คำถามเกี่ยวกับการมีอยู่จริงของโลกหน้า เพราะได้ยินเรื่องหนึ่งมาครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ปลาแมว, 17 พฤศจิกายน 2010.

  1. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900
     
  2. AmpeerA

    AmpeerA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +900

    เราตายอย่างไร ก็ให้ลองดูความฝัน
    โลกแห่งฝัน เกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์
    ควบคุมได้ยาก แต่มักเกิดขึ้นอย่างมีทิศทาง
    ..ตามกิเลสตน
    นรก สวรรค์ก็เป็นเช่นนั้น


    หากเราไม่คำนึงถึงดีชั่ว ไม่มีนรกรองรับ
    เราจะทำเลวอย่างนั้นหรือ???
    ถามตนเองก็ได้คำตอบแล้ว
    ทำอะไรใจเป็นสุข
    ทำอะไรใจถึงร้อนรุ่ม

    ถ้าทำบุญ แล้วเป็นสุข นอนหลับฝันดี ก็ดี
    เพียงแต่เหือดแห้งเร็ว ตกแตกได้ง่าย ไม่ยั่งยืน
    ต้องทำบ่อยๆ พาลจะเป็นทุกข์เอาเสียอีก

    หมอท่านบอกวิธีรักษาให้หมดแล้ว
    กึ่งพุธกาลผ่านไป
    เราปั้นรูป กราบไหว้ิ บนบาน ตำราการรักษาโรคทุกข์
    บ้างก็ขอให้ลูกพ้นทุกข์ ทั้งโลกนี้ โลกหน้า
    บ้างก็กลับมาถามว่า ใครบอกสูตรยาผิด
    บ้างขอให้รวย ขอบุญเยอะๆ

    พุทธะทำนายแม่นยำดีแท้
    พระศาสนาจะเสื่อมลงเมือกึ่งพุทธกาล
    ลูบคลำอยู่นั่นแล้ว ไม่ไปไหนเสียที
    แล้วคุณว่าใครทำให้มันเสื่อม???








     
  3. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    ตลกกับสมาชิกบางท่านที่บอกว่า

    การที่เราเชื่อ หรือคิดว่าโลกนี้โลกหน้ามีจริง ทำให้จิตเราสร้างมันมารองรับ

    งั้นประเทศไทยคงเป็นหนึ่งในประเทศที่โชคร้ายมากที่ถูกสอนให้เชื่อแบบนี้



    แต่การเวียนว่ายยตายเกิด เหตุผลมันไม่ใช่เพราะคุณเชื่ออย่างนั้น

    แต่เป็นเพราะคุณติดใจอยู่อย่างนั้น คุณพอใจในกามที่สร้างสุขให้คุณอยู่เนืองๆ

    คุณก็ย่อมอยากมาเกิดเพื่อเสพกาม แต่พระพุทธเจ้าเห็นแล้วว่าความสุขจากกาม

    แฝงด้วยทุกข์ จึงตัดใจ ตัดกิเลสอย่างสิ้นเชิง ไม่ต้องมาเกิดอีก


    เพราะมันไม่เมคเซนส์ในกรณีศึกษาหลายๆกรณี ที่คนระลึกชาติได้มักเป็นเด็กเล็ก

    เพิ่งพูดได้ พูดภึงเรื่องอดีตที่เคยรู้จักกับคนรุ่นปู่รุ่นย่า และแน่นอน เด็กอายุ ไม่เกิน

    10 ขวบยังไม่ทันที่จะเลือกด้วยซ้ำว่าชาติที่แล้วหรือชาติหน้า มีจริงหรือไม่มี
     
  4. Kinglondon

    Kinglondon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +70
    ข้อ1. กรรม แปลว่า การกระทำ มีทั้งในทางที่ดีและไม่ดี สวรรค์ อยู่ในอก นรก อยู่ในใจ อันนี้ลองหลับตา แล้วนึกถึงเรื่องไม่ดีสักเรื่องที่เรากระทำไว้ จะรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ นั้นละครับ นรก ไม่ไกลเลยแค่นี้เอง เรื่อง กรรม เป็นกฎของธรรมชาติ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าท่านจะสอนหรือไม่มันก็มีอยู่แล้ว มันสนองโดยธรรมชาติอยู่แล้วครับ ไม่เกี่ยวกับ สอนหรือไม่

    ข้อ2.ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา พุทธอยู่ที่ใจมิใช่ตัวหนังสือ ท่่านสอนไม่ให้เชื่อโดยขาดสติพิจารณา พระไตรปิฏก ถูกสร้างขึ้นหลังจากท่่านปรินิพพานไปแล้ว
    คงจะไม่สามารถบอกได้ว่าถูกต้องทุกอย่างหรือไม่ แต่ธรรมะที่พระองค์ทรงสอนนั้น แม้ผ่านกาลเวลาเท่าไหร่ก็เหมือนเดิมเพราะมันคือความจริง อันนี้ต้องใช้ สติพิจารณา

    ข้อ3.อันนี้ขอยืมท่านพุทธทาสมาตอบครับ
    ใบไม้หนึ่งกำมือ
    ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้า กำลังเสด็จไปกับพระสาวกหมู่ใหญ่
    เดินทางไกลผ่านป่า เมื่อนั่งพักระหว่างทาง: พระพุทธเจ้า
    ได้ทรงหยิบใบไม้ขึ้นมากำมือหนึ่งจากพื้นดิน...ใบไม้แห้งที่
    หล่นอยู่ตามพื้นดิน แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า....

    ลองคำนาณดูทีว่าใบไม้กำมือหนึ่งนี้ กับใบไม้หมดทั้งป่ามัน
    มากน้อยกว่ากันสักเท่าไร....ภิกษุทั้งหลายก็พอจะเข้าใจได้
    ว่ามันมากกว่ากันมาก เหลือที่จะประมาณได้ ใบไม้เพียงกำ
    มือเดียวกับใบไม้ทั้งป่า หรือทั้งประเทศมันมากกว่ากันอย่าง
    ยิ่ง...ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า...

    ธรรมะที่ตรัสรู้แล้ว นำมาเปิดเผยสั่งสอนแก่ประชาชนนั้น....
    เทียบได้กับใบไม้กำมือเดียว ส่วนที่ไม่จำเป็นจะต้องนำมาสั่ง
    สอนประชาชนนั้น เทียบกันได้กับใบไม้ทั้งป่า.....หมายความ
    ว่า ขอบเขตของการตรัสรู้นั้นกว้างขวางรู้ไปหมดอย่างทั่วถึง

    แต่ที่จำเป็น...จะต้องเอามาสอนประชาชน สอนสัตว์ทั้งหลาย
    นี้มีเพียงส่วนที่สำคัญน้อยๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น : เรียกว่ากำมือ
    เดียวและที่เทียบเท่ากับใบไม้กำมือเดียวนี้คือ....
    >เรื่อง...อริยสัจจ์ 4<.....

    มันก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่าเพียงพอ : คือ'ความทุกข์...เหตุให้
    เกิดความทุกข์...ความดับสนิทของความทุกข์ และวิธีให้ถึง
    ความดับสนิทของความทุกข์'....และที่สำคัญที่สุด ก็คือข้อสุด
    ท้าย...

    .ความดับทุกข์ และทางให้ถึงความดับทุกข์ คือเรื่อง...'ความดับ
    สนิทของความทุกข์ กับวิธีปฏิบัติให้ถึงความดับสนิทของความ
    ทุกข์...ขอให้สนใจในฐานะที่ว่าเป็นแก่นสารของเรื่องทั้งหมด....
    เหมือนกับเป็นใบไม้กำมือเดียวที่จำเป็น โดยเฉพาะเรื่อง...

    'ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์กับวิธีปฏิบัติ'...คู่นี้ ควรจะจำชื่อโดย
    ภาษาบาลีไว้ด้วยว่า : อันที่1 เรียกว่าทุกข์ของอริยสัจจ์...
    อันที่2. เรียกว่าทุกขสมุทัยอริยสัจจ์
    อันที่3. เรียกว่าทุกขนิโรธอริยสัจจ์
    อันที่4. เรียกว่าทุกขนิโรธคานิมีปฏิปทาอริยสัจจ์

    ~~ท่านพุทธทาสภิกขุ~~
    ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์

    ความเข้าใจของผม ผมเข้าใจว่าถูกต้องนะครับที่พระรูปนั้นบอก เพราะเรื่อง
    โลกนี้ โลกหน้า โลกหลังความตาย เป็นใบไม้นอกกำมือนะครับ ผมเข้าใจว่าท่านจะสื่ออย่างนี้มากกว่าครับ

    ข้อ4 ผมไม่แน่ใจว่าโลกดังกล่าวที่ จขกท ถามหมายถึงอะไร

    เพราะโลกมีอยู่โลกเดียว คือ โลกปัจจุบันขณะ นอกนั้น ที่ผมเข้าใจคือ สถานที่อื่นที่ห่างออกไปใช่ไหมครับ หรือ สถานที่ตาของมนุษย์มองไม่เห็น ถ้าใช้ตาเนื้อมอง ผมตอบได้เลยไม่มี เพราะตาเนื้อมองไม่เห็นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2010
  5. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    mamboo มีวิธีพิสูจน์มาให้คุณค่ะ ^^ เป็นวิธีที่ง่ายมากๆ และทุกคนทำได้ ^_^

    วิธีนี้ ไม่ได้พิสูจน์ว่า นรก สวรรค์ มีจริงหรือไม่มีจริง .. แต่ จะช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่า .. โลกนี้ โลกหน้า มีจริง คนเราตายแล้วไม่สูญแน่นอน!

    ทุกๆคืนก่อนนอนนะคะ ให้คุณกำหนดลมหายใจเข้าออก แล้วเพ่งไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว .. ทำแบบนี้ตอนจะนอน ทำจนหลับไปเลยนะคะ ...

    แบบว่า.. พอล้มตัวลงนอนบนเตียงปุ๊บ แทนที่คุณจะหลับตาแล้วปล่อยให้ตัวเองหลับไปเฉยๆ คุณก็เปลี่ยนเป็น หลับตา แล้วกำหนดลมหายใจเข้าอออก แล้วเพ่งไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว

    วันแรกจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น (หรืออาจจะมี แล้วแต่คน)

    แต่ถ้าทำแบบนี้ ทุกคืน ติดๆกัน ไม่เกิน 3 คืน ... คุณได้รู้ ได้เห็น อะไรอีกมากมายแน่ๆค่ะ ^^

    มันแล้วแต่คน แล้วแต่กำลังสมาธิ แล้วแต่สติปัญญาของคนนะคะ

    อาจจะเห็นวิญญาณในห้อง หรือ อาจจะเห็นกายทิพย์ตัวเอง อาจจะหลุดออกมาทั้งร่างเลย หรืออาจจะหลุดแค่ มือ...

    หรือ คุณอาจจะมีสติในความฝัน แล้วสามารถศึกษาเรียนรู้ความฝันได้ ..

    และอีกมากมาย .. บางทีมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พาไปเยี่ยมโลกทิพย์ก็มี หรือบางคน ได้ยินเสียงดังในหู บางคนได้ยินเป็นเสียงสวดมนต์ เสียงคนพูด อะไรแบบนี้เป็นต้น

    ขอย้ำว่า ไม่เกิน 3 คืนค่ะ.. ได้รู้อะไรดีๆแน่นอน

    อิอิ ^^
     
  6. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้หลายพันครั้งว่านรกสวรรค์มี บุญบาปมี ปรากฏหลักฐานชัดเจนในพระไตรปิฎกนับไม่ถ้วน ผู้ที่เป็นมิจฉาทิษฐิแม้มีกองเชียร์มากมายก็เป็นมิจฉาทิษฐิอยู่วันยังค่ำ
     
  7. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325
    :cool:เห็นด้วยครับ

    ขอเสนอความเห็นแบบข้างเดียวหน่อยครับไม่อยากตอบแบบ 2 ทาง

    เบื่อมากและ

    พุทธวิสัยเป็น 1 ใน 4 อจินไตยที่พระองค์ตรัสว่าไม่ควรคิด

    ไม่ควรหาคำตอบ เพราะถึงแม้คุณจะใช้ความคิดยังไงก็ตามคุณก็ไม่มีทางรู้

    ได้ว่าพระองค์มีพุทธานุภาพขนาดไหน

    การบำเพ็ญบารมีมา 4 อสงไขยกับอีก 1 แสนมหากัปไม่ใช่เวลาน้อยๆ เลย

    ผมว่าการที่ท่านจะเกิดมาแล้วเดินได้เลยไม่ใช่เรื่องแปลก

    สำหรับผู้บำเพ็ญบารมีมาขนาดนี้

    คำว่าพุทธวิสัย

    จะให้เกิดธรรมดาเหมือนมนุษย์โลกทั่วไปซิ มันแปลก

    คำว่าพุทโธ

    ลองคิดว่ามีคนที่กำลังจะตายอยู่แล้ว

    และไม่เคยทำความดีมาทั้งชีวิต

    แค่คิดถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้น

    ได้ไปสวรรค์

    คิดดูละกันครับ

    พระองค์ท่านธรรมดาซะที่ไหน

    ทำไมแค่เกิดมาแล้วเดินได้ 7 ก้าว จะทำไม่ได้บารมีขนาดพระองค์ท่าน

    จะสงสัยอะไรนักหนาหนอ พวกมนุษย์ขี้เหม็น

    <TABLE class=linetable cellSpacing=0 cellPadding=0 width=650 bgColor=#ece9d8 border=0><TBODY><TR><TD class=texttitle vAlign=top align=left colSpan=3 height=120>
    มัฏฐกุณฑลี

    [​IMG]
    จากหนังสือธรรมะเอกเขนก (ขวัญ เพียงหทัย)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ละอองนวลกับคิมหันต์ ก้มกราบพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ แสงไฟในโบสถ์ที่เปิดไว้ ฉายความงามขององค์พระให้ดูงดงามจับใจยิ่งขึ้น พระพักตร์สงบเย็นทำให้จิตใจเป็นสุข ดวงเนตรที่ทอดลงมาดูเปี่ยมด้วยมหากรุณา จนละอองนวลรู้สึกเหมือนได้รับกระแสความเมตตากรุณาจากพระเนตรที่ทอดลงมา <o:p></o:p>
    คิมหันต์กราบเสร็จแล้ว กระเถิบมานั่งใกล้ๆ <o:p></o:p>
    งดงามจริงๆ นะ น่าเลื่อมใสคิมหันต์กระซิบเบาๆ ละอองนวลยิ้มให้ <o:p></o:p>
    เลื่อมใสก็ดีแล้ว พระพุทธเจ้าสอนว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงสำคัญที่ใจ ใจประเสริฐที่สุด ถ้าใจดี ใจผ่องใส การทำการพูดก็พลอยดีด้วย ทุกอย่างสำเร็จมาจากใจ เราเลื่อมใสพระศรัทธาพระ เราก็จะทำดีอย่างที่พระสอน ความดีนั้นก็จะนำความสุขมาให้” <o:p></o:p>
    คิมหันต์ชื่นใจ ละอองนวลเล่าว่า <o:p></o:p>
    รู้มั้ยว่าเพียงแค่เราทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยังได้ไปเกิดเป็นเทวดาเลย เคยได้ยินหรือเปล่า<o:p></o:p>
    คิมหันต์ส่ายหน้ายังไม่เคยเลย เรื่องอะไรหรือ เล่าให้ฟังมั่งซี จะได้รู้บ้าง<o:p></o:p>
    ละอองนวลจึงเล่าเรื่องของมัฏฐกุณฑลีให้ฟัง <o:p></o:p>
    มัฏฐกุณฑลี เป็นลูกชายเศรษฐี ตระกูลพราหมณ์ พ่อแม่รวยมากก็จริง แต่พ่อขี้เหนียวมากเลย จนใครก็ให้สมญาว่า อทินนปุพพกะ แปลว่า ไม่เคยให้อะไรใคร แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ให้ตุ้มหูลูกนะ เขาเอาทองมาตีแผ่ทำตุ้มหูเกลี้ยงๆ ให้ลูกคู่หนึ่ง ชาวบ้านก็เลยเรียกเด็กคนนี้ว่า มัฏฐกุณฑลี แปลว่ามีตุ้มหูเกลี้ยง ตุ้มหูนี่ก็พ่อตีเอง เพราะจ้างช่างตีมันเสียเงิน” <o:p></o:p>
    คิมหันต์หัวเราะเบาๆ นิ่งฟัง <o:p></o:p>
    พออายุ ๑๖ ลูกชายป่วยหนัก แม่บอกให้พ่อไปหาหมอมา พ่อไม่ยอม กลัวเสียตังค์ ได้แต่ไปถามหมอว่า เวลาคนเป็นอย่างนี้ๆ มา หมอจัดยายังไง เสร็จแล้วตัวเองก็ไปหารากไม้ใบไม้อย่างที่หมอบอกมาทำเองให้ลูกกิน” <o:p></o:p>
    โอย เสี่ยงกับชีวิตลูกเลย เสียเงินจะเท่าไหร่เชียวหรือ ไหนว่าเป็นเศรษฐีคิมหันต์ต่อว่าเศรษฐี <o:p></o:p>
    ก็จนทรุดมากนั่นแหละจ้ะ พ่อถึงยอมไปหาหมอ แต่หมอเห็นแล้วก็ไม่รับรักษา เพราะรักษาไม่ไหวแล้ว บอกให้ไปหาคนอื่นเถอะ <o:p></o:p>
    พราหมณ์รู้ว่าลูกตัวเองต้องตายแน่ๆ กลัวคนมาเยี่ยม จะเห็นทรัพย์สมบัติ ช่วยกันหามลูกชายออกมานอนที่ระเบียงนอกห้อง” <o:p></o:p>
    โอย อะไรจะขนาดนั้น เหลือเชื่อเลยนะเนี่ย” <o:p></o:p>
    คิมหันต์ร้องเบาๆ <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์ทั้งหลายในตอนเช้าตรู่ เห็นมัฏฐกุณฑลี จึงเสด็จมาโปรด <o:p></o:p>
    ตอนที่เสด็จมาถึง เด็กหนุ่มกำลังนอนตะแคง หันหน้าเข้าฝาบ้าน พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าเขาไม่เห็นพระองค์ จึงทรงเปล่งพระรัศมีไปวาบหนึ่ง เขาคิดว่า <o:p></o:p>
    เอ๊ แสงอะไรนะแล้วหันหน้าออกมาดู เห็นพระพุทธเจ้า ก็คิดว่า เพราะพ่อเราเป็นอันธพาล ไม่ได้ถวายทาน ไม่ได้ฟังธรรม เราเลยไม่เคยได้เฝ้าพระพุทธเจ้าไปด้วย มาตอนนี้ แม้แต่จะยกมือไหว้พระพุทธเจ้าเราก็ยกไม่ไหว จะทำอะไรได้ คิดอย่างนั้นแล้ว เขาก็ทำใจให้เลื่อมใสในองค์พระพุทธเจ้า <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า เขาทำจิตให้เลื่อมใสในพระองค์แล้ว ก็เสด็จออกไป พอลับตาเท่านั้น เขาก็ตายลงแล้วไปเกิดในวิมานทอง” <o:p></o:p>
    โอ้ เป็นเทวดาไปเลยเหรอคิมหันต์ตื่นเต้นแปลกใจ ละอองนวลรับคำ <o:p></o:p>
    ฝ่ายพ่อ พอทำศพลูกชายเสร็จแล้วก็ไปยืนร้องไห้ที่ป่าช้าทุกวันเลย ว่าลูกชายอยู่ไหน มาหาพ่อเถอะ” <o:p></o:p>
    คิมหันต์ทำค้อนหล่นจากสายตาด้วยความหมั่นไส้ <o:p></o:p>
    เทพบุตรมัฏฐกุณฑลี เป็นเทวดาแล้ว พิจารณาว่า เอ๊ วิมานนี่ได้มายังไง เลยรู้ว่า อ๋อ เพราะทำใจเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า มองลงมาเห็นพ่อยืนร้องไห้ที่ป่าช้า ก็สงสารอยากจะช่วย เขาเลยแปลงกายเป็นคนมายืนร้องไห้อยู่ใกล้ๆ <o:p></o:p>
    พ่อได้ยินเสียงคนร้องไห้ จึงเข้าไปถาม บอกว่าพ่อหนุ่ม แต่งกายคล้ายลูกชายข้า มาร้องไห้นี่มีทุกข์อะไร <o:p></o:p>
    ท่านเล่ามีทุกข์อะไรชายหนุ่มถาม <o:p></o:p>
    ข้าพเจ้าทุกข์ถึงลูกชายที่ตายไป” <o:p></o:p>
    ข้าพเจ้ามีรถคันหนึ่งชายหนุ่มบอก เป็นรถทองคำล้วน สวยมาก แต่ยังหาล้อรถไม่ได้ ทุกข์ใจมาก” <o:p></o:p>
    เศรษฐีตกตะลึง พอบอกว่าเป็นรถทองคำ แล้วก็บอกว่า พ่อหนุ่ม จะต้องการล้อเงินหรือล้อทอง หรือแก้วมณีอะไร เราจะจัดหามาให้ท่าน” <o:p></o:p>
    ชายหนุ่มคิดว่า ดูสิ ตอนเราป่วยจะตาย ไม่ยอมเสียเงินค่าหมอนิดหน่อย ตอนนี้เห็นเรามีรถทอง จะยอมจ่ายล้อทองให้ คิดแล้วก็แกล้งพูดว่า <o:p></o:p>
    ไม่มีอะไรเหมาะกับรถของข้าเท่ากับดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ ถ้าได้มาเป็นล้อละก็เยี่ยมที่สุด” <o:p></o:p>
    พราหมณ์คิดว่าชายหนุ่มคนนี้บ้า เขาพูดว่า <o:p></o:p>
    ท่านต้องการในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ท่านโง่เขลาเหลือเกิน ตายแล้วเกิดอีกเท่าไหร่ ก็เอาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์มาทำล้อไม่ได้หรอกชายหนุ่มย้อนว่า แต่เรายังอยากได้ในสิ่งที่เห็นได้อยู่ ท่านซีร้องไห้คร่ำครวญในสิ่งที่ใครๆ ก็มองไม่เห็น ท่านว่าใครโง่กว่าใครพราหมณ์ก็เลยได้สติว่า เออใช่ เราสิต้องการในสิ่งที่มองไม่เห็น แล้วก็ไม่เคยมีใครเรียกคืนมาได้” <o:p></o:p>
    คิมหันต์เห็นด้วย แหม เทวดาฉลาดจัง” <o:p></o:p>
    พราหมณ์ก็พูดชมเชยว่า ตัวเองเร่าร้อนนักหนา ได้ชายหนุ่มมาให้ความเห็นทำให้เย็นลง ความเศร้าโศกถึงลูกชายก็คลายลงด้วย แล้วถามว่าเขาเป็นใคร เขาจึงเฉลยว่าคือลูกชายของพราหมณ์นั่นเอง ได้ทำกุศลก่อนตายเลยไปเกิดเป็นเทวดา <o:p></o:p>
    พ่อก็ เอ๊ ไม่เคยเห็นลูกทำบุญทำกุศลอะไรเลย ไปเกิดเป็นเทวดาได้ยังไง ชายหนุ่มเล่าเรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดให้ฟัง พ่อฟังแล้วปีติมาก ร้องว่า อัศจรรย์จริงๆ การไหว้พระพุทธเจ้ามีผลถึงปานนี้ ข้าพเจ้าจะทำจิตให้เลื่อมใสพระพุทธเจ้าตั้งแต่วันนี้ไปทีเดียว <o:p></o:p>
    พราหมณ์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ปฏิญาณว่าจะรักษาศีล ให้ทาน และเลื่อมใสในพระรัตนตรัย แล้วทูลอาราธนาไปเสวยที่บ้านในวันรุ่งขึ้น <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าเสด็จไปบ้านพราหมณ์ มีคนมาชุมนุมกันมาก จะมาดูพราหมณ์ถามปัญหาพระพุทธเจ้า <o:p></o:p>
    เมื่อเสวยเสร็จแล้ว พราหมณ์ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า <o:p></o:p>
    บุคคลไม่ได้ถวายทานแก่พระองค์ ไม่ได้บูชาพระองค์ ไม่ได้รักษาอุโบสถ เพียงแต่ทำจิตเลื่อมใสในพระองค์อย่างเดียว ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์” <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านถามทำไม ในเมื่อมัฏฐกุณฑลี ได้บอกความจริงนั้นแล้ว <o:p></o:p>
    พราหมณ์ก็แกล้งสงสัย แกล้งถามโน่นนี่ พระพุทธเจ้าจึงทรงเล่าเรื่องที่พ่อลูกได้พบปะพูดคุยกันที่ป่าช้า <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า ผู้คนที่มาชุมนุมยังไม่หายสงสัย จึงทรงอธิษฐาน ให้มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรลงมาพร้อมกับวิมาน แล้วทรงไถ่ถาม เทพบุตรตอบความจริงทุกอย่าง ผู้คนทั้งหลายจึงอุทานออกมาด้วยความเลื่อมใสว่า <o:p></o:p>
    ดูเถอะลูกชายพราหมณ์ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย นอกจาก ทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยังได้สมบัติขนาดนี้ พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณน่าอัศจรรย์แท้” <o:p></o:p>
    อ๋อคิมหันต์เอ่ย ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าสิ่งทั้งหลายสำคัญที่ใจ ใช่มั้ย เพียงใจเลื่อมใสก็นำบุญกุศล นำสุขต่อๆ มาได้” <o:p></o:p>
    ใช่แล้ว พอใจเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย ก็จะคิดดี ทำดีเสมอ จึงมีความสุขตามมา” <o:p></o:p>
    สาธุ แหม ฟังแล้วชื่นใจ มีกำลังใจ ขอกราบพระอีกที รู้สึกรักท่านจังเลย” <o:p></o:p>
    คิมหันต์ขยับนั่งท่าเทพธิดา แล้วก้มกราบพระพุทธรูปอย่างนอบน้อมอีกครั้งหนึ่ง<o:p></o:p>
    จบบริบูรณ์<o:p></o:p>



    </TD><TD width=18> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ตามอ่านทุกโพส ขอสรุปลงที่ท่านก็แล้วกัน ชัดเจน เข้าใจง่าย ขออนุโมทนา สาธุ ผู้รู้ที่แท้จริง...
    (ความเห็นส่วนตัว)
     
  9. naiman3000

    naiman3000 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2008
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +106
    อ่านข้อความของเจ้าของกระทู้ ผมคิดว่า คงเป็น คนศาสานอื่น
     

แชร์หน้านี้

Loading...