คิริมานนทสูตร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย มีแปปเดียว, 13 สิงหาคม 2010.

  1. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    บุคคลใดเห็นว่าสิ่งนี้ "มี" เราก็บอกว่ามี
    บุคคลใดเห็นว่าสิ่งนี้ "ไม่มี" เราก็บอกว่าไม่มี
    เพราะทั้ง "มีและไม่มี" เป็นเรื่องของโลกเราไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยว
    ความเห็นที่ว่า มีและไม่มี เป็นความเห็นแบบปุถุชนแบบโลกียะ ส่วน

    หลักไตรลักษณ์ เป็นทางเดินทางปฏิบัติโดยพิจารณาว่า สิ่งทั้งปวง ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
    เป็นทางเดินทางปฏิบัติเป็นการพิจารณา เพื่อให้รู้จริง รู้ในสิ่งที่มีในโลกนี้ และ รู้ในสิ่งที่ไม่มีในโลกนี้อย่างละเอียดสุด หรือที่เรียกว่า "รู้แจ้งโลก"
     
  2. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ

    ปัญหา ได้ทราบว่ามีปัญหาบางประเภทที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบปัญหาดังกล่าวนั้นมีอะไรบ้าง ? และเพราะเหตุไรพระพุทธองค์ไม่ทรงตอบ ?

    พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนมาลุงกยบุตร.... เธอทั้งหลายจงจำปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ และจงจำปัญหาที่เราพยากรณ์.... อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์
    ดูก่อนมาลุงกยบุตร ทิฐิว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มีไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้เราไม่พยากรณ์.... ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่ายเพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ดูก่อน มาลุงกยบุตร เหตุนั้น เราจึงไม่พยากรณ์ข้อนั้น
    “..... ดูก่อนมาลุงกยบุตร.... อะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ดูก่อนมาลุงกยบุตร ความเห็นว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้เราพยากรณ์ ก็เพราะเหตุไรเราจึงพยากรณ์ข้อนั้น เพราะข้อนั้นไประกอบด้วยประโยชน์เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความหน่ายเพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้น เราจึงพยากรณ์ข้อนั้น
    “..... ดูก่อนมาลุงกยบุตร.... บุคคลใดแลจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยากรณ์แก่เรา (ซึ่งทิฐิ ๑๐ ประการนั้น) เพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น ตถาคตไม่พึงพยากรณ์ข้อนั้นเลยและบุคคลนั้นพึงทำกาละ (ตาย) ไปโดยแท้ ดูก่อนมาลุกยบุตร เปรียบเหมือนบุรุษต้องศรอาบยาพิษที่ฉาบทาไว้หนา มิตรอมาตรย์ญาติสาโลหิตของบุรุษนั้น พึงไปหานายแพทย์ผู้ชำนาญในการผ่าตัดมาผ่า บุรุษผู้ต้องศรนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักบุรุษผู้ยิงเรานั้นว่า เป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ หรือศูทร......มีชื่อว่าอย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้...... สูงต่ำหรือปานกลาง..... ดำขาวหรือผิวสองสี อยู่บ้าน นิคมหรือนครโน้นเพียงใด เราจักไม่นำลูกศรนี้ออกเพียงนั้น บุรุษผู้ต้องศรนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เรายังไม่รู้จักธนูที่ใช้ยิงเรานั้นเป็นชนิดมีแร่หรือเกาทัณฑ์.... สายที่ยิงเรานั้นเป็นสายทำด้วยปอ ผิวไม้ ไผ่ เอ็น ป่าน หรือเยื่อไม้ ลูกธนูที่ยิงเรานั้น ทำด้วยไม้ที่เกิดเองหรือไม่ปลูก ทางเกาทัณฑ์ที่ยิงเรานั้นเขาเสียบด้วยขนปีกนกแร้ง นกตะกรุม เหยี่ยว นกยูง หรือนกชื่อว่าสิถิลหนุ (คางหย่อน) เกาทัณฑ์นั้นเขาพันด้วยเอ็นวัว ควาย ค่าง หรือลิง...... ลูกธนูชนิดที่ยิงเรานั้นเป็นชนิดอะไร ดังนี้เพียงใด เราจักไม่นำลูกศรนี้ออกเพียงนั้น ดูก่อนมาลุงกยบุตร บุรุษนั้นพึงรู้ข้อนั้นไม่ได้เลย โดยที่แท้บุรุษนั้นพึงทำกาละไปฉันใด ดูก่อนมาลุกยบุตร บุคคลใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยากรณ์ทิฐิ ๑๐ นั้น ฯลฯ แก่เราเพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น ข้อนั้นตถาคตไม่พยากรณ์เลย โดยที่แท้บุคคลนั้นพึงทำกาละไป ฉันนั้น”
    จูฬมาลุงกโยวาทสูตร ม. ม. (๑๕๐-๑๕๒)
    ตบ. ๑๓ : ๑๔๗-๑๕๒ ตท.๑๓ : ๑๓๒-๑๓๕
    ตอ. MLS. II : ๙๙-๑๐๑
     
  3. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ปัญหา คนเราที่ไม่รู้ความจริงแท้ ย่อมมีความเห็นแตกต่างกันและทะเลาะวิวาททุ่มเถียงกัน มีคนประเภทใดบ้างที่ไม่ทุ่มเถียงกับใคร ๆ ?

    พุทธดำรัสตอบ “อัคคิเวสสนะ เวทนา ๓ อย่างนี้คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขมสุขเวทนา ๑ อัคคิเวสสนะ สมัยใดได้เสวยสุขเวทนาในสมัยนั้นไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่สุขเวทนาเท่านั้น ในสมัยใดได้เสวยทุกขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยไม่ได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่ทุกขเวทนา เท่านั้น ในสมัยใดได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยแต่ทุกขเวทนา ได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา
    อัคคิเวสสนะ สุขเวทนา...... ทุกขเวทนา....... อทุกขมสุขเวทนา.....ไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่งขึ้นอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไปดับไปเป็นธรรมดา
    “อัคคิเวสสนะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายทั้งใน ทั้งสุขเวทนา ทั้งทุกขเวทนา ทั้งอทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี อัคคิเวสสนะ ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้แล ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใคร ๆ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกันก็พูดไปตามโวหารนั้น แต่ไม่ยึดมั่นด้วยทิฐิ”

    ทีฆมขสูตร ม. ม. (๒๗๓)
    ตบ. ๑๓ : ๒๖๗-๒๖๘ ตท.๑๓ : ๒๒๖-๒๒๗
    ตอ. MLS. II : ๑๗๙-๑๘๐
     
  4. เสขบุคคล

    เสขบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,280
    ค่าพลัง:
    +5,423
    พุทธพยากรณ์เป็นจริง



    พระพุทธพยากรณ์ของพระองค์แสดงให้เห็นประจักษ์แจ้งแล้วในปัจจุบัน ข้าพเจ้าขอข้อความคติธรรมเตือนใจนี้ไปให้เพื่อนๆได้อ่านบ้างนะครับ อนุโมทนาในความเพียรของท่านอัคนีวาตนะครับ
    ขอให้ธรรมะของพระศาสดาอย่าได้ผิดเพี้น บิดเบือน เพราะคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมอย่างเข้าใจถ่องแท้ และนำเอาความคิดเห็นของตนเองมาตัดสินธรรมะอันเป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ขออนุโมทนาครับ
     
  5. ุเพตารี

    ุเพตารี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,048
    ค่าพลัง:
    +800
    สำหรับตัวผมแค่ธรรมะพื้นๆ ศีล5 พรหมวิหาร4 บารมี10 ยังทำได้ไม่เต็มเลย(แต่ไม่หยุดทำ) เลยไม่บังอาจไปศึกษาพระธรรมขั้นสูงอื่นๆ
    เหตุเพราะละอายต่อพระพุทธเจ้าและพ่อแม่ครูอาจารย์ อิอิ:d
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 พฤษภาคม 2011
  6. J_Shaman

    J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    ผมก็เหมือนคุณลมใต้ปีกครับ แต่ก็มิลังเลที่จะค่อยๆศึกษาในสิ่งที่เหมาะสมที่ผมปฎิบัติได้
    ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  7. ุเพตารี

    ุเพตารี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,048
    ค่าพลัง:
    +800
    ให้สงสัย
    ในสมัยพุทธกาลยังไม่มีการสร้างพระพุทธรูป ใยพระพุทธองค์จึงทรงตรัสถึง

    ผู้รู้วานไขข้อข้องใจที

    ******
    ไปสอบถามผู้รู้มาแล้วว่าในบาลีมีปรากฎ ท่านว่าเป็นพุทธทำนายนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤษภาคม 2011
  8. ung_jira

    ung_jira สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาสาธุอย่างสูงค่ะ ท่านอัคนีวาต
    สิ่งที่เคยคลางแคลงสงสัยหายไปเยอะ เรียกว่าเติมเต็มส่วนที่ขาดก็ว่าได้ค่ะ
    คือเหมือนบทคิริมานนทสูตรนี้สอนให้ว่าสิ่งที่ต้องทำคือ ดับกิเลส ไม่ยึดติดกาย-จิต
    ไม่ติดกุศลอกุศล (ปกติชอบอ่านเยอะสรุปสั้นตัวเองรู้เอง)
    เมื่อก่อนจำและพยายามที่ ทาน ศีล สมาธิ แต่ก็ยังสงสัยอยู่หลายอย่าง
    แต่บทนี้ยอมรับว่าเคลียร์เยอะอยู่ค่ะ คงเป็นเพราะพระพุทธฯสอนให้พระซึ่งอาพาธหนัก
    ก็เลยรวบรวมรวบรัดครอบคลุมกระจ่างมากๆ
    ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านคิริมานนเมื่อหายอาพาธแล้วถีงสำเร็จอรหันได้ทันที
    และไม่แปลกใจแล้วที่สาวกในสมัยพระพุทธเจ้าสำเร็จอรหันกันมากมาย
    ขนาดเราผู้ยังปัญญาน้อยยังรู้สึกกระจ่างมากขึ้นขนาดนี้
    ด้วยว่าความจำยังไม่ค่อยดีคงต้องอาศัยเข้ามาอ่านทบทวนและเขียนแปะไว้อ่านอ่ะค่ะ
     
  9. LungKO

    LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +925
    มีคำแนะนำว่า ใช้รักษาโรคทางใจ ตามพระอริยวินัย คือแนวทางการรักษาโรคทางใจได้อย่างเด็ดขาด ฯ
    ส่วนโรคทางกายนั้น ก็ขึ้นอยู่บุญกรรม และอวัยวะในร่างกายของแต่ละท่าน ธาตุ 4 ของแต่ละท่าน อาจไม่เหมือนกัน
    จึงต้องรักษาเยียวยาไปตามปัจจัยนั้น ๆ ฯ
    พุทธานุภาพ เป็นเรื่องเกินวิสัยที่เราจะคิด
    เพราะถ้าคิด ก็มีสิทธิ์เป็นบ้า ครับผม ฯ
     
  10. Thrinai

    Thrinai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +555
    คิริมานนทสูตร เนี่ยทำให้ผมเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมากขึ้น ได้ฟังครั้งแรกตอนปลายพรรษา ก่อนจะสึก รู้สึกดีมากเลย น่าจะได้ฟังตั้งแต่ก่อนบวช

    ขออนุโมทนาบุญ
     
  11. Thrinai

    Thrinai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +555
  12. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    ขอบคุณท่านอัตนีวาตที่นำมาลงให้ได้อ่านกันค่ะ เอาไปเลยห้าดาว^^
    จิตไม่ใช่เรา จิตสร้างนรก สร้างสวรรค์ ภพ ชาติ อะไรๆ ก็เพราะจิตตัวเดียว หากไม่มีจิตแล้วนรกสวรรค์ชาติภพอะไรๆย่อมไม่มี เรียกว่านิพพาน...

    จิตสร้างกุศล และอกุศล...
    บุญเป็นชื่อของความสุข ความสบายใจ...
    บาปเป็นชื่อของความทุกข์ ความไม่สบายใจ...
    . . . นี่ มั น " โ ล ก จิ ต " ชั ด ๆ . . .

    ไม่ทราบท่านอวตาร.เข้าใจความหมายของอนัตตาว่าอย่างไรนะคะ^^
    แต่อนัตตาไม่ได้หมายความว่า"ไม่มีตัวตนแบบขาดสูญ สิ้นเชิง" อะไรแบบนั้นน่ะค่ะ เท่าที่เข้าใจนะ^^
    อนัตตาแปลว่า"ไม่ใช่ตัวตนที่เที่ยงแท้ ยั่งยืน คงอยู่ในสภาพนั้นๆได้ตลอดไป" คือไม่มีตัวตนที่แท้จริง ที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง คือไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่อาจบังคับบัญชา ทำนองนั้น

    รู้แล้วละ ไม่ต้องไปแบกไปยึดอะไร ใครยึดธรรมคนนั้นโง่ เคยได้ยิน
    ธรรมท่านให้รู้เพื่อละวางทั้งนั้น เพราะธรรมะก็คือ ตถาตา ความเป็นเช่นนั้นเอง
    ธรรมะก็คืออิทัปปัจจยตา ความเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน
    จิตก็ของโลก ธรรมก็ของโลก จิตก็อนัตตา ธรรมก็อนัตตา เพราะมีจิตจึงต้องมีธรรม เพราะจำเป็น ถ้าไม่มีจิต ธรรมก็ไม่จำเป็นต้องมี ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นน่ะ ท่านให้เห็นแบบนี้ ท่านให้รู้ ให้แจ้ง ให้เบื่อหน่าย คลายกำหนัด มันจะได้เลิกรัก เลิกหลง หลงจิตว่าเป็นเรา เรียกว่าหลงสงสารวัฏ หลงเพราะมันเป็นผู้เสวยทุกข์สุขมาซะจนเคยชิน รู้แล้วก็ละซะ สละออก วางคืน ไว้ที่โลก รู้ให้หมดความพิศวาส แล้ววางคืนไว้ตามธรรม(ชาติ) ไม่ยึดถือใดๆว่าเป็นเรา เป็นของเรา อ่ะนะ เท่าที่เข้าใจ^^

    เปรียบเทียบให้เห็นภาพ...
    "ความเป็นอนัตตาของเก้าอี้"
    ในทางสมมติโลกเค้าก็เรียกเก้าอี้ ใช้นั่งได้
    แต่ถ้ามองให้เป็นอนัตตาก็เรียกว่าเก้าอี้ไม่มีจริง เป็นแต่เพียงไม้ เอามาตัด มาขัดมาเกลา ตะปู น็อต มาประกอบกัน เป็นเก้าอี้อยู่แค่ชั่วคราว ไม่ได้เป็นเก้าอี้มาตั้งแต่ต้น ที่มันเกิดเป็นเก้าอี้ได้มันต้องมีจิตมาปรุง แล้วคนก็ทำขึ้นมาเป็นเก้าอี้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่ได้เป็นเก้าอี้อยู่อย่างนั้นตลอดไป(เก้าอี้ก็เปรียบเหมือนขันธ์๕อ่ะ) เรียกว่าอนัตตาไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่มีตัวตนที่แท้ให้ยึดให้ถือได้เลย นี่แหล่ะ เห็นอะไรก็เป็นอนัตตา อนัตตา ไม่สำคัญมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นของเรา ตรงข้ามกับอัตตา ที่หมายถึงความสำคัญมั่นหมายว่าต้องมีตัวตนของเราที่ยั่งยืนอยู่ไปตลอดกาล คอยมองดูสรรพสิ่ง รับรู้อยู่เบื้องบนไปตลอด อะไรประมาณนั้น:)
     
  13. ทะเลลึก

    ทะเลลึก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +80
    ปัญญาชนเขาคุยกัน ได้อ่านแล้วก็ชื่นใจดีแท้
     
  14. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    ขออนุญาติดันค่ะ^_^

    เพื่อพระโยคาวจรทั้งหลายได้ศึกษาและน้อมเข้ามาในตน พิจารณาโดยแยบคาย
    (โยนิโสมนสิการ)
     
  15. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    อันธรรมของพระพุทธองค์ พาลชนย่อมเห็นเป็น"อัศจรรย์" ???
    .
    .
    .
    แต่อริยะชนย่อมเห็นเป็น"ธรรมดา"

    ตถาตา มันก็เป็นเช่นนั้นเอง........ :)
     
  16. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    ใครอยากได้เป็นไฟล์pdf ก็เข้าไปโหลดเอาเด้อ kirima pdf:cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • kirima.pdf
      ขนาดไฟล์:
      4.6 MB
      เปิดดู:
      132

แชร์หน้านี้

Loading...