ่งจำนวนมากทีเดียว พากันเห็นว่าศาสนาไม่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์อีกต่อไปแล้ว พวกนี้ไม่สนใจศาสนา แล้วเป็นพวกที่จะมีมากขึ้นทุกทีๆ ด้วย

    <O:pพวกที่สอง เป็นพวกที่เห็นส่วนที่ไม่ใช่ศาสนา ว่าเป็นศาสนา สิ่งที่มิใช่ศาสนานั้น หมายถึงเปลือกของศาสนาบ้าง ไสยศาสตร์บ้าง พิธีรีตองลมๆ แล้งๆ บ้าง ซึ่งไม่ใช่ศาสนา แต่คนพวกนี้เขาเห็นว่านี่แหล่ะคือศาสนา

    <O:pพวกที่สาม เห็นศาสนาผิดว่าไม่ใช่เป็นศาสนา คือส่วนที่จะดับทุกข์ดับกิเลสโดยตรงนั่นแหล่ะ เขากลับเห็นว่าไม่สำคัญอะไร? เขาอยากจะให้มีกิเลสมากๆ และว่าเมื่อมีกิเลสมากแล้วก็จะมีกำลังมากๆ หากไปทำลายกิเลสนิสัยมันก็จะถอยกำลัง เรื่องนี้เขาเห็นการทำลายกิเลสนั้นว่า เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไร

    <O:pพวกที่สี่ เห็นว่า “ การได้ “ นั่นแหล่ะเป็นศาสนา ได้เงินได้ของนั่นแหล่ะเป็นศาสนา คนพวกนี้เปลี่ยนศาสนาเร็วมาก พอมองเห็นว่าถ้าอะไรเป็นทางที่ทำให้ได้ในสิ่งที่ตัวต้องการแล้วจะยึดถือสิ่งนั้นทันที เขาจะรู้สึกว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะช่วยให้เขาได้สิ่งที่เขาต้องการโดยเฉพาะ เช่น เงิน ความสวยงาม ความอะไรต่างๆ นี่ถือเอาความได้วัตถุที่ตัวต้องการเป็นศาสนาไปเสีย

    <O:pพวกที่ห้า คนอีกส่วนหนึ่ง เห็นศาสนาเป็นข้าศึกของความเจริญหรือความก้าวหน้าในโลกนี้ เขาต้องการความเจริญก้าวหน้าในโลกนี้ แล้วก็เห็นศาสนาเป็นข้าศึกต่อความก้าวหน้า นี่ก็เพราะเข้าใจว่าศาสนาสอนให้ไม่ทำความเจริญ สอนให้สันโดษอย่างโง่ๆ ซึ่งเป็นเรื่องความเข้าใจผิดของคนเหล่านั้น

    <O:pพวกที่หก เห็นว่าศาสนานี้เป็นสิ่งที่ทำให้เสียเปรียบในการแข่งขัน คือถ้าอยู่กันในโลกนี้มันต้องมีการแข่งขัน ถ้าใครไปเคร่งศาสนา คนนั้นจะเสียเปรียบแล้วก็ไปไม่รอด ก็เลยไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับศาสนา

    [​IMG]

    <O:pนี่ปัญหาเหล่านี้มันก็มีอยู่ทั่วไปในโลกแล้ว ปัญหาที่สำคัญที่สุดอย่างยิ่งในเวลานี้ ก็คือปัญหาที่จะเอามาเป็นข้อสุดท้าย คือมีคนพวกหนึ่งเห็นเป็นว่ามีศาสนาหลายๆ ศาสนา แล้วก็มีศาสนาของเรา ศาสนาของเขาในฐานะที่ตรงกันข้าม หรือว่าเป็นข้าศึกแก่กัน เป็นปรปักษ์ต่อกันและกัน ฉะนั้นขอให้นึกถึงตัวเองให้ดีว่าชาวพุทธบางคนก็มีอาการอย่างนี้ เรามีศาสนาพุทธ เขามีศาสนาอื่น แล้วมันไม่เหมือนกัน มันเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แปลว่าอยู่รวมกันไม่ได้

    <O:pปัญหาเหล่านี้ เป็นปัญหาที่มีอยู่จริงที่ทำให้เกิดความลำบากยุ่งยากระส่ำระสายเบียดเบียนกันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าจะให้หมดปัญหาทุกชนิดดังที่กล่าวมาแล้วนี้ เราจะต้องมีความเข้าใจถูกต้องต่อสิ่งที่เราเรียกว่า ศาสนา แล้วก็เห็นว่ามันมีเพียงศาสนาเดียวในหมื่นโลกธาตุ และถ้าคนเข้าถึงศาสนาจริง มันก็ง่ายเข้าที่ปฏิบัติแล้วจะเกิดความรักใคร่กัน เหมือนกับว่าเป็นคนๆ เดียวกันทั้งหมื่นโลกธาตุ แล้วมันก็ไม่โง่ ไม่หลงงมงาย ในเรื่องความแตกต่างของโบสถ์วิหาร พิธีรีตอง ลัทธิธรรมเนียมอะไรอีกเยอะแยะ

    <O:pเดี๋ยวนี้มันกำลังโง่กำลังหลงอยู่ในความแตกต่างกันกระทั่งโบสถ์วิหาร โบสถ์พวกพุทธ โบสถ์พวกคริสต์ โบสถ์พวกอิสลาม โบสถ์ของพวกอื่น มันก็ล้วนแต่แตกต่างกัน ก็เลยเข้าใจไปว่าศาสนามันก็แตกต่างกัน ในเมื่อโบสถ์มันเป็นเพียงเปลือกของศาสนา เนื้อในของศาสนานั้นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ หรือว่าไปโง่ไปหลงในพิธีรีตองเล็กๆ น้อยๆ ปลีกย่อยที่เป็นของเพิ่งเกิดขึ้นมา ไม่ใช่ตัวศาสนา ขอให้เข้าใจว่าพิธีรีตองเกิดขึ้นตามความเข้าใจงมงายมีอยู่ด้วยกันทุกลัทธิทุกศาสนา หรือว่าไปลงในเรื่องลัทธิธรรมเนียม ซึ่งเป็นสักว่าของที่เพิ่งจะสร้างขึ้น ทำขึ้นเพื่อความเหมาะสมอย่างอื่น หรือว่าไปหลงในฝอยของพระคัมภีร์ ที่จริงสิ่งที่เรียกกันว่าพระคัมภีร์นั้น ล้วนแต่เป็นฝอยทั้งนั้น คัมภีร์คำนี้ใช้เป็นคุณศัพท์ หมายถึงลึกซึ้ง สิ่งที่ลึกซึ้ง แต่เดี๋ยวนี้เราเอาคำว่าคัมภีร์นี้มาเป็นชื่อของกระดาษหรือใบลาน หรือเรื่องราวที่สักว่ามีอยู่เพียงแต่อยู่ในกระดาษหรือใบลานก็เรียกคัมภีร์แล้ว ใครจะเขียนจะพูดก็เป็นของศักดิ์สิทธิ์ไปหมด ฉะนั้นเลยอ้างคัมภีร์มาข่มผู้อื่น แต่แล้วเรื่องคัมภีร์นั้นมันเป็นเรื่องฝอยทั้งนั้น มันก็เลยไปติดอยู่ในคัมภีร์ ไปโง่ไปหลงในตัวคัมภีร์โดยไม่รู้ว่าศาสนาที่แท้จริงคืออะไร อยู่ที่ไหน
    ( ยังมีต่อ )
     
  8. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ศาสนามีเพียงศาสนาเดียว ( ต่อ )

    นอกนั้นยังไปหลงในเรื่องบุคลาธิษฐาน ที่เรื่องมันลึกเกินไป พูดกันตรงๆ ไม่ได้ เขาพูดเป็นเรื่องสมมุติ อุปมาเป็นโวหารนี้เรียกว่า บุคลาธิษฐาน ก็ไปหลงเรื่องอย่างนี้กันมาก แล้วยังมีเรื่องปาฏิหาริย์ที่พูดไว้ในภาษาคน มันก็คล้ายๆ กับเรื่องบุคลาธิษฐาน ปาฏิหาริย์คือสิ่งที่ถ้าฟังกันตามตัวหนังสือแล้วเชื่อไม่ไหว อย่างว่าพระพุทธเจ้าพอคลอดออกมาก็เดินได้ พูดได้อะไรทำนองนี้ อย่างนี้มันมีกันทุกศาสนาเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์ ความมุ่งหมายคือสนับสนุนให้พระศาสดานั้น มีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นนี้อย่างหนึ่ง และมีความมุ่งหมายว่าจะเปรียบเทียบสิ่งอันลึกซึ้งไว้ในรูปคำพูดชนิดนี้ เช่นว่าพอเกิดมาก็เดินได้ นี้ก็หมายความว่า พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาก็เผยแผ่ศาสนาของพระองค์ได้ มีคนเชื่อฟังพูดให้คนยอมรับได้ไม่ต้องรอเวลาอะไรอีก ปาฏิหาริย์อย่างนี้ขอให้เข้าใจว่ามีกันทุกศาสนา แล้วพอๆ กันทั้งนั้น ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน ถ้าไปมัวหลงตามตัวหนังสือเหล่านี้แล้วก็ไม่ถึงตัวของศาสนา มันต้องหมดความหลงในเรื่องอย่างนี้กันเสียก่อน ฉะนั้นการที่จะหมดความหลงหรือหมดปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ก็จะต้องเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า “ ศาสนา “ นั้นอย่างถูกต้อง ถ้าเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า “ ศาสนา “ ถูกต้องจริงๆ จะมองเห็นเองว่ามันมีแต่เพียงศาสนาเดียวในหมื่นโลกธาตุ

    คำว่า “ โลกธาตุ “ ในที่นี้หมายถึงสิ่งที่ทรงตัวอยู่ได้ ปรากฏการณ์มีสำหรับสิ่งเหล่านั้น นี่ก็เรียกว่าธาตุ คำว่า “ โลก “ โลกะ ในภาษาบาลีนี้ตามตัวหนังสือตามหลักของภาษาบาลีคำนี้แปลว่า “สิ่งที่แตกได้ “ ก็หมายความว่าสิ่งที่ไม่อยู่ถาวรตลอดอนันตกาล เป็นสิ่งที่ชำรุดหรือแตกได้ นี่เรียกว่าโลก ไม่ว่าโลกไหน โลกธาตุก็แปลว่า สิ่งที่ทรงตัวอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วก็แตกไป เรียกว่าโลกธาตุ นี้แหล่ะเป็นความหมายของภาษาธรรม ทีนี้มันมีคำว่า “ ตั้งหมื่นโลกธาตุ “ โลกธาตุหนึ่งๆ นั้นมิใช่มีน้อย แต่นี่มีตั้งหมื่นและบางรายบางคัมภีร์ว่า มีตั้งสามหมื่น สามหมื่นโลกธาตุ มีอยู่ทั้งหมดสามหมื่นโลกธาตุ อย่างจะพูดสมัยนี้ก็มีตั้งสามหมื่นสุริยจักรวาล

    [​IMG]
    <O:p
    เอาล่ะเรื่องนี้ไม่สำคัญ มันจะมีเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ตรงที่ว่า เวลานี้เราจะยืนยันว่าในโลกธาตุไหน ระบบสุริยจักรวาลไหนก็ตาม รวมกันทั้งหมดแล้วมีศาสนาที่แท้จริงอยู่เพียงศาสนาเดียว ในโลกธาตุไหนก็ตาม เรื่องนี้เกี่ยวกับความทุกข์และความดับทุกข์นั้น มันเหมือนกันหมด ไม่ว่ามันจะมีสักกี่หมื่นโลกธาตุ และยังแถมว่าในอดีตกาล ในปัจจุบันกาล ในอนาคตกาล มันจะเป็นอย่างนี้อย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่นอีก ถ้ามันยังมีโลกธาตุอยู่ แล้วก็มีไปจนกว่าจะแตกดับลงไปสมตามชื่อของมัน ว่าโลกคือสิ่งที่แตกได้ ในทุกๆ โลกธาตุไม่ว่าโลกธาตุไหน มันอยู่ใต้กฎของธรรมชาติอย่างเดียวกัน ข้อเดียวกัน คือความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต่อให้มันมีสักล้านโลกธาตุ มันก็มีความเหมือนกันตรงที่มีความเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา
    <O:p
    คำว่า “ ศาสนา “ นี้ เป็นคำพูดที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาแล้วก็บัญญัติความหมายเอาตามความรู้สึกของตัว พวกเราเป็นไทยก็มีภาษาไทยถือตามความหมายในภาษาไทย ซึ่งหมายถึงคำสั่งสอน แต่พระพุทธเจ้าไม่เรียกศาสนาของท่านว่าคำสั่งสอน คือท่านไม่อยากให้มีแต่คำสั่งสอน ต้องการให้มีการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยทรงใช้คำว่า “ ศาสนา “ แต่ท่านใช้คำว่า “ พรหมจรรย์ “ จรรย์นั่น แปลว่า จริยา คือประพฤติหรือปฏิบัติ พรหมนี้ แปลว่า ประเสริฐ ฉะนั้น ตัวศาสนาของพระพุทธเจ้าท่านหมายถึง ตัวการประพฤติปฏิบัติที่ประเสริฐที่เรียกว่า “ พรหมจรรย์ “
    <O:p
    บางที พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียกรวมๆ ว่า “ ธรรมวินัย “ ธรรมวินัยนี้ก็มิได้หมายถึงคำสั่งสอน หมายถึงได้รับคำสั่งสอนแล้วปฏิบัติตามธรรม ตามวินัย มีธรรมะ มีวินัยนั้นหมายความว่าปันปฏิบัติจึงจะมี ไม่ใช่เพียงแต่เล่าๆ เรียนๆ แล้วมันจะมีธรรมมีวินัยขึ้นมาได้ ต้องปฏิบัติเสร็จแล้วมันจึงจะมีธรรมะและมีวินัย ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่า “ ศาสนา “ โดยเนื้อแท้นั้นหมายถึงการปฏิบัติ ตัวการปฏิบัติ ไม่ใช่สักแต่ว่าคำสั่งสอน ส่วนคำว่าศาสนาในภาษาอังกฤษ คือ religion นั้น มันแปลว่าการปฏิบัติตามคำสั่งของสวรรค์จนเกิดความผูกพันระหว่างมนุษย์หรือเป็นอันเดียวกันกับพระเป็นเจ้านี้มันดีกว่ากันมาก
    <O:p
    ปัญหามันเดินต่อไปอีก ในข้อที่ว่าศาสนาที่มันจะเป็นประโยชน์นั้นมันต้องทำหน้าที่ ไม่ใช่ว่าเป็นคำสั่งเฉยๆ หรือเป็นพระคัมภีร์อยู่ในตู้พระไตรปิฏกเฉยๆ นี้มันไม่ได้ มันต้องมาอยู่ในฐานะเป็นเครื่องช่วยโลก ช่วยคุ้มครองโลก เป็นโรงพยาบาลของโลก เพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ทางจิตทางวิญญาณ เป็นโรงพยาบาลทางจิตทางวิญญาณนี้ นั่นคือตัวศาสนา ทีนี้คนในประเทศไหนภาษาไหนเขาจะเรียกว่าอะไรก็ตามใจเขาสิ เขาจะเรียกเป็นคำพูดอื่นอีกกี่ภาษาก็ตามใจ แต่ของจริงต้องมีเพียงสิ่งเดียวคือสิ่งนี้ คือสิ่งที่จะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความเป็นทุกข์ในทางจิตทางวิญญาณ แล้วก็ยุติว่าจะใช้เป็นหลักภาษาสากลว่า “religion “ เป็นกลางสำหรับรู้กันทั่วไปเพราะว่าเราใช้ภาษานี้เป็นภาษากลางระหว่างชาติ
    ( ยังมีต่อ )
     
  9. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ศาสนามีเพียงศาสนาเดียว ( ต่อ )

    ศาสนาที่แท้จริงมันมีความหมายอย่างไร มันก็มีความหมายตรงที่ว่าช่วยให้มนุษย์พ้นจากความทุกข์ ระบบปฏิบัติอันใดมันช่วยให้มนุษย์พ้นจากความทุกข์ได้ ระบบนี้ชื่อว่าศาสนา ฉะนั้นเมื่อเราพูดว่า “ ศาสนาที่แท้จริงมีเพียงศาสนาเดียวในหมื่นโลกธาตุ “ นี้ เราต้องเล็งถึงระบบปฏิบัติที่มันช่วยคนหรือช่วยสัตว์ทั้งหมื่นโลกธาตุให้พ้นจากทุกข์ทางจิตทางวิญญาณได้ แล้วก็ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้นว่า ในกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนโลกธาตุอะไรก็ตาม เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องความทุกข์ ความดับทุกข์นี้มันเหมือนกันหมดไม่ต่างกันเลย ฉะนั้นสิ่งที่จะมาดับความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ได้หมด ก็ต้องเป็นสิ่งเดียวกัน อันเดียวกัน ข้อเดียวกัน เรื่องเดียวกัน หรือเหมือนกัน ก็เลยเรียกว่าระบบปฏิบัติเพื่อความรอดจากความทุกข์โดยตรง

    ระบบปฏิบัติเพื่อรอดออกจากความทุกข์โดยตรง นั้นคือศาสนา เป็นลักษณะเฉพาะของสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่ตัวหนังสือ ไม่ใช่อะไรทำนองนั้น ไม่ใช่พิธีรีตอง ไม่ใช่ลัทธิธรรมเนียม แต่ว่าเป็นตัวการปฏิบัติด้วยเรี่ยว ด้วยแรง ด้วยมือ ด้วยเท้าลงไปจริงๆ แล้วเอาตัวรอดจากความทุกข์ได้นั่นแหล่ะ คือตัวศาสนา ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่า “ ศาสนา “ นั้น มันอยู่คู่กันกับสิ่งที่เรียกว่า “ ความรอด “ ความรอดนี้มันมี 2 ความหมาย รอดทางกายคือไม่ตาย รอดทางวิญญาณคือไม่มีความทุกข์เลย มีชีวิตอยู่โดยไม่มีความทุกข์เลย อย่างรอดทางกาย เช่น หนีเสือหนีช้างเอาตัวรอดไปได้ นี้มันรอดทางกาย นี้ไม่สำคัญ รอดทางวิญญาณ หมายความว่าตอนมีชีวิตอยู่นี้แหล่ะ แล้วก็รอดจากความทุกข์ที่เกิดจากกิเลส กิเลสจับตัวเราไม่ได้ เราไม่มีความทุกข์เพราะกิเลส นี้เรียกว่า “ ความรอดในทางวิญญาณ “

    [​IMG]
    สิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นคู่กันกับความรอด แล้วก็เป็นความรอดทางวิญญาณ ไม่พูดถึงเรื่องทางกาย มันเป็นเรื่องของสิ่งที่ต่ำกว่าศาสนา ถ้ารอดจากความทุกข์ละก็ใช้ได้ เพราะฉะนั้นสัตว์ใดมีความทุกข์ สัตว์นั้นต้องมีศาสนา แม้ว่าสัตว์นั้นจะเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน ฉะนั้นศาสนาของสัตว์เดรัจฉานก็ต้องมี แต่มันอยู่ในรูปร่างกาย ฉะนั้นเราเลยไม่เรียกว่ามีศาสนาสำหรับสัตว์เดรัจฉาน แต่ที่แท้มันก็ต้องมีสำหรับระบบทางร่างกาย เช่น เปี้ยว เช่น ปู มันก็มีศาสนาคือการลงรู เมื่อมันวิ่งลงรูมันก็หนีภัย หนีอันตรายรอดตายอยู่ได้ คือความรอด นั่นแหล่ะคือศาสนาของมัน การวิ่งลงรูนี่เพราะมันสู้ใครไม่ได้ แต่ถ้าสัตว์อื่นที่มันดีกว่าเปี้ยวกว่าปู มันมีวิธีที่จะทำให้รอดอย่างอื่นได้ มันก็มีดีขึ้นไป สูงขึ้นไป ส่วนมนุษย์เรานี้ไม่ถือว่าเอาความรอดเพียงเท่านั้นมันพอแล้ว ถ้าความรอดเพียงเท่านั้นมันพอแล้ว มันก็เท่ากับสัตว์เดรัจฉาน มันขายขี้หน้า มนุษย์ที่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน มันต้องมีความรอดอีกอย่างหนึ่งที่สูงขึ้นมา คือความรอดทางจิตทางวิญญาณ
    <O:p
    คำว่าศาสนานี้หมายถึงระบบของความรอดทั้งทางกายและทางใจ ดีกว่า เพราะว่าถ้ากายมันไม่รอดแล้ว ใจมันก็ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่อาศัย มันควรจะรวมความรอดทางกายนี้เข้าไว้ด้วย ฉะนั้นศาสนาที่แท้จริงคือระบบการปฏิบัติ เพื่อให้รอดจากอันตรายทั้งทางกายและทางจิต จะมีพระเจ้าหรือไม่ จะมาจากสวรรค์หรือไม่ นั้นไม่ใช่ปัญหาสำคัญ หมายความว่าถ้ามันเป็นการปฏิบัติที่เอาตัวรอดได้แล้วใช้ได้ทั้งนั้น แต่ว่าในที่สุดที่แท้จริงนั้นมีพระเจ้าและมาจากสวรรค์ด้วยกันทั้งนั้น ระบบที่ช่วยให้เอาชีวิตรอดก็ตาม ให้เอาวิญญาณรอดก็ตาม มันจะมาจากพระเจ้าหรือมาจากสวรรค์ทั้งนั้น พระเจ้าของพวกเราชาวพุทธบริษัทนี้คือกฎธรรมชาติ ฉะนั้นสวรรค์ของพระเจ้าคือที่อยู่ของกฎธรรมชาตินั่นเอง
    <O:p
    ศาสนาระบบความจริงที่ปฏิบัติแล้วเอาตัวรอดได้ นี้เป็นกฎของธรรมชาติ พระเจ้าธรรมชาติให้มา พระเจ้ากฎธรรมชาติให้มา สำคัญกว่าพระเจ้าชนิดไหนทั้งหมด เราก็คุยได้เหมือนกันว่าศาสนาพุทธนี้ก็มาจากสวรรค์ของพระเจ้า พระเจ้าส่งมาด้วยเหมือนกัน แต่พระเจ้าของเรามีความหมายอย่างนี้ พระเจ้าของคนพวกอื่นมีความหมายอย่างอื่น แต่แล้วก็อย่ามามัวเถียงกันเรื่องเปลือก มาตั้งหน้าตั้งตาพิจารณากันในข้อที่ว่าที่ส่งมาจากสวรรค์นั้นส่งมาว่าอย่างไร คือว่าจะเอาตัวรอดให้ได้จากความทุกข์นั้นจะต้องทำอย่างไร อันนี้จะเหมือนกัน
    <O:p
    ในชั้นนี้อยากจะให้มองกันกว้างๆ เสียก่อนว่าทุกสิ่งหรือว่าทุกชีวิต ทุกระดับของชีวิต ชีวิตทุกระดับนี้ต้องมีศาสนา ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าศาสนา แล้วก็จะเกิดความพอใจ ชอบสิ่งที่เรียกว่าศาสนา สัตว์ในระดับสูง มนุษย์ เทวดา มาร พรหม หรืออะไรก็ตาม สัตว์ในระดับสูงนี้มันก็มีศาสนา มนุษย์ก็ต้องมีศาสนา เทวดาก็ต้องมีศาสนา มาร พรหมก็ต้องมีศาสนา ต้องถือศาสนา ถ้าว่าโดยภาษาคนธรรมดามนุษย์อยู่ที่นี่ เทวดาอยู่บนสวรรค์ข้างบน พรหมอยู่ข้างบนขึ้นไปมันก็ต้องมีศาสนา แต่ว่าถ้าจะถือว่าทั้งหมดอยู่ในหัวใจของคนเวลาที่เราเหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อยลำบาก เราเป็นมนุษย์อย่างนี้ เราก็ต้องมีศาสนาของมนุษย์ที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้น ในบางเวลาเราสบายอิ่มเอมไปด้วยกามารมณ์ได้อย่างใจไปหมด พอใจตัวเอง อย่างนี้เราเป็นเทวดาอยู่ที่นี่ แม้ว่าเราอยู่ในสภาพที่เป็นเทวดาถึงขนาดนี้แล้ว เราก็ยังต้องมีศาสนา เพราะว่าแม้ว่าเราได้อิ่ม ได้สบาย ได้สรวลเสเฮฮา ถึงขนาดนั้นแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ต้องระวัง ต้องสำรวม ต้องปฏิบัติอยู่ดี แม้จะได้เป็นพรหมมีความสุขอย่างพรหม เกิดมาจากฉานสมาธิอันจืดสนิทสะอาดแล้ว ก็ยังต้องมีศาสนาที่จะต้องระมัดระวังปฏิบัติอย่าให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้เหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นเทวดา มาร พรหม ชนิดไหนก็ยังต้องมีศาสนา เป็นมนุษย์ก็ยังต้องมีศาสนา
    <O:p
    แม้มองในทางต่ำที่ว่าจะเป็นสัตว์นรก หรือสัตว์เดรัจฉานหรือเปรต หรืออสุรกาย มันก็ต้องมีศาสนาไปตามแบบของเขา คือให้พ้นจากความทุกข์ พวกที่ตกนรกอยู่ก็อยากจะพ้นความทุกข์ในนรก ก็ต้องมีศาสนาเพื่อปฏิบัติ สัตว์เดรัจฉานรู้ได้เท่าไร มันรู้อะไรได้เท่าไร มันก็ต้องมีวิธีปฏิบัติให้ตัวรอดชีวิตอยู่ได้เท่านั้นเหมือนกัน เปรตมันก็ต้องหาวิธีเอาตัวรอดจากความเป็นเปรต อสุรกายก็ให้มันรอดจากความเป็นอสุรกายไป ก็เลยแปลว่าทั้งนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย มันก็ต้องมีศาสนา
    ( ยังมีต่อ )
     
  10. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ศาสนามีเพียงศาสนาเดียว ( ต่อ )

    ทีนี้ ต่อให้เป็นต้นไม้เราเห็นๆ อยู่ ต้นไม้เหล่านี้ต้นโตๆ กระทั่งต้นไม้เล็กลงๆ กระทั่งต้นไม้ที่ขนาดดูด้วยตาไม่เห็นเป็นจุลินทรีย์ประเภทพืช เป็นต้นไม้ที่ดูด้วยตาไม่เห็น มันก็ต้องมีศาสนา ต้นไม้นี้ก็มีศาสนา มันดิ้นรนอยุ่ตลอดเวลาเพื่อรอดชีวิต มันต่อสู้ในเรื่องแสงสว่าง เรื่องน้ำ เรื่องอาหาร เรื่องอากาศ เรื่องอะไรๆ ให้มันรอดชีวิตอยู่ ฉะนั้นระบบการต่อสู้ของต้นไม้ นั่นแหล่ะคือศาสนาของต้นไม้ แม้ว่าจะเป็นต้นไม้ที่เล็กจนดูด้วยตาไม่เห็น มันก็มีระบบการต่อสู้เพื่อให้มันรอดอยู่ สัตว์เล็กๆ แม้ Cell เดียวมันก็มีความรู้สึกที่จะต่อสู้ให้มันรอดชีวิตอยู่ แปลว่ามันก็มีศาสนา นี้คือศาสนาวิทยาศาสตร์ละ ขอให้เข้าใจ ถ้านิยมวิทยาศาสตร์ ชอบวิทยาศาสตร์เป็นหลักละก็ นี่คือศาสนาวิทยาศาสตร์ คือสิ่งที่มีชีวิตมีความรู้สึกต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ตัวรอดอยู่ได้ แล้วมันก็ต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่ได้จริงๆ เหมือนกัน ระบบนั้นนั่นแหล่ะคือศาสนาของสิ่งมีชิวิต ถ้ามันสูงขึ้นมา มันก็มีระบบต่อสู้ ระบบปฏิบัติที่สูงขึ้นมาๆ จนถึงคน คนมีปัญหาทั้งทางกายและทางจิต ระบบศาสนามันก็กว้างออกไป ส่วนสัตว์เดรัจฉานหรือต้นไม้นี้เราถือว่ามันมีปัญหาทางร่างกาย ไม่มีสติปัญญา ความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นเพราะมีสติปัญญา จึงไม่มี ส่วนมนุษย์เรามีสติปัญญา ยิ่งมีสติปัญญามากทางที่จะเกิดความทุกข์เพราะสติปัญญา มันก็ต้องมาก คือมันคิดเก่ง ละโมบเก่ง โกรธเก่ง โง่หลงเก่ง เพราะมันคิดได้เก่งก็เลยมีระบบศาสนาที่ลึกซึ้งหรือสูงขึ้นไป

    ที่พูดมาแล้วนั้นหมายถึง “ ศาสนาจริง “ ศาสนาแท้จริง ระบบตรงลงไปจริงๆ นอกจากศาสนาที่ถูกต้องที่แท้จริงแล้วมันยังมีศาสนาแฝง สิ่งที่เข้ามาแฝงกันอยู่กับศาสนาจนมองเห็นเป็นศาสนาไปด้วย นี้พอจะแบ่งออกไปได้ว่าศาสนาที่อยู่ในรูปของศีลธรรมวัฒธรรมประเพณี
    <O:p
    ศีลธรรม เป็นของกลาง กว้าง ใช้กันได้ทั่วโลก มีระบบปฏิบัติเหมือนๆ กันหมด คือไม่เบียดเบียนกันทางสังคม เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต กตัญญูกตเวที หรืออะไรทุกๆ อย่าง ที่ทำให้สังคมอยู่เป็นเป็นปกติ
    <O:p
    วัฒนธรรม ไทยก็มีวัฒนธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ประจำชาติ มันก็คือศาสนาที่แฝงอยู่ในรูปของวัฒนธรรมหรือว่าวัฒนธรรมที่มาอยู่ในรูปของศาสนาส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่เป็นธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามต่างๆ ก็เป็นอย่างนี้
    <O:p
    สูงขึ้นไปก็มี ศาสนาที่อยู่ในรูปของปรัชญา หรืออภิปรัชญา นี่มีสติปัญญามากลึกซึ้ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับสติปัญญา ไม่เกี่ยวกับทางปฏิบัติ สิ่งที่เรียกว่าปรัชญา หรืออภิปรัชญานั้นเป็นเพียงทฤษฏี ไม่ใช่ตัวการปฏิบัติ แต่เขาถือกันว่าเป็นต้นเหตุที่จะให้เกิดการปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้สติปัญญานั้นมีมากจนโง่ มันมีมากเกินมันคิดเก่ง มันคิดไปได้มากมายหลายร้อยหลายพันแง่ แล้วใช้อะไรไม่ได้ ลำบากเปล่าเหนื่อยเปล่า เป็นเรื่องของปรัชญาคือชอบคิดอย่างเดียว ยิ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้ตามพุทธศาสนากันแล้ว ปรัชญานั้นก็ยิ่งเป็นปรัชญาที่เพ้อเจ้อ ที่จริงตัวพุทธศาสนานั้นไม่ใช่ปรัชญา เป็นหลักปฏิบัติตรงๆ อย่างที่กล่าวมาแล้ว และอยู่ในรูปของวิทยาศาสตร์ คือมีเหตุผลชัดอยู่ในตัวเลย ว่ากิเลสเป็นอย่างนี้ พอเกิดขึ้นแล้วเป็นอย่างนี้ มีความทุกข์อย่างนี้ ดับกิเลสเสีย มันก็ดับความทุกข์อย่างนี้ นี่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่พูดไว้ในรูปที่เข้าใจไม่ได้หรือเข้าใจทันทีไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นปรัชญา เช่นเรื่องปฏิจจสมุปบาทอันซับซ้อนลึกซึ้ง พูดกันผิดมากออกไปผิดมากออกไป อธิบายผิดมาตั้งพันปีแล้วเรื่องปฏิจจสมุปบาทในพุทธศาสนา กลายเป็นปรัชญาไป แต่ที่แท้มันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ แสดงอยู่ชัดเลยว่า เพราะนั้นเกิดอันนั้นจึงเกิด นั้นเกิดอันนั้นจึงเกิด ไม่ต้องไปถามใครที่ไหน ไม่ต้องคำนวณอะไรอีก เป็นวิทยาศาสตร์แต่มันเกิดไม่เข้าใจและมองไม่เห็น มันกลายไปอยู่ในรูปของปรัชญา เรื่องอริยสัจ เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ สำหรับพระอรหันต์แล้ว มันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่ท่านเห็นชัดและปฏิบัติอยู่ สำหรับคนธรรมดาไม่เห็นอย่างนั้น เลยกลายเป็นปรัชญา ยิ่งพวกฝรั่งที่เป็นคนชอบคิดมากสมัยนี้แล้วพอมาพบเข้ายิ่งเป็นปรัชญาใหญ่ไปเลย แต่เรื่องแท้ๆ นั้นเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ง่ายๆ สำหรับพระอรหันต์

    [​IMG]

    <O:p
    ทีนี้ ยังมีอยู่ในรูปของตรรกศาสตร์ ที่ใช้เหตุผลทางทฤษฏีไม่ต้องปฏิบัติกัน พุทธศาสนาที่อยู่ในรูปของปรัชญาของตรรกศาสตร์อย่างนี้ก็มีมาก เรียนจนตายก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรและนักศึกษาสมัยปัจจุบันก็ชอบเรียนกันในแง่นี้ เหล่านี้แหล่ะ “ ศาสนาแฝง “ ที่เสียเวลาอย่างนี้
    <O:p
    ศาสนาแฝงที่อยู่ในรูปของจิตวิทยาก็มี ธรรมดาเรารู้แต่เรื่องกิเลสเพียงเพื่อดับกิเลสได้ ไม่ต้องการให้เป็นความรู้ทางจิตวิทยา เพราะเอาแต่เพียงดับกิเลสได้ มันก็เป็นเรื่องศาสนาเรื่องดับทุกข์ ทีนี้เขามาตั้งปมของปัญหาให้มากขึ้นในทางจิตเรื่องเกี่ยวกับจิต เลยกลายเป็นจิตวิทยาขึ้นมา เป็นภูเขาเลากาที่เรียกคัมภีร์ “ อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ “ นี้เป็นเรื่องจิตวิทยาแทบทั้งนั้นแลย จนเป็นพุทธศาสนาอยู่ในรูปของจิตวิทยาไปแล้วก็มี
    <O:p
    ยังมีพิเศษที่ว่า พุทธศาสนาที่อยู่ในรูปของศิลปะ คือความงดงามในทางความคิดความนึก หรือการปฏิบัติที่จะให้ดับทุกข์ได้ พอดับทุกข์ได้แล้ว มันงดงามอย่างยิ่ง ไปดูกันแต่ที่ความงดงามนั้นกลายเป็นศิลปะ เลยไม่ต้องปฏิบัติกันเหมือนกัน แล้วยังมีวัตถุศิลปะที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกมากมาย เช่น พระพุทธรูป โบสถ์วิหาร และอะไรต่างๆ ที่สวยงามล้วนเป็นศิลปะ นี้ก็เลยไม่ต้องปฏิบัติอะไรกัน
    <O:p
    พุทธศาสนาที่อยู่ในรูปแฝงต่างๆ อย่างนี้เหล่านี้ก็มีมากให้รู้ไว้ว่าเป็น ศาสนาแฝง ไม่ใช่ศาสนาตัวจริง ศาสนาตัวจริงคือวิธีการวิ่งหนีลงรูของเปี้ยวของปูนี้จริงกว่าเสียอีก เพราะคือการประพฤติปฏิบัติที่ช่วยดับทุกข์ได้ นั่นคือตัวศาสนาจริง ถ้าเป็นมนุษย์ก็รู้จักควบคุม อย่าให้เกิดความผิดพลาดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อย่าให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวกู ของกูขึ้นมาที่นั่น นั่นแหล่ะคือศาสนาจริง นอกนั้นเป็นศาสนาแฝง แล้วก็มาก แล้วก็เพ้อจนเป็นบ้าหอบฟางอีกตามเคย หอบฟางไว้ท่วมหัว ท่วมหู ท่วมตัวมองไม่เห็น แต่ในนั้นไม่มีข้าวเปลือกสักเม็ดเดียว มันมีแต่ฟาง และถ้ามีเม็ดข้าวเปลือกบ้างก็เป็นเม็ดลีบๆ ไม่มีสาร เดี๋ยวนี้เรากำลังตกอยู่ในลักษณะอย่างนี้ไปหลงตามพวกที่ชอบคิดอะไรไม่มีขอบเขต เลยไปถูกเปลือกทั้งนั้น ไปถูกศาสนาแฝงทั้งนั้น ไม่ใช่ศาสนาที่ถูกต้อง
    ( ยังมีต่อ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2011
  11. Jjfreeman

    Jjfreeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +130
    เย๊!!!! สวัสดีครับ คุง khajornwan ยังแน่นไปด้วยข้อมูลเหมื่อนเดิมเลยนะครับ
     
  12. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ศาสนามีเพียงศาสนาเดียว ( ต่อ )

    ขอบคุณคุณ jifreeman เช่นกันนะคะ ที่กรุณาติดตามข้อมูลเช่นเคย ^_^
    ....................................
    สรุปแล้วเรามีศาสนาจริงและศาสนาแฝง กล่าวคือทางปฏิบัติที่มีอยู่เดี๋ยวนี้จริงๆ ในหมู่มนุษย์มีศาสนาอยู่ 2 ชนิด คือ ศาสนาแท้ที่เป็นของแท้จริงต้องเป็นอิสระ เช่นว่าไม่อยู่ภายใต้อำนาจทางการเมืองเป็นต้น ศาสนาที่อยู่ภายใต้อำนาจของการเมืองนั้นต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงบิดผันไปตามอำนาจทางการเมือง ทำให้ศาสนาเป็นบริวารของการเมือง เดี๋ยวนี้ทั่วโลกเขาทำกันอย่างนี้ เขาถือศาสนาอะไรอยู่ก็ตาม แต่แล้วการเมืองมันบังคับให้เขาต้องบิดผันศาสนาของเขาเพื่อคล้อยไปตามประโยชน์ทางการเมือง ศาสนาพุทธก็ถูกใช้อย่างนี้ ศาสนาคริสต์ก็ถูกใช้อย่างนี้ หรือศาสนาอื่นๆ ก็ถูกใช้อย่างนี้ เมื่อมันถูกใช้ไปอย่างนี้เสียแล้ว มันก็ไม่ใช่ศาสนาที่แท้จริง หรือศาสนาที่เป็นอิสระ นี่เรามีศาสนาที่แท้จริงและอิสระอยู่เป็นชนิดที่หนึ่ง

    ชนิดที่สองก็คือ ศาสนาจำยอม จำเป็นต้องยอมแพ้เป็นศาสนาจำยอมให้อยู่ใต้อิทธิพลของสิ่งอื่น ไม่จริงอยู่ได้ในตัวเอง บางคนเขาพูดว่าเดี๋ยวนี้จนนักขออนุญาตพระพุทธเจ้าไปเลี้ยงเป็ดสักพักหนึ่งก่อนเถิด นี่อย่างนี้เรียกว่าศาสนาจำยอม แต่นี่ยังเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ของคนทั้งโลก เช่น ฆ่าฟันกันทั้งโลก แล้วขอให้พระเจ้ายกโทษไม่ต้องถือว่าเป็นบาป นี่มันเป็นศาสนาจำยอมไม่จริง
    <O:p
    เราควรรู้จักศาสนาแท้จริงและศาสนาจำยอม สำหรับจะแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด แล้วเราเอาแต่ศาสนาแท้จริงมาเป็นศาสนาเดียวกันในหมื่นโลกธาตุ

    [​IMG]

    <O:p
    ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติ ชีวิตของเรา ร่างกายของเรา เลือดเนื้อของเรา ตัวเราทั้งตัวนี้เป็นธรรมชาติ ทีนี้ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่ตัวเรานี้ก็เป็นตัวธรรมชาติ กิเลสที่มีอยู่ในตัวเราก็เป็นตัวธรรมชาติ แล้วรูป หรือนาม หรือขันธ์ หรือธาตุหรืออายตนะ หรือลักษณะเฉพาะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวเรา ทีนี้ เราต้องหาให้พบกฎของธรรมชาติที่มันเกี่ยวกับความสุข หรือความทุกข์ ถ้าเมื่อใดเราเกิดความคิดว่าตัวกู ว่าของกูขึ้นมาเมื่อนั้นจะเกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ทันที เมื่อใดเราว่างอยู่จากความรู้สึกที่เป็นตัวกู ของกู เมื่อนั้นเราไม่มีความทุกข์เลย นี้เป็นเป็นกฎธรรมชาติ ฉะนั้นเราจะต้องทำอย่างอื่นเช่นหาเลี้ยงชีวิต หรือปฏิบัติการงานอะไรร้อยแปดพันอย่าง เราก็ต้องควบคุมไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าตัวกู ของกู ขึ้นมา จึงไม่เกิดความทุกข์ ทีนี้เราก็ปฏิบัติในลักษณะที่ไม่ให้เกิดตัวกูของกู ผลของมันก็คือความสุข อยู่อย่างเป็นสุข เราเรียกว่า มรรค ผล นิพพาน พวกอื่นเขาเรียกว่าได้อยู่ร่วมกับพระเจ้า ได้อยู่ในโลกของพระเจ้า ไม่มีความทุกข์เลย เพราะว่ามันกำลังไม่มีตัวกูของกู นี่ศาสนาเดียวทั้งหมื่นโลกธาตุมีได้เพราะว่ามันเป็นเพียงกฎของธรรมชาติเพียงกฎเดียวอย่างเดียวอย่างนี้
    <O:p
    เมื่อมันมีเพียงอย่างเดียว เราจะมองกันในแง่ว่ามันเหมือนกันทุกศาสนาที่มีอยู่ในโลกเวลานี้ หรือปัจจุบัน หรืออนาคต หรืออดีตก็ตาม มันจะมีกี่ร้อยศาสนา กี่สิบศาสนา มันต้องอาศัยกฎของธรรมชาติเกี่ยวกับความสุข ความทุกข์ทั้งนั้น จึงจะเป็นศาสนาขึ้นมาได้
    <O:p
    ศาสนาทุกศาสนาจะต้องมาจากกฎที่แท้จริงของธรรมชาติเพราะฉะนั้นจึงเหมือนกัน แม้ว่าเปลือกข้างนอกจะผิดกัน เรามีโบสถ์วิหารต่างกัน มีพิธีรีตองต่างกัน มีขนบธรรมเนียมต่างกัน คัมภีร์ต่างกัน อักษรภาษาที่ใช้ต่างกัน ก็ตามใจมัน อันนี้มันเปลือกนอก แต่เนื้อแท้มันอยู่ที่ว่าต้องกำจัดตัณหาอุปาทาน ไม่เกิดตัวกู ของกูเหมือนกันอย่างนี้ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้ธรรมชาติก็จะลงโทษให้เป็นทุกข์
    <O:p
    จะเปรียบความเหมือนกันให้เข้าใจง่าย เช่น ถ้าเรียกว่าน้ำ มันต้องเป็นน้ำบริสุทธิ์ และน้ำบริสุทธิ์นี้จะเหมือนกันหมดไม่ว่ามันจะไปอยู่ที่ไหน แม้ในเลือดในโลหิตของเรานี้มันก็มีน้ำบริสุทธิ์ เราแยกส่วนที่เป็นเยื่อที่มีลักษณะแดงๆ เป็นโลหิตออกไปเสีย มันก็มีน้ำบริสุทธิ์ ฉะนั้นขอให้มองดูสิ่งที่เรียกว่าน้ำบริสุทธิ์นี้ว่ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ในดิน ในทราย ในต้นไม้ ในอะไรก็ตามมันก็มีน้ำบริสุทธิ์อยู่ทุกหนทุกแห่ง ในอากาศก็มีน้ำบริสุทธิ์อยู่ทุกหนทุกแห่ง เลยพูดว่าชื่อว่าน้ำแล้วต้องเหมือนกันทุกหนทุกแห่ง ถ้ามันเป็นจริงๆ ศาสนาก็เหมือนกัน ถ้าเป็นศาสนาที่จริง มันจะเหมือนกัน ถ้าไม่เหมือนกันกันมันไม่ใช่ศาสนาที่แท้จริง ศาสนาที่จริงต้องทำความดับทุกข์ คือทำความรอดให้ได้ เลยเหมือนกันในข้อนี้
    <O:p
    ทีนี้ จะชี้ให้เห็นชัดยิ่งขึ้นไปอีกว่า ความเหมือนกันหรือที่จะขอยืนยันว่าเหมือนกันนั้น มันมีแง่ที่จะดูกันอยู่ 3 แง่ คือ

    1. ศาสนาที่แท้จริงต้องมีความมุ่งหมายตรงกัน คือมุ่งหมายให้มนุษย์ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือความรอด ศาสนาไหนก็ตาม มีอยู่กี่ร้อยกี่พันศาสนาก็ตาม ถ้าเป็นศาสนาที่มีส่วนจริง ต้องมีความมุ่งหมายตรงกันหมด คือมุ่งหมายให้มนุษย์หรือสัตว์ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือความรอด ถ้ามันไม่มุ่งหมายอย่างนี้ก็ถอดมันเสียได้เลย อย่าให้เป็นศาสนาเลย ไม่มีความเป็นศาสนาอยู่ในระบบนั้นแล้ว

    2. ศาสนาที่แท้ต้องมีหลักปฏิบัติที่ตรงกัน หมายความว่านอกจากมีความมุ่งหมายที่ตรงกันแล้ว ต้องมีหลักปฏิบัติที่ตรงกัน หลักปฏิบัติที่ตรงกันและสรุปให้สิ้นเชิงที่สุดก็คือ หลักปฏิบัติที่ทำลายความเห็นแก่ตน หรือทำลายความยึดถือว่าตัวกูของกูนี้เสียได้ ถ้าผิดจากนี้คือไม่ทำอย่างนี้แล้ว ถอดทิ้งเสียได้ ไม่เป็นศาสนา ไม่ให้เป็นศาสนา คือไม่ใช่ศาสนา ถ้าเป็นศาสนาแล้วต้องทำลายความเห็นแก่ตัว ควบคุม หรือระงับ หรือเลิกล้างความยึดมั่นว่าตัวกูของกู ทุกศาสนาเลย

    3. ศาสนาที่แท้ ต้องมีผลลัพธ์สุดท้ายตรงกัน ศาสนาที่แท้จริงนอกจากจะมีความมุ่งหมายตรงกัน หลักปฏิบัติตรงกันแล้ว ยังมีผลลัพธ์สุดท้ายตรงกันอีกคือได้เข้าถึงความรอด ศาสนาที่มีพระเจ้าเขาก็พูดว่าได้เข้าถึงความเป็นอันเดียวกับพระเจ้า ได้เข้าถึงโลกของพระเจ้าได้อยู่อาศัยกับพระเจ้าในโลกพระเจ้านี้ก็มี แต่ในศาสนาพุทธเราเรียกว่า ได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน บรรลุมรรค ผล นิพพานนั่นแหล่ะคือความรอดตามลำดับ
    ( ยังมีต่อ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2011
  13. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ศาสนามีเพียงศาสนาเดียว

    ใครก็ตามเป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม ก็ตามถ้าไปเกิดเข้าใจว่ามีศาสนาต่างกัน ตรงกันข้าม เป็นปฏิปักษ์กัน เป็นคู่วิวาทกันแล้วคนนั้นมันโง่ เพราะว่าคนนั้นมันไม่รู้ข้อเท็จจริงที่ว่า ศาสนาที่แท้จริงมีเพียงศาสนาเดียวในหมื่นโลกธาตุ ถ้าเราเคยโง่ก็ขอให้เลิกโง่กันเสียที จงเข้าใจอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริงกันเสียที อย่าเอาถึงฉลาดเลย เอาแต่เพียงว่า หมดโง่แล้วก็รู้ตามที่เป็นจริงแค่นั้นก็พอ

    เราควรตั้งข้อสังเกตรอบๆ ตัวเราให้ดีว่า อย่าลืมว่าเดี๋ยวนี้ เรากำลังอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า ปัญหามันจึงมีมาก อย่างน้อยก็มีคนบ้าที่เข้าใจไปว่าศาสนานั้นต่างกัน ศาสนานั้นกำลังเป็นปฏิปักษ์ศัตรูรบราฆ่าฟันล้างผลาญกัน ใครเข้าใจอย่างนี้คือคนบ้า แล้วยังมีบ้าอย่างอื่นอีกร้อยแปดพันจำพวก แต่คนที่น่าอันตรายที่สุดก็คือ คนที่ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันระหว่างศาสนา โดยเห็นว่าศาสนาแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน ก็เลยเกิดมีศาสนาของกู นี้ก็อยากจะพูดว่าคนบ้าเท่านั้นที่จะมีศาสนาของกู
    <O:p
    ถ้าใครพูดว่าศาสนาพุทธของกู นั้นให้เข้าใจเถิดว่าศาสนาพุทธที่เขาพูดถึงนั้นเป็นศาสนาของมาร ศาสนาพุทธที่แท้จริงจะมาเป็นศาสนาของกูไม่ได้มันเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหน หรือใครว่าศาสนาคริสเตียนของกู คนนั้นก็มีศาสนาซาตานมารเหมือนกัน ทีนี้ มันยังจะมีมากไปกว่านั้นว่าศาสนาพุทธของกู แล้วจะพูดเลยไปถึงว่า “ ศาสนาของกูเท่านั้นถูก ศาสนาของคนอื่นผิดหมด “ นั่นแหล่ะคือศาสนาของมารที่เป็นบ้า เป็นศาสนาของซาตานที่เป็นบ้า แล้วแต่ว่าจะเรียกว่าศาสนาอะไร ขอให้เลิกความเห็นแก่ตัวหรือยกตัว หรือเข้าใจผิด ว่าเราถูกอย่างเดียว คนอื่นผิด อย่างนี้ต้องยกเลิกความคิดอันนี้กันเสียให้หมด ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นคนที่ถือศาสนาบ้า ศาสนาของพญามาร แล้วเป็นมารที่บ้าด้วย ให้เห็นว่าความจริง ของจริงหรืออะไรๆ จริงมีเพียงสิ่งเดียวในหมื่นโลกธาตุ ทุกคนก็ยึดความจริงอันนี้กันทั้งนั้น แต่บางยุคบางสมัยมันเขลาไป ไปหุ้มเปลือกให้มันหนาเข้า ให้มันแปลกแตกต่างกันไป แล้วแต่เรื่องที่จะต้องปฏิบัติก็คืออย่าไปเถียงกันว่าเป็น religion หรือไม่ พุทธศาสนาก็เป็น religion คือเป็นคำกลางสากลใช้แก่ศาสนาทั้งโลก

    [​IMG]

    <O:p
    ศาสนาจริงโดยสรุปแล้วมีเพียงศาสนาเดียว ในหมื่นโลกธาตุ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เนื้อแท้มันมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่โดยรูปร่างต่างกันนั้นมันเป็นเพียงเปลือก มันมีเปลือกต่างกัน ทำไมมันเกิดเปลือกหุ้มข้างนอกต่างกัน ก็เพราะว่าปัญหาที่เกิดมาจากสิ่งแวดล้อมมันต่างกัน ของจริงของแท้เนื้อในมีสิ่งเดียวอย่างเดียว แต่เปลือกข้างนอกมันต่างกัน เพราะว่าคนมันต่างกัน เพราะความสูงต่ำแห่งสติปัญญาของมนุษย์ที่เกี่ยวกับพระเจ้า คือพวกหนึ่งรู้จักพระเจ้ามาก พวกหนึ่งรู้จักพระเจ้าน้อย พวกหนึ่งรู้จักครึ่งๆ กลางๆ พวกหนึ่งรู้จักเฉไปทางหนึ่ง อีกพวกหนึ่งเฉไปอีกทางหนึ่ง ฉะนั้นคำว่าพระเจ้าถูกรู้จักผิดกันต่างๆ กัน นี่จึงทำให้ศาสนาเกิดเปลือกหุ้มแปลกๆ กัน จนไม่เหมือนกัน แล้วภูมิประเทศถิ่นที่อาศัยมันก็ไม่เหมือนกัน อย่างประเทศอินเดียนี้ สมัยนั้นมันสบายและเต็มไปด้วยคนฉลาดเต็มไปด้วยความสมบูรณ์เรื่องปัจจัยที่หล่อเลี้ยงชีวิต ทีนี้ศาสนาที่เกิดในที่แห้งแล้งกันดารเดือดร้อน โง่เขลา อะไรๆ มันก็ไม่เหมือนกันอย่างนี้ แล้วฐานะทางวัตถุ คือเนื้อหนังทางร่างกายนี้มันก็ต่างกัน แล้วฐานะทางจิตทางวิญญาณการศึกษามันก็ต่างกัน แล้วที่สุดก็คือ ความเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รุนแรงไม่หยุดหย่อนของกาลสมัยของช่วงเวลา นี้มันก็ทำให้ต่างกัน
    <O:p
    ศาสนาอะไรก็เกิดอยู่ก่อนแล้ว ต่อมา ก็ศาสนาพุทธเกิดขึ้น ต่อมาอีก 500 ปี ศาสนาคริสเตียนเกิดขึ้น ต่อมาอีกประมาณ 500 ปี ศาสนาอิสลามเกิดขึ้น นี้ดูเป็นหลายๆ ศาสนา ที่จริงต้องการจะสอนความรอดจากความทุกข์ ตามกฎของธรรมชาติด้วยกันทั้งนั้น แต่เนื่องจากเกิดในสมัยที่ต่างกัน แผ่นดินที่ต่างกัน ในหมู่คณะที่ต่างกัน ในสติปัญญาพื้นฐานที่ต่างกัน มันก็เลยอยู่กันคนละรูปในส่วนเปลือก ทีนี้ เปลือกนี้มันเป็นเนื้องอกออกมาเรื่อยๆ จนเนื้อในไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ฉะนั้นแต่ละศาสนาเลยไปถือเปลือก เอาเปลือกมายืนยัน มันก็ต่างกัน ได้รบราฆ่าฟันกัน ก็เพราะเหตุว่าเปลือกมันต่างกัน ถ้าเอาเนื้อในเป็นหลักแล้ว ไม่มีทางที่จะรบราฆ่าฟันหรือเบียดเบียนกัน เพราะว่าเนื้อแท้มันมีสิ่งเดียวในหมื่นโลกธาตุ อย่างที่กล่าวมาแล้ว ฉะนั้นมันจะมีศาสนา ที่เรียกว่า “ ศาสนา “ ซึ่งจะมีอยู่กี่ศาสนาก็ตามเนื้อแท้มันก็เหมือนกัน
    <O:p
    เดี๋ยวนี้ว่ากันว่ามีอยู่ประมาณ 12 ศาสนา โหลหนึ่งพอดี ข้างตะวันออกนี้ มีศาสนาขงจื้อ เหลาจื้อ ชินโตของญี่ปุ่น ขยับเข้ามามีศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ ศาสนาไชนะ ศาสนาซิกซ์ในอินเดียว ไปทางตะวันตกมีศาสนายิว ศาสนาคริสเตียน ศาสนาอิสลาม รวมกันก็โหลหนึ่งพอดี แล้วก็กำลังมองกันด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรต่อกัน เพราะไม่เข้าใจข้อเท็จจริงที่ว่าศาสนาจริงมีเพียงศาสนาเดียวในหมื่นโลกธาตุ แล้วเป็นบาปเป็นกรรมเป็นโชคร้ายของมนุษย์ในโลก ที่ว่าแม้แต่ศาสนานี้ ถ้าถือผิดแล้ว คนก็จะกัดกัน รบราฆ่าฟันกัน เพราะอาศัยศาสนานั้นเองเป็นต้นเหตุ นี้ก็เป็นโชคดีอย่างมาก เป็นบุญเป็นกุศลอย่างมากถ้าเราจะได้รู้ความจริงกันเสียที ว่าศาสนาที่แท้จริงมีเพียงศาสนาเดียวในหมื่นโลกธาตุ
    <O:p
    แม้จะมากมายในหมื่นโลกธาตุ ในสามหมื่นโลกธาตุ หรือกี่แสนโลกธาตุ ก็จะมีเพียงสิ่งเดียวคือ กฏความจริงของธรรมชาติที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดได้ด้วยการปฏิบัติชนิดที่ทำลายเสียซึ่งตัวกู ของกู มันมีเท่านี้เองเหมือนกันทุกศาสนา ทั้งอดีต ทั้งปัจจุบัน ทั้งอนาคต เหมือนกันหมด
    พุทธทาส ภิกขุ<O:p
     
  14. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ผู้เลือก - ผู้ถูกเลือก

    [​IMG]

    พอดีเมื่อคืนฝันว่า อยากทานสายบัว จึงเดินเข้าไปในตลาด
    เห็นแม่ค้าช่วยกันคัดเลือกบัวตูมน้อย, บัวใกล้บาน, บัวบาน ออกเป็นส่วนๆ
    ความหมายของดอกบัวน่าจะหมายถึงเราชาวพุทธนั่นเอง
    ...........................
    " สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดทรงไว้เนื้อเชื่อใจเฉพาะแต่บุคคลที่พระองค์ได้ทรงเลือกแล้วเท่านั้นพระองค์มิได้ทรงมอบภารกิจให้แก่ใคร ๆ ก็ได้พระองค์จะทรงมอบภารกิจอันยิ่งใหญ่แก่พวกคุณ ซึ่งเป็นผู้ที่พระองค์ได้เลือกไว้ดังนั้นพวกคุณจึงควรที่จะภาคภูมิใจว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ได้ทรงเลือกพวกคุณอย่างไรก็ตามในขณะเดียวกันพวกคุณก็ควรจะได้ทุ่มเทความพยายามอย่างหนักในการปฏิบัติภารกิจที่ได้ทรงมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีสมกับที่ได้ทรงไว้วางใจ
    เมื่อพวกคุณบรรลุถึงซึ่งปัญญาและความรู้แจ้งพวกคุณก็จะได้รับคำตอบไปทุก ๆ เรื่องโดยทันที มิใช่เฉพาะแต่เรื่องนี้เท่านั้น "

    ....................................................................
    พี่นักเขียนตอบ..
    เมื่อท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า จิตวิญญาณคือความรู้ และความรู้คือจิตวิญญาณ การมาถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตนของเราจึงเป็นการมาถือกำเนิดจากฐานข้อมูลความรู้สามแหล่งด้วยกัน อันได้แก่ :
    1. จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีต-อนาคตซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา
    2. จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติซึ่งอาจเป็นคนรัก คนใกล้ตัวหรือแม้แต่ศัตรูของเรา
    3. จิตวิญญาณ (เสมือน) ร่วมร่างแต่ต่างมิติในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตซึ่งเป็นตัวตนของเราบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันเป็นอนันต์

    หลายๆคนที่เริ่มเข้าใจการเป็นบุคคลตัวตนของเราได้กว้างขึ้นมักจะยอมรับได้ไม่ยากว่า เรามีจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติและการยอมรับของเราก็ทำให้เราหาพวกเขาพบได้โดยง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขามีความเชื่อคล้องจองกับเราหรือสนใจใฝ่รู้ในสิ่งเดียวกับเราเราก็จะพบและรู้ว่าใช่-ได้อย่างมั่นใจ

    การเรียนรู้ถึงแหล่งที่มาสู่การมาถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตนนี้ทำให้เราสามารถมองเห็นการเป็นตัวตนของเราได้กว้างขึ้นจากเดิมก็จริงแต่เรามักจะจำกัดตนเองให้อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาด้วยการยอมรับหรือมองหาสิ่งที่เราคิดว่าเราจะหาพบได้ง่ายคือ มองหาจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ เพราะมันดูเสมือนว่าแทบจะเป็นบุคคลตัวตนประเภทเดียวที่เราจะหาพบได้ในปัจจุบัน

    หากเราพิจารณาบุคลิกภาพของคนใกล้ตัวเช่นลูกหลานของเรา เราจะมองเห็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีต-อนาคตซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา ในลูกหลานของเราได้ไม่ยาก และหากเรามองย้อนดูตนเองเราก็จะพบบุคลิกภาพของบรรพบุรุษของเราได้ไม่น้อยไปกว่าที่เราพบเห็นในลูกหลานแต่เรามักเรียกคุณสมบัต้เหล่านี้เป็นภาวะทางกายภาพว่า ลักษณะทางกรรมพันธุ์เรามักจะไม่พูดว่าจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของคุณปู่อยู่ในลูกหลานของเราหรือกล่าวว่าจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของคุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>พ่ออยุ่ในตัวฉันเป็นต้น

    หากเราพิิจารณาบุคลิกภาพและความสามารถ หรือรูปลักษณ์ของตัวเราเองเมื่อ 10 ปีก่อนนี้ เมื่อ 10 เดือนก่อนนัี้ หรือแม้แต่ 10 วันที่แล้วเราก็จะพบความแตกต่างไม่มากก็น้อยในตนเอง บางคนบอกว่าเคยชอบดื่มอยู่ๆก็เลิกดื่มโดยไม่รู้สาเหตุ บางคนเลิกบุหรี่โดยไม่ได้ถูกบังคับและในทางกลับกันคนไม่เคยดื่ม ไม่เคยสูบบุหรี่กลับหันมาดื่มหรือสูบบุหรี่บางคนก็อ้วนหรือผอมผิดตา ผมเผ้า หรือผิวเปลี่ยนแปลงสภาพไปโดยสิ้นเชิงแต่เราก็ไม่เคยตระหนักว่า เราคืิอ จิตวิญญาณ(เสมือน)ร่วมร่างแต่ต่างมิติในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตหรือกลายเป็นบุคคลบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นทางอื่นๆที่แตกต่างไป เรียกได้ว่าเราเป็นบุคคลตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใหม่ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีวันจบสิ้น

    การยอมรับการเป็นบุคคลตัวตน จากการศึกษาข้อมูลความรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นการทำให้จิตวิญญาณขยายตัวหรือแปลงสภาวะได้ในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ถาวรหากความเชื่อของเรายังไม่เปลี่ยนเป็นความรู้

    แต่การยอมรับการเป็นบุคคลตัวตนจากการตระหนักในความเป็นจริงอันเกิดจากการรู้เห็นหรือรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสที่หกเป็นการทำให้จิตวิญญาณขยายตัวได้ในอีกระดับหนึ่งซึ่งเป็นระดับที่เรียกได้ว่าแปลงสภาวะผู้รู้หรือแปลงสภาวะของจิตวิญญาณไปด้วยอย่างถาวร

    เมื่อมนุษย์แยกตนเองออกจากจิตวิญญาณและระบุความเป็นมนุษย์ว่าเป็นร่างกายเนื้อหนังและระบุความเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าเป้นจิตวิญญาณหรือสิ่งที่จับต้องไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้ามนุษย์ก็กำหนดภาวะที่นอกเหนือการรู้เห็นและเป็นไปด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าว่าเป็นการถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลือกแต่แท้จริง-การถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลือก-เป็นเพียงภาวะที่มนุษย์กำหนดขึ้นเท่านั้น

    หากเเราตระหนักได้ว่ามนุษย์คือจิตวิญญาณที่เป็นร่างกายเนื้อหนัง เราจะพบว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายอยู่ในตัวมนุษย์ เทพ เทวดา พระเจ้า อยู่ในตัวมนุษย์

    ความหมายที่แท้จริงของคำว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดได้เลือกเธอ จึงมีความเป็นจริงเมื่อมันหมายความว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดได้เลือกเธอทุกคนเสมอเหมือนกันหมดโดยปราศจากข้อยกเว้นและปราศจากเงื่อนไขเสมือนพ่อแม่ที่รักลูกและเลือกที่จะให้ลูกทุกคนเสมอเหมือนกันหมดโดยปราศจากข้อยกเว้นและเงื่อนไข

    ผู้ที่รู้สึกตนเองว่าเป็นผู้ถูกเลือกในส่วนลึกแล้ว-เราจะพบความเป็นจริงอีกข้อหนึ่งว่า-เราคือผู้เลือกด้วยเช่นกัน
    และผู้ที่รู้สึกตนเองว่า เป็นผู้ที่ไม่ได้ถูกเลือกในส่วนลึกแล้ว-เราจะพบความเป็นจริงอีกข้อหนึ่งว่า-เราเลือกที่จะเป็นเช่นนั้น

    พวกเราในที่นี้อาจมองเห็นความเป็นจริงที่พี่นักเขียนกล่าวถึงนี้ได้จากประสบการณ์ที่ว่าเมื่อเราพยายามที่จะติดต่อสื่อสารหรือถ่ายทอดข้อมูลความรู้ที่เราเห็นว่ามีคุณค่าต่อจิตวิญญาณให้กับคนบางคนที่เรามีสัมพันธภาพด้้วยเราจะพบว่า บางคนรับอย่างแทบจะตาไม่กระพริบและเราก็ไม่ต้องใช้ความพยายามที่จะถ่ายทอดอะไรให้เขาเลยเพราะเขาจะกลายเป็นเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราถ่ายทอดให้อย่างเต็มใจและบ่อยครั้งเราให้ข้อมูลความรู้เขาเพียงนิดเดียวเขาก็จะเข้าใจได้ลุ่มลึกแตกฉานไปเป็นอันมากด้วยตนเองและให้ความรู้แก่เรากลับมาด้วยเช่นกันเช่นเดียวกับที่กำล้งเป็นไปในห้องวิทย์ของเราอยู่ในขณะนี้

    ในขณะเดียวกันเราก็จะพบกับคนบางพวกที่เป็นชาเต็มถ้วยและมองเห็นสิ่งที่เราพยายามถ่ายทอดให้เป็นเรื่องไกลตัวหรือบางคนก็ปฏิเสธและไม่ให้ความสำคัญกับสาระเหล่านี้เลยแต่ในทึ่สุดพวกเขาก็จะแสวงหาความรู้ไม่วันใดก็วันหนึ่งตามวิถีทางอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา

    หลายคนรู้สึกและตระหนักได้ถึงแรงดึงดูดที่ทำให้เราทั้งหลายมาร่วมแสวงหาความรู้กันณ ห้องวิทย์นี้ และสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ความรักที่นอกเหนืออารมณ์รักทางโลกแต่เป็นอารมณ์รักในความรู้ที่เราให้กันและกันอย่างปราศจากข้อแม้หรือเงื่อนไขผู้ที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์รักในความรู้นี้จะพบว่าความเป็นระบบเครือข่ายของจิตวิญญาณเป็นหนทางเดียวที่ทำให้อารมณ์รักในความรู้นี้มีพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่จืดจางแต่่ในขณะเดียวกันเราก็จะพบเห็นได้เช่นกันว่าผู้ที่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอารมณฺ์รักในความรู้จะแสวงหาอารมณ์นั้นต่อไปเสมือนเมล็ดข้าวสีดำในนิทานเรื่องน้ำค้างกับเมล็ดข้าว

    ไม่ว่าเขาจะรับหรือปฏิเสธสิ่งที่เราเห็นว่ามีคุณค่าต่อจิตวิญญาณเพียงใดหรือพอใจที่จะแสวงหาตามลำพังด้วยตนเองด้วยการสร้างท้องนาแห่งใหม่ที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีพลังอำนาจที่จะควบคุมสภาพแวดล้อมนั้นได้ดีขึ้นพี่นักเขียนเชื่อว่าเขาต่างก็เป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ของเราในปัจจุบันชาติด้วยกันทั้งนั้นเพราะเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณของเขาไม่ได้แตกต่างไปจากเราเลยเพียงแต่ว่าตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก ณ วันนี้เขาไม่ได้หันเหมาสู่เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่ตัดกันกับเราเสมือนเมล็ดข้าวสีดำที่ปรารถนาจะเผชิญกับการผจญภัยที่ต่างไปจากเมล็ดข้าวสีทองในท้องนาเดียวกันแต่ก็ไม่ได้หมายความเมล็ดข้าวสีดำนั้นจะไม่มีวันงอกงามแม้อาจจะดำก็เพียงแค่เปลือกนอก เนื้อในแล้วก็ไม่ต่างกัน กล่าวได้ว่าเมล็ดข้าวทุกสีีทุกเมล็ดได้รับพรให้เจริญงอกงามเป็นต้นข้าวอย่างดีที่สุดในทิศทางอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองคำว่าเร็วหรือช้า ได้หรือยังไม่ได้ ก่อนหรือหลังเป็นความจริงก็แต่เพียงเมื่อมันอยู่บนเส้นทางแห่งกาลเวลาเท่านั้นคนบางพวกจำเป็นต้องเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตด้วยการเลือกที่จะผจญภัยด้วยตนเองอย่างโดดเดี่ยวเพื่อเผชิญกับบทเรียนที่ทำให้เขาตระหนักได้ว่าความโดดเดี่ยวไม่ใช่หนทางที่จะทำให้จิตวิญญาณพัฒนาได้อย่างกว้างไกลเพราะจิตวิญญาณประสานกันเป็นระบบเคริือข่ายการพัฒนาของจิตวิญญาณจึงเป็นการพัฒนาเป็นระบบ

    ตามประวัติศาสตร์ของโลกแม้แต่ผู้ที่สำเร็จได้ภูมิความรู้ทั้งหลายที่เหนือชั้นราวกับว่าถูกเลือกเพียงคนเดียวในยุคสมัยหนึ่งๆต่างก็ถ่ายทอดความรู้ให้กับคนจำนวนมากทั้งนั้นไม่มีท่านใดที่จากโลกไปอย่างเงียบๆอย่างโดดเดี่ยวพรัอมกับความรู้ทัั้งหมดเลยแม้แต่ท่านเดียว
    (f)(f)(f)
     
  15. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขออนุญาตสนทนากับจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในความฝันสั้นๆ นะคะ:cool:

    คนแรก - เราต้องควบคุมจิต ไม่ใช่ให้จิตมาควบคุมเรา
    - ปล่อยวางอย่างมีสติ

    คนที่ 2 - สิ่งที่คิดว่าใช่อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด
    - พัฒนาสติสัมปะชัญญะให้คมชัดมากขึ้นแล้วจะสัมผัสได้

    คนสุดท้าย - เราแต่ละคนมีหน้าที่ทางจิตวิญญาณไม่เหมือนกัน
    :boo::boo::boo:
     
  16. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    พื้นที่ชีวิต บทสัมภาษณ์ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล กับ องค์ดาไลลามะ

    รายการ " พื้นที่ชีวิต " ช่องไทยพีบีเอส
    วันที่ 28 เม.ย. 54 เวลา 22.30 - 23.30 น.
    หาใน youtube ไม่เจอ เจอใน PANTIP.COM เลยเอามาฝากค่ะ:cool:

    http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A10500288/A10500288.html
     
  17. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    อ้า.. เจอแล้ว
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=7-FLLs_sdDE"]YouTube - พื้นที่ชีวิต - ศาสนา&วิทย์ ทะไลฯ 28Apr11 1/3[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=0mOnFCs_4Tg"]YouTube - พื้นที่ชีวิต - ศาสนา&วิทย์ ทะไลฯ 28Apr11 2/3[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=7e7bAQSso54"]YouTube - พื้นที่ชีวิต - ศาสนา&วิทย์ ทะไลฯ 28Apr11 3/3[/ame]
     
  18. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณ

    ไม่รู้เป็นรัยวันสองวันนี้คิดถึง post พี่นักเขียนอยู่ 2 เรื่อง:cool:
    ...................................................
    อ้างอิง:
    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0cm; mso-padding-alt: 4.5pt 4.5pt 4.5pt 4.5pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ebebeb 1pt inset; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: #ebebeb 1pt inset; PADDING-LEFT: 4.5pt; BACKGROUND: #f7f3f7; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: #ebebeb 1pt inset; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: #ebebeb 1pt inset; mso-border-alt: inset windowtext .75pt">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณkhajornwan
    พี่นักเขียนช่วยอธิบายสภาวะอารมณ์นิพพานในความคิดของพี่นักเขียนให้ฟังได้มั้ยคะ? ว่ามีสภาวะเช่นไร? สภาวะนี้มีไว้สำหรับนักบวชในศาสนาพุทธเท่านั้นหรือ? แล้วฆราวาสอย่างเรา ๆหรือผู้ที่นับถือศาสนาอื่นสามารถที่จะเข้าถึงสภาวะนี้ได้หรือไม่? โดยวิธีใด? เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่พวกเราพยายามศึกษาหรือเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณมาอย่างยาวนานบางคนอาจจะผ่านประสบการณ์การเกิด - ตาย มาแล้วหลายภพชาติ เกิดความเชื่อแบบผิด ๆ ถูกๆ มาก็เยอะ ต่างก็แสวงหาความรู้แจ้งด้วยกันทั้งสิ้น..จริงมั้ยคะทุก ๆ คน.. (หวังว่าคำถามนี้คงไม่ก่อนให้เกิดความขัดแย้งในห้องวิทย์ฯ นะคะ )
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พี่นักเขียนขอตอบคำถามนี้จากมุมมองส่วนตัวที่มีต่อเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณโดยไม่ขอใช้คำว่านิพพานเพราะพี่นักเขียนไม่มีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับพุทธศาสนามากพอขอเปลี่ยนคำถามเพื่อช่วยให้พี่นักเขียนตอบคุณน้องขจรวรรณได้จากมุมมองที่พี่นักเขียนรู้จักแล้วกันนะคะว่า

    สภาวะแห่งอารมณ์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณนั้นคืออะไร?

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ในโนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพว่า สวรรค์และนรกไม่ใช่สถานที่แต่เป็นสภาวะแห่งอารมณ์ของจิตวิญญาณ พี่นักเขียนเข้าใจว่าทั้งสวรรค์และนรกเป็นสภาวะแห่งอารมณ์ของจิตวิญญาณ ซึ่งไม่ถาวรคือไม่ยั่งยืนแม้สวรรค์จะเป็นภาวะที่เป็นสุข แต่เมื่อมันไม่ยั่งยืนมันก็ย่อมไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณ ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ในอมตะแห่งจิตวิญญาณว่า ผู้ที่ติดสวรรค์หรือเชื่อในสวรรค์นั้นเสียเวลากับการเสวยสุขในสวรรค์ไม่น้อยไปกว่าผู้ที่เชื่อในนรกซึ่งต้องเสียเวลากับการตกนรกหรือจมอยู่กับความทุกข์และความหมดหวังหรืออาจจะเสียเวลามากกว่าด้วยซ้ำไปเพราะการติดสวรรค์อาจทำให้จิตวิญญาณลุ่มหลงกับความสุขในสวรรค์หลังความตายจนจดจ่อกับความสุขนั้นและไม่ยอมดำเนินวิถีแห่งจิตวิญญาณเพื่อการเรียนรู้ต่อไปต่อเมื่อจิตวิญญาณตระหนักได้ว่าความสุขหรือภาวะดังกล่าวนั้นเป็นภาวะที่ทำให้จิตวิญญาณไม่ก้าวหน้าจิตวิญญาณก็จะละอารมณ์สุขหรือสวรรค์แล้วดำเนินต่อไปเพื่อการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด

    จากมุมมองและความเข้าใจส่วนบุคคลพี่นักเขียนเข้าใจว่าอารมณ์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณมีคำตอบอยู่ในคำถามของคุณน้องขจรวรรณ คือ การรู้แจ้ง

    อารมณ์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณ คือการรู้แจ้งในธรรมชาติความเป็นจริงของโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติอย่างหมดเปลือกซึ่งเป็นภาวะที่ไม่มีที่สิ้นสุดเนื่องจากจักรวาลหรือโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติขยายตัวต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุดการรู้แจ้งหรือการเรียนรู้ในธรรมชาติความเป็นจริงของโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติอย่างหมดเปลือกจึงไม่มีวันสิ้นสุดแต่ขยายตัวตามการขยายตัวของจักรวาลต่อไปอย่่่่างเป็นอนันต์

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวย้ำเสมอๆให้เราตระหนักในธรรมชาติความเป็นจริงที่ว่าเราทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง และจิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นๆพร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้น

    ท่านอาจารย์อนาลัยเป็นจิตวิญญาณที่ปราศจากร่างกายตัวตนเป็นพลังงานที่เต็มไปด้วยบุคลิกภาพท่านเต็มไปด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดพี่นักเขียนเข้าใจว่าภาวะที่ทำให้รู้แจ้งในธรรมชาติความเป็นจริงเป็นภาวะที่อยู่นอกเหนือเครื่องพรางทั้งปวงทั้งเครื่องพรางของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาและเครื่องพรางของร่างกายเนื้อหนังอันได้แก่ประสาทสัมผัสทั้งห้าพี่นักเขียนเข้าใจว่าอารมณ์ที่เรียกว่ารู้แจ้งอันเป็นอารมณ์หรือภาวะสูงสุดของจิตวิญญาณ หรือภาวะที่เสมอเหมือนต้นกำเนิดที่สุดเป็นภาวะที่ปราศจากเครื่องพรางทั้งปวง รู้เห็นสิ่งต่างๆตามธรรมชาติความเป็นจริงโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องรับรู้ใดๆอีกต่อไป เช่นประสาทสัมผัสทั้งห้าแต่เป็นการรับรู้โดยตรงด้วยจิตวิญญาณ

    พี่นักเขียนเข้าใจว่าภาวะดังกล่าวนี้ไม่ใช่ภาวะที่จิตวิญญาณจะก้าวล่วงไปสู่แล้วคงสภาพอยู่ในภาวะนั้นๆอย่างถาวรหากแต่เป็นภาวะที่เป็นส่วนหนึ่งของภาวะรวมทั้งหมดและเป็นภาวะที่หนุนเนื่องภาวะอื่นๆเสมือนน้ำดีที่ถ่ายเทน้ำเสียให้เบาบางลงจนกระทั่งน้ำเสียที่แทบจะไร้ประโยชน์คืนสภาพกลายเป็นน้ำที่มีประโยชน์

    หากเราหันกลับไปมองสาระที่ว่า จิตวิญญาณประสานกันเป็นระบบเครือข่ายและจิตวิญญาณรวมทั้งหมดมีความเป็นหนึ่งเดียวพี่นักเขียนเข้าใจว่าจิตวิญญาณส่วนที่ก้าวล่วงหรือเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ภาวะแห่งอารมณ์รู้แจ้งหรือเป็นหนึ่งเดียวกับความรู้แล้วเป็นจิตวิญญาณที่เปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ได้จนหมดสิ้นแต่ก็ไม่ใช่ภาวะที่เรียกว่าหยุดนิ่งและไม่ต้องการวิวัฒนาการหรือการพัฒนาใดๆต่อไปแล้วแต่ยังต้องการความรู้เพิ่มเติมต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุดเพราะจิตวิญญาณส่วนนี้ไม่ได้แปลกแยกออกไปจากระบบเครือข่ายและยังคงอยู่ในระบบเดียวกับจิตวิญญาณอื่นๆซึ่งเป็นหนึ่งเดียวและยัังคงสนับสนุนเกื้อกูลกันและกันต่อไปเสมอดังเช่นที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้ว่าจิตวิญญาณของท่านปราศจากความเชื่อแต่เต็มไปด้วยความรู้และท่านก็จะยังคงพัฒนาต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้นและการพัฒนาหรือการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ของจิตวิญญาณย่อยๆของพวกเราทั้งหลายส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของท่านและจิตวิญญาณอื่นที่อยู่ในสภาวะเดียวกับท่านโดยตรง

    พี่นักเขียนเข้าใจว่าความเข้าใจของมนุษย์เราที่ว่า จะมีมนุษย์เพียงไม่กี่คนบนผืนโลกที่สามารถพัฒนาจิตวิญญาณไปได้ถึงจุดสูงสุดหรือบรรลุเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณได้นั้นเป็นความคิดที่เป็นไปตามวิวิฒนาการของมนุษย์มนุษย์โบราณเคยมีชีวิตอยู่ด้วยความกลัวในภัยธรรมชาติและเชื่อว่าพวกเขาจะอยู่รอดได้ด้วยการมีผู้นำที่เหนือมนุษย์เราเคยมีแม้แต่ทาสซึ่งเป็นคนที่ถูกประพฤติปฏิบัติต่ำกว่าคนด้วยกันการข่มขี่หรือการปกครองในลักษณะดังกล่าวเป็นลัทธิความเชื่อที่ทำให้การควบคุมคนจำนวนมากให้อยู่ภายใต้กฎหรือวินัยเป็นไปได้ง่ายแต่โลกปัจจุบันก็เปลี่ยนไปเป็นอันมาก โดยเฉพาะโลกตะวันตกที่มีมุมมองเปลี่ยนไปว่ามนุษย์ทั้งหลายมีความเสมอภาคกันประเทศชาติจะอยู่รอดได้ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันของบุคคลทุกคนไม่ใช่อยู่ที่ใครเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้นความคิดและความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไปตามวิวัฒนาการของสังคม อุตสาหกรรม และวัฒนธรรมทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    จิตวิญญาณประสานการเป็นระบบเครือข่ายและมีความเป็นหนึ่งเดียวเป็นสาระของธรรมชาติความเป็นจริงที่น่าจะทำให้เราคิดได้ว่าการบรรลุเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณ ไม่ใช่การบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคลไม่ใช่การไปถึงเป้าหมายสูงสุดอย่างโดดเดี่ยวเพราะจิตวิญญาณไม่เคยมีการแบ่งแยกอย่างเช่นที่มนุษย์เราแบ่งแยกเรา-เขา

    พี่นักเขียนเชื่อว่าเราทุกคนสามารถเข้าถึงอารมณ์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณได้เสมอๆแม้เราจะตั้งอยู่ในอารมณ์นั้นไม่ได้นาน เพราะเรายังขาดความคุ้นเคยขาดทักษะหรือความชำนาญ แต่ถ้าหากเราฝึกฝนเราย่อมเข้าถึงได้บ่อยขึ้น และนานขึ้น

    อารมณ์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณเป็นอารมณ์ที่เราตระหนักได้ในความเป็นหนึ่งเดียว เป็นอารมณ์รักอันปราศจากเงื่อนไขคือรักได้ทุกรูปกายที่ปรากฏในประสบการณ์ชีวิตโดยไม่ต้องถามว่า "เขาคือใคร"เพราะเราจะตระหนักได้ว่า "เขาคิืออะไร" - เขาคือจิตวิญญาณที่เป็นหนึ่งเดียวกับเราหากเรารู้จักรักตนเอง เห็นคุณค่าในตนเอง เทิดทูนในตนเอง เราจะรู้จักรักเขาเห็นคุณค่าในเขาและเทิดทูนในเขาด้วยความรู้แจ้งในความเป็นหนึ่งเดียวตามธรรมชาติของจิตวิญญาณ

    พี่นักเขียนเชื่อว่าพี่นักเขียนได้พบเห็นบุคคลที่ได้ชื่อว่าบรรลุภาวะอันสูงสุดของจิตวิญญาณหลายท่านในชีวิตนี้หนึ่งในจำนวนนั้น ได้แก่ Mother Terasa แม่ชีชาว Albanian ผู้ใช้ชีวิตด้วยการให้ความรักอย่างท่วมท้นกับเด็กกำพร้าและผู้ป่วยผู้ยากไร้ในประเทศอินเดีย หากใครเคยดูข่าวเกี่ยวกับท่านเราจะเห็นท่านโอบอุ้มทารกที่ถูกทอดทิ้ง ป้อนนม ป้อนอาหารเด็กเหล่านั้นทำความสะอาดพวกเขา แล้วก็กอดจูบเด็กทารกเหล่านั้นด้วยความรักอย่างที่สุดพลางกล่าวให้ทุกๆคนรอบตัวท่านมองดูและชื่นชมเด็กๆเหล่านั้นว่า พวกเขางดงามเพียงใด

    ทุกครั้งที่ท่านปรากฏในข่าวพี่นักเขียนมักจะเฝ้าดูท่านจูบเด็กๆ คอยฟังท่านกล่าวอย่างเคยว่า "Look! How beautiful they are." เพียงเพื่อจะกล่าวตอบท่านในใจว่า "Yes. How beautiful you are." พี่นักเขียนคิดว่าท่านเป็นบุคคลที่งดงามที่สุดท่านหนึ่งในโลกที่จิตวิญญาณได้ก้าวล่วงไปสู่อารมณ์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอันปราศจากเงื่อนไขอย่างแท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2011
  19. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    นิทานเมล็ดข้าว

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณดินแดนอันไกลโพ้นแห่งหนึ่งผืนดินปกคลุมไปด้วยนาข้าวอันอุดมสมบูรณ์ผู้คนมีแต่ความสมบูรณ์พูนสุขเกื้อหนุนช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยความรักและเมตตาอันปราศจากเงื่อนไขพวกเขาได้ข่าวภัยพิบัติที่ทำลายเมืองอื่นอยู่เนืองๆทำให้พืชไร่เสียหายประชาชนอดอยากพวกเขาจึงส่งพืชพันธุ์ธัญญาหารเพื่อไปช่วยเหลือระหว่างที่มีการบรรทุกสัมภาระและอาหารเพื่อไปช่วยเหลือประชากรในท้องที่เหล่านั้นเกวียนบรรทุกเมล็ดข้าวเล่มหนึ่งเดินทางผ่านดินแดนอันแห้งแล้งผืนดินแตกระแหงกระสอบข้าวใบหนึ่งรั่วทำให้ข้าวบางส่วนร่วงหล่นไปตามทางที่เกวียนเล่มนั้นเดินทางผ่านไปสายลมแรงพัดพาเอาเมล็ดบางส่วนไปตกลงบนกองหินที่แดดเผาบางส่วนไปตกในหนองน้ำที่แห้งปานทะเลทรายบางส่วนก็ตกลงบนดินที่แตกระแหงปราศจากร่มเงาของไม้ใหญ่

    แต่เมล็ดข้าวสีทองหยิบมือหนึ่งถูกลมหอบไปตกลงบนดินใกล้กับหินก้อนใหญ่แม้ว่าผืนดินจะแห้งแล้งแต่เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งก็กล่าวกับเมล็ดอื่นๆว่า "โชคดีจังนะที่พวกเราได้อาศัยร่มเงาจากหินก้อนนี้สักวันหนึ่งเราอาจจะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าก็ได้แล้วเราก็จะกลายเป็นนาข้าวที่สมบูรณ์พูนสุขเหมือนกับผืนดินของบรรพบุรุษที่เราจากมา"เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดอื่นๆได้ยินด้งนั้นก็เต็มไปด้วยความหวังพวกมันพากันขยับเข้าไปใกล้ก้อนหินเพื่ออยู่ใต้ร่มเงาและต่างพากันขอบใจก้อนหินก้อนหินก้มลงมองพวกมันแล้วก็ยิ้มอย่างภาคภูมิที่มันได้กลายเป็นก้อนหินที่มีประโยชน์ขึ้นมา

    แต่มีเมล็ดข้าวสีดำสนิทเมล็ดหนึ่งซึ่งแปลกแยกไปจากเมล็ดอื่นๆแต่เพียงเปลือกนอกมันชายตามองเมล็ดข้าวอื่นๆที่แลดูเหมือนๆกันอย่างเย่อหยิ่งแล้วมันก็ขยับตัวเข้าใกล้ก้อนหินอีกนิดเพื่อให้ได้ร่มเงาแต่มันก็ไม่นึกขอบใจก้อนหินสักเท่าไรนัก

    วันแล้ววันเล่าผ่านพ้นไปเมล็ดข้าวอื่นๆที่ตกลงบนก้อนหินตกลงในหนองน้ำแห้งและกลางลานดินอันแตกระแหงก็ตกเป็นอาหารของฝูงนกฝูงการที่บินโฉบไป

    เมล็ดข้าวอีกเมล็ดหนึ่งข้างหินก้อนใหญ่ก็กล่าวขึ้นว่า "พวกเราโชคดีจังนะที่ได้อาศัยร่มเงาของก้อนหินและได้อาศัยเป็นที่กำบังจากฝูงนก"เมล็ดข้าวเมล็ดอื่นๆได้ยินด้งนั้นก็เต็มไปด้วยความหวังต่อไปเวลาผ่านไปแต่ความแห้งแล้งก็ยังคงครอบงำดินแดนแห่งนี้และเมล็ดข้าวก็ยังไม่อาจงอกเป็นต้นกล้าได้แต่ละเมล็ดยังคงเต็มไปด้วยความหวังความปรารถนาและศรัทธาในความเป็นไปได้อันคาดการณ์ไม่ได้ดวงตะวันเริ่มคล้อยและก้อนหินก็ไม่อาจให้ร่มเงากับเมล็ดข้าวเหล่านี้ได้เช่นเคยแต่มันก็สงบนิ่งและส่งกำลังใจให้เมล็ดข้าวต่อไปว่า "เมื่อตะวันคล้อยต่อไปสักวันหนึ่งฉันก็จะให้ร่มเงาแก่พวกเธอได้อีกอย่าเพิ่งหมดหวังนะ"เมล็ดข้าวตระหนักในน้ำใจของก้อนหินและขอบใจที่มันได้ให้ร่มเงาแก่พวกเขามาแล้ว

    เมฆน้อยก้อนหนึ่งลอยผ่านมามันก้มลงมองดูเมล็ดข้าวที่ออกันอยู่ข้างก้อนหินและพยายามหลบจากแดดจ้าที่แผดเผาอย่างไร้ผลมันคล่อยๆเคลื่อนตัวน้อยๆของมันต่ำลงและทอดเงาลงไปบังเมล็ดข้าวกลุ่มนั้นเมล็ดข้าวเริ่มรู้สึกเย็นลงเมล็ดสีทองเมล็ดหนึ่งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามันร้องขึ้นด้วยความดีใจว่า"ดูซิ!พวกเราโชคดีอีกแล้วที่ได้อาศัยร่มเงาจากเมฆน้อย"เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวังพวกมันขอบใจก้อนหิน และ เมฆน้อยเมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันขยับตัวเขาไปใต้ร่มเงาของเมฆน้อยแต่มันก็ไม่นึกขอบใจสักเท่าไรนัก

    วันแล้ววันเล่าเมฆน้อยยังคงทอดเงาให้กับเมล็ดข้าวแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเมล็ดข้าวจะงอกเป็นต้นกล้าได้อย่างไรนอกจากว่าพวกมันยังคงเต็มไปด้วยความหวังความปรารถนาและศรัทธาในความเป็นไปได้อันคาดการณ์ไม่ได้

    เมื่อเมฆก้อนใหญ่กลุ่มหนึ่งลอยผ่านมาและพบเหตุการณ์นี้เข้าพวกมันมองเห็นความเมตตาของเมฆน้อยที่พากเพียรให้ร่มเงาแก่กลุ่มเมล็ดข้าวและตระหนักในความหวังความปรารถนาและศรัทธาของเมล็ดข้าวมันจึงลอยตัวต่ำลงจนเป็นผืนเดียวกับเมฆน้อยเมล็ดข้าวสีทองอีกเมล็ดหนึ่งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มแล้วมันก็ร้องว่า "ดูซิ!พวกเราโชคดีอีกแล้วที่ได้อาศัยร่มเงาจากเมฆใหญ่"
    เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวังพวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อยและ เมฆใหญ่เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันขยับตัวเขาไปใต้ร่มเงาของเมฆน้อยเมฆใหญ่แต่มันก็ไม่นึกขอบใจเมฆก้อนใหญ่สักเท่าไรนัก

    คื่นที่ 1
    น้ำค้างหยดแรกพร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลายพวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัดจนกระทั่งพวกมันระลึกถึงความจำเก่าก่อนในชาติภพทั้งหลายในอดีตที่พวกมันเคยเป้นส่วนหนึ่งของรวงข้าวและนาข้าวอันอุดมที่มันจากมาทำให้พวกมันตื่นขึ้นมาด้วยความคาดหวังอันยิ่งใหญ่เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งกล่าวว่า "ฉันรอคอยวันที่พวกเราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนาข้าวอันอุดมอีกครั้งหนึ่ง"เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวังพวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่ และน้ำค้างหยดแรก

    เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันขยับตัวด้วยความชุ่มชื่นของน้ำค้างแต่มันก็ไม่นึกขอบใจน้ำค้างหยดแรกสักเท่าไรนัก
    <?xml:namespace prefix = v /><v:shapetype class=inlineimg id=_x0000_t75 title="Tongue out" smilieid="24" alt="" border="0" src="http://palungjit.org/images/smilies/tongue-smile.gif" stroked="f" filled="f" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" v:shapetype o<>
    คืนที่ 2
    น้ำค้างหยดที่สอง พร่างพรมลงเมล็ดข้าวทั้งหลายพวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัดจนกระทั่งพวกมันฝันอย่างคมชัดแลเห็นทุ่งกว้างแห่งนี้กลายเป็นนาข้าวอันอุดมทำให้พวกมันตื่นขึ้นมาด้วยความคาดหวังอันยิ่งใหญ่เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งกล่าวว่า "ฉันแลเห็นอนาคตว่าอีกไม่นานพวกเราจะทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นนาข้าวอันอุดม"เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวังพวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่น้ำค้างหยดแรกและน้ำค้างหยดที่สอง

    เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันดูดซับความชุ่มชื่นของน้ำค้างแม้มันจะฝันไม่น้อยไปกว่าเมล็ดข้าวสีทองเมล็ดอื่นๆแต่มันก็ไม่นึกขอบใจน้ำค้างหยดที่สองสักเท่าไรนัก
    <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\Admin\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/tongue-smile.gif"></v:imagedata>

    คืนที่ 3
    น้ำค้างหยดที่สามพร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลายพวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัดจนกระทั่งพวกมันตระหนักได้ว่ามันคือจิตวิญญาณผู้มาถือกำเนิดพร้อมด้วยพลังอำนาจตามธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์ซึ่งจะทำให้มันเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์และสามารถงอกเป็นต้นกลัาได้ต่อไปทำให้พวกมันตื่นขึ้นมาด้วยความคาดหวังอันยิ่งใหญ่เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งกล่าวว่า "ฉันแลเห็นอนาคตว่าพวกเราจะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าอันสมบูรณ์"เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวังพวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สองและน้ำค้างหยดที่สาม

    เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันดูดซับความชุ่มชื่นของน้ำค้างจนเมล็ดของมันพองโตไม่น้อยไปกว่าเมล็ดข้าวสีทองเมล็ดอื่นๆและเต็มไปด้วยความเป็นได้อันคาดการณ์ไม่ได้แต่มันก็ไม่นึกขอบใจน้ำค้างหยดที่สามสักเท่าไรนัก

    คืนที่ 4
    น้ำค้างหยดที่สี่พร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลายพวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัดจนกระทั่งพวกมันตระหนักได้ถึงมรดกล้ำค่าทางกายภาพและพันธุกรรมที่มันได้รับมอบมาจากบรรพบุรุษท้้งหลายของมันมันฝันเห็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีตและอนาคตชาติและมองเห็นแนวโน้มและความเป็นไปได้ของพวกมันมันฝันเห็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ของมันที่กำลังงอกขึ้นเป็นต้นกล้าอยู่ณดินแดนอื่นๆอันชุ่มชื่นไปด้วยฝนทำให้เมล็ดของมันชุ่มชื่นพองโตไปด้วยราวกับว่าได้ฝนมันฝันเห็นจิตวิญญาณเสมือนร่วมร่างแต่ต่างมิติในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตชาติบนเส้นทางแห่งความเป็นได้อื่นๆที่พวกมันงอกงามขึ้นเป็นต้นกล้าในลักษณะต่างๆอันเป็นไปได้-หลากหลาย-เป็นอนันต์เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวังพวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สองน้ำค้างหยดที่สาม และน้ำค้างหยดที่สี่

    เช้าวันรุ่งขึ้นต้นต้อยติ่งเริ่มงอกงามขึ้นมาทำให้เมล็ดข้าวสีทองบางเมล็ดเริ่มกระสับกระส่ายบางเมล็ดกล่าวว่า "ดูสิวัชชพืชพวกนี้มาแย่งความชื้นไปจากพวกเรา"แต่เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งกลับกล่าวว่า "ต้นต้อยติ่งเป็นสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่าเราจะงอกงามขึ้นเป็นต้นกล้าได้ในไม่ช้าด้วยน้ำค้างเหล่านี้"เมล็ดข้าวสีทองที่ยังไม่ไหวตัวพอที่จะดูดซับน้ำค้างกลับเริ่มไหวตัวและซึมซับน้ำค้างได้ขึ้นแม้ว่าต้นต้อยติ่งจะทำให้เมล็ดข้าวสีทองบางเมล็ดกระสับกระส่ายแต่มันก็ทำให้หลายๆเมล็ดตื่นตัวมากขึ้นกว่าเดิม

    เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันดูดซับความชุ่มชื่นของน้ำค้างอย่างไม่เต็มใจนักด้วยความคิดว่าประวัติศาสตร์และแนวโน้มของมันแตกต่างไปจากเมล็ดข้าวสีทองอื่นๆโดยสิ้นเชิงมันมองดูเพียงเปลือกนอกของมันด้วยความหยิ่งผยองและคิดว่ามันจะรอคอยวันที่ลมใต้จะพัดพามันไปสู่ดินแดนใหม่เพื่อขยายพันธุ์กลายเป็นนาข้าวที่พิเศษผิดแผกไปจากเมล็ดข้าวสีทองที่แสนจะธรรมดามันไม่นึกขอบใจน้ำค้างหยดที่สี่สักเท่าไรนัก

    คืนที่ 5
    น้ำค้างหยดที่ห้าพร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลายพวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัดจนกระทั่งพวกมันตระหนักได้ถึงอิสระแห่งความปรารถนาของแต่ละเมล็ดเมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งปรารถนาที่จะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าที่ออกรวงข้าวมากมายจนลำต้นของมันน้อมลงสู่ดินเมล็ดข้าวสีทองอีกเมล็ดหนึ่งปรารถนาที่จะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าที่ออกรวงไม่มากนักแต่เมล็ดของมันอิ่มเอิบแข็งแรงเป็นพิเศษเมล็ดข้าวสีทองอีกเมล็ดหนึ่งปรารถนาที่จะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าที่ออกรวงไม่มากและเมล็ดน้อยเพื่อที่มันจะได้ชูช่อขึ้นสู่ฟ้ากว้างพวกมันต่างก็ตื่นขึ้นมาด้วยความคาดหวังอันยิ่งใหญ่ด้วยการตระหนักว่าเมล็ดแต่ละเมล็ดคือจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดพร้อมกับพลังอำนาจที่จะมีได้-ทำได้-เป็นได้สมความปรารถนาทุกประการเมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าความมุ่งมั่น และ ความหวังพวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่ น้ำค้างหยดแรกน้ำค้างหยดที่สองน้ำค้างหยดที่สาม น้ำค้างหยดที่สี่ และน้ำค้างหยดที่ห้า

    เช้าวันรุ่งขึ้นต้นต้อยติ่งเริ่มออกดอกสีม่วงบานสะพรั่งทำให้เมล็ดข้าวสีทองบางเมล็ดกระสับกระส่ายยิ่งขึ้นไปอีกบางเมล็ดร้องถามว่า "ทำไม่เธอไม่ไปงอกขึ้นที่อื่นนะ"แต่เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งกลับกล่าวว่า "วัชพ์ชเหล่านั้นเป็นสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่าเราจะงอกงามขึ้นเป็นต้นกล้าได้และเต็มไปด้วยรวงข้าวได้ในที่สุด"เมล็ดข้าวสีทองที่เคยกระสับกระส่ายก็หันมาขมักเขม้นซึมซับน้ำค้างได้ดียิ่งขึ้นไปอีกและมันก็พบว่าเมล็ดของมันเริ่มงอกรากและมีแนวโน้มว่าจะแตกใบเลี้ยงในไม่ช้า

    เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันหยุดดูดซึมความชุ่มชื่นของน้ำค้างมันมองเห็นว่าน้ำค้างเพียงน้อยนิดเหล่านี้ไม่พอเพียงสำหรับเมล็ดสีดำที่แสนพิเศษของมันมันไม่แยแสว่าเมล็ดสีทองจะแบ่งปันน้ำค้างกับวัชชพืชเพราะความใฝ่ฝันของมันคือทุ่งนาที่มีฝนชุ่มชื่นมันรอคอยให้ลมใต้พัดพาเมล็ดที่แห้งสนิทของมันเพื่อที่มันจะได้ไปได้ไกลสมความปรารถนามันไม่นึกขอบใจน้ำค้างหยดที่ห้าสักเท่าไรนัก

    คืนที่ 6
    น้ำค้างหยดที่หกพร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลายพวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัดจนกระทั่งพวกมันตระหนักได้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมในโลกแห่งความเป็นจริงพวกมันตระหนักได้ว่าแม้ผืนดินอันแห้งแล้งและแสงแดดที่แผดจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งทั้งหลายที่ก่อให้เกิดเมฆและน้ำค้าง มันตระหนักได้ว่ามันได้รับการสนับสนุนจากแสงดาวแสงจันทร์และแม้แต่แสงแดดอันแผดจ้าและผืนดินอันเคยแตกระแหงมันเป้นเมล็ดข้าวที่เจริญงอกงามในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติซึ้งสัมพันธ์กับสรรพสิ่งทั้งหลายแม้มันจะเป็นเพียงเมล็ดที่ร่วงลงสู่ดินแต่มันก็เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ที่จะงอกเป็นต้นกล้าต่อไปในโลกนี้มิตินี้และในโลกอื่น มิติอื่นๆอันหลากหลายเป็นอนันต์แม้พวกมันจะมีความเรียบง่าย-เดินดินแต่มันก็เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์-เหินฟ้าเมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวังความปรารถนาอันแรงกล้าและความศรัทธาในการเป้นส่วนหนึ่งของภาพรวมที่เกื้อกูลกันและกันทำให้พวกมันรู้สึกปลอดภัยและรู้ถึงพลังอำนาจในตนเองแต่ถึงกระนั้นมันก็ตระหนักว่ามันเป็นไปได้ก็ด้วยการเกื้อกูลซึ่งกันและกันพวกมันจึงขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สองน้ำค้างหยดที่สาม น้ำค้างหยดที่สี่น้ำค้างหยดที่ห้าและน้ำค้างหยดที่หก

    เช้าวันรุ่งขึ้นต้นต้อยติ่งเริ่มออกฝักทำให้เมล็ดข้าวสีทองหายกระสับกระส่ายเพราะมันตระหนักว่า เมื่อเมล็ดต้อยติ่งแก่และน้ำค้างพร่างพรมลงมาอีกมันจะแตกตัวและเมล็ดของมันก็จะกระเด็นไปไกลไปงอกงามในถิ่นฐานอื่นๆแต่เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งกล่าวว่า "วัชพ์ชเหล่านั้นเป็นสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่าเราจะงอกงามจนออกรวงได้ในที่สุด"เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายจึงเลิกกระสับกระส่ายหันมาขมักเขม้นซึมซับน้ำค้างได้ดียิ่งขึ้นไปอีกและมันก็พบว่าเมล็ดของมันเริ่มงอกรากและแตกใบเลี้ยงไปตามๆกัน

    เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันปฏิเสธน้ำค้าง จนเมล็ดของมันแห้งสนิทมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นด้วยความฝันว่าทุ่งนาแห่งใหม่ของมันจะเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยฝนชุ่มฉ่ำและแสงแดดแผดจ้ามันไม่จำเป็นจะต้องคอยน้ำค้างทีละหยดเพื่อจะงอกเป็นต้นกลัามันจึงไม่นึกขอบใจน้ำค้างหยดที่หกสักเท่าไรนัก

    คืนที่ 7
    น้ำค้างหยดที่เจ็ดพร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลายพวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัดจนกระทั่งพวกมันตระหนักได้ว่าแม้ว่าแสงแดดอาจจะแผดเผาเมล็ดอื่นๆบนกองหินหรือหนองน้ำแห้งจนเมล็ดเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้งอกงามและบางเมล็ดก็กลายเป็นอาหารของนกกาไปแต่จิตวิญญาณของพวกมันก็ดำเนินต่อไปอย่างเป็นอมตะด้วยความปรารถนาอันไม่มีวันจบสิ้นเมล็ดที่ยังไม่ได้งอกขึ้นเป็นต้นกล้าในชาติภพนี้ยังคงปรารถนที่จะได้เผชิญกับประสบการณ์อันท้าทายต่อไปในรูปแบบที่มันเลือกมันจะเลือกไปถือกำเนิดในสภาพแวดล้อมต่างๆที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ที่จะทำให้มันเปลี่ยนความเชื่อจากมุมมองจำเพาะหนึ่งๆให้กลายเป็นความรู้ไม่ว่ามันจะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าได้สำเร็จหรือไม่ในโลกใดมิติใดในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใดมันก็ไม่เคยเผชิญกับความล้มเหลวเพราะชีวิตทุกชาติภพ ทุกมิติทุกเส้นทางแเห่งความเป็นไปได้ล้วนเป็นโอกาสอันแตกต่างกันที่มันเองเป็นผู้เลือกเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และเรียนรูุ้ถึงคุณค่าของชีวิตด้วยการใช้เอกลักษณ์ของมันในทิศทางจำเพาะและมุมมองจำเพาะนั้นๆอย่างดีที่สุด

    เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยความรักที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทั้งในชาติภพนี้มิติน้ีและชาติภพหน้า มิติหน้า ด้วยความมุ่งมั่น และ ความหวังพวกมันตระหนักว่าจิตวิญญาณของมันเป็นอมตะและมันจะต้องเผชิญกับความท้าทายใฝ่รู้และความสนเท่ห็ในชีวิตต่่อไปอีกจนกว่าบทเรียนของมันจะสมบูรณ์และช่องว่างแห่งประสบการณ์ของมันจะเติมเต็มจนพอเพียงเมล็ดข้าวสีทองตื่นขึ้นมาพบว่ารากของมันก็งอกลงสู่ดินและยอดของมันก็แตกใบขึ้นสู่ฟ้าได้อย่างเป็นธรรมชาติพวกมันงอกงามร่วมกันอย่างร่าเริงพวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่ น้ำค้างหยดแรกน้ำค้างหยดที่สองน้ำค้างหยดที่สาม น้ำค้างหยดที่สี่ น้ำค้างหยดที่ห้าน้ำค้างหยดที่หกและน้ำค้างหยดที่เจ็ด

    เมล็ดข้าวสีดำชายตามองมันพร้อมแล้วที่จะให้ลมใต้พัดพามันไปสู่ดินแดนในฝันอันกว้างไกลมันปรารถนาจะเป็นข้าวพันธุ์ใหม่ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครมันไม่แยแสเมล็ดข้าวสีทองที่พอใจกับการเริ่มงอกเป็นต้นกล้าต้นเล็กต้นน้อยมันไม่แยแสน้ำค้างหยดที่เจ็ดสักเท่าไรนัก

    ใกล้รุ่งลมใตัพัดกระหน่ำแต่เมล็ดสีทองทั้งหลายก็หลับสนืทด้วยความเชื่อมั่นว่าก้อนหินและผืนดินจะปกปักรักษาและคุ้มครองพวกมันแสงเดือนครอบคลุมพวกมันเสมือนผ้าห่มที่ห่อหุ้มและถนอมพวกมันไว้จนกว่าจะถึงเวลางอกงามเมื่อตะวันมาเยือนขอบฟ้าดวงดาวจะกะพริบให้กำลังใจว่าวันใหม่ของพวกมันจะรุ่งเรืองและพวกมันก็จะเจริญงอกงามต่อไปแต่เมล็ดข้าวสีดำกลับนอนไม่หลับมันจินตนาการถึงทุ่งนาข้าวกว้างใหญ่ไพศาลที่มันจะกลายเป็นเมล็ดข้าวพันธุ์ใหม่ที่ไม่มีใครเสมอเหมือนความฝันของเมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายดูจิบจ้อยมันจะแปลกอะไรเมล็ดข้าวสีทองก็ยังคงเป็นแค่เมล็ดข้าวสีทองที่แสนจะธรรมดาและดูเหมือนๆกันไปหมดและไร้ความสำคัญ

    ในคืนนั้นเอง ลมใต้ก็หอบเมล็ดข้าวสีดำไปตามเจตนาความเชื่อและความปรารถนาอย่างแรงกล้าของมัน และมันก็ไปตกลงบนพื้นดินณถิ่นฐานที่ไม่ไกลนักแต่มันก็ไม่รู้ไม่เห็นเมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายที่กำลังนอนหลับและฝันกันอย่างสนุกสนานและมันก็คิดว่า "ความฝันของเมล็ดข้าวสีทองเหล่านั้นช่างน่าขันเสียจริงมันไม่ยิ่งใหญ่เหมือนความฝันของฉันหรอก"

    คืนที่ 8
    น้ำค้างหยดที่แปดพร่างพรมลงบนเมล็ดข้าวทั้งหลายพวกมันกำลังหลับสนิทความชุ่มชื่นของน้ำค้างทำให้สติสัมปชัญญะของมันคมชัดจนกระทั่งพวกมันตระหนักได้ว่าจิตวิญญาณของมันมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-โลกอืนๆ-ในสภาวะอื่นๆอย่างเป็นอนันต์ความเป็นไปทั้งหลายของเมล็ดแต่ละเมล็ดในแต่ละชาติภพ ในแต่ละโลกในแต่ละมิติตลอดจนความเป็นไปของมันในโลกอื่น มิติอื่นล้วนส่งผลกระทบกันหมดมันไม่ได้เป็นเมล็ดอันโดดเดี่ยวแต่ละเมล็ดที่จะงอกขึ้นเป็นต้นกล้าเพียงต้นเดียวในโลกนี้มิติน้ีหากแต่ว่ามันกำล้งเป็นเมล็ดที่ได้งอกเป็นต้นกล้าและขยายพืชพันธุ์อย่างกว้างขวางแล้วในอดีตและอนาคต และความเป็นไปทั้งหลายก็กำลังมีการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนและสนับสนุนมันอยู่ณปัจจุบันนี้พวกมันตื่นขึ้นมาด้วยความสุขสมบูรณ์ตระหนักในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและยอดใบของมันก็เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไปอีก

    เมล็ดข้าวสีทองทั้งหลายเต็มไปด้วยเจตนาความเชื่อมั่นและความปรารถนาอย่างแรงกล้ามันมองเห็นต้นต้อยติ่งที่มีเมล็ดเต็มต้นดีดตัวออกไปและกระจายพันธุ์กว้างไกลเมล็ดข้าวสีทองแตกยอดแตกใบต่อไปอย่างต่อเนื่องพวกมันเต็มไปด้วยความร่าเริ่งและตระหนักว่าความฝันของพวกมันกลายเป็นความเป้นจริงพวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อยเมฆใหญ่ น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สองน้ำค้างหยดที่สาม น้ำค้างหยดที่สี่น้ำค้างหยดที่ห้า น้ำค้างหยดที่หกน้ำค้างหยดที่เจ็ดและน้ำค้างหยดที่แปด

    ในที่สุดเมล็ดข้าวสีทองก็งอกงามเป็นต้นกล้าที่เต็มไปด้วยแนวโน้มและความเป็นได้ตามเจตนาความเชื่อและความปรารถนาอย่างแรงกล้าของแต่ละเมล็ดมันงอกงามร่วมกันและทำให้ผืนดินปกคลุมไปด้วยสีเขียวต้นต้อยติ่งก็งอกงามปะปันไปกับต้นข้าวผืนดินชุ่มชิ้นขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดฝนก็ตกแล้วตกอีกต้นข้าวมากมายออกรวงสีทองและเต็มไปด้วยต้นข้าวที่บ้างก็มีรวงข้าวที่แน่นจนยอดของมันโน้มลงสู่ดินบ้างก็ชูยอดสูงสู่ฟ้าบ้างก็มีเมล็ดที่สมบูรณ์เป็นพิเศษพวกมันมีความสุขและอกงามร่วมกันอย่างร่าเริงพวกมันขอบใจก้อนหิน เมฆน้อย เมฆใหญ่น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สองน้ำค้างหยดที่สาม น้ำค้างหยดที่สี่น้ำค้างหยดที่ห้า น้ำค้างหยดที่หกน้ำค้างหยดที่เจ็ด และ น้ำค้างหยดที่แปดแต่แล้วต้นข้าวตันหนึ่งก็ร้องถามว่า "เอ!ใครเห็นต้นต้อยติ่งบ้างไหม?" แม้ต้นต้อยติ่งจะยังคงแตกเป็นต้นใหม่ต่อไปออกดอกสีม่วงสะพรั่งมีเมล็ดและขยายพันธุ์ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งแต่ต้นข้าวก็งอกเลยสูงขึ้นไปจนมองไม่เห็นต้นต้อยติ่งแล้วต้นข้าวตันหนึ่งก็ร้องว่า "เอ! ใครเห็นต้นข้าวที่มีเมล็ดสีดำบ้างไหม?" มีต้นข้าวที่มีเมล็ดสีดำปนเปอยู่บ้างไม่มากก็น้อยแต่มันก็ล้วนมีแนวโน้มและความเป็นไปได้ในทิศทางอันเป็นเอกลักษณ์ไม่ได้มากหรือน้อยไปกว่าเมล็ดข้าวสีทองที่ดูเสมือนว่ามีอยู่อย่างดาดดื่นมันอาศัยผืนดินเดียวกันอุ้มความชุ่มชื้นให้กับผืนดินร่วมกันและสร้างวงจรที่ทำให้ฝนตกต่อไป

    ทุ่งกว้างที่เคยแห้งแล้งกลับกลายเป็นนาข้าวอันอุดมสมบูรณ์เมล็ดข้าวสีทองในรวงข้าวหลับและฝันว่ามันเคยเป็นเมล็ดที่งอกงามในทุ่งนาอื่นๆมาแล้วมันเดินทางไปกับเกวียนสัมภาระมันร่วงหล่นจากกระสอบข้าวมันเคยเผชิญกับความแห้งแล้งมันตื่นขึ้นและชื่นชมกับความชุ่มชื่น มันขอบคุณผืนดินแดดจ้า มันขอบใจก้อนหินเมฆน้อย เมฆใหญ่ น้ำค้างหยดแรก น้ำค้างหยดที่สองน้ำค้างหยดที่สาม น้ำค้างหยดที่สี่น้ำค้างหยดที่ห้า น้ำค้างหยดที่หกน้ำค้างหยดที่เจ็ดน้ำค้างหยดที่แปดที่มันจดจำได้เลือนรางเสมือนความฝัน

    ห่างไกลออกไปเมล็ดข้าวสีดำเริ่มงอกรากและแตกใบเลี้ยงมันพอใจกับใบเลี้ยงของมันมันไม่รู้ไม่เห็นนาข้าวอันอุดมมันไม่รู้จักรวงข้าวสีทองที่เกิดขึ้นใหม่มากมายแต่มันก็พอใจกับฝนและไม่แยแสกับน้ำค้างต่อไปเวลาผ่านไปมีเมล็ดข้าวสีแปลกๆลอยมาตามลมจากนาข้าวอันอุดมแหล่งอืนๆมาร่วงหล่นในทุ่งแห่งนี้มันมองดูเมล็ดข้าวสีดำที่กำลังแตกใบเลี้ยงและมันก็ไม่ชืื่นชมความแปลกของสีดำเพราะสีของมันก็แปลกไปจากเมล็ดข้าวสีทองอื่นๆไม่น้อย

    ไม่ว่าเมล็ดข้าวสีดำจะงอกงามได้เร็วช้าเพียงใดมันก็เต็มไปด้วยแนวโน้มความเป็นไปได้อันหลากหลายเป็นอนันต์และมันก็จะเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ในทิศทางของมันได้ในที่สุดไม่ว่าในช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาเมล็ดข้าวเหล่านั้นจะเรียกการเจริญงอกงามของของมันว่าเร็ว-ช้าก่อน-หลังก้าวหน้า-ล้าหลัง ล้มเหลวหรือประสพความสำเร็จ

    ในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-นาข้าว ท้องถิ่นกันดาร ฝนน้ำค้างและความแห้งแล้งล้วนเป็นมิติจำเพาะที่ทำให้เมล็ดข้าวเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตของมันได้อย่างเป็นเอกลักษณ์จากมุมมองจำเพาะและ จากความเชื่อจำเพาะ
    </v:shapetype>
     
  20. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]

    ขอบคุณครับ คุณขจรวรรณ
    อย่าเพิ่งหยุดนำข้อความดีๆมาให้อ่านอีกนะครับ :)
     

แชร์หน้านี้

Loading...