คาถา บูชาเสด็จเตี่ย (กรมหลวงชุมพร) - เอื้ออังกูร

ในห้อง 'รวมบทสวดมนต์และคาถา' ตั้งกระทู้โดย torphak, 1 กุมภาพันธ์ 2021.

  1. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    “สะดือมังกร” หาดเตยงาม เขาเล่าว่า… เป็นจุดรับพลังชีวิต
    เผยแพร่: 16 ก.พ. 2559 โดย: MGR Online
    559000001753101.jpg
    หาดเตยงาม มองเห็นผาวชิราลงกรณ์

    เขาเล่าว่า... ผืนทะเลใดที่มีสะดือมังกร ทะเลตรงนั้นจะเป็นเหมือนศูนย์รวมแห่งพลังจักรวาล เป็นจุดที่ครบธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    จากตำนานและความเชื่อที่บอกเล่าต่อๆ กันมา กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวตามโครงการ “เขาเล่าว่า..” โดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่เปิดประสบการณ์ใหม่ในการท่องเที่ยววิถีไทย โดยในพื้นที่ จ.ชลบุรี มีอีกหนึ่งตำนานที่เขาเล่าว่าเป็น “สะดือมังกร”

    บริเวณจุดสะดือมังกรนั้นตั้งอยู่ที่ “หาดเตยงาม” ภายในบริเวณอ่าวนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน บริเวณหาดเตยงามนั้น เดิมชาวบ้านเรียกว่า “อ่าวทุ่งไก่เตี้ย” บางครั้งก็เรียกว่า “อ่าวตากัน” โดยบริเวณนี้เป็นอ่าวเปิดสู่อ่าวไทย มีทิวเขาแหลมปู่เจ้าอยู่ทางด้านซ้าย และทิวเขาสูงอยู่ทางด้านขวา ความยาวชายฝั่งของอ่าวประมาณ ๕ กิโลเมตร ส่วนริมชายหาดก็มีพืชพรรณไม้ตามธรรมชาติ ได้แก่ ต้นเตยทะเล มะพร้าว ตาล และผักบุ้งทะเล และด้วยเหตุที่มีต้นเตยทะเลขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้หาดนี้มีชื่อว่า “หาดเตยงาม” นั่นเอง


    สำหรับตำนานของ “สะดือมังกร” มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ในอดีตมีชาวไทยเชื้อสายจีนตระกูลหนึ่งได้เดินทางผ่านอ่าว เห็นว่าเป็นบริเวณที่มีฮวงจุ้ยดี มีลักษณะคล้ายรูปมังกรหมอบ หัวอยู่ทางด้านแหลมปู่เจ้า หางอยู่ทางด้านเขาสูง บางคนกล่าวว่า ดูคล้ายสิงห์นอนหมอบ โดยมีขาทั้งสองข้างยื่นมาข้างหน้า ลักษณะภูมิประเทศบริเวณนี้เข้าลักษณะที่เรียกว่าหน้ามีน้ำ หลังพิงเขา ตรงบริเวณกลางอ่าวมีกระแสน้ำวนคล้ายสะดือมังกร มีความเชื่อว่า เมื่อได้อาบหรือแช่ตัวในอ่าวนี้แล้วจะมีพลังพิเศษ และเป็นศิริมงคลทำให้มีความเจริญก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน หายจากโรคภัย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อและความศรัทธา

    จุดที่สามารถเดินลงไปแช่ตัวบริเวณสะดือมังกร อยู่บริเวณทางแยกบ้าน น.14 หน้าสโมสรประดู่คู่ โดยการเตรียมตัวลงแช่น้ำนั้น ผู้ที่จะลงแช่น้ำต้องนุ่งขาวห่มขาว เตรียมดอกไม้ ธูป 9 ดอก เทียน 1 เล่ม เมื่อมาถึงบริเวณชายหาดที่จะลงแช่ตัวแล้ว ให้จุดธูปเทียนบูชา ตั้งจิตอธิษฐานไหว้เจ้าที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยหันหน้าไปทางแหลมปู่เจ้า อันเป็นที่ตั้งของศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

    559000001753103.jpg
    เดินลงทะเลในจุดสะดือมังกร
    จากนั้นทำจิตใจให้สงบ ค่อยๆ เดินลงสู่ทะเลจนน้ำลึกระดับอก ยืนสงบนิ่งหันหน้าลงทะเล ตั้งจิตอธิษฐานให้สิ่งไม่ดีไหลไปกับทะเล จากนั้นหันหน้าไปทางทิศเหนือ หรือทิศตะวันออก อธิษฐานขอสิ่งที่ต้องการ แล้วดำน้ำลงไปจนมิดหัว (หรือนำน้ำทะเลขึ้นมาลูบศีรษะและใบหน้า) จำนวน 3 ครั้ง จากนั้นเดินขึ้นจากน้ำทะเลโดยไม่หันหลังกลับไปมองอีก แล้วผลัดเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ ส่วนชุดขาวที่ใส่ลงน้ำให้บริจาคเป็นทาน

    ซึ่งการลงแช่ตัวในบริเวณสะดือมังกรนั้น นิยมมาแช่กันในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9, วันที่ 9 เดือน 9 (ตามปฏิทินจีน), วันตรุษจีน และวันพระใหญ่ เช่น วันมาฆบูชา หรือ วันวิสาขบูชา

    559000001753104.jpg
    ตั้งจิตอธิษฐาน ทำใจให้สงบ
    นอกจากจะเป็นจุดสะดือมังกรแล้ว บริเวณหาดเตยงามก็ยังเปิดเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่ให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจได้ โดยบริเวณหาดดูร่มรื่น สะอาดตา น้ำทะเลสวยใส้เป็นสีมรกต หาดทรายเป็นเม็ดละเอียด มีพื้นที่ให้ลงเล่นน้ำและมีกิจกรรมทางน้ำ

    แต่นอกจากนี้แล้ว บริเวณหาดเตยงามยังเป็นจุดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งอีกจุดหนึ่ง เนื่องจากเป็นจุดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแล่นเรือใบโดยลำพัง โดยทรงเรือใบเวคา 1 แล่นข้ามอ่าวจากพระราชวังไกลกังวล หัวหิน จ.ประจาบคีรีขันธ์ มาถึงอ่าวสัตหีบ ระยะทาง 60 ไมล์ทะเล ทรงใช้เวลาในการแล่นเรือ 14 ชั่วโมง มาถึง ณ ที่แห่งนี้เวลา 21.28 น. ทรงฉลองพระองค์ชุดสนามทหารนาวิกโยธินเป็นครั้งแรก และทรงนำธงราชนาวิกโยธินปักไว้ ณ ก้อนหินใหญ่กลางหาดเตยงามแห่งนี้

    559000001753105.jpg

    ธงราชนาวิกโยธินที่ในหลวงทรงปักไว้เมื่อครั้งทรงแล่นเรือใบมาขึ้นที่สัตหีบ

    และที่ใกล้ๆ กับหาดเตยงาม บริเวณกลางอ่าวนาวิกโยธิน เป็นที่ตั้งของ “เกาะไก่เตี้ย” ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ แต่รอบเกาะนั้นเป็นจุดที่สามารถลงดำน้ำชมความสวยงามใต้ท้องทะเลได้ โดยมีทั้งปะการัง ดอกไม้ทะเล และปลาทะเลหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งในช่วงเวลาที่น้ำทะเลลดระดับลงมากๆ จะมีสันทรายผุดขึ้น สามารถเดินไปฝั่งไปยังเกาะไก่เตี้ยได้เลย

    ความเชื่อในเรื่องพลังชีวิต และการได้รับความเป็นสิริมงคลจากการแช่ตัวในทะเลจุดสะดือมังกรนั้น ถือว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่จะช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้บุคคลนั้น โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้ประพฤติดี ประพฤติชอบ ก็จะช่วยส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าให้ในทุกๆ ด้าน

    559000001753106.jpg
    เกาะไก่เตี้ย จุดดำน้ำชมปะการังใกล้หาดเตยงาม
    ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมบริเวณสะดือมังกรและหาดเตยงาม ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ สำนักงานกิจการท่องเที่ยวหาดเตยงาม กองทัพเรือ โทร. 0-3833-4188

    ที่มา : https://mgronline.com/travel/detail/9590000016953
     
  2. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  3. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2021
  4. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
     
  5. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  6. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    ที่มา: youtube Sam Reaper
    อ๊อด คีรีบูน_รอวันฉันรักเธอ ( Original )
    www.youtube.com/watch?v=T_ZIAa9AVps


    #ฝากบทเพลงบรรเลงให้ไว้
     
  7. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  8. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    ที่มา : youtube BKP Music
    ตลอดกาล : อ๊อด คีรีบูน [OFFICIAL MV]
    www.youtube.com/watch?v=EgA05w5B01o


    #เกิดมาเท่าไหร่ ก็ตายเท่านั้น ไม่มีใครพ้น พึงระลึกไว้เสมอ
     
  9. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    วัดชุมทหาร
    โครงการอุทยานการเรียนรู้อนุรักษ์พันธุกรรมพืชท้องถิ่นวัดชุมทหาร
    อ.ห้วยคต จ.อุทัยธานี
    upload_2021-10-17_11-5-31.jpeg upload_2021-10-17_11-6-1.jpeg


    AF1QipN--GmR1QRESDi3Abv_rGmf821dHm9P5ydyfWlE=w1080-k-no.jpg

    ประวัติ
    ตั้งเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2547 ระยะทางจากตัวจังหวัดถึงวัดอุทัยธานีถึงวัด 52 กิโลเมตร เดิมเป็นที่พักสงฆ์เมื่อปี 2518 อยู่เขต
    ป่าสงวน ได้ขออนุญาตใช้สถานที่จาก ส.ป.ก. อ.ชุมทหาร ให้ตังเป็นวัด เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2547 โดยมีนายประเสริฐ มั่นปาน
    เป็นผู้บริจาคที่ดินให้เป็นจำนวน 13 ไร่ 2 งาน 90 วา

    เป็นวัดที่มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในตำบลห้วยคตอำเภอห้วยคตจังหวัดอุทัยธานี และสนองพระราชดำริพระเทพรัตนฯ สยามบรมราชกุมารี อพ.สธ โครงการอุทยานการเรียนรู้พันธุกรรมพืชท้องถิ่นวัดชุมทหาร โดยมีสมุนไพรและภมิปัญญาท้องถิ่นสำคัญและมีพระอาจารย์สิทธิชัย ปญญาวชิโร เป็นเจ้าอาวาส ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลในยคนี้ เป็นพระพัฒนา


    ที่มา : https://th.worldorgs.com/แคตตาล็อก/อำเภอ-ห้วยคต/บริการกวดวิชา/วัดชุมทหาร
     
  10. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    ประวัติ
    จังหวัดอุทัยธานี
    100px-Seal_Uthaithani.png 100px-Uthai_Thani_Flag.png

    คำขวัญ:
    อุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี
    ปลาแรดรสดี ประเพณีเทโว
    ส้มโอบ้านน้ำตก มรดกโลกห้วยขาแข้ง
    แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง ตลาดนัดดังโคกระบือ


    เมืองอุทัยธานีมีหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ของกรมศิลปากรยืนยันไว้ว่า เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ 3,000 ปี มาแล้ว โดยพบหลักฐานยืนยันในหลายพื้นที่ เช่น โครงกระดูก เครื่องมือหินกะเทาะจากหินกรวด ภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์บนหน้าผา (เขาปลาร้า) เป็นต้น

    ตำนานเก่าเล่าว่า ในสมัยกรุงสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองนั้น ท้าวมหาพรหมได้เข้ามาสร้างเมืองที่บ้านอุทัยเก่า คือ อำเภอหนองฉางในปัจจุบันนี้ แล้วพาคนไทยเข้ามาอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านคนมอญและคนกะเหรี่ยง จึงเรียกว่า "เมืองอู่ไทย" ตามกลุ่มหรือที่อยู่ของคนไทยซึ่งพากันตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น มีพืชพันธุ์และอาหารอุดมสมบูรณ์กว่าแห่งอื่น ต่อมากระแสน้ำเปลี่ยนทางเดินและเกิดกันดารน้ำ เมืองอู่ไทยจึงถูกทิ้งร้าง จนในที่สุด พะตะเบิดได้เข้ามาปรับปรุงเมืองอู่ไทย โดยขุดที่เก็บกักน้ำไว้ใกล้เมือง และพะตะเบิดได้เป็นผู้ปกครองเมืองอู่ไทยเป็นคนแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา

    เมืองอู่ไทยต่อมาได้เรียกกันเป็น "เมืองอุไทย" คาดว่าเพี้ยนไปตามสำเนียงชาวพื้นเมืองเดิม ได้มีฐานะเป็นหัวเมืองด่านชั้นนอก มีพระพลสงครามเป็นนายด่านแม่กลอง และพระอินทรเดชเป็นนายด่านหนองหลวง (ปัจจุบันแม่กลองคืออำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก และหนองหลวงคือตำบลหนองหลวง อำเภออุ้มผาง) คอยดูแลพม่าที่จะยกทัพมาตามเส้นทางชายแดนด่านแม่ละเมา

    ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ (พ.ศ. 2148-2163) ได้โปรดเกล้าฯ ให้บัญญัติอำนาจการใช้ตราประจำตำแหน่ง มีบัญชาการตามหัวเมืองนั้น ได้ระบุในกฎหมายเก่าลักษณะพระธรรมนูญว่า "เมืองอุไทยธานี เป็นหัวเมืองขึ้นแก่มหาดไทย"

    เมืองอุไทยธานีเป็นเมืองที่อยู่บนที่ดอนและลึกเข้าไป ไม่มีแม่น้ำสายใหญ่และไม่สามารถติดต่อทางเรือได้ ดังนั้นชาวเมืองจึงต้องขนข้าวบรรทุกเกวียนมาลงที่แม่น้ำ จึงทำให้พ่อค้าพากันไปตั้งยุ้งฉางรับซื้อข้าวที่ริมแม่น้ำจนเป็นหมู่บ้านใหญ่ เรียกว่าหมู่บ้าน "สะแกกรัง" เนื่องจากเป็นพื้นที่มีป่าสะแกขึ้นเต็มริมน้ำและมีต้นสะแกใหญ่อยู่กลางหมู่บ้าน บ้านสะแกกรัง ชาวจีนเรียกเพี้ยนเป็น "ซิเกี๋ยกั้ง" เป็นตลาดซื้อข้าวที่มีพ่อค้าคนจีนนิยมไปตั้งบ้านเรือนและยุ้งฉาง ต่อมาในระยะหลังได้มีเจ้านายและขุนนางมาตั้งบ้านเรือนอยู่ เพราะความสะดวกในการกะเกณฑ์สิ่งของส่งเมืองหลวงซึ่งเป็นจำพวกมูลค้างคาว ไม้ซุง กระวาน และช้างป่า อีกทั้งยังมีช่องทางในการค้าข้าวอีกด้วย

    ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ (พ.ศ. 2251-2275) นั้น จมื่นมหาสนิท (ทองคำ) ซึ่งย้ายมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสะแกกรังนั้น ได้รับแต่งตั้งเป็นพระยาราชนิกูล และต่อมาได้กำเนิดบุตรชายคนโตชื่อ "ทองดี " เกิดที่สะแกกรัง สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกฯ พระนามเดิม ทองดี เดิมทรงรับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (พระเจ้าบรมโกศ) ได้ดำรงตำแหน่งพระอักษรสุนทร เสมียนตรากรมมหาดไทย ถึงรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 (พระเจ้าเอกทัศ) พม่ายกกองทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา เกิดการระส่ำระสายแตกสามัคคีในพระนคร จึงทรงอพยพครอบครัวไปรับราชการกับเจ้าเมืองพิษณุโลก ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ สมุหนายกอัครมหาเสนาบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ ต่อมาทรงพระประชวร สิ้นพระชนม์ในเมืองพิษณุโลก บุตรชายชื่อ "ทองด้วง" ภายหลังได้รับราชการเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ปราบจลาจลในกรุงธนบุรี และสถาปนาเป็นกษัตริย์ราชวงศ์จักรีปกครองแผ่นดินทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก" ทรงอัญเชิญพระอัฐิส่วนหนึ่งประดิษฐาน ณ หอพระในพระบรมมหาราชวัง เพื่อให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการถวายบังคมในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจาในฐานะสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกแห่งราชวงศ์จักรี พระอัฐิอีกส่วนหนึ่ง กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท อัญเชิญเข้าประดิษฐานในพระเจดีย์ทองในพระมณฑปวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ มีประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงตั้งเครื่องทองน้อย เพื่อสักการบูชาทุกครั้งที่เสด็จพระราชดำเนิน

    พ.ศ. 2376 ข้าราชการชาวกรุงเทพฯ ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระยาอุไทยธานี เจ้าเมืองอุไทยธานีในสมัยนั้น ได้เห็นว่าบ้านสะแกกรังเป็นตลาดใหญ่ มีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่กันอย่างหนาแน่น อีกทั้งเป็นสถานที่ที่ชาวอุไทยธานีติดต่อค้าขายข้าวและไม้ซุงกับพ่อค้าที่นั่นมานานแล้ว จึงคิดตั้งบ้านเรือนเพื่อค้าขาย ประจวบกับเวลานั้น เจ้าเมืองไชยนาทเป็นเพื่อนกัน จึงขอตั้งบ้านเรือนที่ริมแม่น้ำสะแกกรัง เนื่องจากผู้คนมาติดต่อราชการและมาค้าขายกันมาก ทั้งนี้ เนื่องจากเจ้าเมืองไม่กล้าขึ้นไปเมืองอุไทยธานีเก่า อ้างว่ากลัวไข้ป่า จึงเป็นเหตุให้พากันอพยพมาอยู่กันมากขึ้น

    พ.ศ. 2391 ได้มีการแบ่งเขตดินแดนเมืองอุไทยธานีและเมืองไชยนาท โดยตัดเขตบ้านสะแกกรังทางฝั่งคลองฟากใต้ ตั้งแต่ท้ายบ้านสะแกกรังไปจดเมืองอุไทยธานีเก่า โอนที่นั่นจากเมืองไชยนาทเป็นของเมืองอุไทยธานี ดังนั้นเมืองอุไทยธานี จึงตั้งอยู่ที่ปลายสุดเขตแดนเมืองมโนรมย์ ข้างใต้บ้านลงมาสักคุ้งน้ำหนึ่งก็เป็นแดนเมืองไชยนาท

    พ.ศ. 2441 เมืองอุไทยธานีขึ้นกับมณฑลนครสวรรค์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนไปขึ้นกับมณฑลอยุธยา สุดท้ายมีการประกาศเลิกมณฑลปี พ.ศ. 2476 และจัดให้จังหวัดเป็นหน่วยปกครองส่วนภูมิภาคที่สำคัญที่สุด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงปัจจุบัน

    ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/จังหวัดอุทัยธานี
     
  11. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  12. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  13. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  14. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  15. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    ที่มา : youtube Woodhi Mak
    เพลง เชิญเที่ยวอุทัยธานี
    www.youtube.com/watch?v=fm_-EagKO10
    .............................................................................................
    ที่มา : youtube pinijnakorn
    พินิจนคร (Season 3) ตอน อุทัยธานี
    www.youtube.com/watch?v=saDFHgpNiks


    #ชมสบายๆ ก่อนกินข้าวเที่ยงกันนะ;)
     
  16. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    คนไทยคนแรกที่รู้ลึกเรื่องเรือดำน้ำ คือกรมหลวงสงขลานตรินทร์! รับรางวัลที่ ๑ ออกแบบที่เยอรมัน!!
    เผยแพร่: 2 ก.ค. 2564 MGR ONLINE โดย: โรม บุนนาค
    564000006554101.jpg

    ความคิดที่จะมีเรือดำน้ำไว้ใช้ในกองทัพ ไม่ใช่เพิ่งมาริเริ่มในยุคนี้ มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณามาตั้งแต่ปี ๒๔๕๓ แล้ว โดยมี กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นประธานกรรมการ โครงการนี้กำหนดให้มี “เรือ ส.” ๖ ลำ ซึ่ง ส.ย่อมาจากคำว่า “สับมารีน” (Submarine) เวลานั้นเรือดำน้ำเป็นอาวุธสำคัญที่กองทัพเรือมหาอำนาจในยุโรปกำลังทดลองใช้อยู่ แต่ในปี ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ให้กรมหลวงชุมพรฯออกจากประจำการ และว่าจ้าง นาวาเอก เจ.ชไนเดอร์ นายทหารเรือสวีเดนมาเป็นที่ปรึกษา ก็ได้ให้ความเห็นว่า เรือดำน้ำเป็นเรือที่ดีมากสำหรับป้องกันกรุงเทพฯ และควรจะมีถึง ๘ ลำประจำที่กองทัพเรือจันทบุรี แต่เมื่อกรมหลวงชุมพรไม่อยู่ในราชการแล้ว เรื่องนี้จึงเงียบไป

    ขณะนั้นยังไม่มีคนไทยคนไหนเคยเห็นเรือดำน้ำเลย ทหารเรือไทยและคนไทยได้เห็นเรือดำน้ำเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๔๕๕ ในโอกาสที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง เสด็จประพาสอินโดจีน และฝรั่งเศสได้จัดเรือดำน้ำมาถวายให้ทอดพระเนตร

    ในปี ๒๔๕๘ เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ พระบรมราชชนก ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการทหารเรือจากประเทศเยอรมัน ซึ่งก้าวหน้าในเรื่องเรือดำน้ำมาก และทรงเป็นนายทหารฝึกหัดอยู่ในราชนาวีเยอรมัน ทั้งได้รับรางวัลที่ ๑ ในการออกแบบเรือดำน้ำในขณะที่ศึกษา เมื่อเสด็จกลับมาประเทศไทยและเข้ารับราชการดำรงพระยศนายเรือโท จากนั้นหลังเข้ารับราชการเพียง ๗๔ วันพระองค์ก็ถวายรายงานตามรับสั่งของเสนาธิการทหารเรือ ซึ่งก็คือ พลเรือโทกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งได้กลับเข้าประจำการอีก เป็นรายงานเกี่ยวกับเรื่องเรือดำน้ำ มีความยาวถึง ๙๔ หน้า

    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯก็ทรงสนพระทัยในเรื่องเรือดำน้ำเช่นกัน ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องหนึ่ง กล่าวถึงชีวิตลูกเรือดำน้ำ ๑๒ นายที่ต้องผจญกับเหตุการณ์อยู่ในเรือขณะจมอยู่ใต้ทะเลลึก ต่อมาในปี ๒๔๖๐ ได้ทรงติดต่อกับกองทัพเรืออังกฤษขอส่งนายทหารเรือไทยไปศึกษาเรื่องเรือดำน้ำ โดยส่งนายนาวาตรีหลวงหาญสมุทร (บุญมี พันธุมนาวิน) ด้วยทุนพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และได้เข้าประจำการในกองเรือดำน้ำของราชนาวีอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ด้วย ซึ่งต่อมาก็คือ นายพลเรือตรีพระยาหาญกลางสมุทร

    กรมหลวงชุมพรฯทรงมีรายงานกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ลงวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๖๒ มีข้อความบางตอนว่า

    “...ในส่วนป้องกันอ่าวหรือท้องทะเล เครื่องที่จะทำให้กองทัพใหญ่หวาดเสียวที่สุดก็คือเรือดำน้ำ เรื่องนี้นายเรือโท สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ได้ทรงทำรายงานต่างๆละเอียดไว้ที่กระทรวงทหารเรือแล้ว น่าชมพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ข้อความพิสดารแจ้งอยู่ในพระหัตถ์นั้นทั้งสิ้นแล้ว เห็นด้วยเกล้าว่า ถ้ากรุงสยามมีเรือดำน้ำจะเป็นเครื่องป้องกันสำคัญมาก หรือจะนับว่าเป็นเครื่องป้องกันอย่างดีที่สุดก็ว่าได้...”


    หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยให้กองทัพเรือมีเรือดำน้ำได้ แต่ก็ส่งทหารเรือไปศึกษาดูงานเรื่องเรือดำน้ำในต่างประเทศไม่ขาด คงจะเห็นว่าในยุคล่าอาณานิคม เราถูกข่มขู่ด้วยเรือรบมาตลอด หากเรามีเรือดำน้ำก็คงจะทำแบบนั้นอีกไม่ได้

    ความคิดที่จะมีเรือดำน้ำกลายเป็นความจริงได้ในปลายปี ๒๔๗๘ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้อนุมัติพระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือ ต้องการให้มีเรือดำน้ำ ๖ ลำ ในราคาลำละประมาณ ๒-๓ ล้านบาท โดยต้องการ ๓ ลำแรกก่อน เปิดประกวดราคาในเดือนตุลาคม ๒๔๗๘ มีบริษัทต่างชาติเสนอมา ๖ ประเทศ มีทั้งเสนอราคาแบบสร้าง ๓ ลำและสร้าง ๔ ลำ บริษัทมิตซูบิชิของญี่ปุ่นเสนอราคาต่ำสุด คือเรือดำน้ำขนาด ๓๗๐ ตัน มีปืนใหญ่พร้อมลูกปืน มีท่อตอร์ปิโดแต่ไม่มีลูกตอร์ปืโด สร้าง ๓ ลำราคาลำละ ๘๒๖,๔๕๒ บาท สร้าง ๔ ลำราคาลำละ ๘๒๐,๐๐๐ บาท กองทัพเรือได้ตกลงเลือกบริษัทมิตซูบิชิแห่งเมืองโกเบ สร้าง ๔ ลำ เป็นเรือดำน้ำขนาดเล็ก มีระวางขับน้ำ ๓๗๐ ตันเศษ มีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับเรือดำน้ำทั่วไป แต่เป็นเพียงเรือดำน้ำรักษาชายฝั่ง และได้ส่งนายทหารสัญญาบัตรและประทวน ๑๒๘ นาย ไปศึกษาการใช้เรือดำน้ำ โดยจักรพรรดินาวีญี่ปุ่นจัดครูและเรือฝึกให้

    เรือดำน้ำ ๒ ลำแรกมีพิธีปล่อยลงน้ำในวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๔๗๙ รวมเวลาในการสร้าง ๗ เดือนกับ ๑๘ วัน ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานชื่อว่า ร.ล.มัจฉาณุ และ ร.ล.วิรุณ ในวันที่ ๔ กันยายน ๒๔๘๐ ลำที่ ๓ และที่ ๔ จึงได้ลงน้ำครบ ทำพิธีส่งมอบให้ราชนาวีไทย โดยมีเอกอัครราชทูตไทยเป็นประธานในพิธี นับเป็นครั้งแรกที่ราชนาวีไทยมีเรือดำน้ำ ด้วยเหตุนี้จึงถือกันว่า วันที่ ๔ กันยายน เป็น “วันที่ระลึกเรือดำน้ำ”

    ในระหว่างที่ต่อเรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำ ทหารเรือไทยซึ่งฝึกอยู่ในเรือดำน้ำญี่ปุ่น ก็ได้ย้ายลงประจำการในเรือดำน้ำไทยลำละ ๓๒ นาย และยังฝึกต่อไปทั้งบนผิวน้ำใต้น้ำ จนครูฝึกเชื่อมือแล้ว ในวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๘๑ เรือดำน้ำแห่งราชนาวีไทยทั้ง ๔ ลำจึงถอนสมอออกจากญี่ปุ่นเกาะกลุ่มกันมา ซึ่งสร้างความตื่นตะลึงให้คนที่ฟิลิปปินส์และไต้หวันพอควรเมื่อเห็นเรือดำน้ำไทยมาแวะหาเสบียงและเชื้อเพลิงมากันเพียงลำพัง เพราะตามปกติเรือดำน้ำจะต้องมีเรือผิวน้ำเป็นพี่เลี้ยง
    หลังจากเดินทาง ๓,๐๐๐ ไมล์ เรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำของราชนาวีไทยก็ถึงกรุงเทพฯในวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๘๑ ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

    ในปีที่เกิดสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ภายหลังที่เกิดยุทธนาวีที่เกาะช้าง และเรือรบไทยถูกเรือรบฝรั่งเศสยิงจมแล้ว เรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำได้เคลื่อนเข้าลาดตระเวนถึงหน้าฐานทัพเรือฝรั่งเศสในเวียดนาม กลางคืนตระเวนบนผิวน้ำ กลางคืนจมอยู่ใต้ทะเลลำละ ๑๒ ชั่วโมง จนเรือรบฝรั่งเศสหวาดเสียวไม่กล้ารุกล้ำเข้ามาในเขตไทยอีก

    ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ โรงไฟฟ้าที่วัดเลียบและสามเสนถูกระเบิด ทำให้ทั้งกรุงเทพฯต้องกลับไปใช้ตะเกียงกัน รถเมล์ก็ไม่มีน้ำมันจะวิ่ง แต่คนที่อยู่ริมทางรถรางสายหลักเมือง-ถนนตกประหลาดใจไปตามกัน เมื่อเห็นว่ารถรางที่ต้องใช้ไฟฟ้ากลับมาวิ่งได้ ทั้งนี้เพราะบริษัทรถรางทราบว่าเรือดำน้ำมีเครื่องปั่นไฟ จึงขอร้องมายังกองทัพเรือ ซึ่งได้ส่ง ร.ล.มัจฉาณุและ ร.ล.วิรุณไปจอดที่ท่าเรือบางกอกด๊อก ถนนตก จ่ายไฟให้รถรางวิ่ง

    หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติ เรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำทรุดโทรมไปตามอายุขัย อะไหล่ในการซ่อมก็หาไม่ได้ เนื่องจากญี่ปุ่นแพ้สงครามถูกยึดครอง กองทัพเรือพยายามซ่อมแซมเองอยู่หลายปี ในที่สุดก็สุดความสามารถ

    ในวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๙๔ ที่เกิดกบฏแมนฮัตตันที่ทหารเรือกลุ่มหนึ่งลงมือทำและเป็นฝ่ายแพ้ ทำให้กองทัพเรือถูกลิดรอนอย่างมาก กระทรวงกลาโหมได้ออกคำสั่งในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๔๙๔ ให้ยุบเลิกหมวดเรือดำน้ำเช่นเดียวกับกองบินนาวี ทำให้เรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำถูกปลดประจำการในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน๒๔๙๔ หลังจากประจำการอยู่ในราชนาวีไทยมาเป็นเวลา ๑๒ ปีเศษ ต่อมาได้ขายทั้ง ๔ ลำให้บริษัทปูนซีเมนต์ไทย คงรักษาไว้แต่หอเรือและอาวุธบางชิ้น เช่นปืนและกล้องส่อง ตั้งไว้ที่หน้าพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ สมุทรปราการ เป็นอนุสรณ์ในปัจจุบัน

    ในปี ๒๔๖๐ เมื่อกองทัพเรือยังไม่พร้อมที่จะมีเรือดำน้ำ แต่การสาธารณสุขไทยกำลังต้องการพัฒนาอีกมาก สมเด็จพระบรมราชชนกจึงเสด็จไปทรงศึกษาเตรียมแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา และทรงสำเร็จการศึกษาสาธารณสุขก่อนจะเข้าศึกษาวิชาแพทย์ต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จนสำเร็จได้รับปริญญา เอ็ม.ดี.เกียรตินิยม

    เมื่อเสด็จกลับไทยครั้งสุดท้ายในปี ๒๔๗๑ ก็ทรงมีบทบาทในวงการแพทย์ไทยอย่างมาก จนได้รับการถวายพระสมัญญาภิไธย “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย” และ “พระบิดาแห่งการสาธารณสุขไทย”

    564000006554102.jpg


    564000006554103.jpg
    564000006554104.jpg


    ที่มา : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000064101
     
  17. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  18. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  19. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
  20. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2021

แชร์หน้านี้

Loading...